【嫦娥 ลิขิตจันทรา】[พีเรียดจีนโบราณ] ตอนที่๑๓ ๔/๔/๕๙
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 【嫦娥 ลิขิตจันทรา】[พีเรียดจีนโบราณ] ตอนที่๑๓ ๔/๔/๕๙  (อ่าน 57184 ครั้ง)

ออฟไลน์ zeroj

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 565
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
บอกตรงๆ  ว่า ไม่กล้าอ่าน     สงสารลี่ฉาง  สุดหัวใจ    :sad11: :sad11: :sad11:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
เมื่อไรฉางเอ๋อจะกลับคืนร่างเดิม

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
หงส์ก็คือหงส์
ต่อให้อยู่ในร่างกาก็ย่อมส่องประกาย

สนุกมากกกกกกกกก
หลงรักเจ้าดำ

ออฟไลน์ ๛゙★βra_11!☆゙

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 503
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-1
สนุกกกกกก  :katai2-1: ดีใจได้เรื่องสนุกๆอ่านเพิ่มแล้ว  :กอด1:
ตัวเอกดูเกเร น่ารักเชียว พระเอกตอนแรกน่ากลัวไปหน่อย ทั้งขังทั้งล่ามไว้ปีนึง
โหดมากก.... แต่มาใจดีปีหลัง

รอต่ออค่า มาร่วมติดตามเรื่องนี้ด้วยคน

ออฟไลน์ Veesi3

  • coHon3 {ต้นฝ้าย}
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
สนุกมากๆ ชอบชอบาษามากค่ะ ชวนติดตาม อินอ่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
แล้วจะสลับคืนเมื่อไหร่ น่าสงสารจัง  :mew2:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
อ่านในเด็กดีเกินตอนที่ลงในนี้ไปแล้วเลยไม่มีอะไรจะเม้นท์ แต่เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
 :ling1: :ling1:ชอบมากสนุกมากค่ะ 

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
สรุปสลับร่างกันจริงๆสินะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Night Rose

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หาแนวนี้อ่านไม่ค่อยเจอเท่าไร ชอบมากๆเลยค่ะ เนื้อเรื่องดี และลื่นมาก ไม่ติดเลย ชอบมากอีกตัวละครหนึ่งคือตัวของขอทาน เพราะดูซื่อๆ และยังเด็ก ค่อนข้างจะกลัวคน ถ้าไรท์ไม่ได้ว่างบทให้เค้าร้ายนะค่ะ(คิดว่าไรท์คงมีบทบาทให้เค้าอยู่แล้ว) เค้าคงจะเป็นตัวละครที่น่ารักมาก(อันนี้คิดเล่นๆนะค่ะ อยากให้ตัวของขอทานมีคู่ด้วยนะค่ะ แค่คิดเล่นๆนะ)
ปล.รีดเป็นคนไม่ค่อยเม้นท์เท่าไรถ้าไม่ชอบจริงๆ แต่งต่อเรื่อยๆนะค่ะสนุกมากๆเลยค่ะ o13
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-01-2016 18:28:13 โดย Night Rose »

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
เราว่ายังไงขอทานเข้าร่างเหวินฉีลี่ฉางก็ไม่มีทางเป็นเหมือนเหวินฉีลี่ฉางได้อะ
ติดแต่ว่าคนอื่นๆจะเชื่อรึเปล่าว่าวิญญาณสลับร่างกัน :เฮ้อ:

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ฮออออล ลุ้นอ่ะ หวงซ่างล่ะ จะรู้สึกแปลกๆกะที่อยู่ด้วยคนนั้นหรือยังนะ ลุ้นๆๆๆ

ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0



ตอนที่ ๗  ชามะลิหอมขจร

ข้านั่งเอนกายอ่านตำราอยู่บนตั่งหยกกำซาบกลิ่นอันปลอดโปร่งของสมุนไพรสายหนึ่ง กระทั่งได้ยินเสียงขยับตัวของคนบนเตียงจึงได้วางหนังสือลง  เหล่าขันทีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักที่ยืนอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยขยับตัวกันอย่างแผ่วเบาประชิดร่างอันงดงามบนตั่งเตียงเพื่อคอยรับใช้  ข้าหย่อนตัวนั่งลงข้างผู้ที่ระริกสั่นราวกับลูกวิหคพลัดตกรังใบหน้างดงามล่มเมืองมองไปรอบข้างอย่างขวัญเสียจับเจ่าอยู่บนเตียง  เป็นอาการที่ไม่ได้เห็นมาเกือบสัปดาห์มิคาดจะหวนกลับมาเป็นอีกครา

“ลี่ฉางเจ้าฝันร้ายหรือ” น้ำตาราวเม็ดมุกพร่างพรูจากนัยน์ตาหงส์พริ้มพรายคู่นั้น ข้าพลันถอนหายใจคราหนึ่งรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นเขาร่ำไห้  เด็กคนนี้ถูกข้าเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม อาเตียของเขาก็รักใคร่ตามใจจนกลายเป็นมารน้อยจอมเอาแต่ใจผู้หนึ่ง  แต่อย่างไรยามเขาทำผิดก็ไม่กล้าหักใจลงโทษรุนแรงได้สักที  เห็นเขามีน้ำตาจึงรู้สึกปวดในอกอยู่บ้าง

นับตั้งแต่ที่ได้ทารกน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มมาไว้ในอ้อมกอด  ข้าสาบานกับตัวเองว่าจะปกป้องเขาด้วยชีวิต  มิคาด...สองปีมานี้กลับไม่สามารถช่วยเขาออกมาจากนรกจนต้องตายหนีความอัปยศ  ตอนเขาสิ้นลมข้าพลันรู้สึกอยู่เหมือนตาย  ในโลกนี้เขาเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของข้าแต่กลับต้องสูญเสียจักทำใจได้อย่างไร

ตอนนั้นข้าร่ำไห้กอดร่างเย็นเยียบเขาไว้อย่างคนวิปลาส  ยาไม่รู้กี่ร้อยชนิดป้อนให้เขาหวังให้ฟื้นตื่น  เฝ้ามองใบหน้างดงามล่มฟ้าที่คลี่ยิ้มแผ่วจางอย่างสงบนิ่ง   กลิ่นหอมราวบุปผาเซียนอวลแผ่วเบาราวกับจะจางหายไปทุกเมื่อ สุดท้ายก็ไม่อาจรักษาลมหายใจสุดท้ายได้แต่มองดูร่างเขานอนนิ่งสงบราวกับจมอยู่ในนิทรามิลืมตาตื่นขึ้นมาอีกเลย  มิคาดว่าร่ำไห้จนสลบไปคราหนึ่งจะตื่นมาพบว่าชีพจรเขาค่อยๆคืนกลับมา   

ในตอนนั้นข้าทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อยื้อลมหายใจน้อยๆของเขาเอาไว้  สามวันสามคืนไม่ได้หลับพักผ่อนเฝ้ารักษาลมหายใจเบาบางนั้นจนกระทั่งเขาลืมตาตื่น  ดวงตาประกายดาราสวยงามแรกลืมตาเป็นภาพที่ไม่อาจลบลืม  ข้าเฝ้าขอบคุณสวรรค์นับพันครั้งที่มอบเขากลับคืนมาให้ชีวิตอันว่างเปล่านี้อีก  เจ็ดวันผ่านพ้นร่างกายเขาค่อยๆดีขึ้นตามลำดับแต่ว่าลักษณะนิสัยของเขากลับเปลี่ยนไปอย่างมาก

ภาพของเด็กที่กินข้าวอย่างโหยหิวจนแก้มเลอะเปรอะเปื้อน  ท่าทางหิวกระหายอย่างที่ไม่เคยได้พบทำให้ข้าตกตะลึงไปคราหนึ่ง  เด็กน้อยของข้าไม่เคยทำกิริยาเช่นนี้ให้เห็น  ตั้งแต่ยังเยาว์วัยลี่ฉางเป็นเด็กที่รักมารยาทมากกว่าผู้อื่น  เขาชอบวางท่าสง่าสูงส่งเลียนแบบข้าจนกลายเป็นนิสัย  ความหยิ่งยโสเจ้าทิฐิทำให้เขาไม่เคยยอมก้มหัวให้แก่ใครแลไม่เคยแสดงท่าทีอ่อนแอเป็นรองแก่ผู้ใด 

ไม่ใช่เพียงข้าที่ตกตะลึงในนิสัยอันเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของลี่ฉาง  หวงช่างองค์ใหม่ก็งุนงงจนขมวดคิ้วอยู่หลายครา แม่ทัพใหญ่ทั้งสี่ก็ตกใจจนอ้าปากค้าง  เด็กน้อยขันทีก็พากันสับสน  ลี่ฉางเปลี่ยนไปมาก..เขาดูราวกับเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่ง...ที่แท้ต้องบอกว่าลูกสุนัขตัวหนึ่ง  เขารักการกินอย่างยิ่ง  ไม่ชอบอาบน้ำอุ่นอย่างที่เคย  น้ำเย็นเขาก็ไม่ชอบ  เขาเกลียดอากาศหนาวชอบซุกตัวนอนขดอยู่บนเตียงอุ่น  หมากล้อมก็ไม่โปรดปราน  ดนตรีก็ไม่อยากฟัง  หนังสือก็ไม่ต้องการอ่าน  คัดอักษรก็ไม่ได้  ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปราวกลับหน้ามือเป็นหลังมือ
 
ตอนแรกนิสัยเขาดูคล้ายว่าจะดีขึ้นอยู่บ้าง ระหว่างเดินทางเข้าเมืองหลวงเหมือนว่าเขาจะค่อยๆปรับตัวได้  ท่าทีตื่นตระหนกตกใจดูผ่อนคลายแม้จะยังไม่ปริปากเอ่ยอันใด  กระทั่งมาถึงเมืองหลวงอาการหวาดกลัวก็หวนกลับมาอีกครั้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ  ตัวข้าที่ถูกผู้อื่นเรียกขานหมอเทวดารู้สึกละอายยิ่งนักที่ศิษย์เพียงคนเดียวก็มิอาจรักษา

“ลี่ฉางเจ้ารอประเดี๋ยว  ข้าจะไปชงชาสมุนไพรมาให้” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงักกลับไปแอบซ่อนตัวอยู่ที่มุมเตียง  ข้าถอนหายใจคราหนึ่งสะบัดชายเสื้อจากมาด้วยความอ่อนล้า



“ท่านเหมย..” ข้าชะงักฝีเท้าหยุดอยู่ที่ระเบียงตำหนัก  หันมองบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนหลบซ่อนอยู่ข้างเสา  ชุดขุนนางฝ่ายบู๊ลวดลายพยัคฆ์น่าเกรงขามบ่งบอกสถานะสูงส่งของบุรุษผู้นี้  ใบหน้าหล่อเหลาท่าทีองอาจทั้งยังอยู่ในวัยหนุ่ม  คนผู้นี้คือหลี่ฮุ่ยเหอ แม่ทัพสยบอุดรผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ยังชายแดนเหนือ แม้มีโอกาสได้พบเขาบ่อยครั้งแต่กลับมิเคยสนทนาพาทีกันอย่างจริงจังมาก่อน

“ที่แท้เป็นท่านแม่ทัพหลี่” ข้าคลี่ยิ้มเยือกเย็นคราหนึ่งมองใบหน้าสับสนวุ่นวายใจของเขา

“ข้าอยากคุยกันท่านเป็นการส่วนตัว” คนรุ่นหนุ่มนี่ซื่อตรงโผงผางโดยแท้  ข้าหันไปสั่งขันทีน้อยที่ติดตามมาให้ไปเตรียมชาเสร็จแล้วจึงผายมือเชิญเขาเข้าสู่ห้องหนังสือที่อยู่ไม่ไกล  ตอนนี้ไม่มีผู้ใดอยู่ในบริเวณนี้บรรยากาศสงบเงียบยิ่งนัก

“มิทราบท่านมีธุระอันใดกับข้าหรือ” เขามิตอบคำเพียงยืนจดหมายฉบับหนึ่งมาให้  ข้ารับจดหมายน้อยขึ้นมาเปิดอ่าน  พลันหัวใจชาวาบมือสั่นระริกมิอาจห้าม  มองดูตัวอักษรอันชดช้อยงดงามเพียงสองคำที่เขย่าหัวใจได้นั้นคือคำว่า ‘อาเหนียง’[1] ในโลกนี้ยังมีใครเรียกข้าเช่นนี้อีกหากมิใช่...  ข้าสูดหายใจคราหนึ่งไล่ความรู้สึกสั่นสะท้านออกไปเงยหน้ามองแม่ทัพสยบอุดรฝืนคลี่ยิ้มนิ่งสงบ

“เจ้าของจดหมายนี้อยู่ที่ใด?”

“เขาพักอาศัยอยู่ที่บ้านข้า” ข้าพยักหน้าคราหนึ่งพินิจพิจารณาลายมือบนกระดาษอีกครั้งอย่างละเอียด  ข้าฟูมฟักสั่งสอนเด็กคนหนึ่งมาชั่วชีวิต  ลายมือของเขามีหรือที่จะจำไม่ได้  แต่ว่าเจ้าของลายมือสมควรอยู่ในห้องที่ข้าพึ่งจากมา  ..นี่มันเรื่องอันใดกันแน่  ข้าพลันอยากร้องถามคำว่าที่แท้แล้วผู้ใดกันเป็นคนเขียนจดหมายนี้แต่แม่ทัพหลี่ดูจะใจร้อนกว่าจึงโผงผางเอ่ยวาจาขึ้นเสียก่อน

“เรื่องนี้ซับซ้อนนัก  แต่ข้าต้องการให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของคนผู้หนึ่ง..คนผู้นั้นมีเพียงท่านที่จะบอกได้ว่าเขาคือใคร” ข้าครุ่นคิดสงสัยพิศมองกระดาษสีเหลืองรู้สึกเหมือนเลือนรางอยู่ในม่านหมอกสลัว  ขันทีน้อยผู้หนึ่งเข้ามารายงานว่าหวงช่างได้เสด็จคืนตำหนัก  ข้าพยักหน้ารับทราบตกลงกับแม่ทัพหลี่ว่าวันพรุ่งจะออกจากวังไปหาเขาที่จวน

เมื่อกลับคืนสู่ห้องของลี่ฉางพบกับบุรุษผู้เป็นเจ้าแผ่นดินกำลังตระกองกอดเด็กน้อยที่ขวัญเสียอย่างหนัก  ร่างงดงามบนเตียงสั่นระริกพลิกตัวหนีอ้อมกอดนั้นด้วยแววตาคลอน้ำหยาด  ข้ากระแอมขึ้นคราหนึ่งหรี่ตามองหวงตี้[2]บนเตียงอย่างเยือกเย็นจนเขาพลันหยุดมือ

“ลี่ฉางกำลังขวัญเสียต้องการพักผ่อน”

“ข้าทราบ เพียงแต่..” ข้าลอบถอนหายใจคราหนึ่งมิอาจทำใจเพ่งพิศใบหน้าที่เหมือนคนผู้นั้นได้นานแสร้งทำเป็นมองเมินหยิบตำราแพทย์มาพลิกอ่าน

“รอเขาอาการดีขึ้น ฝ่าบาทค่อยเสด็จมาเยี่ยมคงเป็นการดีกว่า” มองผ่านกระจกทองเหลืองเห็นจักรพรรดิหนุ่มหลับตาลงอย่างปวดร้าว  ความสัมพันธ์ของผู้เยาว์เหล่านี้นับว่าซับซ้อนวุ่นวายยิ่งนัก
 
“ข้าทราบแล้ว ขอเวลาซักครู่เถิด” เขาตอบเพียงแค่นั้นหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับขันทีน้อย เด็กๆเหล่านั้นรู้ความอย่างมากจัดหาหวีหยกมาให้อย่างรวดเร็ว

ข้าหย่อนตัวลงที่ตั่งเดิมเปิดอ่านตำราแพทย์มิเคลื่อนกายไปไหน  ปลายหางตาเหลือบแลมองท่าทีอันละมุนละไมที่เขาหวีเกศาสีดำปลอดของลี่ฉางคล้ายทำเป็นปกติจนเคยชิน  เด็กน้อยของข้าที่ตัวสั่นเทาเริ่มผ่อนคลายเอนกายอยู่กับอกคนผู้นั้นอย่างแสนสุขท่าทีประหนึ่งลูกแมวน้อย  มองแพขนตาที่ขยับยุกยิกปิดเข้าหากันสนิทเป็นสัญญาณแห่งการนิทราเงาร่างของบุรุษผู้นั้นจึงหายไป  ข้าหย่อนตัวลงนั่งข้างศิษย์น้อยพิศมองใบหน้างามล่มฟ้าอย่างมิใคร่สบายใจนัก  น้ำหมึกสีดำบนกระดาษเหลืองคล้ายยังคงเป็นตะกอนขุ่นในใจทำให้ไม่อาจข่มตาหลับได้ลง
 


ยามซือ[3]รถม้าล่วงสู่จวนแม่ทัพหลี่  บ้านของแม่ทัพผู้นี้ตกแต่งเข้มแข็งอย่างทหารแตกต่างจากตำหนักหมื่นวสันต์โดยสิ้นเชิง  เมื่อก้าวเท้าเข้าไปกลิ่นอายห้าวหาญแลลานฝึกก็ปรากฎสู่สายตา  แม้แต่เด็กรับใช้ยังดูเคร่งครัดในวินัยอย่างมาก  เด็กรับใช้ชายทั้งสองมิได้นำพาข้าไปยังห้องโถงรับรองดังที่คาดแต่กลับเป็นศาลาแห่งหนึ่งกลางสวนไผ่  ทางเดินทอดยาวกลิ่นอายห้าวหาญจางหายเป็นความสงบสูงส่งอย่างปัญชาชนผู้ทรงภูมิเข้ามาแทนที่

สายลมวสันต์โชยอ่อนละมุนกลิ่นไผ่หอมสงบรื่นรมย์  คนผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านในศาลาแผ่นหลังเล็กเหยียดตรงอย่างทระนง  นิ้วเรียวกรีดไล่ตามสายเจิง[4]ทั้งยี่สิบเอ็ดสายบังเกิดเสียงใสเสนาะ  หนึ่งนิ้วดีดลงหนึ่งทำนองเคยคุ้น  เสียงอันแผ่วเบาทว่าคมชัดอ่อนหวานคล้ายได้กลิ่นดอกโม่ลี่[5]กำลังผลิบานสะพรั่ง   ราวกับว่าเป็นบทเพลงที่นานมาแล้วมิได้สดับ  ท่วงทำนองชวนคิดถึงวันคืนเก่าจนต้องสูดหายใจหนึ่งครา กระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่หยาดน้ำที่คลอรอบหน่วยตาออก  ท่วงทำนองเช่นนี้ข้าคุ้นหูอย่างยิ่ง...หัวใจข้าสะท้านยะเยือกจนมิอาจก้าวเดินตามเด็กรับใช้ทั้งสองเข้าสู่ศาลา

  เมื่อบรรเลงบทเพลงจบเจ้าของร่างเล็กนั้นหันกลับมาหาข้า  ใบหน้าของเขาถูกปิดบังไว้ด้วยหน้ากากเงินมีเพียงรอยยิ้มยากจะเข้าใจแลดวงตาแสนโศกราวลูกกวางน้อยพลัดมารดาที่ประจักษ์ชัดบนใบหน้าเขา  เมื่อพบเห็นข้าเขาพลันสะบัดชายเสื้อลุกขึ้นมาคุกเข่าคำนับ

“ผู้เยาว์เจ้าจงลุกขึ้นเถิด เจ้าคุกเข่าคำนับข้าเช่นนี้ ข้าเห็นทีจะรับไม่ไหว” เด็กหนุ่มผู้นั้นยังคงคุกเข่าคำนับไม่ขยับเขยื้อน ข้าถอนใจคราหนึ่งประคองเขาขึ้นจากพื้นแต่เขายังฝืนตัวคุกเข่าอยู่อย่างนั้น

“ใต้เข่าบุรุษล้วนมีทองคำ[6] เจ้าไม่สมควรคำนับผู้ใดพร่ำเพรื่อ” ลอบพิศมองเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทารกน้อยผู้นี้ดูคล้ายยังเยาว์วัยปีนี้คงอายุสิบสี่สิบห้าขวบปีเท่านั้นกระมัง เหลือบมองฝ่ามือหยาบกระด้างของเขา..มิน่าเชื่อว่ามือนี้กลับสามารถบรรเลงเพลงโม่ลี่ฮวาหอมขจร[7]ได้เกือบเทียบเทียมเหวินฉีลี่ฉาง

“เจ้าคือคนที่ส่งจดหมายน้อยมาให้ข้าเช่นนั้นหรือ” เขาพลันพยักหน้าเชิญข้าขึ้นนั่งบนศาลา เด็กรับใช้ทั้งสองแยกตัวออกไปเหลือเพียงความสงบเงียบบริเวณศาลาไผ่

“ถูกต้องแล้ว เป็นข้าเอง” เด็กหนุ่มผู้นั้นคลี่ยิ้มลึกลับคราหนึ่ง ท่าทีสงบสำรวมวางท่าอย่างสูงส่งเช่นนี้คุ้นเคยสายตาอย่างยิ่ง

“เด็กน้อยเจ้าต้องการอะไรกันแน่ จดหมายที่ส่งมาหาข้าที่แท้หมายความว่าเช่นไร”

“ท่านมิใช่ทราบดีอยู่แก่ใจดอกหรือ...คนผู้เดียวที่เรียกท่านว่าอาเหนียงได้ คนผู้นั้นเป็นผู้ใด” ข้าเผลอมุ่นคิ้วคราหนึ่ง เรื่องนี้สมควรเป็นเรื่องลับน้อยคนนักที่จะรู้ว่าลี่ฉางเรียกข้าว่าอาเหนียง คนที่รู้ผู้หนึ่งก็ตายไปเสียแล้ว อีกผู้หนึ่งก็เป็นคนสนิทของข้าที่ไม่มีวันจะทรยศหักหลัง

“ใช่มีคนเรียกข้าเช่นนั้นจริง” ข้าเฝ้ามองเด็กหนุ่มผู้นั้นชงชา หนึ่งมือประคองกาน้ำร้อนราดบนกาน้ำชาสีน้ำตาล หยดน้ำรดรินเงาดินกระจ่างวาววับ ท่าทีการอุ่นกาน้ำชาอย่างพิถีพิถันเช่นนี้ก็คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ใบชาแห้งกลิ่นหอมถูกใส่ลงในกาดินเผาน้ำร้อนราดรดเหนือกาปลุกใบชาให้ส่งกลิ่นหอมหวาน ยิ่งดูยิ่งไม่อาจละสายตาคล้ายเห็นการรำร่าย ณ ปลายหัตถ์ ทำเช่นนี้ซ้ำสองครั้งจึงรินชาลงในถ้วยดินสีน้ำตาลเรียบง่าย เป็นท่าทางอันละเอียดประณีตที่คุ้นเคยอย่างยิ่ง...

“คนผู้นั้นของท่านคงไม่มีวันเรียกท่านเช่นนั้นอีกแล้วกระมัง"

“เจ้าจะพูดสิ่งใดกันแน่” ข้ารับถ้วยชามาจิบ กลิ่นหอมของชาโม่ลี่ฮวาทำให้ตาพร่าพราย นานนักแล้วที่ไม่ได้ดื่มชาชนิดนี้นับตั้งแต่แยกจากลี่ฉางก็ไม่มีผู้ใดชงได้ดีเท่า  น้ำชารสละมุนเจือจางหวานแลขม..เหตุที่ชมชอบรสนี้คงเพราะมันคล้ายกับความรักกระมัง

“คืนวันปีใหม่ตอนข้าอายุสิบขวบ เผลอสะดุ้งตื่นมาเรียกหาอาเตียแลอาเหนียง อาเตียของข้าเป็นบุรุษองอาจสง่างามผู้หนึ่ง  เขาไม่มีเวลาอยู่กับพวกเราบ่อยนักนึกๆดูแล้วปีหนึ่งอย่างมากสุดก็เจ็ดวัน  ถึงอย่างนั้นการมีเขาอยู่ทำให้ทุกคนในหอเกรงใจข้าไม่เคยกล้าขัดใจ  อาเตียก็เป็นคนตามใจข้ามากผู้หนึ่ง  อาเหนียงข้าก็รักข้าอย่างยิ่งเขาไม่เคยกล้าหยิบไม้เรียวตีข้า  อย่างมากสุดคือให้คัดตำราจนปวดมือไปหมด"

ข้าสดับฟังเรื่องราวของเด็กหนุ่ม  ความรู้สึกสายหนึ่งพลันแล่นขึ้นจุกอยู่ในอกมองรอยยิ้มนุ่มนวลของเขาอย่างคลางแคลง   "ผู้เยาว์ต้องการเอ่ยสิ่งใดกันแน่"

"ในคืนนั้นอาเหนียงข้าเข้ามานั่งข้างๆเตียงข้า บอกข้าให้หยุดเรียกหาอาเตีย  บอกแก่ข้าว่าทั้งโลกของข้ามีเพียงอาเหนียงเท่านั้น  ผู้อื่นมินับว่าเป็นครอบครัว  ข้าเรียกคนผู้นั้นเป็นอาเตียได้แต่ใจข้าห้ามถือเขาเป็นอาเตีย  ข้าเรียกอาเหนียงได้ก็ต่อเมื่ออยู่กับอาเตียเท่านั้นใจข้าห้ามถืออาเหนียงเป็นอาเหนียงเช่นกัน” ข้าหลับตาลงคราหนึ่งรู้สึกว่าชาที่หวานหอมกลับกลายขื่นขม  ไม่อาจรักษาสีหน้าสงบบนใบหน้าได้เผลอมุ่นคิ้วไปคราวหนึ่ง 

"เจ้า.." ในอกข้าปั่นป่วนมองรอยคลี่ยิ้มอ่อนจางใต้หน้ากากแล้วไม่อาจสงบจิตใจ เรื่องราวของเขาเหมือนเกินไป...ราวกับว่า...ราวกับว่า

“อาเหนียงข้าเป็นคนเก่งกาจเลิศล้ำ เขาเป็นคนสอนข้าคัดอักษร ดีดพิณ แต่งกลอน ข้าเล่นดนตรีได้หลายชนิด ชมชอบเป่าเซียว[8] มิชอบเป่าตี๋[9] หากเป็นพิณชอบดีดเจิง มิชมชอบฉิน[10]เพราะข้าเล่นสู้อาเหนียงมิเคยได้ อาเหนียงข้าชมชอบดีดเพลงจันทรายามสารทฤดูเหนือตำหนัก[11] แต่ข้ากลับชอบฟังเขาดีดเพลงธารไหลในเขาสูง[12] ข้าชมชอบดีดเพลงบัวแดงอ่อน[13]แต่อาเหนียงข้ากลับบอกว่าข้าดีดเพลงโม่ลี่ฮวาหอมขจรได้ดีกว่า" เรื่องราวเหล่านี้...เรื่องราวเหล่านี้ใยคนแปลกหน้าผู้หนึ่งจึงรับรู้ ลี่ฉางไม่ชมชอบตกเป็นรองผู้ใดแม้แต่ตัวข้า  เขายังคงความพยศเล็กๆเอาไว้คือไม่แตะต้องฉิน  แม้เขาจะบรรเลงได้ไพเราะเพียงใดแต่เมื่อเปรียบเทียบกับข้าแล้วยังด้อยกว่ามากอยู่  ความดื้อรั้นเช่นเราศิษย์อาจาร์ต่างทราบความนัยโดยไม่ต้องบอกกล่าว...ใยผู้หนึ่งจึงรู้แจ้งถึงเพียงนี้

“ชาที่อาเหนียงนิยมดื่มที่สุดคือโม่ลี่ฮวาฉา วิธีการชงต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษต้องนำดอกโมลี่แห้งมาชงกับวูหลงฉา[14]จากฝูเจี้ยน[15] อย่าให้รสขมเกินไปต้องอ่อนจางซักหน่อยให้พอมีกลิ่นหอมติดจมูกเพียงเท่านั้นเพราะอาเหนียงข้ามิชมชอบกลิ่นฉุนจัด ท่านชอบทานของรสจืดแต่ข้าชอบอาหารรสหวาน ตอนเด็กๆข้าเคยแอบเอาโถน้ำผึ้งไปไว้บนเตียง ก่อนนอนมักทานน้ำผึ้งนั้นเสมอ  กระทั่งท่านจับได้เพราะเห็นมดในห้องนอนข้า  จึงถูกท่านลงโทษคัดไตรปิฎก”

“เจ้า...เจ้าต้องการจะล้อเล่นกับข้าเช่นนั้นหรือ” ข้าจับจ้องมองใบหน้าใต้หน้ากากเงิน  มองเขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันคราหนึ่ง  จู่ๆก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาจนมิอาจทานทน สูดหายใจคราหนึ่งสะบัดชายเสื้อลาจากศาลาแห่งนั้น ยิ่งอยู่นานยิ่งมีลางสังหรณ์บางอย่างที่ยากจะพรรณนา  บางอย่างในอกทำให้ข้าหวั่นกลัวจนยากจะกล่าว

"ท่านเหมยท่านอย่าไป...หากท่านจากไปยังจะมีผู้ใดเคียงข้างข้าอีกเล่า" เสียงสั่นเครือนั้นดึงรั้งข้าไว้ น้ำเสียงของเขาสลดหดหู่ปานจะขาดใจ ข้าหยุดชะงักไม่อ่านก้าวเท้าเดินจากไปได้คล้ายมีเชือกตรวนรั้งขาไว้  น้ำเสียงเขาไม่เหมือนลี่ฉาง  แต่ความคุ้นเคยคือจังหวะการพูดต่างหากเล่า  ลี่ฉางยามเอ่ยวาจารามร่ายทำนองเสนาะเพราะพริ้ง  เอกลักษณ์เช่นนั้น..ใยจึงเลียนแบบได้เหมือนถึงเพียงนี้

“ห...หากข้าบอกว่าข้าคือลี่ฉางของท่าน..ท่านจักเชื่อข้าหรือไม่”

 “เจ้าหยุดล้อเล่นเสียที!” ข้าไม่อาจกลั้นโทโสที่กรุ่นในอกเผลอตวาดออกไป เนิ่นนานที่ไม่ได้โกรธผู้ใดผู้หนึ่งกระอักกระอ่วนปั่นป่วนในใจจนต้องนิ่วหน้า

“ข้ารู้มันยากจะเชื่อ เหวินฉีลี่ฉางของท่านตอนนี้อยู่ในวังหลวง ส่วนข้าเป็นเพียงคนพิสดารวิปลาสที่อ้างตัวเป็นเขา แต่ข้าเองก็ยากจะยอมรับในคราวแรกคิดว่าตนเองต้องตายแน่แล้ว ไม่คาดว่าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างนี้ ส่วนร่างของข้าถูกผู้ใดไม่ทราบยึดครอง ท่านเหมย..ข้าคือลี่ฉาง ข้าคือศิษย์ของท่าน  คือคนที่ท่านอุ้มชูมาตั้งแต่ยังเป็นทารก..ตอนนี้ข้าเหลือแต่เพียงท่าน  ท่านอย่าทิ้งข้าไป..อย่าทิ้งลี่ฉางไป ”

"หยุดเสียที! เจ้าฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ ศิษย์ของข้ายังอยู่ในวังหลวงจะเป็นเจ้าไปได้อย่างไร!" ใช่แล้ว..ศิษย์ของข้าอยู่ในวังหลวง...เด็กน้อยที่น่าสงสารของข้ากำลังรอคอยให้ข้ากลับไป

"วิญญาณของเขาแย่งร่างข้าไป! นั่นไม่ใช่ข้า ได้โปรด..ท่านเหมยฟังลี่ฉาง  หากท่านไม่รับฟังลี่ฉางยังจะเหลือผู้ใดอยู่อีก"

"ข้าออกมาเนิ่นนานเกินไปแล้ว" ข้ามิอาจทานทนไหวพลันสะบัดกายเดินหนีออกมาจากศาลาแห่งนั้นมิหันกลับไปมอง  เสียงร้องของเขายิ่งทำให้ข้าปั่นป่วนลังเลใจ  เพียงครู่เดียวที่ได้พบกลับรู้สึกคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าผู้หนึ่งได้มากถึงเพียงนี้ ท่าทางกิริยาของเขาเหมือนลี่ฉางมากเกิน  แต่ลี่ฉางของข้ากลับทำให้ข้ารู้สึกคล้ายเขาแปรเปลี่ยนเป็นผู้อื่น  สิ่งที่หวั่นกลัวที่สุดคือการหวาดระแวงในตัวลูกศิษย์ตัวเอง  ข้าสนิทสนมกับลี่ฉางจนรู้เสียทุกอย่างในชีวิตของเขาราวกับฝ่ามือตนเอง  ข้าจะเกิดความระแวงในตัวเขาได้อย่างไร..จะระแวงได้อย่างไร

"ม..ไม่! ท่านอย่าไป...ได้โปรด...ฟังข้า! ฟังข้าก่อน!" เขายังคงไล่ตามหลังมา แต่ข้ากลับมิอาจชะลอหยุด  ฟังเขาพูดเรื่องราวในอดีตแล้วหัวใจข้ายิ่งสั่นคลอน  เอาแต่ครุ่นคิดว่าใยคนผู้หนึ่งจึงรู้เรื่องราวชีวิตของลี่ฉางได้ทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้  ข่มใจมิให้รับฟังเสีย  ข้าจะระแวงศิษย์ตนเองได้อย่างไร

“ปีนั้นข้าอายุสิบเอ็ดท่านสอนข้าทำกำยานร้อยปีศาจ ข้าดื้อรั้นพลั้งเผลอจนกระทั่งตัวเองถูกฤทธิ์กำยานต้องหาทางเอาตัวรอดเพราะท่านไม่ยอมช่วย แต่ข้ารู้ดีตำราเล่มนั้นที่ปรากฏในห้องหนังสือก็เพราะท่าน ท่านต้องการลงโทษที่ข้าไม่ใส่ใจศึกษาแต่ก็หักใจลงโทษหนักมิได้จึงนำตำราเล่มนั้นมาไว้ให้ข้า ท่านจำได้หรือไม่! จำได้หรือไม่!!”

จำได้สิ...ใยจึงจะจำไม่ได้  เด็กคนนั้นตะเกียกตะกายตามหาตำราแก้พิษ  ร่างกายซูบเซียวขาวซีดน่าสงสาร  ข้าจะหักใจทนมองเขาตายไปได้เช่นไร  ดังนั้นจึงแสร้งลืมตำรานั้นวางไว้บนโต๊ะอักษรอย่างเปิดเผย

“ตอนข้าอายุสิบขวบท่านเคยให้ข้าคัดหลักลิ่วเทาเพราะข้าลอบนำยาเสน่ห์ที่ทำขึ้นไปแลกกับคุณหนูน้อยแห่งหอเบญจมาศ ตอนนั้นท่านถามข้าว่าใช้แลกกับอะไร ข้าตอบท่านว่าแลกนิยายรักเล่มหนึ่ง ที่แท้แล้วข้านำมันไปแลกกับสมุดภาพอาทิตย์เบญจมาศ หากท่านอยากรู้ว่าซ่อนไว้ไหนให้ลองค้นดูใต้ฟูกเตียง ที่แท้ในฟูกเตียงมีช่องหนึ่งไว้เก็บหนังสือเหล่านี้ ท่านพิสูจน์ได้!”

จ...เจ้าเด็กบัดซบผู้นี้! แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังรู้...เรื่องน่าอับอายเช่นนั้นยังจะกล้าพูดอยู่อีกหรือ!  ข้าสู้อุตส่าห์เลี้ยงดูเขาต่างจากคณิกาผู้อื่นในหอ  เรื่องกามารมณ์มิให้แตะต้องเสน่ห์ยั่วยวนมิให้ศึกษา  เขาถึงกับเที่ยวหาหนังสือโลมโลกีย์พวกนั้นมาอ่าน   ข้ารู้สึกหน้ามืดกระทันหันจนต้องชะลอฝีเท้าทารกน้อยผู้นั้นจึงเข้ามาประชิดตัวได้  ข้าถอนหายใจหนักคราหนึ่งหมุนตัวไปมองเขาอย่างเยือกเย็น ฝืนทำหน้าเย็นชาเข้าสู้ปกปิดความหวั่นไหวในใจ

“เจ้าพูดพอหรือยัง  หากพอแล้วข้าต้องขอตัวก่อน” พลันเขายกชายเสื้อนั่งลงคุกเข่าด้วยแววตาดื้อรั้น...แววตาเช่นนี้ยากนักจะลืมเลือนลง

“ยัง ท่านยังบอกข้าอีกว่าความรักของกษัตริย์มิต่างจากแสงสุรีย์ เข้าใกล้มากไปก็ถูกแผดเผาตายแต่อยู่ไกลห่างไปก็ต้องเหน็บหนาวตาย กรงขังที่เรียกว่าความรักนี้ห้ามข้าหย่อนขาเข้าไปมิเช่นนั้นจะต้องติดอยู่ในกรงขังไปชั่วชีวิต..มิสามารถโบยบินจากไปได้  ท่านบอกข้าเช่นนี้จำได้หรือไม่
 
ข้าสูดหายใจคราหนึ่งหนาวสั่นยะเยือกแม้จะเป็นยามวสันต์  เด็กผู้นี้พูดถูกทั้งหมด  ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นคำพูดที่ข้าพร่ำสอนลี่ฉางมาตลอด  ทุกอย่างล้วนแต่เป็นความลับของสองเราศิษย์อาจารย์มิแพร่งพรายความนี้แก่ผู้ใด

“ถอดหน้ากากของเจ้าออกมา” ข้าเอ่ยสั่งเสียงเรียบมองแววตาสั่นไหวระริกของเขามิคลาดคลา

"ข้าอยากให้ท่านจดจำข้าในฐานะเหวินฉีลี่ฉางศิษย์รักของท่าน มิใช่ใบหน้าของคนผู้นี้”

“เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด  ถือว่าข้ากับเจ้ามิเคยพบกันในวันนี้” ข้าหรี่ตามองใบหน้าที่ถูกซ่อนไว้ใต้หน้ากากเงินเย็นยะเยียบ  มันดูลึกลับจนปิดสีหน้าท่าทางข้ามิอาจคาดเดาจริงเท็จได้เลยแม้แต่น้อย..เป็นเช่นนี้อันตรายยิ่งนัก

"ภายนอกข้าเปลี่ยนไปแต่ภายในข้าคือเหวินฉีลี่ฉางแน่แท้ ข้าคือศิษย์หนึ่งเดียวของท่าน ท่านเลี้ยงข้ามาตั้งแต่แบเบาะ ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะลืมข้าได้" เด็กผู้นั้นเอ่ยอย่างดื้อดึง ท่าทีเป็นตายมิยอมลงให้แก่ผู้ใดนั้นยิ่งทำให้ประจักษ์ชัด ข้าร้องฮึคราหนึ่งหมุนกายจากมามิหวนกลับ 

 

