• •* หาคู่*• •วันที่16
หลังจากภารกิจแรกจบลงด้วยความเรียบร้อยพวกเราก็ไม่ได้ไปทำภารกิจไหนอีกจนเวลาผ่านเลยมาจนถึงตอนนี้ ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่ทำให้ลูกครึ่งไดโนเสาร์อย่างผมต้องปวดหัวอยู่เรื่อย อย่างแรกเลยคือตอนนี้ทุกคนในมหาวิทยาลัย ไม่สิ น่าจะบอกว่าทุกคนที่มีโทรศัพท์มือถือคงรู้ความจริงที่ว่าผมเป็นไดโนเสาร์กลายพันธุ์กันหมดแล้ว
พอทุกคนรู้เรื่องก็มีส่วนหนึ่งที่ตีตัวออกห่างเพียงแค่เห็นผมก็เดินเลี่ยงไปทางอื่นแต่นั่นไม่ทำให้ไม่สบายเท่ากับคนที่นอกจากจะไม่กลัวแล้วยัง...
“พี่อานโน่คะ...ขอลายเซ็นหน่อยค่ะ!”รุ่นน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมยื่นกระดาษสีขาวสะอาดมาตรงหน้า
“เดี๋ยวสินิวอย่างแย่งฉันสิ...พี่คะ...ขอให้หนูด้วยนะคะ”ผู้หญิงอีกคนดันร่างของคนแรกออกไปก่อนจะหันมาพูดด้วยรอยยิ้ม
“หนูด้วยสิ...พี่คะหนูชอบพี่”
“หนูรักพี่คะ!”
พอมีคนที่สองคนที่สามและสี่ก็ตามมาเรื่อยจนคนที่ไม่คาดว่าตัวเองจะป๊อบขนาดนี้ก็ได้แต่ยืนทำตัวไม่ถูก...ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงมาชอบแทนที่จะกลัว
“พอแค่นั้นแหละสาวๆทั้งหลาย!”เสียงตะโกนของอดีตรูมเมทดังขึ้นพร้อมเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมและหญิงสาวเหล่านั้น ดวงตาสีเขียวอ่อนหันมายักคิ้วให้เป็นเชิงจะบอกว่าเดี๋ยวจะจัดการให้
“...เอ่อ...เจฟ”
“เอาล่ะพี่ๆน้องๆทุกคนใครอยากได้ลายเซ็นกรุณาต่อแถวด้วยนะครับ...ลายเซ็นแจกฟรีแต่ถ้าอยากจับมือต้องเก็บค่าสินสอดเล็กน้อยนะครับ”
“ห๊ะ?...เดี๋ยวสิเจฟ”คำพูดมันชักไม่ใช่แล้วนะ
“เอาน่า...ช่วยเพื่อนคนนี้หน่อยเนอะอานโน่ตอนนี้งบชมรมกำลังจะหมดเลยต้องหาทางระดมทุนโชคดีจริงๆที่มีนายเป็นเพื่อนรัก...มาเลยครับคนแรกเชิญเลย”พูดจบก็หลีกทางให้เด็กสายคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาผมพร้อมยื่นกระดาษและปากกาให้
“...สวัสดีครับ”เมื่อไม่รู้จะทำยังไงสุดท้ายก็ได้แต่เอ่ยทักทายพร้อมเซ็นชื่อลงบนกระดาษอย่างเสียไม่ได้ ตลอดชั่วโมงผมต้องส่งยิ้มแล้วจับมือพวกเธอจนยิ้มผมค้างหมดแล้วกว่าจะจบก็ทำเอาเหนื่อยเลย
“ทำดีมากเพื่อนรัก”เจฟพูดพร้อมกระโดดใส่ผม
เจฟก็เป็นอีกคนที่รู้ว่าผมเป็นอะไรแต่ก็ยังทำตัวปกติ...ต้องบอกว่าไม่ใช่แค่เจฟแต่เพื่อนทุกคนในกลุ่มยังทำตัวเหมือนเดิมที่ต่างจากเดิมคือทุกคนพยายามให้ผมกลายร่างเพื่อจะถ่ายรูปด้วยแต่ผมก็ปฏิเสธไปตามตรงแล้ว
เพราะไม่ต้องปิดบังเลยสามารถปล่อยเส้นผมสีเงินแซมน้ำเงินกับดวงตาสีแดงอ่อนได้ตลอดเวลาแม้แต่ในเวลาเรียน...ในส่วนของเชสดูจะไม่สบอารมณ์อยู่พอสมควรแต่สุดท้ายก็ยอมรับเพราะไม่สามารถทำอะไรได้
จะบอกว่าการที่ทุกคนรู้ความจริงมันเป็นสิ่งที่ถูกก็ไม่เชิง...การที่ต้องมาเจอเหล่านักศึกษาขอลายเซ็นและจับมือทุกวันก็ทำให้รู้สึกแปลกพอดู ปกติผมก็ค่อนข้างเด่นอยู่แล้วยิ่งรู้ความจริงทุกสายตาเลยยิ่งมาหยุดอยู่ที่ผมจนบางครั้งก็รู้สึกลำบากใจ
พอแยกจากเจฟผมก็เดินไปยังชายป่าด้านหลังหอ...ที่นั่นเป็นพื้นที่ส่วนตัวเดียวที่ไม่ค่อยมีใครเข้ามายุ่งวุ่นวาย ก้าวเข้าไปในป่าไม่นานก็พบกับร่างสูงที่นั่งหลับโดยที่หลังพิงต้นไม้อยู่ตรงหน้า เพียงแค่เห็นเชสรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นแทบจะทันที
ผมค่อยๆก้าวเข้าไปหาคนที่หลับสนิทตรงหน้าโดยระวังไม่ให้อีกฝ่ายตื่น ดูจากเสียงของลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอก็บอกได้ว่าเชสกำลังหลับสนิทแถมหลับลึกด้วย...น่าแปลกที่หลับสนิทแบบนี้เหมือนเขานอนไม่หลับงั้นแหละ
“...นายมีเรื่องอะไรให้คิดเหรอเชส?”ผมเอ่ยถามเสียงเบาก่อนจะนั่งลงข้างกายคนที่หลับตาพริ้ม
ตุบ!
น้ำหนักของศีรษะตกลงมายังไหล่ผมโดยที่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั่นยังคงปิดสนิท...แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้แกล้งแต่หลับจริงๆ
ผมปล่อยให้เชสนอนหนุนไหล่ตัวเองต่อไปเรื่อยๆจนแสงอาทิตย์ยามเย็นค่อยๆหายไปจากขอบฟ้าเหลือเพียงความมืดที่ค่อยๆคลืบคลานเข้ามา เสียงของลมหายใจที่เปลี่ยนไปเรียกให้ดวงตาสีแดงอ่อนที่จ้องไปยังท้องฟ้าหันมามองคนข้างกายที่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
พอเห็นว่าผมอยู่ข้างๆคนที่พึ่งตื่นก็ขมวดคิ้วแน่นก่นจะขยับตัวนั่งในท่าที่สบายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่...ในประเทศฝรั่งเศสตอนกลางคืนมาเร็วมากทั้งที่ยังไม่หกโมงเย็นแต่ท้องฟ้าก็ถูกย้อมเป็นสีดำซะแล้ว
“มานานรึยัง?”เสียงทุ้มของเชสถาม
“อืม...ตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว”ผมบอกไปตามตรง
“ทำไมไม่ปลุก?”เชสถามเสียงเครียด
“ก็เห็นนายหลับสบายนี่...นอนไม่พอเหรอเชส?”ผมถามพรางหันไปมองหน้าคนข้างกายที่ใต้ดวงตาดูจะคล้ำเล็กน้อย
“เปล่า”
“...”คำตอบนั่นทำให้คนที่รอฟังถึงกับเงียบ ต่อให้คนที่ฟังไม่ใช่ผมก็คงรู้ว่าคำตอบนั้นมันโกหกทั้งเพ
เชสเองก็รู้ดีว่าไม่มีทางโกหกผมได้แต่ก็ยังเลือกที่จะทำแปลว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกกันได้สินะ
ทั้งที่เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ปิดบังแต่พอเป็นเชสทำไมถึงรู้สึกแย่แบบนี้นะ...
เรื่องที่แม่บอกเองก็เหมือนกัน...ไม่ว่าจะถามยังไง จะออดอ้อนเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอกจนตอนนี้ผมไม่กล้าที่จะถามอีกแล้ว นับวันความสงสัยที่มีมันเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆว่าสรุปแล้วความรู้สึกของตัวเองคืออะไรกันแน่
แม่บอกว่าไม่ได้รักเหมือนอย่างที่รักพ่อกับแม่...หมายความว่ารักแบบเพื่อน...
ไม่ใช่
เพียงแค่คำว่าพูดผุดขึ้นมาส่วนหนึ่งภายในใจก็สวนกลับทันทีราวกับจะบอกว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่กับเพื่อนแน่นอน...แต่ถ้าไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่ครอบครัว...
แล้วมันเป็นอะไรกัน?
“...อานโน่...นี่อานโน่”เสียงเรียกพร้อมแรงเขย่าที่ไหล่ทำให้สติที่หายไปไกลกลับเข้าร่าง
“...อะไร?”
“เป็นอะไร?”
“เปล่านี่”ผมย้อนคำที่เชสใช้บ้าง
“...นี่ต้องให้พูดไหมว่าโกหก?”อีกฝ่ายถาม
“แล้วนายล่ะต้องให้พูดไหมว่าโกหก?”ผมย้อนถามพร้อมหันไปจ้องกับดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่สวยตรงๆ
“หึ...”
“หึบ้าอะไรเล่า?!”ผมถึงกับทนไม่ไหวตะโกนใส่อีกฝ่ายไปอย่างเคืองๆ ทำคนอื่นคิดมากแล้วยังมีหน้ามาส่งเสียงหึอย่างเจ้าเล่ห์อีก
เดี๋ยวก็กลับร่างเป็นไดโนเสาร์กัดหัวซะเลยนี่!
“สงสัยที่ฉันโกหกละสิ”
“ก็รู้นี่”ผมสวนกลับคำพูดลอยๆนั่นทันที
“งั้นก็ไม่บอก”เชสว่าพร้อมกับลุกขึ้นปักเสื้อและกางเกงที่เลอะฝุ่นออก พอปัดเสร็จก็เดินกลับห้องพักโดยปล่อยให้คนที่นั่งอยู่ถึงกับเหว๋อที่ได้คำตอบแบบนั้น
นี่หมายความว่าจงให้จับได้?
แถมยังมากวนโดยการไม่บอกกันอีก?
“อะ...ไอ้...”ถึงกลับนึกคำด่าไม่ออกเลยครับ
ผมที่ถูกทิ้งใช้เวลารวบรวมสติสักพักก่อนจะวิ่งตามอีกฝ่ายกลับห้อง ตลอดทางพวกเราก็ทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระทั้งเรื่องที่เชสโกหกและไม่ยอมบอกรวมทั้งเรื่องอื่นๆปะปนกันไปจนถึงห้อง610
ดวงตาสีแดงอ่อนแอบมองเชสที่ทำตัวไม่ปกติอย่างเห็นได้ชัด...โดยปกติเชสจะนอนอ่านหนังสือบนเตียงแต่ครั้งนี้กลับเล่นโทรศัพท์มือถือแทน อยากจะถามว่าทำไมแต่ก็ไม่อยากถูกคำพูดกวนๆนั่นตอบกลับมาเลยเลือกที่จะเงียบไว้
“จะถามอะไรก็ถามมาอานโน่”เสียงของคนข้างกายถามโดยที่สายตายังจ้องไปยังโทรศัพท์ของตนอยู่
“ไม่ถามหรอก...ไม่อยากฟังคำตอบกวนๆพวกนั้น”ผมสะบัดหน้าหนี
“หึ...ไม่กวนแล้วก็ได้”
“จริงเหรอ?”คำตอบนั่นทำให้ผมหันควับไปถามย้ำ
“อืม...ว่ามาสิ”
“เอ่อ...งั้นอย่างแรกขอถามว่าทำไมวันนี้ถึงเล่นโทรศัพท์ล่ะ?”
“นี่แปลว่าจะถามหลายอย่าง?”เสียงทุ้มไม่ตอบแต่ถามกลับมาแทน
“ช่ายยย...นายพูดแล้วห้ามกลับคำด้วย”
“เฮ่อ...ก็ได้...อย่างแรกฉันไม่ได้เล่นโทรศัพท์สักหน่อย”
“...”คำตอบของคำถามแรกก็ทำให้ผมมองค้อนอีกฝ่ายทันที
คำตอบนี่มันไม่กวนตรงไหนกัน?
ก็เห็นๆอยู่ว่าถือโทรศัพท์เล่นอยู่แล้วจะปฏิเสธทำไมเล่า
“หน้าเหมือนไม่พอใจกับคำตอบเลยนะ”
“ก็รู้นี่”
“ฉับพูดจริงนี่”
“จริงอะไรกัน”
“เอ้า...ก็ไม่ได้เล่นโทรศัพท์สักหน่อยดูรูปต่างหาก”เชสอธิบาย
“มันก็เหมือนกันนี่...คำถามฉันมันก็เหมารวมทุกอย่างแหละน่า”
“อ้อ...งั้นเหรอ?”
“นายมันกวน”
“หึ...อยากรู้ไหมล่ะว่าฉันดูอะไร?”
“อยากสิ”ไม่ต้องคิดคำตอบด้วยซ้ำ
“งั้นก็ไม่บอก”อีกฝ่ายยักคิ้วพร้อมกับขยับโทรศัพท์ในมือหนี
ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมกำมือแน่นก่อนจะตัดสินใจกระโจนใส่คนกวนโอ้ยตรงหน้าจนอีกฝ่ายหงายหลังลงไปยังเตียงที่ลองรับอยู่ เมื่อเชสกำลังตกใจผมก็อาศัยจังหวะนั้นคว้าโทรศัพท์ในมืออีกฝ่ายมาไว้ในมือตัวเองอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย!...เอาคืนมานะอานโน่!”คำตะโกนไม่ได้เข้าหูผมเลยสักนิด
ดวงตาสีแดงอ่อนจ้องมองไปยังหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกปิดอยู่ก่อนจะจัดการเปิดมันซะ อาจเป็นโชคที่อีกฝ่ายไม่ตั้งรหัสทำให้สามารถเข้าไปได้ง่ายๆ...
อยากรู้ว่ารู้อะไรที่เชสกำลังดูอยู่
ไม่ช้ารูปภาพที่ว่าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเพียงแต่ภาพนั้นทำให้คนที่ถือโทรศัพท์อยู่ถึงกับเบิกตากว้างเพราะรูปภาพที่เห็นคือรูปของตัวเองที่กำลังนอนหลับพิงต้นไม้อยู่ตามลำพัง
“นี่มันอะไรเชส?”ผมรีบหันไปถามคนที่ทำหน้าเครียดด้านหลังทันที
ถ่ายไว้ตั้งแต่ตอนไหนกัน?
“...ก็รูปไง”
“ไม่ต้องมากวนเลยนะเชส”
“เฮ่อ...ก็อย่างที่เห็นแหละ...โทษทีที่ถ่ายโดยไม่ได้บอก”เชสถอนหายใจก่อนจะอธิบายด้วยท่าทางแปลกๆ
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่อยากรู้ว่าทำไมต้องถ่ายไว้”
“ไม่รู้สิ”
“ห๊ะ?”
“ฉันไม่ได้กวนนะ...แค่อยากถ่ายไว้เท่านั้น...อยากเก็บความทรงจำเกี่ยวกับนายไว้ให้มากที่สุด”
“...หมายความว่ายังไง?”ผมถามออกไปเสียงสั่น
ไม่เข้าว่าสิ่งที่เชสพูดคืออะไร...พูดอย่างกับว่า...
ไม่ได้ถ่ายแค่รูปเดียวอย่างงั่นแหละ
“ลองเลื่อนรูปต่อไปดูสิ”
คำพูดนั่นทำให้คนที่ถือโทรศัพท์อยู่ทำตามอย่างไม่อิดออดก่อนจะต้องชะงักเมื่อภาพต่อมาก็ยังคงเป็นภาพตัวเองที่กำลังยืนมองต้นไม้ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ มือผมเลื่อนรูปเพื่อดูภาพต่อไปแต่ไม่ว่าจะเป็นภาพที่สาม สี่ ห้าหรือหกก็ล้วนแต่เป็นรูปของผมในกริยาบทต่างๆ
ยิ่งดูหน้าผมมันก็เหมือนกำลังแดงขึ้นเรื่อยๆ
ไม่คิดว่าจะมีภาพมากขนาดนี้...แม้แต่รูปตอนนอนกอดเชสยังมีเลย
น่าอาย
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจที่เชสให้ความสำคัญกับตัวเองขนาดนี้
“...เชส...นี่นาย...”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น...ดูจบแล้วก็คืนมาสักที”อีกฝ่ายพูดพร้อมกับแบมือมาตรงหน้าผมด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นเล็กน้อย
“นายจะอายทำไมน่ะ...คนที่ควรอายคือฉันต่างหาก”เล่นมาเขินอายแบบนี้แล้วผมจะทำหน้ายังไงเล่า
“หยุดพูดน่า”เชสย้ำก่อนจะคว้าโทรศัพท์ของตัวเองคืนไป
“...นี่...”
“นายเคยถามฉันว่าทำไมไม่บอกสิ่งที่คุณเซโครพูดใช่ไหม?”เชสไม่ปล่อยให้ห้องเงียบนาน ไม่กี่วินาทีเขาก็ถามขึ้นพร้อมหันหน้ามาทางผม แววตาที่จ้องมองมาราวกัว่าได้ตัดสินใจบางอย่างแล้ว
“อืม”
“ถ้าฉันบอกนายจะเชื่อใช่ไหม?”
“แน่นอน”คำตอบไม่ต้องคิดสักนิด
ถ้าไม่ให้เชื่อเชสแล้วจะให้เชื่อใครล่ะ?
“นั่นเป็นคำตอบว่าทำไมฉันถึงเลี่ยงจะไม่บอก”
“...ทำไม?”
“ฉันไม่อยากให้นายเชื่อฉันอานโน่”
“...”ยิ่งฟังผมยิ่งไม่เข้าใจในสิ่งที่เชสต้องการจะบอก
“ฉันอยากให้นายรู้ด้วยตัวของนาย...ด้วยหัวใจของนายไม่ใช่เพราะคำพูดของฉัน”
“เชส...”
“ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่นับวันฉันก็เริ่มจะทนไม่ไหวขึ้นทุกที...”
“หมายความว่ายังไง?...ทนอะไรไม่ไหวเชส?”ผมรีบถามกลับพร้อมขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“นายเคยบอกว่าให้ฉันหวงนายได้แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่แค่หวง...”
“เชส...อะไร?”นายจะบอกอะไร?
“...ฉันกำลังหึงนายกับทุกคนในมหาวิทยาลัยที่เข้าใกล้นาย”เชสบอกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีน้ำเงินเข้มสั่นระริกราวกับจะขอให้ผมเข้าใจความรู้สึกเขาสักที
“หึง?...”คำนั้น...
มันเอาไว้ใช้กับคนรัก...
รักเหรอ?
“ฉันจะให้เวลานายอีกแค่วันเดียวถ้านายยังไม่รู้ถึงสิ่งที่คุณเซโครพูดฉันจะเป็นคนบอกและจะผูกมัดนายไว้เพียงคนเดียว”แววตาที่แสนจริงจังทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถามอะไรออกไปทั้งสิ้น
พอพูดจบเชสก็คว้าตัวผมเข้าไปกอดก่อนจะทิ้งตัวนอนแผ่ลงที่เตียงโดยที่แขนทั้งสองข้างกอดรัดผมไว้ภายใน...ฝ่ามืออุ่นๆกระชับตัวผมให้เข้าไปแนบชิดก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมายังแผ่นหลังแล้วลูบเบาๆ
“อานโน่”หัวใจที่สงบนิ่งค่อยๆเต้นแรงขึ้นเมื่อได้ยินเสียงชื่อตนด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้...มันดูเหมือนเรียกด้วยความรู้สึกอะไรสักอย่าง
ให้เวลาถึงพรุ่งนี้เหรอ...
บอกตรงๆนะว่าผมไม่อยากรอแม้แต่วินาทีเดียว
ผมอยากรู้...
อยากรู้ในตอนนี้ว่าความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในนี่คืออะไร
เช้าของวันต่อมาอาคริว เบนซ์ ฟงเซ่หรือผมก็เข้าเรียนเหมือนอย่างปกติเพียงแต่ภายในใจนั้นกำลังอยากเร่งเวลาให้เดินเร็วขึ้นอีกนิดเพื่อจะได้ถึงตอนเย็น...ตอนที่เชสจะบอกความจริง
บางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงอยากให้ผมรู้ด้วยหัวใจของตัวเอง
คาบเรียนได้ผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้าพอเสร็จคนที่สติไม่ค่อยอยู่กับตัวก็รีบวิ่งกลับห้องโดยไม่สนเสียงเรียกที่ไล่หลังมา...ระหว่างที่กำลังจะกลับห้องกลิ่นของคนที่ทำให้สับสนก็ลอยเข้ามาเท้าที่วิ่งจึงหยุดลงแล้วเดินเลี้ยวไปยังมุมตึกก่อนจะพบภาพที่ทำให้ภายในหัวใจรู้สึกแปลกอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“หนูชอบพี่เชสค่ะ”คำสารภาพของรุ่นน้องดังขึ้นพร้อมจ้องไปยังชายหนุ่มเจ้าของฉายาเจ้าชายน้ำแข็งอย่างมีความหวัง
บรรยากาศสีชมพูที่ควรจะแสดงความยินดีกลับทำให้ผมรู้แย่อย่างบอกไม่ถูก
ในหัวมีแค่คำขอ...
ขอให้เชสปฏิเสธ
ทันทีที่คิดแบบนั้นผมก็ต้องชะงักแล้วก้มมองตัวเองอย่างไม่เชื่อว่าจะมีความคิดแบบนี้ขึ้นมาได้
ทำไมถึงอยากให้เชสปฏิเสธ
“...จะไปคิดดู”ประโยคที่ได้ยินเรียกเสียงกรี๊ดเบาๆจากรุ่นน้องตรงหน้าแต่กลับสร้างความสับสนในหัวผมให้เพิ่มมากขึ้น
ทำไมถึงไม่ปฏิเสธเหมือนอย่างทุกทีล่ะ?
ที่ผมเป็นตอนนี้เหมือนกำลังหวงอีกฝ่าย...หวงมากจนไม่อยากให้ใครได้แตะต้อง
ด้วยสายเลือดของไดโนเสาร์ที่ไหลเวียนอยู่ก็ทำให้ความหวงที่มีมันรุนแรงขึ้นจนไม่อาจอธิบายได้...รู้แค่ว่าผมจะไม่ยอมให้เชสไปเป็นของคนอื่น
“...ไม่ยอม...”อยู่ๆความคิดหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัว
สิ่งที่แม่บอก...
คำว่ารักที่ผมให้เชสไม่เหมือนที่ให้กับพ่อหรือแม่
สิ่งที่เชสบอก...
อยากให้ผมรับรู้ได้ด้วยหัวใจของตัวเอง
“...รัก...”ผมรักเชส เรื่องนี้ผมรู้ตัวดีแต่ว่ารักแบบไหนล่ะ?
แบบไหนที่จะมีสิทธิ์หวง
แบบไหนที่จะมีสิทธิ์ในตัวของอีกฝ่าย
ต้องรักแบบไหนกัน?
