CHAPTER 27: Father and Son ‘เขาขับตามมา..’เพชรลดานึก ดวงตาเหลือบกระจกมองหลัง
รถเก๋ง Volvo สีขาวแล่นตามมาทิ้งระยะห่างไม่มากนัก
หรือที่จริง.. ก็ไม่เชิงว่าขับตามมา จากวิถีของรถ เพชรลดาแน่ใจ นายพจน์รู้ทางอยู่แล้ว
รถคันหลังไม่ต้องรอดูว่าเลี้ยวทางไหน ไม่ต้องตีไฟตาม แน่นอน.. นายพจน์เคยมาทางนี้..
เพชรลดาถอนหายใจน้อยๆ “แม่ขอโทษนะที่ให้พชรมาส่ง เหนื่อยมากหรือปล่า”
นายพจน์นั้นอาสาจะมาส่งหรือหากเธอไม่สะดวกใจ เขาก็จะให้คนรถของเขามาส่ง ทว่า เพชรลดาก็ปฏิเสธ
ในเมื่อตัดสินใจว่าอย่างไรจะไม่นับหนึ่ง ไม่รื้อฟื้นความสัมพันธ์ เธอก็ไม่อยากใกล้ชิดนายพจน์มากเกินไป ไม่อยากให้มีเยื่อใยต่อกันมากเกินงาม ในความรู้สึกจะเป็นอย่างไร มากมายแค่ไหนก็ไม่ควร ในเมื่ออีกฝ่ายนั้นอยู่ในฐานะของบุรุษที่แต่งงานกับคนอื่นแล้ว มีครอบครัวแล้ว ซ้ำยังเป็นที่รู้จัก ใครเห็นเข้าจะมีแต่คำครหาเสียเปล่าๆ
เพชรลดาพิจมองลูกชาย
ที่จริงเธอควรให้พชรพัก ควร..ให้พชรไปทำอะไรที่เจ้าตัวคงอยากจะไป
นายพจน์ให้เหตุผลว่าพชรเหมือนคนไม่ได้นอน ไม่ควรขับรถ ซึ่งเธอเห็นด้วย แต่ตัวนายพจน์เองก็นอนเสียที่ไหนเล่า
ดวงตาดำขลับมองกระจกมองหลังอีกครั้ง.. นายพจน์เป็นห่วงถึงได้ขับตามมา ..เพชรลดารู้
สวนเพชรหละปูนเป็นเช่นที่เคยเป็น บ้านไม้ยกพื้นสูงหลังใหญ่โดดเด่นอยู่เบื้องหน้า
และ.. ยังมีชายร่างเล็กใส่แว่นกรอบดำยืนคอยอยู่อีกคนหนึ่ง
“คุณลดาเป็นอะไรไปครับ?” แสงระวีถามไถ่อย่างห่วงใยเมื่อเห็นข้อเท้านายหญิง
“ผมรบกวนลุงแสงตามป้าอิ่มมาทีเถอะครับ แม่ขาแพลง คงต้องให้ป้าอิ่มมาดูแลใกล้ชิดก่อนในช่วงนี้”
แสงระวีพยักหน้ารับคำแข็งขัน แผ่นหลังเล็กเคลื่อนจากไปเร็วๆ ทำตามคำสั่ง
สองสายตาของเพชรลดาและพชรมองตามไปทางเดียวกัน ก่อนจะหันมามองกันเอง และเป็นเพชรลดาที่เอ่ยค่อยๆ
“ที่โรงแรม.. ก่อนขึ้นรถ คุณระมิงค์ถามถึงลุงแสง”
..
พชรพยักหน้า เธอเคยถามเขาแล้วเช่นกัน
เพชรลดาถอนหายใจ “แต่แม่ยังไม่ได้บอกอะไร ต้องคุยกับลุงแสงก่อน”
“ตั้งแต่แรก ลุงแสงไม่ให้ผมพูดถึงตัวลุง ..ลุงแสงกลัวว่าม่อนจะรับไม่ได้ แต่..”
“หากม่อนจะถามหาพ่อที่แท้จริงของเขา แม่ก็ไม่อยากให้เขาหาด้วยความรู้สึก
ขาด” เพชรลดาน้ำเสียงจริงจัง
“แม่ไม่อยากให้สถานการณ์ไปบังคับให้ม่อนต้องหันไปตามหาลุงแสง
แม่ไม่อยากให้.. เพราะคุณพจน์ไม่ใช่พ่อเขา เพราะเขาต้องออกจากบ้านเขา เขาถึงต้องไปหาพ่อแท้จริง
แต่.. อยากให้ครอบครัวเขายังสมบูรณ์พร้อมนี่แหละ อยากให้คุณพจน์ก็ยังรับรองเขาเป็นลูกนี่แหละ และอยากให้เขาก็ยังได้อยู่บ้านของเขานี่แหละ แบบนี้.. ถ้าม่อนยังคงต้องการรู้เรื่องพ่อแท้ๆ ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง เขาก็จะไม่เสียใจ”
พชรไตร่ตรอง พยักหน้ารับ..
