Chapter 8 : This may be the last time
ผมเดินเหงื่อแตกพลั่กออกจากฟิตเนส พลางใช้ผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนบ่าเช็ดหน้า หางตาเหลือบไปเห็นร่างของแมทธิวกำลังเดินผ่านประตูเข้ามา
ร่างสูงยกมือทักผม ก่อนจะสาวเท้าเร็วๆ มาหา แล้วคว้าแขนผมที่เตรียมจะเดินไปที่ลิฟต์ไว้เป็นเชิงห้าม ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งถือโทรศัพท์แนบหูอยู่ “ครับพี่ทราย ขอบคุณมากๆ เลยครับ”
“ติวเสร็จแล้วเหรอ?”
“ครับ” ร่างสูงปล่อยมือจากแขนผม แล้วยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินตามผมไปที่ลิฟต์ “เออ พี่แมน พี่รหัสผมเพิ่งให้ชีทแนวข้อสอบมาใหม่ คงเล่นเกมไม่ได้แล้วแหละ”
“ก็ดีแล้ว อ่านก่อน เกมเล่นวันหลังก็ได้” ผมบอกเพื่อให้ร่างสูงข้างๆ ที่เพิ่งจะกดปุ่มลิฟต์เลิกทำอาการหางลู่ หูตก เหมือนหมาน้อยหงอยเหงา
“พี่แมน ช่วยดูให้หน่อยได้ไหม คืนนี้อะ?”
“หือ...” ดูอะไร พูดเคลียร์ๆ ด้วยนะครับ ไม่งั้นพี่แมนไม่ไปนะ
“นะๆ เนี่ย ปวดหัวมากเลย กลัวอ่านเองไม่รู้เรื่อง”
“ปวดหัวก็พักก่อน”
“แต่อีก 3 วันจะสอบแล้วนะ” จะเอาเกียรตินิยมเลยหรือไง นั่นๆ อย่ามาทำหน้าตาน่าสงสารใส่พี่นะ ไม่รู้หรือไงว่าคนอย่างพี่แมนน่ะ...
“งั้นคืนนี้ที่ห้องนายละกัน”
...มันแพ้แมทธิวตลอดอย่างนี้ไงเล่า
.
.
.
กระจกตรงหน้าผมตอนนี้สะท้อนใบหน้าอมยิ้มของตัวเองอยู่ ผมเหลือบมองขวดน้ำหอมที่นานๆ จะได้ใช้สักครั้งอย่างชั่งใจ
ใส่สักนิดดีไหมนะ?!
ผมยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองดังป้าบกับความคิดชั่ววูบที่แล่นมาในสมอง ก่อนจะหยิบโลชั่นที่ทาตัวประจำขึ้นมาทาแทน
เอาวะ หอมเหมือนกัน ใส่น้ำหอมเดี๋ยวจะชัดไปว่าอ่อยเนอะ
ผมหอบข้างของทั้งโน้ตบุ๊กและหนังสือตัวเองไปห้องแมทธิวด้วย ร่างสูงย้ายตัวเองออกจากห้องนอนมานั่งจุมปุ๊กอยู่บนพื้น ในขณะที่ผมนั่งอยู่บนโซฟา
“กินพาราหรือยัง?”
“กินทำไมอ่ะ?” แมทธิวเงยหน้าจากชีทบนโต๊ะ ผมเปิดฝาพับโน้ตบุ๊ก ก่อนจะหันไปตอบ
“ก็บ่นปวดหัวไม่ใช่เหรอ?” ผมจ้องใบหน้าตั้งใจอ่านชีทของแมทธิว “กินดักไว้ซะหน่อย เผื่อป่วยวันสอบ”
“อ๋อ...” แล้วเด็กฝรั่งตัวโตก็พาตัวเองหายเข้าไปในครัว พักหนึ่งก็กลับมานั่งลงกับพื้นตามเดิม
เออ ดี ให้เจ้าของห้องนั่งกับพื้นซะงั้น
ผ่านไปพักใหญ่แมทธิวก็ไม่ท่าทีจะให้ผมสอนอะไร แค่เรียกถามตรงที่สงสัยเป็นช่วงๆ แล้วปล่อยให้ผมนั่งอ่านหนังสือสอบของผมไปตามเรื่องราวท่ามกลางความเงียบของเราสองคน
ซึ่งผมหลงรักความเงียบที่ไม่โดดเดี่ยวนี้จนอยากหยุดเวลาไว้เลยล่ะครับ....
.
.
.
ดึกแล้ว
ผมเลิกอ่านหนังสือมาเล่นเน็ตได้สักพัก แมทธิวเริ่มออกลายขี้เกียจ ชะเง้อชะแง้มองผมจนอย่างจะเรียกให้มานั่งๆ ข้างๆ กันซะให้หมดเรื่อง
เอ๊ะ! หรือจะมานั่งข้างในใจพี่แมนก็ได้นะ
อ๋อ... ก็นั่งอยู่ในใจผมอยู่แล้วนี่เนาะ
“ทำอะไรเหรอ?”
“ดูสีผม” ผมเลื่อนหน้าจอเรื่อยเปื่อยพลางตอบแบบไม่มองหน้าแมทธิว มองมากแต่จับต้องไม่ได้ ไม่อยากมอง ฮึ!
“จะทำเหรอครับ?”
“ไม่ล่ะ” ผมส่ายหัว คงต้องรอมีงานทำแล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะทำดีไหม แต่ก็น่าจะทำสีสว่างๆ ไม่ได้อีกแล้วล่ะครับ
“เหรอ...” แมทธิวค่อยๆ เหยียดแขนและเลื้อยลงกับโต๊ะ ก่อนจะนอนหนุนแขนยาวๆ ตะแคงหน้ามองมาทางผม “ผมทำบ้างดีไหม สีผมเนี่ย?”
แววตาสีสวยสะท้อนแสงจากหลอดไฟเป็นประกายวิบวับ ผมสบดวงตาคู่นั้น และไม่อาจเก็บความรู้สึกหลงใหลนี้ไว้ได้ ไวเท่าความต้องการ มือของผมเลื่อนไปยีผมสีอ่อนแรงๆ อย่างลืมตัว
“โอ๊ย.. โอ๊ยๆๆ ฮ่าๆๆๆ” แมทธิวเอียงหัวหลบ แล้วคว้ามือผมยึดไว้ ใบหน้าคมครบเครื่องมองดูละมุนอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่อาจละสายตาจากแววตาอ่อนโยนคู่นั้นได้เลย
ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายจับมือผมไว้อยู่อย่างนั้น…
“ผมอยากมีพี่หรือไม่ก็น้องจัง” มือหนาจับมือของผมไปแนบแก้มของตัวเอง แล้วหลับตาพริ้ม ใบหน้าเปื้อนยิ้มบางๆ
“อืม...” ผมรู้ว่ามันมากเกินไป อันตรายต่อหัวใจจนต้องค่อยๆ ดึงมืออกจากการเกาะกุม “ไม่ให้พ่อกับแม่มีน้องให้”
“...”
บรรยากาศหวานละมุนหล่นวูบ ใบหน้าเปื้อนยิ้มค่อยๆ คลายลงเป็นความเรียบเฉย และนั่นเองทำให้ผมนึกถึงข้อเท็จจริงที่ว่า
พ่อแมทธิวเป็นเกย์ “ฉันมีพี่ตั้งหลายคน แต่ไม่มีน้องเลย” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวแมทธิวเบาๆ “มาเป็นน้องชายฉันดีไหม?”
“...”แมทธิวช้อนตาขึ้น มันไม่ได้ดูน่ารักโมเอะแบบสาวน้อย แต่ทำให้ผมอยากจะจิกหมอนกรีดร้องด้วยใจที่เต้นรัว เปรียบเทียบเด็กตรงหน้าไม่ต่างกับโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ที่ใหญ่แต่ตัว แต่หัวใจมุ้งมิ้ง ผมผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เพื่อระบายความร้อนที่ใบหน้า
ก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะว่าตอนนี้กลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่แล้วน่ะ
.
.
.
ผมละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊กไปมองคนที่หนุนแขนตัวเองต่างหมอนหลับไปด้วยฤทธิ์ยา จ้องได้สักพักก็เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นฉุดร่างของผมลงมานั่งจ้องแมทธิวกับพื้นเพื่อให้มองเห็นได้ชัดขึ้น
ริมฝีปากแมทธิวบางแบบชาวตะวันตก ผมชอบเวลามันฉายรอยยิ้มเพราะดูอบอุ่น และทำให้คนมองเขินได้ทุกครั้งโดยเฉพาะเมื่อมองมันคู่กับแววตาสีสวยภายใต้เปลือกตาที่ปิดอยู่นั้น
ขนตายาวเป็นสีอ่อนเหมือนสีผมและคิ้วของเขา ผมไล่สายตาลงมาที่สันจมูกโด่งเรื่อยลงถึงปลายจมูก
“แมทธิว”
“...”
