ตอนที่ ๑๑ คืนจันทร์ไร้ดาว (๑๐๐%)
ตะวันยามบ่ายสาดแสงอุ่นโลมไล้ผิวน้ำเป็นประกายระยับจับตา ข้าทอดกายอยู่บนศาลาอย่างเกียจคร้านมือคีบหมากสีดำจรดลงบนกระดานไม้อย่างไม่ใส่ใจนัก รอบบริเวณเงียบสงัดดั่งร้างไร้ผู้คน สระบงกชผลิดอกงดงามยามวสันต์ กิ่งหลิวเอนไหวตามสายลมพัด เฝ้ามองร่างงดงามร่างหนึ่งวิ่งเล่นอยู่ด้านนอกศาลาอย่างรื่นเริง รอยยิ้มหนึ่งล่มเมืองเฉิดฉายกลบความงามของดอกบัวจนจืดจางลงสิ้น คล้ายจะรู้ว่าถูกจ้องมองเด็กแสนซนถึงได้วิ่งถลันกลับเข้ามาในศาลา
“ลี่ฉางเกอเกอ” ข้าถอนหายใจคราหนึ่งกับกริยากระโดกกระเดกประหนึ่งลิงน้อย มองผู้ที่กำลังกระมิดกระเมี้ยนเข้ามาใกล้อย่างเฉยชา ครุ่นคิดหาทางลงของหมากขาวต่อด้วยท่าทีเรียบเฉย
“วิ่งเล่นสนุกมากหรือไม่” เอ่ยประโยคนี้อย่างสงบเรียบง่ายยิ่งคล้ายไม่ใส่ใจ กระทั่งถูกกอดเอวไว้จึงเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย
“ลี่ฉางเกอเกออย่าโกรธข้าเลย ข้าจะไม่ซุกซนอีกแล้ว” ขมวดคิ้วจิ้มหน้าผากงามดันให้ออกไปห่างกาย ทอดมองคนในร่างข้า ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมาด้วยนิสัยของเขาทำให้ข้ารู้สึกสนิทสนมกว่าคราแรก เด็กน้อยผู้นี้ขี้กลัวแต่ก็ซุกซนราวกับกระต่าย ราวกับเป็นน้องชายที่ข้าเคยคิดฝันว่าจะมี
“เด็กโง่ ที่ข้าบอกให้เจ้าสำรวมก็เพื่อตัวเจ้าเองทั้งนั้น หากใครมาเห็นเข้าเจ้าจะแก้ตัวได้หรือ”
“ตรงนี้ไม่มีผู้ใดนี่นา ไม่มีใครรู้หรอกว่าข้าไม่ใช่เหวินฉีลี่ฉางผู้เลิศล้ำ” เด็กน้อยยิ้มตาหยีจนดวงตาหงส์วาดโค้งลงดั่งจันทร์เสี้ยว ข้าเอนตัวลงกับหมอนอิงด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้นมือหยิบกล่องไม้สองกล่องออกมา ก่อนจะหยิบถุงหอมจากกล่องหนึ่งยื่นให้อีกฝ่าย
“ซีหยางถุงหอมนี้ข้าให้เจ้า”
“หอมมากเลยลี่ฉางเกอเกอ ไม่เคยมีใครให้ของขวัญเป็นถุงหอมแก่ข้ามาก่อน ขอบคุณท่านมาก” รอยยิ้มทั้งปากแลตาหวานระยับเป็นประกายน่ามอง ท่าทางซาบซึ้งของเขาทำหัวใจข้าอ่อนยวบ สำหรับเด็กที่โตมาอย่างทุกข์ยาก ของขวัญชิ้นเล็กเพียงเท่านี้คงจะเป็นของขวัญล้ำค่ามากกระมัง
“ปกติข้ามักพกถุงหอมไว้กับตัวอยู่ตลอด ระยะหลังมาเจ้าไม่มีถุงหอมติดกาย คนอื่นจะสงสัยเอาได้” เด็กคนนั้นพยักหน้าระรัวท่าทีน่าเอ็นดู ข้าวางท่าเรียบเฉยเลื่อนกล่องอีกกล่องหนึ่งไปให้เขา
“ส่วนในกล่องนี้ หากพบฝ่าบาทก็จงมอบให้เขาแทนข้า” เด็กน้อยส่งสายตาล้อเลียน ข้าทำคอแข็งกระแอมขึ้นคราหนึ่งหยิบจอกชาขึ้นมาดื่ม เห็นมือซุกซนกำลังจะเปิดกล่องก็ตีไปทีหนึ่ง “เจ้าเด็กซนห้ามเปิดดู”
“ก็ข้าอยากรู้ว่าในนั้นมีอะไร” ท่าทางปากยื่นอย่างน่าเอ็นดูทำให้ข้าหัวเราะเบาๆให้ลำคอ “เจ้าได้สิ่งใดเขาก็ได้สิ่งนั้น” เจ้าเด็กน้อยร้องอ๋อ ทันใดนั้นเสียงคนป่าวร้องเรียกหานามเหวินฉีลี่ฉางก็ดังขึ้นอย่างกระทันหัน ดูท่าพวกขันทีน้อยจะรู้แล้วกระมังว่าเจ้าเด็กคนนี้หนีมาเล่นซุกซน
คนในร่างข้ายิ้มตาหยีคราหนึ่งกล่าวลาก่อนจะขอตัวลุกจากไป มองตามแผ่นหลังเขาวิ่งออกจากศาลาข้าพลันถอนหายใจเบาๆ ยกจอกชาขึ้นละเลียดดม มือคีบหมากดำมาถือไว้อีกคราวางหมากดำลงไปอย่างเอ้อระเหยก่อนจะกล่าวขึ้นกับลมกับฟ้าหนึ่งประโยค “ผู้มาเยือนใยจึงซ่อนเร้น เมื่อเป็นวิญญูชนสมควรเปิดเผย”
เสียงพุ่มไม้ไหวดังอยู่ใกล้ บุรุษผู้หนึ่งปรากฏกายอยู่ห่างจากศาลาไปไม่ไกล ข้าปรายตามองเขาอย่างสงบเยือกเย็น ก่อนจะก้มลงมองหมากกระดานต่ออย่างไม่ใส่ใจคล้ายเห็นบุรุษผู้นั้นเป็นดั่งภูตผี
“ท่านหมอสมกับฉายาหมอเทวดา รอบรู้ทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้” ข้าหยักยิ้มคราหนึ่งคีบตัวหมากเคาะไปกับกระดานไม้อันประณีตแผ่วเบาราวกับกำลังใช้ความคิด ในใจนึกขบขันข้าที่ไร้วรยุทธ์มีหรือจะทราบได้ เพียงแต่คนที่อยู่ข้างกายข้าคือยอดฝีมืออันดับหนึ่ง มีหรือตัวข้าจะถูกสะกดรอยได้โดยง่าย
“ใต้เท้าท่านชมเกินไปแล้ว หมอเทวดานั้นเป็นฉายานามของอาจารย์ข้า ข้าเป็นเพียงศิษย์ผู้โง่เขลาของเขาเท่านั้น” บุรุษหน้าเหม็นผู้หนึ่งต่อให้ไม่พบสิบปีก็ยังหน้าเหม็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน คนผู้นี้คือหลั๋วหาน พี่ร่วมสาบานคนรองของจิ่นสือ เขาเป็นมนุษย์หน้าน้ำแข็งผู้ไร้หัวใจ เป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองหลวงคุมทหารองครักษ์ที่เก่งกาจที่สุด ทั้งที่อยู่เมืองหลวงดุจเดียวกันแต่ความสัมพันธ์ของข้ากับเขาเรียกได้ว่าห่างเหินกันอย่างยิ่ง ข้าแสร้งมองไม่เห็นเขา เขาเล่าก็แสร้งมองไม่เห็นข้า
ในบรรดาพี่น้องร่วมสาบานของจิ่นสือข้าชิงชังหลั๋วหานที่สุด เขาชอบใช้ดวงตาน้ำแข็งนั้นมองข้าอย่างดูแคลนในใจของเขาคงคิดดูถูกข้าอยู่ตลอด ผู้อื่นยกย่องข้าเป็นคุณชายผู้เลิศล้ำแห่งหมื่นวสันต์ เป็นนายน้อยแห่งหอเหมย แต่เขากลับมองข้าเป็นเพียงนายบำเรอชายผู้หนึ่ง
“หมากกระดานนี้ซับซ้อนยิ่งนัก” พิศมองคิ้วคมสันประหนึ่งดาบขมวดมุ่นหากัน ข้าหยักยิ้มหัวเราะในลำคอเบาๆ เก็บกดความรู้สึกชังน้ำหน้านี้ลงในอก มองผู้สวมใส่ชุดดำปักลายพยัคฆ์นั่งลงตรงข้ามกระดานหมากอย่างใจจดใจจ่อ
“ใต้เท้าหลั๋วฝีมือเดินหมากเลิศล้ำฝ่าบาทเคยชื่นชมออกบ่อยครั้ง หมากกระดานนี้นับเป็นอะไรได้” ข้าวางหมากตัวสุดท้ายลงบนกระดานอย่างไม่ใส่ว่าว่าเมื่อครู่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา มองกลหมากดำขาวเรียงรายอย่างซับซ้อนยากจะแก้ไขไดจึงลุกขึ้นคลี่ยิ้มพิสดารให้เขาคราหนึ่งแล้วขอตัวเดินจากมา
“นายน้อยเมื่อครู่ท่านทำเช่นนั้นคนแซ่หลั๋วจะไม่สงสัยเอาหรือ” พี่จื่อหรงปรากฏขึ้นข้างตัวประดุจภูตผี ข้าคลี่ยิ้มจางๆส่ายหน้าทอดมองไกลไปยังสระบัวอย่างเหม่อลอย
“พี่จื่อหรง จิ่นสือเป็นคนเช่นใดข้าย่อมรู้ดีที่สุด หากข้าบอกแก่เขาว่าตัวข้าคือเหวินฉีลี่ฉางเขาคงบั่นคอข้าให้ตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเรื่องที่ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง เขาต้องรู้ด้วยตัวเองเท่านั้น”
“เช่นนั้นท่านจะให้ผู้แซ่หลั๋วเป็นคนเปิดโปงเรื่องนี้หรือ” ข้าพยักหน้าเบาๆ พี่จื่อหรงแม้จะเป็นคนซื่อตรงแต่กลับไม่ใช่คนซื่อบื้อ บุรุษผู้นี้เติบโตมาในหมื่นวสันต์และกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งรั้งตำแหน่งมาเนิ่นนาน รวมทั้งเป็นคนข้างกายข้าถูกคัดเลือกมาอย่างดีมีหรือจะเป็นคนโง่งม
“แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินผู้นี้เป็นคนที่จิ่นสือไว้วางใจที่สุดในบรรดาพี่น้อง ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้อยู่รั้งเฝ้าเมือง เขาเป็นคนซื่อสัตย์แลซื่อตรงแต่ไม่ใช่คนโง่งม แต่หลั๋วหานผู้นี้ขี้ระแวงสงสัยทำให้แม้แต่ฮูหยินก็ยังไม่อาจแต่งเข้าจวน ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับจื่นสือเขายิ่งทวีความระแวดระวังขึ้นอีกหลายเท่า คนแบบนี้เมื่อถูกปลูกความคลางแคลงไว้ในใจ ผลจะออกมาเป็นเช่นไรได้อีกเล่า”
ข้ายิ้มจางๆเอื้อมมือไปหักกิ่งก้านอันเปราะบางของดอกบัว กลิ่นปทุมาหอมจรุง กลีบดอกสลับซับซ้อนแลอ่อนบางยิ่งนักจนเผลอขยี้ให้แหลกเอียดคามือ ...ดูท่าเรื่องการปรากฎตัวของคนแซ่หลั๋วอย่างกะทันหันในครานี้คงเป็นคำสั่งของจิ่นสือกระมัง เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนจึงทำให้เขาเริ่มระแวงสงสัยข้าหรือ? หรือเขาเพียงแต่หวงแหนเหวินฉีลี่ฉาง?
"นายน้อย.." ข้าถอนหายใจทิ้งบัวที่ชอกช้ำกลับคืนธารา เฝ้ามองวงบนผิวน้ำค่อยๆจางหายกลับกลายเป็นนิ่งสนิทดั่งก่อนเก่าแล้วจึงสูดลมหายใจคราหนึ่ง เงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้มให้พี่จื่อหรง
"ข้าไม่เป็นไร" เสียงฝีเท้าคนดังใกล้เข้ามาพี่จื่อหรงจึงแฝงตัวกลับคืนสู่เงา ไม่นานนักขันทีน้อยผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา เป็นเด็กที่ข้าคุ้นเคย..คนของหมื่นวสันต์
“ท่านหมอจิ่ว มีคนจากภายนอกมาขอพบขอรับ”
“เป็นผู้ใด?”
“คุณชายรองตระกูลหลี่” ข้าหลับตาลงตอบรับเบาๆในลำคอ คนผู้นั้นไม่สมควรเอาตัวเองเข้ามาในวังวนนี้ใยจึงใฝ่หาความยุ่งยากเข้าใส่ตัว ข้าถอนหายใจคราหนึ่งมองดอกบัวขาวอันงามพิสุทธิ์ในน้ำ...หลี่ฮุ่ยหรงเองก็เป็นดั่งบัวขาวดอกนี้ หัวใจเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและน้ำใจ เขาใสสะอาดเกินกว่าจะมาเหยียบย่ำในโคลนตมได้ดั่งข้าแลฮุ่ยเหอ
ข้าเดินตามขันทีน้อยมาอย่างเชื่องช้า เมื่อมาถึงที่หมายก็พบคุณชายรองสกุลหลี่นั่งรอในห้องพบปะญาติอย่างสงบนิ่ง ชุดสีเขียวอ่อนดุจสีของลำต้นไผ่ทำให้รื่นรมย์แลสบายตายิ่งนัก เขาจิบน้ำชาด้วยท่วงท่าสมเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ ข้างตัวมีสุนัขตัวหนึ่งที่คุ้นเคย ข้าพลันเบิกตากว้างคลี่ยิ้มออกมาด้วยความปรีดาสุดจะกล่าว
“เจ้าดำ!”
เจ้าดำที่นอนอยู่บนพื้นเงยหน้ากลมๆของมันขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน พลันเมื่อตาสบกันมันก็ลุกขึ้นแล่นรี่มาหาอย่างรวดเร็วประหนึ่งลมพัดส่งเสียงเห่าก้องร้องยินดี “โฮ่ง..โฮ่ง”
“เจ้าดำ..” ข้ารับเจ้าดำน้อยมาไว้ในอ้อมแขน ขนของมันนุ่มลื่นดุจไหมสีราตรี ดวงตาสดชื่นแจ่มใสดูท่าอยู่ในจวนสกุลหลี่คงถูกประคบประหงมเอาใจมากอยู่กระมัง เล่นกับเจ้าดำอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยๆลุกขึ้นมายิ้มละไมให้แก่ฮุ่ยหรง เขายิ้มตอบกลับมาอย่างเก้อเขิน
“หลายวันมานี้เจ้าดำไม่ยอมกินอาหาร ท่าทางทุกข์ตรมเอาแต่นอนมองประตูใหญ่ ข้าจึงพามันมาเยี่ยมเจ้า” ข้าเลิกคิ้วไม่ยอมกินอาหาร? ท่าทางทุกข์ตรม? เหลือบสายตามองสุนัขน้อยก็พบว่าเจ้าตัวที่เริงร่าอยู่เมื่อครู่ จู่ๆก็เซไปเซมาโอนเอนล้อมแผละลงกับพื้น ร้องครางงี้ดๆเสริมคำพูดของฮุ่ยเหอให้ดูน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง
“เจ้าดำ คิดถึงข้ามากหรือไม่” สุนัขน้อยร้องครางออดอ้อนอย่างน่ารัก ข้าหัวเราะเบาๆมองเจ้าดำที่นำศีรษะมาถูเบาๆที่ต้นขาก้มลงไปลูบหัวมันอย่างรักใคร่
“เจ้าดำคิดถึงน้องจิ่วเมิ่งมาก” ข้าคลี่ยิ้มสุภาพห่างเหินให้แก่ฮุ่ยหรงวางท่ากลับสู่ความสงบสำรวม “ที่คุณชายรองมาวันนี้คงไม่เพียงแค่พาเจ้าดำมาเยี่ยมเยือนข้ากระมัง”
มองเขาที่ใบหน้าสลดลงวูบหนึ่งยิ่งทำให้รู้สึกหนักใจ ข้าไม่อาจถือเขาเป็นพี่น้องได้เช่นเก่าก่อน ทุกก้าวที่ข้าเหยียบย่างในตอนนี้นับว่าอันตรายยิ่ง ไม่อาจให้มิตรภาพนี้ย้อนรอยไปทำร้ายเขาได้หากข้าพลั้งพลาด “..ลี่ฉาง” ข้าชะงักหยุดมือที่กำลังรินชาทันทีเมื่อได้ยินชื่อนี้หลุดออกมาจากปากบุรุษข้างๆ
“น้องจิ่วเมิ่งเจ้าคือเหวินฉีลี่ฉางใช่หรือไม่” ข้าตวัดดวงตาคมกริบมองเขา ความลับนี้เขาไม่สมควรรู้ หรือว่าหลี่ฮุ่ยเหอกล้าปากสว่าง!! ไม่...ข้ามั่นใจ ฮุ่ยเหอไม่ใช่คนเช่นนั้น ความลับนี้ผู้รู้ย่อมได้รับเภทภัย เขาไม่มีวันชักนำภัยไปสู่น้องชายโดยเด็ดขาด เช่นนั้นใยจึงรู้เล่า!!
“น้องจิ่วเมิ่งอย่าได้ปิดข้า” ข้าวางถ้วยชาลงเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาคลี่ยิ้มเย็นชา
“ข้าไม่มีเรื่องใดปกปิดท่าน"
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังปิดข้า ทั้งเจ้าและพี่ใหญ่ข้ารู้ว่า.."
“คุณชายรองข้าขอเตือนท่าน ไม่ว่าสิ่งใดที่ท่านกำลังคาดเดานั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อตัวท่านเอง ข้าในตอนนี้คือจิ่วเมิ่ง เป็นเพียงหมอผู้หนึ่ง ไม่ใช่เหวินฉีลี่ฉางผู้งามล่มเมืองเป็นแน่ ท่านเคยเห็นใบหน้าข้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าอัปลักษณ์น่าหวาดกลัวเพียงใด” ข้าตัดบทอย่างนิ่งเฉย หยิบจอกชาขึ้นมาจิบอีกครั้งรสชาตินับว่าไม่เลวเลยสมที่เป็นชาราชสำนัก ก้มลงอุ้มเจ้าดำมาวางบนตักลูบหัวมันอย่างรักใคร่
“ไม่เลย! เจ้าไม่ได้อัปลักษณ์ หากเจ้าอัปลักษณ์จริงใยจึงช่วยเหลือข้า ใยจึงช่วยข้าให้รอดพ้นจากความตาย สำหรับข้าน้องจิ่วเมิ่งเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม ต่อให้เจ้าทำตัวห่างเหินเย็นชาข้าก็รู้ว่าเจ้าอบอุ่นมากเพียงไร” ข้าหลับตาลงในใจรู้สึกคล้ายถูกหนามแหลมคมขีดข่วนจนเลือดซิบ ...ข้าช่วยเจ้าเพราะมีผลประโยชน์แอบแฝงต่างหากเล่าฮุ่ยหรง ไม่เช่นนั้นลำพังขอทานที่อดยากหิวโซจะฝืนสังขารเดินทำไมหลายหลี่เพื่อตามหาจวนสกุลเจ้า จะลงทุนทุ่มเทรักษาทำไมหากเจ้าไม่ใช่น้องชายของฮุ่ยเหอ
“ตอนนั้นตอนที่ขบวนเสด็จมาถึง เจ้าเรียกนามฝ่าบาทด้วยเสียงคร่ำครวญ เจ้าบอกว่าเจ้าคือเหวินฉีลี่ฉาง เรื่องนี้เจ้าเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือ” สีหน้าท่าทางจริงจังขึงขังทำให้ข้าต้องถอนใจอีกคราหนึ่ง ในตอนนั้นคนทั้งโลกไม่เชื่อข้า ไม่คาดว่ายังมีบุรุษผู้นี้ที่นำเรื่องนั้นเก็บมาคิดเสียจริงจัง ปักใจเชื่อในสิ่งที่ข้าพูดไม่ทราบว่าควรจะตื้นตันหรือขบขันในความซื่อบริสุทธิ์ของเขาดี หากเป็นผู้อื่นมีหรือจะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ คงคิดว่าข้าเป็นคนวิปลาสคนหนึ่งเท่านั้นกระมัง
“ตอนนั้นข้าเพียงแต่เลอะเลือนไปชั่วขณะหนึ่ง” มือแตะเบาๆที่จมูกนุ่มหยุ่นของเจ้าดำ เล่นกับมันคล้ายว่าไม่มีบุรุษอีกคนอยู่ในห้อง
“น้องจิ่วเมิ่ง..”
“ขอเชิญคุณชายรองกลับจวน ข้ามีธุระไม่อาจอยู่พบท่านได้นานต้องขออภัย” ข้ากอดเจ้าดำอย่างอาลัยได้แต่หักใจลามัน ตวัดสายตามองบุรุษตรงหน้าอีกครั้งอย่างเข้มงวดดุดัน
"เรื่องนี้ข้าจะไม่พูดไปน้องจิ่วเมิ่งอย่าได้ห่วง" ข้ารู้นิสัยท่านดี มีหรือจะหวั่นกลัวว่าท่านจะพูดออกไปพร่ำเพรื่อ เพียงแต่ไม่อยากลากท่านเข้ามาในวังวนนี้ หมากกระดานนี้เดิมพันของข้าสูงอย่างยิ่ง หากไม่ได้หัวใจของเขามาเท่ากับว่าข้าอาจต้องสูญเสียไปกระทั่งชีวิต ดังนั้นจึงไม่อาจดึงทั้งหมื่นวสันต์แลชีวิตคนสกุลหลี่เข้ามาเป็นสิ่งเดิมพันได้มากไปกว่านี้
"ข้าไม่ส่งนะ" ประโยคนี้แม้ตัวเองเป็นผู้พูดยังรู้สึกว่าไร้น้ำใจอย่างยิ่ง ข้าลูบหัวเจ้าดำจุมพิตที่หน้าผากมันแผ่วเบาดุจคำลา หันหลังให้แก่เขาที่เดินจากไป ที่หางตาคล้ายเห็นรอยยิ้มขื่นขมยิ้มหนึ่ง ภายหลังจากที่หนึ่งบุรุษหนึ่งสุนัขน้อยจากไปถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จู่ๆก็รู้สึกว่าในใจบังเกิดความเหน็บหนาวขึ้น มิตรภาพจากมิตรสหายคนแรกที่ไม่ใช่คนของหมื่นวสันต์ ไมตรีของฮุ่ยหรงที่หยิบยื่นให้ประดุจหนึ่งไฟที่ส่องไล่ความมืดมน หากไม่มีเขาตอนนี้ข้าคงไม่อาจทราบชะตากรรมตัวเอง คิดมาถึงตรงนี้ก็อดถอนหายใจไม่ได้อีกครา
ข้าหลับตาลงเพื่อขจัดความหวั่นไหวในอก พลันลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง "เขาพบกับซีหยางแล้วกระมัง" ข้ายกถ้วยชาขึ้นจิบ ละเลียดกลิ่นหอมอย่างใจเย็น ยามที่ได้ยินเสียงรายงานของพี่จื่อหรงก็คลี่ยิ้มออกมาบางเบาประดุจหมอกควัน