เพชรลดาค่อยๆแตะแขนลูกชาย
“ยังไงก็อย่าห่วงเรื่องผู้ใหญ่นักเลย มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเด็ก..”
..
“ทำตามหัวใจตัวเองบ้างก็ได้ พชร”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
บ้านประดิษฐาพงศ์ที่ปกติก็เงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบลงไปถนัดใจ นายพจน์เดินช้าๆเข้ามาภายใน เพ็ญมาศคนคุ้นเคยยกมือไหว้สวัสดี ในแววตาแฝงความแปลกใจที่นายผู้ชายกลับมาเพียงคนเดียว
“คุณท่านคะ ฉันขออภัย แต่ว่า..” เสียงเนิบลังเลกับสิ่งที่จะถาม
เมื่อวานนายพจน์ไม่ได้กลับบ้าน วันนี้กลับ แต่คุณระมิงค์ไม่ได้กลับมาด้วย ซึ่งไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนหลังจากผ่านพ้นช่วงเดือนแรกที่แต่งงานกัน เจ้านายทั้งสองกลับมาพร้อมกันเสมอ ตอนนี้ เกิดปัญหาสิ่งใดหรืออย่างไร?
นายพจน์มองอย่างเข้าใจในความห่วงใยของคนเก่าคนแก่ เสียงอธิบายค่อยๆ
“ฉันยังไม่รู้จะบอกเพ็ญอย่างไร ฉัน.. อาจอยู่บ้านนี้คนเดียวพักใหญ่" เมื่อเพ็ญมาศมีสีหน้าตกใจ เขาจึงรีบเสริม
"แต่ระมิงค์กับม่อนสบายดี หากเขาสบายใจขึ้น เขาอาจจะกลับมานะ”
“คุณท่าน..” ..หมายความว่าอย่างไร
นายพจน์ถอนหายใจ “ฉันมีเรื่องสำคัญอยากบอกเพ็ญ”
“ค่ะ..”
“ฉันมีลูกชายอีกคนหนึ่ง”
คราวนี้ เพ็ญมาศอ้าปากค้าง ..คุณท่านมีลูกอีกคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย
นายพจน์พยักหน้ากับอาการประหลาดใจนั้น เขาเองก็เหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที แต่ต้องบอกเพ็ญมาศเอาไว้
เธอเป็นคนที่อาวุโสสุดในบ้าน เป็นแม่นมม่อนแจ่ม เธอเองสมควรรู้ว่าเขามีลูกชายอีกคน วันหนึ่งวันใด หากได้ต้อนรับขับสู้ เธอจะได้ทำด้วยความเต็มใจ
“ลูกอีกคนของฉันชื่อพชรนะ เป็นลูกฉันกับลดา จำลดาได้หรือเปล่า เพ็ญ..”
เพชรลดา.. จำได้สิ.. เพ็ญมาศพยักหน้ารับช้าๆ
“อันที่จริง.. คุณม่อนเพิ่งจะมาถามถึง..”
เธอหลุดรำพึง แต่แล้วก็เหลือบมองนายผู้ชายอย่างไม่ค่อยสบายใจ
นายพจน์ชะงักไปนิดหนึ่ง ..นั่นสินะ ม่อนแจ่มรู้ก่อนเสียอีกว่าพชรเป็นลูกชายเขา
เอาล่ะ..
“วันหนึ่ง ถ้าหากพชรมา ฉันก็อยากให้เพ็ญรับรู้ไว้ว่าเขาเป็นลูกฉัน ช่วยเมตตากับลูกฉันด้วย ถ้ามีโอกาสนะ..”
นายพจน์ยิ้มบางๆ ..โอกาสไม่มากนักที่พชรจะมาที่นี่ แต่เขาก็อยากบอก อยากรับรองฐานะของเด็กหนุ่ม
แม้จะไม่สานสัมพันธ์ฉันคนรักกับเพชรลดา แต่พชรเป็นลูก หน้าที่พ่อ เขาก็ต้องทำ
นายพจน์จะขอความเห็นชอบของเพชรลดาเพื่อรับรองพชรเป็นบุตร ต่อไปในภายภาคหน้าเมื่อเขาจากไป ทุกอย่างที่เป็นของเขาก็จะได้เป็นของพชรกับม่อนแจ่มคนละครึ่ง
เรื่องงาน..
