ต้องบอกก่อน คอมเมนท์นี้มันจะไม่เกี่ยวกับวรรณกรรมเรื่องนี้เลยนะครับ แต่เกี่ยวกับทักษะการประพันธ์ของคุณนิกิริ ซึ่งผมไม่รู้จะไปเขียนลงตรงไหนน่ะครับ (ฮา) เลยขออนุญาตคอมเมนท์ตรงนี้แล้วกัน
อาจจะมีคนงง ว่าทำไมผมถึงไม่เคยคอมเมนท์ในนิยายเรื่องของคุณนิกิริเลย ทั้งที่ตัวเรื่องมันดีและน่าสนใจขนาดนี้
อันนี้ต้องเท้าความก่อนครับ ผมเคยอ่านเรื่องของคุณนิกิริตั้งแต่สมัยเรื่อง Revenge ในเด็กดีเลยล่ะครับ (ผมจำได้ว่ามันมีอีกเรื่องด้วยนะ ที่พระเอกชื่อไฮท์ แล้วตัวนางเป็นกึ่งๆเจ้าของผับน่ะครับ) ถ้านับเวลาก็ตั้งแต่สมัยโพ้นทะเล (ฮา) แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเริ่มอ่านวรรณกรรมหลากหลายขึ้น เนื่องจากมีคำแนะนำจากญาติสตรีผู้อายุเท่ากันคนหนึ่งครับ คุณนิกิริน่าจะคุ้นชื่อเธอคนนั้นพอดู
ถ้าถามส่วนตัว ผมว่าคุณนิกิริมีพรสวรรค์การเขียนที่หาตัวจับได้ยาก ในด้านของการบรรยายและการเค้นอารมณ์ของตัวละครผ่านการบรรยายนะครับ อย่างเรื่อง Revenge กับอีกเรื่องที่บอกนั่นน่ะครับ สมัยที่ผมอ่านครั้งแรกนี่น้ำตาตกใน แถมอีกเรื่องก็พริ้มเพรามากๆ ตัวละครเด่นชัดทะลุมิติ รับรู้เลยว่าคุณนิกิริค่อนข้างตั้งใจปั้นออกมามาก ประทับใจมากครับ ตั้งแต่นั้นผมก็เริ่มตามอ่านผลงานคุณนิกิริครับ แต่ตั้งแต่หลังเริ่มคลอด We have 2 daddies กับเริ่มซีรีย์ Sins ผมก็เริ่มสะกิดใจกับระบบการวางเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างน่าสะดุดใจของคุณนิกิริครับ
กล่าวกันง่ายๆ คือ ผมว่าระบบการพล็อตของคุณนิกิริ เริ่มที่จะเอนเอียงไปยังมุมมองที่พยายาม ‘ฉีก’ กรอบของตัวละครหรือการวางคู่แบบเดิมๆออกไป ให้เข้าสู่เสรีนิยมของรสนิยมทางเพศต่างๆ (เช่น Incest จากโทนเรื่องเพื่อนสนิทที่รักกัน, Moderate Age-gap จากโทนเรื่องอบอุ่น, Threesome และเป็นแนวข่มขืน) อันนี้ผมว่าผมพอเข้าใจ มันเป็นมุมมองนักจิตวิทยาที่อยากให้คนทั่วๆไปได้เห็นภาพ ‘อีกมุม’ ของวรรณกรรมทั่วๆไปที่สะท้อนออกมา มันเป็นการพยายามฉีกประเพณีเดิมๆของการแต่งพล็อตและทำให้มีความหลากหลายในแง่ของวรรณกรรมมากขึ้น ให้คนรับรู้และเริ่มมองเห็นรสนิยมทางเพศที่หลากหลายโดยที่อาจจะ ‘ไม่ผิด’ ตามแนวคิดมนุษย์
แต่ประเด็นคือเมื่อมาแตะหลายๆอย่างรวมเข้า สำหรับผม แม้เนื้อเรื่องจะอ่านลื่นไหล บรรยายเรียบลื่น คาแรกเตอร์เต็มไปด้วยมิติก็จริง แต่มันกลับไม่น่าสนใจอย่างที่ผมคิดไว้ อาจเป็นเพราะว่าเนื้อเรื่องขาด ‘Guideline’ ที่ดีครับ
ไกด์ไลน์ที่ดี ในที่นี้หมายถึง Goodness ในเชิง Basic morality ที่จะควบคุมความประพฤติของสังคมได้ คุณนิกิริเองก็น่าจะทราบดีว่าวรรณกรรมของคุณนิกิริหลายๆเรื่องเป็นสิ่งที่สามารถทำให้ ‘เกิดได้’ ในความเป็นจริงครับ เนื่องจากว่าคุณสร้างนิยายขึ้นมาสมจริงจนน่ากลัว การฉีกพื้นพล็อตที่เป็นเนื้อหาแนวสรรค์สร้างสังคมให้มุ่งมาทางพล็อตโลกมืดที่ดูหมิ่นเหม่และผิดจริยธรรม ในมุมนึง มันก็เป็นอะไรที่น่าอ่านดีสำหรับเราที่แยกแยะและพินิจพิเคราะห์ได้ แต่ในมุมผม มันน่ากลัวถ้าจะให้เด็กอ่านครับ ในแง่ที่ว่าเรามองเรื่องหลายๆเรื่องของคุณนิกิริเป็นวรรณกรรมเยาวชน และผู้อ่านคือเด็กที่ยังไม่มีวัยวุฒิ และเขามีภาวการณ์รับรู้ตามแนวคิดของจอห์น ล็อค (แน่นอน คุณนิกิริสามารถแย้งได้ว่าสมมุติฐานของรุสโซอาจจะเหมาะสมกว่าในแนวคิดของคุณ)
ยกตัวอย่างเช่น ซีรีย์ Sins – envy เรื่องนี้มันมีพล็อต ‘ทั่วไป’ ในการแอบรักเพื่อนเป็นพล็อตที่ดูเหมือนจะเป็นพล็อตหลัก แต่เรื่องกลับพลิกโผเพื่อดึงประเด็นให้กลับเข้ามาสู่แนวคิด Incest ในช่วงแรก ซึ่งตรงนี้เป็นการ Struggling เชิงความคิดที่ดีนะครับในความคิดผม มันทำให้คนที่ถูกกรอบจริยธรรมแบบหนักๆตีมาตลอดได้ตระหนักว่าอะไรคือสิ่งที่ ‘ถูกกีดกัน’ โดยที่อาจจะไม่ได้เลวร้าย ซึ่งเป็นการสะท้อนภาพเชิงเสรีนิยมที่น่าสนใจดี
แต่มันไม่ดีถ้าจะให้เด็กๆวัยมัธยมหรือประถมปลายมาอ่านครับ เพราะมันจะทำให้เขา ‘ขาด’ กรอบทางจริยธรรมไปเลย เนื่องจากเนื้อเรื่องและตัวพล็อตมันค่อนข้างหมื่นเหม่มาก รวมถึงเรื่องแบบ Sloth หรือ Lust ก็เป็นจุดบีบคั้นเชิงจริยธรรมที่สำหรับผม เพราะมันอาจจะไม่ผิดในเชิง Liberal morality ก็ได้ แต่มันผิดเต็มๆในแง่ของ Goodness morality (ซึ่งนี่สะท้อนความเป็นไปของโลกสมัยใหม่ที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพจิตมนุษย์) ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะจบแบบ Happy Ending ก็เถอะครับ แต่การจบแบบดีโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของพรอบการฉีกพล็อตของความดีงามสังคมและการจรรโลงจินตนาการเด็ก สำหรับผม เป็นอะไรที่สุดโต่งไปนิดหนึ่ง เพราะมันเหมือนทำให้เด็กสรุปว่า โลกนี้ไร้ซึ่ง ‘กฎเกณฑ์’ ที่จะใช้ในหลายๆเรื่อง นี่เป็นจุดที่ผมว่ามันสร้าง disturbance ในกระแสความคิดของเยาวชน และอาจทำให้เกิด chaotic behavior ได้ในอนาคต ผมเลยรู้สึกว่ามันไม่ค่อยน่าชื่นชมเท่าไหร่ในสายตาผมนะครับ
แม้แต่เรื่องอบอุ่นอย่าง We have 2 daddies ผมว่าผมสัมผัสไม่ได้ถึงความหนักแน่นในพื้นฐานการสร้างข้อสรุปอย่าง ‘ความรักและความสัมพันธ์’ ของครอบครัว ที่อยากจะพัฒนาให้แน่นแฟ้นขึ้น และก้าวข้ามในเรื่องของปมทางจิตวิทยาที่เด็กจะมีขึ้นในอนาคตนะครับ (ผมเห็นแต่ความหื่นกามของคุณพ่อฝรั่ง กับแนวคิดมดแดงแฝงต้นมะม่วงอะไรก็ไม่รู้ของเพื่อนรุ่นพี่ตัวนาง)
ผมคิดว่าแนวคิดของคุณนิกิริในด้านนำเสนอพล็อตที่แหวกแนวเป็นอะไรที่น่าสนใจมากนะครับ แต่ขาดกลยุทธ์ในการนำเสนอพล็อตด้านมืดโดยคงจริยธรรมที่ดีไว้ในตัวเรื่องเอาไว้ ถ้าปรับตรงนี้ได้มันก็คงน่าสนใจและสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นหนังสือแนะนำ เพราะส่วนตัวผมคิดว่าเราควรทำความเข้าใจกับทุกแนวคิด แต่สำหรับแนวการกระทำหรือแนวคิดที่ผิดต่อจริยธรรมอันดีต่อการขับเคลื่อนสังคม มันก็ควรที่จะได้รับผลลัพธ์ที่สาสม และควรถูกชี้แนะว่าเป็นสิ่งที่ ‘ไม่ควรทำ’ ผ่านการบรรยายในวรรณกรรมทุกรูปแบบ ไม่ว่าคุณจะมีแนวคิด morality ในเชิงไหนก็ตามน่ะนะครับ มีเรื่องนึงในเล้าที่ทำตอนจบและสร้างข้อสรุปออกมาได้ดีระดับหนึ่งเลย คือเรื่อง ‘กรงรัก’ ของคุณ MilkTea ครับ
หรือไม่อย่างนั้น ก็ต้องสร้างวรรณกรรมโลกสว่างแบบหนักๆขึ้นมาเลยหลายๆเล่มเพื่อเป็นตัวเปรียบเทียบกับการดึงเข้าพล็อตโลกมืดในหลายๆเรื่องที่ผ่านมาครับ (แม้แต่ Revenge เอง ผมว่ามันก็พล็อตโลกมืด) ประเด็นนี้ผมว่าทำยาก เพราะมันต้องเป็นตัวบ่งบอกว่าการเจริญรอยตามพฤติกรรมโลกมืดมันไม่ใช่เรื่องดี และต้องไม่ใช่การนำเสนอแบบโลกสวยเหมือนนิยายน้ำเน่าโบราณด้วย ต้องเป็นการนำเสนอข้อสรุปเชิงพฤติกรรมความดีจะนำพาสังคมพัฒนา ผ่านพล็อตที่ไม่ใช่พล็อตโบราณ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยากครับ
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณคุณ Grey Twilight ที่เข้ามาให้คำแนะนำติชมมากๆค่ะ อย่างไรขอตอบเป็นข้อๆดังนี้
1. ขอขอบคุณสำหรับคำชมในแง่ของการเขียนนิยายที่ว่ามีพรสวรรค์ 555+ ไม่เคยคิดว่าตัวเองมีเลย แค่เขียนเล่นๆไปตามเรื่องเท่านั้น การเขียนนิยายเกิดจากการเขียนตามใจ เขียนขำๆ ตอนเริ่มต้นไม่ได้คาดมาก่อนว่าจะมีนักอ่านเข้ามาสนใจ และนั่นทำให้จุดประสงค์ในการเขียนเรื่องทั้งหมดมีเพียงแค่ เขียนเอามัน เท่านั้น ส่วนที่ว่าเขียนเรื่องได้สมจริงจนน่ากลัว อันนี้ต้องขอแย้งหน่อยว่า พอเปิดเรื่องมา มันก็ดูละครจ๋าแล้ว
2. พระเอกชื่อไฮท์ กับนายเอกเป็นกึ่งเจ้าของผับ เรื่องนี้ไม่เคยเขียนเลยจ้า
3. ตามความเข้าใจของคุณ Grey Twilight เรื่องนิยายหลังจาก Revenge เป็นต้นมานั้นถูกต้องเป็นอย่างมาก คือพยายามทำอะไรให้ไม่เหมือนเดิม อยากจะลองเขียนอะไรหมิ่นเหม่ดูบ้าง (แต่มันออกมาแนวน้ำเน่าเป็นบ้า) บางเรื่องก็รู้สึกอยากจะลบให้หายไปจากโลกนี้ 555+ ซึ่งคิดว่าคงทำแน่ ทั้งนี้ การเขียนแต่ละเรื่องมันก็ขึ้นกับช่วงความคิด ณ ขณะนั้น แต่ส่วนใหญ่คือ เขียนขำๆ เขียนเอามัน ไม่ได้นึกเป็นอื่นไปว่านิยายพวกนี้จะมีผลกระทบหรือไม่
4. โดยข้อสรุปที่เสนอมา เราเข้าใจว่าคุณ Grey Twilight อยากให้มีการปรับปรุงในเรื่องของบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด ซึ่งจากเรื่องที่เขียนๆมาได้มีการลงโทษตัวละครไว้แล้วในรูปแบบต่างๆ อย่างเช่น
- Lust ทุกคนที่มีบาปราคะจะไม่มีใครมีความสุขสักคน ทั้งนายเอกที่มีสองคู่ ทั้งตัวลูกที่กล้าหักหลัง ทั้งตัวพ่อที่ไม่ยืดหยุ่น
- Sloth เป็นบาปของการไม่ยอมเปลี่ยนแปลงของพระเอก อันนี้ค่อนข้างเบา เป็นการนำเสนอในด้านของการดูแคลนทางชนชั้นที่แตกต่าง
- แต่ตัวที่ถูกลงโทษคือนายเอกของ Spe : Sloth ซึ่งมีการใช้ความรุนแรงในหลายด้าน และยอมรับว่าในแง่ของการข่มขืนนั้นเป็นเรื่องที่หนักมาก ทั้งนี้เนื้อเรื่องแก้ไขไม่ได้ ทำได้แต่เพียงการลบฉากรุนแรงออกไปจากเว็บสาธารณะ และนำไปสู่การปรับปรุงว่าในอนาคตจะต้องไม่ให้มีฉากนี้เกิดขึ้นอีก
- Wrath บาปโทสะ ที่มีนายเอกเป็นผู้ดำเนินเหตุการณ์ ตอนท้ายเรื่องก็คือบทลงโทษ แต่เป็นในระดับของคนที่รู้สำนึกและต้องการปรับปรุง แต่สำหรับตัวละครที่ไม่รู้สำนึกก็จะมีจุดจบต่างออกไป
- Envy จุดนี้ไม่แน่ใจตรงแนวคิด incest เพราะสองตัวละครไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่มีความผูกพันใกล้ชิดกันในฐานะครอบครัวเพราะเลี้ยงมาด้วยกัน แต่ในกรณีของนายเอกที่มีความผิดในเรื่องใดก็ตาม ก็ไม่ได้เขียนให้มีความสุขไปวันๆ
- Greed คิดว่าเรื่องนี้น่าจะเบาที่สุดในบรรดา sins เป็นช่วงที่เรามีความคิดไปในอีกรูปแบบ จากการเขียนเอามัน เป็นการเขียนที่พยายามจะสื่ออะไรสักอย่างออกมาผ่านพฤติกรรมของนายเอก ซึ่งบางครั้งเราก็คิดว่ามันดูดีผิดรูปแบบมนุษย์ไปหน่อย แต่ก็น่าจะพอถูไถไปได้บ้าง
5. เรื่องแต่ละเรื่อง พยายามจะนำเสนอแง่มุมในส่วนอื่น โดยเน้นหนักที่ คนทุกคนล้วนมีเหตุผลของการกระทำ ทั้งนี้ขึ้นกับว่าผู้ชมจะมองมุมไหน จะให้โอกาสได้กลับตัวกลับใจ และมีความสุขในชีวิตอีกครั้งหรือไม่ สำหรับเรา..เราให้โอกาสสำหรับผู้ทำความผิดแล้วกลับใจใหม่ แต่ถ้าใครไม่ปรับปรุงตัว ก็จะไม่มีโอกาสให้ครั้งที่สอง นอกจากนี้เราพยายามจะสื่อในมุมที่ว่า ในชีวิตประจำวัน เราไม่สามารถรับรู้ตัวตนของคนตรงหน้าเราได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นกับบางเรื่องอย่าเพิ่งด่วนตัดสินด้วยสภาพภายนอก เช่น คนที่ยอมขายร่างกายตัวเอง คุณมองเขาอย่างไร มองว่าเขาชั่วช้าสารเลว ผิดจารีตสังคม ทำให้จริยธรรมเสื่อมทรามหรือไม่ บางคนอาจทำเพราะไม่สนอะไร บางคนอาจทำเพราะความจำเป็น ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่จะบอกว่าเรารับรู้เหตุผลของเขาได้ไม่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งตัดสินจากผิวหน้าที่ได้เจอ วางใจให้เป็นกลาง นี่คือการลองค้นหาความดีในตัวคนคนหนึ่งโดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อแม้ใดๆมาเป็นอคติ
6. เรื่อง we have 2 daddies เป็นการเขียนเอาสนุกโดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงอะไรมาก ตั้งแต่การเลี้ยงดูลูกของสองครอบครัว พัฒนาการตามวัย สิ่งที่เด็กจะต้องเผชิญ ไม่ได้ไปคำนึงตรงส่วนนั้น ตรงนี้เราตีความจากนิทานภาพของฝรั่งเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านมา เขาพยายามสื่อว่าการมีพ่อสองคนไม่ใช่เรื่องผิดแผก และในนิทานภาพที่เคยอ่านก็ไม่ได้นำเสนอความรู้สึกแปลกแยกหรือน่าอายให้กับเด็ก ไม่ได้นำเสนอว่าเด็กจะผ่านเรื่องมีพ่อเป็นเกย์มาได้อย่างไร แค่พยายามสะท้อนให้สังคมมองครอบครัวที่มีพ่อสองคนว่าเป็นเพียงเรื่องทั่วไป ซึ่งเราก็คิดว่ามุมนี้มันดี แค่ให้เรื่องมันเป็นสามัญธรรมดาก็พอแล้ว อย่างไรก็ตาม เราเองก็มองเห็นว่าจุดบอดของเรื่องนี้คืออะไร เลยอยากจะเขียนเรื่องใหม่ขึ้นมาเพื่อนำเสนอความรักและความผูกพัน ปัญหาในครอบครัว ปัญหาของเด็กในแต่ละช่วงวัยที่พ่อๆต้องช่วยกันรับมือ และหวังว่าจะสามารถเขียนเรื่องนี้ออกมาได้ดีกว่า we have 2 daddies
7. ในแง่ของการขาดกรอบทางจริยธรรม ตอนเขียนขึ้นมา เราไม่ทันได้คิดและไม่ทันได้เป็นห่วง เนื่องจากเหตุผลดังนี้
- เราเขียนเอามัน เขียนขำๆ เหมือนเขียนอ่านเองแล้วลงเว็บสักหน่อย เผื่อมีคนชอบอ่าน จนละเลยเรื่องความรับผิดชอบในแง่ของการเป็นผู้เขียน
- นิยายของเราไม่ใช่วรรณกรรมเยาวชนที่จะเปิดกว้างสู่สาธารณะจนมีเยาวชนเข้ามาอ่านกันมากมาย มันคือนิยายวายที่มีกลุ่มคนอ่านเฉพาะกลุ่ม เราเลยไม่ได้คิดเผื่อว่าถ้าเยาวชนมาอ่านจะเป็นยังไงต่อ
- โดยส่วนตัวเรามองว่าการที่นิยายจะส่งผลต่อความคิดได้ถึงขนาดนั้น น่าจะเกิดกับเด็กเล็กที่ยังไม่มีการพัฒนามโนธรรม คุณธรรม จริยธรรม วิจารณญาณได้ดีพอ แต่ทีนี้เนื้อเรื่องของเราส่วนใหญ่ ผู้อ่านมักเป็นคนที่อายุ 18-44 ปี กว่า 90% จากสถิติในเพจ (ต้องยอมรับว่าเนื้อเรื่องโทนนี้ ไม่เป็นที่นิยมของเด็กวัยน้อยกว่านี้) เราเลยไม่ห่วงอะไรเลย ขีดเขียนตามใจอย่างเต็มที่
- จากด้านบน เราคิดว่าทุกคนมีประสิทธิภาพในการแยกแยะระหว่างโลกนิยายกับโลกของความเป็นจริงออกจากกันได้แม้ว่าจะผ่านการเสพสื่อดังกล่าวซ้ำแค่ไหน คือถ้าเรารู้ตัวว่าเขียนนิทานให้เด็กอนุบาล เราก็จะไม่เขียนโทนนี้ออกมาน่ะค่ะ แต่อันนี้รู้อยู่แล้วว่าคนอ่านเราคือกลุ่มนี้ วัยขนาดนี้ ถ้าเราคนเขียนมีวิจารณญาณพอ ผู้อ่านก็น่าจะมีด้วยแค่นั้นเอง ดังนั้น ถ้าให้คำนึงว่า การอ่านนิยายที่ตัวนายเอกคบชู้ จะทำให้กรอบจริยธรรมผู้อ่านเอนเอียงไปว่า สงสัยเราเองก็น่าจะลองมีชู้ได้ เราคิดว่ามันไม่น่าจะส่งผลกันได้ถึงขั้นนั้น มันน่าจะมีอะไรที่เป็นปัจจัยส่งผลมากกว่านิยายวายไม่กี่เรื่อง
- ตัวละครมีบทลงโทษของมันอยู่แล้วตามแต่ความรุนแรงที่ทำ ถ้าลองพิจารณาและไม่ได้โฟกัสแต่เรื่องความผิดที่กระทำก็จะมองเห็นอารมณ์ที่ดิ่งลง ไม่ได้ทำผิดแล้วลอยนวล ถ้าคบชู้แล้วลอยหน้าลอยตามีความสุข ถ้าข่มขืนแล้วไม่รู้สึกผิด จะโกรธจะแค้นใครขึ้นมาแล้วสามารถทำได้เลย มีความสุข ไม่มีความทุกข์เลย ก็ไม่ใช่ มันจะมากน้อยก็มีบทลงโทษ อย่างน้อยก็คือ guilt ในใจของตัวละครก็ยังมี เราเลยไม่ได้มองว่ามันขาดจุดที่เป็นจริยธรรมอันดีมากขนาดนั้น แต่โอเคตรงนี้ที่ว่าบางเรื่องอย่างเช่น spe-sloth เรายอมรับว่าบทลงโทษมันไม่หนักมากพอที่จะเอาไปให้คนอื่นอ่านแล้วรู้สึกว่าสาสมได้ ถ้าสาสม จะต้องมีการแจ้งความจับพระเอกเข้าคุกและท้ายสุดคือไม่ได้กันไปแล้ว
ทั้งหมดที่ว่ามา คือเหตุผลที่ว่า ทำไมเราเขียนเรื่องแบบไม่สนใจอะไร ไม่ได้กลัวเกรงอะไรเลยว่าจะมีผลกระทบกับใครไหม
อย่างไรก็ตาม เราเข้าใจในสิ่งที่คุณ Grey Twilight ต้องการจะสื่อว่า ‘ถ้าหากมีเยาวชนมาอ่าน จะทำอย่างไร’ เราขอน้อมรับความเห็นนี้มาปรับปรุงการเขียน เพราะเราเองก็อยากจะมีวันที่สามารถยื่นนิยายตัวเองให้คนรู้จักอ่านได้โดยไม่เคอะเขินเหมือนกัน
ถ้าหากลองสังเกตเรื่องหลังจากนี้ อาจจะพบว่านิยายเราซอฟท์ขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันผ่านช่วงอยากจะสาดสีใส่ผ้าใบเพื่อละเลงให้สะใจมาแล้ว และก็คิดว่าเราควรพัฒนาการเขียนให้มันมีอะไรขึ้นมาเสียที ดังนั้นข้อเสนอแนะของคุณ Grey Twilight เราก็พร้อมจะนำไปใช้ต่อยอดค่ะ ส่วนเรื่องอื่นๆที่ผ่านมา เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราก็จะลบมันทิ้งเหมือนกัน เหมือนไม่เคยเขียนเรื่องนั้นๆขึ้นมาเลย คงเหลือไว้แต่เรื่องที่พอจะนำเสนอต่อที่สาธารณะได้อย่างภูมิใจ แบบนั้นจะทำให้เรารู้สึกโอเคกับมันมากกว่า
ขอขอบคุณอีกครั้งค่ะ ^^