“พ่อ...แม่...”ผมพำพร้อมกับดวงตาสีแดงอ่อนที่เบิกกว้างขึ้นเมื่อเข้าใจบางอย่าง
รักเหมือนที่พ่อรักแม่
รักแบบคนรัก
นั่นคือรักที่ผมรู้สึกกับเชส
“หนูดีใจที่พี่ให้โอกาสหนูเพราะงั้นหนูจะทำให้...อ๊ะ!...”ไม่รอให้รุ่นน้องคนนั้นพูดจบผมก็เข้าไปแทรกกลางระหว่างคนทั้งคู่โดยที่มือข้างหนึ่งจับข้อมือของเชสไว้แน่น
“อานโน่?”
“...พี่อานโน่?”ทั้งคู่ดูจะตกใจเมื่อเห็นผมมายืนอยู่ตรงนี้
“ขอโทษด้วยที่มาขัดจังหวะ...”ผมมองไปยังหญิงสาวร่างเล็กตรงหน้า
“คะ?...ไม่เป็นไรค่ะ”
“แต่พี่คงยกผู้ชายคนนี้ให้เธอไม่ได้”ผมพูดประโยคต่อไปให้รุ่นน้องตรงหน้าฟัง
“...มะ...พี่หมายความว่ายังไง?”
“อานโน่”เสียงเรียกของเชสไม่ทำให้ผมเปลี่ยนมีแต่จะทำให้การตัดสินใจแน่วแน่ขึ้นเท่านั้น
“ผู้ชายคนนี้...เป็นของฉัน!”ผมพูดพร้อมกับดึงเชสให้ตามออกมาโดยทิ้งเด็กสาวที่พึ่งสารภาพรักให้อยู่ตามลำพังแบบนั้น
เมื่อรู้ถึงความรู้สึกของตัวเองก็ไม่มีเหตุผลที่ยอมให้คนอื่นมาแย่ง
ด้วยพื้นฐานนิสัยของไดโนเสาร์หวงแหนคู่ของตัวเองมาก...จะไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้หรือมาแย่ง
ถ้าคิดจะแย่งก็คงต้องลองกันสักตั้ง
“อานโน่...เดี๋ยวสิ...ที่พูดหมายถึงอะไร?”เสียงทุ้มดังขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
“ไปคุยกันที่ห้อง...ฉันมีเรื่องจะบอกนาย”พูดจบก็รีบลากคนที่ทำหน้างงเข้าห้องทันที
ภายในห้องสี่เหลี่ยมหมายเลข610มีชายหนุ่มหน้าตาดีสองคนนั่งอยู่บนเตียงโดยที่หน้าหน้าไปคนละข้าง...ภายในใจที่ร้อนรุ่มเมื่อเห็นภาพของเชสอยู่กับผู้หญิงหายไปอย่างสิ้นเชิงสิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความเขินอายจนไม่กล้าแม้แต่จะหันไม่มองเจ้าของห้องที่อยู่ข้างๆ
นี่ผมทำอะไรไป?!
แค่เห็นภาพนั่นถึงกับโดนอารมณ์ครอบงำจนไม่เหลือสติเลยงั้นเหรอ?!
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้เหมือนถูกสายเลือดของไดโนเสาร์เข้าครอบงำโดยสมบูรณ์ในหัวมีเพียงคำว่าจะไม่ยอมยกเชสให้ใคร...แต่พอได้มาสงบสติอารมณ์สายเลือดของมนุษย์ก็ไหลเข้ามารวมทำให้ตอนนี้ผมอยากจะสลายกลายเป็นไอน้ำซะจริงๆ
แล้วผมจะทำยังไงต่อไปดีเนี่ย!
“อานโน่”
เฮือก!
แค่ได้ยินเสียงเรียงทั้งร่างก็สะดุ้งเกร็งขึ้นทันตาเห็น...
เอาแล้วไงทำยังไงดี
จะบอกว่ายังไง...
อย่างแรกต้องบอกว่าความรู้สึกของตัวเองคืออะไรสินะ...
ที่เรียกว่า...สารภาพรัก?
แล้วสารภาพรักมันต้องพูดยังไงล่ะ?
พูดแค่ฉันรักนายได้ไหม?
หรือต้องมีอะไรอีก?
“อานโน่...นี่...อานโน่”เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้มาแค่เสียงฝ่ามืออุ่นๆที่แตะเข้าที่ไหล่ทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะเด้งตัวหนีไปชิดกับหัวเตียง
ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าจะหนีทำไม?
“อานโน่?”