กลับเข้าสู่วังหลวงในยามบ่ายแก่  ข้าหย่อนตัวลงข้างเตียงของลี่ฉางพิศมองใบหน้าหลับไหลของเขา   คำพูดของทารกน้อยสกุลหลี่ยังติดตรึงมิอาจลบล้าง  ข้าลูบจดหมายน้อยในอกเสื้อพลันคิดถึงเสียงเพลงแลกลิ่นชาของเขา  นั่งนิ่งเช่นนั้นจวบจนชั่วยามจนกระทั่งแพขนตายาวกระพริบถี่ๆ

"ตื่นแล้วหรือลี่ฉาง" ศิษย์น้อยของข้าสะดุ้งคราหนึ่งราวกับศศก[16]น้อยตื่นนายพราน  ข้าลูบเกศาดำปลอดอย่างเอ็นดู ได้ยินเสียงท้องร้องแล้วหัวเราะแผ่วเบา

"เจ้าหิวหรือเด็กน้อย เช่นนั้นทานเผือกเชื่อมดีหรือไม่"  เจ้ากระต่ายน้อยหูหางสั่นระริก  ท่าทีตื่นคนเริ่มผ่อนคลาย  เด็กน้อยเปล่งเสียงที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนานมาหนึ่งประโยค

"ข..ขอมันเผาได้ด้วยหรือไม่" ข้าพลันคลี่ยิ้มเยือกเย็นคราหนึ่ง 

"ทำไมจะไม่ได้เล่า"




เชิงอรรถ

[1]  อาเหนียง - มารดา
[2] หวงตี้ - คำเรียกจักรพรรดิ์ , ฮ่องเต้
[3] ยามซือ - เวลา 9.00 - 10.59 น.
[4] เจิง - เจิงหรือกู่เจิง เป็นเครื่องดนตรีแบบดั้งเดิมของจีน นับเป็นเครื่องสายใช้มือดีด  กู่เจิงปัจจุบันเป็นเครื่องดนตรีที่มีสาย 21 สายใช้วางในแนวนอนเวลาเล่น แต่ละสายมีหย่อง  กู่เจิงเป็นเครื่องสายจีนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปี ซึ่งได้ถูกพัฒนามาเรื่อยๆตามกาลเวลา
[5] โม่ลี่ฮวา - ดอกมะลิ
[6] ใต้เข่าบุรุษล้วนมีทองคำ [儿膝下有黄金] - สุภาษิตจีนบทหนึ่งซึ่งสอนให้รักศักดิ์ศรีและรู้จักค่าของตน
[7] เพลงโม่ลี่ฮวาหอมขจร - 茉莉芬芳
[8] เซียว - ขลุ่ยพื้นบ้านของจีน มีประวัติศาสตร์มายาวนานมีลักษณะเป็นขลุ่ยตรง
[9] ตี๋ - ขลุ่ยพื้นบ้านของจีน มีประวัติศาสตร์มายาวนานมีลักษณะเป็นขลุ่ยขวาง
[10] ฉิน - ฉินหรือกู่ฉิน เป็นเครื่องดนตรีแบบดั้งเดิมของจีน นับเป็นเครื่องสายใช้มือดีด  มีความคล้ายคลึงกับกู่เจิง  มีสายทั้งหมด 7 สาย ทุกสายล้วนแต่มีชื่อจำเพาะ  เสียงของกู่ฉินจะแตกต่างจากกู่เจิงคือไม่ดังกังวานสดใสแต่จะสุขุมนุ่มนวล
[11] จันทรายามสารทฤดูเหนือตำหนัก [汉宫秋月] - เดิมเป็นเพลงโบราณของผีผา บทเพลงบรรยายถึงหวังเจาจวินที่เข้าวังไปนางใน เช่นเดียวกับนางในคนอื่นๆที่เกิดในฐานะต่ำต้อย พวกนางได้แต่หวังว่าวันหนึ่งจะได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ผ่านไปหลายปีหวังเจาหวินก็ยังไม่ได้พบฮ่องเต้แม้แต่ครั้งเดียว บทเพลงจึงเน้นไปที่อารมณ์เหงา ความเศร้าและตัดพ้อ
[12] เพลงธารไหลในเขาสูง [高山水流] -  บทเพลงนี้กำเนิดในสมัยยุคจ้านกว๋อ ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถังเพลงนี้ถูกแบ่งเป็นสองเพลง คือเขาสูง และน้ำไหล ซึ่งเพลงน้ำไหลได้รับการพัฒนาจนมีเทคนิคซับซ้อน จนสามารถแสดงอารมณ์ของน้ำไหลได้อย่างชัดเจน บางคนบอกว่าได้ยินแล้วเหมือนโดนน้ำกระเซ็นใส่เลยก็มี
[13] เพลงบัวแดงอ่อน [粉红莲] - เพลงบัวแดงอ่อน เป็นเพลงกู่เจิงแต้จิ๋วโบราณระดับสูง ที่รวมบันใดเสียงแต้จิ๋วทั้งหมดไว้ในเพลงเพลงเดียว ซึ่งแต่ละบันใดเสียงก็จะมีโครงสร้างและสำเนียงแตกต่างกันออกไป ผู้บรรเลงจำเป็นต้องทำการบ้านอย่างมากเพื่อให้สามารถบรรเลงแต่ละสำเนียงออกมาได้อย่างถูกต้องชัดเจนที่สุด โดยดอกบัวในวัฒนธรรมจีน เปรียบเทียบดั่งความสะอาดบริสุทธิ์ เมื่อกำลังตูมอยู่ในกระแสน้ำไหลก็ไม่ช้ำ เมื่อบานพ้นน้ำก็สะอาดปราศจากสิ่งเจอปน ดอกบัวจึงเป็นสิ่งเตือนใจให้ยึดมั่นในความดี ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องยังคงรักษาไว้ซึ่งศีลธรรมอันงดงาม
[14] วูหลงฉา [烏龍茶] -  วูหลงฉาหรือชาอู่หลงหรือชามังกรดำ เป็นชากึ่งหมัก ผ่านกระบวนการนวดเล็กน้อย ใช้เวลาไม่มากนัก มีกลิ่นหอม รสชาติชุ่มคอ ถ้าเป็นชาน้ำร้อนจะเห็นสีเขียวของใบชาอยู่ รสชาติจะจืดกว่าชาเขียว น้ำชามีสีแดงเข้ม หมักใบสดระหว่างผลิตบางส่วน ต้นกำเนิดของชาอูหลงอยู่ที่ประเทศจีน ในจังหวัดฝูเจี้ยน
[15] ฝูเจี้ยน [福建省] -  ฝูเจี้ยนหรือฮกเกี้ยน  เป็นมณฑลชายฝั่งทะเลที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน อาณาเขตทางภาคเหนือติดกับมณฑลเจ้อเจียง ภาคใต้ติดกับมณฑลกวางตุ้ง ภาคตะวันออกติดกับช่องแคบไต้หวัน


ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
สนุกๆๆๆ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

มาต่อไวๆน๊าาาาาาาาาาาาา  :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
เริ่มเชื่อลี่ฉางแล้วอะสิ :man1:

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

โถ่ถังกะละมังหม้อไห ท่านเหมยไม่ยอมเชื่อแบบนี้แล้วลี่ฉางจะทำยังไงต่อไปได้ล่ะ?
นี่ขนาดทุ่มเททุ่มทุนรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆมาเล่าใหม่ขนาดนี้แล้วนะ

ออฟไลน์ waza

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
นานๆทีจะเม้นท์นิยาย จะว่าอ่านแบบเงาก็ว่าได้ เพราะกว่าจะเจอเรื่องถูกใจก็นานที ปีหนโผล่มาครั้ง ชอบเรื่องนี้ แต่งลื่นไหล เหมือนตัวละครมันมีชีวิต มีมิติ เอาใจช่วยลี่ฉาง หาทางออกได้ไวๆ เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วย

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
ฮือ.....ท่านเหมยเชื่อลี่ฉางเถอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
แล้วท่านอ๋องจับไม่ได้เลยหรอ สงสารนายเอก  :mew2:

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
เราจะรอดูว่าภายใต้หน้าตาอัปลักษณ์นั้นลี่ฉางจะแสดงความสามารถให้คนอื่นยอมรับได้ยังไง

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ท่านเหมยจิตใจหวั่นไหวแล้ว

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ลุ้นมากๆเลย จะมีใครเชื่อลี่ฉางไหมนะ

ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2

ออฟไลน์ runtothemoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารน้องหนู แต่อ่านไปก็เอ็นดู เหมือนลูกแมวตัวเล็กๆชอบหลงตัวเอง555555555

ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0


ตอนที่ ๘ จันทราเยือนเหย้า

ราตรีเคลื่อนคล้อยดวงไฟน้อยรำร่ายเกิดเงาอันวูบไหวสายหนึ่งอยู่บนม่านแพร  ข้าลูบหัวเจ้าดำที่ตาปรือปรอยกำลังหล่นลงสู่ห้วงนิทรา  กลิ่นกำยานบุปผาหอมระรื่นกล่อมโลกให้สดชื่นแต่ตัวข้ากลับยังจมอยู่ในภวังค์มิอาจชื่นชม  น้ำตาที่แห้งเหือดไปเสียแล้วตอนนี้คงทำได้เพียงลุกขึ้นอีกคราดิ้นรนหาทางต่อไป

เรื่องวันนี้มิบอกว่าเจ็บปวดคงต้องบอกว่ามุสา  ข้าคาดหวังไว้อย่างมากว่าท่านเหมยคือผู้ที่รู้จักข้าดีที่สุด  เขาเป็นคนที่เลี้ยงดูข้ามาแต่เล็กมีหรือจะลืมเลือนตัวตนของข้าได้หรือหากจำได้ตัวเขาเองก็คงยากจะยอมรับอยู่กระมัง  คิดได้ถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มเหยียดหยามคราหนึ่ง  มือลูบบนพักตร์ที่ถูกปิดบังไว้ด้วยหน้ากากยะเยียบเย็น  ปราศจากใบหน้าอันเลิศล้ำแล้วตัวข้าก็คล้ายไร้คุณค่า  หนึ่งชวาลาวูบวาบดับลงคล้ายค่ำคืนก่อนข้าถอนหายใจแผ่วเบา

“ท่านชมชอบเข้าออกทางหน้าต่างนักหรือแม่ทัพหลี่” ชวาลาดวงนั้นยังคงมืดมนมิมีท่าทีจะถูกจุดขึ้นอีกครา  ในความลางเลือนข้าหยุดมือที่ลูบเจ้าดำรู้สึกได้ว่ามีเรื่องมิชอบมาพากลบางอย่าง  ม่านแพรถูกแหวกออกแผ่วเบาปรากฎเงาร่างบุรุษผู้หนึ่งดูคุ้นเคยสายตายิ่งนัก

“อ๊ะ!” มิทันจะได้ส่งเสียงคนผู้นั้นก็เอาผ้ามายัดไว้ในปาก  ข้าเบิกตาตระหนกยามที่เขาช้อนตัวพาขึ้นเหินฟ้าข้ามผ่านหลังคาบ้านผู้คนไปไม่ทราบกี่หลัง  ม่านราตรีปกคลุมทั่วนครหลวงดวงจันทร์กลมโตสว่างไสว  แสงไฟบนถนนเบื้องล่างสว่างราวกับกลางวัน  ทำนองดนตรีเพราะพริ้งกลิ่นบุปผากรุ่นกำจาย  หมู่ตึกมากมายและสวนน้อยใหญ่  ที่แห่งนี้คือตำหนักหมื่นวสันต์  บ้านของข้า..บ้านที่ข้าอยู่มาตั้งแต่ลืมตาดูโลกต่อให้หลับตาก็ยังจำได้อย่างแม่นยำ  ข้าพลันกลั้นก้อนสะอื้นทราบทันทีว่าตอนนี้อยู่ในอ้อมกอดผู้ใด

“พี่จื่อหรง...เป็นท่าน” ความปิติยินดีแลอัดอั้นตันใจสายหนึ่งแล่นมาหยุดที่ลูกนัยน์ตา  ยามที่พี่เลี้ยงประจำกายแตะเท้าร่อนสู่ผืนดินอย่างแผ่วเบาข้ามิอาจสะกดหยาดน้ำให้หยุดไหลริน

“เจ้ามีเวลาครึ่งชั่วยาม” เขาวางข้าลงแล้วขยับถอยห่าง  ท่าทีเช่นนั้นคนที่อยู่กับเขามาทั้งชีวิตมีหรือจะไม่ทราบ...ยังคลางแคลงใจสงสัยในตัวข้าอยู่กระมัง  มิเป็นไรดอกขอแค่โอกาสให้ข้าก็ดีใจมากแล้ว  ความเจ็บปวดใจยามกลางวันคล้ายจะมลายหายไปสิ้น  ข้าคลี่ยิ้มทั้งหยาดอัสสุชลด้วยความยินดีหันมองรอบกายแล้วหัวเราะเบาๆ

“พวกท่านจะทดสอบข้าด้วยค่ายกลสวนเหมยหรือ” พี่จื่อหรงตอบกลับมาด้วยความนิ่งสงบเยือกเย็น ยามเขาทำตัวเย็นชาข้าไม่รู้สึกเคยคุ้นเลยสักนิด  ปกติแล้วพี่เลี้ยงของข้าผู้นี้ใจดีต่อข้ายิ่งนัก “จะเข้าบ้านที่ข้าอยู่มาทั้งชีวิตให้เวลาครึ่งชั่วยามออกจะมากไปหน่อยกระมัง  หนึ่งเค่อก็เพียงพอแล้ว”

เขามิตอบวาจามองข้าด้วยดวงตาระแวงสงสัยหมุนกายจากไปใต้แสงจันทรา  ข้ากวาดสายตามองรอบๆด้วยความรู้สึกผูกพันอย่างยิ่ง  ตอนเด็กๆวิ่งเล่นอยู่ในสวนเหมย  ตรงนู้นก็เคยไล่จับกระต่าย  ถัดไปอีกนิดเคยแอบมุดไปยังสวนเบญจมาศ  อาณาเขตสวนเหมยที่กว้างใหญ่สงบงามยามเหมันต์กลายเป็นดินแดนสวรรค์  บุปผาแดงผลิบานหิมะขาวกระจ่าง  ข้าสวมชุดแดงร่ายรำท่านเหมยดีดพิณพี่จื่อหรงยืนอยู่ใต้ต้นเหมยต้นใหญ่มองข้าด้วยยิ้มละไมสายหนึ่ง

 

ภายใต้ความสวยงามของสวนเหมยกลับมีค่ายกลสิบหกเหมันต์ซึ่งอันตรายอย่างยิ่งหากไม่ระมัดระวังความร้ายกาจของมันอาจเล่นงานถึงชีวิต  ค่ายกลสิบหกเหมันต์แบ่งเป็นสิบหกด่านพิษ  ด่านพิษแต่ละชนิดล้วนแล้วแต่ถูกบรรพชนผู้ดูแลหอคิดค้นขึ้นมา  ฤทธีของมันนั้นร้ายกาจเพียงไรข้าที่ศึกษามันอย่างละเอียดถี่ถ้วนนั้นประจักษ์แก่ใจ  หากพลั้งเผลอโดนพิษผลสุดท้ายไม่ตายก็อยู่เหมือนตาย

ข้ายกชายเสื้อพ้นพื้นดินอย่างระมัดระวังสวนหลังบ้านตนเองต่อให้ร้ายกาจเช่นไรก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องยากลำบาก  ยังไม่ทันหนึ่งเค่อก็ผ่านพ้นมาอย่างง่ายดาย  มองหอสูงแลหมู่ตึกที่ซ่อนตัวหลบอยู่ยังใจกลางสวนอย่างคิดถึง  แสงโคมลางเลือนจันทราแจ่มจ้าเดียวดาย  วันนี้หอเหมยเงียบเชียบไม่เหมือนเมื่อวันวาน  ในอดีตหอเหมยเป็นสถานที่ที่คึกคักอย่างยิ่ง ทุกสัปดาห์เราเปิดหออยู่เพียงสามวันยึดถือคติขายศิลปะมิขายเรือนร่าง  แขกทุกคนล้วนแต่ต้องมีเทียบเชิญที่หาได้ยากยิ่งดังนั้นจึงมักเป็นหน้าเดิมๆที่รู้จักมักคุ้นกันดี  ท่านเหมยอยู่บนชั้นสูงสุดทอดสายตามองเบื้องล่างด้วยรอยยิ้มละไม  ข้าอยู่เคียงข้างสนใจการแสดงงามวิจิตร  คุณชายผู้รู้สำเนียงต่างซึมซาบดนตรีอย่างเคลิบเคลิ้มเหม่อลอย  กลิ่นกำยานสงบสูงค่ากำจายอ่อน...ที่นี่คือบ้านของข้า

ภายในหอตกแต่งเรียบง่ายทว่างดงามสมที่เป็นหออันดับต้นๆแห่งหมื่นวสันต์  ทุกๆก้าวที่เหยียบย่างล้วนมีแต่ความทรงจำ  บ้านที่ข้าเฝ้าคิดถึงยามอยู่ในกรงทอง  บุคคลที่หวนหาอยู่ทุกชั่วยามนั่งอยู่ตรงลานกลาง  กลิ่นชาหอมสายหนึ่งอบอวลอ่อนหวาน  ข้านั่งลงตรงเบาะนั่งข้างท่านเหมยอย่างที่มักเคยทำ รอยยิ้มท่านเหมยอบอุ่นราวกับตะวันแรกใบไม้ผลิมองข้าอย่างปราณี  ทุกสิ่งอย่างราวกับหวนสู่คืนวันเก่า  ในยามที่ข้าเป็นเพียงลี่ฉางน้อยจอมซนออกไปเล่นด้านนอกตั้งแต่เช้าจนมืดจึงค่อยลอบกลับเข้ามา  สุดท้ายก็เจออาจารย์นั่งจิบชารอคอยอย่างทุกวันจบลงด้วยการคัดอักษร  เป็นความทรงจำที่สงบอบอุ่นยิ่งนัก

“เจ้ามาเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้  เดินเหนื่อยหรือไม่ดื่มชาแก้กระหายก่อนเถิด”  ข้าพิศมองถ้วยชาตรงหน้าสูดกลิ่นอายของมัน  เหลือบตาขึ้นมองท่าทีเมตตาของท่านเหมยทราบดีว่าทุกสิ่งล้วนให้ข้าตายใจ  นี่เป็นการทดสอบอย่างหนึ่งกระมังแต่กระนั้นก็อดรู้สึกปวดใจไม่ได้

“ข้าไม่ชอบชาเบญจมาศเพราะมันมีกลิ่นฉุน..อีกอย่างท่านมิใช่บอกข้าเองดอกหรือในบรรดาชาดอกไม้  ชาเบญจมาศเป็นชาที่วางยาพิษได้แนบเนียนที่สุด” ท่านเหมยคลี่ยิ้มเยือกเย็นหัวเราะแผ่วเบา  ข้าหรี่ตามองน้ำชาที่สีเข้มขึ้นกว่าปกติเพียงเล็กหน่อยนับว่าวางยาได้แนบเนียนอย่างยิ่ง  แต่แท้จริงแล้วฝีมือระดับท่านเหมยหากคิดจะวางยาข้ามีหรือตัวข้าจะแยกแยะได้  ในใจเขาต้องอารีข้าอยู่บ้างจึงได้เลือกชาเบญจมาศมาแทนที่จะเป็นชาโกมุทที่ข้าชมชอบดื่ม  คิดได้อย่างนั้นก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้างเล็กน้อย

“เอาเถิดไม่ดื่มชาก็ไม่เป็นไร  แต่ร่างกายเจ้าซูบผอมไปมากกินอะไรซักนิดเถิด” ขาดคำไม่ทันไรพี่จื่อหรงก็นำอาหารแลขนมหวานอุ่นร้อนหลายชนิดมาวางตรงหน้า  ข้าพิศมองอาหารอีกครารู้ดีว่าการทดสอบของอาจารย์มิจบลงโดยง่าย

อาหารหลากหลายชนิดวางอยู่บนโต๊ะมีทั้งสิ่งที่ข้าชอบแลชัง  บนโต๊ะมีเพียงตะเกียบไม้ซึ่งทำให้แยกแยะพิษยากกว่าการใช้ตะเกียบเงิน   จานแรกที่ข้าเลือกชิมคือเป็ดย่างน้ำผึ้ง หนังสีทองกรอบแลชุ่มฉ่ำด้วยหยาดน้ำผึ้งด้านในขาวผ่องราวกับปุยฝ้ายรสชาติแทบละลายอยู่ภายในปาก  อาหารจานนี้รูปลักษณ์เลิศรสชาติดีเยี่ยมเสียแต่ว่าหวานเกินไปหน่อย อดจะตำหนิออกมาเบาๆไม่ได้ “นี่หวานไป”

“หวานไปหรือ  เช่นนั้นลองชิมจานอื่นดูเถิดข้าให้คนครัวทำของโปรดเจ้าทั้งนั้นเลย” ข้ามองหน้าอาจารย์พลันหรี่ตามองอาหารบนโต๊ะ ตะเกียบไม้แตะบนจานน่องไก่เผ็ดกับของหวานเผือกแลมันเชื่อมเบาๆ

“ข้าไม่ทานของเผ็ดท่านเองก็ทราบ  น่องไก่เผ็ดสีแดงจัดจ้านถึงเพียงนี้ยังจะบอกว่าเป็นของโปรดข้าได้อีกหรือ”  พลันมองจานเผือกและมันเชื่อมก็แทบรู้สึกอยากจะอาเจียนแสร้งมองเลยผ่าน

ในตอนนั้นข้ายังเด็กนัก อาเตียได้สอนสั่งว่าคนเราต้องสมบูรณ์แบบแลไร้จุดอ่อนจึงจะเป็นคนผู้เลิศล้ำอยู่เหนือผู้อื่นได้  คงไม่มีผู้ใดคาดว่าจุดอ่อนของเหวินฉีลี่ฉางนั้นนับเป็นสิ่งเรียบง่ายอย่างหนึ่ง ข้ากินเผือกกินมันเช่นผู้อื่นมิได้ กินทีไรร่างกายจะเกิดผื่นแดง ปวดหัว ตัวร้อนแลอาเจียนไม่หยุด  เมื่อได้ฟังอาเตียสอนให้เป็นคนไร้จุดอ่อนในใจก็รู้สึกฮึกเหิมอย่างยิ่ง  หลังอาเตียกลับไปจึงนำหัวเผือกหัวมันในครัวมากิน  ร่างกายจะคันจะปวดหรือจะอาเจียนอย่างไรก็ฝืนกินเข้าไปจนหมดตะกร้า  มิคาดจุดอ่อนที่คิดจะข้ามผ่านกลับแทบทำให้หมดสติไปถึงสามวันสามคืน

  ตอนตื่นมาเจอท่านเหมยสีหน้าเครียดขรึมอยู่ข้างเตียงสั่งห้ามข้าแตะต้องพวกมันอีกชั่วชีวิต  ข้าผู้ไม่เคยพ่ายแพ้มาชั่วชีวิตกลับต้องมาแพ้ให้แก่หัวเผือกหัวมันน่าชังพวกนี้  ดังนั้นหากเห็นพวกมันจึงทำเป็นไม่เห็น  หากวางอยู่บนโต๊ะจะไม่แตะต้อง  ไม่เปิดเผยจุดอ่อนตัวเองให้ผู้อื่นทราบ  ผู้คนเองก็ไม่คาดว่าข้าจะพ่ายแพ้ต่อหัวเผือกหัวมันเช่นนี้กระมัง

“เจ้าไม่ชอบสองจานนี้ก็ไม่เป็นไร  ข้าจะให้จื่อหรงเก็บไปให้พ้นตาเจ้า” สองจานนั้นถูกเก็บไปจากโต๊ะอาหารข้าพลันรู้สึกหายใจสะดวกขึ้นมานิดหน่อย  ทัศนาอาหารอีกมากมายหลายจานสีสันสวยสดงดงามไม่น่าไว้วางใจ  พิจารณาจนถ้วนถี่จึงแยกอาหารที่ไร้พิษออกมาได้เพียงสามจากสิบจานเท่านั้น

 “เป๋าฮื้อตุ๋นเห็ดหอมพวกนี้รสชาติพอใช้แต่เคี่ยวนานกว่านี้หน่อยจะยิ่งดี”

“ปลิงทะเลน้ำแดงนี่คาวเกินไป  ส่วนไก่ดำตุ๋นโสมนี่เค็มเกินไป ท่านสมควรเปลี่ยนคนครัวใหม่” ท่านเหมยไม่ตอบคำเพียงแต่ยิ้มเยือกเย็นจิบชาโม่ลี่ฮวามองข้าวิจารณ์อาหารบนโต๊ะ  กระทั่งกินอิ่มแล้วพี่จื่อหรงถึงได้นำเสี่ยวหลงเปาร้อนๆออกมาให้  ข้าเฝ้ามองไอควันจากลูกกลมขาว  พลันรู้สึกคิดถึงตอนที่เป็นขอทานต้องตะเกียกตะกายร้องขอหมั่นโถวก้อนสะอื้นหนึ่งก็แล่นมาจุกที่คอ  เพียงคำแรกที่ได้ลิ้มลองก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา

“ข้าเป็นคนกินยากตั้งแต่เด็ก  ตอนนั้นงอแงไม่กินอาหารเพราะท่านเปลี่ยนแม่ครัว  จำได้หรือไม่สุดท้ายท่านต้องลงมือทำเสี่ยวหลงเปาให้” ความร้อนจากเสี่ยวหลงเปาแทบทำให้มือพองแต่กลับรู้สึกอบอุ่นยิ่งนักราวถูกโอบกอดด้วยความรัก  รอยยิ้มจางๆของท่านเหมยยามอยู่ในครัวข้าจำได้ดี  วันคืนที่เราศิษย์อาจารย์อยู่ร่วมกันล้วนสุขสันต์ยิ่งนัก

กัดเสี่ยวหลงเปาหนึ่งคำน้ำตาก็ไหลรินลงหนึ่งสาย  ยิ่งกินเข้าไปเท่าไหร่ในใจยิ่งรู้สึกอบอุ่นจนหยุดกินไม่ได้น้ำตาหลั่งรินราวสายน้ำตก  ข้ามองท่านเหมยเลือนรางผ่านม่านอัสสุชล  ดวงตาพร่าพรายจนเห็นสีหน้าเขาแปรเปลี่ยนความเยือกเย็นเป็นความอบอุ่นอาทรสายหนึ่ง กว่าจะทราบว่าที่แท้ไม่ได้เลอะเลือนก็ตอนที่ถูกเขาโอบกอด  ข้าพลันไม่อาจทานทนไหวความรู้สึกขื่นขมชั่วชีวิตปลดปล่อยกับอกเขา  ปากข้าคร่ำครวญร้องเรียกชื่อท่านเหมยโอบกอดฝังร่างไว้ไม่ยอมปล่อยมือ


 
ม่านเตียงปักลายดอกเหมยแดงอย่างประณีตบรรจง  กลิ่นกำยานอันคุ้นเคยอวลอ่อนละมุนราวอยู่ในความฝัน  ข้านอนหนุนตักขอท่านเหมยปล่อยกายอย่างไม่สำรวมบนเตียง แสงจันทราทอดอ่อนเราทั้งสองต่างตกอยู่ในความเงียบหลังฟังเรื่องราวของข้าจบท่านเหมยเพียงมองดูข้าด้วยนัยน์ตาคลอหยาดอัสสุชลคราหนึ่ง  มืองามคู่นั้นลูบเส้นเกศาข้าอย่างแผ่วเบาไม่ทราบว่าคิดไปเองหรือไม่แต่คล้ายกลับสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำอุ่นร้อนที่หยดลงบนเส้นผมเพียงครู่นึงก็หายไปดั่งเป็นเพียงฝัน

“เจ้าเปิดหน้ากากได้หรือไม่” มือของอาจารย์ไล้บนหน้ากากยะเยียบเย็น ข้าสะดุ้งเฮือกผุดลุกจากตักเขาห่อตัวเข้าหากันราวเด็กขวัญเสีย

“ม...ไม่ ข..ข้า” ข้ากลัวท่านจะรังเกียจ..กลัวท่านจะไม่ยอมรับข้า..ข้ากลัวยิ่งนัก

“เด็กโง่ ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า ยังจะต้องปิดบังข้าอีกทำไม”

“ร่างนี้..ร่างนี้อัปลักษณ์นัก  ข..ข้าอยากให้ท่านจดจำข้าที่งดงามมิใช่เป็นภูติผีเช่นนี้” ท่านเหมยเงียบไปครู่หนึ่งสุดท้ายจึงเผยยิ้มปราณี

“ลี่ฉางเจ้าจงอย่าดูถูกตัวเอง  หน้าตาผิวพรรณงดงามแล้วอย่างไรอัปลักษณ์แล้วอย่างไร  สุดท้ายมิใช่ร่วงโรยไปตามกาลดอกหรือ หากในใจเจ้ายึดถือความงามเพียงภายนอก ตลอดเวลาสิ่งที่อาจารย์มอบให้เจ้าล้วนแล้วแต่ไร้ความหมายเป็นสิ่งไม่สำคัญเช่นนั้นหรือ?”

“อาจารย์..ข้า..”