“แมทธิว” ผมจับแขนแมทธิวเบาๆ กะปลุกให้ตื่น แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ “แมทธิว ตื่นไปนอนในห้องนะ”
“...” เงียบกริบ
หรือว่าผมต้องจุมพิตเขาเหมือนเจ้าชายจุมพิตเจ้าหญิงนิทรา ร่างสูงถึงจะตื่น
จะดีเหรอ ผมก็เขินนะครับ
“...”
ผมมองดั้งแมทธิวด้วยความอิจฉา ของจริงแน่เหรอ ทำไมมันโด่งได้ขนาดนี้
ผมไล้นิ้วชี้ไปตามสันจมูกโด่งนั้นอย่างแผ่วเบา อยากออกแรงกดอีกนิดเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยตัวเองนะ แต่ไม่ดีกว่า กลัวแมทธิวตื่น
นิ้วชี้ผมไล่มาถึงปลายจมูก และหยุดอยู่ที่ริมฝีปากบางสีสดใส ใจผมเต้นแรง ก่อนจะหล่นวูบไปอยู่ที่พื้น...
“!!!” แมทธิวลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วสบตากับผม
“...” ริมฝีปากนั้นระบายยิ้มบางออกมา ก่อนที่มือของผมจะถูกจับไว้ด้วยมือหนาของคนเพิ่งตื่น “ไปนอนกันเถอะ”
ผมปล่อยให้แมทธิวฉุดร่างผมให้ลุกขึ้น และเดินจูงมือผมเข้าห้องนอน เพราะผมสมองผมมันไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว
.
.
.
I’m so sorry but I love you ทา คอจิซมัลอียา มลรัซซอ อีเจยา อารัซซอ~
I’m so sorry but I love you นัลคาโรอุน มัล...~เสียงโทรศัพท์ดังเป็นรอบที่เท่าไรไม่ได้นับ แนทเงยหน้าจากหน้าจอโน้ตบุ๊กตัวเองมามองผมด้วยแรงอาฆาต ผมหลบตามันด้วยการจ้องไปที่จอโน้ตบุ๊กตัวเอง แต่ไม่ลืมขยับมือไปคว้าโทรศัพท์มาปิดเสียง
ครืด... ครืด... ครืด...
ผมเหลือบมองโทรศัพท์ที่เปลี่ยนจากส่งเสียงร้องมาเป็นสั่น แล้วเหลือบมองแนทที่พับฝาโน้ตบุ๊กด้วยอาการกระแทกกระทั้น ใบหน้าเจ้าสวยพร้อมเหวี่ยงผมทุกเมื่อ
“จะรับก็รับ ไม่รับก็ปิดเครื่องไปสิ”
ครืด... ครืด... ครืด...
ผมมองโทรศัพท์อีกครั้งอย่างลังเลใจ ก่อนจะสบตากลมโตของเพื่อนสนิท
“หรือจะให้กูรับให้ เอาไหม?”
“...” ผมยิ้มหวานแทนคำตอบ ก่อนจะหยิบมันยื่นไปให้ร่างบางตรงหน้า แนทจิ๊ปากด้วยความหมั่นไส้ แล้วกดรับ
“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานฟังดูสดใสร่าเริง ต่างกับตอนคุยกับผมที่เอะอะก็ขู่เข็ญค่อนแคะกันตลอด
“แมนเข้าห้องน้ำค่ะ มีอะไรฝากพี่ไว้แทนได้ไหมเอ่ย?.... ได้ๆ เดี๋ยวพี่บอกให้นะคะ”
“น้องว่าไงบ้าง???” ผมรับโทรศัพท์ที่แนทยื่นคืนมาให้
“รับก็ไม่รับ แต่อยากจะรู้นักนะมึง” แนทกอดอก แล้วเชิดหน้ามองต่ำใส่ผม
น้อยๆ หน่อย ทีตัวเองเล่นตัวกับอดีตเดือนวิศวะคนนั้นตั้งหลายปีผมยังไม่แซวมันเลย
ครับ หมอนั่นมันจีบแนทมาตั้งนานแล้ว แต่แม่ผู้หญิงยิงเรือตรงหน้าผมมันเล่นตัวซะจนฝ่ายนั้นต้องมาเซอร์ไพรส์รวบหัวรวบหางที่ตึกคณะผมวันนั้นนั่นแหละ
“แมทธิวบอกว่าเย็นนี้จะมารับไปช่วยซื้อของเป็นเพื่อน”
“เหรอๆ”
“แหม หมั่นไส้” แนทเบะปากใส่ผม “รู้ว่ามึงไม่มีเรียนซะด้วย นี่ถึงไหนต่อไหนกันแล้วเนี่ย?!”
“พี่น้องกัน” ผมยักคิ้วน้อยๆ กะว่าก็น่าจะหล่อพอตัว
แต่อันที่จริง... ผมกำลังหน้าชื่นอกตรมครับ เพราะยังไม่รู้จะทำตัวยังไงเมื่อเจอหน้าแมทธิวของผม
ก็เมื่อคืนแมทธิวนอนกอดผมทั้งคืน ไม่รู้ว่าเกิดอยากสร้างความสนิทสนมกับพี่ชายนอกสายเลือดอย่างผมหรืออะไรถึงได้ทำแบบนี้ใส่กัน
ไหนจะก่อนหน้านั้นที่จับได้ว่าผมลวนลาม แต่กลับส่งยิ้มมาให้...
ผมจะบ้า!!! ถ้าไม่พูดอะไรให้ชัดเจนกว่านี้พี่แมนจะเข้าข้างตัวเองแล้วนะครับว่าแมทธิวก็มีใจให้พี่
“โหย อีดารา อีเซเลบริตี้” เสียงด่าของแนทกระชากความคิดผมกลับสู่โลกความจริง
“มึงไปกับกูไหม?”
“ไปเป็นก้างขวางคอมึงหรือไง!!?” ประโยคคุ้นๆ เหมือนผมเคยพูดใส่มัน ผมยิ้ม แล้วยักไหล่ แบบว่า ไอ ด๊อนท์ แคร์
.
.
.
ผู้ชายตัวโต 2 คนยืนอยู่ตรงแผนกเครื่องสำอาง หน้าเคาท์เตอร์ที่มีลิปสติกหลากสีวางเรียงรายให้ทดลองใช้คงจะเป็นภาพที่ประหลาดตาพอสมควรสำหรับลูกค้า และพนักงาน รวมถึงคนที่เดินผ่านไปผ่านมา แมทธิวยืนจิ้มโทรศัพท์ ก่อนจะยกมันแนบหู
“ครับแม่ อยู่หน้าเคาท์เตอร์แล้ว... โอเคครับ”
และสาเหตุที่พาผมมาอยู่ตรงนี้ก็คือ... แถ่แด้น! แมทธิวมาซื้อลิปสติกให้แม่นั่นเอง
โธ่... นอกจากอบอุ่นแล้วยังเป็นลูกกตัญญู แมทธิวต้องเป็นพ่อที่ดีของลูกแน่ๆ
แต่แมทธิวคงไม่ได้เป็นพ่อคนแล้วเนอะ เพราะผมมีลูกไม่ได้น่ะสิ
“ยิ้มอะไรพี่แมน”
“ป..ปะ...เปล่า” ผมปฏิเสธตะกุกตะกัก ช่วงนี้ยิ่งทำตัวให้โดนจับได้อยู่ด้วย “แล้วทำไมไม่ชวนเพื่อนนายมา?!”
“ชวนแล้ว มันไม่ยอมมากับผมกันสักคน มันบอกว่าอาย”
เออ ดี แล้วไม่คิดว่าพี่แมนอายบ้างหรือไงครับ
“ก็ชวนเพื่อนผู้หญิงสิ” แค่เอ่ยปากก็ตามมาเป็นพรวนอยู่แล้ว ชิชะ
“เออเนอะ ทำไมผมนึกไม่ถึงนะ” แมทธิวหันมายิ้มให้ผม “แต่มากับพี่ก็ดีแล้ว จะได้อยู่เที่ยวด้วยกันต่อ”
ทำมาปากหวาน อย่าให้รู้ว่าเรียกมาถามเรื่องเมื่อวานที่พี่แมนแอบแต๊ะอั๋งตัวเองละกัน
พี่ยังไม่พร้อมจะให้คำตอบหรอกนะว่าทำไปเพราะมีใจให้!
“พี่แมน ฝากถือโทรศัพท์หน่อยสิ” ผมรับโทรศัพท์มาถืองงๆ ก่อนจะมองร่างสูงที่หยิบลิปสติกสีแดงมาทาบอกหลังมือ แล้วหยิบสีแดงตุ่นๆ อีกแทงข้างๆ กันมาทาทีหลัง
“ขอโทรศัพท์หน่อยครับ” ผมยื่นโทรศัพท์คืนให้แมทธิวอย่างว่าง่าย นิ้วหัวแม่มือกดถ่ายสีลิปสติกบนหลังมือก่อนจะกดส่งไลน์ไป ครู่เดียวก็มีข้อความตอบกลับมา แมทธิวหันไปหาพนักงานที่ยืนรออยู่สักพักแล้วเพียงแต่ผมไม่ได้เอ่ยถึง เพราะในสายตาพี่แมนนั้นมีแต่แมทธิว
“เอาสีนี้แท่งหนึ่งครับ”
“ได้ค่ะ เชิญชำระเงินด้านนี้ค่ะ” คุณพนักงานสาวยิ้มกว้างที่ขายของได้ ก่อนจะผายมือเชิญแมทธิว มือหนาของร่างสูงคว้าข้อมือผม แล้วออกแรงลากให้เดินตาม
“ขอบคุณค่ะ” พนักงานส่งถุงกระดาษเรียบหรูใส่ลิปสติกให้แมทธิว แล้วยกมือไหว้แต่พองาม ก่อนที่เราทั้งคู่จะเดินออกจากร้าน
“พี่แมน อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม?” แมทธิวถามขึ้นขณะเราทั้งคู่กำลังลงบันไดเลื่อนเพื่อไปหาอะไรกิน
“อะไรก็ได้ ฉันไม่ค่อยหิว”
“เหรอๆ งั้นไปหาอะไรเบาๆ กินแล้วกันเนอะ”
“อือ....”
Rrr… Rrr…Rrrrr…
ผมเหลือบมองโทรศัพท์ในมือแมทธิวที่ส่งเสียงร้องกะทันหัน ร่างสูงกดรับแล้วยกมันแนบหู ในขณะที่พากันลงจากบันไดเลื่อน
“ฮัลโหล...” แมทธิวดึงข้อมือผมให้เดินตาม เมื่อเห็นผมชะลอฝีเท้า เพื่อให้เขาคุยโทรศัพท์ก่อน
“อะไรนะ!!? แล้วตอนนี้แก้มอยู่ไหน!?” ผมหยุดเดินความตกใจ เมื่อมือที่กำลังจูงแขนผมกลายๆ ดึงผมให้หยุดเพราะปลายสาย
“....”
“ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวเราไปหา” แมทธิววางสาย ท่าทางดูร้อนรน จนผมต้องจับแขนอีกฝ่ายเบาๆ เผื่อเรียกสติ “...พี่แมน”
“...???”
“เพื่อนผมเพิ่งเลิกกับแฟน โทร.มาร้องไห้หนักมาก”
“...”
“ผมต้องไปดูแก้ม...” สีหน้าแมทธิวเต็มไปด้วยความเป็นห่วงชัดเจน และมันไม่ต่างกับตอนที่เขาคิดว่าผมโดนแนททิ้ง
ผมรู้... ความเป็นห่วงและทุกสิ่งที่เขามีให้กับทุกคนเท่าๆ กัน
เพราะรู้ดี... ถึงได้เจ็บแปล๊บๆ ที่อกเหมือนมีใครมาขยี้หัวใจอยู่อย่างนี้ไง
“ไป...” ผมแกะมือที่จับอยู่ที่ข้อมือผมออก และมันหลุดอย่างง่ายดาย “ไปเถอะ ดูแลเพื่อนด้วย อย่าให้มีผลกับเรื่องสอบล่ะ”
ผมยิ้ม แล้วหมุนตัวเดินไปจากจุดที่เราทั้งคู่ยืนอยู่...
ไม่ใช่อะไร มันขวางทางเดินชาวบ้านเขา
แต่หันหลังไปอีกที แมทธิวก็หายไปจากนั้นแล้วนี่สิ...
ทำไมผมชอบลืมอยู่เรื่อยเลยนะว่ายืนอยู่จุดไหน แล้วมีสิทธิ์อะไรบ้าง
.
.
.
“อ้าว พี่แมน”
บังเอิญ โลกกลม พรมเช็ดเท้า!? หายหน้าหายตาไปหลายวัน แต่มาเดินสวนกันหน้าร้านสะดวกซื้อ!?
แมทธิวที่เพิ่งเดินออกมาร้องทักผมที่กำลังจะเดินเข้าไป ผมมองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนจะเดินผ่านร่างสูงนั้นเข้าไปข้างในแบบไม่สนใจ
“พี่แมน มาซื้ออะไรเหรอ?” แมทธิวเดินตามกลับเข้ามาอีกครั้ง ก่อนจะฉวยเอาถุงขนมในอ้อมแขนผมไปถือ ผมหันขวับมองค้อน แล้วเดินนำอีกฝ่ายไปคิดเงินที่เคาท์เตอร์
คงไม่ต้องตอบหรอกเนอะว่าพี่แมนซื้ออะไร เพราะมันก็อยู่ในถุงที่แมทธิวถือนั่นแหละครับ
ผมจ้ำออกจากร้านโดนมีแมทธิวเดินขนาบข้าง ร่างสูงเดินตามผมสบายๆ ด้วยความที่ขายาว แถมยังชวนคุยสร้างบรรยากาศอันดีระหว่างกันด้วย
“ไม่เจอพี่แมนตั้งหลายวันแน่ะ สอบเสร็จหรือยังครับ?”
ไม่อยากจะบอก พี่สอบเสร็จก่อนแมทธิวเป็นชาติแล้ว แน่ะ เพิ่งสอบเสร็จวันนี้ล่ะสิ
อ๋อ ทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอ ก็เพราะมันเป็นเรื่องของแมทธิวไง
“อืม...”
“โห พอดีเลย ผมเพิ่งสอบเสร็จวันนี้เอง” ใบหน้าคมเปื้อนยิ้ม ผมเหลือบตามอง ก่อนจะรีบหันก่อนไปมองทางอื่น
กลัวหวั่นไหว แล้วจะทำในสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วไม่ลง
“ทำข้อสอบได้ไหม...”
“แน่นอน คนสอนดีนี่นา” พูดพลางหันมายักคิ้วให้ผม ผมยิ้มเฝื่อน ก่อนที่เราทั้งคู่จะเดินมาถึงประตูหน้าหอ แมทธิวผลักประตูให้ผมเดินเข้าไป
Rrr… Rrr… Rrr…
“ฮัลโหล”
นับตั้งแต่วันที่ทิ้งผมไว้กลางห้าง...
“ไปดิ มึงมารับกูด้วย”
ผมก็สงสัยนะ ว่าเขาหายไปไหน
“ไม่ เผื่อเมากูขี้เกียจขับรถกลับหอเอง”
ไม่ว่าเพราะว่ายุ่งๆ เลยไม่มีเวลามาใส่ใจ หรือเพราะผมไม่ได้สำคัญพอที่แมทธิวจะสนใจความรู้สึกกันก็ตาม...
“เออ เจอกันๆ”
แต่เรื่องของเรามาไกลเกินกว่าจะไปต่อได้แล้ว และถึงแม้ว่ามันจะเป็นความรู้สึกของผมข้างเดียว…
“แมทธิว ฉันเรียนจบแล้ว”
“หืม... โอ้ ดีใจด้วยนะครับ รับปริญญาเมื่อไร ติดต่อมา เดี๋ยวเตรียมหน้าม้าไปให้ เอาดอกไม้ช่อโตๆ เนอะพี่แมน ฮ่าๆๆ”
“แมทธิว...”
“ครับ?”
“ฉันจะย้ายออกพรุ่งนี้”...ผมก็ควรจะจบมันด้วยตัวเอง
สวัสดีค่า คิดถึงเห็ดกันล่ะสิ คิกคิก มาเป็นกำลังใจให้พี่แมนกันด้วยนะคะ ผู้ชายอะไรเซ้นซิทีฟเกิ๊นนน... เนื้อเรื่องอาจไปเป็นไปอย่างที่คาดหวัง แต่หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและคอมเมนท์ค่ะ ด้วยรัก จากเห็ดหอม