13
สามีภรรยา
ถ้าให้ถามความรู้สึกของริวในตอนนี้ หากถามว่าโกรธไหมก็โกรธ เคืองไหมก็เคือง เกลียดไหมก็เกลียด ที่รู้สึกมากที่สุด คงอยากจะบีบคอเจ้าสาวคนสวยให้ตายคามือ เขาพยายามทำใจสงบ แต่เหมือนความโกรธมันทำให้เขาแผดเสียงไปจนเหนื่อยหอบ ริวมองลูซด้วยสายตาที่อาฆาต
“ริวจังอย่าโกรธสิ มันพุ่งไปเองนะ ลูซไม่ได้ตั้งใจ”
“อ๋อเหรอ! แน่ใจนะว่านายไม่ได้ตั้งใจยิงมาให้โดนหน้าฉัน!”
ริวตวาดกลับอย่างไม่พอใจ ลูซยู่ปาก เขายื่นมือไปเช็ดน้ำที่เปื้อนแก้ม
“ลูซเช็ดให้น้า”
“ไม่ต้องเลย!”
ยิ่งเช็ดก็ยิ่งเปื้อน เพราะมือของลูซก็เต็มไปด้วยคราบน้ำที่ริวคิดว่ามันน่ารังเกียจ ริวพยายามหายใจให้เป็นปกติ
“ฉันดูนายเสร็จแล้ว ก็แก้มัดฉันสักที”
อารมณ์ที่ครุกรุ่นในตอนแรกหายไปจนหมดสิ้น เพราะความโกรธและความรับไม่ได้มันเข้ามาแทนที่ ลูซเห็นท่าทางที่หัวเสียพร้อมจะทำลายทุกสิ่งของริวแล้วก็เลยยอมเข้ามาแก้มัดให้
ทันทีที่เป็นอิสระ ริวก็รีบลงจากเตียงวิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที มือเขาก็เปื้อนน้ำที่ลูซปล่อยออกมา แต่ที่ช้ำใจมากที่สุดก็คงเป็นใบหน้าอันหล่อเหลาแต่กลับเปรอะไปด้วยน้ำที่ไม่ควรเปื้อน
เคยปล่อยใส่หน้าสาวๆ มันก็ดีอยู่หรอก แต่พอมาโดนผู้ชายด้วยกันปล่อยใส่ มันไม่ได้รู้สึกดีเลย
“ริวจัง อย่าโกรธลูซสิ”
เขาอยากจะกลับไปต่อยหน้าของลูซแรงๆ ตอนนี้จะปิดประตูห้องน้ำก็ไม่ได้ เพราะประตูพังไปเรียบร้อยแล้ว ริวรีบล้างหน้าแล้วเดินออกจากห้องน้ำ
“ฉันต้องอยู่ในห้องนี้อีกนานแค่ไหน”
ยิ่งเห็นลูซในชุดเจ้าสาวเขาก็ยิ่งหงุดหงิด ลูซเองก็ได้แต่ยิ้มตอบ แล้วหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดมือของตัวเอง
“ริวจังหิวแล้วเหรอ”
“ก็ไม่เชิงว่าหิว แต่ไม่อยากอยู่ในนี้กับนาย”
“ริวจังอย่าพูดแบบนั้นสิ เราสองคนแต่งงานกันแล้วนะ”
“นายก็รู้ว่าฉันไม่เต็มใจแต่งงาน”
เขาคิดว่าปฏิกิริยาที่ลูซตอบกลับมาคือรอยยิ้ม ไม่ก็คงเป็นท่าทางที่ไม่ยอมรับรู้และไม่สนใจ แต่เขาคิดผิด เพราะลูซเงียบไป
“นั่นสินะ”
ริวพยายามจะไม่สนใจ ทำไมเขาจะต้องไปเห็นใจผู้ชายคนนี้ ถึงลูซจะเป็นเกย์และรักผู้ชายด้วยกัน แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องไปตอบรับรักกับลูซ เพียงเพราะว่าเขาเห็นใจ
“นายไปเปลี่ยนชุดไป”
“ริวจังไม่ชอบชุดที่ลูซใส่เหรอ”
“จะไปชอบได้ยังไง นายไม่คิดว่ามันทุเรศบ้างเหรอที่แต่งตัวแบบนี้ นายไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย”
“แต่ลูซเป็นเจ้าสาวของริวจัง”
“ฉันไม่เคยยอมรับนายเป็นเจ้าสาว”
“แต่ริวจังก็สวมแหวนให้ลูซแล้วนะ”
ลูซลุกขึ้น ริวขยับตัวถอยหนี เพราะเขาไม่รู้ว่าลูซจะมาไม้ไหน แล้วคิดจะทำอะไรอีกบ้าง กายสูงเข้ามาโอบกอดริว เจ้าบ่าวตัวเล็กดิ้นสุดแรง
“ปล่อย!!”