นายพจน์ก็มีแต่ต้องทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนเช่นที่เคย แต่เขาจะไม่เรียกร้อง ไม่เคี่ยวเข็ญให้ใครมาสานต่อ
เขาจะชดเชยให้ลูกทั้งสองในหน้าที่พ่อ แต่เพื่อตัวลูกเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อให้มาสนองความต้องการของคนเป็นพ่อเองในภายหลังเด็ดขาด..
ใบหน้าคมเงยมองภาพใหญ่ของบิดาที่ติดไว้ ณ ชานพักบันได
เขาไม่ได้คิดโทษ คิดชี้ผิด คิดตำหนิใคร การตัดสินใจเป็นของเขาในตอนนั้น และไม่ว่าความรู้สึกใดก็ตามที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เขาก็มีหน้าที่รับผิดชอบมันแต่เพียงผู้เดียว
ถ้าเขาต้องจบลงในบ้านหลังนี้เพียงลำพัง..
ถ้างานที่ตั้งใจทำจะไม่มีทายาทสืบต่อ..
ก็ขอให้มันเป็นไป..
เขาจะไม่หันหลังให้ใคร
และจะไม่.. บังคับจิตใจใคร
แค่ให้ผู้เป็นที่รักมีความสุข แค่นั้น..
“ดิฉันยังคิดว่าคุณม่อนจะกลับมาสุดสัปดาห์นี้เสียอีก ว่าจะเตรียมทำบัวลอยไว้ เธอชอบทานน่ะค่ะ”
เพ็ญมาศชวนคุย เธอไม่ทราบปัญหา แต่หากคุณท่านมีลูกชายอีกคนหนึ่ง คุณระมิงค์กับคุณม่อนอาจจะรับไม่ได้จึงไปพักที่อื่นก็ได้ละกระมัง..
"หากคุณพจน์มีอะไรให้ช่วย บอกดิฉันได้เลยนะคะ"
นายพจน์มองเพ็ญมาศ คนที่คุ้นเคยมาตั้งแต่ยังเด็ก
เขาไม่เคยมองเพ็ญมาศเป็นหญิงรับใช้เลย กลับนับถือสาวใหญ่เสมือนพี่สาว พี่สาวที่อยู่และเติบโตใต้ชายคาบ้านหลังนี้มาก่อนเขา ริมฝีปากหนาแย้มออกน้อยๆเหมือนจะยิ้ม
“เพ็ญอยากทำบัวลอยวันไหนก็ทำเถอะ ใส่กระปุกให้เรียบร้อย ฉันจะเอาไปฝากม่อนให้ หรือไม่เช่นนั้น เพ็ญก็ไปกับฉันเสียเลยก็ได้ ม่อนคงคิดถึงเพ็ญเหมือนกันนั่นแหละ”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
การแตะคีย์การ์ด และจับคันโยกเปิดประตูแล้วมองเข้าไปเจอโซฟาสีขาวกลางห้องนั้นคงยังไม่คุ้นเคยภายในสามวันหรอก ม่อนแจ่มเตือนตัวเอง
เขาจะไม่เห็นเตียงเดี่ยว.. ไม่เห็นเตียงสองชั้น.. ไม่เห็นหนังสือปรัชญาวางอยู่บนโต๊ะตัวซ้ายสุด..
“ม่อน เป็นอะไรไป?” ผู้เป็นมารดาแตะไหล่ เขาจึงสะดุ้งน้อยๆ
“ปละ..เปล่าครับคุณแม่”
กระเป๋า Jack Spade ใบเก่าวางไว้บนโซฟา ม่อนแจ่มนั่งลงเซิร์ซหางาน Part Time ในอินเตอร์เน็ต
เขาไม่แน่ใจว่ามารดายังจะได้รับอนุญาตให้ไปทำงานที่ PP Group อีกหรือไม่ ดังนั้น นี่เป็นช่วงเวลาที่ต้องพยายามดูแลตัวเองให้มากที่สุด ทำตัวเป็นภาระให้น้อยที่สุด หากว่าเธอไม่สามารถไปทำงานเดิมได้ ม่อนแจ่มก็จะต้องช่วยแก้ปัญหาว่าชีวิตของพวกเขานั้นจะอย่างไรต่อไป
“ม่อนจ้ะ” ระมิงค์ทรุดนั่งลงข้างๆ
“แม่จะ.. กลับไปบ้านประดิษฐาพงศ์หน่อยนะ”
ม่อนแจ่มเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ ระมิงค์จึงคลายความสงสัยให้
“แม่ยังไปทำงานที่บริษัทเหมือนเดิม แม่จะไปเอาชุดน่ะลูก”
ม่อนแจ่มวางโทรศัพท์ลง “คุณแม่ได้ทำงานเหมือนเดิมหรือครับ?”
