Chapter 5
สองอาทิตย์เต็มๆที่กนธีแวะเวียนไปหาใครบางคน จากที่ไม่เคยใช้ชีวิตช่วงกลางคืนเกินสี่ทุ่ม กลายเป็นว่าเขากลับถึงบ้านหรือคอนโดของตนราวเที่ยงคืนมาเรื่อย เขาไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย ก็แค่ไปนั่งแกร่วอยู่ในเลานจ์ มองอินทัชจากหน้าเคาน์เตอร์บาร์ จ้องท่าทางและการเคลื่อนไหวของเขา ฟังเสียงนุ่มๆของเด็กหนุ่มเวลาพูดคุยกับลูกค้าทุกคน
สองอาทิตย์ที่ว่า กนธีทำได้แค่ดื่มน้ำผลไม้ปั่น ในขณะที่อินทัชเชี่ยวชาญการผสมเหล้า คิดแล้วก็น่าสงสาร สุดท้ายก็ไม่ได้ค่าดื่มจากเขาจนได้ แต่ถ้าค่าทิปจากเพลง เขาไม่เคยเบี้ยว
คืนนี้กนธีสั่งเวอร์จิ้นโมจิโต้ รสชาติแบบน้ำสไปรท์ผสมน้ำมะนาว ทั้งเปรี้ยวและหวาน มีกลิ่นของใบสะระแหน่เพิ่มความสดชื่น มะนาวฝานซีกที่ตกแต่งบนขอบแก้วก็ช่วยให้ตาสว่างได้ดีระหว่างที่มองอินทัชผสมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เด็กหนุ่มสวมเชิ้ตแขนยาวสีเข้ม ผูกเนคไทผ้าไหมทับด้วยเสื้อนอกสีดำพอดีตัวเน้นบ่ากว้างและแผ่นอกตึงแน่นช่วงขาเพรียวยาวสวมกางเกงสแล็คเรียบกริบ เรือนผมตัดซอยรับกับโครงหน้าได้รูป ผิวขาวเนียนและรูปลักษณ์สะอาดสะอ้าน ดูดีภายใต้การแต่งกายแบบผู้ใหญ่ ทุกอย่างช่วยขับให้รูปร่างของอีกฝ่ายดูสง่ามากยิ่งขึ้น
เขามองอีกฝ่ายผสมเตกิล่า เหล้าหวานสีฟ้าบลูคูราโซ่ น้ำมะนาว น้ำเชื่อม และน้ำแข็งสี่ถึงห้าก้อนลงในกระบอกเชค เขย่ากระทั่งความเย็นได้ที่ถึงเทเอาแต่น้ำลงในแก้วที่ถูมะนาวและโรยเกลือไว้ก่อนหน้า แขกที่สั่งเป็นหญิงสาวที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง
“บลูมาร์การิต้าครับ” อินทัชยิ้มให้เธอ
กนธีคนแก้วของตัวเองไปมา เท้าคางมองแก้วต่อไปที่แขกสั่ง..ยินโทนิค ดูไม่มีอะไรเท่าไร แค่ใส่น้ำแข็ง เทเหล้ายินกับโทนิคลงไป แต่งสีด้วยน้ำมะนาวกับบลูคูราโซ่ ประดับมะนาวฝานก็เสร็จแล้ว
อินทัชเดินไปเสิร์ฟ จากนั้นก็เตรียมอีกเมนู สาวออฟฟิศตรงกลางโต๊ะสั่งพิ้งค์เลดี้ เป็นส่วนผสมของเหล้ายิน เหล้าหวานแบบใสทริปเพิลเซค น้ำมะนาวและเรดไซรัป เขย่าและรินเฉพาะน้ำลงแก้วค็อกเทล แต่งด้วยลูกเชอร์รี่แดง
“เอาล่ะ..” หนุ่มอ่อนวัยที่ทำงานมือเป็นระวิงได้เวลาพักหายใจตอนที่เสิร์ฟไวท์รัสเซียนให้กับแขกคนสุดท้าย
กนธีเลิกคิ้วเมื่ออินทัชเดินมาหยุดตรงหน้า คนตรงข้ามพับแขนเสื้อเชิ้ตตัวยาวขึ้นไปเหนือข้อศอก เท้าโต๊ะ มองด้วยสายตาคู่สวยที่ดูยียวนเล็กน้อย
“ผมคิดค่ามองตลอดสองชั่วโมงนี้ วินาทีละยี่สิบบาท”
“โอ้โห..โดนเข้าไปตั้งแสนสี่” กนธีเบ้หน้า เคี้ยวใบสะระแหน่เล่น “ล่มจมในพริบตา”
“พี่ทำผมเกร็งมากๆ รู้ตัวหรือเปล่า” เด็กหนุ่มพูดทีเล่นทีจริง “แทบก้าวขาไม่ออกแน่ะ”
“อะไรกัน แค่มองเอง” เขาเสไปดูแก้วแต่ละแบบที่วางเรียงราย ขวดเหล้าสารพัดและส่วนผสมมากมายชวนให้มึนงงอยู่ตรงชั้นวางด้านหลังบาร์
“โดนจ้องเอาๆแบบนี้ ผมก็เขินเป็นนะพี่” อินทัชยิ้ม มองแก้วม็อกเทลที่ว่างเปล่าของลูกค้า “เอาเพิ่มไหมครับ”
กนธีหัวเราะแห้งๆ “กลิ่นสะระแหน่ยังค้างในปากอยู่เลย”
“ผมไม่เพี้ยนทำโมจิโต้ให้อีกแก้วหรอกครับ เดี๋ยวทำน้ำส้มคั้นให้นะ” เขารินน้ำเปล่าให้ดื่มไปก่อนอย่างรู้ใจ
คนอายุมากกว่าอมยิ้ม เท่าที่รู้จักและพูดคุยกันมาสองอาทิตย์ อินทัชเป็นเด็กที่กวนอารมณ์ ชอบแหย่ หัวแข็ง ดื้อรั้นในบางเวลา แต่ที่แน่ๆคือรู้จักการวางตัว มีกาลเทศะ และรู้ว่าอะไรควรเล่นหรือไม่ควรเล่นตอนไหน กับพวกผู้หญิง อินทัชจะสุภาพ ช่างเอาใจแต่ก็มีขอบเขต กับพวกผู้ชายที่วางท่า เขาก็จะพลิกนิสัยให้เงียบขรึม บริการด้วยความเป็นมืออาชีพ สำหรับคนที่แสดงท่าทีเอ็นดู หรือเป็นแขกประจำ เขาจะเข้าหาง่ายขึ้นและพูดจาเป็นกันเอง
“เอาใจเก่งแบบนี้ มีคนมาจีบเยอะไหม” กนธีถามเหมือนผู้ใหญ่ชวนเด็กคุย
“เอาที่ไหนล่ะครับ ถ้าเป็นคณะก็ยากหน่อย มีแต่ผู้ชาย” อินทัชส่ายหัว “แต่ถ้าเป็นที่นี่..พี่ต้องคอยเช็กเรทติ้งของผมเอง” เขายักคิ้วให้อย่างล้อเลียน
“ป๊อปแน่ๆ” เจ้าตัวหัวเราะ ดูจากรูปร่างหน้าตาและอัธยาศัย จะรอดพ้นไปได้สักกี่มื้อเชียว “มีแฟนหรือยัง”
“โสดครับ” เขาตอบเรียบๆ ผสมเหล้ายินกับดรายเวอร์มุทเพื่อทำมาร์ตินีก่อนจะเสิร์ฟให้แขกคนใหม่
“ทำไมถึงโสดล่ะ ยังไม่อยากมีแฟนหรือ วัยรุ่นทั่วไปเห็นมีกันให้ควั่ก”
“ความสัมพันธ์มันจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากกับอาชีพที่ทำอยู่ครับ” เขาพูดอย่างไร้อารมณ์ “อีกอย่าง..ผมไม่ชอบการถูกผูกมัดด้วยสัญญาระหว่างคนสองคน คนอย่างผมจะไม่สัญญากับใคร ถ้ารู้ว่าทำไม่ได้”
“แต่การมีแฟนก็ช่วยให้เรามองโลกสดใสขึ้นนะ” กนธียิ้มน้อยๆ
“ผมเข้าใจครับ ไม่ได้บอกว่าไม่มีแฟนแล้วจะไม่ได้ชอบใคร” เขาพึมพำ
คนฟังเลิกคิ้ว ทำท่าสนอกสนใจ “หมายความว่า..?”
“ความรักความชอบ เก็บเอาไว้ในใจก็พอครับ..ไม่ต้องแสดงออกก็ได้”
“โอ้..” กนธีเหลียวมองรอบตัว “เป็นพนักงานในนี้ หรือว่าลูกค้าคนไหนหรือเปล่า”
“อย่างหลังตัดทิ้งได้เลยพี่” อินทัชขำ “ผมมีกฎไม่ยุ่งกับลูกค้า”
“ขนาดนั้นเชียวหรือ”
เด็กหนุ่มเพียงแต่ยิ้มรับ
“แล้วถ้าลูกค้ามาจีบ โอ๊ตจะทำยังไง” กนธีสงสัย “ไล่ไปไกลๆก็ไม่ได้ คุณผู้จัดการคงไม่โอเค”
“ผมก็แค่ถอยห่างออกมา รักษาระยะระหว่างกันให้มากขึ้นก็พอครับ”
อินทัชมีข้อตกลงกับตัวเองอยู่ในใจว่าจะต้องระวังเรื่องความใกล้ชิดที่มีกับลูกค้าทุกคน ใครที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว เขาจะไม่เข้าไปยุ่ง ใครที่ตื๊อขอซื้อตัวหรือหวังเรื่องเซ็กซ์ เขาจะไม่เข้าไปตอแย และใครก็ตามที่มีทีท่าว่าจะมาชอบพอ อยากพัฒนาความสัมพันธ์ในแบบคู่รัก เขาก็จะไม่บริการต่อเช่นกัน
“รู้ได้ไงว่าคนๆนั้นจะมาจีบ” วันนี้กนธีช่างซักมากเป็นพิเศษ
“เซ้นส์หลงตัวเองของผมมันจะกระซิบบอกเองครับ” อินทัชว่าหน้าตาย แล้วก็ทำให้คนฟังขำออกมาได้
“มันต้องมีอย่างอื่นบ้างสิ”
คนถูกถามครุ่นคิดเล็กน้อย “สัญญาณแรก..คือคนที่ขยันมาบ่อยๆ จงใจมาเจอกันแทบทุกครั้ง”
กนธีสำลักน้ำเปล่าแค่กๆ อีกฝ่ายเลยยื่นทิชชู่ให้ “ที่พี่มาบ่อย..” เขาแก้ตัว “เพราะว่าม็อกเทลที่นี่อร่อยมาก”
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” อินทัชยิ้มตอนส่งน้ำส้มคั้นให้ “แต่ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่สมัครเมมเบอร์เอาไว้ทั้งที่ไม่ดื่มเหล้า แล้วก็มาทุกวันไม่เคยขาด..เพื่อดื่มน้ำผลไม้..กับน้ำเปล่าสองสามแก้วทุกคืน”
กนธีหัวเราะครึกครื้น นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกสบายๆแบบนี้กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่ถึงเดือน
“จริงๆก็ไม่ได้มาดื่มอย่างเดียวนะ ที่มาบ่อยก็เพราะว่าเพลงเพราะ หาฟังยากจะตาย”
“ไม่ยากหรอกครับ เขียนชื่อหรือเนื้อเพลงให้ใครก็ได้ เขาก็ร้องให้พี่ฟังได้แล้ว” ร่างสูงบุ้ยใบ้ไปที่เวทีกลางดาดฟ้า เป็นนักดนตรีอีกคนที่มาร้องแทนเขาในวันธรรมดา
กนธีพยักหน้าหงึกๆ อมเกล็ดน้ำแข็งจนมันละลาย “งั้น..โอ๊ตช่วยไปบอกน้องเขาได้ไหม ว่าพี่อยากฟังเพลงดังของ Simon & Garfunkel ที่เขาแต่งขึ้นมาตอนอยู่ในห้องน้ำ แต่ชื่อเพลงอะไร พี่ก็ดันลืมอีกแล้ว”
“The Sound of Silence” อินทัชยิ้ม “เล่นยากนะครับเนี่ย..ผมว่ารอผมร้องให้ฟังดีกว่านะ”
“ของสี่เต่าทองด้วย” กนธีไม่เคยจำชื่อไว้เลยสักเพลง “ที่ร้องว่า..There are places I remember. All my life, though some have changed”
“Some forever, not for better. Some have gone and some remain.” เสียงนุ่มๆร้องต่อ “All these places have their moments. With lovers and friends I still can recall. Some are dead and some are living. In my life, I've loved them all”
“ใช่เลย..” คนฟังปรบมือให้
“In My Life ของ The Beatles ครับ ผมก็ชอบเพลงนี้ ฟังแล้วอุ่นๆเย็นๆดี”
กนธีครางในลำคอ “แปลกใจมากที่เด็กคราวลูกฟังเพลงสากลรุ่นพ่อ นี่เป็นหนึ่งในงาน หรือว่าเป็นรสนิยมส่วนตัว”
“ผมชอบอะไรเก่าๆน่ะครับ” อินทัชกระซิบ “ผมคิดว่าอะไรที่ผ่านเวลามา มันดูคลาสสิคและมีเสน่ห์ดี”
“รวมถึงคนด้วยหรือเปล่า”
“โธ่..” เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจ “ขอยกเว้นคนแล้วกันครับ..ผมอยากมีแฟนวัยเดียวกันมากกว่า”
“พี่ก็ว่างั้น แค่ชอบของเก่าก็แปลกแล้ว ถ้ามาชอบคนแก่ยิ่งแปลกกว่าเดิม” เขาเอาหลอดเขี่ยเนื้อส้มขึ้นมากิน “ตั้งแต่เจอเด็กๆมา มีอยู่รายเดียวที่เห็นว่าชอบคนแก่..ตลกชะมัด”
กนธียิ้มจาง คำพูดของใครคนหนึ่งยังคงก้องอยู่ในความทรงจำ
“มีแฟนแก่คิดดีแล้วหรือไง”
“อายุไม่ใช่ปัญหาครับ ความรู้สึกของพี่กับผมต่างหาก..ที่เป็นตัวตัดสิน” อินทัชมองคนที่เงียบไป เขาเลยชวนคุย “ใครหรือครับ”
กนธีไม่ตอบ ได้แต่ชี้นิ้วขึ้นไปด้านบน อินทัชมองตาม เห็นเพียงแต่ผืนฟ้ากว้างสีน้ำเงินเข้มเหมือนผืนกำมะหยี่ คืนนี้เมฆลอยหายไปตามแรงลม ท้องฟ้าเปิดเห็นพระจันทร์ดวงกลมโต
ร่างสูงวกกลับมามองคนที่ก้มหน้านิ่งอย่างไม่เข้าใจ
“พี่กลับก่อนนะ” จู่ๆ กนธีก็ตัดบทสนทนาแล้วควักเงินออกมาจ่ายดื้อๆ “ขอบคุณสำหรับชื่อเพลง เอาไว้จะเปิดฟังคืนนี้”
“พรุ่งนี้ผมลาหยุดนะครับ” อินทัชบอก “แต่เลานจ์ยังเปิดตามปกติ”
“โอเค..ไว้เจอกัน” เจ้าตัวหยิบเสื้อนอกมาสวม ยกสองมือกอดอกก่อนจะเดินจากไป
อินทัชมองตาม เขารู้ว่าอากาศบนดาดฟ้ามันเย็นจริง แต่ไม่ถึงกับหนาวแน่ และท่าทางแบบนั้นก็ไม่ได้เหมือนกับคนที่ร่างกายต้องการความอบอุ่นแต่อย่างใด
..เหมือนกับคนที่กอดตัวเองเพื่อเรียกกำลังใจกลับคืนมามากกว่า..
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง เขากำลังครุ่นคิด
กนธีมาที่นี่ติดกันสองสัปดาห์แล้ว เขาคิดว่าอีกฝ่ายจงใจมาเพื่อเจอเขา พรุ่งนี้อินทัชไม่ได้ลาหยุดอย่างที่บอก แต่ถ้ากนธีไม่มา ก็แปลว่าสิ่งที่เขาคิดมันถูกต้อง เขาจะปล่อยต่อไปอีกสักพัก เมื่อไรที่พี่กุนต์มีท่าทีจะติดเขาแจ ตอนนั้นเขาคงต้องถอยออกมาเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยาก
ที่เขายังไม่เข้าใจก็คือกนธีไม่ได้แสดงความต้องการโจ่งแจ้งว่าจะเข้ามาหา ทางนั้นเพียงแต่นั่งมองเฉยๆและชวนเขาพูดคุย แต่สายตาที่จ้องเขา เหมือนมองเลยผ่านไปยังคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ ณ ตรงนี้
..ไม่แน่ว่าบางที พี่กุนต์อาจกำลังใช้เขาเป็นตัวแทนของใครสักคนอยู่ก็ได้..
.
.
.
กนธีกลับมาถึงคอนโดตอนห้าทุ่มตรง เขาซื้อห้องไว้ที่ดิแอดเดรสชิดลม ใจกลางเมืองแบบนี้เดินทางง่าย ถึงจะรถติดน่ารำคาญเป็นส่วนใหญ่ แต่เวลาไปห้างหรือใช้รถไฟฟ้าไปมาก็สะดวกดี
ชายหนุ่มกดลิฟท์ขึ้น ห้องที่ซื้อไว้อยู่ตรงมุมตึก ขนาดสองห้องนอน อันที่จริงอยู่คนเดียว ไม่จำเป็นต้องใช้ที่มากนัก แต่เขาเผื่อไว้สำหรับญาติ หรือเพื่อนคนอื่นที่ค่อนข้างสนิทเวลามาค้างด้วย
อีกอย่างหนึ่ง ที่นี่เป็นที่ที่เขาใช้อยู่กับคู่ควงชั่วคราว ไม่เคยมีเด็กคนไหนได้ไปบ้านเขามาก่อน
บ้านที่เขาเคยอยู่กับพ่อและแม่..อยู่กับศรัณย์ เป็นสถานที่ที่มีความทรงจำมากมาย..เฉพาะคนสำคัญเท่านั้น เขาถึงจะชักชวน
ตอนใช้คีย์การ์ดเปิดเข้าไป เขาเห็นแสงไฟบริเวณห้องนั่งเล่นเลยรู้ว่ามีคนอยู่ ไม่ต้องเดาก็บอกได้ว่าเป็นญาติผู้น้องอย่างพสิษฐ์ที่เขาให้สิทธิ์ในการเข้าออกที่นี่ได้เต็มที่
“พี่กุนต์! โทรไปไม่รับสาย” พอเจอหน้า พสิษฐ์ก็โวย
กนธีเลิกคิ้ว มองผู้ชายตัวโตในชุดผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลแก่ ตรงโต๊ะอาหารมีหม้อสุกี้ขนาดย่อมกับผักสดและเนื้อสไลซ์วางเรียงราย “อะไรล่ะนั่น”
“แวะมากินข้าวด้วยไง” พักนี้พสิษฐ์ไม่ค่อยว่าง แต่ก็หาเวลามาอยู่เป็นเพื่อนพี่กุนต์ “แล้วพี่ไปไหนมา ผมโทรหาตั้งแต่สามทุ่ม ปิดมือถือทำไม”
“แบตหมด ไม่ได้เอาพาวเวอร์แบงค์ไป”
“สรุปไปไหนมา ลูกค้าที่ไหนนัดดึกดื่น”
ชายหนุ่มหัวเราะ มันซักไซ้เหมือนเป็นพ่อ เขาถอดเสื้อนอก โยนไปพาดที่เก้าอี้ก่อนจะเดินผ่านหน้าน้อง แต่ไอ้ไผ่คว้าแขนไว้ ดึงตัวเขาเข้าไปหาแล้วก้มลง ทำจมูกฟุดฟิดแถวหน้า เล่นเอากนธีมึนตึ้บ
“กินเหล้ามาหรือเปล่า ขอดมหน่อย”
เขาเลยพ่นลมใส่หน้ามันเข้าให้ “มีแต่สมูทตี้ทั้งนั้นเว้ย”
พสิษฐ์หรี่ตามอง “ไปที่นั่นมาอีกแล้วหรือไง”
“มันว่างๆน่ะ” กนธีพับแขนเสื้อขึ้น จัดการกดปุ่มต้มน้ำที่หม้อสุกี้แล้วหยิบผักมา ตั้งท่าจะฉีกไว้รอ แต่เจ้าไผ่ลากแขนไปล้างมือก่อน เชื่อน้องมันเลย..จัดการให้ทุกอย่างกระทั่งความสะอาดของนิ้ว
“อย่าสะบัดน้ำลงพื้นนะ เดี๋ยวลื่น” พสิษฐ์ปรามคนที่ไม่ยอมใช้ผ้าเช็ด
พี่กุนต์เป็นคนง่ายๆ หมายรวมถึงมักง่ายสุดๆด้วย ตั้งแต่เข้าห้องมานี่ รองเท้าก็ถอดสะเปะสะปะ เสื้อผ้าถอดทิ้งไว้ตามรายทาง ข้าวของหายบ่อยเพราะห้องทำงานรกเป็นรังหนู บางทีอาบน้ำแล้วไม่เช็ดตัว นอนทั้งที่หัวยังไม่แห้ง
ที่เขาพยายามมากินข้าวด้วย ก็เพราะว่าพี่กุนต์ไม่ค่อยใส่ใจกับแหล่งที่มาของอาหารนัก ปกติถ้าไม่ได้ซื้อมาจากห้าง ก็จะเลือกเอาร้านข้างทาง เรียกได้ว่าเจอร้านไหนก็ร้านนั้น แล้วเลือกกินแต่ผัก วางใจได้ที่ไหนว่าล้างสะอาดดี เขาเคยเจอพี่กุนต์เอาแตงกวามากินแบบจริงจังแทนข้าวเย็น แถมไม่ปอกเปลือกด้วย อย่างวันนี้ถ้าไม่มาหา ก็คิดว่าพี่กุนต์คงรื้อตู้เย็นเอาเต้าหู้ญี่ปุ่นมานึ่งกินกับซีอิ๊วแล้วเข้านอน
พสิษฐ์นึกขอในใจ ให้พี่ชายได้เจอคนที่รักจริงและมาดูแลความเป็นอยู่ของตาแก่นี่เสียที
กนธีเดินไปเด็ดต้นอ่อนทานตะวันที่เขาเพาะไว้ตรงระเบียงมาเข้าปาก เจ้าไผ่มองแล้วส่ายหัวเพราะเขาลืมเอาไปล้างก่อน แค่ปัดๆดินออกก็จบ ปลูกเองจะกลัวอะไร “แล้วโครงการของแกที่ทำกับกิ๊กรูปหล่อคนนั้นไปถึงไหนแล้ว”
“บอกว่าเพื่อน!”
“เออ..เพื่อนก็เพื่อน” เขาขำคนที่ปฏิเสธเสียงแข็ง ปกติไผ่มันจะดูนิ่งๆ ใจเย็น มีมาดสุขุมนุ่มลึก แต่เฉพาะคนสนิทเท่านั้นถึงจะรู้ว่าไส้ใน ไม่ได้ ‘คูล’ อย่างที่เห็นหรอก
“ไปได้เรื่อยๆ ไม่มีปัญหาอะไร” พสิษฐ์เล่าเรื่องงานที่กำลังทำอยู่กับไอศูรย์ ภาษยวัตให้พี่ฟัง แต่เขารู้ว่ากนธีฟังหูซ้ายทะลุออกหูขวาเพราะท่าทางไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไรนัก..อาจจะเพราะใจลอย คิดถึงใครบางคน
ร่างสูงลอบถอนหายใจ ตักเนื้อปลากับไก่ใส่จานพี่กุนต์ ส่วนเนื้อวัวเขากินเอง “ร่างกายคนเราต้องได้โปรตีนบ้างนะ แล้วนี่..เต้าหู้ไข่ กินซะ”
กนธีพยักหน้าหงึก พึมพำขอบใจน้อง “นึกยังไงชวนกินสุกี้”
“ฉลองที่เด็กเลี้ยงไม่เชื่องของพี่กุนต์ไปจากชีวิตของพี่เสียทีไงล่ะ” พสิษฐ์ยิงตรง “แต่ก็ไม่รู้จะมีคนใหม่ที่นิสัยสูสีกับคนเก่าเข้ามาแทนตอนไหน..หาคนรักแบบจริงจังได้แล้วนะ อายุมากขึ้นทุกทีแล้ว”
คนฟังหัวเราะคึ่กๆ “แกก็หาให้พี่สิ”
คนน้องทำหน้าเหนื่อย คิดว่าเขาไม่เคยลองมาก่อนหรือไง เป็นพ่อสื่อน่ะมันยาก โดยเฉพาะสื่อรักให้กับคนที่ปิดใจมาร่วมสามปีอย่างพี่ชายตัวเอง เขาอยากให้พี่กุนต์เริ่มต้นใหม่ได้แล้ว ไม่ได้บอกให้เอาใครมาแทนที่แล้วลืมศรัณย์ แต่คนเราสามารถมีรักใหม่โดยเก็บความรู้สึกดีๆของรักเก่าไว้ได้ เขาแค่อยากให้พี่สามารถก้าวผ่านอดีต แล้วใช้ชีวิตปัจจุบันแบบที่สามารถมองเห็นอนาคต ถ้าเป็นแบบนั้น เขาคงเบาใจไปมาก
“พูดเรื่องนี้ก็นึกได้ วันเสาร์ที่จะถึง ไอ้หมอบีมันชวนผมไปเที่ยวเกาะสีชัง ไปด้วยกันไหม”
“หมอบีไหน” กนธีเคี้ยวสาหร่ายกรุบๆ
“หมอบี นฤเบศร์..เพื่อนผมน่ะ ที่เคยพาพี่กุนต์ไปดูหนังแล้วพี่ก็หลับในโรง จำไม่ได้หรือ” พสิษฐ์กุมขมับ หน่วยความจำของพี่กุนต์มันน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เพื่อนเขาคนนี้เป็นอีกรายที่เขาวางใจ มันเองก็ดูท่าว่าจะโอเคกับพี่ชายเขา แค่ขอลองคุยดูก่อน มีแต่พี่กุนต์นี่แหละที่ตัดโอกาสทิ้งตั้งแต่เจอหน้ากัน เรื่องเลยจบแค่ตรงนั้น
..มีอย่างที่ไหน คนชวนออกเดท พี่กุนต์ดันหลับทั้งวัน..
“อ้อ..นึกออกแล้ว” กนธีดึงเปลือกกุ้งออกแล้วตั้งท่าจะทิ้งลงบนโต๊ะ แต่เจ้าไผ่ดันจานเปล่ามาให้ใส่
“ไปไหม เสาร์นี้”
“ไม่ว่าง” เขาพึมพำ “วันเสาร์..ครบปีที่สาม”
พสิษฐ์เงียบไปครู่ ทุกๆปีที่ถึงวันครบรอบวันตายของศรัณย์ พี่กุนต์จะไปทำบุญที่วัด ปัดกวาดที่เก็บกระดูกและขับรถไปสถานที่ที่คนทั้งคู่เคยไปด้วยกันเพื่อรำลึกความหลังครั้งเก่า พี่กุนต์ไม่เคยชวนเขาไปด้วย เพราะต้องการใช้เวลาตามลำพัง ปีนี้ เขาลองเสนอทางเลือกอื่น เพื่อให้พี่กุนต์ก้าวออกมาจากวงจรชีวิตเดิมๆ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิดซ้ำ
“รู้หรือเปล่าว่าผมเป็นห่วงพี่แค่ไหน”
กนธียิ้มจาง “พี่สัญญาว่าจะดูแลตัวเอง” เขาคีบเนื้อใส่จานอีกฝ่าย “รีบๆกิน พี่ง่วงแล้ว คืนนี้จะนอนที่นี่ไหม”
“อืม..ขอค้างด้วยคนแล้วกัน”
เจ้าของห้องไม่ว่าอะไร ได้แต่ก้มหน้าก้มตากินต่อ พสิษฐ์ลอบถอนหายใจ ตอนแรกเขาอยากจะให้พี่กุนต์ได้คุยกับนฤเบศร์ คราวนี้ไม่ใช่การจีบ แต่เป็นไปในแบบกัลยาณมิตรที่ช่วยเหลือเพื่อน เพราะมันเป็นจิตแพทย์ น่าจะเข้าใจอดีตที่ยังบีบรัดพี่กุนต์ไม่ปล่อยได้ง่ายกว่าใคร แต่ก็คงต้องคิดหาวิธีอื่นเสียแล้ว
ความรู้สึกผิดและการไม่ยอมให้อภัยตัวเอง คือสิ่งที่ทำให้พี่กุนต์ย่ำอยู่กับที่ ถอยหลังไม่ได้..ก้าวต่อก็ไม่เป็น
ถ้าหากปล่อยให้นานเกิน..ก็คงจะจมลึกลงไปทุกที
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]