ตอนที่ ๑๓ หมอกจางลางเลือน
“ข้าเกลียดท่าน! ข้าชังท่าน!!”
เฮือก!
ข้าสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นความมืด เพดานลวดลายเก้ามังกรสลักเสลาดุจมีชีวิตฝังไว้ด้วยมุกราตรีส่องแสงให้เห็นภายในห้องกว้างนี้เงียบเหงาดุจไร้ผู้คน พลันเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาก็ดังขึ้นในความเงียบงัน
“หวงช่าง ฝันร้ายอีกแล้วหรือพะย่ะค่ะ” ข้าส่งเสียงตอบรับในลำคอคราหนึ่ง ลูบใบหน้าสลัดภาพฝันอันปวดร้าวนั้นออกไปจากหัว ความฝันเมื่อครู่คล้ายกับว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เสียงเกรี้ยวกราดสาปแช่งของคนผู้นั้นดังก้องไปก้องมาครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาหงส์อันงามเป็นเอกมีแต่ความเกลียดชังลึกล้ำ ประดุจทะเลน้ำหมึกที่ไร้ก้นบึ้งที่ลึกสุดหยั่ง
“เช่นนั้นให้กระหม่อมตามหมอหลวง..” โบกมือคราหนึ่ง หม่ากงกงที่รี่เข้ามาข้างเตียงก็สงบปากสงบคำถอยห่างออกไป
“ตามหมอหลวงมากี่คนก็มิใช่บอกว่าข้าพักผ่อนน้อยไปหรอกหรือ” หลายวันมานี้ฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนยากสงบใจ ร่างกายรู้สึกตึงเครียดอ่อนเพลีย พวกหมอหลวงเฒ่าเหล่านั้นล้วนวินิจฉัยไปในทางเดียวกันทั้งสิ้น น่าตลก...ตอนอยู่ในสมรภูมิคืนไหนเล่าได้หลับสบาย หรือว่าร่างกายหย่อนการฝึกฝนเกินไปจึงอ่อนแอได้ง่ายถึงเพียงนี้?
ข้าหลับตาลงถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง คืนนี้ไม่อาจข่มตาหลับได้โดยง่าย จิบชาที่ยังอุ่นร้อน ความรู้สึกที่ยังหลงเหลือจากไหนฝันจึงค่อยมลายหายไป ยกถุงหอมที่คนผู้นั้นให้มาขึ้นดมจิตใจสงบลงบ้างเล็กน้อย
“นี่ยามใดแล้ว?”
“ยามโฉ่ว[1.00-2.59 น.] พะย่ะค่ะ ฝ่าบาทบรรทมไปได้เพียงชั่วยามเดียว[2 ชั่วโมง] เท่านั้นเอง” ข้าพยักหน้ารับรู้ ช่วงนี้นอนวันละหนึ่งชั่วยามจนกลายเป็นเรื่องปกติ หากจะนอนต่อก็รู้สึกไม่ง่วงแล้ว ยังไม่ทันจะเอ่ยปากให้เขาจุดเทียนเตรียมชุด หม่ากงกงผู้แต่ไหนแต่ไรสงบปากสงบคำอย่างยิ่งกลับเอ่ยคำชี้แนะขึ้นมาเสียก่อน
“ฝ่าบาทเสด็จเยือนตำหนักหลวงดีหรือไม่พะย่ะค่ะ” ข้าเลิกคิ้วนิ่งพิจารณากงกงชราตรงหน้า หม่ากงกงอุทานขออภัยลนลานคุกเข่าตบปากตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่งมองเขาตบปากไปสองสามครั้งแล้วจึงหัวเราะออกมา
หัวเราะครั้งที่หนึ่งด้วยความขันเนื่องจากมองเขาที่ใต้ตาดำคล้ำประดุจตัวสงเมา[หมีแพนด้า] หลายวันมานี้ทั้งองครักษ์แลขันทีทั้งหลายคงอยู่ไม่เป็นสุขนอนหลับไม่สนิทกันเลยกระมัง ช่วงนี้ถึงดูเหนื่อยล้าไม่กระฉับกระเฉงใต้ตาดำกับเป็นแถบ
หัวเราะครั้งที่สองเพราะว่าความใจกล้าของเขา หลายวันมานี้มีใครกล้าเอ่ยปากพูดถึงตำหนักหลวง ใครหรือกล้าหาญเอ่ยนามคนผู้นั้นออกมาให้ข้าได้ยิน พวกเขาล้วนแต่มีความสุขกับการจัดหาฤกษ์งามยามดีคัดเลือกพระสนมใหม่เข้ามาในวังหลังหรือมิใช่ เพียงแต่คนผู้หนึ่งแม้ไม่เอ่ยถึงกลับยิ่งคะนึงหา คนผู้หนึ่งแม้ทำเป็นลืมกลับยิ่งจดจำ
หัวเราะครั้งที่สามเพราะนึกเย้ยหยัน หากข้าเป็นเพียงองค์ชายเจ็ดเช่นดั่งแต่ก่อนมีหรือจะทำข้าบาทเหล่านี้หวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ ตั้งแต่ยังเยาว์เหล่าขันทีที่กรมพิธีการจัดหามาให้ล้วนแต่เป็นตัวบัดซบทั้งสิ้น พวกมันล้วนแต่ไม่เคยเห็นข้าเป็นองค์ชายลงมือกลั่นแกล้งรังแกอย่างไม่ปราณี พอโตมาต้องแยกตำหนักออกไปนอกราชวังเงินเบี้ยหวัดต่างๆถูกเบียดบังไปจำนวนมาก ความเป็นอยู่กระเบียดกระเสียรอย่างยิ่ง
ความทุกข์ยากในยามนั้นทำให้ข้าในวับสิบสี่ละทิ้งตำแหน่งองค์ชายจอมปลอม หันหลังให้ความตลบตะแลงของวังหลวงมุ่งสู่สมรภูมิ ในทัพแนวหน้าที่อันตรายที่สุดข้าเฝ้ามองเหล่าศัตรูดาหน้าถาโถม หนึ่งคมกระบี่วาดออกไปปลิดชีวิตนับร้อยพัน
ยิ่งเข่นฆ่าความรู้สึกขมขื่นก็ปลาสนาการหายไปสิ้น รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ เบื้องหน้าถูกชื่นชมว่าเป็นเทพสงครามเบื้องหลังถูกเรียกขานว่าปีศาจบ้าเลือดบ้างคนเถื่อนบ้าง เหล่านี้ล้วนไม่ระคายความรู้สึกข้าแม้เพียงนิด
มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ใจที่ตายด้านกลับเต้นขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาหงส์งามพิลาสคู่นั้นในราตรีที่สวนเบญจมาศ เพียงคนผู้เดียวที่ทำให้ข้าไม่อาจลืมเลือน ภาพอันงดงามของเขาตราตรึงทั้งยามฝันแลตื่น เคยคิดว่าชีวิตนี้สามารถละทิ้งได้อย่างไม่อาลัยกลับไม่สามารถทำได้โดยง่ายเช่นแต่ก่อน แม้แต่ในยามที่บาดเจ็บหนักคิดว่าไม่อาจรอดแล้วแต่ในฝันกลับมีรอยยิ้มพริ้มพรายของเขา เช่นนี้ข้าจะจากไปได้อย่างไร
เมื่อข้ากลับคืนเมืองหลวงอีกครั้งพร้อมกับเกียรติยศชื่อเสียง เคยหวังว่าจะไปไถ่ตัวเขาออกมาจากสถานที่แห่งนั้นเป็นอันดับแรก เขาคงประหลาดใจน่าดูที่บุรุษท่าทางป่าเถื่อนในคืนนั้นกลับเป็นองค์ชายผู้หนึ่ง มิคาดกับเป็นตัวข้าเองที่ต้องประหลาดใจ
“คนผู้นั้นคือเหวินฉีลี่ฉางผู้เลิศล้ำแห่งหมื่นวสันต์อย่างไรเล่าน้องห้า” ซานเกอ[พี่สาม]กระซิบบอกข้ายามที่คนผู้นั้นเดินลงมาจากหอสูง เพียงแต่ซานเกอไม่ทราบว่าที่ข้าทำจอกสุราหลุดมือนั้นไม่ใช่เพียงเพราะตะลึงในความงามนั้น
เหวินฉีลี่ฉาง...สองนามอันเป็นมงคล
..หยกเลิศ จันทร์เพริศพริ้ง..
นามนี้ทั้งไพเราะแลอหังการ์ จะมีผู้ใดในแผ่นดินขวัญกล้าเอานามเทพเซียนมาใช้โดยเฉพาะนามของฉางเอ๋อร์ เทพีแห่งจันทราผู้งามเลิศ เพียงแต่..เพราะคนผู้นั้นคือเหวินฉีลี่ฉาง ประโยคนี้เป็นคำตอบที่ชัดเจนอย่างยิ่ง ยังต้องการเหตุผลอื่นใดไหนอีก
เขาถูกห้อมล้อมด้วยเหล่าองค์ชายและคุณชายพระประยูรญาติ ใบหน้างดงามแลเยาว์วัยไม่มีท่าทีขลาดเขินเช่นในราตรีนั้น เหลือแต่เพียงท่าทีหยิ่งยโสและความเย็นชาดุจดอกเหมยแดงที่เบ่งบานบนยอดสูงลิบ ณ เหมันตฤดู หนึ่งสายตาของเขาที่ชายมามองทำให้ข้าหัวใจสั่นไหว แต่ท่าทีห่างเหินเช่นคนไม่รู้จักกัน...หรือว่าเขาจะลืมข้าไปแล้วจริงๆ..
เสียงหัวเราะครั้งที่สี่นี้มอบให้กับเรื่องราวในอดีต ความรักอันโง่งมของบุรุษผู้งมงาย แต่หากให้ย้อนเวลากลับไปข้าก็จะตกหลุมรักเขาอยู่เช่นเดิม เสียงขลุ่ยอันคุ้นเคยดังแว่วมาทำให้ข้าหยุดคิดถึงเรื่องราวในอดีตไม่ทราบพาตัวเองเดินมาถึงอุทยานตั้งแต่เมื่อไหร่
เหม่อมองไปยังศาลาเบื้องหน้า ศาลาแห่งนี้อยู่ใกล้สระบัวใหญ่และมีต้นหลิวอายุนับร้อยปีแผ่กิ่งก้านบดบังจึงไม่เป็นที่สังเกต ตัวศาลาถูกดอกจื่อเถิงเติบโตคลุมจนเห็นด้านในได้เพียงเลือนราง แต่สถานที่ที่เหล่าสนมบอกว่าน่ากลัวกลับเป็นที่โปรดปรานของคนผู้นั้นอย่างมาก
เขามักจะเอนกายอยู่ในศาลา นัยน์ตาหงส์เหม่อลอยไปแสนไกล กลิ่นชาหลงจิ่ง[สระมังกร]สงบรื่นรมย์ สีสันในถ้วยชาดุจดั่งสระมรกตอันเรียบนิ่งไร้ระริกคลื่น ข้านั่งลงตรงข้ามนึกอยากเอ่ยถามอยู่บ่อยครั้งว่าร่างกายเขาอยู่ตรงนี้แล้วจิตใจเขาเล่าเหม่อลอยไปถึงผู้ใด
เสียงขลุ่ยนั้นยังไม่หยุดเพรียกหา ข้าขมวดคิ้วปวดหัวมากจนแทบระเบิด กลิ่นหอมประหลาดสายหนึ่งโชยมาจากด้านในศาลา เสียงขลุ่ยนั้นเงียบลงแล้ว เห็นแต่เพียงชายชุดสีแดงที่กำลังพลิ้วไหว ร่างเล็กร่างหนึ่งกำลังร่ายรำอยู่ข้างใน ท่าทางอันคุ้นตาทำให้ยิ่งรู้สึกปวดหัวจนต้องสะบัดเศียรแรงๆอีกหลายครั้ง
คนผู้นั้นสวมชุดสีแดงสดดุจดอกเหมยแดงที่สะพรั่งบานเต็มต้น ในคืนนั้นหิมะโปรยปรายเขาร่ายรำอยู่ใต้ต้นเหมย ดวงหน้างามพิลาศเย้ยจันทราเยียบเย็นดุจหิมะ อ้างว้างดุจสายลมราตรี กลีบดอกเหมยปลิดปลิวลอยละล่อง ทุกคราที่เขาขยับตัวเป็นเส้นสายอันสวยงามยากละสายตายิ่งทำให้ใจของข้าเต้นแรงอีกเท่าทวี
ตอนนี้ข้ากำลังตกอยู่ในความฝันหรือ? หรือว่าเรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นความจริง? คนที่อยู่ตรงหน้าหน้าคือเขาใช่หรือไม่? หรือว่าเป็นปีศาจจำแลงกายมาหลอกล่อ?
เขาหยุดร่ายรำลงเสียแล้ว ข้าพลันอยากเอ่ยปากร้องขอให้เขาอย่าหยุด เพียงแต่ริมฝีปากแห้งผากแลสั่นระริกจนไม่อาจขยับได้ ใบหน้าอันเป็นปริศนาถูกซ่อนไว้ใต้หน้ากากเงินอันเย็นชา ริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้นคลี่ยิ้มออกมา ..รอยยิ้มของเขาข้าจะลืมเลือนไปได้อย่างไร
“จิ่นสือ..” เขาเรียกข้าได้อ่อนหวานถึงปานนี้ ? ที่แท้ข้าก็ยังอยู่ในความฝันอย่างไม่ต้องสงสัย นิ้วเล็กๆนั้นมาลูบไล้ที่ข้างแก้มอย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่งามนั้นหวานเชื่อมประดุจน้ำผึ้ง นี่ข้าคงฝันดีเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
“จิ่นสือ..” ข้าดึงเขามาไว้ในอ้อมกอด เอวเล็กคอดยิ่งเล็กลงกว่าเดิมจนน่าใจหาย มองหน้ากากอันเย็นชานั้นอย่างขัดใจแต่เมื่อจะดึงมันออกเขากลับดึงมือของข้าไว้จรดจุมพิตบนนิ้วมืออย่างนุ่มนวล
“ฉางเอ๋อร์..นี่ข้าฝันไป?” เขาตอบคำถามข้าด้วยรอยยิ้มลึกลับ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ถูกดันให้นั่งลงบนเก้าอี้ส่วนร่างเล็กๆของเขาอยู่บนตักข้า ความมืดมิดเข้ามาเยือนเพราะถูกคนซุกซนผู้นั้นปิดตาไว้
“ฉางเอ๋อร์ เจ้าจะ..”
ความนุ่มหยุ่นชนิดหนึ่งโฉบลงมาบนริมฝีปาก นุ่มนิ่มดุจสายไหม หวานดุจน้ำผึ้งยามคิมหันต์ ข้าคำรามในลำคออย่างพอใจจุมพิตตอบกลับด้วยความเร่าร้อนชนิดหนึ่งที่หลอมละลายสายไหมอันหอมหวานนี้จนกลายเป็นน้ำตาลเชื่อม เขาตอบสนองข้าดุจผู้รู้ใจ บนสมรภูมิรักแห่งนี้มีขุนทัพผู้ใดเล่าจักยอมแพ้พ่ายให้ขายหน้า
การโรมรันชนิดนี้ดุจไฟที่ถูกจุดด้วยน้ำมันกลายเป็นเพลิงลุกโหมกระหน่ำแลไม่อาจดับได้โดยง่าย หลายครั้งหลายคราเราทั้งสองจุมพิตกันโดยไม่อาจหยุด ไม่อาจกล่าวคำว่าพอเพียง ไม่ใช่จูบที่ห่างเหินเย็นชาเพียงผิวเผินแต่เป็นจูบที่สนิทสนมดุจคู่รัก ไม่ได้เติมเพียงความกระหายอยากแต่มันเติมเต็มจิตวิญญาณข้างในข้าให้รู้สึกอิ่มเอมยิ่ง
“จิ่นสือ..” เสียงกระซิบเรียกหาดังอยู่ข้างหู เป็นเสียงอันอ้างว้างโหยหา ข้าพลันรู้สึกเจ็บปวดหัวใจดึงเขามากอดแนบแน่นจนไร้ช่องว่างใดระหว่างเราสอง
“ฉางเอ๋อร์..ข้าอยู่นี่แล้ว”
มันเป็นฝันที่เกินกว่าจินตนาการไว้มากมาย ข้าลืมตาตื่นขึ้นมามองเพดานลายเก้ามังกรอันสลักเสลาอย่างประณีตงดงาม แสงอาทิตย์อุ่นๆของฤดูชุนเทียนลอดผ่านหน้าต่างส่องให้เห็นห้องกว้างซึ่งเต็มไปด้วยตำราแลฎีกาอยู่ฝั่งหนึ่ง หม่ากงกงรอรับใช้อยู่ข้างเตียงเหมือนทุกวัน
การปรนนิบัตรยามเช้าผ่านไปอย่างที่เคยเป็น แต่มีบางสิ่งที่รู้สึกแปลกไป...ฝันเมื่อคืน..ข้าฝันถึงอะไรกันแน่ มันเป็นฝันแสนสุขจนไม่อยากลืมตาตื่น รู้สึกอิ่มเอมราวถูกเติมเต็มในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตวิญญาณ ความนุ่มนวลอ่อนหวานชนิดหนึ่งคล้ายยังติดอยู่บนริมฝีปาก แต่ขบคิดเท่าไหร่กลับคิดไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในความฝัน
“ทูลหวงช่าง แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ” ข้าพยักหน้าดุจคำตอบรับ ในใจยังไม่คลายสงสัยจากเรื่องในความฝัน กลีบดอกเหมยแดงปลิวว่อน หิมะโปรยปราย คนผู้นั้นร่ายรำอยู่ในสวนเหมย...ไม่สิ..หรือว่าเขาร่ายรำอยู่ในศาลากันแน่ ข้าขมวดคิ้วสะบัดศีรษะอีกหลายคราปัดเรื่องที่ฟุ้งซ่านออก
พี่รองเดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบเร่งอย่างเคย วันนี้ดูเหมือนจะมีเรื่องเร่งด่วนอีกวัน ข้าหยิบถุงหอมขึ้นมาจรดยังปลายจมูกกลิ่นหอมอย่างสงบสุขุมนั้นทำให้รู้ผ่อนคลายอย่างยิ่ง มองฝีเข็มบนถุงหอมแล้วจึงยิ้มออกมาจางๆ คนผู้นั้นไม่แน่ใจว่าตั้งใจจะปักเป็นลวดลายก้อนหินหรือพระจันทร์ ดูก้ำกึ่งแต่กลับสวยงาม แต่ไม่เป็นไรรอเขาพร้อมที่จะคุยกับข้าเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคงได้ทราบว่าที่แท้บนถุงหอมนี้เป็นลวดลายใดกันแน่..
คุยกับนักอ่าน
ตอนเขียนตอนนี้รู้สึกมึนๆ ไม่รู้จิ่นสือมึนตามคนเขียนหรือคนเขียนมึนตามจิ่นสือ 55555 ตอนนี้มีคิสซีนด้วย แหะๆๆ นานทีจะมีเลิฟซีนรู้สึกมีความสุข ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากนะคะ อ่านทุกคอมเม้นท์แต่ยังไม่มีโอกาสได้ตอบเลย T_____T คอมเม้นท์เป็นกำลังใจสำคัญในการปั่นจริงๆค่ะ 555
ตอนนี้ขอตัวไปนอนก่อนแล้วค่ะ เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ ^^