“ก็.. จ้ะ..” ระมิงค์พยักหน้า
“เอ่อ..” ม่อนแจ่มเม้มปากเล็กน้อย “ตกลง คุณแม่ทราบไหมครับว่า.. ว่าคุณน้าเพชรลดายอมไปอยู่ที่บ้านหรือเปล่า”
ระมิงค์พยักหน้า “เปล่าจ้ะ ..ไม่”
..
ม่อนแจ่มถอนหายใจ “ม่อนไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย..”
เขาอยากให้พชรมีครอบครัวที่สมบูรณ์ อยากให้สามคนพ่อแม่ลูกได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
ยังไงเขาก็อดรู้สึกไม่ได้ ว่าสิ่งที่ขัดขวางพชรจากสิ่งนั้นก็คือความรู้สึกที่พชรมีให้ม่อนแจ่มเองนั่นแหละ
ม่อนแจ่มไม่อยากรับไว้..
ม่อนแจ่มอยากจะหลีกไปให้พ้น..
พชรไม่น่าต้องมาอยู่ร่วมห้องกับเขาเลย
ถ้าเขาทั้งสองไม่ได้เจอกัน พชรคงตัดสินใจง่ายกว่านี้ บอกความจริงไปตั้งนานแล้ว
ค่อนคืนสงัด.. กว่าที่ม่อนแจ่มจะเสร็จจากงานที่ต้องทำส่งอาจารย์
มือเรียวขยับแว่นให้ตั้งตรงบนสันจมูก ตามองฉากตั้งที่กางคลุมผ้าขาวไว้
ร่างเล็กค่อยๆขยับลุกขึ้นไปใกล้ ..เดี๋ยวก็ต้องส่งภาพให้รุ่นพี่ชมรมอาร์ทติสแล้ว ..เขามีรายละเอียดอีกเล็กน้อยที่อยากจะเก็บ
“วาดรูปอีกเหรอม่อน?” ระมิงค์ถามขึ้นเบาๆ ที่จริง.. เธอตั้งใจมากล่าวราตรีสวัสดิ์
“เอ่อ.. ครับ ม่อน ..พอดีเป็นงานชมรม พี่เขาให้วาดPortrait ม่อนก็.. ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะครับ”
ผู้เป็นมารดายิ้ม “ม่อนต้องวาดได้ดีแน่”
“ไม่หรอกครับ” ม่อนแจ่มส่ายหัวน้อยๆ ยิ้มแห้งแล้ง
“ม่อนวาดเป็นแต่รูปการ์ตูน เห็นทีคราวนี้ จะไม่ได้รับเลือกอะไรกับเขาหรอกครับ แต่ม่อนก็แค่..อยากวาดให้เสร็จ”
ความรู้สึกโหยหาอาทรบางอย่างที่บิดขมวดอยู่ในช่องท้องทำให้ต้องรีบกลืนน้ำลายและหันหน้าหนีไปทางอื่น ก่อนที่จะแสดงออกมาให้ผู้เป็นมารดาจับสังเกตได้
ทว่า.. ไม่ทันหรอก ระมิงค์เห็นชัดๆอยู่แล้ว
เธอผลักประตูให้กว้างขึ้นนิดหนึ่งพอให้เดินผ่านเข้าไปได้
มือเรียวบีบไหล่เล็กเบาๆ ตัดสินใจทำความเข้าใจกับลูกชาย
“ม่อน.. วันนี้แม่ไปขอโทษเพชรลดามาแล้วนะ”
ม่อนแจ่มเงยหน้าขึ้น พิจมองมารดาอย่างแปลกใจ
แน่นอน.. เขารู้ว่าท่านรู้สึกผิด
แต่.. คุณระมิงค์ ประดิษฐาพงศ์เอ่ยคำขอโทษหรือ?
“เอ่อ.. ครับ.. ม่อนดีใจจัง”
ใช่.. ที่เขาเองก็ฝากคำขอโทษในนามของตนเองและมารดาให้กับพชรแล้ว แต่นั่นมันเป็นเพียงเศษเสี้ยวคำขอโทษ มันแทบไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร มันเทียบไม่ได้กับการที่มารดาเขาขอโทษมารดาพชรด้วยตัวเอง
“แล้ว.. แล้วคุณน้าเพชรลดายกโทษให้เราไหมครับ คุณแม่”
เราหรือ?
