บทที่ 16
"นาย...พวกนายไม่ได้อำฉันใช่ไหม" พรีมที่ได้ฟังเรื่องของฟาเรสทั้งหมดช๊อคไปแล้ว ส่วนมาวิคนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด สองมือกุมขมับเครียดยิ่งกว่าสอบปลายภาค
"ถ้านายคิดว่ามันหนักเกินไปก็ไม่ต้องช่วยก็ได้นะ เดี๋ยวฉันให้ท่านพ่อส่งนายไปไว้อีกกลุ่ม" โอซี่บอก ที่มาเล่าให้ฟังเพราะเห็นว่าทุกคนก็เป็นเพื่อนกัน ไม่อยากมีอะไรปิดบัง ตอนเช้าโอซี่มาตามเพื่อนของเขาเข้าไปคุยที่โดมกลางสวนด้านหลังที่มีเวลอร์กับฟาเรสรออยู่แล้ว
"ไม่ใช่แบบนั้น แค่กำลังช๊อค ไม่คิดว่าจะมีคนมีพลังแบบนี้บนโลก เรื่องจริงใช่ไหมฟาร์" มาวิคว่าพลางหันไปสบตาฟาเรสที่ยังคงทำตัวไม่ถูกกับเพื่อนคนนี้แต่ก็แค่พยักหน้ารับ "ยังไงก็ต้องช่วยอยู่แล้ว ถึงฉันจะไม่ได้เก่งอะไรมาก แต่ฉันคงไม่ปล่อยให้ฟาร์เผชิญเรื่องนี้คนเดียวอยู่แล้ว ก็แล้วนะเรา...เป็น เพื่อนกันนี่" มาวิคยิ้มขื่น แค่เพื่อนเขายังเป็นได้ใช่ไหม
"อืม ขะ ขอบคุณนะ" ฟาเรสตอบกลับเสียงเบา แต่ก็ทำให้ใจคนฟังลิงโลดขึ้นได้เพราะตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาร่างบางยังไม่เอ่ยปากคุยกับเขาด้วยซ้ำ
"ขอโทษนะฟาร์ ขอโทษจริงๆ" มาวิคบอกเสียงอ่อนแต่พอจะจับมือบางนั้นกลับชักออกทำเอาใจเขาเจ็บแปลบขึ้นทันใด แต่จะโทษใครในเมื่อเขาเป็นคนทำลายความเชื่อใจนั่น "ฉันขอโทษที่เห็นแก่ตัว โดยไม่คิดถึงความรู้สึกนาย แต่ได้โปรดอย่าทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนแบบนี้มันเจ็บมากเลย"
คนอื่นเงียบฟังแม้โอซี่กับพรีมจะไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่อาการตึงๆ ใส่กันของเพื่อนทั้งสองเขาก็สังเกตเห็นได้ในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ฟาเรสนิ่งคิด ครั้งหนึ่งเขาเคยโดนเวลอร์ลงโทษด้วยการเมินใส่มันทรมานมากๆ แย่ยิ่งกว่าการโดนต่อว่า แล้วใครจะสนละมาวิคก็ควรได้รับโทษไม่ใช่หรือ ดวงตาสีครามหันมองคนข้างกายอย่างขอความเห็น
“เพื่อนคนแรกของฟาร์เชียวนะ” เวลอร์ว่าพลางลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ เจ้าตัวเล็กของเขาดูหงอยไปเยอะพอไม่มีมาวิคคอยเล่นคอยคุยด้วย เงียบใส่กันคงไม่มีอะไรดี คนผิดก็ขอโทษแล้ว อีกอย่างมาวิคเองก็ดูทุกข์ใจกับเรื่องนี้พอตัว ร่างบางดูสองจิตสองใจจนเขาต้องพยักให้ว่ามันไม่เป็นไร "โกรธกันไปก็เท่านั้น"
ฝ่ามือนิ่มค่อยๆ วางลงบนมือของมาวิคที่ยื่นมาช้าๆ มือที่ใหญ่กว่ากอบกำมันไว้แน่นราวกับกลัวมันจะหลุดหายไป รอยยิ้มกว้างฉาบฉายเต็มใบหน้าหล่อตั้งแต่ตอนนั้นเขายังไม่เคยยิ้มได้เท่าวันนี้เลย แค่เพื่อนก็ได้ เป็นอะไรก็ได้แค่ฟาเรสยังอยู่กับเขาก็พอแล้ว แม้จะรู้สึกเจ็บหน่วงทุกครั้งที่แววตาลึกซึ้งนั้นไม่ได้มองมาที่ตนก็ตาม
"อยากรู้จริงๆ นายกับมาวิคมีปัญหาอะไรกัน" พรีมถามขึ้นเมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย
"ไม่บอก แบร่!!!" ฟาเรสแลบลิ้นใส่เพื่อนก่อนยิ้มสดใสจนสวนสวยนี้สดใสตาม
ในช่วงสายทั้งห้าหนุ่มถูกตามตัวไปที่ห้องประชุมเล็กทางปีกตะวันออกเพื่อพบกับหน่วยพิทักษ์ทั้งสามคนที่จะนำทีมพวกเขาไปปฏิบัติภารกิจ แรกเริ่มที่เห็นทำเอาอึ้งไม่น้อยเขาคิดว่าเจ้าหน้าที่ในหน่วยพิทักษ์ที่ล้วนเป็นยอดฝีมือน่าจะอายุมากกว่านี้ แต่ละคนกลับดูอายุอานามแค่ยี่สิบปลายๆ เท่านั้นเอง
"พวกเธอคงเป็นเด็กที่มาจากอนิมาสินะ
เฮ้!!... ฉันจำนายได้ แชมป์กับรองแชมป์ รอบชิงฉันได้ไปดูด้วยละ พวกนายแม่งสุดยอดไปเลย ฉันดิออน ซ้ายมือฉันชื่ออาเดน ส่วนไอ้ยักษ์ขวามือนี่ชื่อไมเรค" ชายร่างสูงผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนและดวงตาสีมรกตเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มกว้างผิวขาวจูไม่ค่อยสมบุกสมบัน เหมือนเจ้าหน้าที่ในสำนักงานมากกว่าภาคสนาม ส่วนอาเดนชายหนุ่มผมเกรียนดูแข็งแรงกว่าดิออนไปซักหน่อยแต่ผิวคล้ำแดดกว่า ผมและตาสีเดียวกันเดาคร่าวๆ ว่าคงเป็นพี่น้องกัน ส่วนอีกคนตัวใหญ่พอๆ กับโอซี่เลยก็ว่าได้ รูปร่างกำยำผิวกร้านแดด ดวงตาคมกล้าสีน้ำเงินเข้มและคิ้วหนาที่มีรอยแผลเป็นพาดยาวตรงหางคิ้วด้านซ้ายกับริมฝีปากบางเฉียบทำให้คนตรงหน้าดูดุดันน่ากลัวในความคิดของฟาเรส
"เอ่อครับ ผมมาวิค ไอ้คุณชายนั่นชื่อพรีม ตัวเล็กนี่ชื่อฟาเรส นั่นโอซี่กับเวลอร์คุณคงรู้จักกันแล้ว" มาวิคแนะนำบ้าง
"ผมไม่สนว่าคุณเป็นใคร ยิ่งใหญ่มาจากไหน เมื่อมาอยู่ในหน่วยผม พวกผมคือผู้ดูแล พวกคุณต้องเชื่อฟังอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม สนามจริงอันตรายกว่าสนามฝึก ไม่มีห้องพยาบาลให้คุณได้ทำแผลหรอกนะ" ไมเรคเอ่ยเสียงดังฟังชัดพลางมองตาทุกคนอย่างจริงจัง "ต่อให้เป็นถึงลูกผู้ว่าแห่งเดสเซนฉันก็ไม่เกรงใจหรอกนะ"
"หึ ผมยังไงก็ได้ คนมาฝึกเป็นผมเองไม่ใช่พ่อ ไม่เกี่ยวกัน" มาวิคบอกรอดไรฟัน รู้สึกคุ้นหน้าหมอนี่แปลกๆ อาจเคยเจอกันในงานสังคมซักที่ก็ได้เพราะหมอนี่เป็นคนของกองทัพ
"หึๆ ก็ดี" รอยยิ้มมุมปากน้อยๆ กับนัยน์ตาคมที่มองมา มาวิครู้สึกเหมือนเท้าจะกระตุกฟาดหน้าคนพูดเอาให้ได้ แล้วไอ้ยักคิ้วให้นี่มันอะไร ขอถีบแม่งซักทีเหอะ
"แล้วนี่เริ่มกันวันไหนครับ" พรีมถามขึ้นก่อนที่จะมีคนวางมวยใส่กัน
"ภารกิจแรกของเราคงจะเป็นที่ออบเสกลลิ่ง ชาวบ้านที่อยู่แถบนั้นแจ้งมาว่ามีพวกไวด์โซลออกอาละวาด เดาว่าคงมีรอยแยกเกิดใกล้ๆ และหมู่บ้านตรงนี้ชื่อ อาดิซาน เราจะเดินทางไปตั้งหลักกันที่นั่น" ดิออนบอกหลังจากกางแผนที่ลงบนโต๊ะ ออบเสกลลิ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเรดิเอนซี่ เป็นเทือกเขาสูงส่วนหมู่บ้านที่แจ้งมาเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แถวตีนเขา
"ถ้าเราออกเดินทางไปในเที่ยงนี้ก็จะถึงที่นั่นช่วงค่ำ พักซักคืนตอนเช้าก็เข้าป่าไปตามหารอยแยก เมื่อเจอแล้วก็ง่ายๆ ฆ่าไวด์โซลทุกตัวที่หลุดออกมา รอจนกว่ารอยแยกนั้นจะปิดไปเอง" อาเดนบอก
"เราจะปิดมัน" เวลอร์บอก
"นายทำได้หรอ"
"ฟาร์จะเป็นคนทำ ไม่แน่ใจเท่าไหร่แต่จะลองดู" หน่วยพิทักษ์ทั้งสามหันไปจ้องร่างบางอย่างสนใจ ไหนจะรูปร่างหน้าตาที่ค่อนข้างโดดเด่น ผิวขาวจัดผมสีซีด เหมือนมีออร่าบางอย่างจากเด็กคนนี้ทำให้รู้ได้ว่าคงไม่ธรรมดา
"ได้แบบนั้นก็ดีเราจะได้ไม่เสียเวลา บางรอยแยกเราต้องเฝ้ากันเกือบอาทิตย์กว่ามันจะปิดลง ถ้าทำได้เราจะได้ไปจัดการที่อื่นต่อไวๆ เอาเป็นว่าแยกย้าย เจอกันบ่ายโมง" ดิออนสรุป "ให้พวกนายไปเตรียมของเดินทาง ไม่ต้องเอาอะไรไปมากนะหนุ่มๆ ไม่ได้ไปเที่ยว ต้องการความคล่องตัว ส่วนอาวุธไปเลือกได้ที่คลังเอาที่ถนัดได้เลย ใช้เจมกันเป็นใช่ไหม เจอกันเที่ยงจะให้คนเตรียมม้าไว้ให้ เราจะไม่ใช้รถเพราะต้องเดินทางกันยาวๆ บางที่รถใช้ไม่ได้ ส่วนโทรศัพท์โยนทิ้งไปได้เลย ไม่ใช่เขตเมืองใช้ไม่ได้หรอก ถ้ามีธุระอะไร ไว้ตอนแวะที่หมู่บ้านก็ขอใช้ของทางโรงแรมเอา บ่ายโมงนะอย่าเลท มีอะไรสงสัยอีกไหม"
"ไม่ครับ"
"งั้นแยกย้าย ฉันหิวแล้ว" ดิออนบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะลากเอาอาเดนและไมเรคออกห้องตามไป
บ่ายโมงทั้งแปดคนมารวมตัวที่ลานด้านหน้าพระราชวังซึ่งได้จัดเตรียมม้าพันธุ์ดีไว้รอ ทุกตัวล้วนมีขนสีน้ำตาลเข้ม กษัตริย์อลูคัสยกม้าทรงส่วนพระองค์ให้ลูกชายกับเวลอร์คนละตัว มาทรงขนสีดำขลับตัวใหญ่และมีพละกำลังมหาศาล ว่ากันว่าสามารถเดินทางข้ามทะเลทรายโอซี่ได้สบายๆ โดยปราศจากน้ำและอาหาร
ทุกคนอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวสีเข้มพร้อมผ้าคลุมหัวเพื่อกันแดดและลมเพราะเส้นทางที่ใช้มีภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทราย แต่หากขึ้นเหนือไปจนถึงเขตออบเสกลลิ่งก็จะกลายเป็นป่าทึบ ส่วนฟาเรสกลับเลือกใส่สีครีมไม่เข้าใจเหมือนกันจะใส่สีเข้มให้มันดูดแสงกันไปทำไมถึงจะดูเท่ก็เหอะ ทุกคนขี่มาคนละตัวแต่ฟาเรสกลับถูกเวลอร์บังคับให้ขึ้นมาตัวเดียวกัน ส่วนม้าของฟาเรสนั้นใส่เพียงสัมภาระของทั้งคู่
"ขึ้นมาสิ คนอื่นรอแล้วเนี่ย" เวลอร์เร่งเมื่อร่างบางยังคงยึกยักแต่สุดท้ายก็ยอมเดินเข้าไปหา แขนแกร่งจึงอุ้มเอาเจ้าตัวขึ้นมานั่งอยู่ดานหน้าอย่างง่ายดาย ไม่รู้ว่าหมอนี่มันแรงเยอะหรือฟาเรสตัวเบา
"อ้าว ไม่ให้ฉันซ้อนละ"
"ไม่ดีกว่า"
"ทำไม"
"มันกอดไม่ถนัด" เสียงทุ้มกระซิบบอก พร้อมวาดแขนมากกอดเอวบางเข้าชิดตัวจึงโดนฝ่ามืออรหันต์ฟาดแขนแกร่งเข้าเต็มแรง แต่คนโดนกลับหัวเราะชอบใจ ส่วนอีกมือกุมบังเหียนไว้
"นี่ไม่ได้ไปฮันนี่มูน ให้มันน้อยๆ หน่อย" พรีมแซว ส่วนคนอื่นได้แต่มองมาแล้วยิ้มล้อฟาเรสทั้งเขินทั้งอายจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาสงบปากสงบคำ จะมีก็แต่มาวิคที่ทำทีหันมองไปทางอื่นเพราะไม่อยากเห็นภาพบาดตา
กลุ่มของฟาเรสเดินทางมาถึงอาดิซานในช่วงค่ำก่อนจะเข้าพักที่โรงแรมเล็กๆ ในหมู่บ้าน รุ่งเช้าก็พากันเดินเท้าเข้าป่ามุ่งสู่เทือกเขาออบเสกลลิ่งตามเส้นทางที่มีคนรายงานว่าเจอพวกไวด์โซลออกอาละวาด ยิ่งเดินลึกเข้าไปบรรดาต้นไม้น้อยใหญ่ยิ่งหนาตาจนดูรกทึบทำให้อากาศรอบตัวเย็นยะเยือกชวนขนลุก ฟาเรสมองไปรอบกายอย่างหวาดๆ หากมาคนเดียวต้องหลงเลย
"รอยเท้าพวกนั้น" ไมเรคว่าก่อนจะคุกเข่าลงไปสำรวจรอยเท้าหลายรอยที่พื้น ในขณะที่ทุกคนหยุดยืนเพื่อพิจารณาร่องรอยเหล่านั้น เวลอร์กลับตั้งสมาธิกวาดมองไปรอบกาย นัยน์ตาสีอำพันบัดนี้ม่านตาเปลี่ยนเป็นเรียวรีเพราะใช้สัณชาติญาณอย่างเต็มที่ เพิ่มประสาทสัมผัสให้เฉียบคมรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในรัศมีที่กว้างไกลไม่ช้าก็รับรู็ได้ถึงกลิ่นสาปและไอปีศาจไม่ไกลมาก
"ขึ้นเหนือไป บนเขาประมาณสามกิโล" เสียงทุ้มบอก ดึงทุกคนให้หันมาสนใจ นัยน์ตาที่เปลี่ยนไปทำเอาคนมองถึงกับฉงน
"ชิบหายเถอะ ถ้าขึ้นไปทางนั้น ก็รังของวาลาคัสแล้วละสิ" โอซี่ขยี้หัวจนยุ่งสีหน้าท่าทางดูกลุ้มใจมากๆ
"วาลาคัส คืออะไร"
"มังกรไงละ เป็นมังกรประจำถิ่น อยู่ในถ้ำบนเขาโน่น เฮ้อ มาฝึกภารกิจแรกก็เจองานหินเลยนะพวกนายนี่ โชคดีจริงๆ" ดิออนว่าเสียงเครียด "เอาไงดีไอ้พี่ชาย"
"หรือจะอยู่รอบนอก กระจายๆ กันให้ครบทุกทิศแล้วค่อยเก็บพวกไวด์โซลที่หลุดออกมา จนกว่ารอยแยกจะปิดไปเอง" อาเดนเสนอ
"ไม่น่าไหว รัศมีมันกว้างเกินไป ถ้ามีพวกมันหลุดไปเพิ่มชาวบ้านเดือดร้อนแน่ๆ" ไมเรคแย้ง
"แต่ถ้าเข้าไปใกล้เกินไป กลัวจะได้มวยกับมังกรด้วยนะสิ เดี๋ยวจะโดนย่างสดเอานะ" ดิออนบอก แค่นึกถึงสภาพตัวเองเกรียมทั้งตัวก็ขนลุกแล้ว
"กลัวอะไรวะ แค่มังกรตัวเดียว เราหน่วยพิทักษ์นะเว้ย ดูพวกเด็กๆ ยังไม่กลัวกันเลย" ไมเรคว่า ก็ไม่ได้กลัวหรอกแต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ อยู่ที่อนิม่ากระทำชำเราแต่หุ่นไม้ เจอของจริงเป็นมังกรตัวใหญ่นี่ก็เกินคาดไปเยอะ แต่มาฝึกงานกับเขามีสิทธิ์มีเสียงซะที่ไหนละ
"สรุปจะสู้"
"ก็ใช่นะสิ"
สุดท้ายทั้งหมดก็ตัดสินใจมุ่งหน้าเข้าใกล้จุดหมายจนได้ยินเสียงคำรามกึกก้องของมังกรวาลาคัส กับฝูงไวด์โซลประปรายที่พุ่งเข้ามาโจมตีเพราะได้กลิ่นมนุษย์ ยิ่งเข้าใกล้ปริมาณของพวกอันเดธยิ่งหนาตา ยังไม่ทันถึงหน้าถ้ำมังกรสีแดงเพลิงที่สูงร่วมแปดเมตรก็โฉบทะยานมาขวางไว้ตรงหน้า พร้อมคำรามขู่โชว์คมเขี้ยวที่เรียงกันกว่าร้อยซี่ สะบัดหางใส่พวกไวด์โซลที่เข้ามาใกล้จนกระเด็นไปไกล นัยน์ตาสีเหลืองดูเกรี้ยวกราดคงจะกำลังหงุดหงิดเต็มที่เมื่อบ้านอันแสนสงบของมันถูกทั้งอันเดธและมนุษย์มารุกราน มันจ้องมายังมนุษย์ทั้งแปดก่อนจะพ่นไฟใส่แต่ไม่ไกลอาจเพียงเพราะจะขับไล่ ระหว่างที่ดูทางหนีทีไล่ก็ต้องรับมือกับพวกไวด์โซลที่ทะยานเข้าใส่เป็นระยะๆ
"รอยแยกอยู่ไม่ไกล น่าจะแถวๆ ปากถ้ำนั่นแหละ" เวลอร์บอกพลางสบตากับมังกรตัวใหญ่นิ่งๆ
-แกต้องการอะไร- เสียงคำรามต่ำๆ จากวาลาคัสมีเพียงเวลอร์ที่เข้าใจ -ตรงปากถ้ำ มีรอยแยกระหว่างมิติอยู่ ทำให้เจ้าพวกนี้หลุดเข้ามา เราแค่ขอเข้าไปปิดมัน- ร่างสูงตอบกลับ
-หึๆ จะเชื่อได้หรอ มันก็แค่ข้ออ้าง พวกเจ้าแค่อยากเข้าไปในถ้ำนั้นละสิ เจ้าพวกโลภ คงได้ยินมาว่าถ้ำของข้ามีสมบัติมากมาย- -สรุปคือยังไงก็ไม่ยอมสินะ-
-รังข้า ข้าจัดการเอง ถอยไปซะ แต่ถ้าอยากเข้าไปนักละก็ผ่านข้าไปให้ได้สิ ถ้าทำข้าล้มได้อะนะ- "เจ้านั่นบอก อยากเข้าไปก็ล้มมันให้ได้"
"เฮ้ย นี่คุยกับมังกรได้ด้วยหรอ" มาวิคถามเพื่อนแบบอึ้งๆ ร่างสูงเพียงพยักหน้ารับ
"เอาไงกันดี"
"พวกคุณสามคนต้านพวกไวด์โซลไหวใช่ไหม พรีมกับมาวิคก็ช่วยด้วย" เวลอร์หับไปถามเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ทั้งสามคนสลับกับมองไปทางไวด์โซลฝูงใหญ่ที่กำลังเคลื่อนเข้ามาทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งปะทะกันกับมังกรวาลาคัสส่วนอีกด้านกำลังมาทางเขา
"ก็ได้อยู่ แล้วมังกรละเจ้าเด็กใหม่"
"เดี๋ยวผมจัดการเอง ส่วนโอซี่พยายามพาฟาเรสไปที่รอยแยกนั่น" หน่วยพิทักษ์ทั้งสามมองเวลอร์อย่างไม่อยากจะเชื่อ "บอกไว้เผื่อพวกคุณไม่รู้ ผมนะ ไม่ใช่เด็กใหม่เผลอๆ อาจแก่กว่าพวกคุณด้วยซ้ำ เชื่อผมเถอะ" น้ำเสียงเฉียบขาดพร้อมนัยน์ตาคมดูทรงพลังจนคนฟังไม่อาจปฏิเสธจึงพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ แล้วกระจายกันไปจัดการศัตรูโดยรอบ
"เว มันปิดยังไง" ฟาเรสถามเสียงสั่น เขาไม่เคยเรียนรู้วิิธีการมาก่อน
"เหมือนการใช้พลังเวทย์ทั่วไป เพ่งสมาธิไปที่รอยแยกนั่น ถ่ายทอดความต้องการของนายลงไปเท่านั้นพอ" เสียงทุ้มบอกพลางกุมมือบางไว้แน่นอย่างให้กำลังใจ "นายทำได้ ฟาร์ของฉันทำได้อยู่แล้ว"
"แล้วนายจะสู้กับวาลาคัสยังไง" ร่างบางมองคนตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง มังกรตัวใหญ่ขนาดนั้น ต่อให้เก่งมากก็เถอะนะแต่ เวลอร์จะสู้ยังไง
"หึๆ สบายมาก ฟาร์มีอีกอย่างที่ฉันไม่เคยบอก"
"อะไร...บอกอะไร"
"ฉันนะเป็น คิเมร่า" ดวงตาสีครามเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง คิเมร่า เผ่าพันธุ์นี้ยังเหลืออยู่อีกหรือ "ดูให้ดีๆ ละ จากนี้คือของจริง"
ริมฝีปากหนาหยักยิ้มก่อนที่ร่างสูงตรงหน้าจะทะยานเข้าหามังกรสีแดงเพลิง พลันร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนร่างจนกลายเป็นสัตว์ขนาดยักษ์ที่ผสมผสานกันระหว่างสัตว์สี่ชนิด มีลำตัวเป็นสิงโตบนหัวมีเขายาวมวนเป็นวงคล้ายของแพะ มีปีกขนาดใหญ่สีเดียวกับแผงคอและส่วนหางเป็นเกล็ดตรงปลายเป็นหัวของบาซิลิสมีพิษร้ายแรง รูปร่างกำยำใหญ่โตไม่แพ้มังกรวาลาคัส เวลอร์ในร่างคิเมร่าพุงชนวาลาคัสจนกระเด็นไถลไปกับพื้นดังสนั่นไปทั่วบริเวณดึงสายตาของทุกชีวิตในที่อยู่ตรงนั้นให้หันมองแต่ก็สนใจได้ไม่มากเพราะยังสู้ติดพันกับพวกไวด์โซล ก่อนจะหลบฉาดออกมาเมื่อมังกรแดงตวัดหางใส่แล้วตามเข้าไปตะปบด้วยกงเล็บคมกริบแต่คิเมร่าหลบได้อย่างหวุดหวิดทะยานขึ้นเหนือหัวกดร่างของมังกรลงกับพื้นแล้วใช้หัวบาซิลิสตรงปลายหางฝังเขี้ยวลงกลางหลัง วาลาคัสกรีดร้องกึกก้องไปทั้งบริเวณ มังกรวาลาคัสสะบัดร่างคิดเมร่าออกจากหลังก่อนจะกางปีกโผทะยานใส่
"ไปกันเถอะฟาร์ ไม่มีเวลาแล้ว" โอซี่เร่ง ใจอยากจะดูต่อแต่หน้าที่ตัวเองก็มี โอซี่เสกดาบสีน้ำตาลเข้มขึ้นจากพื้นดินแล้วดึงฟาเรสให้วิ่งตามไป ฟาเรสดึงหน้าไม้ที่พกมาถือไว้ ยังไม่อยากใช้พลังเวทย์ตอนนี้เพราะคาดว่าคงต้องใช้พลังมากในการปิดรอยแยกนั้น ทั้งสองฝ่าเข้าไปถึงปากถ้ำโอซี่ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมเพราะไม่มีอันเดธตัวไหนถึงตัวของร่างบางเลย
"ตรงนี้น่าจะได้" ฟาเรสบอก ในยามนี้เขายืนอยู่ตรงหน้ารอยแยกของมิติขนาดไม่ใหญ่ประมาณสามเมตรคูณสามเมตรมีลักษณะเหมือนหลุมดำให้ความรู้สึกเหมือนจะถูกดูดเข้าไปสู่ความมืดมิดตรงหน้า
"เริ่มเลยฟาร์ เดี๋ยวคุ้มกันเอง สู้ๆ"
"อื้มมมม!!!"
ฟาเรสสูดหายใจลึกๆ พยายามตั้งสติ ดวงตาสีครามมองตรงไปยังรอยแยกระหว่างมิติตรงหน้า ฝ่ามือบางทั้งสองยื่นไปช้าๆ แม้จะสั่นเกร็งและไม่มั่นคงแต่ในใจกับตั้งมั่นและเด็ดเดี่ยว รวบรวมสมาธิเพื่อจะถ่ายทอดพลังไปยังจุดหมาย
...ต้องปิดมัน มันต้องหายไป... สายพลังเวทย์สีขาวไหลจากฝ่ามือพุ่งสู่รอยแยกสีดำตรงหน้าโอบรอบไหลเวียนอยู่โดยรอบก่อนที่หลุมดำนั่นจะค่อยๆ ลดขนาดลงช้าๆ ระหว่างนั้นมีไวด์โซลหลายตัวหลุดออกมาแต่ก็ถูกโอซี่จัดการไปอย่างรวดเร็ว
"อึก..." หลุมดำตรงหน้าแคบลงเรื่อยๆ ยิ่งสายพลังไหลออกไปเท่าไหร่เหมือนเรี่ยวแรงในกายหลุดหายไปด้วยอย่างช้าๆ จนเหงื่อกาดผุดพรายตามกรอบหน้าเนียน
...อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จ... ฝึกใช้พลังเวทย์ทั้งวันยังไม่เหนื่อยขนาดนี้ ฟาเรสหอบหายใจหนักฝืนร่างกายให้ยืนหยัดจนในที่สุดรอยแยกระหว่างมิติก็หายวับไปจากตรงนั้นราวกับไม่เคยมีอยู่เหลือเพียงปากถ้ำและปาทึบ ร่างบางทรุดนั่งกับพื้น แข้งขาอ่อนแรงไปหมด พวกไวด์โซลรอบๆ ถูกกำจัดไปเกือบหมด เลยออกไปไม่ไกลมังกรวาลาคัสเองก็นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น แม้จะมีบาดแผลไม่มากแต่ที่สัตว์ร่างยักษ์นั่นนิ่งไปคงเป็นเพราะพิษจากปลายหางของคิเมร่าอย่างแน่นอน
เวลอร์ในร่างคิเมร่าก้าวช้าๆ มายังร่างบาง ถึงจะรู้ว่าร่างใหญ่ยักษ์นี่เป็นใครแต่ฟาเรสก็อดกลัวไม่ได้ เสียงคำรามต่ำๆ ทำเอาร่างโปร่งสะดุ้งโหยง ยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้เขายิ่งเกร็งไปหมด ส่วนหัวใหญ่ที่ปกคลุ่มไปด้วยขนหนานุ่มก้มลงมาใกล้จนเผลอกลั้นหายใจแบบไม่รู้ตัว
"ฮะๆ พอแล้วเว" คิเมร่าตัวโตดุนส่วนหัวเบาๆ กับร่างบาง คลอเคลียข้างแก้มเหมือนแมวตัวโตจนฟาเรสหลุดขำออกมาเพราะมันจั๊กจี้จนต้องตีเบาๆ ตรงจมูกชื้นเพื่อปราม เหมือนคนอื่นๆ จะจัดการพวกไวดโซลจนหมดสิ้นจึงพากันมาเข้ามาหาทั้งคู่
"นี่ยังมีอะไรเซอไพร์กันอีกไหม" พรีมถามพลางเอื้อมมือมาสัมผัสคิเมร่าตัวใหญ่ตรงหน้าแล้วพึมพำราวกับฝัน ส่วนมาวิคนี่นิ่งอึ้งไปเรียบร้อย พอๆ กับเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์อีกสามคน "ของจริงใช่ไหมเนี่ย คิเมร่าจริงๆ ใช่ไหม"
กรร!!! เวลอร์ในร่างคิเมร่าคำรามขู่เบาๆ เมื่อเพื่อนยังคงวุ่นวายกับร่างกายตัวเองไม่หยุดจนเริ่มรำคาญ คนอื่นๆ จึงถอยห่างออกไปอย่างรู้งานก่อนที่ร่างใหญ่โตนั้นจะค่อยๆ หดเล็กลงกลับคืนเป็นมนุษย์ดังเดิม
"
เห้ย!!!" ฟาเรสร้องลั่นพลางปิดหน้าปิดตาใบหน้าร้อนผ่าวไปหมดเพราะสิ่งที่เห็น เวลอร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้านุ่งลมห่มฟ้าจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนถึงเจ้าตัวจะดูไม่ค่อยสนใจอะไรแต่เขาละอายแทน
"อะไรกันฟาร์ ทำอย่างกับไม่เคยเห็น"
...ฮือ แล้วจะเข้ามาใกล้เพื่อ!!...ลมหายใจร้อนๆ ที่เป่ารดข้างแก้มเมื่อใบหน้าคมโน้มลงมาทำเอาใจเต้นระรัว
"ใครจะไปหน้าด้านเหมือนนายเล่า"
"เอ้าใส่ซะ อย่าโชว์นาน เห็นหุ่นนายแล้วอิจฉาวะ" มาวิคคนเสื้อผ้าที่ติดกระเป๋าสัมภาระมายื่นให้เพื่อน ยิ่งเห็นยิ่งแพ้แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้ เวลอร์นะรูปลักษณ์ก็ดี ฝีมือการต่อสู้นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แข็งแกร่งเสียใจเขาเทียบไม่ติด...ปลงเถอะ
"กลับเลยไหม หรือจะแคมป์กันแถวนี้แล้วตอนเช้าค่อยกลับ" ไมเรคว่า ตอนนี้ท้องฟ้าแต่งแต้มไปด้วยแสงสุดท้ายของวัน "ใกล้ค่ำแล้ว"
"เอ่อ ยังไมกลับได้ไหมครับ" ฟาเรสถามขึ้นสายตามองไปยังมังกรที่นอนนิ่งอยู่ไม่ไกล หน้าท้องที่กระเพื่อมขึ้นลงบอกให้รู้มันยังไม่ตายจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก็เจ้านี่ไม่ผิดซักหน่อยมันก็แค่ปกป้องที่อยู่ของตัวเองก็แค่นั้น เหมือนคนเรานี่แหละเวลามีใครบุกรุกบ้านเราก็คงไม่ยอมใช่ไหมละ
"หืม...ทำไมละ" คืนอื่นๆ สงสัยถามขึ้นพลางมองตามสายตาของร่างบางไป
"ผมอยากรักษามัน" น้ำเสียงนุ่มๆ กับสายตาอ้อนๆ แบบนั้นใครเล่าจะปฏิเสธได้ เจ็ดคนที่เหลือจึงยอมพยักหน้าตามใจฟาเรสไป...ชักเริ่มเข้าใจเวลอร์ขึ้นมาแล้วสิ
......................................
-มาอัพแล้วจ้า สงการต์อู้ เมาแฮงค์พมพ์ไม่ไหว เยาวชนไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอยาก แต่ปีนี้ไม่ได้ออกไปเล่นน้ำเลยเห็นแดดแล้วยอมแพ้กลัวไหม้ ไม่ใช่กลัวดำนะ
-ฝากเพจด้วยเพิ่งจะทำยังไม่ได้อัพอะไรเล้ยย เขามาพูดคุยทักทายได้นะ ถามได้ทุกเรื่องเลยค่ะ เรื่องวาดรูปก็ถามเราได้นะ เรื่องเกมก็ถามได้ ปัญหาหัวใจก็ถามเข้ามา ได้หมดยกเว้นเรื่องตังนะค่ะ
https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe/