ใครอยากได้พี่แนท เอาไปเลย....จัดให้แบบเต็มอิ่มเต็มตา************************************
ตอนที่ 30.2 หวานซะ......ผมอาบน้ำเสร็จเดินออกจากห้องน้ำ หน้าตาเบิกบานสุดๆ นั่งเช็ดผมไปในใจก็คิดถึงพรุ่งนี้เช้า ตี่นเต้นจัง.....ก็ชีวิตนี้ผมไม่เคยมีแฟนนี่ครับ มันเหมือนเป็นเดทแรกระหว่างผมกับพี่แนทถึงจะเป็นแค่การเดินเล่นก็เถอะ
ตูจะแต่งตัวยังไงดีถึงจะดูดีเหมาะสมกับพี่เขา เวลาเดินเคียงกันจะจับมือดีไหมหรือเกาะแขนพี่เค้าไปเลย แล้วถ้าเดินไปเอาหัวซบไหล่พี่แนทไปด้วยเหมือนในหนังรักโรแมนติก พี่เค้าจะว่าเราบ้าหรือเปล่า
(ถึงผมเป็นผู้ชาย แต่กลับชอบดูหนังรักโรแมนติกครับ) แล้วถ้า....ถ้า....พี่แนทจูบล่ะ ตูจะทำยังไงถึงจะไม่เป็นลมให้เสียหน้าแบบคราวที่แล้วอีก
ยิ่งนั่งคิดก็ยิ่งดีใจ ยิ่งดีใจก็ยิ่งยิ้มอยู่คนเดียว ยิ่งยิ้มคนเดียวก็ยิ่งเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกที
หน้าผมคงประหลาดมากจนตี๋มันทัก ผมได้แต่ยิ้มไม่ตอบอะไร ไม่อยากให้ตี๋รู้เรื่องผมพรุ่งนี้ครับ กลัวมันจะไปขัดขวางให้เสียฤกษ์ ว่าแล้วก็นอนเลยดีกว่า นอนเยอะๆพรุ่งนี้เช้าหน้าจะได้ใสปิ๊งน่ามองเหมือนผิวเด็ก
ตื่นเช้ามาด้วยหน้าตาที่สดชื่น ผมย่องเข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสียงที่เบาที่สุด แต่ที่ลืมไม่ได้คือแปรงฟันอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก เพื่อให้มั่นใจว่าลมหายใจหอมสดชื่นเมื่อยาม.....จูบกับพี่แนท ถ้าพี่ไม่ยอมจูบเพราะกลัวผมเป็นลมละก็.... ตูนี่แหละจะจูบพี่แนทเอง ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...
เดินออกจากห้องมาที่ล็อบบี้เห็นพี่แนทนั่งรออยู่แล้ว ผมยิ้มให้ พี่แนทขยับตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหาผม
“ไปกันเถอะ อากาศข้างนอกกำลังดี” พี่แนทพูดแล้วยิ้มตอบ เดินนำผมออกจากโรงแรม
พวกเราเดินเคียงกันไปตามทางเท้า ส่วนผมเหรอ...ตามองมือพี่แนท ทำไม.....ทำไมพี่แนทไม่จับมือผมอ่ะ ทีตอนเที่ยวนิวยอร์คนะ ผมไม่อยากให้จับดันมาจับมือเราซะแน่นไม่ยอมปล่อย ไม่เอา.....เค้าอยากเดินจับมือ จะได้ดูเหมือนคู่รักกันไง
หมับ....มือผมไปไวกว่าความคิด ผมจับมือพี่แนททันที พี่แนทหันมามองยิ้มๆแล้วกระชับมือผมตอบ ผมได้แต่อมยิ้ม สุขใจจริงโว้ยยย....โลกนี้มันช่างสวยงาม ตอนนี้เหมือนโลกทั้งโลกเป็นสีชมพูไปหมด
“อาร์ม พี่ดูแผนที่แล้ว มันมีสวนสาธารณะเล็กๆอยู่ห่างออกไปครึ่งไมล์ เราไปแวะซื้อกาแฟที่ร้านสตาร์บัคส์ แล้วไปนั่งกินกันที่สวนสาธารณะดีมั้ย” ดีค้าบบบบ ตอนนี้....ต่อให้พี่พาผมไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหน ผมก็ไปทั้งนั้นแหละ