“ไม่ใช่เรา” ระมิงค์ย้ำเตือน “แม่คนเดียว แค่แม่ ..ลูกอย่าเอาความผิดของแม่ไปแบกไว้”
เธอเอ่ยอย่างจริงจัง มือเรียวยกขึ้นลูบหัวบุตรชายอย่างเมตตา
“ความผิดพลาดของผู้ใหญ่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเด็กนะม่อน”
..
“ม่อนก็มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรตามหัวใจของม่อนเหมือนกัน”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
..๓๓๘..ย่ำค่ำแล้ว ความมืดสาดสะท้อนทั่วบริเวณเมื่อเขากลับมาถึงหอพักหลังกลับจากส่งมารดาที่ลำพูน
ป้ายบอกเลขห้องอยู่เหนือบานประตู และมือแกร่งก็ยกขึ้นเคาะให้สัญญาณแก่คนที่อยู่ภายใน ..ซึ่งเขาหวังใจว่าจะมีสองคน
ก๊อก ก็อก.. ก่อนที่.. จะหมุนลูกบิด เปิดเข้าไป ..ช้าๆ
เตียงล่างที่ว่างเปล่าเป็นสิ่งแรกที่มองเห็น..
ขายาวชะงักอยู่เพียงหน้าประตู กวาดสายตามองไปรอบๆห้องเล็กนั้น ซึ่งไม่ต้องใช้เวลานานเลยกว่าที่จะมั่นใจได้ว่าในห้องมีรูมเมทอยู่เพียงหนึ่งในสอง แล้วรูมเมทเตียงบนก็ส่งเสียงทักทาย เป็นการรับรองโดยสมบูรณ์ว่าคนที่อยู่เพียงคนเดียวคือไอดิล
“สวัสดี พชร”
..
“สวัสดี พชร” เคยมีเสียงอื่นทักทายเขาแบบนี้เหมือนกัน
ทักทายทุกวัน แม้จะไม่เคยได้รับการตอบกลับ..
“สวัสดีม่อนแจ่ม พูดเป็นไหม กูเป็นรูมเมทมึงนะ ทักทายกันบ้างนี่โลกมันจะแตกหรือยังไง พชร!”หน้าคมไม่มีกะใจแม้แต่จะตอบรับคำทักทายของรูมเมทสิ่งแวดล้อม
เขาวางกระเป๋าสะพายไว้หน้าเตียง หย่อนตัวนั่งลง มองเตียงเดี่ยวเบื้องหน้า
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงคนโง่เง่าที่ไม่มีอะไรจะทำ ..ไม่มีคำจะพูด
ได้แต่นั่งมองเตียงว่างเปล่าอยู่แบบนี้..
ป่านนี้.. นายพจน์จะไปพบม่อนแจ่มหรือยัง?
จะปลอบโยน ปลอบใจ ให้กำลังใจไหม จะพากลับบ้านประดิษฐาพงศ์ไหม
แล้วม่อนแจ่มจะลืมเขาไปเสียได้ไหม จะเลิกนึกถึงเขาได้ไหม เลิกคิดว่าเป็นความผิดตัวเองได้หรือยัง
พชรช่วยไม่ได้ที่รู้สึกว่า.. เขาฝากความรู้สึกทั้งหมดนี้ไว้กับนายพจน์
เขาฝากมันไว้ในนาทีที่มอบภาพวาดของขวัญนั้นให้ไป ..ในคำบรรยายที่บอกความตั้งใจของม่อนแจ่ม ..ความรู้สึกในฐานะลูกชายที่ม่อนแจ่มมีต่อนายพจน์
นายพจน์เป็นบุคคลสำคัญ..
เป็นคนที่ม่อนแจ่มเคารพนับถือมาตลอดสิบเก้าปี ถ้าจะมีใครเยียวยาจิตใจม่อนแจ่มในภาวะนี้ได้ คนนั้นก็ต้องเป็นนายพจน์
พชรอยากให้นายพจน์พาม่อนแจ่มกลับบ้าน..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ม่อนโอเคดีหรือ ระมิงค์?” นายพจน์ถามไถ่เมื่อพบผู้มีศักดิ์เป็นภรรยาที่บริษัท
ระมิงค์แสร้งพยักหน้ารับในทีแรก แต่แล้วก็ถอนใจ ตอบตรงไปตรงมา “..ไม่เชิงค่ะ”
นายพจน์ขมวดคิ้ว “แล้วไม่ได้บอกม่อนหรือว่าคุณไปขอโทษเพชรลดาแล้ว”
“บอกค่ะ” ระมิงค์รับคำ “แต่ม่อนก็คงไม่สบายใจอยู่ดีที่เธอกับลูกไม่ไปอยู่บ้านประดิษฐาพงศ์”
..
“แล้ว..” เสียงเข้มหยุดไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ย
“ม่อนไม่ได้พูดถึง ผมหมายถึงว่า.. ดูเหมือนยังไม่ได้คุยกันอีกหรือ สองคนนั้น?”
“คิดว่าไม่ค่ะ..” ระมิงค์ส่ายหน้า
“เลิกเรียนเขาโทรบอก ฉันก็ไปรับกลับคอนโด ดูเหมือนว่า.. ม่อนไม่ได้กลับหอหรอกค่ะ เลย.. คงไม่เจอกัน”
นายพจน์ขมวดคิ้วหนักขึ้น..
ทำไมล่ะ? ทำไมดูเหมือนยังไม่ได้เจอ
ถึงจะไม่ได้พบกันที่หอพัก แต่อย่างไร อย่างน้อย.. รูมเมทกันก็น่าจะมีเบอร์โทรศัพท์ไว้ติดต่อกันไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงไม่ได้คุย ทั้งที่..
“..เขาเป็นห่วงม่อนมากนะ”
ระมิงค์เข้าใจดีว่า ‘เขา’ ที่ว่าหมายถึงใคร
“ฉันรู้ค่ะ ..แต่ดูเหมือนยังไม่ได้คุยกันจริงๆ เพราะท่าทีของม่อนไม่ได้เปลี่ยนไปเลย”
นายพจน์ถอนหายใจ ถ้อยคำที่ม่อนแจ่มกล่าวถึงลูกชายกระทบห้วงคำนึงอีกครั้ง
“พชรเขาท่าทีอย่างนั้นเองแหละครับ
ดูเหมือนเฉยๆ ดูเหมือนใจแข็ง ดูเหมือนไม่สนใจ เขาไม่ค่อยพูด..”“วันนี้ผมจะเข้าไปเยี่ยมม่อนหน่อยนะ เพ็ญบอกว่าทำบัวลอย อยากให้ม่อนได้กิน ลูกจะได้สดชื่นขึ้น”
“ขอบคุณค่ะ คุณพจน์” ระมิงค์ยิ้มรับในน้ำใจ นายพจน์เองก็ยิ้มตอบ แต่แล้วสีหน้าก็เคร่งขึ้น
“แต่ขอเป็นตอนค่ำนะ เห็นทีเลิกงาน ผมต้องไปหอสามชายเสียก่อน” เสียงเข้มบอกความตั้งใจ
“รวิดา ส่งแฟ้มสุดท้ายเข้ามาเลย วันนี้ผมรีบ” นายพจน์สั่งการทางโทรศัพท์ในเวลาใกล้สี่โมง เลขานุการสาวเข้ามาพร้อมแฟ้ม แต่ก็มีสิ่งอื่นมาเรียนด้วย
“ท่านประธานคะ คือ.. มีเด็กหนุ่มชื่อพชรมาขอพบค่ะ”
มือใหญ่ที่จับปากกาชะงัก ดวงตาที่กวาดตรวจสอบความถูกต้องของรายละเอียดในเอกสารเงยขึ้นมองหน้าเลขาฯ
“พชร..” นายพจน์ทวนอย่างอึ้งๆ
“ค่ะ” รวิดาพยักหน้า “ไม่ทราบว่าใคร ไม่ได้นัดไว้ ท่านประธานจะให้-”
“นั่นลูกชายผม” มือใหญ่ปิดแฟ้ม “ผมจะลงไปรับเขาเอง”
พชรมองโต๊ะประชาสัมพันธ์.. หวนนึกวาดภาพมารดาสมัยยังเยาว์วัยกว่าขณะนี้ในหัว เธอเคยบอกว่าทำงานตำแหน่งพนักงานประชาสัมพันธ์
จริงสิ.. ม่อนแจ่มบอกว่าเห็นบัตรพนักงานของเธอเก็บอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของนายพจน์นี่นะ
บางที.. ตอนที่เธอลาออก เขาอาจเก็บบัตรเธอไว้ ..เขาอาจไม่อยากให้มันถูกทำลายทิ้ง
ความรู้สึกของมารดากับนายพจน์ในตอนนั้นจะเป็นอย่างไรหนอ
ความรู้สึกอะไรที่พวกเขามีต่อกัน.. แล้วมันเจ็บปวดแค่ไหนที่หันหลังให้กันแบบนั้นได้..
พชรสะบัดหัวน้อยๆ เขากำลังจินตนาการอะไรไปกันใหญ่
ร่างกำยำนั่งรอคำตอบรับหรือปฏิเสธการขอเข้าพบจากประธานบริษัท
แม้มาเยือน PP Group แล้วถึงสามครั้ง ..แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พชร เพชรหละปูนขอพบคุณพจน์ ประดิษฐาพงศ์
อย่างไรก็ตาม.. ไม่มีคำตอบรับหรือคำปฏิเสธ ..ที่มีก็เพียง
“พชร..” คนถูกเรียกสะดุ้งขึ้นน้อยๆ ไม่คาดว่าคนคนนี้จะลงมาพบเขาเอง
ร่างสูงลุกขึ้นยืน.. มือไม้แข็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้..
เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองควร..
ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ
ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีปกติกราบไหว้อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิจพชรขบริมฝีปากเล็กน้อย..
คาบสุดท้ายไม่น่าเป็นพุทธศาสนากับเมตตาจิตเลยจริงๆ
มือแกร่งสองข้างยกขึ้นประนม.. ศีรษะก้มลง.. ไหว้วัยวุฒิของบุคคลตรงหน้า
นายพจน์ยกมือขึ้นไหว้ตอบ ..ก้มศีรษะให้เช่นกัน
“พชรมีอะไรหรือ แม่เป็นอะไรหรือเปล่า บอกพ่อซิ” นายพจน์รีบถาม ผายมือให้นั่งลง
พชรลมหายใจสะดุดเล็กน้อยกับคำแทนตัวนั้น ‘พ่อ’
หน้าคมอ่อนวัยกว่าส่ายไปมาเล็กน้อย “แม่สบายดีครับ ผมเพียง.. มีเรื่องจะถามคุณพจน์”
..คุณพจน์..จริงสินะ..
นายพจน์ดันลืมไปได้
เขาคือ 'คุณพจน์' สำหรับเด็กหนุ่ม ไม่ใช่พ่อเสียหน่อย
แล้วเขาก็จะไม่บังคับให้พชรต้องเรียกเขาว่าพ่อด้วย ..ไม่มีทาง
หน้าคมสูงวัยพยักหน้าอนุญาต “ครับ.. ถามมาสิ”
“ผมจะถามว่า..” เสียงเข้มเรียบเรียงคำ
“คุณพจน์ได้พบ ..พบม่อนแจ่มหรือยังครับ หลังจากตอนนั้น..”
ไม่ได้ผิดคาดนัก นายพจน์พยักหน้ารับ ตอบตรงคำถาม
“พบแล้ว”
พชรพ่นลมหายใจเล็กน้อยอย่างโล่งใจ ก่อนจะถามต่อไป “แล้ว.. ม่อนแจ่มโอเคดีหรือครับ?”
“โอเคดีที่ว่านี่.. หมายถึงเรื่องอะไรล่ะ” นายพจน์ถามย้อนกลับ
“ถ้าระหว่างม่อนแจ่มกับคุณพจน์ ม่อนก็โอเคดี เราคุยกันแล้ว”
นายพจน์บอกให้เด็กหนุ่มสบายใจ แทนตัวเองด้วยคำที่ลูกชายเรียกขาน ..คุณพจน์..
“ถ้าอย่างนั้น คุณพจน์จะพาม่อนกลับบ้านใช่ไหมครับ..”
นายพจน์ถอนหายใจเล็กน้อย “ถ้าม่อนไม่ต้องการไป คุณพจน์บังคับม่อนไม่ได้นะพชร”
“นั่นเป็นบ้านเขา เขาอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เกิด ผมไม่เคยอยาก-”
“คุณพจน์รู้ คุณพจน์ก็ยืนยันให้ม่อนมั่นใจอย่างนั้น แต่พชร..” นายพจน์หยุดนิดหนึ่ง เรียบเรียงคำ
..
“มันไม่ได้แก้ปัญหา เพราะมันไม่ใช่เรื่องเดียวที่อยู่ในใจม่อน ม่อนไม่ได้แค่เสียใจที่เขาไม่ใช่ลูกคุณพจน์ พชรว่าจริงไหม?”
คนเป็นพ่อกระตุ้นให้คิด
“คุณพจน์ไปหาม่อนแล้ว ยืนยันแล้วว่าคุณพจน์รักม่อนเหมือนลูก ซึ่งคุณพจน์ก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่พูดให้ม่อนดีใจ คุณพจน์เชื่อว่าม่อนรู้สึกได้ แต่ก็นั่นแหละ.. มันก็ยังไม่ได้ทำให้ม่อนเลิกเป็นทุกข์ ในเมื่อม่อนไม่ได้เป็นทุกข์เพราะคุณพจน์ ม่อนเป็นทุกข์เพราะรู้สึกผิด แล้วคนที่ม่อนรู้สึกผิดด้วยนั้นก็สำคัญกับม่อนมาก พชรไม่รู้หรือ”
พชรกลืนน้ำลาย “ผมรู้ แต่..”
เขาไม่ได้จะหมายถึง..
เขาแค่.. อยากแน่ใจว่านายพจน์ไปพบม่อนแจ่มแล้ว
นายพจน์คือคนที่..
“อย่าประเมินตัวเองต่ำไป”
นายพจน์พยายามสื่อสาร มองดวงตาดำขลับที่ถอดแบบมาจากมารดาของเด็กหนุ่มคู่นั้น
เสียงเข้มที่เกือบจะแหบโหยเอ่ยช้าๆ “ปล่อยไปเฉยๆไม่ได้นะพชร..”
เขาไม่อยากให้พชรทำสิ่งที่เขาเคยทำ.. หรือไม่ทำสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ..
เขาไม่อาจบังคับจิตใจเด็กหนุ่มได้ ..ก็จริง
เขาแทบไม่มีสิทธิ์ ..ก็ใช่ แต่ก็ยังมีเสียง
เขาไม่มีอะไรเทียบกับลูกชายคนนี้ได้เลย ทว่า สองสิ่งที่นายพจน์มีมากกว่าคืออายุและประสบการณ์ ..แล้วเขาก็คิดว่าจำเป็นต้องถ่ายทอดมัน
“พชรครับ.. เวลาคุณพจน์ออกเอกสารอะไรสักอย่าง ต่อให้มีรายละเอียดอยู่ในนั้นทั้งหมด มีคำสั่งชัดเจนระบุไว้ทุกๆบรรทัด มันจะเอาไปบังคับใช้ไม่ได้เลยถ้าหากไม่มี.. ลายเซ็น”
..
“ถ้าคุณพจน์ไม่ได้รับรองเนื้อความในเอกสารด้วยการลงลายเซ็น มันจะเป็นแค่กระดาษที่ไม่มีความหมาย พชรเข้าใจไหม..”
พชรมองผู้อาวุโสกว่าตรงหน้า
ใบหน้าคล้ายคลึงกับเขาดูเหมือนพยายามอย่างมากที่จะพูด ..ซ้ำพูดไพเราะมากเสียด้วย
เขารู้สึกแปลกๆกับคำว่า ‘คุณพจน์’ ที่ท่านใช้เป็นสรรพนามแทนตัว ..สรรพนามเดียวกับที่เขาใช้เรียก
แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่าฟังแล้วไม่ถูกบังคับให้ต้องยอมรับท่านเป็นบิดา ..เหมือนพวกเขาเป็นเพียงคนสองคนที่คุยกัน
คุณพจน์กำลังพูดและพชรก็กำลังฟัง..
ใช่..
พชรเข้าใจ..
เอกสารที่ไม่ได้ลงลายเซ็นมันบังคับใช้ไม่ได้..
“เช่นเดียวกัน.. ไม่ว่าในใจพชรจะรู้สึกแค่ไหน ได้ทำอะไรต่างๆลงไปมากมายยังไง สุดท้ายแล้ว.. การยืนยันความรู้สึกให้ชัดเจนด้วยคำพูดยังเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ”
นายพจน์หยุดพักหลังประโยคนี้ ..ในชีวิตประจำวัน เขาแทบไม่ได้พูดอะไรยืดยาว
เขาจะพูดเมื่ออยู่ในที่ประชุม เมื่อเจรจาทางธุรกิจหรือเมื่อต้องบรรยายในฐานะวิทยากรตามวาระโอกาสเท่านั้น
นี่จึงเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายสำหรับตัวเขา ..ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ..พูดอยู่นี้ ..พูดกับลูกชาย
..
“พชรหวังดีและพยายามอดทนที่สุดมาตลอด ทุกคนรู้ ทุกคนเห็นอยู่แล้ว ไม่ผิดอะไรหรอกถ้าตอนนี้พชรเลือกจะเงียบ เลือกจะอยู่ห่างๆ พชรก็คงมีเหตุผลของพชรเสมอ..” นายพจน์มองบุตรชายด้วยความอาทร ปรารถนาดีอย่างจริงใจ
“แต่เรื่องของหัวใจ.. ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พชรต้องยอมรับให้ได้นะ ว่าถ้าไม่พูด ไม่ยืนยัน ..ทุกอย่างจบ”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .