Chapter 33
หกโมงเย็นของวันจันทร์ กนธีเคลียร์เอกสารและจัดการบัญชีเสร็จเรียบร้อย เขาบอกพวกพนักงานเอาไว้ว่าวันพรุ่งนี้จนถึงวันพฤหัสจะไม่เข้ามาที่นี่ แต่ไม่ได้บอกเหตุผลว่าจะหนีไปเที่ยวปราณบุรี ที่เลือกช่วงกลางสัปดาห์เพราะคนจะได้น้อย แล้วก็จะได้กลับมาทันวันที่อินทัชต้องไปสอนพิเศษด้วย
มีเสียงเคาะประตูห้อง เขาบอกอนุญาต พอเงยมองก็เห็นปาลินค่อยๆโผล่หน้าเข้ามา กนธียิ้มให้ น้องเอารายการสินค้าที่ต้องสั่งซื้อมาส่ง
“ผมเช็กออนไลน์หาตลาดขายอาหารทะเล เจ้านี้เขารับส่งถึงที่ด้วยครับ เทียบราคาแล้วถูกกว่า ของก็น่าจะดีและสดกว่าไปซื้อกับตลาดกลาง เพียงแต่ว่าเขาต้องการลูกค้าประจำ มีบิลสั่งซื้อราคาเท่านี้ต่อเดือน ไม่ใช่ขาจรน่ะครับ”
กนธีครางในลำคอ เขาไม่ทันได้สนใจเรื่องนี้มาก่อน ปาลินยังอุตส่าห์เทียบราคาวัตถุดิบและคุณภาพพวกของสดจากตลาดแต่ละที่ให้ด้วย ปกติเขาจะส่งคนไปซื้อจากตลาดใหญ่ที่รวมของทุกอย่าง ไม่ได้ดูว่ายังมีทางซื้อโดยตรงจากแหล่งผลิต พอไม่ผ่านคนกลางสินค้าก็ถูกกว่า ซ้ำยังคัดคุณภาพได้เอง
“เยี่ยมมากเลย” เขาชม “สนช่วยพี่ได้มากจริงๆ”
ปาลินยกมือเกาท้ายทอยอย่างเก้อเขิน
“ดีล่ะ..” กนธีดูรายการที่เขียนมาให้ “เดี๋ยวพี่กลับมาแล้วจะโทรไปคุย”
“แล้วก็..อันนี้รายการวัสดุก่อสร้างที่พวกช่างเขียนมาครับ” เด็กหนุ่มยื่นแฟ้มให้กับมือ “ผมเช็กราคาแล้ว ถ้าซื้อจากร้านเดียวกันมันไม่เสียเวลาก็จริง แต่บางอย่าง เช่นพวกกระเบื้องหรือพื้นไม้มันก็แพงเพราะทางร้านเองต้องสั่งมาอีกต่อ ยังไงให้ผมไปซื้อที่ร้านใหญ่โดยตรงก็ได้ครับ ขอแค่มีช่างไปช่วยดูสินค้า”
“น่ารักจริงๆ” เขาอดดีใจไม่ได้ที่รับปาลินเข้าทำงาน
ช่วงนี้เขาไม่มีเวลามาตรวจสอบด้วยตัวเองสักเท่าไร ปกติแล้วกนธีมีทีมประจำอยู่สองทีมเวลาจะทำบ้านหรือรีโนเวทสถานที่ แต่ตอนนี้เขาให้ทีมหนึ่งไปปรับปรุงรีสอร์ทที่เกาะช้างและอีกทีมก็ไปซ่อมแซมวิลล่าหลังสุดท้ายในพัทยาใต้ที่เก่าโทรมไปมากให้กับลูกค้าฝรั่งที่ทำสัญญาซื้อขายกันไปเมื่อไม่นาน เขาเลยต้องจ้างช่างอีกเจ้ามาทำร้านอาหารแทน ถึงดีลงานได้ไม่ค่อยจะตรงใจนักแต่ก็อยากรีบทำ ดีที่ได้น้องสนมาช่วยเป็นหูเป็นตาให้แทน
“ผมอยากทำงานให้เต็มที่ครับ” ปาลินยิ้มรับคำชมแล้วถึงนึกขึ้นได้ “พี่แคชเชียร์ขอเบิกบิลเงินสดที่มีชื่อกับที่อยู่ร้านครับ ข้างล่างหมดแล้ว”
“อ้อ..น่าจะอยู่ในลังเอกสารบนตู้นะ เอื้อมถึงหรือเปล่า” กนธีเก็บของลงลิ้นชัก นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องจัดการ แต่ก่อนร้านนี้ใช้ระบบเขียนมือ เขาคิดว่าจะเอาโปรแกรมที่ทำในคอมพิวเตอร์มาใช้แทน “ถ้าไม่ถึงบอกพี่นะ เดี๋ยวหยิบให้”
ร่างเล็กเงยหน้ามองตู้เหล็กที่ใช้เก็บแฟ้มสารพัดอย่าง เขาเดินไปยกเอาเก้าอี้สี่เหลี่ยมตัวสูงแบบไม่มีพนักมาตั้งแล้วขออนุญาตปีนไปหยิบ
ปาลินเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเตี้ยสุดๆตอนที่ต้องเขย่งเท้าเพื่อคว้าลังกระดาษลงมา ตอนแรกเขาก็ลากมันไม่ยาก หากพอยกลง น้ำหนักกว่าห้ากิโลที่ประคองไว้เหนือหัวกลับทำตัวเอียงกะเท่ เด็กหนุ่มเลยเผลอถอยหลังจนเหยียบพลาด
“ระวัง!” กนธีก้าวพรวดเดียวไปถึงตัวอีกฝ่าย เขารับร่างที่เสียหลักร่วงลงมาจากเก้าอี้ได้ทันควัน เฉียดไปเสี้ยววินาทีเท่านั้น
ปาลินหลับตาปี๋ หัวใจหล่นวูบตอนที่หงายท้องลงมาแบบดูไม่จืด
ลังเอกสารหล่นโครมลงพื้น กระจัดกระจายเต็มห้อง ส่วนตัวของเด็กเองก็นอนกลิ้งอยู่บนร่างที่เข้ามารองรับ เขาไม่เจ็บเลยสักนิดเพราะคุณกนธีช่วยทัน อ้อมแขนคู่นั้นทั้งโอบอุ้มและประคองเหมือนหลักป้องกันภัยชั้นดี
“เป็นอะไรหรือเปล่าน้องสน!” เขาผงกหัวดูคนที่นอนอยู่ด้านบน ยกเนื้อตัวอีกฝ่ายเพื่อสำรวจว่ามีแผลหรือไม่ “เจ็บตรงไหนบ้างครับ”
“ม..ไม่เจ็บครับ” ปาลินยันข้อศอกขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาทับเจ้านายไว้เต็มที่ พี่กุนต์ยังอุตส่าห์ห่วงเขาก่อนตัวเองอีก “อ๊ะ! หนักไหมครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ~”
กนธีหัวเราะออกมา เขาพรูลมหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มเห็นเด็กยังดูงงๆเลยสอดแขนเข้าช้อนตัวเบาหวิวขึ้นไปนอนพักที่โซฟา
“ข..ขอบคุณครับ” ปาลินถึงกับกลั้นหายใจเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมของคุณกนธี ได้เห็นระยะใกล้แบบนี้ เจ้านายเขาเป็นผู้ชายดูดีแบบหาตัวจับยากจริงๆ
กนธียิ้ม ตอนนั้นเองที่เห็นรอยแผลเล็กๆตรงหางคิ้วของน้อง น่าจะเป็นตอนที่ลังร่วงลงมาแล้วเฉียดหน้าปาลินไป ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกขอบเกี่ยวเข้าให้
“เจ็บไหม” เขาขมวดคิ้ว เกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากอย่างเบามือ “เดี๋ยวพี่ทำแผลให้ นอนอยู่เฉยๆไปก่อนนะ”
ยังไม่ทันได้ทำอะไรประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา อินทัชหันมามองคนสองคนที่อยู่ตรงโซฟามุมห้อง มีพวกกระดาษเอกสารหล่นอยู่เต็มพื้น
“เกิดอะไรขึ้นครับ” เขาดูรอบตัว “สงครามโลกครั้งที่สามหรือไง”
กนธีหันมองปาลินที่แก้มแดงก่ำแล้วได้แต่หัวเราะในลำคอ โยกหัวน้องด้วยความเอ็นดูแล้วจึงลุกขึ้นยืน “โอ๊ตมาพอดี ช่วยพี่ทำแผลให้สนหน่อย”
อินทัชเลิกคิ้ว “เด็กกะโปโลแถวนี้ทำอะไรซุ่มซ่ามหรือพี่”
ปาลินชูกำปั้นเป็นการขู่อาฆาตเพื่อน ถ้าพี่กุนต์ไม่อยู่เขาจะเตะมันให้
คนอายุมากกว่าอมยิ้ม หยิบกล่องยาออกมา “สนปีนขึ้นไปหยิบของให้พี่น่ะ พี่ผิดเองแหละที่ไม่ทันได้ดูส่วนสูงน้อง ขอโทษทีนะ”
ปาลินทำหน้าแหย “ผมก็ผิดเองครับที่..เตี้ย”
อินทัชส่ายหัว รับกล่องยามาจากพี่กุนต์ “เดี๋ยวผมจัดการเองครับ” เขารื้อน้ำยาล้างแผลกับคอตตอนบัทออกมา “ช่างข้างล่างถามหาพี่กุนต์น่ะครับ”
“อ้อ..” กนธีที่ยืนกอดอกมองเด็กๆด้วยรอยยิ้มพยักหน้า “เดี๋ยวพี่มานะ โอ๊ตก็ดูแลเพื่อนดีๆ ส่วนเรา..ทำแผลเสร็จกลับบ้านเลยแล้วกัน พี่จะขับไปส่ง”
ปาลินกระพุ่มมือไหว้เจ้านายใจดีที่สุดในโลกของเขา
คล้อยหลังพี่กุนต์ อินทัชก็เขกหัวเพื่อนอย่างระอา บ่นว่าทำอะไรไม่ดูสภาพของตัวเองเสียบ้าง เดือดร้อนเขาต้องมานั่งพยาบาลให้
“อะไรกัน ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำดิ เราทำเองก็ได้” ปาลินถีบขาอีกฝ่ายตุบๆ “แล้วเราก็อยากให้พี่กุนต์ทำให้เหอะ ไม่ใช่โอ๊ตสักหน่อย โอ๊ย~” ร้องโอดเมื่อถูกเพื่อนจิ้มยาใส่แผลเข้าให้เต็มแรง “มีปฏิกิริยางี้ หึงอ่ะเด้”
อินทัชชะงักมือทันที “อะไร..”
“หึงพี่กุนต์ ไม่อยากให้เขามาใกล้เราสินะ” ปาลินทำตาเจ้าเล่ห์ “เสียใจนะเพื่อนโอ๊ต ของแบบนี้ใครดีใครได้ โอ๊ตไม่จีบ เราจีบเอง!”
ร่างสูงเลยผลักหัวคงตรงหน้าลงไปนอนกลิ้งอีกรอบ ปาลินหัวเราะก๊าก ไม่ยอมล้มไปคนเดียว เขาดึงคอเสื้อฝ่ายตรงข้ามตามลงมาด้วย
อินทัชใจกระตุก ทั้งร่างทาบทับปาลิน แต่ดูเหมือนเพื่อนจะไม่ได้เอะใจ เอาแต่หัวเราะเยาะเขา เด็กหนุ่มเลยรีบดึงตัวเองขึ้น ลุกพรวดมายืนข้างโซฟา
“ทำอะไรพิเรนทร์” เขาส่ายหัว รู้สึกเหมือนถูกของร้อนเลยต้องถอยห่าง
“เออ..จะไปไหนก็ไปเลย” ปาลินไล่ “ทำแผลแค่นี้ขี้บ่นจัง”
อินทัชถอนหายใจ เขาไม่ได้โต้เถียงเล่นหัวกับอีกฝ่ายต่อ ได้แต่เดินออกจากห้อง ทบทวนตัวเองถึงคำถามที่ปาลินพูด ทบทวนถึงความรู้สึกที่ไม่กล้าแตะต้องเพื่อนสนิทมากไปกว่านี้ ถ้าหากว่าเขาหึงขึ้นมา มันเกิดจากการที่เขาหึงใคร และเขาไม่อยากโดนตัวปาลิน..เพราะอะไร
..เพราะกลัวใจตัวเอง..
..หรือเพราะแคร์ความรู้สึกของใครบางคนกันแน่..
“อ้าว..ทำไมมายืนตรงนี้คนเดียว” กนธีลงไปคุยธุระไม่นาน พอขึ้นมาก็เจอเจ้าโอ๊ตยืนอยู่ “ทำแผลให้น้องสนเสร็จหรือยัง”
“เห็นว่าจะทำเองน่ะครับ” เขาตอบเลี่ยงๆ
“แล้วกัน” คนเป็นเจ้านายเคาะประตูเพื่อบอกตามมารยาทก่อนจะเปิดเข้าไป ปาลินที่กำลังนั่งเล็งเงาสะท้อนอยู่ตรงริมหน้าต่างหันมาฉีกยิ้มแหยเพราะในห้องไม่มีกระจก “มานี่ครับ เดี๋ยวพี่ทำให้เอง โอ๊ตแกล้งเพื่อนหรือ”
อินทัชหัวเราะเฝื่อน เสมองไปทางอื่นระหว่างที่พี่กุนต์ทำความสะอาดแผล แต้มยาและเอาพลาสเตอร์ลายการ์ตูนแปะ ระหว่างนั้นเจ้านั่นก็แอบยักคิ้วให้เขาเรื่อย พยายามล้อเลียนและฝังหัวให้ว่าเขากำลังหึงพี่กุนต์
“เรียบร้อย” กนธียิ้ม “ไป..กลับบ้านกัน”
“เอ่อ..ที่จริงผมไม่ได้เป็นอะไรมาก อยู่ต่อได้นะครับ บ้านก็ใกล้แค่นี้”
“ไม่ดีหรอก กว่าร้านจะปิดอีก ถึงจะอยู่ไม่ไกลแต่วันนี้อย่าเพิ่งเลย ให้พี่ไปส่งเถอะ” กนธีบอก “เอ้า..ลุก ไม่อย่างนั้นจะอุ้มไปขึ้นรถแทน”
“ลุกแล้วครับลุกแล้ว” เด็กหนุ่มรีบยันตัวขึ้น
ปาลินก้มลงมองฝ่ามือที่ยื่นมาหาอย่างงุนงง พอพี่กุนต์คว้ามาควง เขาก็หน้าร้อนผ่าว ยิ่งชื่นชมและปลื้มในนิสัยของผู้ใหญ่ตรงหน้าแบบบอกไม่ถูก
กนธีบอกพวกพนักงานอีกครั้งว่าจะไม่เข้ามาที่ร้านสามวัน มาอีกทีบ่ายวันศุกร์เลย ระหว่างนี้ถ้ามีอะไรให้โทรเข้ามือถือได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
“ช่วงที่พี่อู้ ยังไงฝากสนดูให้หน่อยนะ” เขาบอกเด็ก “แลกไลน์กัน”
ปาลินเอามือถือออกมาท่าทางเก้กัง กนธีเลยหยิบโทรศัพท์อีกฝ่ายมากดเบอร์ของเขาแล้วยิงเข้าเครื่องตนก่อนจะเมมชื่อ ‘ลูกสน’ อย่างรวดเร็ว
“นั่นเบอร์พี่” เขาบอก “เมมว่าเจ้านายสุดหล่อก็ได้ ไม่ว่า”
อินทัชที่เดินตามหลังได้แต่ส่ายหัว ไม่ปฏิเสธว่าพี่กุนต์หล่อจริง แต่คนหล่อแบบนี้..พอถึงเวลาอยู่บนเตียง ก็ทำท่าน่ารักได้อย่างคาดไม่ถึงเหมือนกัน
“โอ๊ต” กนธีเรียกคนที่เดินเหม่อจนเด็กสะดุ้ง “ไปนั่งข้างหลังนะ”
เขาพยักหน้ารับ ทำตามด้วยความเชื่อฟัง เหตุผลที่พี่กุนต์ให้ปาลินไปนั่งข้างๆ ก็เพราะว่าเจ้าตัวลืมทางไปบ้านเพื่อนเขา
“อยู่แถวท่าเรือสี่พระยานี่นา พี่ลืมถามอยู่เรื่อยว่ามาที่ร้านยังไง”
“ขึ้นเรือมาครับ ง่ายแล้วก็รถไม่ติดด้วย” ปาลินคลายความเกร็งไปเยอะ
“อืม..ไม่ไกลมหา’ลัยเท่าไร” กนธีหันกลับมามองถนน
คนที่นั่งอยู่ข้างกันลอบมองเสี้ยวหน้าได้รูป พี่กุนต์เป็นคนที่ใจดีแล้วยังใจเย็นสุดๆ ขนาดโดนรถปาดหรือมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวกระจกข้าง เจ้าตัวยังเฉยเสีย ไม่มีสบถด่าออกมาเลย เขาคิดว่าบุคลิกแบบนี้มีเสน่ห์จริงๆ
ปาลินมองเพลิน ดูนิ้วเรียวยาวที่กำพวงมาลัยกับแนวสันมือที่แสดงถึงความแข็งแรงอย่างผู้ชายแต่ไม่มีเส้นเลือดปูดโปนออกมาแล้วต้องนึกเทียบกับตัวเอง นิ้วเขาน่ะสั้นกว่า แถมมือยังป้อมๆอีก ขาดความเท่สิ้นดี
“มือพี่มีอะไรติดอยู่หรือเปล่า” กนธีถาม
เด็กหนุ่มเกือบสะดุ้ง ได้แต่หัวเราะแหะ เลี้ยวข้างหน้าก็จะเป็นบ้านเขาพอดี “ใกล้แล้วครับพี่ เดี๋ยวแวะจอดด้านหน้าก็ได้ครับ”
กนธีทำตามคำบอก พาดมือกับพนักด้านข้างแล้วหันไปมองด้านหลัง ที่จริงในรถมีจอบอกระยะและเส้นกรอบให้แต่เขาเป็นพวกคนแก่เลยไม่ชินเท่าไร
“อ๊ะ..ผมลงเลยก็ได้ครับ ลำบากพี่กุนต์”
“ไม่เป็นไร จะไปส่งให้ถึงหน้าประตูบ้าน” เขาบอก ถอยรถอีกครั้งก็เข้าที่ได้ “สนอยู่คนเดียวหรือ?” เงยหน้ามองตึกแถวสามชั้นที่ดูเก่าโทรม มีร่องรอยของตัวอักษรบนป้ายที่แสดงให้เห็นว่าเคยเป็นร้านอะไรสักอย่างมาก่อน
ปาลินลงจากรถ รีบไปเปิดประตูเหล็กแล้วเข้ามาเชิญ “ผมอยู่กับพี่ชายครับ แต่รายนั้นกลับบ้านดึกหน่อย บางครั้งก็ทำโอทีข้ามคืน”
“เจ้านายใช้งานหนักน่าดูเลย” กนธียิ้มบาง เดินตามเด็กที่ชวนเข้าบ้าน “อยู่กับพี่สองคนเองหรือ แล้วคุณพ่อคุณแม่ล่ะ”
อินทัชที่เงียบอยู่นานก้าวเข้ามาแตะข้อศอกพี่กุนต์ อีกคนเลยรู้ทันที
“ขอโทษนะที่ถามมากไป” กนธีลูบหัวคนตัวเล็กกว่าที่ยืนยิ้มให้ น้องสนเอาน้ำมาเสิร์ฟ เขาไม่ค่อยจะกระหายนักแต่ก็ดื่มให้ไม่เสียน้ำใจ “ว่าแต่..ตรงนี้แต่ก่อนเคยเป็นร้านอะไรหรือเปล่า” เขาดูโดยรอบ “ร้านอาหาร?”
ปาลินพยักหน้ารับ โยนน้ำขวดให้เพื่อน “พ่อกับแม่เคยทำร้านอาหารครับ เป็นพวกสเต็ก ซี่โครงอบ สลัดกับเบอร์เกอร์อะไรแบบนี้”
“เอ..เดี๋ยวนะ เริ่มคุ้นแล้ว ชื่อนี้ อยู่แถวนี้” กนธีพึมพำ พอลองคิดย้อนก็นึกขึ้นได้ ถ้าจำไม่ผิดเป็นร้านมีชื่อในสมัยที่เขายังอายุไม่เท่าไร ช่วงนั้นถือว่าติดหนึ่งในร้านที่จะต้องไปกินให้ได้ ถ้าถามคนแก่หน่อยเป็นต้องรู้จักกันแน่นอน
“มาเริ่มวางมือตอนพี่ผมเข้าเรียนน่ะครับ เปิดแค่อาทิตย์ละสองวัน แล้วก็..ปิดไปเลยหลังจากที่พ่อกับแม่...” ปาลินยิ้มเฝื่อน
“ไม่เป็นไรใช่ไหม” กนธีเข้าใจอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรครับ ชินแล้ว” เจ้าตัวหัวเราะกลบเกลื่อน “อ่า..วันนี้พี่กุนต์มา เสียดายที่พี่ยังไม่กลับ ไม่อย่างนั้นจะชวนกินข้าวด้วยกันครับ พี่ศรเคยช่วยพ่อกับแม่ทำอาหาร เขาจำสูตรได้ ไว้วันหลังถ้าไม่รังเกียจ..เรียนเชิญนะครับ”
“จริงหรือเปล่า ถ้าได้กินอีกครั้งจะดีใจมาก” เขาเป็นพวกโหยหาอดีตอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับร้านอร่อยๆในตำนาน “กลับมาแล้วจะมากวนนะ”
อยู่คุยสักพักจนทุ่มครึ่ง กนธีก็ขอตัวกลับ เขาบอกให้ปาลินล็อกกุญแจให้ดี เด็กๆอยู่คนเดียวแบบนี้ ไม่ว่าจะใครก็ต้องห่วงทั้งนั้น
“พรุ่งนี้ขอให้เดินทางปลอดภัยนะครับ” ปาลินยกมือไหว้ “ขอบคุณที่มาส่งครับ โอ๊ต..” เขาเรียกเพื่อน “ดูแลพี่กุนต์ดีๆนะ”
อินทัชส่ายหัวระอา อุตส่าห์ยืนเฉยไม่พูดอะไรให้เจ้านี่แซวได้แล้วเชียว
กนธีเดินมาขึ้นรถส่วนอินทัชก็อ้อมมานั่งข้างคนขับ ระหว่างทางกลับไปที่คอนโดเพื่อเก็บเสื้อผ้าไปค้างบ้านใหญ่ รอออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า กนธีก็ชวนคุย
“น้องสนน่าสงสารนะ” เขาพูดเสียงเบา “เป็นเด็กดีมากเลย”
อินทัชเลิกคิ้ว “มีความหมายที่สองหรือเปล่าครับ”
“หือ?” คนฟังงุนงง “น่าสงสารนี่มีความหมายอื่นด้วยหรือไง”
เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าเผลอคิดอะไรไปไกลก็รีบดึงตัวเองกลับมา “เปล่าครับ” ใครจะยั้งทัน ในเมื่อเด็กแต่ละคนของพี่กุนต์ก็เริ่มจากความชอบพอ ไม่ก็ความน่าสงสารจนต้องไปเอ็นดูให้การเกื้อหนุนกันทั้งนั้น
“ไม่ใช่คิดว่าพี่สนใจน้องสนในแง่นั้นนะ” กนธีเขกหัวคนข้างกาย ข้อหาที่มันนึกอกุศล “เอ็นดูเขาเหมือนน้องชาย ไอ้เด็กเปรตนี่”
อินทัชหัวเราะ “ว่างั้นแหละครับ พี่ไม่เหมาะกับการกอดคนอื่นหรอก”
“ประมาณนั้น” กนธียิ้ม “ส่วนใหญ่ก็ถนัดเป็นฝ่ายตามมากกว่า ไม่ใช่อะไร ถ้าให้นำแล้วต้องมาหยุดพักหรือหมดแรงก่อนมันก็น่าอายใช่ไหม”
“น่าอายมากครับ” เขาย้ำ
“คนที่ซิงจนครั้งแรกยังทำเรือล่มเนี่ย มีหน้ามาว่าคนอื่นด้วยหรือ” กนธีนึกเขม่น “แต่จะบอกให้นะ เด็กคนที่สามของพี่น่ะ พี่ทำให้ดิ้นพราดๆมาแล้ว!”
“โกหกน่า” เชื่อก็ออกลูกเป็นแมวแล้วเนี่ย
“ก็โกหกน่ะสิ” เขาหัวเราะ “ทำตามปกติน่ะแหละ ไม่ได้พิสดารอะไร แต่ถามว่าล่มกลางคันไหม ไม่นะครับน้องโอ๊ต..” ประโยคหลังเขาหันมายักคิ้วให้
อินทัชหรี่ตามอง เน้นจังนะไอ้เรื่องนี้ เดี๋ยวก่อนเถอะ..เห็นดีกันแน่
ถึงคอนโด กนธีนั่งรอเด็กเก็บกระเป๋า ส่วนเขาเดินไปดูลูกๆทั้งหลายตรงระเบียง วันก่อนเขาลองเพาะเมลอนเพราะเห็นในเว็บมีคนปลูกลงกระถางแล้วออกลูกได้ตามปกติเลยอยากจะทำบ้าง การได้ดูต้นไม้ที่ลงมือปลูกเองค่อยๆแทงยอด ออกใบ ออกดอกและติดผล เป็นเรื่องที่เขารักที่สุด
“โอ้..ออกมาแล้ว” เขานั่งลงกับพื้น “ค่อยๆโต ไม่ต้องรีบนะ”
“คุยกับต้นไม้?” อินทัชโผล่หน้าออกมา “ทำอะไรเสร็จหรือยังครับ”
กนธีหัวเราะ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบบัวรดน้ำอันเล็ก กว่าจะพรวนดินให้น้ำให้ปุ๋ยก็ปาเข้าไปเกือบชั่วโมง ช่วยไม่ได้นี่ เขาต้องหยิบเพลี้ยออกมาด้วย
“เจอหอยทาก” เขาชูให้อีกคนดู “คงจะติดมากับดิน”
“แต่ผมเจอเต่า” อินทัชถอนหายใจ “คุณลุงเต่าตรงหน้าเนี่ย ช้าสุดๆ”
กนธีกลั้นขำ “ปลูกต้นไม้นี่ต้องใจเย็นนะ ใจร้อนไม่ได้”
“ครับยอมแล้วครับ” เด็กหนุ่มยกมือสองข้าง “อ้อ..จะบอกว่ามือถือพี่ที่วางทิ้งไว้ มีโจทก์เก่าโทรมา จะรับหรือเปล่าครับ” เขาเริ่มจะชินเสียแล้ว ไววิทย์มันก็ตื๊อมาเรื่อย ทั้งไลน์ทั้งโทรเป็นบางครั้ง แต่ไม่เห็นพี่กุนต์จะสนใจคุยสักที
“โจทก์? วิทย์น่ะหรือ” กนธีไม่ได้ใส่ใจเท่ากับการเด็ดวัชพืชตรงกระถาง “ไม่คุยหรอก บอกไปแล้วว่าจะไม่ช่วยแล้วก็ไม่ยุ่งอีก ปล่อยให้ดังแบบนั้นแหละ”
อินทัชพยักหน้า แต่เพราะเขาขี้รำคาญ ดังนั้นสายเข้าเลยถูกตัดทิ้งทันที
“ผมเตรียมชุดให้พี่แล้ว เสื้อยืดสามตัว กางเกงขาสั้นสอง ชั้นในสาม”
“กางเกงในเอาไปน้อยเกินนะ” กนธีนับนิ้ว “กลางคืนกับกลางวัน อย่างน้อยก็ต้องสี่หรือห้าตัว เผื่อลงน้ำด้วย เอาไปเหลือๆหน่อยเถอะ”
“ผมว่าพอนะ ใช้แล้วซักเลย ชั้นในของพี่ปกติผมก็ซักให้อยู่แล้ว” เด็กหนุ่มบอก “อีกอย่าง..คิดว่ากลางคืนจะได้ใส่หรือครับ” ใส่แล้วก็ถอดอยู่ดี
“ใส่สิเว้ย ไม่ใส่แล้วมันโล่ง เดี๋ยวเป็นไส้เลื่อน”
“อุตส่าห์ได้ไปเที่ยวที่ดีๆทั้งที”
เขาเห็นรีสอร์ทที่พี่กุนต์จองไว้แล้ว เป็นบ้านชั้นเดียว แยกสองห้องนอน ตกแต่งสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน สีขาวโพลนตัดกับพื้นสนามหญ้าสีเขียวชอุ่มให้บรรยากาศสุขสงบ ด้านหน้ามีซุ้มให้นั่งดูวิวท้องทะเล ลุงคนนี้ก็โรแมนติกใช่ย่อย
“แล้วไง” กนธีวางหอยทากน้อยลงในกระถางดินเปล่า
“ตอนกลางคืนกับที่สวยๆแบบนี้ไม่มีใครเขานอนกันหรอกพี่..เสียเวลา” อินทัชพับผ้าลงกระเป๋า พูดออกมาหน้าตาย “เขาทำลูกกันจนเช้านั่นแหละ”
“ไอ้โอ๊ต~”
ร่างสูงหัวเราะในลำคอ ช่องกระเป๋าเป้ด้านหน้า เขาเทถุงยางที่เพิ่งซื้อมาแบบยังไม่แกะลงไปทั้งกล่องใหญ่ ของแบบนี้ต่างหากที่ต้องเผื่อให้เหลือ
“พี่ยังต้องขับรถไปกลับนะเฮ้ย!”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ”
“เหมือนจะไม่ใช่ประเด็น” กนธีส่ายหัว พอเด็กเผลอ เขาก็แอบควักซองถุงยางในช่องนั้นออกมาโยนทิ้งไปใต้เตียง เหลือสักซองสองซองก็พอ
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]