“ดีครับ อาร์มอยากกินกาแฟปั่น” ผมชอบกินกาแฟแต่ต้องเป็นกาแฟเย็นนะครับ ถ้าเป็นกาแฟร้อนต้องขอบาย
พวกเราเดินเข้าร้าน พี่แนทสั่งกาแฟปั่นให้ผมกับกาแฟร้อนของตัวเอง จ่ายเงินเสร็จพี่แนทไปเข้าห้องน้ำ ส่วนผมไปนั่งรอที่โต๊ะ ตาก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อย ซักพักกาแฟที่สั่งไว้ก็ทำเสร็จ ผมสังเกตว่าร้านนี้อยู่ตรงข้ามโรงพยาบาล มองป้ายเห็นเขียนว่า Hollywood Presbyterian Medical Center มิน่า....คนในร้านบางคนถึงแต่งตัวชุดสครับเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล กำลังดูเพลินๆก็มีคนมายืนข้างตัวแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆผม
“Hi. How are you?” ผมหันมองเห็นชายหนุ่มหน้าเอเชียตี๋ๆ ใส่แว่นกรอบเท่ในชุดสครับถือแก้วกาแฟยิ้มให้ผมอยู่ เฮ้ย.....ผมไม่รู้จักคุณนะ มานั่งโต๊ะเดียวกันได้ไง
โต๊ะอื่นว่างอีกตั้งหลายโต๊ะ แล้วนี่ผมจะตอบยังไงดี ตูพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งนะเฟ้ย
“I….I’m fine. A….and you?” ผมตอบแบบไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่หมอนั่นยังถามต่อ แง....เค้าไม่อยากคุยกับคนแปลกหน้า แถมยังเป็นคนแปลกหน้าที่พูดภาษาอังกฤษอีก
“My name is Edward. You can call me Eddy. Are you from Korea?” หมอนั่นคงสังเกตสำเนียงแล้วรู้ว่าผมไม่ใช่คนที่นี่ แล้วทำไมมาเดาว่าผมเป็นคนเกาหลี สงสัยว่าเราจะหล่อแบบดาราเกาหลี อิ...อิ
“No. I came from Thailand” เค้าพยักหน้าเหมือนรู้ แต่ประโยคที่ตอบกลับมาทำให้ผมฉุน
“Oh… you are from Taiwan” อะไรฟะ ไทยแลนด์กับไต้หวันมันเสียงเหมือนกันตรงไหน (แต่นี่คือเรื่องจริงที่ผู้เขียนเจอประจำค่ะ เวลาบอกฝรั่งว่ามาจากไทยแลนด์แล้วเค้าจะเข้าใจว่าเป็นไต้หวัน ฝรั่งส่วนใหญ่รู้จักอาหารไทยในชื่อ Thai food แต่เค้าไม่รู้ว่า Thai นี่เป็นคำคุณศัพท์ของ Thailand)
“No, not Taiwan. I came from Thailand. Do you know Thai food?” ผมเน้นเสียงตรงชื่อประเทศชัดๆช้าๆ
“Sorry. I really like Thai food. Thai Town is very close to this hospital. What is your name?” โอเคขึ้นมาหน่อยที่ชอบอาหารไทย
“My name is In-Tut or call me Arm” ชื่อจริงผมคือ อินทัช แปลว่าเกิดจากผู้ยิ่งใหญ่ ส่วนพี่โอมชื่อ อิทธิกร เวลาผมสะกดชื่อภาษาอังกฤษตัวเอง ผมไม่ใช้คำว่า In-Touch เพราะฝรั่งจะออกเสียงชอช้างตัวหลังชัดมาก ฟังแล้วมันไม่เหมือนชื่อผมยังไงไม่รู้
“In-Tut. It’s a nice name. In Thailand, there are a lot of beautiful places. Thai people are very nice. Someday, I will go to Thailand.” รู้สึกปลื้มครับเวลามีคนชมประเทศไทย เลือดรักชาติมันฉีดพล่านไปหมด
“Yes, there are several beautiful beaches in the south of Thailand.” ผมพูดแบบพยายามโฆษณาประชาสัมพันธ์ประเทศไทยเต็มที่ ถึงแม้จะไม่อยากพูดอังกฤษ แต่พอเป็นเรื่องเมืองไทย ไม่ได้แล้ว...ขอพูดหน่อยเหอะ
“I’ve heard about that. This is my business card. You can contact me any time. Do you have any email or phone number?” ผมเอื้อมมือไปรับนามบัตร มองดูชื่อเห็นเขียนว่าเป็นหมอซะด้วย ผมกำลังอ้าปากจะตอบก็รู้สึกว่ามีมือมาจับไหล่ เงยหน้ามองเห็นพี่แนทหน้านิ่งขรึมเชียว
พี่แนทหันไปทางหมอนั่น แล้วพูดภาษาอังกฤษใส่ สองคนพูดกันไฟแลบจนผมจับความไม่ได้ ซักพักเห็นหมอนั่นมองมาทางผมดูหน้าจ๋อยๆเดินออกจากร้านไป พี่แนทหยิบแก้วกาแฟแล้วจับมือผมเดินออกมา ผมเดินเคียงพี่แนทไปเรื่อยๆจนถึงสวนสาธารณะ หาม้านั่งได้พวกเราก็นั่งลง พี่แนทจิบกาแฟไปเงียบๆ ตั้งแต่ออกจากร้านพี่แนทไม่พูดอะไรเลย บรรยากาศดูเครียดๆยังไงไม่รู้
“พี่แนท เป็นอะไรครับ ไม่พอใจอะไรอาร์มหรือเปล่า” ผมถามพร้อมกุมมือพี่แนท
“นี่อาร์มไม่รู้จริงๆเหรอ” อ้าว....ถ้ารู้ ผมจะถามเหรอ ผมส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้ พี่แนทถอนหายใจแล้วพูดต่อ
“อาร์ม ไปคุยกับคนแปลกหน้าแบบนั้นได้ไง แล้วไปรับนามบัตรมาอีก ไหนพี่ขอดูหน่อยซิ” ผมยื่นนามบัตรให้พี่แนท
“Edward Wang หึ...เป็นหมอศัลยกรรมซะด้วย” พี่แนทดูชื่อ แล้วหันมามองผม เอื้อมมือมาหยิกแก้มผมเบาๆ
“เรานี่มันเสน่ห์แรงจริงๆ พี่ไปเข้าห้องน้ำแป๊บเดียวเอง คนก่อนหน้าพี่เข้านานมากมันเลยนานไปหน่อย ไม่งั้นไอ้หมอนั่นไม่ได้มาเจ๊าะแจ๊ะอาร์มแบบนี้หรอก” อะไรนะ....หมอนั่นมาจีบผมเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย
“พี่แนทคิดมากไปหรือเปล่าครับ เค้าแค่มาถามเกี่ยวกับเมืองไทยเฉยๆเองอ่ะ” ผมพยายามค้านเบาๆ เพราะไม่อยากให้กลายเป็นว่าผมเถียงพี่เขา
“พี่มองตาก็รู้แล้วว่ามันคิดยังไง ผู้ชายด้วยกันดูออก สงสัยต่อจากนี้ถ้าอาร์มไม่อยู่กับแมนดี้กับตี๋ พี่ต้องตามประกบไม่ให้คลาดสายตาซะแล้ว” พี่แนทยิ้มให้แล้วกุมมือผมแน่นเข้า
“แล้วพี่แนทพูดอะไรกับหมอนั่น ทำไมถึงดูหน้าจ๋อยๆออกจากร้านไปเลย ไม่พูดลาอาร์มด้วย” ผมถามแบบอยากรู้
“ตอนแรกพี่บอกว่าอาร์มเป็นคู่หมั้นพี่ แต่มันไม่เชื่อเพราะพี่กับอาร์มไม่ได้สวมแหวนที่นิ้วนาง พี่เลยบอกว่าเรากำลังจะหมั้นกันพรุ่งนี้เลยมาเที่ยวฉลองกันล่วงหน้า มันฟังแล้วเลยจ๋อยไปเลย” โอ๊ยยย.....พี่แนทบอกว่าผมเป็นคู่หมั้น ควรจะดีใจมั้ยเนี่ย