“คนเราจะได้รับการจารจำมิใช่เพราะรูปลักษณ์แต่กลับเป็นเพราะความสามารถ  เจ้ามีความงามแล้วอย่างไรเมื่อไร้ความสามารถก็เป็นคนงามผู้โง่งมผู้หนึ่ง  เจ้าไม่งามแล้วอย่างไรเมื่อมีความสามารถเจ้าก็กลายเป็นคนมีประโยชน์ผู้หนึ่ง  ตรองดูเถิดเหวินฉีลี่ฉางเจ้าจักเป็นคนประเภทไหน”

ข้าสูดลมหายใจคราหนึ่งเก็บคำสอนของอาจารย์ไว้ในใจยึดถือเป็นหลักในชีวิตนับแต่เพลานี้ ท่านเหมยยิ้มอบอุ่นมองข้าถอดหน้ากากออกด้วยมือสั่นระริก  เมื่อเห็นใบหน้าข้าชัดเจนแล้วเขาจึงเงียบไปคราหนึ่งใช้มืองามคู่นั้นลูบบนใบหน้าอัปลักษณ์ราวภูติผีนี้แล้วคลี่ยิ้มละไม

“เด็กโง่ตรงไหนเรียกว่าอัปลักษณ์กัน”

“ใบหน้านี้มีแต่แผลพุพองแลแผลเป็นเช่นนี้ไม่เรียกอัปลักษณ์หรือ”   

“แผลพุพองบนใบหน้าพวกนี้ลักษณะอาการคล้ายโดนน้ำร้อนแต่เมื่อพิจารณาดีๆข้าคิดว่ามันเกิดจากพิษ  และหากเกิดจากพิษจริงอาจารย์เจ้าที่เป็นจอมพิษจะช่วยศิษย์คนเดียวมิได้เชียวหรือ” ท่านเหมยจับจ้องใบหน้าข้าพิจารณาไปมา  ข้าพลันรู้สึกปรีดาจนหัวใจแทบหลุดออกมานอกอก

“อาจารย์ท่านรักษาลี่ฉางได้จริงๆหรือ” ข้าเขย่าชายเสื้อสีอ่อนอย่างกระตือรือร้น  ยินดีอย่างยิ่งที่ไม่ต้องทนมองแผลพุพองอันน่าหวาดกลัวบนใบหน้านี้อีกต่อไป

“แน่นอน อาจารย์เจ้าเป็นหมอเทวดามิใช่หรือ แผลเป็นพวกนี้นับเป็นอะไรได้ ตอนเด็กเจ้าซุกซนเพียงใดโตมามีรอยแผลเป็นซักนิดหรือไม่” มืองามคู่นั้นเขกหัวข้าเบาๆไม่ทำให้ระคายผิวเลยซักนิด  ข้าโผกอดท่านเหมยคราหนึ่งเอนตัวแนบอยู่ที่อกเขาหัวใจพองโตยิ่งนัก

“ท..ท่านอย่าปดให้ลี่ฉางดีใจเก้อนะ”

“เจ้าไม่เชื่ออาจารย์แล้วหรือ” ท่านเหมยลูบตัวข้าแลไล้เบาๆที่แผลบนใบหน้าราวกับจะปลอบ

“เชื่อข้าเชื่อ”

“ดี งั้นก็เชื่อเถิดว่าภายในหนึ่งเดือนแผลพุพองพวกนี้ต้องหายไปจากใบหน้าเจ้า  สามเดือนต้องไร้รอยแผลเป็น” รอยยิ้มของอาจารย์ทำให้ข้าเชื่อหมดหัวใจ  ในแผ่นดินนี้ฝีมือรักษาของผู้ใดจะเทียบเทียมอาจารย์ของข้าได้อีกเล่า  หอเหมยถูกสร้างมาคู่กับหมื่นวสันต์นับตั้งแต่ครั้งปฐมกษัตริย์สถาปนาราชวงศ์ ความรู้ตกทอดรุ่นสู่รุ่นล้วนล้วนแต่หลากหลายลึกล้ำยิ่งนัก  แม้แต่ตัวข้ายังได้รับการถ่ายทอดจากท่านเหมยได้เพียงหกส่วนเท่านั้น

“ลี่ฉางแล้วเช่นนี้ต่อไปเจ้าจะทำเช่นไร ย้ายออกจากจวนสกุลหลี่มาอยู่ที่บ้านเราดีหรือไม่” ข้าส่ายหน้าระรัวดวงตาพลันหรี่ลงเมื่อนึกถึงดวงหน้าที่โผล่พ้นม่านรถม้าในใจคุกรุ่นด้วยไอโกรธ

“ข้าจะหาทางเข้าวัง  พบกับเจ้าโจรขี้ขโมยนั่นทวงร่างคืน!” อาจารย์ขมวดคิ้วคราหนึ่งมือที่ลูบเส้นเกศาชะงักไป

“หากทวงร่างคืนไม่ได้เล่า  อีกประการหนึ่งเจ้าจงอย่าลืมว่าอาจารย์รู้จักเจ้าดีที่สุดจึงแยกเจ้าออกได้โดยง่ายแต่ผู้อื่นเล่าจักยอมเชื่อเจ้าหรือ”

“ข้า...” ข้า..ข้าเองก็หวั่นกลัวยิ่งนัก กลัวว่าเขาจะลืมเลือนข้ามิอาจแยกแยะได้ กลัวเสียยิ่งกว่าการที่ต้องเสียร่างไปให้ใครที่ไหนก็ไม่ทราบหลายเท่านัก ความขื่นขมสายหนึ่งแล่นมาจุกในอก   “ถึงข้าจะทวงร่างคืนไม่ได้ก็ไม่เป็นไร  แต่ข้าจะทำให้เขาจำข้าให้ได้..รักข้าให้ได้เช่นแต่ก่อน”

“ลี่ฉางเจ้าต้องดื้อดึงถึงเพียงนี้เชียวหรือ  อาจารย์เคยเตือนเจ้า..”

“ข้าทราบ...” ท่านเหมยจ้องหน้าข้าคราหนึ่งสุดท้ายก็ถอนหายใจ

“ทราบแต่ไม่ปฏิบัติตามหรือ?” มิอาจแก้ตัวได้จึงได้แต่ก้มหน้านิ่งกระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจติดต่อกันอีกเฮือกใหญ่

“เมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนั้นแล้วก็ตามใจเจ้า  บอกข้ามาให้กระจ่างเจ้าวางแผนไว้อย่างไร” ข้าคลิ้ยิ้มกว้างอย่างยินดีกอดร่างอาจารย์เล่าถึงแผนการที่ทุ่มเทครุ่นคิดเอาไว้
 
 “ตอนนี้จิ่นสือเคลือบแคลงสงสัยการรักษาของท่าน  เขาจึงให้ฮุ่ยเหอตามหาหมอเทวดาผู้อื่นมารักษาเหวินฉีลี่ฉางในวัง” อาจารย์ร้องอาคราหนึ่งพยักหน้าแผ่วเบา

“ข้าพอจะทราบเรื่องที่เขาเคลือบแคลงสงสัย  เขาคงกลัวข้ากีดกันเขากับเจ้าจึงต้องการแยกข้าแลเหวินฉีลี่ฉางออกจากกันกระมัง”

“ดังนั้นข้าจึงจะฉวยโอกาสนี้แทรกซึมเข้าสู่วังหลวง  อาศัยฝีมือการรักษาที่สืบทอดจากท่านคงพอตบตาว่าเป็นหมอเทวดาผู้หนึ่งได้  ตอนนี้ยงหาทางทวงร่างคืนไม่ได้แต่อย่างน้อยข้าก็อยู่ใกล้จิ่นสือ ขัดขวางเจ้าคนบัดซบในร่างข้าไม่ให้ยั่วยวนเขา!”

“คนที่อยู่ในร่างเจ้าคงไม่ได้ร้ายกาจถึงเพียงนั้นดอกลี่ฉาง  ลดอคติของเจ้าลงเสียก่อนค่อยพูดจาพาทีกับเขา  ข้าคิดว่าปัญหานี้ย่อมต้องมีทางออก” ข้าขมวดคิ้วคราหนึ่งเมื่อได้ยินอาจารย์พูดถึงเจ้าคนชั่วช้าในร่างข้าผู้นั้น  หากไม่ร้ายกาจก็ดีไปแต่หากไม่ใช่ข้าคงไม่อาจปล่อยเอาไว้ได้..

“ข้าจะลองเจรจากับเขาดู  แต่ว่าอาจารย์..ข้าแลท่านเราสองคนต้องทำเป็นไม่รู้จักอีกฝ่ายจะเป็นการดีที่สุดทั้งต่อหน้าจิ่นสือและคนในร่างข้า ให้เขาทั้งสองวางใจไม่สงสัยในตัวท่านแลข้า”

“เอาล่ะข้าทราบแล้ว  เรื่องแผนการพอแค่นี้ก่อนเถิด เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนอนพักผ่อนอยู่เสียที่นี่” ข้าเอนร่างลงบนตักอันอ่อนนุ่ม  สัมผัสอบอุ่นจากปลายนิ้วมือที่แตะลงบนศีรษะทำให้รู้สึกง่วงงุนขึ้นเสียอย่างนั้น  สายลมวสันต์ลอดผ่านบานหน้าต่างความหนาวเหน็บมาเยือน  ผ้าห่มแสนอุ่นคลุมตัวแต่มิอาจข่มตาหลับได้สนิทนัก

“อาจารย์คืนนี้ท่านนอนเป็นเพื่อนลี่ฉางเถอะนะ” ข้ากอดเอวเขาไว้แน่นอ้อนขอเหมือนตอนเด็กๆ เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังอยู่ที่ข้างหู  ไม่ทันไรก็รู้สึกเหมือนต้องมนต์หล่นลงสู่ห้วงนิทราอันอบอุ่นในอ้อมกอดที่คุ้นเคย






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เหมือนทองอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นทอง

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

พออ่านจบปุ๊บก็เข้าสู่โหมดรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่ออีกครั้ง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด