Chapter 28
แดดช่วงบ่ายคล้อยลง แสงสีส้มเรื่อตัดกับสีม่วงอมแดงบนท้องฟ้าสะท้อนลงคลื่นน้ำที่ไหวกระเพื่อม ลมพัดโกรกตลอดแนวชายฝั่ง ได้กลิ่นไอเกลือและกลิ่นอากาศบริสุทธิ์จากท้องทะเล
กนธีนั่งขัดสมาธิอยู่บนสันเขื่อน ตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมในไอแพดกระทั่งผ่านไปได้ชั่วโมงกว่า
“พอได้แล้วครับ สายตาเสียหมด” อินทัชที่นั่งเงียบๆ มีหน้าที่คอยส่งหัวใจให้พูดท้วง “ถ้าจ้องหน้าจอนานๆติดต่อกันทุกวัน ผักบุ้งเป็นกระสอบก็คงจะเอาไม่อยู่”
เขากลั้นขำพลางบิดขี้เกียจ ปิดล็อกหน้าจอแล้วฝากเด็กเอาไอแพดไปเก็บไว้ในห้อง ตอนที่อินทัชเดินกลับมา เขาเห็นพี่กุนต์นั่งคลึงขาตัวเองอยู่ ได้ยินเสียงบ่นพึมพำว่าเหน็บกิน
“ผมนวดให้”
กนธีดึงขากลับ โบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องๆ พี่ทำเองได้” เขาไม่ชอบการชี้เท้าหรือขาไปที่ใคร คงเพราะเป็นคนโบราณล่ะมั้ง เลยมองว่าเท้าคือของต่ำ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นลูกน้อง เป็นเด็กเล็ก หรือแม่บ้าน เขาก็ไม่เคยให้มาคุกเข่าบีบนวด
..เพราะฉะนั้นเลยอดจะอึ้งไม่ได้ ที่เจ้าโอ๊ตมันทั้งจูบเท้าและยกขาเขาขึ้นพาดบ่า..
คิดมาถึงตรงนี้ กนธีก็หน้าร้อนผ่าว เขาทรงตัวขึ้นยืนแล้วเดินง่อกแง่กลงไปที่หาดข้างล่าง อย่างน้อยก็ขอทำหน้าตาให้เป็นปกติสักหน่อย ประเดี๋ยวจะมองเด็กมันตาเยิ้มไปมากกว่าที่เป็น
บริเวณชายฝั่งด้านหนึ่งของรีสอร์ท ทางเจ้าของก่อแนวหินเอาไว้เป็นรูปสี่เหลี่ยม พอน้ำทะเลซัดเข้ามาก็จะขังอยู่ภายใน เป็นเหมือนสระว่ายน้ำตามธรรมชาติ เขาเล็งเอาไว้ว่าอยากจะไปนั่งแช่ตั้งแต่ขามาแล้ว
“พี่กุนต์จะไปไหน” อินทัชเดินตาม
“ไปนั่งเล่นตรงนู้น” กนธีบอก “อยากลงแช่น้ำ”
“เอามือถือออกมาจากกางเกงก่อนพี่ ไม่ต้องไปอาบน้ำให้มัน”
เขาหัวเราะร่วน เพิ่งนึกได้ว่ามีโทรศัพท์ในกระเป๋าเลยส่งให้อีกฝ่าย “ทำไมพักนี้ขี้ลืม”
“ผมบอกแล้วว่าพี่ต้องกินกิงโกะ” อินทัชย้อนกลับไปที่ห้องอีกครั้งพร้อมกับหยิบมือถือตัวเองไปวางไว้ตรงหมอนด้วย ถ้าพี่กุนต์ลงน้ำ เขาก็จะได้ลงเหมือนกัน
กนธีค่อยๆไต่ไปตามแนวหินที่ก่อเป็นทางเดินแคบ พอหย่อนตัวลงไปนั่ง หมาไทยหลังอานจากไหนไม่รู้ก็วิ่งฉิวเข้ามาแล้วกระโดดลงสระตาม มันทิ้งตัวเสียงดังตูม น้ำกระเด็นใส่หน้าเขาที่นั่งเล่นอยู่
ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจ มองมันเดินวนเวียนในสระแล้วก็แช่ลงไปครึ่งหนึ่ง ท่าทางจะชอบทะเลเอามาก
“มาจากไหนล่ะเรา” เขาชวนคุย “เป็นหมาเลหรือไง เจ้าของอยู่ไหน”
อินทัชกลับมาเจอพี่กุนต์กำลังชวนหมาคุย เขาเลยอดยิ้มขันไม่ได้ ฝ่ายนั้นค่อยๆขยับเข้าหา จากนั้นก็ลงไปนั่งข้างกันได้สำเร็จ หนึ่งคนหนึ่งหมานั่งแช่น้ำท่าเดียวกัน น่าเอ็นดูไม่หยอก
“ขอมือหน่อย” กนธียื่นมือรอรับ ไอ้ปากมอมก้มลงดมแล้วหันกลับไปมองทะเลเหมือนเดิม “หยิ่งนะเรา”
“ถ้ามันบอกว่าไม่ได้หยิ่ง พี่จะวิ่งหนีไม่ทัน” อินทัชลุยน้ำตามลงมา เขาพูดยิ้มๆ “พี่กุนต์นี่ครบสูตรเลยนะ ใจดี สปอร์ต เอ็นดูเด็กและคนชรา แถมยังรักหมารักแมวอีก”
“ไม่ได้รักอะไรขนาดนั้น เลือกเอ็นดูเป็นบางตัวต่างหาก เอาเฉพาะตัวที่น่าสงสาร” คนอายุมากกว่าหัวเราะ “พอดีไอ้ตัวนี้มันเหมือนคุณกระถินที่พี่เคยเลี้ยงตอนเด็กๆน่ะ”
“คุณกระถินนี่พันธุ์อะไรครับ” เขาลองเดา “ไซบีเรียน? โกลเด้น? ลาบราดอร์?”
“หมาวัด” กนธียิ้ม “ไปทำบุญกับที่บ้านแล้วหลวงตาบอกว่ามีคนเอามันมาทิ้ง พี่เลยขอพ่อเลี้ยง ตอนนั้นเริ่มจะเป็นขี้เรื้อนแล้วแหละ ต้องเอาไปรักษานานเลย” เขาขยี้หัวไอ้ตูบที่นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ด้านข้าง
อินทัชเลิกคิ้ว “ไม่น่าเชื่อนะว่าคนอย่างพี่จะเลี้ยงหมาวัดขี้เรื้อน”
“อ้าว..ทำไมล่ะ”
“ปกติถ้ามีเงิน ก็น่าจะซื้อหมาสวยๆมาเลี้ยงมากกว่าไม่ใช่หรือ”
“หมาวัดก็อยากมีบ้าน มีเจ้าของ มีคนเลี้ยงให้ดีเหมือนกันนั่นแหละ แล้วหมาไทยก็กตัญญูมากนะ เชื่องมากด้วย” เขาโอบมือรอบหลังเพื่อนใหม่ หันไปพยักพเยิด “จริงไหมหมาเล”
อินทัชลอบมองสีหน้ายิ้มแย้มของพี่กุนต์ เขาเผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว
“ตอนนี้มันไปไหนแล้วล่ะครับ” เขาชวนคุย มองพี่กุนต์ก้มหน้าหาเห็บให้หมา
“ก็เลี้ยงจนมันแก่ตายไปเองน่ะ หลังจากนั้นก็ไม่ได้เลี้ยงอีกแล้ว เวลาใครตาย..พี่ทำใจไม่ได้หรอก” กนธีถอนหายใจ “บางทีพี่ก็คิดว่าหากผูกพันกับใครให้น้อย เวลาสูญเสียก็คงไม่เจ็บปวดมาก”
“แต่ในความเป็นจริง เราห้ามความผูกพันที่เกิดขึ้นไม่ได้หรอกครับ” อินทัชพึมพำ “จะรักจะชอบใครสักคน พี่ปรามตัวเองได้หรือไง”
คนฟังหันหน้ามามอง ชะงักไปนิดหนึ่ง
..มันก็จริง..ห้ามไม่ได้ ปรามไม่อยู่ ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย..
จะว่าไป ความรักมันทำให้เกิดความทุกข์แน่นอนอยู่แล้ว เพราะรักแล้วมักจะยึดติดและคาดหวัง ถ้าไม่รัก ไม่หวัง ไม่ยึด มันก็ไม่ทุกข์ เรียกว่าตัดไฟตั้งแต่ต้นลม แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง เขาคิดว่าการที่เรารู้จักรักให้เป็น เรียนรู้ที่จะรับมือกับความทุกข์อย่างมีสติ แบบนี้ก็นับว่าเป็นการจัดการความรู้สึกแบบมีวุฒิภาวะเหมือนกัน
ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของโลกเถอะ..ฝนจะตก แดดจะออก จะตกหลุมรักรอบที่สิบ จะอกหักรอบที่ร้อย ใครจะอยู่ ใครจะไป ใครจะรักหรือไม่รัก มันก็คือเรื่องสามัญธรรมดา เจ็บนิดเจ็บหน่อยก็ปล่อยมัน ไม่มีใครตายเพราะหัวใจไม่ตรงกันหรอก ก็แค่อีกหนึ่งวันที่ต้องผ่านเลยไปในที่สุด
กนธีได้แต่ยิ้มบาง “Whatever will be, will be”
หมาทะเลของกนธีลุกจากน้ำแล้วสะบัดขนยกใหญ่ เขามองตามพลางยิ้มส่ง มันขึ้นจากสระก่อนจะวิ่งหายลับไปทางด้านหนึ่งของรีสอร์ท
ลมแรงพัดโกรก อากาศเย็นขึ้นเล็กน้อยแต่น้ำที่ขังอยู่ด้านในยังอุ่นอยู่ กนธีรู้สึกสบายเลยนั่งแช่ต่อ เขาทอดสายตามองเส้นขอบฟ้า เก็บภาพพระอาทิตย์ตกดินที่ค่อยๆลับหายลงไปกลางทะเล
“พี่ชอบดูตะวันตกดิน” เขาเปรย “รู้สึกเหงาหน่อยๆ แต่มันก็โรแมนติกดี เหมาะกับการมาเดทมาก”
อินทัชมองตามสายตาอีกฝ่าย “บรรยากาศยอดนิยมสำหรับคู่รัก”
“นั่นสินะ..” กนธีหัวเราะ “แล้วเราล่ะ..ถ้าพาแฟนไปเดท จะพาไปที่ไหน สำหรับพี่ก็ต้องทะเลนี่แหละ”
“จริงๆแล้วที่ไหนก็โรแมนติกได้ ถ้าพี่อยู่กับคนที่พี่รัก จะอยู่บนเขา อยู่ในน้ำ กลางทุ่งนา หรือว่าห้องเช่าแคบๆก็ตาม” เขาบอก “ขอแค่เป็นคนๆนั้น สถานที่ไหนก็ไม่สำคัญหรอกครับ”
“เรานี่ทำให้พี่แปลกใจอยู่เรื่อย”
“ยังไงครับ”
“ตอนแรกที่เจอ พี่ก็ว่าโอ๊ตดูเป็นคนเจ้าชู้ พวกเข้าหาคนอื่นก่อน ไปๆมาๆ..ไม่ใช่นี่หว่า โอ๊ตแค่ทำตามหน้าที่” กนธีพูด “หลังจากนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นคนอ่อนโยน ช่างเอาใจ ชอบดูแล แต่พอนานเข้า..ก็รู้สึกว่าไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว จะเรียกว่าเลือกปฏิบัติหรือเป็นการทำตามภาระงานดี”
“ผมเลือกคนครับ” อินทัชยิ้ม “ไม่ได้เป็นพวกเอาใจใครขนาดนั้น ติดจะไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ ถ้าจะดูแลใครก็ขอเฉพาะคนสำคัญเท่านั้นพอ”
“อย่างพี่นี่อยู่ในหมวดคนสำคัญ หรือหมวดทำตามหน้าที่ล่ะ” เขาไม่เคยเข็ดจริงๆ เพราะเป็นคนอยากรู้อะไรก็ถามกันแบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องมานั่งคาดเดา
“ยอมรับว่าส่วนหนึ่งทำตามหน้าที่ ถ้าพี่ไม่ออเดอร์มา บางอย่างผมก็คิดเองไม่ได้หรอก” เขาตอบแบบไม่อ้อมค้อม “แต่ที่ต่างจากคนอื่น พี่กุนต์เป็นคนสำคัญในชีวิตผมนะ ทุกอย่างที่ทำ ถึงจะเป็นเรื่องที่พี่บอก แต่ผมก็ไม่เคยฝืนใจเลย”
กนธีหัวเราะอารมณ์ดี เขาเงียบไปสักพักก่อนจะพึมพำ
“เล่าเรื่อง ‘คนๆนั้น’ ของโอ๊ตให้ฟังหน่อยสิ”
อินทัชเลิกคิ้ว นิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง “ทำไมจู่ๆถึงถามล่ะครับ”
“พี่อยากรู้จักคนสำคัญของเรา..คนที่ทำให้โอ๊ตพร้อมจะดูแลเขาจากใจจริง..ไม่ใช่ดูแลเพราะหน้าที่น่ะ”
“ที่ถามนี่ ไม่ใช่เพราะว่ากำลังน้อยใจใช่ไหมครับ” เขายกมือขึ้นเกลี่ยปอยผมตรงข้างแก้มอีกฝ่าย
กนธีไม่ตอบ ได้แต่นั่งยิ้ม มองเด็กหนุ่มที่ประสานสายตากลับมา
“ผมรู้จักเขาครั้งแรกตอนที่เขามาทำงานที่ Vin Santo” อินทัชเล่า ทั้งสายตาและน้ำเสียงอ่อนโยนจนใครอีกคนรู้สึกได้ “เราเหมือนกันและเข้ากันได้ดีในหลายๆเรื่อง ชีวิตครอบครัว ภาระหน้าที่ ความเป็นอยู่ กระทั่งมุมมอง หรือทัศนคติกับเรื่องบางอย่าง เขาเป็นกำลังใจให้ผม เป็นคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วไม่ต้องฝืนตัวเอง”
กนธีก้มดูฟองคลื่น เขาใช้อุ้งมือช้อนมันขึ้นมา เพียงเพื่อจะเห็นฟองอากาศนั้นเกาะตัวอยู่เพียงเสี้ยวอึดใจแล้วแตกสลายไปต่อหน้า
“เขาไม่มีพ่อแม่ มีแต่พี่ชาย ผมเองก็ไม่มีพ่อไม่มีแม่ มีแต่ยายกับน้องสองคน เขาเป็นน้องคนเล็กที่เอาการเอางาน รักพี่ แคร์พี่มาก เหมือนผมที่เป็นพี่คนโตทั้งรักทั้งห่วงไอ้อ้นกับไอ้อุ้ม ผมกับเขาสื่อถึงกันได้ เข้าใจดีว่าครอบครัวที่เหลืออยู่มันสำคัญแค่ไหน เหมือนเรามีเป้าหมายเดียวกันว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้เราทำเพื่อใคร”
อินทัชยิ้ม เหม่อมองไปที่เงาเลือนรางของชายฝั่งทะเล
“มองไปรอบตัว เพื่อนๆแต่ละคนแตกต่างจากผม ความคิด พฤติกรรมสวนทางกัน แต่มองไปที่เขา ผมเห็นเงาของผม..และผมก็คิดว่า คนๆนี้แหละ ที่เข้าใจผมมากที่สุด”
“นิสัยเขาเป็นยังไง” กนธีคิดว่าตอนนี้ก็เจ็บแปลบมากพอแล้ว เจ็บให้ลึกกว่านี้อีกหน่อยจะเป็นไร
“นิสัยดีแบบคนทั่วไป ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นนัก” อินทัชตอบ “แต่ที่ผมประทับใจเขาที่สุด..คือการที่เขาพร้อมจะให้และช่วยผมได้ทุกอย่าง แม้ในวันที่เขาไม่มี”
“คนให้จะมีหรือไม่มี แต่ถ้าเต็มใจให้เรา มันก็คือการที่เขาทำเพื่อเราอยู่ดีไม่ใช่หรือ” เหมือนกับคนร้อนตัว เลยต้องพูดแก้ ถึงเขาจะมีพร้อมหลายอย่าง แต่เขาก็ให้ทุกคนเพราะอยากช่วยเหลือจากใจจริง
“มันก็ใช่ แต่สำหรับผมความรู้สึกมันต่างกัน” อินทัชพูด “ถ้าคนๆหนึ่งให้เงินเราห้าพัน ในขณะที่อีกคนให้ห้าร้อย พี่คิดว่าใครทุ่มเทให้เรามากกว่า”
“คนแรก..”
“แต่ในความเป็นจริง คนที่ให้ห้าพัน อาจจะมีเงินอยู่ห้าล้าน ในขณะที่คนให้เราห้าร้อย เงินจำนวนนั้นมันคือทั้งเนื้อทั้งตัวของเขา เขายินดียกให้เราทั้งหมดต่อให้เขาจะไม่เหลืออะไรเลยก็ตาม เป็นแบบนี้..พี่จะรู้สึกกับใครมากกว่ากัน”
“เข้าใจแล้ว..” กนธีลอบถอนหายใจ “เป็นพี่ก็จะเลือกคนที่ให้เราจนไม่คิดถึงตัวเอง”
..น่าเสียดาย..ที่เขาเป็นฝ่ายที่ให้ไปห้าพัน..
สำหรับอินทัช เขายังให้ได้แค่นั้น แต่สำหรับศรัณย์..เขาจะเป็นฝ่ายที่ให้จนหมดตัว
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมเป็นพวกเรียกร้องเอาแต่ได้ จนอีกฝ่ายไม่เหลืออะไรให้ตัวเองเลย” เด็กหนุ่มอธิบาย “ผมแค่รู้สึกอบอุ่นกับสิ่งที่เขาอยากจะให้เท่านั้นเอง ขอแค่เอ่ยปาก ผมก็รู้ซึ้งถึงใจของคนพูดแล้ว”
“อืม..” นั่นคือคำตอบ ว่าคนที่ได้ ‘หัวใจ’ ของเด็กคนนี้ไป เป็นคนอย่างไร
..ไม่ใช่คนอย่างเขาแน่นอน..
อินทัชยกมือขึ้นแตะเสี้ยวหน้าได้รูปของคนข้างกาย “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ”
กนธีเลิกคิ้ว เขาไม่รู้หรอกว่าทำหน้าตาอย่างไร รู้แค่ว่ามันซึมลงนิดหน่อยก็เท่านั้น
เด็กหนุ่มเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “ไม่ใช่เข้าใจว่าผมเอาพี่ไปเปรียบกับคนที่ผมชอบนะ”
เขาเงยหน้ามอง “อ้าว..ไม่ใช่หรอกหรือ พี่ให้ห้าพัน ส่วนเขาคนนั้นของโอ๊ตให้ห้าร้อยไง”
“โธ่เอ๊ย..ใช่ที่ไหนกันล่ะครับ..” ร่างสูงส่ายหัว เขาตบหน้าผากตัวเองเพราะไม่ทันได้ฉุกใจ รู้แบบนี้ไม่พูดน่าจะดีกว่า “ผมแค่ยกตัวอย่างเล่นๆ แค่จะเทียบให้พี่เข้าใจว่าสำหรับผมมันแตกต่างกัน ถ้าทำให้พี่คิดมากก็ต้องขอโทษด้วย”
“อ้อ..” ฟังแบบนี้แล้ว กนธีก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา แต่อย่างว่าแหละ..จะไปหม่นเศร้าอะไรมากนัก ในเมื่อเขาเอง ยังไม่ได้ให้ความรู้สึกกับอินทัชไปสักครึ่งหนึ่งของที่ให้ศรัณย์เลย
เราชอบเขาเท่าไร เขาก็ให้ตอบมาเท่านั้น ถึงแม้ว่าเขาจะให้เราน้อยกว่า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของการได้เปรียบเสียเปรียบอะไร เพราะเรื่องของใจ มันไม่ใช่ตราชั่ง ไม่ต้องรู้สึกให้เท่ากันนักก็ได้
ถ้ายินยอมจะชอบเด็กคนนี้ต่อไปโดยที่ไม่ได้ ‘ใจ’ ตอบกลับมาเลย ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเถอะ
..ฝืนมากนักก็เหนื่อย..
กนธีผ่อนลมหายใจออก ยกมือที่แช่น้ำอยู่นานขึ้นมาดู “เปื่อยซะแล้วแหละ”
“ขึ้นกันเถอะครับ ปากผมเริ่มจะสั่นแล้วเนี่ย” อินทัชเป็นฝ่ายลุกก่อน เขายื่นมือให้พี่กุนต์จับ
คนอายุมากกว่ามองฝ่ามือที่ส่งให้แล้วได้แต่ยิ้มเล็กน้อย จงใจปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือนั่น ถ้าหากว่าปล่อยให้ตัวเองต้องพึ่งพาอินทัชอยู่ตลอดเวลากระทั่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง อีกหน่อย..เขาคงจะรู้สึกขาดหมอนี่ไม่ได้จริงๆ
กนธียันตัวลุกขึ้นเองแล้วเดินลุยน้ำไปตรงขอบสระ น้ำเริ่มหนุนขึ้นสูงจนมองแทบไม่เห็นทางเดิน
“ระวังลื่นนะครับ” อินทัชเตือน เขาตามมาติดๆ
ไม่ทันขาดคำ เท้าเปล่าเปลือยที่เหยียบลงบนแนวหินก็ก้าวพลาด กนธีเสียหลักลื่นพรืด
อินทัชรีบคว้าตัวอีกฝ่ายไว้ เขาดึงแขนพี่กุนต์เต็มแรง แต่ตนเองกลับทรงตัวไม่มั่นคงพอ
ร่างทั้งสองล้มฟาดลงใกล้กับขอบสระ หากในเสี้ยววินาทีที่ตัวของเด็กหนุ่มจะกระแทกแง่งหิน กนธีก็ดึงเจ้าโอ๊ตเข้ามากอดไว้แน่นแล้วเป็นฝ่ายหันลำตัวด้านข้างของตนลงพื้นแทน
อินทัชเจ็บแสบที่ข้อศอก มันครูดกับเศษหินข้างใต้แต่ก็ไม่มากนัก เป็นเพียงจุดเดียวที่มีรอยแดง
เด็กหนุ่มรีบลุกเมื่อเห็นว่าเขาทับพี่กุนต์ทั้งร่าง “เจ็บหรือเปล่าครับ!”
“อา..เปียกหมดเลย” กนธีหัวเราะร่วน เขาชุ่มโชกเหมือนลูกหมาตกน้ำ
อินทัชสำรวจอีกฝ่าย เขานิ่วหน้าเมื่อเห็นแขนข้างหนึ่งของพี่กุนต์เป็นรอยบาดลึก เลือดไหลเป็นแนว เขาถอดเสื้อที่สวมออกมา จัดการกดห้ามเลือดเอาไว้ก่อน
“อะไร ทำไมต้องทำหน้าเครียด ของแค่นี้เลียเดี๋ยวก็หาย”
“ไม่ขำ” ร่างสูงขมวดคิ้วมุ่น เขาก้มลงสอดแขนเข้าใต้ข้อพับขา ช้อนร่างที่เบากว่าขึ้นอุ้ม
“เฮ้ยๆ พี่เดินได้ ใช้ขาเดิน ไม่ใช่แขน” กนธีทุบหลังเด็กแรงๆ มันทำเกินกว่าเหตุอีกแล้ว “ปล่อย”
เขายอมวางคุณลุงหัวดื้อลงก่อน เพราะขืนอุ้มไปหนีไป คราวนี้จะได้ล้มหัวฟาดกันจริงๆ แต่พอพี่กุนต์เดินขึ้นฝั่งได้ เขาก็ตรงเข้าไปหา ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตวัดตัวอีกคนขึ้นบ่าทันที
“ไอ้โอ๊ต~”
“ถ้าไม่หยุดรั้น ผมจะโยนลงน้ำรอบสอง”
กนธีหน้าร้อนผ่าว ตัวเขาก็ไม่ใช่ว่าเล็ก น้ำหนักไม่ได้น้อยเลยด้วย แต่เด็กมันจับอุ้มจับโยนเหมือนเบาเท่านุ่น
พอถึงห้อง อินทัชก็ผลักประตูเข้าไปแล้ววางตัวฝ่ายตรงข้ามลงกับเก้าอี้คอม
“รอก่อนนะพี่ เดี๋ยวผมไปขออุปกรณ์ทำแผลมาให้”
“ต้องเย็บไหม” กนธีเอาเสื้อของเด็กออก ก้มลงดูแขน
อินทัชนั่งยองๆ “ไม่ลึกขนาดนั้นครับ เลือดยังซึมอยู่นิดหน่อย พี่กดเอาไว้ก่อนแล้วค่อยไปล้างน้ำสะอาด เดี๋ยวผมกลับมา”
คนอายุมากกว่าพยักหน้ารับ นั่งห้ามเลือดอีกอึดใจก็เดินโผเผเข้าห้องน้ำ รอยบาดจากคมหินไม่ได้ยาวเท่าไร แค่เกือบครึ่งไม้บรรทัด ไอ้โอ๊ตดันทำซีเรียสหมือนเขาคอหักตายไปแล้วเรียบร้อย
กนธีล้างน้ำสะอาด สุดท้ายก็ตัดสินใจอาบน้ำให้เสร็จมันเสียเลย เปียกน้ำทะเลแบบนี้ ทั้งหัวทั้งตัวเขาเหนียวไปหมด ไหนจะทรายแล้วก็เศษกรวดที่ติดไปทั่วนี่อีก
“แสบเหมือนกันวุ้ย” เขาพยายามล้างทรายที่ติดออก
มีเสียงเคาะประตูห้องน้ำ เขาก้มๆเงยๆล้างตัวเลยได้แค่ขานรับ แต่จำได้ว่าไม่ได้ออกปากอนุญาต ไอ้เด็กเปรตมันกลับผลักเข้ามาเสียอย่างนั้น จะโทษใครล่ะ ในเมื่อเขาไม่ได้ลงกลอนเอง
อินทัชชะงักไปครู่ เขาหยุดมองร่างเปลือยของอีกฝ่าย “ผมให้ล้างแผลไม่ใช่หรือ..แก้ผ้าทำไม”
“ออกไปๆ” กนธีไล่ คว้าผ้าขนหนูมาพันท่อนล่างแทบไม่ทัน ถึงจะมีอะไรกันมาสองหนแล้ว แต่เขายังไม่คุ้นชินกับการปล่อยตัวล่อนจ้อนให้คนอื่นมอง “เสร็จแล้วเดี๋ยวบอก”
“ให้อาบให้ไหม”
“แค่เจ็บแขน ไม่ได้แขนขาด”
อินทัชหัวเราะเบาๆ เขาเครียดจะตาย พี่กุนต์มาทำเป็นขำ เด็กหนุ่มออกไปรอด้านนอก เขาเองก็เปียกจนเริ่มสั่นเหมือนกัน แต่เพราะว่าอยากทำแผลให้เจ้าตัวก่อน เลยยังไม่ขยับไปไหน
กนธีเดินตัวเปียกออกมา บนบ่ามีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดเอาไว้ ผมชุ่มโชกจนน้ำหยดพราวตลอดทาง
“ระวังลื่นนะครับ” เขาบอก เป็นห่วงคนเลินเล่อที่สุด “เช็ดตัวให้แห้งแล้วมานั่งตรงนี้พี่ ผมทำแผลให้” คุกเข่าอยู่ข้างเตียงพลางตบฟูกนอน
กนธีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาหยิบกางเกงขายาวมาสวมแล้วนั่งลง เอียงแขนให้เด็กมันใช้ผ้าก็อซซับส่วนที่ยังเปียกชื้นให้แห้ง ดวงตาสีอ่อนจ้องมองอีกฝ่ายใช้แอลกอฮอล์เช็ดรอบปากแผลด้วยความนุ่มนวล
“แรงหน่อยก็ได้ พี่ไม่เจ็บ”
“ผมเจ็บแทน” อินทัชพึมพำ ใส่เบตาดีนลงไปแล้วปิดด้วยผ้าก็อซ
“รอยเท่าแมวข่วนเนี่ยนะ”
“นี่มันเสือตวัดครับ ไม่ใช่แมวข่วน” เขามองคนที่ไม่แสดงความรู้สึกทางสีหน้าเลยตอนที่ทำแผลให้
“นั่นก็เว่อร์ไป” กนธีส่ายหัว สรุปว่าเขาเบาใจเกินกว่าเหตุ และเจ้าโอ๊ตก็วิตกเกินความจำเป็น “โอเคแล้ว ขอบคุณมาก”
“พรุ่งนี้แวะเข้าโรงพยาบาลให้หมอดูหน่อยนะพี่”
เขาขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเด็กเลยพยักหน้ารับไปอย่างนั้นเอง ไปหาคลินิกใกล้บ้านไม่กี่นาทีก็เสร็จแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ สมัยเด็กๆเคยล้มฟาดกับขอบสระว่ายน้ำ ต้องเย็บหัวไปหลายเข็ม ดีที่มีผมบัง แม่บอกว่าเขาเบะปาก สะอื้นอยู่สองสามฮักแล้วก็เฉยสนิท
อินทัชรื้อเสื้อนอนตัวใหม่ของพี่กุนต์ออกมาจากเป้ “มาครับ เดี๋ยวจะปอดบวม” เขาใส่เสื้อก่อนจะติดกระดุมให้ทีละเม็ด ปกติพี่กุนต์ชอบใส่เสื้อยืดนอน แต่เขาคิดว่ามันคงลำบากตอนถอด เลยเลือกตัวนี้ให้
กนธียิ้มจาง มองคนที่เอาผ้าเช็ดตัวมาวางบนศีรษะเขาเป็นลำดับต่อไป เด็กมันพึมพำขออนุญาตแล้วเช็ดหัวเปียกโชกให้เหมือนเลี้ยงน้อง เขาหัวสั่นหัวคลอนเพราะแรงขยี้
ชายหนุ่มไม่ได้เงยหน้ามองฝ่ายตรงข้าม สายตาทั้งสองหลุบต่ำอยู่แค่ชายเสื้อเปียกชุ่ม
“ไม่หนาวหรือ”
“หนาว” อินทัชบอก “แต่ต้องจัดการพี่ก่อน”
กนธีหัวเราะในลำคอ เขาวางมือลงกับแผ่นอกกว้าง “ดีกับพี่แบบนี้..ไม่รู้สึกผิดกับคนที่เราชอบหรือไง”
คนฟังเงียบกริบ ชะงักการกระทำทั้งหมด สุดท้ายก็ขมวดคิ้ว ไม่เห็นจะเข้าใจกับคำถามประหลาดๆพรรค์นี้เลย
“แล้วตอนพี่ดีกับผม..พี่รู้สึกผิดกับคุณศรัณย์หรือเปล่า”
กนธีพูดไม่ออก นั่นสินะ..เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้นเหมือนกัน
อินทัชเห็นว่าผมพี่กุนต์แห้งพอแล้วเลยโยนผ้าเช็ดตัวไปไว้ตรงเก้าอี้คอม เขานั่งยองๆลง มองคนที่ก้มหน้าต่ำ
ภาพก่อนหน้านี้หวนกลับเข้ามาในหัวเป็นฉาก..พี่กุนต์คว้าเขาแล้วกอดไว้ จงใจเอาตัวเข้าไปแทนเพื่อไม่ให้เขากระแทกกับขอบสระ ไม่อย่างนั้น คนที่เจ็บตัวจนเลือดไหลจะไม่ใช่พี่กุนต์ แต่ต้องเป็นเขาแน่นอน
การกระทำแบบนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะมีเวลาคิดทบทวน เรียกได้ว่าทำโดยอัตโนมัติทั้งสิ้น
แปลความได้อย่างเดียว..คือกนธีพร้อมจะปกป้องและดูแลเขาอยู่ทุกลมหายใจ
“ทำเพื่อผมทำไมครับ” อินทัชเปรย “เจ็บตัวเพื่อผมทำไม”
“อะไรวะ” กนธีทำไม่รู้ไม่ชี้ “ละเมออะไรไอ้แสบ”
“อย่ามาทำหน้ามึนใส่” เขาจับแก้มพี่กุนต์แน่น พอเจ้าตัวหันหนี เลยต้องเพิ่มแรงบังคับ “ไม่คิดบ้างหรือไงว่าถ้าพี่เอาหัวลง บางทีอาจจะน็อคไปแล้วก็ได้ มันคุ้มหรือไงครับ”
“แล้วทำไมถึงจะไม่คุ้มล่ะ” เขาสวน “เจ็บตัวแทนคนที่ชอบ ใครๆก็ทำกันทั้งนั้น”
อินทัชนิ่งอึ้ง พี่กุนต์จ้องเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจแล้วเบนสายตาไปทางอื่น
เขาบอกแล้วว่าไม่ได้ประหลาดใจถ้าพี่กุนต์จะชอบเขา แต่ที่รู้สึกมากที่สุด ก็คงเพราะว่าความชอบของคนๆนี้ มันจริงจังกว่าที่คาด
“ขอโทษที่ทำให้พี่เจ็บ..” ในที่สุด เขาก็พูดขึ้น
“ก็ไม่ได้เจ็บเท่าไร” กนธียิ้มจาง
“ไม่ใช่ที่แขน ผมกำลังหมายถึง..” อินทัชอ้ำอึ้ง “แต่จะให้โกหก..ผมก็ไม่อยากทำ”
“อย่าคิดมากสิ” คนอายุมากกว่าโยกหัวเด็กหนุ่ม เอานิ้วนวดคลึงตรงหน้าผากที่ย่นเข้าหากันด้วยความเอ็นดู “ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย ไม่ว่าจะเรื่องไหน พี่ก็เป็นคนตัดสินใจทำเองทั้งนั้น”
เขายินดีรับดูแลอินทัช ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าน้องมีคนที่รักที่ชอบอยู่แล้ว
เขาจงใจถามความรู้สึก ทั้งที่รู้อยู่แน่ชัดว่าเด็กมันจะไม่โกหกหรือหลอกลวงเขา
เขาพร้อมใจจะปกป้องอีกฝ่ายจากทุกอันตรายที่เผชิญ ทั้งที่รู้ดีว่าสุดท้าย..เขาคงต้องเจ็บตัว
..ทุกอย่าง..ไม่มีใครบังคับ..เขายินดีทำด้วยตัวเอง..
..แล้วอินทัชจะมาขอโทษเขาทำไม..
“ยิ้มหน่อยไอ้เสือ” กนธียิ้มให้ดูเป็นตัวอย่าง “อย่าเดือดร้อนเพราะความคาดหวังของพี่ ไม่ต้องมาสนใจหรอก พี่จัดการความรู้สึกของตัวเองได้” น่าจะจัดการได้ล่ะมั้ง..คิดว่านะ
อินทัชหลับตาลง เอนหน้าซบแผ่นอกอุ่น
“พี่เป็นคนสำคัญของผมนะครับ..”
กนธียิ้มบาง ลูบหัวด้วยความอาทร “อืม..โอ๊ตก็เป็นคนสำคัญของพี่เหมือนกัน”
ร่างสูงกอดรัดเอวอีกคนไว้หลวมๆ สูดกลิ่นหอมละมุนจากผิวเนื้อขาว หัวใจอุ่นซ่านขึ้นมาเมื่อได้ใกล้ชิดและรับรู้ว่ายังมีใครคนหนึ่งมอบความรู้สึกให้เขามากมาย
คืนนี้ท้องฟ้าเปิด พระจันทร์ทอแสงนวลตา กลุ่มดาวนับร้อยสว่างไสวในทิศทางเก่า น้ำทะเลยังคงหนุนเนื่องขึ้นในตอนกลางคืน และเหือดหายไปในตอนกลางวัน เกลียวคลื่นสาดซัดเข้าหาฝั่งไม่เปลี่ยน สายน้ำเย็นเซาะลงแผ่นหินอย่างเคย
แตกต่างที่ความมั่นคงหนักแน่นของก้อนหินนั้น..กำลังค่อยๆกร่อนบาง
..เช่นเดียวกับใจคน..
............................................................................................
[ต่อด้านล่าง]