.
.
.
วันนี้อินทัชมาพบหมอเพื่อจะฟังผลตรวจเลือดแทนยาย เขาอยากจะมาด้วยตัวเอง ก่อนที่จะต้องกลับกรุงเทพเพราะหมดวันหยุด ส่วนวันที่หมอนัดมาอัลตร้าซาวด์ คงต้องวานให้ป้าคนดูแลช่วยจัดการให้
เด็กหนุ่มมากับน้องทั้งสองคน วางแผนไว้ว่าหลังจากคุยกับหมอเสร็จ จะพาเด็กๆไปดูแห่บั้งไฟที่วัดสวนตาลต่อ
“พี่โอ๊ตๆ ไหนว่าจะโทรหาพี่กุนต์ไง” อ้นทวง
น้องอุ้มหูผึ่ง ปีนมาด้านหลังแล้วเอาแขนคล้องคอพี่ “โทรหาพี่กุนต์เหรอ~”
เขาผลักหัวเจ้าอ้นตัวแสบ มันตื๊อเขาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว “เอาไว้คุยกับหมอเสร็จก่อน เดี๋ยวหมอก็เรียก”
“พี่โอ๊ตก็เข้าไปหาหมอสิ อ้นกับอุ้มจะคุยกับพี่กุนต์”
อินทัชขยี้หัวอ้นอย่างมันเขี้ยว เขาควักมือถือขึ้นมา เกิดความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ถ้าสองคนนั้นไม่ได้ตัวติดกัน พี่กุนต์ก็ควรจะอยู่คนเดียวสักที
เด็กหนุ่มเลื่อนไลน์ขึ้นลงอย่างเหม่อลอย จากนั้นก็กดเข้าหน้าสนทนาที่มีข้อความเก่าๆ กำลังกดพิมพ์ตัวอักษรทักทาย แต่แล้วก็มีภาพสวัสดีวันสงกรานต์เด้งขึ้นมาก่อน ทำเอาเขาชะงัก
‘อ่านเร็วดีแฮะ’ พี่กุนต์พิมพ์มาแบบนั้น..ก็แน่ล่ะ เขากำลังจะพิมพ์ไปหาน่ะสิ มันถึงขึ้น Read ได้ไว
‘มาเที่ยวถนนข้าวสาร ตอนนี้นั่งกินข้าวพักเหนื่อย’
อ้นกับอุ้มชะโงกหน้ามาดู ตื่นเต้นจนบอกให้พี่โอ๊ตพิมพ์ตอบไวๆ
“รู้แล้วน่า..ใจร้อนจริง” เขาหัวเราะ กดแป้นตามคำสั่งน้อง
‘คนเยอะไหมครับ ผมไม่เคยไปเที่ยวตรงนั้นเลย’
กนธีส่งภาพถ่ายบรรยากาศรอบด้านมาแทนคำตอบ ดูแล้วมีแต่พวกฝรั่งกับชาวจีน ทั้งผู้ชายผู้หญิง แออัดเบียดเสียด บางคนดื่ม บางคนกิน ข้างนอกร้านก็กำลังเล่นกันครื้นเครง หัวหูเปียกซ่ก ดูไม่จืดทุกคน
‘พี่ไปเล่นกับเขาด้วยหรือ’
‘เดินผ่านเฉยๆ แต่เปียกเป็นหมาตกน้ำทั้งตัวเลย’
อินทัชหัวเราะ ‘เซลฟี่มาหน่อยครับ’
ทางนั้นตอบกลับ ‘ไม่เอาหรอก พี่ไม่ชอบถ่ายรูปตัวเอง’
อ้นทำเสียงบู้ “เปิดวีดีโอๆ”
‘ไอ้อ้นกับไอ้อุ้มอยากคุยกับพี่กุนต์ ขอวีดีโอคอลนะครับ’ อินทัชตอบกลับ
ไม่ต้องรอนานพี่กุนต์ก็คอลมา เขากดรับ แต่ยังไม่ทันได้เปิดปาก ไอ้อ้นก็เข้ามาแทรกกลางก่อน พอกันกับน้องอุ้มที่ปีนมาเบียด เจ้าเด็กเรื่องเยอะสองคนยื่นหน้าเข้าไปจ่อโทรศัพท์ ฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะถึงรูหู
“พี่กุนต์~”
อินทัชหัวเราะในลำคอ ให้น้องอุ้มนั่งตักแล้วชวนอีกฝ่ายคุยไร้สาระไปเรื่อย
“อ้นมาหาหมอกับพี่โอ๊ต มาฟังผลตรวจให้ยาย พี่กุนต์เล่นน้ำสนุกไหม คราวหน้าอ้นอยากชวนพี่กุนต์มาเที่ยวสงกรานต์ที่นี่ด้วย” เด็กชายฝอยเป็นคุ้งเป็นแคว “อ้นจะพาพี่กุนต์เที่ยว พี่กุนต์ชอบดูนาข้าวหรือเปล่า นาข้าวเขียวๆ สวยมากเลยนะ”
“ให้หนูพูดบ้าง” น้องอุ้มเอาหัวดัน ยิ้มร่าใส่ “พี่กุนต์~ เดี๋ยวพวกหนูจะไปดูบั้งไฟ พี่กุนต์มาเที่ยวกัน”
“ช้าๆหน่อย พี่กุนต์ฟังไม่ทันแล้ว” เขาปรามพวกมัน
ทางนั้นหัวเราะชอบใจ พยายามตอบคำถามเด็กให้ครบ
“พี่กุนต์กินอะไร” อุ้มเอียงคอมอง
‘กินสลัดประสาคนหล่อครับ’
อินทัชหัวเราะพรืด
อ้นคุยบ้าง “ไปเที่ยวคนเดียวหรือครับ เหงาหรือเปล่า”
‘ไม่เหงาหรอกครับ’ พี่กุนต์ยิ้มให้ผ่านภาพ ‘พี่มากับเพื่อน’
อินทัชมองผ่านหัวน้อง เห็นผู้ชายอีกคนยื่นหน้าเข้ามาในกล้องแล้วยิ้มทัก เขาจำได้ว่าเป็นคนๆเดียวกับที่เจอที่สตาร์บั๊คส์ พารากอน
‘ลูกใครเนี่ย แก้มยุ้ยเชียว’ เสียงบุคคลที่สามพูดขึ้น
ภาพเคลื่อนไหวเห็นแขนข้างหนึ่งพาดมาบนไหล่กนธีแสดงความสนิทสนม ซ้ำยังยื่นหน้าเข้ามาเบียด พยายามจะมีส่วนร่วมในเฟรมกล้องจนอินทัชได้แต่ขมวดคิ้ว..เขาไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะกับคนที่ไม่รู้จักแบบนี้
ยังไม่ทันไร ผู้ช่วยหมอก็มาเรียก อินทัชบอกให้อุ้มลงจากตัก
‘อ้าว..พี่โอ๊ตจะไปไหนครับ’
เจ้าของชื่อชะงัก พี่กุนต์ไม่ได้ถามน้องๆเขา แต่ถามเขาโดยตรง ซ้ำยังเรียกเขาว่า ‘พี่โอ๊ต’ ด้วย
..แปลกๆ..แต่ก็ฟังแล้ว..อบอุ่นดี..
“หมอเรียกไปฟังผลแล้ว แค่นี้ก่อนนะพี่” เขายิ้มให้เล็กน้อย จากนั้นก็กดตัดสายตอนที่ร้านเปลี่ยนเป็นเพลงเต้นดังกระหึ่ม แต่อะไรก็ไม่น่ารำคาญเท่ากับการได้เห็น ‘เพื่อน’ พี่กุนต์ เริ่มร้องเพลงเสียงหลงหรอก
..เสียงแบบนั้น..ฟังแล้วเพราะตรงไหน..
“อะไรอ๊าา~ ยังคุยไม่หมดเลย” อ้นบ่น
“ยุ่งจริงเรา พี่เขาอยู่กับเพื่อน ไม่เห็นหรือไง” เขาผลักหัวมัน “อ้นกับอุ้มนั่งรอพี่นะ พี่ไปคุยกับหมอแป๊บเดียว” เขาส่งมือถือให้น้องแบ่งกันเล่นเกม พวกแสบตะเบ๊ะรับ นั่งไกวขาอยู่หน้าห้องตรวจ
อินทัชเดินตามผู้ช่วยหมอ นายแพทย์ที่ดูแลเคสรับไหว้จากเขาก่อนจะเปิดแฟ้มคนไข้
“มีอะไรน่าห่วงหรือเปล่าครับ” เขาชิงถามก่อน
“จากที่ฟังอาการ ตรวจร่างกายแล้วก็ดูผลเลือด..” อีกฝ่ายมีท่าทางหนักใจ ดูค่า Alpha fetoprotein ที่สูงกว่าปกติ “ผมสงสัยว่าคุณยายเป็นมะเร็งตับ”
เด็กหนุ่มนิ่งอึ้ง “อะไรนะครับ..”
“ยังไงผมขอรอดูผลอัลตร้าซาวด์อีกที ถ้าผลออกมาคอนเฟิร์มกันก็จะส่งตรวจการทำงานของตับ แล้วก็คุยเรื่องวิธีรักษา”
อินทัชแทบจะฟังไม่รู้เรื่องเลย เขารู้สึกว่าพื้นใต้ฝ่าเท้าเย็นเยียบ
“เป็นมากน้อยแค่ไหนครับ ไม่มากใช่ไหม..” เขาถามด้วยความหวัง
“ส่วนใหญ่เราจะตรวจพบมะเร็งตับตอนที่เริ่มมีอาการแล้ว ก็คือเป็นระยะที่สามหรือสี่..”
อินทัชนั่งเงียบ ในหัวอื้ออึง ความหวาดกลัวเหมือนเมื่อคราวแม่ของเขาตายจากไปหวนกลับมาอีกครั้ง
“แล้ว..ต้องรักษายังไงครับ”
“มีทั้งให้ยาเคมีบำบัดและผ่าตัด ขึ้นอยู่กับจำนวนก้อน การแพร่กระจาย ชนิดของเซลล์มะเร็ง การตอบสนองต่อการรักษาของผู้ป่วย..” หมอบอก “แล้วก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคุณยายว่าพร้อมมากน้อยแค่ไหน เท่าที่ดูจากประวัติ....คุณยายมีเรื่องโรคเบาหวานและไตด้วย คงต้องประคับประคองตามอาการไป”
“หมายความว่ายังไงครับ รักษาไม่ได้หรือ” อินทัชหมดเรี่ยวแรง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเสียงพูดได้ยังไง “มีโอกาสหายหรือเปล่าครับ”
“อย่างที่บอกญาติ เราต้องพิจารณาเรื่องความพร้อมทางร่างกายของคุณยาย ถ้าสามารถรับยาได้ ก็ต้องดูการตอบสนองต่อเคมีบำบัดด้วย ส่วนผลการรักษา..มีผู้ป่วยหลายคนรักษาโรคมะเร็งหายนะครับ สำคัญคือกำลังใจ”
“แล้วถ้าไม่หาย...” เขาถามเสียงพร่า “หมอบอกผมได้ไหม..ว่ายายมีเวลาเหลืออีกมากน้อยแค่ไหน”
“ผมระบุเรื่องระยะเวลาไม่ได้หรอกครับ ในผู้ป่วยบางรายรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งก็ไม่มีแรงสู้ ไม่ยอมรักษาตัว หมดกำลังใจ มันก็จะส่งผลกับการใช้ชีวิต” คุณหมอตอบ “บางรายรู้ตัวแต่ไม่ยอมแพ้ ดูแลสุขภาพ มองโลกในแง่ดี ทำจิตใจให้สงบก็อยู่ได้นานเป็นหลายปี บางรายญาติพี่น้องรู้พื้นฐานจิตใจผู้ป่วยดีเลยไม่ยอมบอกว่าเป็นอะไร พอผู้ป่วยไม่เสียกำลังใจ ก็เป็นการยืดระยะเวลาไว้ได้นานเหมือนกัน”
อินทัชพยักหน้า ในหัวเขากลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด คุณหมอพูดอีกหลายอย่าง ทั้งยังซัพพอร์ทคนเป็นญาติด้วย แต่นาทีนี้ อินทัชยอมรับว่าเขาอ่อนแอจริงๆ
เด็กหนุ่มก้าวออกจากห้อง เจ้าอ้นกับเจ้าอุ้มเงยหน้าขึ้นมอง ยิ้มเผล่
“เป็นไงบ้างพี่โอ๊ต ยายแข็งแรงดีใช่ม้า~”
เขากลั้นหยดน้ำตาเอาไว้ รู้สึกเหมือนกำลังนับถอยหลังช่วงเวลาบางอย่าง แต่เมื่อได้มองหน้าน้องๆ เขาก็รับรู้ได้ว่า น้องและยาย คือครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่เขามี และเขาจะต้องรักษาไว้อย่างเต็มที่ จะไม่ยอมซ้ำรอยเดิมเหมือนคราวแม่ของเขาเอง
“ยายแข็งแรงดี” อินทัชพึมพำ ยิ้มจาง “แค่ว่าเป็นโรคตับนิดหน่อย ต้องรักษาตัว”
“เหรอๆ..ดีจัง”
เขาลูบหัวเด็กๆ ข่มใจให้สงบ “จะเป็นอะไรไหม ถ้าพี่ไม่ได้พาไปเที่ยวงานแล้ว”
“อ้าว..” น้องอุ้มทำคิ้วผูกกัน
“พี่โอ๊ตหน้าซีด” อ้นสังเกต “ไม่สบายหรือครับ”
เขานั่งยองๆ น้องอุ้มเอามือมาทาบหน้าผาก “รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ”
“กลับก็ได้ ไม่เป็นไรครับ” อ้นบอก “ใช่มะ..น้องอุ้ม บั้งไฟเนี่ย เอาไว้ปีหน้าก็ยังมีเนอะ”
อุ้มไม่งอแง ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก อินทัชเลยลูบหัวน้องๆ
“กลับกันเถอะ..พี่มีเรื่องจะคุยกับยายด้วย”
ตอนที่มาถึงบ้าน ยายอยู่กับคนดูแล พอเห็นเขามา ป้าก็ปลีกตัวไปทำกับข้าว อินทัชเลยเข้าไปนั่งคุยกับยาย เขาฝืนยิ้ม แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ฟังอะไรแย่ๆมา เล่าก็แต่เรื่องสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงกับอาการโรคตับแข็งของยาย
“ให้มันจริงนะ” แกหัวเราะเห็นเหงือก “จะได้มีชีวิตยาวๆ อยู่ดูหลานสะใภ้สามคน”
อินทัชขบฟันแน่น กระบอกตาร้อนผ่าว
“ยาย..” เขานั่งนิ่ง มองร่มไทรของตนที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในชีวิต “ยายอยากไปอยู่กรุงเทพกับพวกผมไหม”
แกส่ายหัว “จะไปอยู่ยังไงเล่า ภาระพวกเอ็งเปล่าๆ”
“หมอบอกว่าโรคตับของยายมันจะทำให้สุขภาพแย่ลงน่ะ” เขาโกหกคำโต “ถ้ายายต้องไปหาหมอบ่อยขึ้น แล้วใครจะดูแล เดี๋ยวผมกับน้องก็ต้องกลับแล้ว”
“ไม่เป็นไร ให้ป้าเขาช่วยดูก็ได้”
“ยายอย่าดื้อเลย” อินทัชพูดอย่างจริงจัง “ไปอยู่กรุงเทพกับพวกผมนะ ให้โอกาส..” เขาเสียงเครือ “ให้โอกาสผมได้ดูแลยายบ้าง จะได้พายายไปหาหมอ หาข้าว..หาน้ำให้กิน ได้คุยกันทุกวัน ไม่ต้องรอเจอกันแค่งานเทศกาลไง”
ยายเงียบไป แกเองก็อยากอยู่กับหลานตลอดเวลาเหมือนกัน ถ้าจะให้พูด..อายุปูนนี้ สุขภาพแบบนี้ แกยังไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงวันครอบครัวครั้งหน้าหรือเปล่า ไม่มีใครล่วงรู้ถึงอนาคตได้หรอก
“ที่จริง..ยายอยากอยู่จนถึงวันที่ได้เห็นพวกเอ็งรับปริญญาทุกคนเลย” แกพึมพำ มองหลานทั้งสามคน “แต่ถ้าหวังมากเกิน..เอาแค่ช่วงนี้ก็ได้เนอะ มีคนแก่ไปอยู่ด้วยก็อย่ารำคาญยายล่ะ”
อินทัชมองหน้าแก เขายิ้มออกมาได้
..แค่ได้อยู่ใกล้กัน..เท่านั้นก็น่าจะพอแล้ว..
..........................................................................................
อินทัชนั่งเงียบอยู่ในห้องพักพนักงาน ตั้งแต่กลับมาจากน่าน เขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเครียดขึ้นกว่าเก่าหลายเท่า ตอนนี้ยายยังอยู่ที่บ้าน เขายังต้องจัดการเรื่องอะไรหลายอย่างกว่าจะสามารถพาแกลงมาที่กรุงเทพได้
เขาโทรคุยกับป้าที่ดูแลยาย เล่าให้ฟังเรื่องที่ไปพบหมอมา จากนั้นก็ไหว้วานให้แกช่วยเป็นธุระพายายไปอัลตร้าซาวด์ตามนัด ผลที่ได้ เขาขอให้แกเก็บไว้เป็นความลับ ห้ามบอกยาย ซึ่งแกก็ทำตามอย่างดี
เป็นอย่างที่หมอสงสัย ผลตรวจออกมาชัดเจนว่ายายมีก้อนมะเร็งอยู่ในตับ เขาคิดว่าหมอค่อนข้างแน่ใจอยู่แล้ว แต่ประวิงเวลาพอให้ญาติได้ทำใจและหาทางรับมือ
ในขณะที่เรื่องนี้ยังวุ่นวาย เรื่องที่กังวลอีกอย่างก็เพิ่มขึ้น อีกประมาณสองอาทิตย์ เขาก็จะพ้นจากสภาพพนักงานของที่นี่แล้ว แม้ว่าจะมีงานใหม่ที่พี่กุนต์หาให้รองรับอยู่สองงาน แต่พูดถึงค่าตอบแทน นับว่าเทียบกันไม่ค่อยจะได้เลย
เขาหาข้อมูลการรักษาตัวของผู้ป่วยมะเร็ง นับว่าต้องใช้เงินเยอะเอาการ เขามีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่ถ้าจะรอให้ใช้เงินจนร่อยหรอ ไม่เหลือไว้ยามฉุกเฉินเลย เห็นว่าจะผิดแผนเกินไป เขาต้องพยายามมากกว่านี้
เด็กหนุ่มคำนวณค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ตัดทอนเรื่องไร้สาระลง อย่างเช่น เดือนหน้าเขาจะตัดอินเตอร์เน็ตในมือถือของตนทิ้ง ค่าโทรศัพท์ก็จะลดลงมาพอสมควร บอกให้น้องๆระวังเรื่องการใช้น้ำใช้ไฟ เซฟค่ากินระหว่างวัน หากลดรายจ่ายได้วันละหนึ่งร้อย ทั้งเดือนก็จะมีเงินเพิ่มอีกสามพัน แต่ประหยัดอย่างเดียวไม่พอ เขาต้องหาลู่ทางทำเงินเพิ่มด้วย
วันก่อน อินทัชเจอประกาศรับสมัครผู้ช่วยวิจัยของอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เขาเลยติดต่อไป เป็นงานเก็บข้อมูลและพิมพ์ดาต้าในโปรแกรม จ่ายค่าแรงตามจำนวนชุด เขาเลยรับมาทำ นอกจากนี้ยังรับสอนพิเศษให้เด็กวัยมัธยมต้นแถวอพาร์ทเมนท์ด้วย
..จะได้เงินมากหรือน้อย นาทีนี้เขาไม่เกี่ยง..
มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น เขาหันไปดูมือถือของตนที่วางทิ้งไว้ด้านข้าง หน้าจอเป็นชื่อพี่กุนต์ เขามองอย่างเลื่อนลอย ใจหนึ่งไม่ยอมรับสายในตอนนี้ เพราะเผลอขบคิดหาวิธีว่าจะลองพึ่งพาฝ่ายนั้นดูอีกสักครั้งหรือไม่
อีกครั้ง และอีกครั้ง ไม่จบไม่สิ้น เหมือนเข้าหาเพื่อผลประโยชน์ ไม่เคยตอบแทนอะไรอีกฝ่าย มีแต่จะรบกวนและหาเรื่องไปให้ช่วย
เขาถอนหายใจ เสียงนั้นหยุดไป แต่เปลี่ยนเป็นการส่งข้อความทางไลน์แทน
บนหน้าจอมีเมสเสจขึ้นค้าง
‘ทำงานอยู่หรือ’
อินทัชไม่ได้พิมพ์ตอบ ไม่ได้ปลดล็อคเพื่อจะอ่านในไลน์ด้วยซ้ำ
‘พี่จะไปคุยเรื่องที่ดินที่สุโขทัยสี่วัน..อยากได้อะไรก็เมลมานะ’
ข้อความที่พี่กุนต์ส่งมามีแค่นั้น เขาได้แต่จ้องมองด้วยหัวสมองที่ว่างเปล่า
เขาไม่ได้หยิ่ง ไม่ได้ยโส ไม่ได้โง่แล้วอวดเก่งอะไร แต่ ณ ตอนนี้ ที่เขาพอจะดิ้นรนไปเองได้ เขาก็จะลองทำดูก่อน หวังแค่ว่าจะพึ่งพี่กุนต์เป็นทางเลือกสุดท้าย
ในเมื่อฝ่ายนั้นให้ความเป็นเพื่อนกับเขา เขาก็อยากทำตัวให้เหมือนเพื่อนคนหนึ่ง
ไม่ใช่เป็นไม้เลื้อย ที่เห็นหลักให้ยึดเกาะก็ถลาเข้าไปหา สูบเลือดสูบเนื้อเหมือนกาฝาก
..เขาไม่อยากถูกพี่กุนต์มองว่าไม่ต่างอะไรจากเด็กพวกนั้น ที่เข้าหาเจ้าตัวเพราะมีผลประโยชน์แอบแฝง..
“โอ๊ต..” ปาลินเข้ามาตาม เห็นอินทัชนั่งอยู่ตามลำพังเพราะต้องรอขึ้นเวที เขาตรงเข้าไปแตะบ่าเบาๆ “หน้าเครียดชะมัดเลย คืนนี้ร้องเพลงไหวไหม”
“ไหว” อินทัชเงยหน้าขึ้น ถอนหายใจ “ตอนนี้ให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
คนฟังบีบมือบนไหล่กว้าง เขารู้เรื่องที่ยายของเพื่อนเป็นมะเร็ง รู้ว่าเพื่อนเครียดแค่ไหน แต่ก็ช่วยอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้ เขาได้แต่ให้กำลังใจ คอยยืนอยู่ข้างๆ และเสนอเรื่องเงินให้หยิบยืมไปก่อนอย่างที่อินทัชเคยช่วยเขามา
ปาลินยัดเยียดซองที่บรรจุเงินสดใส่มืออีกฝ่าย “เรามีสองหมื่น..เอาไปใช้ก่อนนะโอ๊ต”
อินทัชส่ายหัวแล้วส่งกลับ “ตอนนี้เรายังพอมี เรายังมีทางหาเงินได้อยู่บ้าง แต่ถ้าเข้าตาจนขึ้นมาตอนไหน วันนั้นคงต้องพึ่งสนแล้วจริงๆ”
“เอาไปสำรองไว้ก่อนเถอะ ค่าใช้จ่ายโอ๊ตเยอะกว่าเรา..จริงๆนะ” เขาดึงมือเพื่อนให้รับไป “มีแล้วค่อยคืน ตกลงไหม”
ร่างสูงมองคนเบื้องหน้าด้วยสายตาที่เอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง เขาพยักหน้ารับ
“ขอบคุณนะ..” อินทัชลุกขึ้นยืน กอดปาลินไว้แนบอก “ไม่ว่าจะตอนไหน เมื่อไร สนก็ไม่เคยเดินหนีเราเลย”
..แล้วจะให้รู้สึกเป็นอื่นไปได้อย่างไร..
ปาลินลูบแผ่นหลังกว้าง “ไปทำงานเถอะ..ทำใจให้สบาย เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”
อินทัชยิ้มจาง เขาสำรวจตัวเองอีกครั้งก่อนจะขึ้นเวที
คืนนี้ แขกยังคงเยอะเหมือนเดิม เสียงปรบมือยังดังเหมือนเดิม และเขาก็ยังร้องเพลง เทคแคร์แขก เอนเตอร์เทนผู้คนตามหน้าที่ของตนเช่นเดิม ต่อให้ภายในใจจะกังวล เจ็บปวด ท้อแท้ หรืออ่อนล้าแค่ไหน เขาก็ยังฝืนทนต่อ
แขกสาวคนเก่า ฝากบริกรเอากุหลาบมาให้พร้อมกับทิปจำนวนสองพันที่เขาร้องเพลงได้ถูกใจเธอ
อินทัชก้มหัวลงเล็กน้อย ร้องเพลงต่ออีกสามเพลง จากนั้นก็ลงไปพูดคุยกับเจ้าหล่อน
“ไม่ได้เจอหลายวัน ไปเที่ยวสงกรานต์ที่ไหนมาหรือเปล่าครับ” เขาถาม ชงเครื่องดื่มให้
“ฮ่องกง” เธอยิ้มพราว “ไปช็อปปิ้งมานิดหน่อยน่ะ ซื้อกระเป๋าเล่น หมดไปหลายแสน..แล้วเธอล่ะ”
เด็กหนุ่มยอมรับว่าใจหนึ่ง เขาก็อิจฉาคนมีเงินที่จ่ายและซื้อสิ่งที่ตัวเองต้องการได้โดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย
“กลับบ้านไปเยี่ยมยายครับ” เขาพึมพำ เผลอมองเทียนอโรม่าบนโต๊ะอย่างเหม่อลอย
ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง พาเอากลิ่นน้ำหอมเจือจางลอยอวลอยู่รอบตัว หญิงสาวข้างกายโน้มหน้าเข้ามาใกล้ เล็บที่เคลือบน้ำยาสีใสแตะลงบนท่อนแขนแข็งแรง อินทัชหันมามอง จ้องลึกลงในดวงตาของเธอ
“ตามตื๊อมานานแล้วนะ” เธอกระซิบ “ใจแข็งเกินไปหรือเปล่าพ่อหนุ่มน้อย”
อินทัชนิ่งเงียบ มองผ่านใบหน้าของอีกฝ่ายไปยังโต๊ะด้านหลัง ปาลินนั่งคุยกับแขกผู้ชายคนหนึ่ง ท่าทียิ้มแย้มเอาใจ บริการเครื่องดื่มและนั่งคุยเป็นเพื่อนอย่างที่เขาเองก็ทำ..ทุกอย่างทำไปเพราะหน้าที่ และทำไปก็เพื่อ ‘เงิน’
..พวกเขาต้องการเงินเหลือเกิน..ในชีวิตนี้ ยังต้องดิ้นรนอีกมากนัก..
เขาทอดถอนใจ หลับตาลงอย่างคิดอะไรได้ในที่สุด
“นี่..” เธอเอนตัวเข้าไปซบบ่า “อย่าใจร้ายกับฉันนักเลยน่า”
อินทัชลืมตาขึ้น ก้มลงมองสาวสวยที่ซุกหน้าอยู่แนบอก เขาจับปลายนิ้วซุกซนที่กำลังลูบไปตามหน้าขาของเขาไว้พลางเคล้าคลึงแผ่วเบา สาวเจ้าเงยมอง
“ลองตื๊อดูอีกครั้งสิครับ” เขายิ้มให้ ราวกับจะหยั่งเชิงยั่วเย้า“บางที..ผมอาจจะใจอ่อน”
“แน่ใจหรือเปล่า”
“ลองดูสิครับ”
เธอหัวเราะ สลับขาไขว่ห้างอย่างมีชั้นเชิง “ออกไปเดทกับฉันเถอะ..จะจ่ายค่าเสียเวลาให้สองหมื่น”
“คราวก่อนบอกว่าสามหมื่นนี่ครับ”
“ยังพูดไม่จบเลย” เจ้าหล่อนเอียงคอมอง ปัดผมยาวสยายไปด้านหลัง “ถ้าอยู่เป็นเพื่อนฉันจนถึงเช้า ฉันให้สี่หมื่น”
อินทัชยิ้มจาง เขาไม่ได้ตอบรับอะไร เพียงแค่เลื่อนมือลงมาวางที่เอวคอด แฝงนัยความหมายที่รู้กัน
“ผมเลิกงานตีหนึ่ง คุณรอได้ไหม”
เธอเลิกคิ้วคล้ายประหลาดใจ “อย่าหลอกให้ฉันดีใจเก้อนะ”
“ไม่หรอกครับ” เขาตอบ “ไม่ใช่กับครั้งนี้แน่”
.........................................................................................

ตอนหน้า nc
//เดี๊ยวว อย่าเพิ่งเขวี้ยงเกิบ 5555+
//เดี๋ยวตอนหน้า พี่กุนต์ก็จะมาแบบหึงโหด ตามไปลากตัวไอ้โอ๊ตมาแล้วชกๆๆ ขึงกะเตียง จับกดซะ....
//เชื่อก็ออกลูกเป็นเต่า 5555+
ปล. อีดิทเรื่องฟอกไตตอนที่แล้ว ล้างทางหน้าท้องต้องทำทุกวันกั๊บ 555+ ไอ้นี่เอาไปปนกะทางแขนเฉย ขอบคุณคุณ Jibbubu มากๆจ้า ^^ รักษาสุขภาพด้วยน้าา สู้ๆๆค้าบบ
ปลล. ใครเจอคำผิด มีข้อมูลอะไรที่ผิดๆ แจ้งเค้าด้วยน้าาา
**มีแก้ไขเหตุการณ์เล็กน้อยคร้าบ ต้องขอขอบคุณคุณหมอ Kanta Riensavapak มากๆๆๆน้าา ที่ช่วยดูเรื่องข้อมูลการพบหมอ อาการ การรักษา ให้จ้าา คุณหมอบอกว่าช่วงเทศกาล จะไม่มีแผนก OPD จะเป็นคลินิกพิเศษ เลยส่งอัลตร้าซาวด์วันเดียวกันบ่ได้ ต้องรอนัดมาวันเวลาราชการ ก็เลยแก้ไขตรงนี้จ้า แล้วก็แนะนำเข้า รพ.จังหวัดด้วย (เค้าให้ไป รพช. 55+) เค้าเลยถามขั้นตอนพบหมอไปซะแหลกลาญ แต่คุณหมอใจดีม๊ากก ตอบละเอียดยิบมาเลย 555+ รบกวนคุณหมอยันเที่ยงคืนอ่ะ ขอบคุณมากๆจ้าา