“ไม่เอา ลูซอยากกอดริวจัง ริวจังอย่าไล่ลูซเลยนะ ลูซรักริวจัง”
“แต่ว่าฉันไม่ได้…”
เขาจะบอกว่าไม่ได้รัก แต่ลูซก็ยกมือมาปิดปากเขา แล้วส่งยิ้มหวานให้
“ไม่เอา อย่าพูดนะ ถ้าจะพูด ต้องพูดว่ารักลูซเท่านั้น”
“นายจะบ้าหรือไง”
ชายหนุ่มจับมือของลูซออก มองตาขวาง แต่ลูซทำเป็นไม่รับรู้ เขาวางแก้มแนบไปกับไหล่เล็ก
“ไม่รู้ล่ะ ริวจังเป็นของลูซนี่นา”
“นายมันน่ารำคาญจริงๆ”
ไม่มีการตอบโต้ใดๆ ลูซยอมผละออกพร้อมกับรอยยิ้ม เขายืนมองหน้าเจ้าบ่าว
“ริวจังจะอาบน้ำไหม”
“จะให้อาบยังไง ดูประตูห้องน้ำสิ”
“ก็อาบได้นะ อาบด้วยกันไง”
“ฝันไปเถอะ”
เรื่องอะไรเขาจะต้องไปอาบน้ำกับเจ้าคนโรคจิต ริวส่ายหน้าไปมาอย่างเบื่อหน่าย แต่ถึงกระนั้นทุกอย่างก็ยังไม่ได้แย่มากนัก เพราะลูซรักษาสัญญาที่จะไม่ทำอะไรเขา
“แต่ดูเหมือนริวจังอยากอาบน้ำ”
“ใช่ ฉันอยากอาบน้ำ แต่เพราะมีนายอยู่ในห้อง ฉันจะอาบได้ยังไง เดี๋ยวนายก็คงแอบดูฉันอาบน้ำแน่ๆ”
“ริวจังนี่รู้ใจลูซที่สุดเลย”
ลูซฉีกยิ้มกว้าง ริวไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่ายินดีสักนิด เขาได้แต่กรอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ แต่นั่นก็ไม่มีทางอื่นที่จะดีกว่านี้อีกแล้ว
“ฉันไม่อาบหรอก อยู่กับนายมันไม่ปลอดภัย”
“ถ้าริวจังไม่อยากให้ลูซมอง ลูซไม่มองก็ได้น้า”
พอได้ยินแบบนั้น ริวก็หรี่ตามองทันที ลูซรีบยกมือปิดตา แต่เขาก็ไม่ไว้ใจ เพราะคิดว่าถึงจะบอกแบบนั้น แต่ก็มีโอกาสที่ลูซจะพุ่งตัวเข้ามาในห้องน้ำ
“เดี๋ยวริวจัง จะพาลูซไปไหน”
คนตัวสูงโวยวาย เมื่อโดนริวดึงแกมฉุดกระชากมาที่เตียง เขามองหาเชือกที่เคยผูกมือของเขาเอาไว้ แล้วจัดการผูกลูซไว้กับเตียงแทน
“ริวจัง จะจับลูซมัดทำไม”
“ฉันไม่ไว้ใจนาย”
“ไม่ไว้ใจลูซได้ยังไง ลูซเป็นภรรยาของริวจังนะ”
คนฟังได้แต่เบ้หน้า เขาไม่เคยไปรับลูซเป็นภรรยา แต่เรื่องนั้นเขาก็เหนื่อยเกินกว่าจะพูดต่อไปอีก เขาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ก็เจอชุดที่เปลี่ยนสวมใส่แบบสบาย แล้วหยิบมันเข้าไปในห้องน้ำ
“ริวจังงงงง”
คนบนเตียงยังคงร้องเรียกด้วยความคิดถึง ริวหลับตาลง ข่มใจไม่ให้โกรธเคือง พยายามไม่คิดถึงเรื่องของลูซ ไม่อย่างนั้นอารมณ์เขาคงพลุ่งพล่านแล้วอยากจะเข้าไปกระชากเจ้าตัวมากระทืบไม่ยั้ง
“ริวจัง ให้ลูซช่วยขัดหลังไหม”
ดวงตาระยิบระยับนั้นส่งมา ริวลืมคิดไปเสียสนิทว่าประตูมันพังมาแล้ว ทำให้ลูซเห็นทุกอย่างเต็มๆ ยังดีที่เขาแค่ถอดเสื้อสูทที่สวมข้างนอกออกเท่านั้น ร่างกายยังไม่ได้เปล่าเปลือย
“ฉันพลาดเอง”
“เอ๋!”
ริวหยิบเสื้อสูทของตัวเอง เขาไม่รู้จะใช้อะไรมัดปิดตาเจ้าสาวโรคจิต นอกจากเสื้อที่เขาใส่อยู่
“ริวจัง ปิดตาลูซทำไม ลูซมองไม่เห็น”
“ก็ดีแล้ว ถ้ามองเห็น ฉันคงต้องบ้าตาย”
“ริวจังงงง ให้ลูซไปอาบน้ำด้วยน้า น้า น้า”
“ไม่!”
การตอบรับนั้นช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน ลูซรู้สึกเสียใจแต่ก็ไม่นาน เพราะเขาได้ของดีไว้กับตัวเสียแล้ว ทางด้านริวก็คิดว่าเรื่องวุ่นวายคงจะจบลงสักที
“อ๊า…กลิ่นของริวจัง ฟี๊ดดด”
เสียงสูดดมดังจนริวรู้สึกได้ เขาหันขวับไปมองที่เตียง ก็เห็นว่าลูซกำลังเอาหน้าแนบกับพื้นเตียง แล้วซุกไซ้เสื้อของเขา
…อะ ไอ้โรคจิต…
พอเจอแบบนี้แล้วริวถึงกับไปไม่เป็น เขายกมือกุมขมับ ตอนนี้เขาจะออกไปก็ไม่ได้ เพราะเปลือยและเต็มไปด้วยครีมอาบน้ำ ขืนออกไปคงได้เป็นกำไรสายตาของเจ้าสาวหื่นกามกันพอดี
การอาบน้ำสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ริวเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาแกะเสื้อที่ปิดหน้าปิดตาของลูซออกตามมาด้วยเชือกที่มัดตัวลูซเอาไว้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ค่อยอยากให้เขาแกะออกเสียแล้ว
“ลูซชอบกลิ่นตัวริวจัง”
“เป็นหมาหรือไง”
“ไม่รู้สิ แต่เวลาริวจังอาบน้ำเสร็จแล้วเนี่ย หอมจังเลย”
ลูซพุ่งเข้ากอดเอวเล็ก ริวเหลือบตามองเพดานด้วยความรู้สึกค่อนข้างเซ็ง เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“นายไปอาบน้ำไป”
“ริวจังอาบให้ลูซได้ไหม”
สายตาคู่สวยช้อนมองอย่างออดอ้อน ริวยันใบหน้านั้นออก กลัวว่าจะเผลอใจยอมเพียงเพราะสายตาคู่นั้น
“ฉันอาบน้ำแล้ว จะไปอาบอีกทำไม”
พอได้ยินคำตอบแบบนั้น ลูซก็ยู่ปากทันที เขารู้สึกว่ามันช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเขาเสียเหลือเกิน แต่ก็แค่เพียงครู่เท่านั้น
“ไปสิ”
โดนไล่อีกรอบ เจ้าสาวตัวใหญ่จึงได้ยอมผละออก แต่ก็ไม่วายฉวยโอกาสยอมแก้มของเจ้าบ่าว ริวขมวดคิ้ว จะหันไปต่อว่าแต่ลูซก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปแล้ว
“คุณสามีริวจัง อยากจะช่วยลูซอาบน้ำไหม”
ไม่เพียงแค่ถาม แต่ยังขยิบตาเป็นการเชิญชวน ริวปวดประสาท อยากจะหยิบอะไรสักอย่างฟาดใส่เจ้าคนทะลึ่ง
“จะอาบก็อาบไปเลยเจ้าบ้า!”
“จะแอบดูลูซก็ได้น้า ลูซจะเปิดเผยให้เห็นให้หมดเลย”
ริวรีบหันหลัง เขาขนลุกขึ้นมาทันที เมื่อนึกถึงสิ่งใหญ่โต ที่เพิ่งได้เห็นมาเมื่อไม่นานมานี้
“รีบๆอาบไปเลยเจ้าบ้า!”
ริวไม่แม้แต่จะหันไปมองเรือนร่างที่อยู่ในห้องน้ำ เขานั่งสงบจิตใจอยู่บนเตียง เขาต้องหาทางสักทางเพื่อจะได้หลุดพ้นไปให้ได้
พอเดินไปเขย่าประตูก็พบว่ามันยังล็อกอยู่เหมือนเดิม พอเห็นเป็นแบบนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกแย่สุดๆ
…นี่กะจะขังเขาไปถึงเมื่อไหร่…
ถ้าในความเป็นจริงของการเข้าห้องหอ คงได้ทำภารกิจสานต่อร่างกายจนทั้งคู่หมดแรง และไม่มีความอยากจะไปไหน นอกจากนอน แต่ในความเป็นจริงของการแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่อย่างนั้น
เขาไม่ใช่เกย์ ไม่ได้ชอบผู้ชาย แล้วจะให้ไปมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันได้ยังไง ถึงผู้ชายที่เขาพูดถึงจะหน้าสวยโดนใจเขาแค่ไหน แต่ยังไงก็ยังเป็นผู้ชาย แถมไอ้ตรงนั้นยังใหญ่โตจนเขารู้สึกเกลียดปนอิจฉาขึ้นมา
“ริวจัง ลูซอาบน้ำเสร็จแล้วน้า”
ร่างกายเปียกชื้นแนบไปกับแผ่นหลังเล็ก ริวสะดุ้งเฮือก เขาหันมอง พยายามออกแรงต่อต้านดันร่างสูงใหญ่ให้ออกห่าง
“นะ นี่ไม่ได้เสื้อผ้าหรือไงฮะ!”
“ก็ลูซอยากให้ริวแต่งให้นี่นา”
คนตัวสูงยิ้มหวานอย่างอารมณ์ดี ฉวยโอกาสหอมแก้มอย่างเอาแต่ใจ ริวมองตาขวาง พลางดิ้นอย่างรุนแรง
…เรื่องอะไรจะยอมให้ลวนลาม…
“ปล่อย ไปแต่งตัวเลยไป ฉันหิวข้าวแล้ว”
“ริวจังแต่งตัวให้ลูซหน่อยน้า”
“นายไม่ใช่เด็กๆ แล้วถึงนายเป็นเด็ก ฉันก็ไม่แต่งให้!”
ออกแรงสะบัดตัวอย่างแรง จนหลุดออกจากอ้อมกอดของลูซ ชายหนุ่มรีบเดินหนี เขาไม่อยากหันไปมองภาพอุจาดตา ถึงแม้จะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่อยากจะมอง
…อก เอว ไม่ได้มีความงดงามอ่อนช้อยแบบผู้หญิงเลยสักนิด…
เผลอเหลือบตาไปมองเพียงครู่ก็เห็นกล้ามเนื้อเป็นลอนสวยที่หน้าท้องแกร่ง ถ้ามองแค่ช่วงล่างจากคอลงมา ก็คือกายแข็งแกร่งสมชาย แม้ไม่ได้มีกล้ามใหญ่มากนัก แต่ดูแข็งแรงไม่ต่างกับนายแบบ
“แต่ลูซอยากให้ริวจังแต่งตัวให้นี่นา”
“ถ้าไม่หยุดเข้ามา ฉันจะเอาแจกันฟาดหัวให้แตกเลย”
ริวคว้าหมับเข้าที่แจกันตกแต่งห้อง คนตัวสูงได้แต่ยู่ปาก ไม่คิดว่าริวจะทำกับเขาแบบนี้ได้ลงคอ
“ใจร้าย”
“ใช่ ฉันใจร้าย งั้นนายก็อย่ามายุ่งกับฉันสิ”
“ไม่ได้หรอก เพราะถึงใจร้าย ลูซก็รักริวจัง”
ตึก ตึก ตึก
หัวใจเจ้ากรรมอยู่ๆ ก็เต้นผิดจังหวะ ริวหลับตาลง สูดอากาศเข้าปอดลึกๆ เขาไม่ควรหวั่นไหว…ไม่ควรจะหวั่นไหว
ชายหนุ่มพยายามบอกกับตัวเองอย่างนั้น เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ไม่มีทางไปหวั่นไหวกับผู้ชายตัวใหญ่ ที่มีดีแค่หน้าเหมือนผู้หญิงแน่ๆ ถ้าเป็นผู้ชายตัวเล็กก็ว่าไปอย่าง
เดี๋ยวนะ!!!จะตัวเล็กหรือตัวใหญ่ มันก็คือผู้ชาย ยังไงเขาก็รับไม่ได้!!!
“งั้นรอลูซแปปนึงน้า ริวจังนอนเล่นบนเตียงไปก่อนก็ได้”
“อืม”
เขารับคำ แล้วไปนั่งบนเตียง แต่ทว่า พอหันไปมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นก้นขาวเด่น นี่เจ้าสาวของเขามันไม่คิดจะพันผ้าขนหนูรอบเอวสักนิดเลยหรือไง
ริวได้พ่นลมหายใจด้วยความเอือมระอา ละสายตาที่มันบังเอิญไปมองช่วงล่างอย่างไม่ได้ตั้งใจ
แผ่นหลังกว้างนั้นดูแข็งแรง ไม่ได้ผอมแห้งจนเห็นกระดูก ถ้าเขาเป็นผู้หญิง คงอยากจะวิ่งเข้าไปซบ แต่นั่นก็แค่ความคิด เขาเป็นผู้ชายไม่ได้คิดอยากจะซบสักนิด เพียงแต่อิจฉาในร่างกายอันสมบูรณ์แบบของลูซก็เท่านั้น
เขานอนตะแคงหันหลังให้ ขืนมองไปมากกว่านี้ มีหวังจิตใจคงได้ฟุ้งซ่าน คิดอะไรแปลกๆอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเลยสักนิด
-------+++++-------
“ทำไมถึงได้ลงกันมาเร็วนักล่ะลูก”
น้ำเพชรเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นคู่บ่าวสาวที่เพิ่งแต่กันหมาดๆ นั้นเดินลงมาจากห้องหอเสียแล้ว
ริวเหลือบตามองเจ้าสาวตัวโตที่กำลังควงแขนเขา ความลับของการได้ออกจากห้องคือการที่ลูซโทรหามารดาของเขาเพื่อให้แม่บ้านขึ้นมาปลดกุญแจจากด้านนอก
…มารดาของเขาช่างร้ายจริงๆ…
“ก็ริวจังหิวมากเลย ริวจังบอกว่าเหนื่อย หมดแรง”
ชายตัวเล็กกว่าหันขวับไปมองภรรยาในนาม ลูซคลี่ยิ้มหวาน ในขณะที่ริวยิ้มไม่ออก ใครจะไปอยากรับเจ้ากะเทยตัวใหญ่นี่เป็นภรรยา
“ปล่อยฉันได้แล้ว”
แม้พยายามจะขยับกายให้ออกห่าง แต่ลูซก็เกาะติดเสียยิ่งกว่าปลิง สะบัดอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดได้ง่ายๆ นั่นทำให้ริวค่อนข้างไม่สบอารมณ์
“แหมๆ แต่งงานวันแรกก็แบบนี้ล่ะน้า เหนื่อยเป็นธรรมดา คิคิ ใช่ไหมคะคุณ”
ราตรีหันไปเอ่ยกับสามี ทั้งคู่กระหนุงกระหนิงจนริวแทบอยากจะกุมขมัย คำพูดของมารดาดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนมีความสุข แตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิงที่สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ป่านนี้ทุกคนคงคิดว่าเขาและลูซได้เสียเป็นเมียผัวกันไปเรียบร้อยแล้วแน่ๆ แต่ถ้าเกิดโต้กลับไปว่ายังไม่ได้มีอะไรกัน เขาก็กลัวว่าอาจจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมา
“งั้นเดี๋ยวให้แม่บ้านตั้งโต๊ะอาหารเลยก็แล้วกันนะจ๊ะ”
“เอ่อ ครับ”
ริวได้แต่ตอบรับอย่างขัดไม่ได้ เขายังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงต่อกับเรื่องในอนาคต แต่ที่แน่ๆ เขาต้องเลิกรากับเจ้ากะเทยโรคจิตให้เด็ดขาดจนไม่ต้องมีโอกาสมาเจอหน้ากันอีกครั้ง
“หลังแต่งแล้ว คิดออกหรือยังล่ะจ๊ะ ว่าจะไปฮันนีมูนกันที่ไหน”
น้ำเพชรเป็นคนเปิดประเด็นเรื่องนี้ ที่จริงเรื่องเดินทางไปฮันนีมูนหลังแต่งงาน ก็เคยได้ไถ่ถามลูซและริวเอาไว้บ้างแล้ว เพียงแต่ริวบอกปัดไปก่อนว่าหลังแต่งงานค่อยคิด
“เอ่อ ผมยังคิดไม่ออกครับ”
ริวตอบเสียงไม่ดังมากนัก ไม่ใช่ว่าเขาคิดไม่ออก แต่เขาไม่เคยจะคิดเลยต่างหาก ขณะนี้ทุกคนที่เป็นครอบครัวทั้งทางฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างอยู่กับพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร ในบ้านของเจ้าสาวเอง
“แต่ลูซคิดไว้หลายที่เลย ไปฮันนีมูนกับริวจังรอบเลยโลกเลยดีไหมน้า”
คำกล่าวนั้นทำให้ริวต้องหันขวับไปมอง ดูเอาเถอะ ทำไมเขาต้องมาแต่งกับคนสุดขั้ว แถมทำอะไรไม่ได้มีความพอดีเอาเสียเลย ชายหนุ่มคิดเพียงแต่อยากจะยกมือมากุมขมับ แล้วนวดซ้ำๆให้หายเครียด
“มันไม่มากไปหน่อยหรือไงฮะ”
ริวหันไปเอ็ดภรรยาตัวโต ลูซยิ้มหวานแล้วเอนศีรษะซบไหล่เล็ก
“ก็ลูซอยากสร้างประสบการณ์ระหว่างเราให้ลึกซึ้ง ให้มันเป็นความทรงจำที่แสนงดงาม”
แค่ฟังแล้วก็แทบจะทนไม่ได้ เขาไม่คิดว่าตัวเองอยากจะมีความทรงจำอันงดงามกับเจ้ากะเทยตัวใหญ่แม้แต่น้อย ยิ่งความทรงจำล่าสุด ก็เหมือนจะเป็นความทรงจำอันเลวร้ายมากกว่า มีอย่างที่ไหน เจ้าสาวตัวใหญ่ถกกระโปรงแล้วช่วยตัวเองต่อหน้าเจ้าบ่าว แค่คิด ริวก็ขนลุกซู่แล้วความกลัวจะเจอเหตุการณ์เลวร้ายอีกรอบ นี่ขนาดเพิ่งแต่งยังไม่ทันจะข้ามคืน เขาก็ต้องมาพานพบกับเหตุการณ์ที่แสนช้ำใจเสียแล้ว
…ใครก็ได้ พาเขาออกไปจากนรกขุมนี้ที…
“ผมว่าเรื่องฮันนีมูน เราเอาไว้คุยกันทีหลังดีกว่าครับ”
เขาไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ต่อ วันนี้ก็ทรมานหัวใจเขาเต็มทนแล้ว
“นั่นสิคะ เราคุยเรื่องอื่นกันเถอะค่ะ”
ริวอยากจะเข้าไปกอดพี่สาวเอาไว้เสียให้เต็มแรงเกิด ดีใจที่รินเข้าใจเขาและพยายามช่วย
“อีกแค่สองสัปดาห์ เธอก็จะกลับแล้วต่างประเทศแล้วสินะ”ราตรีเอ่ยขึ้น
“ใช่ค่ะ เดี๋ยวน้องก็ต้องกลับไป ยังไงก็ต้องขอฝากลูซด้วยนะคะ เอ็นดูลูกของน้องด้วย”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรเลยนี่นา ตอนนี้ลูซเองก็เป็นสะใภ้ของพี่ ยังไงพี่ก็รักและเอ็นดูเหมือนลูกแท้ๆอยู่แล้วล่ะจ้า”
“ถ้าลูซทำเรื่องอะไรผิดพลาด ก็ต้องให้อภัยแกด้วยนะคะ แกยังเด็ก”
…เด็ก…เด็กตรงไหนวะ!...
นั่นคือประโยคที่เกิดขึ้นในสมองของริว เพราะร่างกายที่เติบใหญ่จนเขานึกหมั่นไส้นั่น ทำให้เขาถามในสมองซ้ำไปมาว่าเจ้าลูซจอมหื่นกามมันเป็นเด็กตรงไหน แต่พอนึกได้ ก็คงจะเป็นที่สมอง ไม่ใช่เด็กธรรมดา แต่เป็นเด็กบ้า!
“ริวจ๊ะ”
ริวสะดุ้งหลุดออกมาจากความคิด เมื่อน้ำเพชรเรียกเขา ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ
“ครับ คุณน้า”
“เรียกน้าอะไรกัน แต่งกับลูกของน้าแล้ว เรียกแม่สิจ๊ะ”
“เอ่อ ครับ คุณแม่”
“น้าต้องฝากริวช่วยดูแลลูซด้วยนะจ๊ะ”
“เอ่อ ครับ”
“แม่ว่าจะให้ลูซอยู่ที่นี่กับลูกสักอาทิตย์หนึ่ง จากนั้นก็ไปฮันนีมูน แล้วก็พาน้องกลับบ้านเรา”
“เอ่อ จะให้เจ้า…เอ่อ จะให้ลูซไปอยู่กับเราที่บ้านเหรอครับ”
“ตาริวนี่ก็ถามอะไรแปลกๆ แต่งกันแล้ว ก็ต้องไปอยู่บ้านเดียวกันสิจ๊ะ ลูกสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”
ริวกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ในขณะที่ลูซยิ้มหวานอย่างมีความสุข เขาหอมแก้มริวไปฟอดใหญ่
“ก็เราเป็นสามีภรรยากันแล้วเนอะริวจัง คิคิ”
เกือบทุกคนบนโต๊ะอาหารแสดงอารมณ์แห่งความสุขอย่างเต็มที่ที่เห็นคู่สามีภรรยาหวานกันขนาดนี้ มีเพียงแต่รินที่สงสารน้องชาย ส่วนริวเองก็อยากจะหลั่งน้ำตาให้ไหลพรากกับความเจ็บช้ำที่เกิดขึ้น
…เขาไม่ได้อยากมีภรรยาเป็นผู้ชายและตัวใหญ่แบบนี้…
“ริวจังกินน้อยจังเลย เดี๋ยวไม่มีแรงน้า”
ลูซตักกับข้าวใส่ในจานของริว ชายหนุ่มอยากจะปัดมือนั้นออก แล้วบอกกลับไปเสียงดังเลยว่า เขาไม่ได้อยากมีแรงสักหน่อย แต่ถึงกระนั้นคำพูดของลูซก็เรียกเสียงแซว จากมารดาว่ามีแรงแล้วจะไปทำอะไรกัน
“โถ่คุณแม่”
ริวได้แต่ตัดพ้อ เขาไม่ได้อยากโดนแซว ในเรื่องที่เขาอับอายจนไม่อยากจะพูดถึง แต่เจ้าสาวข้างๆเขาก็อายเช่นกัน แต่ไม่ได้อายเพราะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี
“คุณแม่ก็…ริวจังต้องมีแรงเยอะๆ ไว้สำหรับความรักของเราสองคน คิคิ”
เจ้าบ่าวตัวเล็กได้แต่กรอกตาไปมา ปล่อยให้ภรรยาตัวใหญ่หัวเราะอย่างเขินอาย โดยที่ตัวเองนั่งบื้อเพราะสมองตีบตันจนคิดอะไรไม่ออก นอกจากความคับแค้นใจ คิดในใจแค่ว่า
…หัวเราะเข้าไปเถอะเจ้ากะเทยโรคจิต อย่าให้ถึงเวลาเอาคืนของฉันบ้างแล้วกัน จะทำให้หัวเราะไม่ออกเลย คอยดู!…
100%
ฝากเพจด้วยจ้า
https://www.facebook.com/akikoneko17fiction/