.
.
.
นานมาแล้วที่กนธีไม่ได้ทำตัวกระชากวัยแบบที่กำลังทำอยู่ วันนี้เขาได้ปลดปล่อยอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ขอยืมมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ขับพาเด็กๆไปเที่ยวเลียบชายหาดจนผมเผ้ารุงรังเป็นสิงโต ทั้งยังเหนียวหนืดด้วยไอเกลือ จากนั้นก็ยืมคันเบ็ดของรีสอร์ทมาตกปลาหมึก แต่เขาคงเป็นพวกทำบาปไม่ขึ้น เพราะเหวี่ยงแหทีไร เหยื่อกระเด็นกลับมาติดบนหัวตัวเองทุกคราวไป
หมดจากการตกปลาหมึกที่ได้มาแค่ถังว่างเปล่า เขาก็ชวนอินทัชไปพายเรือเล่น เขาให้น้องอ้นนั่งด้วย ส่วนอีกฝ่ายเป็นคนดูน้องอุ้ม หลังจากที่พายวนไปวนมาอยู่ในเขตน้ำตื้นเพราะห่วงความปลอดภัยของน้องน้อยอยู่นาน เขากับอินทัชก็ตัดสินใจพายเรือแข่งกันโดยฝากให้เพื่อนเขาที่แวะมาหาช่วยดูแลเด็กๆ
กนธีน่าจะหัดปรามตัวเองว่าถึงแม้เขาจะออกกำลังบ่อยแค่ไหน แต่จะให้สู้เด็กหนุ่มที่ได้ทุนนักกีฬาของมหาวิทยาลัยคงไม่ได้ เขาเลยหมดแรง นอนตายซากอยู่บนเรือกระทั่งอินทัชพายกลับมาดู แต่แทนที่จะช่วย เจ้าหมอนั่นกลับเอาไม้พายเขี่ยเรือเขาลอยออกไปตามกระแสคลื่น
“จับปลาหมึกไม่ได้ ไม่ให้กลับนะครับ”
..ดูเอาเถอะ..พอสนิทกันมากขึ้นก็เริ่มกวนอารมณ์อย่างที่คาด..
จบจากการพายเรือ กนธีที่ยังมีแรงฮึดก็มาเล่นเกมยักษ์วิ่งไล่จับเด็กตามคำชวนของอ้นกับอุ้ม อินทัชว่าจะปรามให้เล่นกันแค่พอสมควร แต่เห็นว่าทุกคนกำลังสนุกเลยได้แต่นั่งมอง
ระหว่างนั้น เด็กหนุ่มเห็นคนอายุมากกว่าวิ่งเสียเต็มเหนี่ยว ลงท้ายเลยสะดุดขาตัวเองลงไปกลิ้งกับเนินทรายอยู่สองรอบ ล้มป๊าบใส่พื้นเสียงดังจนเขาตกใจ พอเห็นพี่กุนต์ลุกขึ้นมาวิ่งได้อีกครั้งแบบหน้าตาย เขาถึงหลุดหัวเราะตัวโยน
..ถ้ากระดูกหักไปจะทำยังไงเนี่ย..
หลังจากมองพี่กุนต์วิ่งเล่นกับน้องชายเขาจนเหนื่อยแทน อินทัชก็ชิงเข้าไปอาบน้ำในบ้านก่อน เขาสระผมด้วยเพราะหัวเหนียวมาก แต่ยังไม่ได้เป่าให้แห้ง เลยว่าจะเดินตากลมทะเลอีกรอบ
“ไปอาบน้ำแล้วกินข้าวกันเถอะครับ” พูดพลางเอาผ้าขนหนูเช็ดผมเปียกซ่กของตนไปพลาง
กนธีมองคนที่เดินออกมาทั้งที่สวมกางเกงเลขายาวตัวเดียว เจ้าเด็กนี่ก็ดูดีเอาเรื่อง ทั้งเครื่องหน้าและรูปร่างอย่างนักกีฬา ช่วงตัวสูงใหญ่กว่าคนในวัยเดียวกัน เห็นว่าชอบเล่นบาสเก็ตบอลตั้งแต่เด็ก กระดูกเลยโตไวกว่าเพื่อน
“ไป..อ้น อุ้ม เข้าไปอาบน้ำเลย” คนเป็นพี่ออกมาต้อนน้องๆก่อนจะหันมาทางเจ้ามือของวัน “พี่กุนต์ล่ะครับ จะอาบน้ำ หรือว่าจะซักแห้ง”
..ฟังเด็กมันแหย่แล้วจั๊กจี้รูหูชะมัด..
