บทที่12 Beside(s) my side(จบ)
“ฮาร์ฟ”
นรกรที่กำลังเหม่อสะดุ้งเล็กน้อย มันฟังดูเหมือนดังมาจากข้างในหัวมากกว่าจะเป็นเสียงจากภายนอก ที่สำคัญคือมันเป็นเสียงของอทิฏฐ์ ถึงจะแค่สั้นๆ แต่เขาสัมผัสได้ถึงความไม่มั่นคงของอารมณ์
“คุณอยู่ที่ไหน” ส่งเสียงถามออกไปในใจ
“ฮาร์ฟ ทางนี้”
เสียงเรียกชื่อดังขึ้นอีกครั้งและมันค่อนข้างชัดเจนทำให้นรกรเริ่มได้สติเต็มที่ว่าตอนนี้ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ในร้านกาแฟของโรงพยาบาล นัยน์ตาสีอ่อนกวาดมองหาที่มาของเสียงไปในร้านที่มีคนนั่งเต็มทุกโต๊ะแม้เวลาจะเย็นย่ำมากแล้วก่อนจะหยุดสายตาลงตรงวินทร์ซึ่งโบกมือเรียกอยู่มุมในสุดของร้าน
เพราะกาแฟที่สั่งไปยังอีกหลายคิว นรกรจึงเดินไปหาตามคำชวน
แต่เมื่อเข้าไปใกล้เขาก็เห็นว่าวินทร์ไม่ได้นั่งอยู่เพียงลำพัง ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันนั้นคือชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาสวมแว่นสายตากรอบเหลี่ยมคนหนึ่ง
“มีอะไรครับพี่วินทร์”
“เพิ่งราวน์เสร็จเหรอ” วินทร์ถามคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันเลยทั้งวันและพยายามไม่สนใจความผิดหวังในแววตาสีอ่อนที่ฉายชัดขึ้นแวบหนึ่ง
“ครับ”
วินทร์เหลือบมองตัวเลขคิวในใบเสร็จที่ยังเหลืออีกเกือบสิบคิว “น่าจะอีกสักพัก นั่งด้วยกันก่อนสิจะได้ไม่เมื่อย” ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่ลำพังจึงแนะนำคนแปลกหน้าสองคนให้รู้จักกัน “อ้อ นี่เพื่อนฉันเอง ตังนี่ฮาร์ฟ”
“สวัสดีครับ พี่ตัง”
เจ้าของใบหน้าคมสันหันมาพยักหน้ารับพลางเขยิบตัวไปบนโซฟาเพื่อให้มีที่ว่างเพิ่ม “เชิญเลยครับ ผมเองก็กำลังรอกาแฟเหมือนกัน พอดีเจอวินทร์เลยนั่งคุย เดี๋ยวก็จะไปแล้ว”
นรกรค้อมศีรษะก่อนจะนั่งลงตรงสุดปลายโซฟา
“อันที่จริงเรียกตังเฉยๆ ก็พอ ผมเป็นเพื่อนเจ้าวินทร์มัน”
“ผมเรียกพี่วินทร์ว่าพี่ครับ”
“แบบนั้นก็ได้ครับ”
“ไม่สบายเป็นอะไรเหรอครับ” นรกรถามไปตามมารยาท
“เปล่าครับ ผมมาเยี่ยมหลานน่ะ” ชายหนุ่มที่ชื่อตังหรือตฤณกรตอบ
“ครับ” แล้วนรกรก็ปล่อยให้เพื่อนเก่าสองคนคุยกันไปเรื่อยๆ ระหว่างที่นั่งรอกาแฟ สายตาก็คอยชะเง้อมองออกไปนอกร้านที่ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่หวังจะได้เห็นคนที่จนป่านนี้ก็ยังหาตัวไม่เจอ
จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้นมาช่วยดึงความสนใจไปจากท้องถนน นรกรล้วงมือลงในกระเป๋าก่อนจะพบว่ามันไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน
“ขอรับโทรศัพท์ก่อนนะพอดีลูกค้าโทรมา” ตฤณกรบอกพลางเปิดสมุดบันทึกเพื่อจดรายละเอียด “ตามนี้นะครับ ขอบคุณครับ”
“พี่ตังวาดรูปสวยจัง” นรกรที่บังเอิญเหลือบไปเห็นภาพสเก็ตซ์เล่นทั้งทิวทัศน์และสิ่งของต่างๆ ที่สเก็ตซ์ด้วยดินสอและปากกาบนหน้ากระดาษเผลอหลุดปากออกไป เพราะไม่มีหัวทางด้านนี้เขาจึงคิดว่ามันน่าอัศจรรย์ใจมากที่มือของคนเราจะรังสรรค์สิ่งสวยงามแบบนี้ขึ้นมาได้ด้วยดินสอหรือปากกาด้ามเดียว แต่เพราะความหนักเบาที่กดลงไปทำให้เส้นสายที่ตัดกันกลับดูมีมิติแม้จะเกิดจากสีเพียงสีเดียว
“ฝึกอยู่นานเลยละ กว่าจะได้ขนาดนี้”
“ทำงานเกี่ยวกับศิลปะด้วยหรือเปล่าครับ”
“ครับ ผมเป็นนักออกแบบผลิตภัณฑ์น่ะ”
นรกรเริ่มสนใจ เพราะอทิฏฐ์พูดอยู่เสมอว่าอยากรู้ว่าหน้าตาตัวเองเป็นแบบไหน บางทีผู้ชายคนนี้อาจช่วยเขาได้ “แล้วถ้าผมอยากจะจ้างพี่ตังวาดรูปบ้างนี่ จะได้ไหมครับ”
“ไม่ต้องจ้างหรอก คนกันเอง เพื่อนเจ้าวินทร์ก็เหมือนเพื่อนของผม ว่าแต่รูปอะไรเหรอครับ”
“รูปคนน่ะครับ” นรกรบอก “แต่บังเอิญว่าผมไม่มีแบบที่เป็นคนจริงนะครับ ไม่ทราบว่าพี่ตังวาดได้ไหมครับ”
“ผมวาดจากภาพถ่ายก็ได้ แต่ขอที่ชัด ๆ หน่อยนะครับ ไม่ถนัดวาดพอร์ทเทรดสักเท่าไร”
“ภาพก็ไม่มีครับ คือผมจะบรรยายลักษณะเขาแล้วให้พี่ตังวาดตามน่ะครับ”
“นายจะเอาไปทำอะไรเหรอฮาร์ฟ” วินทร์ซึ่งฟังอยู่นานแทรกขึ้น
“ให้เพื่อนน่ะครับ เป็นของขวัญ” นรกรตอบ “พี่ตังวาดได้ไหมครับ”
“อย่างกับสเก็ตซ์ภาพคนร้ายเลยนะครับ” ตฤณกรพูดติดตลก “แต่อย่างที่บอกว่าผมเองไม่ถนัดวาดภาพคนเหมือนสักเท่าไร ภาพเหมือนคนน่ะพอไหว ยิ่งให้เป็นของขวัญด้วยยิ่งไม่อยากจะรับปากเลย เอาเป็นว่าผมจะแนะนำรุ่นพี่ให้ก็แล้วกันนะครับ”
“นายน่ะแหละ” วินทร์รีบบอก
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ถนัด”
“ไม่ถนัดจะเรียนคณะศิลปกรรมได้ยังไงวะ”
ตฤณกรถอนหายใจพลางยกมือขึ้นขยับแว่นสายตาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ศิลปกรรมแล้วยังไงวะ คณะศิลปกรรมไม่ได้มีจิตรกรรมแค่สาขาเดียวนะไอ้วินทร์ แกก็รู้ว่าฉันเรียนออกแบบ”
“เออน่า เป็นนักออกแบบก็ต้องวาดรูปเก่งสิวะ แกวาดได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นแหละ ตกลงไหมฮาร์ฟ”
นรกรพยักหน้ารับเพียงแค่นี้เขาก็พอใจแล้ว “ครับ”
“ก็ได้ ๆ แต่ถ้าไม่เหมือนละก็ อย่าต่อว่ากันก็แล้วกัน” เพราะมีสายโทรเข้ามาอีกครั้ง และกาแฟที่สั่งไว้ก็ได้พอดี เขาจึงขอตัว “นี่นามบัตรผม ถ้าจะให้เริ่มงานเมื่อไรก็โทรมาก็แล้วกันนะครับ” แล้วทั้งสองก็แลกนามบัตรกันก่อนตฤณกรจะหันไปบอกลาเพื่อนเก่า “ไปก่อนนะวินทร์ แล้วเจอกัน”
เมื่ออยู่กันแค่สองคนวินทร์จึงเอ่ยปากถามคนที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก “มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”
“เปล่าครับ” จะให้เขาตอบไปได้อย่างไรว่ากลุ้มใจที่อทิฏฐ์หายตัวไป
“เค้นถามไปยังไงก็คงไม่บอกสินะ” วินทร์พ่นลมออกจมูก พยายามจะไม่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ เขาเปิดกระเป๋าและหยิบเอาแซนวิซที่ยังเก็บไว้ออกมา “ซื้อมาตั้งแต่เช้า คงชืดหมดแล้วแต่ยังกินได้นะ… หน้านายซีด แล้วก็ดูเพลียๆ เหมือนคนยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลย”
“ไม่เป็นไรครับ” นรกรปฏิเสธ เขาเป็นห่วงอทิฏฐ์มากเสียจนไม่อยากกินอะไร นี่ถ้าไม่รู้สึกหน้ามืดและต้องอยู่เวรคงไม่ยอมมาซื้อกาแฟ
“ความหวังดีแค่นี้ก็รับไว้ไม่ได้เหรอ” วินทร์ตัดพ้อ
“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ คือ… ผมแค่กินอะไรไม่ลงจริงๆ… กาแฟได้แล้วผมขอตัวนะครับ” นรกรตัดบทและรีบลุกไป
วินทร์ยกขึ้นหมายจะเรียก ก่อนจะเปลี่ยนใจดึงกลับไปวางไว้บนหัวเข่าแล้วกำเป็นหมัดแน่น
นรกรเดินกลับขึ้นไปบนตึกที่ตอนนี้เริ่มเงียบสงัด เขาตัดสินใจเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์เผื่อเจออทิฏฐ์ไปนั่งแอบอยู่ตรงมุมไหน
บอกตามตรงว่าเขาใจคอไม่ดีเลย
นับตั้งแต่เมื่อวานที่กลับไปห้องทำไมเขาจะฟังไม่ออกว่านั่นคือเสียงร้องไห้ของใคร แต่เพราะบรรยากาศรอบตัวที่ยังเหมือนเดิมและเมื่อเช้าอทิฏฐ์ก็ดูเป็นปกติดียังพูดแซวอะไรได้ เขาจึงเผลอวางใจปล่อยให้อยู่ลำพัง
“รู้แบบนี้ชวนเขาห้องผ่าตัดไปด้วยก็ดีหรอก ไอ้ผีบ้าเอ๊ย! หายไปอยู่ที่ไหนเนี่ย คอยดูนะ เจอตัวเมื่อไหร่จะจับพันสายสิญจน์เก็บใส่ขวดโหลไว้ซะเลย โอ๊ย!” นรกรอุทานเมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกกระตุกที่ขาขวาอย่างแรงขณะเดินเกือบจะถึงชั้นสองจนแก้วกาแฟหลุดมือหกกระจายลงบนพื้นโดยที่ยังไม่ได้จิบสักอึก
เขาเหลียวมองลงไปตามทางที่ว่างเปล่า กำลังจะก้มลงเก็บแก้ว แต่แล้วไฟนีออนเหนือหัวก็กะพริบดับครั้งหนึ่งก่อนจะสว่างวาบขึ้นมาใหม่ พร้อมกับที่ปรากฏร่างของใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนบันไดขั้นที่ต่ำกว่า
เธอคือวิญญาณตนที่มักนั่งกอดเข่าฟุบหน้าอยู่ตรงทางขึ้นชั้นสอง นรกรคิดมาตลอดว่าเธอเป็นเด็ก แต่แท้จริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กรูปร่างผอมบาง เนื้อตัวสีออกเทาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นเถ้าดูขมุกขมอม ดวงตาของเธอแดงก่ำดูรื้นน้ำตาที่คล้ายกับสีเลือด มือข้างที่เอื้อมขึ้นมาจับข้อเท้าของเขาไว้เห็นเส้นเลือดขึ้นปูดโปนเป็นลายสีดำขึ้นไปจนถึงต้นแขน ใบหน้าซีกหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้ใต้เรือนผมยาวเละและไหม้เกรียมเป็นหย่อมๆ จนดูไม่ออก บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องนั่งก้มหน้าตลอดเวลา
“มีอะไรเหรอครับ” นรกรถามเกร็งๆ จริงอยู่ว่าเขาไม่กลัวผี แต่ถ้าเจอผีแปลกหน้าเข้ามาทักด้วยวิธีการแปลกๆ ก็ตกใจเป็นเหมือนกัน
หญิงสาวไม่ตอบได้แต่ชี้มืออีกข้างออกไปด้านนอกตัวอาคาร
นรกรมองตามปลายนิ้วออกไปผ่านหน้าต่างเห็นเงาตะคุ่มของยอดไม้ในสวน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันไม่เข้าใจว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร “อะไรเหรอครับ”
“วันนี้... 49วัน” เธอพูดต่อโดยไม่มีการอธิบายใดๆ เพิ่มเติมก่อนจะปล่อยมือจากข้อเท้าของเขาแล้วหันกลับไปอยู่ในท่ากอดเข่าซุกหน้าลงตามเดิม
ทว่า เขาก็เข้าใจในทันที “ขอบคุณนะครับ” ค้อมศีรษะให้ครั้งหนึ่งและรีบกลับหลังหันวิ่งลงบันไดไปโดยไม่ลืมเก็บแก้วกาแฟไปทิ้งด้วย
.
.
.
.
ทั้งที่คืนก่อนดาวกระจ่างฟ้า ทว่า วันนี้ฟ้าปิด กลุ่มเมฆสีดำจับตัวเป็นก้อนใหญ่ดูทึบทึมจนน่ากลัว มันมืดมิดจนแทบมองไม่เห็นแม้มือของตัวเอง ลมแรงพัดกระทบยอดไม้ส่งเสียงดังหวีดหวิวคล้ายใครกำลังร้องไห้
ที่ม้านั่งตัวเดิมในสวน ร่างโปร่งแสงนั่งก้มตัวลงจนหน้าเกือบชิดหัวเข่า มือสองข้างกุมศีรษะ เขาหลับตาแน่น พยายามปิดกั้นภาพที่ยังคงไหลเข้ามาในหัวตั้งแต่ช่วงเช้าอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้
“ใจเย็นๆ ค่ะ คุณทำเต็มที่แล้วนะคะ กะโหลกแตกละเอียด สมองได้รับบาดเจ็บหลายตำแหน่ง คุณต้องเป็นพระเจ้าเท่านั้นถึงจะยื้อเขาไว้ได้” เสียงแพทย์หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ก่อนจะเห็นเธอวิ่งเข้าไปคว้ามือสามีที่กำลังง้างขึ้นจะชกกำแพง
“โธ่เว้ย!” นายแพทย์สบถ จ้องมองภรรยาที่กำมือเขาไว้แน่นแล้วเหลียวไปมองด้านหลังทันเห็นพยาบาลสาวกำลังดึงผ้าขึ้นคลุมหน้าอกชายวัยกลางคนที่นอนอยู่บนเตียง
ใบหน้าของเขาเป็นสีม่วงคล้ำ ไม่มีมอนิเตอร์คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ไม่มีเครื่องช่วยหายใจ และไม่มีสายช่วยชีวิตใดๆ ต่อออกมาจากร่างของเขา
เพราะสิ่งเหล่านั้นเขาไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกต่อไปแล้ว
…เขาจากโลกนี้ไปแล้ว…
“ไม่!” สองมือจิกเกร็งแน่นขึ้นอีก อยากจะควักลูกตาตัวเองออกก็คงไม่มีประโยชน์เมื่อภาพนั้นไม่ได้เห็นผ่านสายตา แต่ฉายชัดอยู่ในมโนสำนึก ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา เขาก็ไม่อาจหนีความจริงนี้พ้น
…ทำไม! เพราะอะไร เหตุการณ์เลวร้ายพวกนี้ถึงต้องเกิดกับครอบครัวของเขาด้วย...
.
.
.
.
นรกรวิ่งเต็มฝีเท้าเท่าที่ร่างกายซึ่งไม่เคยออกกำลังจะทำไหว รู้สึกเจ็บแน่นไปทั่วชายโครงแต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกแปลบปลาบที่แล่นออกมาจากหัวใจ นัยน์ตาสีอ่อนกวาดตามองหาไปในสวนที่แทบจะมืดสนิท ในที่สุดก็เห็นเงาตะคุ่มของร่างหนึ่งอยู่บนม้านั่งตัวเดิมที่เคยนั่งด้วยกัน
“อยู่นี่เอง” ถอนหายใจเล็กน้อยอย่างโล่งอกและผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย แต่เมื่อเข้าไปใกล้พอนรกรก็ได้รู้ว่ามันเร็วเกินกว่าจะวางใจ
อทิฏฐ์นั่งกุมศีรษะก้มหน้ามองพื้น ร่างของเขาดูขุ่นมัวมากจนน่ากลัว และมันเหมือนกับคืนนั้นไม่มีผิด
“อทิฏฐ์”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกเขาก็ค่อยเงยหน้าขึ้นและเบือนศีรษะหันมาดูช้าๆ นัยน์ตาที่เมื่อเช้านี้เห็นเป็นประกายกลับขุ่นด้านจนมองไม่เห็นตาขาว
นรกรรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปหา “อทิฏฐ์! เกิดอะไรขึ้น ไม่เป็นอะไรนะผมอยู่ที่นี่แล้ว”
ทั้งที่พูดแบบนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะช่วยอะไรไม่ได้เลย เมื่อสายลมพัดโหมมาวูบหนึ่งพร้อมกับที่ร่างนั้นละลายหายไปในความมืดต่อหน้าต่อตา
.
.
.
.
จากที่นั่งอยู่บนม้านั่งในสวน ภาพตรงหน้ากลายเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา สถานที่ซึ่งเขาเคยมาเยือนแล้วครั้งหนึ่ง ร่างโปร่งแสงนั่งกอดเข่า ตรงหน้ามีภาพคล้ายจอฉายหนังกลางแปลง มันเป็นภาพในห้องของไอซียู บุคลากรในชุดขาวยืมห้อมล้อมร่างที่เพิ่งสิ้นลมบนเตียงและร่วมกันขออโหสิกรรมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนประตูห้องจะเปิดออกพร้อมกับที่พยาบาลสาวคนหนึ่งตะโกนรายงานอาการคนไข้อีกคนซึ่งลุ่มๆ ดอนๆ มาหลายวันที่ตอนนี้ทรุดลงถึงขีดสุด.
“คุณหมอคะ คนไข้เตียงสี่หัวใจหยุดเต้นค่ะ”
เกิดความเงียบขึ้นอึดใจก่อนจะตามมาด้วยความโกลาหลเมื่อทั้งทีมเคลื่อนย้ายไปยังห้องที่อยู่ติดกันแล้วเริ่มต้นทำการช่วยชีวิต
มันดูเป็นฉากที่น่าตื่นเต้นและลุ้นตามว่าชายคนนั้นจะรอดหรือไม่ เพียงแต่นี่ไม่ใช่หนังหรือละคร มันคือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงและเขาคือผู้ชายคนนั้น
“พอได้แล้วครับ” เขากระซิบ “เพราะผมตัดสินใจแล้ว” แล้วก้มหน้าลงซุกหัวเข่า ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยินหรือรับรู้อะไรอีก ตอนนี้ที่ต้องการคือ ‘ความสงบ’ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต
“ใจร้ายใช่ย่อยนะพ่อหนุ่ม ที่จะไปทั้งที่ยังไม่ได้ร่ำลา”
ร่างโปร่งแสงเงยหน้าขึ้นมอง ความมืดด้านหลังไหววูบขึ้นเล็กน้อยแล้วเจ้าของเสียงปริศนาก็ปรากฏตัวขึ้น อทิฏฐ์แปลกใจไม่น้อยเพราะผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เขานึกต่อว่ามาตลอดว่าเป็นหมอผีเก๊
อาจารย์องค์อินทร์เดินมือไพล่หลังมายืนเคียงข้าง พลันภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปกลายเป็นภาพของร่างสูงโปร่งในชุดกาวน์สั้นที่ทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงบนม้านั่งในสวน
นรกรก้มลงมองสองมือของตัวเองที่ไขว้คว้าได้เพียงแค่อากาศธาตุ ในอกกระตุกกระตุกวูบ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอทิฏฐ์ ไม่เคยรู้เหมือนกับทุกๆเรื่องเมื่อเจ้าตัวไม่เคยบอก เพียงสิ่งเดียวที่เขารู้ และภาวนาจนสุดใจว่ามันจะไม่เกิด นั่นคือนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปเขาจะไม่ได้เจอผู้ชายคนนี้อีก
นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบขึ้นมองท้องฟ้าที่ยังคงมืดทึบ พยายามจินตนาการถึงวันที่ดวงดาวกระจ่างฟ้า... วันที่อยู่ด้วยกันตามที่อทิฏฐ์เคยบอก แต่เขาก็ทำได้แค่นั้น แค่พยายาม...
คนที่เฝ้าดูอยู่ในที่ไกลแสนไกลรู้สึกหัวใจสลายไม่แตกต่าง แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมาเปลี่ยนใจเขาได้
“ใช่ ผมมันคนใจร้าย”
นี่คงเป็นบทลงโทษจากเบื้องบนในผลกรรมที่เขาได้ก่อไว้ แต่เพราะกายเนื้อไม่ได้สติ จึงให้วิญญาณมารับรู้ความเจ็บปวดนี้เอง
และก็ดูท่าว่าจะสาสมดีเสียด้วย ตอนนี้เขายิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็นเสียอีก
“ถ้าเช่นนั้นพ่อหนุ่มก็พร้อมที่จะไปแล้วสินะ” อาจารย์องค์อินทร์บอกพร้อมกับผายมือออกไปด้านหน้าสู่จุดแสงเล็กๆ ที่มองเห็นอยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา
เขาลุกขึ้นยืน กำลังจะออกเดินเมื่อมองทางหางตาเห็นน้ำหยดหนึ่งร่วงลงกระทบพื้น และมันไม่ได้สลายหายไปเหมือนทุกที แต่สะท้อนเป็นประกายอยู่บนพื้น
…นั่นไม่ใช่น้ำตาของเขา…
เขาหันกลับไปทันเห็นภาพคนบนม้านั่งกำลังใช้หลังมือเช็ดดวงตาที่แดงก่ำ นรกรไม่ได้สะอึกสะอื้นแต่เนื้อตัวของเขาสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด และถึงอย่างนั้นเมื่อริมฝีปากขยับ น้ำเสียงนั้นกลับมั่นคง
“อทิฏฐ์ ผมไม่รู้ว่าคุณผ่านอะไรมาบ้างถึงได้ตัดสินใจทำแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณคิดว่าหนทางข้างหน้ามันดีกว่าที่เป็นอยู่ ถ้ามันไม่เจ็บปวดและทุกข์ทรมานก็ไปเถอะ... ผมตัดสินใจแทนคุณไม่ได้”
นรกรกระซิบกับสายลมที่พัดมาผะแผ่ว ภาวนาจนสุดใจขอให้ลมพัดพาคำพูดนี้ไปให้ถึงคนที่จากไป
“แต่ถ้าคุณ ‘เลือกที่จะอยู่’ คุณยังมีผมอยู่ตรงนี้นะ ขอโทษนะที่ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย นอกจากอยู่เคียงข้างคุณ”
************************TBC********************
ขอต่อTalkข้างล่างนิดหนึ่งนะคะ