“เอ่อ...คือ...ขอโทษ”ผมเอ่ยออกไปอย่างยากลำบากเหมือนร่างกายยังไม่พร้อมที่จะพูดตอนนี้
“ดูแปลกๆนะ...หน้านายแดงมากเลยเป็นอะไร...”เสียงทุ้มชะงักไปเมื่อถูกปัดมือที่หมายจะแตะที่หน้าผากเพื่อวัดไข้
“...ขะ...ขอโทษ”นี่ผมทำอะไรลงไปกัน
“...อานโน่”
“อย่าเข้ามานะ”เจ้าของชื่อรีบขยับถอยหลังหนีเมื่อถูกเชสขยับเข้าใกล้
“ทำไมต้องหนีล่ะ?”คิ้วสีน้ำตาลขมวดเข้าหากันโดยขยับตัวเข้ามาใกล้อย่างไม่ยอมแพ้
“ไม่รู้...แต่อย่าพึ่งเข้ามา”
“นายเป็นอะไรอานโน่?”อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้จนในที่สุดร่างของผมก็หยุดนิ่งอยู่ที่มุมบริเวณหัวเตียงโดยที่ร่างของเชสปิดทางหนี
“...เชส...”ทำไมต้องเร่งด้วยเล่า
“บอกมา...สิ่งที่นายพูดกับรุ่นน้องเมื่อกี๊คืออะไร?...นายพูดว่าจะ...”
“อ๊ากกก!...หยุดนะห้ามพูด!”ผมรีบโผลเข้าไปปิดปากที่กำลังจะพูดประโยคหน้าอายนั่นออกมาอย่างไม่รู้ตัวทำให้ร่างของพวกเราหงายหลังลงบนเตียงอีกฝั่ง
เมื่อเห็นท่าไม่ดีผมเลยรีบขยับหนีแต่ก็ไม่ทันคนด้านล่างที่ใช้มือสองข้างคว้าเอวผมไว้ทำให้ไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้ ทางเดียวที่คิดออกคือดิ้นแรงๆจนกว่าจะหลุดจากวงแขนนี้
“หนีไม่พ้นหรอกอานโน่...ท่าทางของนายทำให้ฉันมีความหวังนะรู้ไหม?”
“...ความหวัง...”ผมที่ดิ้นไปมาค่อยๆหยุดการเคลื่อนไหวลงในหัวมีเพียงความสงสัยของประโยคที่เชสพูดก่อนหน้านี้
“นายทำเหมือนกำลัง...”
“...อะไร...”เชสจะบอกว่าอะไร
“กำลังหึงฉัน”
ตึก ตัก ตึก ตัก
เสียงหัวใจเต้นรัวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดนั่น
“...ทำไม...ถึงรู้...”
“...”คำพึมพำเบาๆของผมทำให้มือที่กอดเอวอยู่รัดแน่นขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“...เชส?”
“พูดจริงเหรออานโน่?”พูดจบมือที่รัดเอวไว้แน่นก็เปลี่ยนมาสัมผัสที่ใบหน้าพร้อมหันหน้าผมให้ไปเผชิญกับอีกฝ่ายตรงๆ ดวงตาสีน้ำเข้มที่จ้องมาอย่างจริงจังนั่นทำให้ผมไม่สามารถละสายตาออกไปได้
“...อะไร?”
“ที่บอกว่าหึงน่ะ”
“...”ผมได้แต่เม้มปากแน่นไม่ยอมเอ่ยคำตอบให้คนตรงหน้าได้ยิน
“อานโน่...บอกฉันทีว่าความรู้สึกของนายเหมือนกับฉันใช่ไหม?”น้ำเสียงทุ้มๆถามต่อด้วยประกายแห่งความหวังในดวงตาสีน้ำเงินคู่สวย
“...ความรู้สึก...อะไร?”ผมถามกลับโดยไม่ละสายตาออกจากคนตรงหน้า
ความรู้สึกไหนที่เหมือนกัน
“...ฉันรักนาย”
“...”คำสารภาพง่ายๆที่ได้ยินทำให้สมองเบลอไปชั่วขณะหนึ่ง ภายในหัวมันเหมือนมีอะไรหมุนติ้วอยู่จนไม่สามารถคิดอะไรได้มากอย่างที่เป็น
“อานโน่?”
คำสารภาพรักทำได้ง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ?
ถ้าง่ายๆแบบนี้ล่ะก็...
“...ฉันก็รักนายเชส”สิ้นคำสารภาพคนตรงหน้าก็ดูจะอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติในเวลาไม่นาน ดูจากคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่ก็เป็นคำตอบได้ดีว่าเชสยังไม่เข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อแต่ไอ้ประโยคต่อมาน่ะ...
“ฉันไม่ใช่พ่อแม่นายนะ”
“รู้แล้วน่า!”ผมตะโกนตอบพร้อมชกเข้าไปที่หน้าท้องเชสแรงๆ
แค่ดูก็รู้แล้ว หน้าไม่เหมือนกันสักนิด
“แค่ก!...เจ็บนะ”
“ก็อยากมากวนทำไมเล่า!”ผมสวนกลับอีกฝ่ายที่ใช้มือกุมหน้าท้องตัวเองที่โดนชก
“ไม่ได้กวนแค่บอกไว้...แล้วฉันก็ไม่ใช่เพื่อนนายด้วย”
“...รู้แล้ว”ความรู้สึกรักนี่...มันไม่ได้มีไว้ใช้กับเพื่อน
“ที่พูดว่ารัก...หมายถึงในฐานะอะไรล่ะ?”เสียงทุ้มถามต่อก่อนจะขยับตัวมาคร่อมผมไว้
“...แล้วนายล่ะ...ที่บอกว่ารักมันในฐานะอะไร?”เสียงนุ่มถามกลับ
“ฉันถามก่อน”คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแสดงความไม่พอใจทันที
“ถามที่หลังแล้วตอบก่อนไม่ได้รึไง?!”
“อย่ากวนตอนนี้อานโน่”น้ำเสียงที่จริงจังทำให้ผมต้องหยุดกวนอีกฝ่ายพร้อมกับหันหน้าหนีเพราะกลัวจะหน้าแดงถ้าพูดมันออกไปตรงๆ
“...รักแบบที่พ่อรักแม่”
“แน่ใจใช่ไหม?”เสียงทุ้มที่เข้ามาใกล้มากขึ้นเรียกให้ผมหันกลับไปมองแต่เพราะอีกฝ่ายขยับใบหน้าเข้าใกล้ปลายจมูกของเราเลยสัมผัสกันเบาๆจนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน
“...เชส”ใกล้ไปแล้ว
“ตอบฉันอานโน่...ถึงคำตอบนั้นฉันจะไม่ยอมให้นายเปลี่ยนก็ตาม”
“ขี้โกงนี่...งั้นจะให้ตอบซ้ำทำไมล่ะ?”ผมย้อนถาม อยากจะขยับร่างกายหนีไปจากสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อหัวใจแบบนี้แต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกทั้งคร่อมทั้งจับไว้แน่น
“หึ...นายรู้ไหมว่าฉันรอมันมานานเท่าไหร่?”
“รออะไร?”
“รอให้คำว่ารักของนายเหมือนฉันไง”
“...แล้วตอนนี้เหมือนกันรึยัง?”เสียงนุ่มเงียบไปสักพักก่อนจะถามกลับไปด้วยความอยากรู้
ความรู้สึกของเชส...จะเหมือนกับที่ผมรู้สึกไหม?
“คิดว่าไงล่ะ?”
“อย่ามากวนตอนนี้เชส”ผมสวนกลับ แค่นี้ก็ใจเต้นจะตายอยู่แล้ว
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มทอประกายขบขันก่อนที่ริมฝีปากของเชสจะกดทับริมฝีปากผมเบาๆแล้วคาสัมผัสไว้แบบนั้นสักพัก ตัวผมทั้งที่สามารถผลักอีกฝ่ายออกไปได้แต่กลับทำเพียงยอมรับความรุ่มร้อนนั้นไว้ด้วยความเต็มใจ
ไม่นานเขาก็ละออกไปแล้วเปลี่ยนมากระซิบคำตอบเบาๆที่ข้างใบหูด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้...
รู้เพียงแค่ประโยคนั้นทำให้ผมคว้าคอคนด้านบนมากอดไว้แน่นอย่างไม่อายใคร...
“ฉันดีใจที่ความรู้สึกของเราเหมือนกัน”
..................................................................................
สวัสดีค่าา
ตอนนี้มันฟินมากกก
ฟินจริงๆ คนแต่งนี่ยิ้มแก้มปริตลอดการแต่งเลย(แต่งหลายวันก็ยิ้มหลายวัน 555)
ในที่สุด...
ในที่สุด!
อานโน่ก็รู้ใจตัวเองแล้ว!!
ความจริงเราคิดไว้หลายแบบเหมือนกันจะว่าให้รู้ตัวเลยดีหรือรออีกหน่อย
แต่สุดท้ายก็ให้รู้ตัวเลยดีกว่า...
บอกเลยว่าเรื่องนี้ผ่านมาเกินครึ่งทางที่คิดไว้แล้ว
อาจจะยาวกว่ายูทาร์เซโครหน่อยแต่ก็ไม่กี่ตอนนะคะ
ช่วงนี้เป็นช่วงซัมเมอร์ใครที่เรียนก็สู้ๆนะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจและรอคอยค่ะ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นท์และทุกๆกำลังใจด้วยนะคะ
สำหรับตอนหน้า...
อยากสปอยในหัวที่คิดไว้จังเลยแต่ก็อยากให้คนอ่านไปลุ้นกันมากกว่า
เอาเป็นว่า...ตอนหน้าเป็นขั้นกว่าขอตอนนี้ค่ะ 555
ไว้เจอกันใหม่ในอีก2อาทิตย์นะ
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