“ว่าจะดองเค็มแบบนี้แหละ อร่อยนะ” อบทรายมาหมาดๆ รสชาติคงดีพิลึก
“ไปอาบน้ำเถอะพี่ ผมขอร้อง” อินทัชส่ายหัว “ไม่อย่างนั้นตัวพี่คงมีรสแบบจับฉ่าย”
“แล้วมันเหม็นหรือหอมล่ะเนี่ย”
เด็กหนุ่มยักไหล่ ตอบหน้าตาย “ไม่รู้สิครับ ยังไม่เคยลองกิน”
กนธีรู้สึกใจกระตุกหน่อยๆ เพราะพาลคิดว่าสิ่งที่เด็กยังไม่ได้ ‘ลองกิน’ คือตัวเขา ไม่ใช่จับฉ่าย..ถึงมันจะเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ
..แต่ว่าอะไรที่เปื่อยๆแบบโดนตุ๋นมานาน มันก็อร่อยดีนา..
คนพาเที่ยวใช้เวลาในการอาบน้ำสระผมประมาณห้านาที เร็วเสียจนเด็กๆร้องแซวว่าวิ่งผ่านน้ำ กนธีอาสาพาไปกินมื้อเย็นที่ร้านริมทะเล เขาจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงซีฟู้ดให้ทุกคนท้องแตกตายเลย
“ไปมอเตอร์ไซค์หรือเดินไปดีครับ” อินทัชจับน้องชายปะแป้งที่แก้มเสียขาววอกทั้งคู่
“ไปเรือสิ เฟี้ยวเงาะ”
“ศัพท์โบราณรุ่นไหนน่ะพี่กุนต์” เขาเลิกคิ้วงุนงง “แล้วเมื่อตอนบ่ายที่ลอยอยู่ในเรือ ยังดื่มด่ำกับทะเลไม่พอหรือครับ แข็งแรงดีจังเลยนะ”
กนธีหัวเราะครึกครื้น “น่าๆ..ถ้ากลับกรุงเทพไปก็ไม่ได้พายเรือแล้วนะ พี่อยากเล่นให้เต็มที่”
“ถ้างั้น อ้นไปนั่งกับพี่กุนต์ แล้วอุ้มมานั่งกับพี่เหมือนเดิม” เขาบอก จัดการเข็นเรือลงไปในน้ำ อุ้มน้องๆขึ้นไปนั่งประจำที่ทีละคนก่อนหันมาหาคนด้านหลัง “มาสิครับ..”
กนธีหลุบตาลงมองฝ่ามือใหญ่ที่ยื่นมาหา รู้สึกว่าทรายใต้ฝ่าเท้าจะร้อนวาบขึ้นเล็กน้อย
“เอ้า..” เขาวางอะไรบางอย่างลงในมืออีกฝ่ายแทน
อินทัชมองอย่างมึนๆ “นี่มัน..” เขาดูเปลือกหอยสีเทาปนดำ ผิวขรุขระเป็นทางยาว
“หอยจุ๊บแจง”
คนฟังถอนหายใจ “หอยแครงต่างหากครับ ไปเก็บมาทำไมเนี่ย” มองตามคนที่ก้าวขึ้นเรือไปด้วยตัวเอง พี่กุนต์หัวเราะชอบใจ พลอยทำให้เขายิ้มตามไปด้วย
..แข็งแรงขึ้นแล้วจริงๆ..
อาหารทะเลมื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุด นับจากเมื่อหลายปีก่อนหน้าที่ได้มากินกับศรัณย์ ถ้าไม่นับรวมการใช้ชีวิตกับพสิษฐ์ กนธีก็ไม่ได้หัวเราะอย่างเต็มความรู้สึก ไม่ได้สดชื่นและมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว
อินทัชสั่งหอยแครงลวกมาให้ เพราะอยากจะสอนให้คนแก่กว่ารู้จัก ว่าอันไหนหอยจุ๊บ อันไหนหอยแครง กนธีเลยขอให้น้องอ้นช่วยแงะให้กิน และแน่นอนว่าเขาขอพักการกินผักไปก่อนชั่วคราว
“อ้นสงสัยจังครับ” เด็กชายขมวดคิ้วน้อยๆมองอาหารในหม้อไฟ “ต้มโคล้ง โป๊ะแตก ต้มยำ มันต่างกันยังไงอ่ะ”
“พี่ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน” กนธีเกาหัวแกรก “แต่ถ้าถามว่า เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู เห็ดเข็มทอง เห็ดหลินจือ เห็ดเออรินจิต่างกันยังไง พี่เชี่ยวชาญนะ”
“พี่กุนต์ชอบกินเห็ดหรือครับ” อินทัชรู้เข้าเลยตักเห็ดใส่ถ้วยเสียจนลอยฟ่อง แออัดกันเป็นแพมาให้
“พี่ชอบกินผักทุกชนิด”
“หยึย” น้องอุ้มทำหน้ามู่ทู่ เจ้าหนูกำลังวางแผนจะตักแครอทในจานยกให้พี่กุนต์อยู่พอดี
“กินเข้าไปเลยอุ้ม ถ้าเลือกกินจะโตได้ยังไง” พี่โอ๊ตของน้องๆพูดเสียงดุ จากนั้นถึงจะเห็นพี่กุนต์แอบเขี่ยเนื้อปลากะพงออกจากถ้วย “พี่กุนต์ครับ..นานๆทีกินเนื้อสัตว์บ้างก็ดีนะ”
กนธีทำคอหด “คร้าบ..”
หลังจากกินเสร็จ อินทัชยืนยันขอเป็นคนจ่าย กนธีคิดว่าถ้าไม่ยอมไปบ้าง อีกฝ่ายคงจะต้องท้าให้งัดข้อกัน ใครชนะได้จ่ายแน่ๆ ถึงเขาจะชอบกินคะน้าที่มีแคลเซียม แต่กระดูกก็คงไม่แข็งแรงเท่าเด็กหนุ่มๆ เขาเลยยอมลงให้
ออกจากร้านอาหาร น้องอุ้มเหลือบไปเห็นร้านขายห่วงยางก็กระตุกแขนเสื้อพี่โอ๊ต ชี้มือให้ดู
“อยากได้อะไร..หืม” อินทัชหยิบเม็ดข้าวออกจากหัวน้อง ไม่รู้มันกินยังไง กระเด็นขึ้นมาได้
“หนูอยากได้เป็ดเหลือง” อุ้มทำตาเป็นประกาย เจ้าหนูจ้องห่วงยางอันยักษ์ที่มีหัวเป็นเป็ดตาไม่กะพริบ
“เอาไปทำอะไร”
“เอาไปเล่นในสระว่ายน้ำฮะ”
“แล้วจะมีโอกาสได้ใช้กี่ครั้ง” อินทัชนั่งยองๆลงถามน้อง “พี่สอนอุ้มว่ายังไงครับ”
“จะซื้ออะไรต้องดูความจำเป็น ถ้าใช้ได้ไม่เกินห้าครั้ง ก็ไม่ต้องซื้อครับ” อ้นช่วยตอบแทนน้อง
อุ้มทำปากเบะ พอรู้คำตอบพี่โอ๊ต เลยหันไปหาที่พึ่งอีกคนคือพี่กุนต์ เด็กชายโผเข้ากอดขา ซบหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น กนธีเห็นแล้วใจอ่อน แต่เขาจะทำให้คำสอนของอินทัชกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญไม่ได้ ดังนั้น เมื่อเขามองตาอีกฝ่ายแล้ว เด็กหนุ่มส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ เขาเลยได้แต่ยืนเฉยไปอีกคน
“ฮืออ..หนูอยากได้เป็ดเหลือง”
“เอาอย่างนี้ไหมครับ” กนธีเสนอเพราะใจอ่อนยวบเยียบ “ถ้าราคาต่ำกว่าโป๊ะแตกหม้อนั้น พี่กุนต์จะขอพี่โอ๊ตซื้อให้ แต่ถ้าราคาสูงกว่า อุ้มอาจจะไม่ได้เป็ดเหลืองตอนนี้นะครับ”
น้องอุ้มคิดอยู่สักพักก็ยอมพยักหน้า พี่กุนต์เลยจูงมือไปถามราคาจากคนขาย ตรงนี้ กนธีขอให้อินทัชเคารพสิทธิ์ของน้องคนเล็กด้วย เขาคิดว่าผู้ใหญ่ไม่ควรจะโกหกว่าราคาแพงเพื่อที่จะได้ไม่ต้องซื้อให้เด็ก ในเมื่อทำข้อตกลงกันแล้วก็ถือว่าพบกันคนละครึ่งทาง อีกอย่าง..นี่ก็เป็นวันพิเศษ วันเที่ยวครั้งแรกของเด็กๆด้วย เขาไม่อยากให้น้องเสียใจนัก
“ราคาอันนี้น่ะหรือ” เจ้าของร้านพลิกเป็ดเหลืองยักษ์ไปมา “หกร้อยบาทจ้ะ” สรุปว่าแพงกว่าโป๊ะแตกจริงๆ
น้องอุ้มน้ำตาคลอ อ้นเลยกอดน้องชายปลอบใจ
“เลือกเอาอย่างอื่นที่ราคาต่ำกว่าสามร้อยได้ไหมครับ” กนธีลูบหัวเล็ก “พี่ให้อ้นกับอุ้มเลือกได้คนละหนึ่งอย่าง ถือว่าเป็นของขวัญจากพี่กุนต์ แต่ว่าพอกลับไปกรุงเทพแล้ว ถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษแบบนี้ พวกหนูจะต้องเชื่อฟังพี่โอ๊ตนะ”
อ้นไม่อยากได้อะไรเลยส่ายหัวดิก ส่วนน้องอุ้มก็หวังแต่เป็ดเหลืองจนไม่สนใจลูกบอลชายหาดลายกระต่าย เด็กชายน้ำตาร่วงเผาะๆด้วยความผิดหวัง กนธีก็ได้แต่ลูบหัว เขารู้ว่าน้องอุ้มเสียใจ แต่เพราะว่าเป็นเด็กดีกับพี่ชายมาโดยตลอด เลยไม่แสดงท่าทีอาละวาดงอแงแบบเด็กคนอื่น
อินทัชเกือบจะใจอ่อนให้แล้ว แต่เขายังยืนยันว่าไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีห่วงยางเป็ด
“งั้นพี่ซื้อลูกบอลไปเล่นที่บ้านลูกหนึ่งแล้วกัน” คนเป็นผู้ใหญ่ควักเงินจ่ายไป หวังว่าพอน้องหายเสียใจ พวกเขาจะได้เล่นสระว่ายน้ำหลังบ้านพักกัน
น้องอุ้มร้องไห้กระซิกๆ แต่พอเงยหน้าไปเห็นพี่โอ๊ตยื่นมือมาหา เด็กชายก็จับปลายนิ้วพี่ไว้ ให้พี่โอ๊ตอุ้มขึ้นหลัง ถึงแม้จะเสียใจและผิดหวังแค่ไหน แต่ก็ไม่ยอมแสดงพฤติกรรมให้พี่ลำบากใจเลย
“กลับกันนะครับอ้น” กนธีหันมาจูงเด็กน้อยอีกคนที่เดินตามต้อยๆ
พวกเขาพายเรือกลับมาที่วิลล่าหลังเดิม อินทัชให้อ้นคอยดูน้องอุ้มจนกว่าน้องจะเลิกร้องไห้ ส่วนเขาก็ไปทำโอวัลตินให้น้องดื่มก่อนนอน ในขณะที่กนธี พอถึงที่พัก กลับหายตัวไปเสียเฉยๆ กระทั่งอินทัชคิดจะออกตามหา พี่กุนต์ก็โผล่มาพอดี
“เอาอะไรมาน่ะครับ” เขามองกิ่งต้นก้ามปูในมืออีกฝ่าย มันมีอยู่สองกิ่ง กิ่งหนึ่งมีใบไม้ติดอยู่หรอมแหรม อีกกิ่งหนาเป็นพุ่ม ดูท่าจะหนักเอาการ “พี่ไปปีนต้นไม้มาหรือไง” ตามตัวดูมอมแมมไปหมด
“ฮ่ะๆ พี่จะเอามาเล่านิทานให้เด็กๆฟังนะ”
อินทัชมองตามอย่างงุนงง เขาเห็นกนธีเข้าไปขอร่วมวงกับอ้นและอุ้ม เลยจัดการปิดทีวี แต่ยังยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ
“พี่กุนต์จะเล่านิทานให้ฟังครับ มีใครอยากฟังไหม” กนธีรอจังหวะน้องอุ้มอารมณ์ดีขึ้นแล้วพูดขึ้นมา
อินทัชยื่นแก้วโอวิลตินให้อ้น ส่วนน้องอุ้มชอบกินนมหมีน้ำผึ้งแช่เย็น เขาเลยหยิบมาให้เผื่อว่ากินอะไรหวานๆจะได้สดชื่นขึ้นมาหน่อย เจ้าตัวแสบเลยรับไปดูดจ๊วบพลางพยักหน้ารับ
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคนจีนสองคนเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองนั่งเรือสำเภามาจากจีนแผ่นดินใหญ่ หนีความอดอยากไปตายเอาดาบหน้า พวกเขามีแค่เสื่อผืนหมอนใบ ไม่มีเงินติดตัวกันเลย” กนธีนั่งกับพื้นอย่างไม่ถือตัว มุมนี้เขาจะได้เห็นหน้าเด็กๆได้ชัดขึ้น “คนจีนคนหนึ่งมีลักษณะผอม พี่จะเรียกว่า จีนผอม ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มตัวอ้วน พี่จะเรียกว่าจีนอ้วน”
“ตอนที่มาถึงเมืองไทย จีนผอมกับจีนอ้วนก็นึกดีใจ คุยกันว่า ที่นี่อุดมสมบูรณ์ เราคงจะรอดตายแน่ๆ ต่างคนก็ต่างจะแยกย้ายกันไปทำมาหากิน แต่ก่อนจากกัน เพื่อนทั้งสองได้ทำข้อตกลงกันว่า ถ้ามีเงินไม่ถึงร้อยชั่ง..”
“ชั่งคืออะไรครับพี่กุนต์” อ้นทำคิ้วผูกโบว์
“เอ่อ..เอาเป็น ห้าพันบาทแล้วกัน” กนธีสมมติค่าของเงินใหม่ “พวกเขาตกลงกันว่า ถ้ามีเงินสะสมไม่ถึงห้าพันบาท ห้ามกินเนื้อสัตว์ เพราะว่าสมัยนั้น เนื้อสัตว์มีราคาแพงมากครับ”
อุ้มฟังอย่างตั้งใจ ไม่กินเนื้อสัตว์ก็เหมือนพี่กุนต์เลยสินะ
“จีนผอมแยกตัวไปทำการค้า เขาทำตามสัญญาที่คุยกันไว้อย่างเคร่งครัด อุตส่าห์ยอมอดทน เอาปลาทูมาต้มกินกับใบมะขาม กินกับข้าวเปล่า จนกระทั่งสะสมเงินได้เกินห้าพันบาท เขาถึงยอมจ่ายเงิน ซื้อเนื้อสัตว์มาทำอาหารกิน”
“แล้วจีนอ้วนล่ะฮะ” อุ้มทำหน้าสงสัย
“ตอนแรกๆ จีนอ้วนก็ทำตามสัญญา แต่มีอยู่มาวันหนึ่ง จีนอ้วนไปตลาด เจอเนื้อเป็ดที่เอามาขายราคาถูกกว่าเนื้อปลา เพราะว่าเป็ดเป็นโรคตาย จีนอ้วนเลยลองซื้อมาปรุงอาหารกิน ด้วยความที่คิดว่า ที่เพื่อนห้ามไม่ให้ซื้อเนื้อสัตว์ก็เพราะว่ามันราคาแพง แต่นี่เจอราคาถูกมากๆ ซื้อมากินก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
อินทัชยิ้มจาง เขารู้แล้วว่าพี่กุนต์ตั้งใจจะเล่าอะไร
“แล้วมันอร่อยไหมครับ” อ้นน้ำลายสอตามไปด้วย
“อร่อยมาก” กนธียิ้ม “จีนอ้วนลองกินเนื้อเป็ดที่เป็นโรคตายแล้วรู้สึกติดใจมาก พอติดใจก็หาโอกาสไปซื้อเนื้อเป็ดที่เป็นโรคมากินบ่อยๆ แต่พอเวลาผ่านไป ก็สงสัยว่า ถ้าได้กินเป็ดที่เขาฆ่าสดๆ รสชาติจะเป็นยังไงนะ”
“หนูว่ามันน่าจะอร่อยกว่า” อุ้มตอบ
“ใช่แล้วครับ เป็ดที่เขาฆ่าสดๆมันอร่อยกว่า จีนอ้วนเลยควักเงินไปซื้อเป็ดมากินอยู่เรื่อย พอกินเป็ดบ่อยๆก็เกิดเบื่อ ลองเปลี่ยนไปกินเนื้อหมู พอเห็นว่าหมูอร่อยก็กินมาตลอด พอเบื่อหมูก็หันไปกินเนื้อไก่ สุดท้ายจีนอ้วนเลยกินครบทั้งหมูเป็ดไก่..ทั้งที่ยังสะสมเงินไม่ถึงห้าพันบาท เพราะฉะนั้น อะไรเกิดขึ้นรู้ไหมครับ”
“ไม่มีเงินเหลือครับ” อ้นเป็นคนตอบ “เพราะพี่กุนต์บอกว่าเนื้อสัตว์มันแพงมาก”
“เก่งมากครับ จีนอ้วนทำงานไป กินแบบฟุ่มเฟือยไป ท้ายที่สุด เงินก็หมด ที่ค้าขายมาก็ไม่ช่วยอะไรเลย พอเงินหมด จีนอ้วนเลยต้องไปขอพึ่งจีนผอม ที่ตอนนี้กลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว”
“อู้หู” น้องอุ้มร้อง
“จีนผอมพอรู้เรื่องว่าเพื่อนผิดสัญญาก็ไม่ได้ต่อว่า จีนผอมยกข้าวสารให้จีนอ้วนหนึ่งกระสอบ ให้เพื่อนไปอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังบ้าน และบอกเพื่อนว่า..” กนธีดัดเสียง “เพื่อนเอ๋ย..จากนี้ไป ขอให้เพื่อนทำกับข้าวกินเอง โดยเอาปลามาต้มกับใบมะขาม แต่ให้เด็ดใบมะขามจากต้นเล็กก่อน” เขายกกิ่งไม้ที่มีใบหรอมแหรมให้ดู
“จีนอ้วนทำตามที่เพื่อนบอก กลับมาขยันทำงานเหมือนเดิม เงินที่ได้ก็แบ่งมาส่วนหนึ่ง ซื้อปลามาต้มกับใบมะขามทุกวัน..ทุกวัน” ชายหนุ่มเด็ดใบไม้ทิ้งทีละใบให้ดู “กินแบบเดิมเกือบเดือน ใบมะขามก็หมดต้น” ตอนนี้กิ่งไม้ในมือกนธีก็เหลือแต่กิ่งเปล่า ไม่มีใบเสียแล้ว
“หวา..แล้วจะทำยังไงอ่ะครับ” อ้นลุ้นตามไปด้วย
“จีนอ้วนเลยไปบอกจีนผอม จีนผอมก็บอกให้จีนอ้วนเปลี่ยนไปเด็ดใบมะขามต้นใหญ่ ต้นของมันสูงเท่าตึกสองชั้น แผ่กิ่งก้านสาขาไปกว้าง ยาวถึงฝั่งนู้น” เขาชี้มือ “จีนอ้วนทำตาม เด็ดใบมะขามกินต่อไป ทุกวัน..ทุกวัน” เขาเด็ดใบทิ้งให้ดู “แต่ปรากฏว่า ผ่านไปหนึ่งเดือนก็แล้ว สองเดือนก็แล้ว สามเดือน สี่เดือน ใบมะขามก็ยังไม่หมดต้น เพราะพอกิ่งนี้หมด ไปเด็ดกิ่งอื่น ยังไม่ทันจะหมด กิ่งเดิมก็แตกใบใหม่ออกมาให้เด็ดกินไม่รู้จักจบจักสิ้น”
“หลังจากนั้น จีนผอมก็มาหาจีนอ้วน ถามว่า..เด็ดใบมะขามต้นใหญ่กิน เป็นยังไงบ้างล่ะเพื่อน” กนธียิ้มให้เด็กๆที่นั่งฟังตาแป๋ว “จีนอ้วนตอบตามความจริงว่า..เด็ดกินเท่าไรก็ไม่หมดสักที กินจนหน้าจะกลายเป็นใบมะขามอยู่แล้ว”
เด็กๆหัวเราะก๊าก อินทัชที่นั่งฟังเงียบๆอยู่นานก็พลอยขำไปด้วย
“จีนผอมเลยพูดว่า..นี่แหละเพื่อนเอ๋ย..มะขามต้นเล็กนี้ก็เหมือนกับเพื่อน ใบยังขึ้นไม่ทันไร ก็ถูกเด็ดใช้เด็ดกินเสียก่อนแล้ว มันถึงได้งอกใหม่ไม่ทัน เหมือนกับเพื่อนที่ยังเก็บเงินได้ไม่เท่าไร เพื่อนก็ชิงใช้หมดเสียก่อน มันจะมีอะไรเหลือล่ะ” เขาเล่าเสียงนุ่ม “ส่วนมะขามต้นใหญ่นี่ก็คือเราเอง กินได้เท่าไรก็ไม่หมด เหมือนที่เราประหยัด อดออมให้มีเงินเยอะก่อนถึงจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เมื่อเรารวยแล้ว เหมือนมะขามที่มีใบนับไม่ถ้วน จะใช้เงินอย่างไรก็ยังมีเหลือ”
“เมื่อจีนอ้วนเข้าใจความหมายที่เพื่อนรักสอนแล้ว จีนอ้วนก็ลาจากจีนผอมไปตั้งตัวค้าขายใหม่ คราวนี้เขาสัญญาว่าถ้ามีเงินไม่ถึงห้าพันบาท จะไม่ยอมฟุ่มเฟือยเด็ดขาด” กนธียิ้ม “นับจากนั้นมา จีนอ้วนก็ขยันทำงานจนมีเงินใช้จ่ายสบายมือ กลายเป็นเศรษฐีไปอีกคน ถึงตอนนี้ เขาจะกินหมู เป็ด หรือไก่ เขาก็มีเงินเหลือพอแล้ว..แฮปปี้เอนดิ้งครับ”
น้องๆปรบมือแปะๆ กนธีเล่าเสียคอแห้ง ไม่รู้ว่าเด็กทั้งสองคนจะเข้าใจความหมายหรือเปล่า เขาเลยชูกิ่งไม้ทั้งสองกิ่งขึ้นมาตรงหน้าอ้นกับอุ้ม และบอกให้ลองมองดู
“อ้นกับอุ้ม จากนิทานที่พี่เล่า พวกหนูบอกพี่กุนต์หน่อยครับว่าอยากจะได้กิ่งไม้ฝั่งไหน” เขายื่นให้ “กิ่งที่ไม่มีใบ หรือกิ่งที่มีใบเยอะ เด็ดเท่าไรก็ไม่หมด”
อ้นกับอุ้มชี้ไปยังกิ่งที่มีใบเยอะพร้อมกัน ทำเอากนธีชื่นใจเหลือเกิน
“นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเราต้องขยันเก็บเงินครับ รวยแล้วค่อยว่ากันเนอะ แต่รวยแล้วจะฟุ่มเฟือยตลอดก็ไม่ได้นะครับ พี่กุนต์ก็พอมีเงินนะ แต่พี่กุนต์ยังกินผักอยู่เลย เหมือนจีนผอมกินใบมะขามจนหน้าเป็นมะขาม”
อินทัชหัวเราะเบาๆ
“อ้นจะขยัน ทำงานเก็บเงิน จะได้มีเงินเยอะๆเหมือนใบมะขามบนต้นใหญ่ครับ” อ้นโตกว่าเลยเข้าใจได้ง่ายกว่า
น้องอุ้มฟังนิทานแล้วก็เข้าใจเหมือนกัน เด็กชายเลยพยักหน้ารับ พอเงยหน้าเห็นพี่โอ๊ตมองอยู่ เจ้าหนูก็ก้าวลงจากโซฟา โผเข้ากอดพี่
“หนูขอโทษที่ดื้อฮะ”
“เปล่า..อุ้มไม่ได้ดื้อสักหน่อย อุ้มแค่ร้องไห้เพราะเสียใจ” อินทัชลูบหัวน้อง “ในชีวิตเรา ไม่ได้มีอะไรสมหวังไปทุกอย่างหรอกนะอุ้ม มันมีบ้างที่ต้องฝืนใจ ต้องผิดหวัง แต่ทุกครั้งที่รับความผิดหวังได้ อุ้มจะโตขึ้นอีก..เชื่อพี่สิ”
เด็กๆพยักหน้าหงึกหงัก กนธีมองแล้วอดยิ้มไปด้วยไม่ได้ ถึงตอนนี้ น้องๆเริ่มขยี้ตากันแล้ว คงจะง่วงกันเพราะตอนเย็นใช้พลังงานไปเยอะ เขาเลยชวนไปแปรงฟันแล้วเข้านอน ตอนเช้าจะได้ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน
อินทัชจูงมืออ้นกับอุ้มเข้าไปในห้อง ส่วนกนธีเอาถ้วยโอวัลตินที่วางค้างอยู่บนโต๊ะรับแขกไปล้างให้ที่ซิ้งค์ จากนั้นก็กลับมากวาดใบไม้ที่เขาเด็ดทิ้งเสียเกลื่อนพื้น
ชายหนุ่มเปิดประตูกระจกออกไปข้างนอก สายลมเย็นรื่นยามดึกพัดผ่าน กลิ่นไอเกลือลอยอวลอยู่โดยรอบ หาดตรงนี้เป็นหาดส่วนตัว เลยไม่มีเสียงจอแจวุ่นวายของนักท่องเที่ยว
กนธีเดินลุยผ่านหาด เอากิ่งไม้และใบไม้ไปกองอยู่ใต้ต้น เขาบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อยหันไปมองท้องทะเลช่วงกลางคืนที่มีคลื่นสาดเข้าหาฝั่งเป็นระลอก เสียงซัดครืนของมันฟังแล้วให้ความรู้สึกเบาสบายอย่างบอกไม่ถูก
แสงไฟของฝั่งแผ่นดินใหญ่สะท้อนอยู่ลิบๆ แสงไฟจากบ้านพักด้านหลังเองก็ให้ความอบอุ่น เขาวางมือทาบกับกิ่งต้นก้ามปูริมหาด สายตาสอดส่อง หาร่องรอยบางอย่างกระทั่งเจอมัน..รอยสลักด้วยมีดพับยังคงเห็นอยู่เจือจาง
..ศรัณย์..กนธี..
เขายิ้มอย่างหงอยเหงา ไล้ปลายนิ้วลงกับรอยขรุขระนั่นก่อนจะเอนตัวลงซบลำต้นใหญ่โตของมัน
“คิดถึงนะรัณย์..” กนธีพึมพำกับความว่างเปล่า “พี่ลุกขึ้นยืนและเดินต่อแล้ว แต่พี่ไม่ได้ลืมรัณย์นะ ในใจของพี่..ยังรักรัณย์คนดีเสมอ”
ชายหนุ่มยืนพิงต้นก้ามปู หลับตาและฟังเสียงเกลียวคลื่นที่ม้วนตัวเป็นระลอกอยู่นาน กระทั่งฝ่ามืออบอุ่นวางแผ่วเบาลงบนไหล่ เขาหันมามอง เห็นอินทัชยืนอยู่ด้านหลัง ช่วงตัวสูงใหญ่บดบังแสงไต้ที่ปักไว้บนหาด
“เข้านอนเถอะครับ” เสียงทุ้มต่ำบอก “เดี๋ยวตื่นไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นนะ”
กนธีพยักหน้ารับ มองมือที่ยื่นมาหา เขาลังเลอยู่นิดหนึ่ง
“ไม่ต้องมองหาหอยแครงที่พี่คิดว่าเป็นหอยจุ๊บแจงหรอกครับ” อินทัชพูด “ผมขอมือพี่..ไม่ต้องยื่นอย่างอื่นมาให้”
กนธีหัวเราะเฝื่อน “เดินเองได้น่า ไม่ล้มหรอก พี่หลักดี”
“ครับ..ไม่ล้ม สองป๊าบเมื่อตอนกลางวันนั่นไม่ได้เรียกว่าล้ม” เด็กหนุ่มพูดเสียงเรียบแต่ประโยคกวนอารมณ์
แต่ก่อนที่กนธีจะเสยหมัดเข้าปลายคางเขา อินทัชก็ชิงพูดต่อ
“ผมไม่ได้กลัวว่าพี่จะล้มครับ แค่ในบางเวลา มีเพื่อนเดินจับมือกันอยู่ข้างๆ..มันก็อุ่นใจดีไม่ใช่หรือ”
กนธีนิ่งไปครู่ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา เขายื่นปลายนิ้วไปแตะมือคนที่ลดแขนลงมาอยู่ข้างลำตัวแทน อินทัชเลยจับมือเขาไว้หลวมๆ ไม่มีความหมายอื่นใดแอบแฝง
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยสอนอ้นกับอุ้มแทนผม” อินทัชพึมพำ “นิทานของพี่สนุกดี”
“พี่เคยอ่านในหนังสือนิทานโบราณสอนใจน่ะ ก็เลยเอามาเล่าต่อ เนื้อหาไม่เป๊ะหรอก จำได้ลางๆประมาณนี้ เอาไว้จะให้ยืมอ่านนะ เป็นเรื่องที่ดีมากเลย เอาไว้สอนเด็กๆก็น่าจะดี”
“ผมขี้เกียจอ่าน” คนฟังยิ้ม “ไว้ว่างๆ..พี่กุนต์ช่วยเล่าให้อ้นกับอุ้มฟังน่าจะดีกว่า”
กนธีเหลือบมองคนด้านข้าง รู้สึกอุ่นซ่านในใจอยู่วูบหนึ่ง แต่แล้วก็ต้องปัดมันทิ้ง
“ยังไม่ง่วงเลย..เดินเล่นบนหาดด้วยกันหน่อยได้ไหม”
“ได้ครับ..ยังไงคนขับรถกลับกรุงเทพก็ไม่ใช่ผม”
ไอ้เด็กกวนโอ๊ย.. เขานึกด่าอยู่ในใจ
..แต่แบบนี้ก็สนุกดี..อยากให้กวนอารมณ์บ่อยๆเหมือนกัน..
...........................................................................................
นิทานที่พี่กุนต์เล่า เค้าอ่านมา แต่จำชื่อผู้แต่งไม่ได้จ้า มันโบราณจริงๆ แต่สนุกทุกเรื่อง

ปล . ขอบคุณ คุณ sirin_chadada สำหรับคำผิดจ้า 55555+ แก้แย้วๆ