“นี่ยังดีนะ ที่พี่ไม่บอกไปว่าอาร์มเป็นเมียพี่” พี่แนทพูดพร้อมทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่
ย๊ากก....ว่าไงนะ ผมไม่ยอมเป็นเมียหรอก ตูจะรุก....จะเป็นผัวโว้ยยย
ผมทุบต้นแขนพี่แนทแรงๆหนึ่งทีจนพี่แนทร้องโอ๊ย รีบเอามือมาจับมือผมไว้กันผมทุบต่อ
“นี่...ทุบมาได้ซะแรง มานี่เลย...มาให้พี่กอดเพื่อเป็นการปลอบใจพี่ซะดีๆ” พี่แนทพูดแล้วคว้าตัวผมเข้าไปกอด ผมก็ดีดดิ้นพอเป็นพิธีเล็กน้อย ไม่ได้ครับ.....มันต้องมีมารยานิดหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าเราง่ายไป
อยู่ในอ้อมกอดพี่แนทแล้วรู้สึกอบอุ่นจังเลย วันนี้ไม่ได้กลิ่นโคโลญจ์อันทรงพลังนั่น กอดกันนิ่งซักพักก็ไม่เห็นว่าพี่แนทจะทำอะไรต่อ ผมเลยแหงนหน้ามอง เห็นไรหนวดเขียวที่เพิ่งผ่านการโกนแล้วอดใจไม่ไหว เลยจูบคางพี่เค้าไปเบาๆหนึ่งที พี่แนทก้มมองตาผมแล้วยิ้มให้ แต่ก็ไม่ทำอะไรต่อ จนผมทนไม่ไหว
“พี่แนท....”
“ครับ”
“พี่แนท.....” ผมเรียกแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ
“ทำไมครับ เรียกชื่อแล้วไม่พูดอะไร”
“พี่แนท.....ไม่อยากจูบอาร์มเหรอ” ผมดันตัวออกมามองหน้าพี่ พร้อมส่งสายตาแป๋วแหววใสซื่อให้
พี่แนทฟังแล้วหัวเราะเบาๆ
“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวอาร์มเป็นลม ขี้เกียจอุ้มกลับโรงแรม นี่มันตั้งไกล พี่อุ้มไม่ไหวหรอก” พี่แนทยิ้มล้อๆให้ผม
“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้พี่ไม่ได้ใส่โคโลญจ์มา ผมคงไม่เป็นลมหรอก” ผมพูดไปตามที่คิด
“อะไรนะอาร์ม อาร์มจะบอกว่าที่เป็นลมเพราะแพ้กลิ่นโคโลญจ์เหรอ สงสัยกลิ่นจะฉุนมาก รู้แบบนี้วันหลังพี่จะได้ไม่ใช้อีก” พี่แนทพูดหน้าตาจริงจัง โถ่พี่....กลิ่นมันออกจะดี แต่มันกระตุ้นอารมณ์หื่นผมมากไปหน่อยแค่นั้นเอง
“ก็....ก็ประมาณนั้นอ่ะครับ แต่วันนี้น่าจะโอเคนะ” ผมพยายามโน้มน้าวต่อ
“อย่าเลย พี่ไม่แน่ใจหรอก” โถ่พี่....ผมบอกไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง
“พี่แนท คิสหน่อย” ผมไม่สนใจแล้ว รวบรัดตัดความ หลับตายื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆหน้าพี่แนท คนเราจะคิดทำอะไรมันต้องมุ่งมั่น ผมอุตส่าห์เตรียมตัวเตรียมใจมาแก้มือเต็มที่แล้ว ต้องทำให้บรรลุเป้าหมายให้ได้ แต่แทนที่พี่แนทจะจูบที่ปากดันไปจูบที่หน้าผากซะได้ ผมลืมตามองทันที
“หึ.หึ..อย่าทำท่าทางแบบนี้กับใครนะครับพี่หวง อาร์มไม่ต้องห่วงเรื่องจูบหรอก อีกหน่อยพี่จะทำมากกว่าจูบอีก” พี่แนทส่งสายตาเป็นประกายให้ผม
เอายังงั้นก็ได้ฟะ ไว้ค่อยแก้ตัวโอกาสหน้าก็ได้
***************************************