[เรื่องสั้น] บรรทัดสุดท้ายฯ (บรรทัดติ่ง) [จบ] หน้า 3 (14-02-2559)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] บรรทัดสุดท้ายฯ (บรรทัดติ่ง) [จบ] หน้า 3 (14-02-2559)  (อ่าน 27283 ครั้ง)

ออฟไลน์ OrangeryLemon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ น่ารักมาก

ตอนนี้ก็ได้แต่ลุ้นให้พี่นุ รุกเยอะๆ

เข้าใจเป็นอย่างมากว่าคนที่แอบชอบคน การจะก้าวผ่านความกลัว อารมณ์แอบชอบแบบละมุนๆ ไปบอกกล่าวอะไรนั้น...ยากมาก

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่นุได้เปิดไดอารี่เล่มนั้นไหมนะ
แล้วที่โทรมาดึกๆไลน์หารัวๆ จะจีบเจ้าของไดอารี่รึเปล่า อิอิ

ออฟไลน์ มูมู่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ไม่รู้ว่าคนเขียนหรือคุณหมอที่ทำให้ค้างมากกว่ากัน ฮ่าาา
ทำไมหมอนุส่งไลน์มาหาน้องบ่อยจังน๊าา

คนเขียนสู้ๆนะฮับ  :L2:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อ๊ะ หมอนุอยากสานสัมพันธ์ใช่ไหมนี่
เอ๋ยอย่าเฉยชาเกินไปละกันเดี๋ยวพี่เขาฝ่อหนีไปเสียก่อน

ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1


ฟฟฟฟฟฟฟฟิน

หมอนุ คิดอะไรเปล่าเนี่ย  ส่ง line รัวๆๆ เลย :hao3:

ไหนว่าจำน้องไม่ได้ อ่ะ

น้องนัท ก้อ ช่างเขิน จัง หลงรักมาตั้งนานนนนนน   จะ สารภาพไหมเนี่ย
:mew1:


 :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
เอ๋ยมีเพื่อนที่เป็นทั้งจอมวางแผนและนักสืบชั้นยอดอย่างนุ่นและมัสลินนี่ ทำให้ชีวิตเอ๋ยมีรสชาติดีนะ
เราว่าดีนะ  แต่เอ๋ยอาจไม่คิดเช่นนั้น555 

ตอนแรกก็แอบน้อยใจแทนเอ๋ย แต่มาคิดอีกทีจะว่าหมอนุไม่ได้เลย  ก็ช่วงมัธยมยังไม่เคยที่จะได้พูดคุยกันเลยเนอะ
ก็เลยจากกันโดยที่ไม่ได้รำ่ลา  คราวนี้หมอนุหาโอกาสทำความรู้จัก(จีบ)แล้ว
เอ๋ยก็ต้องให้โอกาสตัวเองด้วยนะอย่างที่เพื่อนบอกไว้นะ

หมอนุตอบคำถามของหมอหมี่ได้เยี่ยมมากๆค่ะ ในเมื่อคนเขียนเขียนบอกว่า คำที่มีแค่ผมเท่านั้นที่พูดมันออกมา
ก็ต้องไปถามกับคนเขียนให้พูดคำนั้นออกมา ถูกต้องแล้วค่ะ เรานึกภาพนั้นแล้วขออนุญาตเขินล่วงหน้านะคะ

คู่นี้ทำให้นึกว่านกฮูกกับลิงกำลังจีบกันอยู่ค่ะ
ก็หมอนุชอบส่งข้อความมากลางดึกไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนอย่างที่เอ๋ยว่าไว้เลย เป็นนกฮูกหรือไง555
ส่วนเอ๋ยก็ชอบส่งสติกเกอร์รูปลิงแทนการพิมพ์ข้อความ เดี๋ยวหมอนุก็คิดว่าทุกวันนี้คุยอยู่กับลิงหรอกเนอะ555
เราว่าคู่นี้น่ารักและแอบฮาด้วยนะ  ตกลงกำลังจีบกันเนอะ  ทำเอาคนอ่านอ่านไปเขินไปด้วยจริงๆ มีความสุขเห็นเขาจีบกัน :impress2:
ขอแอบสงสารพี่ที  พี่ทียังคงมาแต่ชื่อทุกตอนเหมือนเดิม555 :ling1:
ยังไม่จบแต่รักเรื่องนี้ไปแล้ว  อ่านแล้วมีความสุขชุ่มชื่นหัวใจมากๆค่ะ  ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2: :กอด1:


ออฟไลน์ mizzmizz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 477
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
พี่นุแอบอ่อยปะเนี่ยยยยยยย

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
บรรทัดที่ 5


ประตูเหล็กม้วนที่หน้าร้านขนมหวานถูกดึงปิดเสียงดังจนกลบเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ ทำให้ธานัทไม่ทันได้สังเกตว่ามีข้อความถูกส่งมา ไม่นานเจ้าของร้านคนสวยก็เดินเข้ามาในครัวมองน้องชายที่กำลังเปิดฝาซึ้ง จิ้มเผือกร้อน ๆ พักไว้ให้เย็นในชามอ่างใบใหญ่ แล้วจึงเรียงพักทองที่ฝานเป็นชิ้นลงไปแทนที่


“ดูสิน้องฉัน เพิ่งถึงบ้านแทนที่จะพักผ่อน ดันมานึ่งเผือกนึ่งฟักทองทำแป้งบัวลอย”


“จะได้ลดขั้นตอนไงครับ เผื่อพรุ่งนี้คนเยอะ พี่เอยกับเด็ก ๆ ที่มาช่วยงานที่ร้านจะได้เหนื่อยน้อยลง”


“อืม...จริงสินะ พรุ่งนี้มีงานที่โบสถ์ คนต้องเยอะแน่ ๆ เลย ถ้าอย่างนั้นพี่พายัยอิงขึ้นนอนก่อนแล้วจะลงมาช่วยนะเอ๋ย”


“พี่เอยขึ้นนอนเถอะครับ วันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ทางนี้เอ๋ยจัดการเอง เดี๋ยวก็เสร็จแล้วละ” น้องชายกล่าวพลางเหลือบมองโทรศํพท์ที่กำลังสั่นอยู่ยนโต๊ะ   


Nupan ส่งข้อความใหม่


“เอาอย่างนั้นก็ได้จ้ะ พี่เองก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่เหมือนกัน สงสัยต้องกินยากันไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ต้องแย่แน่เลย เอ๋ยก็อย่านอนดึกนักนะ”


ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะเริ่มใช้ทัพพีไม้บดเผือกจนละเอียด จากนั้นจึงผสมแป้งข้าวเหนียวและน้ำเปล่าลงไปแล้วนวดให้ส่วนผสมเข้ากัน ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจหยิบโทรศัพท์ที่ยังสั่นไม่ยอมหยุดขึ้นมาดูเลยสักนิด และเมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว ธานัทก็บิแป้งเพียงเล็กน้อยวางบนฝ่ามือคลึงเป็นเม็ดกลม ๆ ก่อนจะวางบนถาดสแตนเลสที่โรยผงแป้งเอาไว้ 


ในใจนึกถึงข้อความจากรุ่นพี่โรงเรียนเก่าที่เคยแอบชอบซึ่งมักถูกส่งมาในช่วงเวลาที่นกเค้าแมวออกหากิน เป็นเช่นนี้มาเกือบสองสัปดาห์แล้ว หรือจะเป็นจริงอย่างที่มัสลินคาดการณ์ไว้กันแน่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็สะบัดหัวรัว ๆ เพื่อไล่ความฟุ้งซ่าน ไม่สิ! มันต้องไม่เป็นแบบนั้นแน่ ๆ ต้องไม่คิดไปเองเหมือนเมื่อครั้งที่ได้รับกระดาษหาเสียงใบนั้นสิ


“แกคิดว่าที่เขาส่งข้อความมาทุกวันเพราะจะชวนแกเล่นคุกกี้รันหรือไง ประสาท” พยาบาลสาวสวยทำหน้ายู่พลางกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้


“แล้วจะให้คิดว่ายังไงได้อีก”


หญิงสาวยืดตัวขึ้นพลางใช้สองมือถูกันไปมาอย่างหมายมั่น “ฉันว่าเขาต้องจีบแกแน่ ๆ”


“บ้า คิดไปได้”


“เอ๊า! ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มาขอไอดีแกจากฉันหรอก”


“เขาก็แค่ถามว่าได้ของคืนหรือยัง เขาไม่ไว้ใจแก”


“เหรอออ...แล้วหลังจากนั้นล่ะจ๊ะ เรียกว่าอะไร” มัสลินลากเสียงล้อ “แกสิ ไม่ไว้ใจตัวเอง” พูดจบก็ยกมือเท้าคาง ใช้หลอดคนวิปครีมที่โปะมาบนกาแฟเย็นในแก้วทรงสูง ปากบางอมยิ้มน้อย ๆ มองชายหนุ่มที่นั่งปั้นหน้าไม่ถูกอยู่ฝั่งตรงข้าม


“ยิ้มอะไรกัน นี่ยังไม่ได้ต่อว่าเลย เรื่องที่ให้เขาไป”


“แหม ฉันก็แค่ให้ไอดี ไม่เหมือนคนแถวนี้หรอกที่ให้ใจเขาไปตั้งนานแล้ว”


“พูดมาก” ชายหนุ่มบ่นขมุบขมิบก่อนจะดูโก้โก้ปั่นในแก้ว


“เขาถามเรื่องแกด้วยนะ”


“ถามว่าอะไร” หรี่ตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่ไว้ใจ


“ก็...เรื่องทั่ว ๆ ไปน่ะ ทำงานอะไร บ้านอยู่ไหน แล้วก็ถามว่าสมัยเรียนเราสองคนเคยคุยกับเขาไหม แต่แปลก...ไม่ยักถามชื่อแก”


“แกบอกอะไรเขาไปบ้าง”

 
“ก็เท่าที่เขาอยากรู้นั่นแหละ” หญิงสาวส่งยิ้มหวาน “ฉันว่าเขาต้องชอบแกแน่ ๆ”


“มันเป็นไปไม่ได้ แกก็รู้”


“แกพูดคำนี้มาสิบกว่าปีแล้วนะเอ๋ย ตอนแรกมันก็เป็นไปไม่ได้เพราะแกเป็นเด็กผู้ชายม.ต้น ส่วนพี่นุเป็นพี่ม.ปลาย จากนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้อีกเพราะแกไม่รู้ว่าพี่นุอยู่ที่ไหน แต่ตอนนี้แกได้เจอเขาแล้วนะเอ๋ย แกก็เห็นแล้วนี่ว่าเขามีท่าทีกับแกยังไง ฉันว่าคนที่จะทำให้มันเป็นไปไม่ได้ก็คือแกนั่นแหละ พ่อนักเขียนเจ้าของวลีเด็ด ‘เสน่ห์ของการแอบชอบคือการที่คนที่เราชอบไม่มีวันได้รู้’ เชอะ!”


“จะว่าอะไรก็ว่ามาเถอะ”


ธานัทถอนใจเฮือก วางแป้งบัวลอยเม็ดสุดท้ายซึ่งมีส่วนผสมของเผือกลงในถาด หันไปปิดเตาเปิดฝาซึ้ง ใช้ส้อมจิ้มฟักทองนึ่งออกมาพัก จัดการล้างไม้ลางมือก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ


“ทำอะไรอยู่”


“วันเสาร์นี้มีงานคืนสู่เหย้าที่โรงเรียน เราไปด้วยหรือเปล่า”


‘จริงด้วยสิ เกือบลืมไปเลย’ ชายหนุ่มมุ่นคิ้วก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไป


“ไม่ครับ”


“น่าเสียดายนะ”


“ปีหน้าก็มีครับ เขาจัดทุกปี”


“ก็เผื่อปีนี้มีคนอยากเจอ”


...และนั่นคือข้อความสุดท้ายที่อีกฝ่ายส่งกลับมาในคืนนี้


...


วันนี้ที่หน้าร้านขนมหวานแม่เอยมีโต๊ะเล็ก ๆ ไว้บริการลูกค้าได้นั่งรับประทานขนมบัวลอยที่เพิ่งจะนำกลับมาทำเป็นปีแรกหลังจากผู้เป็นแม่ซึ่งเจ้าของสูตรเสียชีวิตลง ธานัทนำแป้งบัวลอยสามสีซึ่งได้จากเผือก ฟังทอง และใบเตย ใส่ลงกระทะทองเหลืองต้มให้สุกแล้วจึงยกขึ้นพักในอ่างน้ำเย็นก่อนจะตักใส่กะทิ โดยมีเด็กในร้านช่วยยกไปเสิร์ฟให้ลูกค้า กลิ่นหอมของใบเตย รสหวานละมุนลิ้น รวมถึงไออุ่นจากข้างถ้วย พอจะคลายความหนาวเย็นจากสายลมแห่งเหมันตฤดูได้บ้าง ดังนั้นเมื่อรับประทานเสร็จลูกค้าบางคนจึงสั่งใส่ถุงกลับไปฝากคนที่บ้านด้วย


“เป็นไงบ้างเอ๋ย เหนื่อยไหม” อารดาที่อุ้มลูกสาวตัวน้อยซึ่งกำลังซบหน้าลงกับไหล่ของเธอเอ่ยขึ้นเมื่อมาถึง


“ไม่ครับ สนุกดี ไม่ได้รู้สึกสนุกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว” พูดพลางมองหลานสาวอย่างแปลกใจ “แล้วยัยอิงเป็นยังไงบ้างครับ”


“จะเป็นยังไงล่ะ ก็โดนถอนฟันไปตามระเบียบ บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่ากินลูกอมแล้วต้องแปรงฟัน” พี่สาวส่ายหัว “กว่าจะปลอบให้ยอมถอนได้ เล่นซะคุณหมอเหนื่อย”


“น้องอิง” ชายหนุ่มเรียกพร้อมกับวางมือลงบนหลังเล็กแล้วลูบเบา ๆ “เจ็บเหรอคะ”


เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นขึ้นสะอื้นฮัก “จ...เจ็บ...ค่ะ...น้าเอ๋ย...ฮือ...”


“ถ้าอย่างนั้นต่อไปทานขนมแล้วต้องแปรงฟันนะคะ”


“ฮือ...ค...ค่ะ...น...น้าเอ๋ย...ฮือ” ว่าแล้วก็ซบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำหูน้ำตาเกรอะกรังลงกับอกอุ่นของผู้เป็นแม่


“แล้วนี่ต้องไปหาหมออีกไหมครับ”


“มีนัดถอนอีกซี่จ้ะ คุณหมอใจดีให้เวลาทำใจถึงเดือนหน้าโน่น”


“พี่เอยพายัยอิงไปคลินิกไหนมาเหรอครับ”


“ก็ตรงหัวมุมถนนไง ที่เคยเป็นร้านสังฆภัณฑ์ ก่อนหน้านี้เอ๋ยยังถามพี่ว่าเขาปรับปรุงเป็นร้านอะไร”


“ครับ” น้องชายรับคำสั้น ๆ ก่อนจะตักแป้งบัวลอยขึ้นจากกระทะ มองพี่สาวที่กำลังอุ้มหลานสาวเข้าไปในบ้าน เพียงไม่นานเธอก็กลับออกมาพร้อมกับสวมผ้ากันเปื้อนมาด้วย


“ไหนว่าจะไปที่โบสถ์ไง ตรงนี้ปล่อยให้เด็ก ๆ ทำก็ได้” พูดพลางคว้ากระชอนตักแป้งบัวลอยสีสวยขึ้นจากชามใส่น้ำสะอาดแล้วใส่ลงในถ้วยน้ำกะทิ


“อีกสักพักก็ได้ครับ ลูกค้ายังเยอะอยู่”


เมื่อลูกค้าได้รับขนมบัวลอยที่สั่งจนครบแล้ว พ่อค้าหน้าหล่อจึงเป็นโอกาสได้หยุดพักหายใจหายคอบ้าง รออยู่พักใหญ่เห็นว่าในร้านไม่ได้ชุลมุนวุ่นวายเหมือนตอนที่เพิ่งเปิด ธานัทจึงปลดสายผ้ากันเปื้อนวางไว้บนเก้าอี้ก่อนจะเดินปะปนไปกับผู้คนที่ตอนนี้ต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นคือไปให้ถึงโบสถ์ทันเวลาที่จะมีกิจกรรมวันคริสมาสต์


ชายหนุ่มเดินไปตามถนนที่ขนาบข้างด้วยบ้านเรื่อนร้านค้า ต่างประดับไฟสวยงามเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาลสำคัญ ธานัทหยุดยืนที่สะพาน ทอดตามองสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า จากศาสนสถานที่เคยเงียบสงบกลับมีสีสันขึ้นด้วยแสงไฟจากต้นคริสมาสต์ต้นยักษ์ ได้ยินเสียงผู้คนปรบมือเมื่อการแสดงที่ได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชนเริ่มต้นขึ้น ขายาวก้าวได้เพียงสั้น ๆ เพราะจำนวนผู้คนมหาศาลที่เบียดเสียดกัน พยายามจะเข้าใกล้บริเวณลานการแสดงให้ได้มากที่สุดแต่ก็กลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเหลือเกิน


“นัท!”


เสียงห้าวดังแหวกอากาศหากแต่ไม่อาจรั้งให้เขาหยุดเดินได้ คงจะเป็นคนชื่อเหมือนกันกระมัง และอีกอย่างชื่อนี้มันก็ไม่ใช่ชื่อของเขาอยู่ดี


“นัท!!!”


“ธานัท วนิชทัศน์!”


เต็มยศแบบนี้คงไม่ผิดแล้วละ เจ้าของชื่อหยุดกึกเหลียวมองมืออวบที่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของตนเอง ลากตาไปตามลำแขนป้อม ๆ กระทั่งหยุดที่หน้าสวยตามประสาคนเจ้าเนื้อ


“นุ่น!”


“ก็ใช่น่ะสิ เรียกตั้งนานไม่ยอมหยุด”


“ขอโทษที นึกว่าเรียกคนอื่น”


“ย่ะ ลืมไปว่าแกไม่ได้ชื่อนี้ แต่ทำยังไงได้ เรียกจนติดแล้วนี่นา” หญิงสาวปล่อยมือก่อนจะยืนบิดไปบิดมาด้วยความขวยเขิน นาน ๆ จะเจอเพื่อนร่วมห้องที่เคยประกาศตัวว่าจองเอาไว้แล้วสักที


“เป็นอะไร” คนถูกมองก็เขินไม่ต่างกัน


“ดีใจที่ได้เจอน่ะสิ” สาวอวบกล่าวพลางหันไปตีแขนกำยำของชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “นังมัสพูดถึงอยู่บ่อย ๆ ไม่คิดว่าจะหล่อขึ้นขนาดนี้ ฉันเลือกไม่ถูกเลยอ่ะแก” ขึ้นเสียงสูงเสียจนคนมาด้วยกันหลุดหัวเราะออกมา


ธานัทหรี่ตาลง พยายามมองใบหน้าที่ฉาบด้วยแสงไฟหลากสี นึกคุ้นหน้าเขาอย่างบอกไม่ถูกเหมือนเคยพบกันที่ไหนสักแห่ง กระทั่งเมื่อไฟสีนวลสาดไปทั่วบริเวณจึงได้รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็คืออดีตผู้ลงสมัครประธานนักเรียนที่ใคร ๆ ก็ยกให้เขาเป็นตัวเต็งนั่นเอง


“ดูสิ แฟนยืนอยู่ตรงนี้ ยังจะชมหนุ่มอื่นต่อหน้าอีก”


“แหม...พี่เต้ก็ คนนี้น่ะรักแรกของนุ่นนะคะ” นุ่นเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงปรี๊ดพร้อมกับเกาะแขนของเขาแน่น


“พ...พี่เต้ กับ ก...แก” ธานัททำหน้าเหรอหราพลางเกาหัวแกรก “ไม่เคยรู้เลย”


“ไอ้นัทแกกลับบ้านปีละกี่ครั้ง นับ!”


“นุ่น อย่าเสียงดังสิคะ” พี่เต้กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


“อุ้ย...ลืมตัวค่ะ” เธอละสายตาจากหน้าหล่อหันมาค้อนขวับแล้วกล่าวต่อ “แกเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้การ์ดแต่งงานของฉัน จะฝากนังมัสไปให้มันก็ไม่กลับบ้านสักที เสียดายจังที่วันนี้ไม่ได้ถือการ์ดติดมือมาด้วย”


“น...นี่จะแต่งงานแล้วด้วยเหรอ” พูดแล้วก็เบนสายตาไปยังคนอายุมากกว่า “ที่พี่เต้บอกว่าจะแต่งงานกับหัวหน้าหน่วยข่าวกรองก็หมายถึงนุ่นหรอกเหรอครับ”


“ใช่” พี่เต้ยิ้มละมันพลางยกแขนขึ้นโอบเอวอวบเอาไว้


“อึ้ง...อึ้ง... อึ้งไปเลยสิแก เสียดายใช่ไหมล่ะที่ฉันไม่เลือกแก” สาวสวยแสร้งทำยิ้มเยอะ


“เสียดายมาก” ธานัทตอบเสียงเรียบ


“ไอ้นัท แกอย่ามาทำสายตาแบบนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าแกไม่ได้เสียดายฉัน แต่เสียดายแทนพี่เต้”


“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย” นักเขียนหนุ่มหัวเราะ


“เห็นมัสบอกว่าแกมีงานเปิดตัวหนังสือวันเสาร์นี้เหรอ”


“ใช่ แกมาด้วยนะ มัสก็มา จัดที่แกลเลอรีของพี่เชษฐ์น่ะ”


“ฉันไปอยู่แล้วละแก แล้วนี่บอกเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ แล้วหรือยัง”


“เปล่าน่ะ เราเห็นว่ามันตรงกับงานคืนสู่เหย้า ไม่อยากให้ทุกคนต้องลำบาก จริง ๆ มันก็ไม่ได้สำคัญอะไร เหมือนมานั่งคุยกันมากกว่า”


“ทำตัวขี้เหงาอีกแล้วนะนัท งานนี้สำคัญออก ทำไมจะไม่สำคัญ นานทีปีหนเพื่อนจะออกหนังสือสักเล่ม ถือว่ารวมรุ่นห้องเราไปในตัว ไอ้พวกนั้นไม่พลาดแน่”


“อื้อ ถ้าอย่างนั้นฝากแกชวนเพื่อน ๆ ด้วยก็แล้วกันนะ”


“ได้จ้ะ นุ่นทำทุกอย่างเพื่อนัทได้อยู่แล้ว”


เสียงกระแอมเบา ๆ ของคนข้าง ๆ ทำเอาปากอิ่มที่กำลังส่งยิ้มหวานต้องเบ้แบะ “ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะแก พอดีแฟนขี้หึง คุยกับหนุ่มอื่นนานไม่ได้” นุ่นทำขยิบตา แต่ก่อนที่จะเดินจากไปเธอก็กระซิบเบา ๆ พอให้ได้ยินกันสองคน “วันนี้พี่นุของแกก็มานะ เมื่อกี้ยังคุยกับพี่เต้อยู่เลย”

 
สาวสวยร่างอวบอั๋นควงแทนหนุ่มหล่อดาวโรงเรียนจากไปแล้ว หากแต่ธานัทยังคงยืนนิ่งแหมือนถูกสาป เสียงแจ๋วจากวงนักร้องประสานเสียงระดับประถมที่ดังแว่วมาชวนให้บรรดาผู้ใหญ่ต่างรีบกรูกันเข้าไปยืนดูใกล้ ๆ ขาที่กำลังจะก้าวหนีจึงจำต้องเดินตามคนส่วนใหญ่ไปด้วย


“อ้าวเอ๋ย พี่กำลังจะโทรหาอยู่พอดีเลย” หนุ่มผมยาวที่เดินสวนออกมาเอ่ยขึ้นเมื่อพบหน้ากัน


“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่เชษฐ์”


“พี่จะบอกว่าพี่เก็บกวาดแกลเลอรีเตรียมไว้ให้แล้ว นี่เมื่อวันก่อนคนจากสำนักพิมพ์ก็ติดต่อมาว่าจะขอเข้ามาจัดสถานที่ คงในช่วงสอง-สามวันนี้แหละ จะทำอะไรก็ตามสบายเลยนะ ช่วงนี้พี่ก็เทียวไปเทียวมาที่โบสถ์กับแกลเลอรีนั่นแหละ ไม่ได้ไปไหนไกลหรอก”


“ขอบคุณนะครับพี่เชษฐ์ ผมคงจะเข้าไปพร้อมคนจากสำนักพิมพ์เลยละครับ เพราะช่วงนี้ที่ร้านลูกค้าเยอะ”


“ได้ข่าวว่าปีนี้บัวลอยกลับมาขายแล้วนี่นา วันก่อนเจอพี่เอยในตลาด เดี๋ยวต้องตามไปอุดหนุนเสียหน่อยแล้ว


“ด้วยความยินดีเลยครับพี่”


“แล้วนี่เพิ่งมาถึงเหรอ”


“ใช่ครับ”


“เอ้อ...จะเข้าไปวันไหนก็โทรหาพี่นะ เดี๋ยวพี่เดินไปดูไอ้ทีทางโน้นหน่อย เห็นว่าพานักเรียนมาร่วมงานด้วย”



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2016 21:46:06 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)


ธานัทมองตามปลายนิ้วที่ชี้ไปยังซุ้มอำนวยการที่มีหนุ่มสาวกลุ่มกลุ่มหนึ่งในชุดซานต้าและซานตี้กำลังยืนห้อมล้อมชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดวอร์มตามแบบฉบับอาจารย์สอนวิชาพลศึกษา แต่ที่สะดุดตากว่าเห็นจะเป็นอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน และที่สำคัญเขาก็กำลังมองมาทางนี้


สิ้นเสียงประกาศที่ดังมาจากเครื่องขยายเสียง ไฟทุกดวงก็ค่อย ๆ หรี่ลง กระทั่งทั่วบริเวณถูกปกคลุมด้วยความมืด ไม่นานไฟแอลอีดีหลากสีสันก็ฉายสาดไปยังฉากรับซึ่งก็คือศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ มีเสียงประกอบเล่าเป็นเรื่องราวของพระนางมารีอาและการประสูติของพระเยซู ธานัทตัดสินใจละสายตาจากความสวยงามตรงหน้า อาศัยแสงจากบ้านเรือนอีกฟากนำทางไปจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำ พลันเสียงเพลง We Wish you a Merry Christmas ดังขึ้น เมื่อเหลียวกลับไปมองยังจุดที่จากมา ก็พบว่าความสวยงามกำลังสะกดทุกสายตาให้จับจ้องไปยังสถาปัตยกรรมที่ถูกฉาบฉายด้วยเสียงไฟซึ่งกำลังเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต แต่นั่นไม่ได้ผลกับใครคนหนึ่งที่กำลังก้าวขึ้นสะพานมา   


“พ...พี่นุ สวัสดีครับ”


“สวัสดีครับ จะมาไม่เห็นบอกกันบ้างเลย”


“ค...คือ...”


เมื่อเห็นอาการอ้ำอึ้งของอีกฝ่าย นุพันธ์จึงเปลี่ยนเรื่อง “มาทุกปีเลยเหรอ”


“ค...ครับ” คนตอบลอบถอนใจ ปีนี้คงเป็นปีแรกกระมัง ที่บันทึกแห่งความทรงจำของเขาจะไม่ต้องเขียนว่าเป็นคริสมาสต์อีกปีที่มาที่นี่แต่กลับไม่ได้เจอคนที่อยากจะเจอ


“ดีจังเลยนะ พี่เองน่ะตั้งแต่ย้ายจากโรงเรียนก็เพิ่งได้มานี่แหละ กลับจันท์ทีไรก็อยู่แต่บ้าน ไม่เคยได้เข้ามาในเมืองเลย”


ธานัทเบนสายตาจากเงาสะท้อนของโบสถ์บนผืนน้ำสบตาคนพูด ที่แท้ก็เพราะบ้านไม่ได้อยู่ในเมืองนี่เอง ถึงได้ไม่เคยเจอกันเลย ไม่มีแม้แต่จะบังเอิญเจอกันสักครั้ง


“ค...ครับ”


ทันตแพทย์หนุ่มสืบเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะหยุด เพิ่งสังเกตว่าตนเองสูงกว่าอีกฝ่ายอยู่นิดหน่อย “มัสบอกว่าเราน่ะเป็นนักเขียนใช่ไหม” พูดจบก็เบนหน้าออกสู่แม่น้ำในขณะที่มือแกร่งเกาะราวสะพานก่อนจะกล่าวต่อ “พี่เพิ่งรู้จากเชษฐ์ว่าเราจะมีงานเปิดตัวหนังสือ ไม่เห็นบอกกันบ้างเลย”


“ค...คือ ม...มันเป็นงานเล็ก ๆ ไม่ได้สำคัญอะไร ผมก็เลยบอกแต่เพื่อน ๆ ในสายงานแล้วก็คนที่สนิทครับ”


“จริงสินะ ลืมไปเลย”


“อะไรเหรอครับ”


“ก็ลืมว่าไม่ได้รู้จักกันไง” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวเสียงเรียบ


“ม...ไม่ใช่อย่างนั้น” ริมฝีปากได้รูปกล่าวอย่างแผ่วเบา ดวงตาคมยังจ้องเสี้ยวหน้าคนพูดนิ่งหากแต่จมูกกลับแอบพ่นลมหายใจร้อน ไม่เข้าใจว่าแค่ถ้อยคำธรรมดา ๆ จากคนที่ไม่เคยรู้จักกันจึงได้ฟังแล้วให้รู้สึกเชือดเฉือนนัก


“แบบนี้ใช่ไหม ถึงไม่ไปงานคืนสู่เหย้า”


“ค...ครับ คิดว่าคงยุ่ง ๆ เรื่องเตรียมงาน อีกอย่างมันบังเอิญเป็นวันเดียวกัน”


“พี่ขอไปด้วยคน...จะได้หรือเปล่า” นุพันธ์หันมาถาม


“ค...ครับ?”


“งานเปิดตัวหนังสือน่ะ พี่ขอไปได้ไหม จะได้เอาหนังสือให้เซ็น”


คงป่วยการที่จะหาเหตุผลมาทำให้เขาเลิกล้มความคิด ธานัทจึงตอบตามมารยาท “ถ้าพี่นุสะดวกก็เชิญที่งานครับ”


“ฟังดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร แต่พี่จะถือว่ามันเป็นคำเชิญที่ยากจะปฏิเสธได้ก็แล้วกัน” คนพูดยังยิ้มได้หน้าตาเฉย 


“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”


“จะกลับบ้านใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นพี่เดินไปส่ง”


“ม...ไม่เป็นไรครับ ผมเดินกลับคนเดียวได้”


“คิดอยู่แล้วเชียวว่าต้องตอบแบบนี้” โคลงหัวยิ้ม ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นคงพูดใหม่ อืม...อะไรดีนะ” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นถือปลายคางอย่างใช้ความคิด


“เอาเป็นว่า อยากคุยด้วยน่ะ ขอเดินไปส่งนะ”


“ต...แต่ว่า...”


“พี่อยากเป็นฝ่ายรู้จักเราบ้างไม่ได้เหรอ อยากถามด้วยว่าตกลงบรรทัดสุดท้ายเขียนว่าอะไรกันแน่”


ธานัทกลืนน้ำลายเอื๊อก พลันรอยยิ้มปริศนาของมัสลินในวันนั้นก็ลอยขึ้นมาทันที ถ้าเดาไม่ผิด ที่เธอพูดว่าเธอบอก... ‘เท่าที่เขาอยากรู้’ นั่นคงแค่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็คงจะแถมเรื่องที่เขาไม่ควรจะรู้ไปด้วย ป่านนี้เจ้าของร่างสูงโปร่งตรงหน้าคงจะรู้แล้วกระมังว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ในหนังสือเล่มนั้นเขียนถึงใคร คิดแล้วอยากจะกระโดดลงน้ำแล้วว่ายออกอ่าวไทยเสียไปเดี๋ยวนี้กระนั้นก็ยังฝืนยิ้มขื่น ๆ ตอบกลับด้วยด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ


“ความน่าสนใจของหนังสือบางเล่มก็อยู่ตรงที่การไม่ได้เฉลยทุกปมนะครับ”


ฟังแล้วทันตแพทย์หนุ่มก็กดยิ้มมุมปาก “เสน่ห์ของการแอบชอบก็คือการที่คนที่เราชอบไม่มีวันได้รู้ด้วยใช่ไหม หน้าหนึ่งร้อยห้าสิบสอง พี่ว่านั่นน่ะมันคำปลอบใจตัวเองของคนขี้ขลาดชัด ๆ”


‘นี่จำเพื่อมาตอกย้ำกันเลยใช่ไหม’ คนอายุน้อยกว่ากำมือแน่น “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ ผมไม่สามารถตามไปบอกให้คนอ่านคิดเหมือนกันกับผมได้ อยู่ที่พวกเขาจะตีความ”


“แต่พี่กลับชอบเสน่ห์ของการได้บอกความรู้สึกของตัวเองออกไปมากกว่า เพราะถ้าเป็นพี่ พี่คงเลือกที่จะบอกให้เขารู้”


ธานัทเบนสายตาหนีดวงตาคมที่กำลังจ้องมา พยายามข่มความรู้สึกไม่ยอมให้ความอัดอั้นตันใจที่เก็บมาแสนนานมีอำนาจบังคับให้เขาต้องพูดมันออกมา ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวพร้อมกับคลายมือที่กำแน่นออกแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติที่สุด


“ถ้ารู้แล้ว ก็เลิกล้อผมเล่นเถอะครับ ไม่รู้จักกันเลยคงดีที่สุด” ท้ายประโยคนั้นบางเบาหากแต่หนักอึ้งอยู่ในความรู้สึก


“ทำไมถึงคิดว่าพี่กำลังล้อเล่น หรือว่าต้องให้พูดตรง ๆ มีคนเขากำลังจีบอยู่ไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือไง”


“ผมไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสงสารจากใคร เลิกล้อเล่นกับความรู้สึกผมสักทีเถอะครับ” คนพูดโคลงหัวหนัก ถ้อยคำเหล่านั้นคล้ายจะพูดเตือนตัวเองเสียมากกว่า “มันเป็นไปไม่ได้ ยังไงก็เป็นไปไม่ได้”


“ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ จะให้ทำยังไงถึงจะเชื่อกัน อุตส่าห์ชวนกินข้าวก็ถูกปฏิเสธ ส่งข้อความไปคุยด้วย เขาก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง สงสัยจริงว่าพี่กำลังโดนมัสลินหลอกอยู่หรือเปล่าเรื่องที่เราแอบชอบพี่มาตั้งแต่สมัยเรียน เอ...หรือว่าตอนนี้จะเปลี่ยนใจแล้ว”


พูดจบเจ้าของร่างสูงก็สาวเท้ามาหยุดในระยะประชิด มันใกล้เสียจนธานัทได้กลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้อย่างชัดเจน ใกล้เสียจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังบีบตัวเป็นจังหวะถี่รัว 


“หืม? ว่ายังไง เปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม พี่จะได้ยอมแพ้”


นุพันธ์ทอดตามองชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้างุดอย่างเอ็นดู คิดเอาไว้แล้วว่าคงไม่ได้คำตอบจากคนที่แม้แต่เพื่อนสาวคนสนิทยังฟันธงว่าปากแข็งยิ่งกว่าหินเสียอีกเป็นแน่


“ไม่ยอมตอบอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นพี่ถามใหม่ พี่ให้เลือกก่อนว่าจะตอบหรือไม่ตอบ เพราะถ้าตอบแล้วต้องตอบตามความจริง ห้ามโกหก แต่ถ้าไม่ตอบพี่ก็คง...เสียใจมาก”


ประโยคนั้นทำให้ธานัทจำต้องเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด “พูดขนาดนี้ผมยังมีสิทธิ์เลือกไม่ตอบได้อีกเหรอครับ” 


“ตกลงว่าจะตอบเพราะกลัวพี่เสียใจ” นุพันธ์เลิกคิ้ว น้ำเสียงล้อ ๆ ของเขาเรียกสายตาขุ่น ๆ จากอีกฝ่ายได้ไม่น้อย


“ถ้าไม่ถามผมจะกลับบ้านแล้วนะครับ” ว่าแล้วธานัทก็หมุนตัวกลับ เตรียมจะก้าวขาแต่ก็ถูกเจ้าของร่างสูงตามมาขวางไว้


“ตอนที่เลือกตั้งประธานนักเรียน เราเลือกใคร”


คนถูกถามถอนใจเบา ๆ คลายคมฟันออกจากริมฝีปากสีเรื่อ “ผ...ผม...”


“ห้ามโกหกนะ” ปากหยักยังคงย้ำ


“ผมเลือก...พี่นุ”


“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เลือกพี่นุอีกสักครั้งได้ไหมครับ”


“ผมให้พี่ถามได้แค่คำถามเดียว” พูดแล้วรีบก้มหน้างุดหวังจะซ่อนพวงแก้มขึ้นสีก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง 


“เดี๋ยวก่อนสิ ลิงน้อย”



ธานัทชักเท้ากลับจ้องมือใหญ่ที่กำลังเหนี่ยวรั้งข้อมือของตนเองเอาไว้ มองไล่ขึ้นไปตามลำแขนแกร่งก็พบรอยยิ้มละไมที่เคยคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว ดวงตาสองคู่ยังคงประสานกันนิ่ง กระทั่งถ้อยคำง่าย ๆ หลุดอออกจากปากของทันตแพทย์หนุ่ม


“อยากจะเรียกชื่อบ้างแต่เราไม่เคยบอกว่าชื่ออะไร เห็นบางคนก็เรียกนัทบ้าง บางคนเรียกเอ๋ยบ้าง พี่ไม่รู้จะเรียกชื่อไหน”


จบประโยคซื่อ ๆ ไฟรอบ ๆ บริเวณก็ถูกหรี่ลงอีกหนกระทั่งมืดสนิทจนต่างคนต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงเงาตะคุ่มหากแต่ความรู้สึกอุ่นที่ข้อมือยังเป็นสิ่งยืนยันให้ธานัทรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หนีหายไปไหน เขายังคงยืนอยู่ด้วยกันตรงนี้


“ถ้าเป็นเพื่อนสมัยประถมหรือมัธยมส่วนใหญ่จะเรียกนัทครับ เขาบอกว่าชื่อเอ๋ยเรียกยาก เลยเอาชื่อจริงมาตัดคำออก แต่ถ้าสนิทกันจริง ๆ ก็จะเรียกเอ๋ยครับ จะเรียกชื่อไหนก็ได้แล้วแต่พี่นุถนัดเลยครับ” เจ้าของชื่ออธิบาย เกือบลืมไปเลยว่ายังไม่เคยแนะนำตัวเองให้เขาได้รู้จัก


“แล้วตัวเราล่ะ อยากให้พี่เรียกชื่อไหน”



ช่างเป็นคำถามที่ให้ความรู้สึกเหมือนโดนยิงด้วยกระสุนที่มองไม่เห็น พลังมหาศาลของมันทำเอาทั้งร่างกระเด็นขึ้นไปลอยคว้างอยู่กลางอากาศซึ่งเต็มไปด้วยละอองสีขาวของกลีบดอกอ้อ แสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องว่างระหว่างปุยเมฆมาแกล้งแตะผิวแก้มหรือไรทั้งหน้าจึงได้ร้อนวูบเช่นนี้  ร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือหัวใจเจ้ากรรม ทั้งที่ไม่มีหูสักหน่อย แต่ทำไมถึงได้เต้นแรงราวกับได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด


“ร...เรียกเอ๋ยก็ได้ครับ” คำตอบนั้นหลุดออกจากริมฝีปากโดยที่สมองยังไม่ทันประมวลผลเลยด้วยซ้ำ แต่ธานัทก็แน่ใจว่ามันได้ถูกกลั่นกรองมาแล้ว ชายหนุ่มหรี่ตาลงมองเจ้าของมืออุ่น อยากรู้เหลือเกินว่าตอนนี้เขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่กันแน่


“พี่จะถือว่ามันเป็นคำตอบของคำถามก่อนหน้านี้ที่เอ๋ยเลี่ยงไม่ตอบ”


สิ้นเสียงทันตแพทย์หนุ่ม พลุนับร้อยนัดก็ถูกจุดขึ้นเหนือท้องฟ้า แสงแปลบปลาบจากลูกไฟที่เคลื่อนที่แหวกอากาศขึ้นไปแตกกระจายออกเป็นแฉกอยู่กลางอากาศทำให้เห็นว่าดวงตาทั้งสองคู่ยังคงไม่ละจากกันไปไหน และที่สำคัญสิ่งที่ธานัทสงสัยก็ได้รับการเฉลยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีก


...


ขอบคุณสำหรับการติดตามนะ ขอบคุณสำหรับทุก ๆ คอมเมนต์ค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2016 21:54:35 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
เสียงพลุมันคงดังแข่งเสียงใจของเอ๋ยแน่ๆ
พี่นุจีบมาเต็ม ต้องของคุณกามเทพสุดสวยอย่างมัสลิน

ออฟไลน์ WannaSay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวจัง

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ มูมู่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
พี่นุขาาาาา ทำการบ้านมาดีมาก
ไล่ต้อนน้องจนได้อ่ะ เอาสิ
คลีนิกที่น้องอิงทำฟันก็ของหมอป่าวนะ

น้องเอ๋ยก็น่ารักเชียว เขินจนไปไม่เป็น
ไหนๆก็ไหนๆ งานเปิดตัวหนังสือก็เปิดตัวแฟนด้วยเลยแล้วกันเนอะ  :mc4:

ออฟไลน์ mizzmizz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 477
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
ลุ้นมากกกกกกก
อิจฉาเอ๋ยอ่ะ  :katai5:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
โอ้ยยยย เอ๋ย ทำไมขี้อายงี้เนี่ยย เสียงหัวใจดังกลบเสียงพลุแล้วมั้ง

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้มาให้อ่านนะคะ
เราชอบมาก  โรแมนติกที่สุด 
ที่สำคัญเราชอบเรื่องนี้มาก  รองลงมาจากถ้าเธอคือท้องฟ้า
โรแมนติก  อบอุ่นที่สุด 

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
กรี๊ดดดด หมอนุจีบเจ้าลิงน้อยจริงๆด้วย

เอ๋ยปากแข็ง ดื้อเป็นลิงน้อยจริงๆ อ่านไปลุ้นไปว่าหมอนุจะจัดการกับคนที่ชอบเสน่ห์ของการแอบชอบยังไง
แต่ก็เข้าใจเอ๋ยนะคะ  คงเข็ดตั้งแต่กระดาษหาเสียงแล้ว  ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นอีกแล้ว

เราก็ชอบเสน่ห์ของการได้บอกความรู้สึกค่ะ  อ่านไปเขินไปด้วย  น่ารักที่สุดเลยคู่นี้
หมอนุผู้ชายอบอุ่น ใจดี  ยิ้มละไม  จริงใจ เข้ามาบอกความรู้สึกกันตรงๆแบบนี้ 
เอ๋ยที่มีใจให้อยู่แล้วจะไม่ให้เขินใจเต้นได้ไงเนอะ

เมื่อเอ๋ยเลือกพี่นุให้เข้ามาใกล้ชิดสนิทรู้ใจกันแล้ว หวังไว้ว่าเอ๋ยจะหลงเสน่ห์ของการได้บอกความรู้สึกเหมือนพี่นุนะคะ อิอิ

เราฮาการสนทนาของเอ๋ยกับเพื่อนสาวทั้งสองคนมาก  ชอบจริงๆความคิดและคำพูดแต่ละอย่างของมัสและนุ่น555
ส่วนพี่ที พี่มีบทพูดหรือยัง  พี่เต้ยังมีบทพูดเลยเนอะ  สงสารพี่ทีจริงๆ :ling1:
ฉากจบของตอนล่าสุดนี้  โรแมนติกและสวยงามมากๆค่ะ  :o8:
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
อ่อยยยยยย พี่นุทำเอ๋ยเขินนน หนูก็เขินนนนน  :o8: :o8:
ผชอะไรจีบได้น่าหยิกจริงๆ  :ling1:

บรรยากาศโรแมนติกเลยยย ขอเป็นแฟนตอนนี้เอ๋ยจะเผลอตกลงไหมเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ใจคอเอ๋ยจะฝักใฝ่เป็นแค่คนแอบรักหรือไงกันนะ นี่ดีที่หมอนุรุกหนักมาก ตามติดประชิดไม่ถอยง่าย ๆ

ออฟไลน์ wonderbe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ ชอบมากกกกกกกกกก ชอบการบรรยาย
เราเป็นเด็กจันท์นะ อิอิ มโนภาพตามที่บรรยายได้หมดเลยยย
อยู่แถวริมน้ำด้วย เวลาเดินไปหาของกินชอบนึกถึงเรื่องนี้ 555555555  :laugh:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
บรรทัดสุดท้าย


เสียงพลุที่เป็นเหมือนสัญญาณแห่งการเฉลิมฉลองยังคงดังกึกก้อง แต่ก็ไม่อาจสู้เสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ภายใต้อกเสื้อในขณะนี้ได้ ธานัทเปิดประตูเข้ามาในห้องทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ทอดตามองข้อมือที่ยังรู้สึกอุ่นไม่หายแม้อีกมือจะปล่อยกันไปนานแล้วก็ตาม ชายหนุ่มเอื้อมหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าเปิดไปยังหน้าท้าย ๆ ซึ่งบันทึกเรื่องราววันคริสมาสต์ของในแต่ละปีที่เขามีโอกาสได้หวนกลับไปยังโบสถ์พร้อมกับความหวังที่จะได้พบกับใครบางคน ซึ่งทุก ๆ ปีผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือน ๆ กันนั่นคือความผิดหวัง แต่คริสมาสต์ปีนี้กลับต่างไปจากปีที่ผ่าน ๆ มา จะเรียกว่าเหมือนฝันไปก็คงไม่ผิด


นักเขียนหนุ่มปิดสมุดบันทึกแล้วเก็บลงในลิ้นชักจากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดอ่านข้อความที่เพิ่งถูกส่งมา ในจำนวนข้อความมากมายกลับมีเพียงข้อความจากคนคนเดียวที่ทำให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง


นกฮูกส่งข้อความใหม่


“ทำอะไรอยู่”


ตาคมยังคงจ้องไปยังข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอสัมผัส


“อ่านแล้วทำไมไม่ยอมตอบ”


ธานัทถอนใจเบา ๆ ลุกขึ้นเดินไปนั่งที่เตียงก่อนจะแตะปลายนิ้วพิมพ์ข้อความตอบกลับ “ตอบแล้วครับ”


“ตอบไม่ตรงคำถาม พี่ถามว่าทำอะไรอยู่”


“ก็กำลังพิมพ์ตอบ”


“กวน”


คนถูกว่าอมยิ้มไม่รู้ตัว ล้มตัวลงนอนคว่ำกับเตียงนุ่มพิมพ์ข้อความแล้วกดส่ง


“ไม่ได้กวนครับ ผมตอบตามจริง”


“ถ้าอย่างนั้นถามใหม่” ข้อความนั้นถูกส่งมาตามด้วยรูปการ์ตูนหัวกลมยิ้มแฉ่ง “ให้พี่ไปงานเปิดตัวหนังสือด้วยคนได้ไหม”


ชายหนุ่มชั่งใจคิดอยู่นานเมื่อเห็นคำถาม จนในที่สุดก็ตอบกลับด้วยหนึ่งคำสั้น ๆ “ครับ”


“ดีใจจัง”


“เรื่อง?”


“เอ๋ยยอมให้พี่ไป”


คนรับเม้มปากแน่น ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรสุดท้ายก็ส่งเพียงรูปลิงหลับกลับไป


“นอนเถอะ พี่จะขับรถกลับกรุงเทพฯ เหมือนกัน”


ธานัทสัมผัสปลายนิ้วกับระนาบหน้าจอพิมพ์ข้อความเดียวกับที่ใจคิด ‘ขับรถดี ๆ เดินทางปลอดภัยครับ’ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลบออกทั้งหมด วางโทรศัพท์ไว้ใต้หมอนก่อนจะลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำ...


เป็นเวลาเกือบหนึ่งนาฬิกาแล้วแต่แสงจากโคมไฟหัวเตียงยังคงส่องสว่างลอดผ้าม่านหน้าต่างซึ่งอยู่บนชั้นสองของร้านขนมหวานแม่เอย เจ้าของห้องลืมตาโพลงนอนพลิกไปพลิกมาก่อนจะควานหาโทรศัพท์ที่ใต้หมอนขึ้นมาเปิดอ่านบทสนทนาระหว่างตนเองกับอีกคนเมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา


นิ้วเรียวแตะบนหน้าจอแล้วลากลงอย่างรวดเร็วกระทั่งหยุดยังข้อความแรกจากนั้นจึงไล่สายตาดวงตาอ่านทุกตัวอักษรอย่างเชื่องช้าราวกับจะฆ่าเวลาจนในที่สุดเมื่อมือรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนชายหนุ่มจึงรีบเขี่ยหน้าหน้าจอเพื่ออ่านข้ความล่าสุดที่เพิ่งถูกส่งมา


“พี่ถึงแล้วนะ”


“เมื่อยสุด ๆ เลย”


กำลังคิดว่าจะตอบกลับดีไหมอีกหลาย ๆ ข้อความก็ตามมาไม่หยุด


“ทำไมยังไม่นอนอีก”


“ทำงานเหรอ”


ธานัทพิมพ์ตอบคำถามนั้น หากแต่มันดันไปปรากฏถัดจากอีกข้อความหนึ่งเสียได้


“หรือว่ากำลังรอพี่อยู่”


“ใช่ครับ”


“เฮ้ย! ไม่ใช่สิ” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับด้วยรูปสุนัขส่งจูบเป็นหัวใจสีแดงดวงโตก่อนจะรีบกดปิดเครื่องปิดสวิชต์โคมไฟซุกตัวลงใต้ผืนผ้าห่มราวกับกลัวว่าพระจันทร์บนฟ้าจะมองเข้ามาเห็นสองแก้มของตนเอง


...


คืนวันเสาร์...


ทันตแพทย์หนุ่มปลีกตัวออกจากบรรยากาศชื่นมื่นของงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าซึ่งจัดขึ้นที่สนามฟุตบอลหน้าโรงเรียน ติดรถเพื่อนมาลงที่ตลาดก่อนจะเดินไปตามตรอกแคบ ๆ กระทั่งมาหยุดที่บ้านไม้สองชั้นเปิดเป็นโรงเรียนสอนศิลปะและแกลเลอรี นุพันธ์หยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงเปิดดูข้อความที่ก่อนหน้านี้ได้ส่งถึงใครบางคน


“พี่กำลังจะไปนะ”


ไม่มีข้อความใด ๆ ถูกตอบกลับมา แต่ดีหน่อยก็ตรงที่รู้ว่าอีกฝ่ายได้อ่านมันแล้ว ชายหนุ่มกดยิ้มุมปากก้มลงมองหนังสือที่ตั้งใจว่าวันนี้จะมาขอลายเซ็นของนักเขียนให้ได้ เจ้าของร่างสูงเดินข้ามฝั่งไปหยุดที่หน้าบ้านซึ่งจัดเป็นซุ้มเล็ก ๆ ขายหนังสือแบบเดียวกันกับที่ถืออยู่


มองเข้าไปยังโถงชั้นล่างที่เคยเป็นห้องเรียนตอนนี้ประดับประดาด้วยเชิงเทียนเซรามิคและโคมไฟให้แสงสีเหลืองนวล โต๊ะและเก้าอี้สำหรับเด็ก ๆ ถูกนำมาเรียงต่อกันให้หลายคนเลือกนั่ง ในขณะที่อีกหลายคนนั่งล้อมวงอยู่ตรงหน้าเวทีที่ยกสูงจากพื้นเพียงไม่กี่นิ้ว ฉากหลังเป็นภาพเดียวกันกับปกหนังสือ มีข้อความ ‘บรรทัดสุดท้าย (เขียนไว้ว่า...)’


ทันทีที่เสียงหวานของพิธิกรบนเวทีถูกแทนที่ด้วยโน้ตในท่อนอินโทรจากกีต้าร์โปร่งเสียงปรบมือก็ดังขึ้น ปลายนิ้วเรียวขยับทับสายโลหะจนเกิดเป็นทำนองเพลงผสมกับคำร้องนุ่ม ๆ ฟังสบายหู ทุกสายตาต่างจับจ้องอยู่ที่หนุ่มนักดนตรีที่เพิ่งก้าวขึ้นมานั่งที่เก้าอี้กลางเวทีได้เพียงไม่นาน ต่างคนต่างโบกไม้โบกมือตามจังหวะ หากแต่ดวงตาของนุพันธ์กลับถูกตรึงอยู่กับใบหน้าของอีกคนต่างหาก และเมื่อโน้ตตัวสุดท้ายลอยหายไปพร้อมกับสายลมต้นฤดูหนาว สาวสวยที่รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการก็เอ่ยขึ้น


“แหม...เพลงนี้ตั้งแต่สมัยดิฉันยังสาว ๆ เลยนะคะ” เธอปิดปากหัวเราะ “เนื้อเพลงก็ดูจะเข้ากับเรื่องราวในหนังสือของคุณเอ๋ยด้วย เรามาถามนักเขียนกันดีกว่าค่ะว่าได้แรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้มาจากไหน”


“ผมเป็นตัวแทนของเดือนธันวาคม ตอนแรกทีมงานเราก็มานั่งคิดกันก่อนว่าเดือนธันวาคมคนจะนึกถึงอะไร หลายคนนึกถึงการเฉลิมฉลอง นึกถึงอากาศหนาว ๆ นึกว่าจะไปเที่ยวไหน ไปเคาน์ดาวน์ที่ไหน แต่ถึงอย่างไรทุกคนก็มักจะนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดหนึ่งปี เพราะฉะนั้นเดือนธันวาคมมันจึงเป็นช่วงเวลาหนาว ๆ เหงา ๆ ที่ทำให้เรานึกย้อนไปถึงอดีต ยิ่งได้กลับไปในที่ที่เคยไปด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้คิดถึง” ธานัทคลี่ยิ้มจาง ๆ “แรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้ของผมก็คือการได้กลับมาที่บ้านที่จันทบุรี ได้เดินเล่นในตรอกซอกซอยที่เคยวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ได้มีโอกาสกลับไปที่โรงเรียนที่เคยเรียน”


“ใช่ค่ะ ดิฉันอ่านยังเห็นภาพเลยค่ะ เพราะดิฉันก็เคยเป็นแก๊งสาวสวยหลังห้องมาก่อน ก่อนจะเปลี่ยนคาบเรียนนี่ต้องหยิบแป้งฝุ่นขึ้นมาผัดหน้าทาปากด้วยน้ำยาอุทัยทิพย์ ไม่อย่างนั้นออกจากห้องไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวพูดไปหัวเราะไปพาให้ทุกคนหัวเราะตามไปด้วย


“ในช่วงท้ายแบบนี้ดิฉันคิดว่าหลาย ๆ คนคงอยากฟังคำเฉลยจากปากของนักเขียนแล้วละค่ะ ว่าบรรทัดสุดท้ายเขียนไว้ว่าอะไรกัน คุณเอ๋ยพอจะบอกได้ไหมคะ”


“อย่างที่ผมเขียนไว้ในหนังสือครับ ผมเชื่อว่าทุก ๆ ที่ล้วนมีความคิดถึง และในความคิดถึงก็มักจะมีใครบางคนซ่อนอยู่ และที่เลือกช่วงของการเรียนมัธยมมาถ่ายทอดเพราะผมคิดว่าเราต่างมีประสบการณ์ในช่วงนี้ที่คล้าย ๆ กัน เพราะฉะนั้นเมื่อนึกถึงใครบางคนในช่วงเวลานั้นขึ้นมาก็เหมือนกับเราได้เปิดบันทึกที่เคยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเขาออกอ่าน และเมื่ออ่านจบผมเชื่อว่าทุกคนจะสามารถตอบตัวเองได้ว่าบรรทัดสุดท้ายที่เขียนถึงเขานั้นมันคืออะไร ซึ่งก็อาจจะเหมือนหรือแตกต่างกัน ดังนั้นผมจึงให้ท่านผู้อ่านแต่ละคนได้เป็นคนเขียนบรรทัดสุดท้ายด้วยตัวเองครับ”


“ก็ยังไม่ยอมบอกอยู่ดีนะคะ ไม่เป็นไรค่ะ เอาไว้ลองมากระซิบถามนักเขียนตอนขอลายเซ็นกันอีกทีนะคะ คนอ่านอย่างเรายึดคติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก”


นุพันธ์ยืนอยู่ตรงนั้นจนเลิกงาน รอกระทั่งบรรดาแฟนคลับขอลายเซ็นนักเขียนจนครบ หาจังหวะเข้าไปทักทายแต่เมื่อเห็นธานัทลงจากเวทีพูดคุยกับหนุ่มสาวที่สวมเสื้อยืดสกรีนชื่อสำนักพิมพ์แล้วเดินไปถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับเพื่อน ๆ ก็คิดว่าวันนี้คงเป็นการมาแบบผิดที่ผิดเวลาของตนเองเสียแล้ว ทันตแพทย์หนุ่มถอนใจเบากำลังจะหันหลังกลับ เสียงเจื้อยแจ้วของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น


“พี่นุ!”


เป็นมัสลินนั่นเองที่ส่งยิ้มหวานพร้อมกับโบกมือต่างกับเพื่อนสนิทของเธอที่ยังคงวางหน้านิ่ง นุพันธ์ยิ้มตอบพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปใกล้ รู้สึกเขินเล็กน้อยเมื่อพบว่าดวงตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องมาที่ตนเอง และหากสาวเจ้าเนื้อว่าที่เจ้าสาวของเพื่อนร่วมห้องไม่ช่วยแนะนำบรรดารุ่นน้องก็คงไม่มีใครจำเขาได้ 


“คิดว่าพี่นุจะไม่มาแล้วเสียอีก” พยาบาลสาวสวยละล่ำละลัก


“ต้องมาสิครับ ก็พี่บอกไว้แล้วว่าจะเอาหนังสือมาให้นักเขียนช่วยเซ็นให้”


“ถ้าอย่างนั้นพี่นุนั่งก่อนเลยค่ะ” พูดจบก็หันไปออกคำสั่งกับคนที่ยังคงยืนนิ่ง “เอ๋ย แกมาเซ็นหนังสือให้พี่นุเร็ว เดี๋ยวฉันเดินไปส่งเพื่อน ๆ เอง”


“นี่จะไปไหนกันเหรอมัส” นุพันธ์ถามอย่างแปลกใจ


“ยัยนุ่นกับเพื่อน ๆ จะไปหาร้านนั่งคุยกันต่อ ส่วนมัสกับเอ๋ยเดี๋ยวจะกลับไปช่วยพี่เอยขายขนมค่ะ พี่นุคุยกับเอ๋ยไปก่อนนะคะ”


“ด...เดี๋ยวเราไปส่งเพื่อน ๆ ด้วย” ธานัทเอ่ยตะกุกตะกัก


“ไม่ต้องเลยไอ้นัท แกอยู่นี่แหละ เซ็นหนังสือให้แฟน...คลับไป” นุ่นกล่าวพร้อมกับหันไปชวนเพื่อน ๆ ให้ออกเดินทางกันเสียที


“เอ๋ย แกมานั่ง” มัสลินว่าพลางรั้งแขนเพื่อนก่อนจะกดบ่าให้เขานั่งลง “เดี๋ยวมัสมานะคะ”


นุพันธ์พยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะนั่งลงทอดตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ขอลายเซ็นหน่อยนะครับ” พูดจบก็ยื่นหนังสือให้
ธานัทสบตาคนพูดแวบหนึ่งรับหนังสือมาแล้วเปิดออกจัดการเซ็นชื่อลงที่หน้าสุดท้ายตามที่เขาต้องการ กำลังจะส่งคืนให้ก็ต้องชะงักเพราะคำถาม


“ถ้าในความคิดถึงของเอ๋ยมีพี่ซ่อนอยู่ ช่วยตอบหน่อยได้ไหมว่าบรรทัดสุดท้ายของเอ๋ยเขียนว่ายังไง”


“ป...ปวดฉี่”


“ว่าไงนะ” ทันตแพทย์หนุ่มมุ่นคิ้ว


“ผมบอกว่าปวดฉี่ ปวดมากเลย ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะครับ” กล่าวพลางเลื่อนหนังสือคืนให้ จากนั้นก็พรวดพราดลุกขึ้น ท่าทางเก้อเขินกับพวงแก้มแดงเรื่อของเขาทำเอาคนมองกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่


นุพันธ์ละสายตาจากร่างสูงที่เดินหายเข้าไปด้านใน หยิบหนังสือแล้วจึงลุกขึ้นเป็นเวลาเดียวกับที่มัสลินเดินกลับเข้ามา 


 “พี่นุ เอ๋ยล่ะคะ” สาวสวยกล่าวพลางชะเง้อมองหาเพื่อน


“เข้าห้องน้ำน่ะ นั่นไงมาพอดีเลย” เบนหน้าไปยังคนที่กำลังถูกพูดถึง


“ต้องอยู่ช่วยทางนี้ก่อนไหม” มัสลินหันไปถาม


“ไม่ต้องแล้วละ เหลือแค่เก็บของกับจัดสถานที่คืนให้พี่เชษฐ์ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีมงานเขา”


“ถ้าอย่างนั้นกลับกันเลยเนอะ”


“อื้อ”


“พี่นุมายังไงคะ” หญิงสาวหันมากล่าวกับอีกคน


“พี่ติดรถเพื่อนมาน่ะ แล้วสองคนมากันยังไง”


“มัสจอดรถไว้ที่บ้านเอ๋ยแล้วก็พากันเดินมาค่ะ พี่นุไปทานขนมด้วยกันก่อนไหมคะ เดี๋ยวมัสให้เอ๋ยขับรถไปส่ง”


ธานัทหันขวับทำได้เพียงแค่มองสองคนพี่พากันยิ้มร่าก่อนจะลอบถอนใจเบา ๆ


...


บนถนนแคบ ๆ คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ร้านขายของทำมือเป็นจุดแวะและดึงเงินจากกระเป๋าของบรรดานักท่องเที่ยวหนุ่มสาว แม้จะเป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้วแต่ภายในร้านขายอาหารและเครื่องดื่มก็ยังมากไปด้วยเหล่านักชิมขาจร นุพันธ์กวาดตามองไปรอบ ๆ พลางนึกทบทวนว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่มีโอกาสได้กลับมาที่นี่


ทั้งที่ตนเองก็ถือว่าเป็นคนท้องถิ่นหากแต่ภาพที่เห็นกลับทำให้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก คงต้องขอบคุณเจ้าของหนังสือเล่มที่ถืออยู่ในมือนี่กระมังที่ทำให้ได้หวนคืนมาที่นี่อีกหน คิดได้ดังนั้นก็เบนสายตาสายมองข้ามศีรษะสาวสวยที่เดินขั้นกลางแต่เมื่อเห็นหน้านิ่งของอีกคนก็อดนึกขันไม่ได้ ยิ่งตอนมัสลินเดินอ้อมหลังไปอีกฝั่งพร้อมกับแกล้งเบียดจนกระทั่งไหล่ชิดไหล่นั้นธานัทก็ยิ่งหน้าตูมหนัก


“อีกไกลไหม” นุพันธ์กระซิบถาม


“เลยแยกข้างหน้าก็ถึงแล้วครับ พี่นุเมื่อยแล้วเหรอครับ”


“เปล่า พี่ไม่ได้เมื่อยหรอก แต่ก็กลัวว่าเอ๋ยจะเมื่อยที่วางหน้าขรึมตลอดเวลามากกว่า เฮ้อ...ทำไมนะ อยู่ใกล้ ๆ คนที่ชอบน่ะจะยิ้มบ้างไม่ได้เลยหรือไง ดูอย่างพี่สิ” พูดจบก็เลื่อนหน้าห่างออกมาแถมยิ้มเสียกว้างสนับสนุนคำพูดของตนเอง หารู้ว่าว่านั่นยิ่งทำให้คนฟังเขินจนแทบอยากจะแทรกตัวหลบตามหลืบเสียให้ได้


สามคนเดินมาหยุดที่หน้าร้านขนมหวานซึ่งตอนนี้คงเต็มไปด้วยคนที่มายืนต่อแถวรอซื้อขนมบัวลอยรสเลิศที่ซุ้มด้านหน้า มัสลินตรงเข้าไปช่วยอารดาที่ง่วนอยู่กับตักขนม โดยมีเด็กในร้านคอยเป็นลูกมือช่วยยกไปเสิร์ฟและมัดยางจัดลงถุงให้ลูกค้าที่ซื้อกลับบ้าน ส่วนธานัทยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ จะเชิญให้นุพันธ์นั่งแต่ทุกโต๊ะที่มีอยู่ไม่มากก็เต็มหมดแล้ว


“เอ๋ยไปช่วยพี่สาวเถอะ เดี๋ยวพี่ยืนรออยู่แถวนี้แหละ”


“ต...แต่ว่า...”


“ไม่ไปไหนหรอก ยังไงวันนี้พี่ก็ต้องรอจนกว่าเอ๋ยจะไปส่งพี่ที่บ้าน” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ


“ค...ครับ”


ทันตแพทย์หนุ่มมองตามร่างสูงที่เดินอ้อมไปยังหลังซุ้มก่อนจะสวมผ้ากันเปื้อนแล้วยกถาดขนมบัวลอยเสิร์ฟให้ลูกค้า เมื่อเห็นว่ามีโต๊ะว่างธานัทก็จัดการเช็ดทำความสะอาดแล้วเชิญให้นุพันธ์นั่ง แต่ชายหนุ่มกลับปฏิเสธสละสิทธิ์นั้นแก่ลูกค้าที่เพิ่งมาใหม่ ผ่านไปพักใหญ่เมื่อคนเริ่มบางตา นุพันธ์จึงมองหาโต๊ะว่างแล้วนั่งลงและในไม่ช้าบัวลอยร้อน ๆ ก็ถูกยกมาวางตรงหน้า


“ทานขนมครับ” พูดจบก็นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เห็นอีกฝ่ายจับช้อนก็ไม่ลืมที่จะเตือน “ระวังร้อนนะครับ”


“ขอบคุณครับ” คนอายุมากกว่ากล่าวจากนั้นจึงตักเม็ดแป้งสีสวยในน้ำกะทิขึ้นเป่าไล่ความร้อน คงเพราะอากาศที่เย็นลงกระมังจึงทำให้หลายคนมองหาสิ่งที่จะช่วยให้คลายความหนาว หากไม่ใช่เครื่องดื่มอุ่น ๆ ก็เป็นขนมที่รับประทานตอนร้อน ๆ เช่นนี้ แต่ทันทีที่เม็ดแป้งนุ่มเคล้าน้ำกะทิสัมผัสกับปลายลิ้นนุพันธ์ก็รู้ได้ทันทีว่าสภาพอากาศเป็นเพียงเหตุผลน้อยนิด รสชาติละมุนลิ้นเช่นนี้ต่างหากที่ทำให้ลูกค้าต่างก็ทนหนาวเย็นรอต่อคิวเพื่อให้ได้ลิ้มลองอยู่ได้เป็นนานสองนาน


“อร่อยจัง พรุ่งนี้พี่มาทานอีกได้ไหม”


“ถ้าอย่างนั้นผมตักฝากให้กลับไปทานที่บ้านไหมครับ”


“มาทานที่นี่ไม่ได้เหรอ” พูดแล้วก็เงยหน้าขึ้นสบตารอฟังคำตอบ


“อ...เอาที่พี่นุสบายใจก็แล้วกันครับ”


“เอ๋ยล่ะ สบายใจหรือเปล่าถ้าพี่มา”


“ครับ” ธานัทรับคำเบา ๆ เบนสายตาหนีรอยยิ้มละไมแล้วกล่าวต่อ “ผมขอตัวไปล้างมือก่อนนะครับ พี่นุทานเสร็จจะไปส่งที่บ้านให้”


“นั่งเถอะไม่ต้องไปไหนหรอก พี่โทรบอกให้น้องชายมารับแล้วละ”


“ครับ”


“ตกลงว่าพรุ่งนี้ให้พี่มาได้ใช่ไหม” ทันตแพทย์หนุ่มถามย้ำ


“ค...ครับ”


“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พี่มาหาที่ร้านนะ”


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2016 22:03:21 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


มา...มาจริง ๆ แล้วก็มาแต่เช้าด้วย...


อารดาลอบมองสำรวจชายหนุ่มแปลกหน้าที่โผล่มาตั้งแต่ร้านเปิด มาถึงก็มาช่วยน้องชายของเธอหยิบจับโน่นนี่ราวกับคุ้นเคยกันดีทั้งที่มัสลินบอกว่าเขาเป็นรุ่นพี่สมัยเรียนที่มีโอกาสได้กลับมาเจอกันเมื่อไม่นาน


“สวัสดีค่ะพี่เอย เอ๋ยล่ะคะ” หญิงสาวที่เพิ่งเดินผ่านประตูเข้ามาเอ่ยขึ้น


“กำลังจัดขนมใส่กล่องอยู่ทางโน้นจ้ะ” เจ้าของร้านกล่าวพลางบุ้ยปากไปในทิศทางเดียวกับสายตา


“อุ้ย...มาแต่เช้าเลย” มัสลินอุทานเมื่อพบว่านุพันธ์ก็นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย


“พี่ถามจริง ๆ เถอะมัส ผู้ชายคนนั้นน่ะเขาเป็นใครกันแน่ นอกจากเป็นหมอฟันแล้วก็รุ่นพี่สมัยเรียนอย่างที่มัสบอกพี่เมื่อคืน ถ้าให้ถามเอ๋ย เอ๋ยก็คงไม่บอกแน่”


สาวสวยยิ้มก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้หน้าเคาน์ “ทำไมล่ะคะ พี่เอยรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติอย่างนั้นเหรอคะ”


“ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก แต่พี่อยู่กับเอ๋ยมาตั้งแต่เด็ก ๆ นะ ไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้ มันเหมือน...”


“เหมือนเหรอคะ”


“ก็...เหมือน...เหมือนพี่ตอนที่เจอพ่อน้องอิง”


“เหมือนคนกำลังมีความรัก” มัสลินสรุปให้


“อืม ทำนองนั้นแหละ” อารดายังไม่แน่ใจในความคิดของตนเองนัก


“ตอนนี้เอ๋ยอาจจะกำลังอยู่ในสภาวะที่หัวใจเสียการควบคุมก็ได้นะคะ”


“ม...หมายความว่าเขาสองคน...ป...เป็นแฟนกันอย่างนั้นเหรอ”


“ยังหรอกค่ะพี่เอย พี่นุน่ะเป็นรุ่นพี่ที่เอ๋ยเคยแอบชอบก็จริง และก็ดูเหมือนว่าพี่นุเองก็จะชอบเอ๋ย แต่เอ๋ยน่ะยังพยายามหาเหตุผลบอกตัวเองว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่ตลอด มัสคิดว่าความรู้สึกของพี่เอยก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เอ๋ยเอามาใช้เป็นกำแพงขังความต้องการของตัวเอง...” มัสลินกล่าวพลางมองหญิงสาวที่จู่ ๆ ก็ผุดลุกขึ้น


“เดี๋ยวพี่มานะมัส”


“อ...อ้าว พี่เอยจะไปไหนคะ”


“พี่จะไปซื้อของหน่อยจ้ะ เดี๋ยวมา” พุดจบอารดาก็เดินผลักประตูออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้คนถามได้แต่อ้าปากค้าง


มัสลินเกาหัวแกรกก่อนจะเดินไปที่โต๊ะด้านใน กล่าวทักทายนุพันธ์แล้วนั่งลงคิดทบทวนในสิ่งที่เพิ่งพูดออกไป อาจจะมีประโยคไหนที่ทำให้อารดารับไม่ได้จนต้องขอตัวออกไปสงบสติอารมณ์แน่ ๆ นึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที


“เป็นอะไรไป ทำหน้ายุ่งเชียว” ธานัทเอ่ยขึ้นขณะใช้ช้อนตักเม็ดขนุนเรียงลงในกล่องพลาสติก


“ป...เปล่าน่ะ ไม่มีอะไร”


“ดื่มน้ำอะไรหน่อยไหม”


“อะไรก็ได้แก” มัสลินตอบเสียงอ่อย


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราไปเอาให้” พูดจบธานัทก็ลุกขึ้นเดินไปยังมุมเครื่องดื่มจัดการตักน้ำแข็งใส่แก้วก่อนจะใช้กระบวยตักของเหลวสีน้ำตาลทองจากโหลทรงสูงใส่ลงในแก้วแล้วเดินกลับมาให้เพื่อนที่โต๊ะ


“เอ้านี่ น้ำมะตูม”


“ขอบใจนะแก” หญิงสาวกล่าวก่อนจะจับหลอดคนสิ่งที่อยู่ในแก้ว


“หวานชื่นใจนะมัส ไม่ลองชิมหน่อยเหรอ” นุพันธ์ที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นความไม่ปกติ สงสัยจริงว่าอะไรกันที่เป็นสาเหตุให้สาวร่าเริงอย่างมัสลินกลับดูหงอยเหงาผิดจากที่ผ่านมา


“ค่ะพี่นุ” มัสลินกล่าวก่อนจะก้มหน้าดูดน้ำมะตูมเย็น ๆ จากหลอด ไม่ทันมองว่าอารดากลับเข้ามาตอนไหน รู้อีกทีก็ตอนที่เธอเดินมาหยุดที่โต๊ะและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“พี่ไม่ได้ห้ามหรอกนะถ้าเธอสองคนจะคบกัน แต่อยากให้ป้องกันด้วย” ว่าแล้วก็วางบางสิ่งแหมะลงกับโต๊ะ


ดวงตาสามคู่ต่างก็จ้องเขม็งไปยังบรรจุภัณฑ์ทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กกว่าฝ่ามือที่มักจะเห็นวางเรียงรายอยู่หน้าเคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ และก็เป็นมัสลินที่สมองประมวลผลได้เร็วที่สุด หญิงสาวผละจากแก้วน้ำยกมือขึ้นปิดปากพยายามกลืนของเหลวลงคอ ไม่รู้จะขำ...หรือขำมากดี เมื่อเห็นว่าสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าคือกล่องถุงยางอนามัย เสียงกระแอมไอจากอาการสำลักของเธอทำให้อีกสองคนเริ่มได้สติ นุพันธ์สบตาคนฝั่งตรงข้ามที่ยังนั่งงงเป็นไก่ตาแตกจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกก่อนจะเป็นฝ่ายกล่าวขอบคุณหน้าตาเฉยพร้อมกับหยิบกล่องนั่นใส่กระเป๋ากางเกง


“ม...มันไม่ใช่อย่างนั้น” ธานัทมุ่นคิ้ว คำค้านมากมายเกิดขึ้นภายในใจหากแต่ปากกลับพูดมันออกมาได้เพียงแค่นี้


“จะมีแฟนน่ะพี่ไม่ห้ามหรอกนะเอ๋ย แต่อยากให้บอกกัน เราเป็นพี่น้องกันนะ ยังไงเอ๋ยก็คุยกับพี่ได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว”


“อ...เอ๋ย ม...ไม่ได้...” ชายหนุ่มส่ายหัวดิก มองอีกคนที่กำลังกลั้นยิ้มด้วยสายตาขุ่น ๆ อยากถามเขาเหลือเกินว่าในสถานการณ์เช่นนี้มีอะไรน่าขำนักแต่ก็จำต้องเบนความสนใจไปยังพี่สาวของตนเองเช่นเดิม


“ไม่ต้องอาย แล้วก็ไม่ต้องห่วงด้วยว่าพี่จะรู้สึกยังไง น้องชอบใครพี่ก็ชอบด้วยทั้งนั้น”


“พ...พี่เอย คือเอ๋ย ไม่ได้...โอ้ย!” ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ชายหนุ่มถอนใจเฮือกโตก่อนจะลุกขึ้นพาแก้มแดง ๆ เดินหายเข้าไปในบ้าน คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะสามารถทำได้ในตอนนี้


“อ้าว นี่พี่พูดอะไรผิดเหรอ” อารดาบ่นกับตัวเอง


“ไม่ผิดหรอกค่ะพี่เอย แต่โดนเข้าที่กลางใจเต็ม ๆ เลยค่ะ” มัสลินหัวเราะอย่างผ่อนคลายเมื่อพบว่าเรื่องราวมันไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่เธอกำลังเป็นกังวล คิดได้ดังนั้นก็หันไปกระเซ้านุพันธ์ที่ยังนั่งเฉย “ไม่ตามเข้าไปดูหน่อยเหรอคะพี่นุ เดี๋ยวจะกระโดดลงน้ำว่ายหนีออกอ่าวไทยไปเสียก่อน ทีนี้จะตามกันไม่ไหวนะคะ”


  “ถ...ถ้าอย่างนั้น...ผมขอเข้าไปนะครับ” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวกับเจ้าของบ้านอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  แต่เมื่อได้รับอนุญาตก็รีบเดินตามคนเขินง่ายไปทันที


“ตกลงว่าเขาไม่ได้เป็นแฟนกันหรอกเหรอมัส” หม้ายสาวกล่าวก่อนจะนั่งลง


“ตอนนี้ยังหรอกค่ะ แต่ถ้าพี่เอยไฟเขียวแบบนี้ รับรองว่าเอ๋ยไม่รอดแน่” สาวสวยยิ้มแป้นมองตามเจ้าของร่างสูงที่เดินหายเข้าไปในบ้าน ในใจหวังว่าเขาจะทำตามที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ


...


ขายาวก้าวผ่านกรอบประตูที่เปิดสู่ระเบียงริมน้ำ ระยะการมองสิ้นสุดลงที่แผ่นหลังของคนอายุน้อยกว่าที่กำลังนั่งจุ่มปลายเท้าลงในน้ำ นุพันธ์ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างกันพร้อมกับทำลายความเงียบด้วยการล้วงหยิบกล่องใบเล็กที่อารดาให้ออกจากกระเป่ากางเกง จับพลิกไปพลิกมาพร้อมกับกวาดตาอ่านวิธีใช้ราวกับมันเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ ทำเอาคนมองกัดกรามแน่นจ้องเขม็งด้วยความหมั่นไส้ ธานัทมุ่นคิ้วหนักเอื้อมมือแย่งของจากมือใหญ่ แต่ก็ยังช้าจึงคว้าได้เพียงอากาศเท่านั้น 


“เอามา”


“อะไร”


“ในมือพี่นุไง เอ๋ยจะเอาไปทิ้ง”


“ทิ้งทำไม เดี๋ยวตอนที่จำเป็นต้องใช้จะเอาที่ไหน”


“ไม่ใช้!” ธานัทสวนกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง 


“จริงเหรอ” คนถามทำเลิกคิ้วล้อ ๆ “ไม่ใช้เลยเหรอ”


เจ้าของแก้มขึ้นสีพ่นลมหายใจผ่านปลายจมูก นับหนึ่งถึงสิบในใจก่อนจะกล่าว “เอ๋ยไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่เอ๋ยจะไม่ทำอะไรที่ต้องใช้มันต่างหาก”


“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่เอ๋ย พี่จะเก็บไว้”


“พี่นุจะเก็บไว้ทำไม”


“เอาไว้ใช้กับคนอื่น” พูดพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบเบา ๆ แต่ทำเอาหัวใจคนฟังแทบจะทะลุจากอกเสื้อ “ถ้าเอ๋ยไม่ยอมตกลงเป็นแฟนกับพี่ พี่ก็จะเอาไว้ใช้กับคนอื่น ดีไหม” ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มหวานพลางชูกล่องในมือขึ้นล่อ


“เอามา!!!” ธานัทยังไม่ละความพยายามที่จะเอื้อมมือคว้ามาให้ได้


“ตกลงก่อนสิแล้วจะให้ แถมให้อีกกล่องก็ได้ หรือถ้าเอ๋ยจะเป็นคนใส่ให้ด้วยพี่ก็ยินดีนะ”


คนอายุน้อยกว่าชะงักก่อนจะขยับห่างออกมาเบือนหน้าหนีสายตาที่กำลังจับจ้องมา ในขณะที่ปากบางก็บ่นพึมพำ “เป็นหมอยังไง พูดจาอะไรไม่อายเลย”


“ก็พูดอ้อม ๆ ไม่ยอมฟังกันนี่นา พูดตรง ๆ แบบนี้แหละจะได้เชื่อสักทีว่าพี่คิดยังไง”


“ก็มัน...ม...ไม่น่าเชื่อนี่นา” ประโยคนั้นของธานัทไม่หนักแน่นพอ ๆ กับสิ่งที่เขากำลังคิด


“เชื่อได้แล้ว เราปล่อยเวลาให้มันผ่านไปเฉย ๆ มานานแล้วนะ ตอนนี้รู้แล้วว่าพี่คิดยังไง ใจเอ๋ยคิดแบบไหน ทำไมยังจะให้เวลามันล่วงเลยไปอีก”


เมื่อเห็นคนอายุน้อยกว่าเอาแต่นิ่งเงียบ นุพันธ์จึงใช้มือข้างที่เหลือหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าพิมพ์ข้อความแล้วกดส่ง ในขณะที่ธานัทเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสั่นจึงดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแล้วเปิดอ่านข้อความที่ถูกส่งมาออกอ่าน 


“เลือกพี่นุอีกครั้งนะครับ เป็นแฟนกับพี่นะ”



นิ้วเรียวยังคงแตะค้างที่หน้าจอสัมผัส ได้ยินเสียงลมหายใจของอีกคนอยู่ใกล้ ๆ แต่กลับไม่กล้าหันมองว่าเขากำลังทำหน้าอย่างไร 


นุพันธ์วางโทรศัพท์บนหน้าตัก ทอดตามองไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า ปลายจมูกยังคงได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากคนที่นั่งข้าง ๆ ซึ่งพอจะทำให้รู้ว่าแม้ความเงียบจะเป็นดั่งกำแพงที่กั้นกลางระหว่างกัน หากแต่อีกคนยังคงนั่นอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ปล่อยหัวใจให้ล่องลอยไปกับสายลมที่พัดมาแล้วผ่านไป กระทั่งเมื่อเสียงเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นจึงได้ดึงทั้งหัวใจและสายตากลับก้มมองสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอ


ลิงน้อยส่งข้อความใหม่


แต่เมื่อเปิดดูกลับไม่พบข้อความใด ๆ นอกจากรูปการ์ตูนลิงกับตัวอักษรภาษาอังกฤษแค่สองตัว... OK แต่เท่านั้นก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้เกิดขึ้นบนใบหน้าขรึมได้ นุพันธ์ก็แสร้งทำบิดขี้เกียจก่อนจะเหยียดแขนไปด้านหลังค่อนไปทางฝั่งที่อีกฝ่ายนั่ง วางมือยันกับพื้นพลางผ่อนลมหายใจอย่างปลอดโปร่ง หยิบกล่องเจ้าปัญหาที่วางแอบไว้ส่งให้


“เอ้านี่”


ธานัทหรี่ตามองคนที่ขยับเข้าหาจนหัวไหล่เบียดกันอย่างไม่ไว้ใจก่อนจะกล่าว “อ...เอามาทำไม”


“ไม่เอาแล้วเหรอ”


คนถูกถามไม่ตอบ พยายามฝืนทำหน้านิ่งทั้งที่หัวใจเต้นรัวจนแทบระเบิดเมื่อพบว่าใบหน้าของตนเองอยู่ห่างจากอีกคนไม่ถึงคืบ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะให้จริงหรือหยอกเล่นแบบเมื่อครู่ กระนั้นก็ยังรีบคว้าหมับเก็บใส่กระเป๋าทันที


“เอ๋ยจะได้มั่นใจว่าพี่ไม่เอาไปใช้กับคนอื่น” แม้จะเป็นเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาแต่นุพันธ์ก็มั่นใจว่าธานัทได้ยินมันชัดเจน ชัด...พอ ๆ กับริ้วระเรื่อที่ปรากฏขึ้นบนแก้มเนียน


“เอ๋ยจะเอาไปทิ้ง”


“เดี๋ยวตอนจะใช้ก็ไม่มีหรอก”


“เอ๋ยบอกแล้วไงว่าไม่ใช้” ธานัทมองอีกฝ่ายอย่างขัดใจ


“ก็แล้วแต่” คนพูดอมยิ้มน้อย ๆ


“พี่นุกำลังคิดทะลึ่งอยู่ใช่ไหม”


“ลิงน้อยเอ๊ย...” ว่าพลางบีบจมูกเด็กช่างสงสัยเบา ๆ “ไม่ใช่สักหน่อย กำลังคิดว่าน่ารักดีเวลาที่เอ๋ยพูดกับพี่แล้วเรียกตัวเองว่าเอ๋ยน่ะ น่ารักกว่าผมอย่างนั้น ผมอย่างนี้ตั้งเยอะ”


ธานัทเบนหน้าหนีสายตากับรอยยิ้มที่กำลังทำให้หัวใจหวั่นไหว แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่ได้นั่งข้าง ๆ กัน  นั่นเพราะพี่นุเมื่อสมัยเรียนเป็นเหมือนกับภาพฝันที่แตะต้องไม่ได้ บ่อยครั้งก็ชวนให้สงสัยว่าถ้าได้รู้จักพูดคุยกันจริง ๆ เขาจะเป็นอย่างที่คิดเอาไว้หรือไม่ จะจิตใจดีเหมือนเวลาที่แอบมองจากที่ไกล ๆ ไหม แต่พี่นุคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดเขาก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ และมันคงน่าเสียดายหากจะทิ้งโอกาสดี ๆ ที่จะได้เรียนรู้กันและกันไป...


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


เสียงแหลมเล็กของเครื่องมือทันตกรรมฟังคล้ายเสียงเจาะที่ดังมาจากด้านในพาให้หลายคนที่กำลังนั่งรอคิวอยู่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์ของคลิกนิกเปิดใหม่พากันกลืนน้ำลายเอื๊อก ธานัทลุกขึ้นเดินตามพี่สาวที่จูงมือเด็กหญิงตัวน้อยไปได้หน่อยก็หยุด รอจนทั้งคู่ผลุบหายเข้าไปในห้องทำฟันจึงย้อนกลับมานั่งรอที่เดิม ครู่หนึ่งผู้ช่วยทันตแพทย์ในชุดฟอร์มดูสะอาดสะอ้านมิดชิดก็เข้ามากล่าวทักทายพร้อมกับกางเอกสารแนะนำบริการพิเศษของร้าน


“คุณพ่อสนใจตรวจฟันไหมคะ ตอนนี้เรามีโปรโมชันตรวจฟันฟรีฉลองเปิดคลินิกใหม่นะคะ”


“เอ่อ...คือ...” อยากจะอธิบายในสิ่งที่อีกฝ่ายเข้าใจผิด แต่เมื่อไม่เห็นประโยชน์ของมันจึงได้แต่ตอบเพียงสั้น ๆ “ครับ”


“ถ้าอย่างนั้นเชิญห้องด้านในเลยค่ะ” เธอกล่าวก่อนจะเดินนำไปยังห้องที่อยู่ติดกับบันไดซึ่งทอดลงมาจากชั้นสอง ดึงประตูบานเลื่อนพร้อมกับเชิญให้เขานั่งลงยังเก้าอี้ทำฟันที่กลางห้อง


“เชิญครับ” เสียงทุ้มต่ำที่ดังลอดหน้ากากอนามัยเรียกสายตาของธานัทให้มองไปยังเจ้าของร่างสูงสวมทับด้วยเสื้อกราน์สีขาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนเอกสารอยู่ที่หน้าช่องกระจกซึ่งเชื่อมต่อกับเคาน์เตอร์คิดเงิน


คนมาใหม่กล่าวสวัสดีตามมารยาทก่อนจะนั่งลง ไม่นานก็รู้สึกว่าเก้าอี้ถูกปรับเอนต่ำลง ไฟที่เหนือศีรษะถูกเปิดขึ้นพร้อมกับผ้าที่คลุมลงมาบนหน้าซึ่งเจาะช่องให้พอดีกับปาก


“อ้าปากนะครับ หมอขอดูฟันหน่อย” เป็นคำสั่งที่ฟังดูนุ่นนวลจนคนฟังรู้สึกเหมือนได้หวนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง จู่ ๆ ภาพที่พ่อจูงมือเข้าคลินิกทันตกรรมครั้งแรกก็ปรากฏขึ้นในหัว จำได้ว่าตอนนั้นทนปวดฟันอยู่นานสองนานกระทั่งทนไม่ไหวจึงได้ยอมปริปากบอกพ่อกับแม่ ในที่สุดทุกอย่างก็มาจบลงที่เก้าอี้ทำฟันกับเสียงเจาะที่ฟังดูน่ากลัวเหลือเกิน


ชายหนุ่มเปิดปากออกตามคำสั่ง ริมฝีปากสัมผัสกับความเย็นเฉียบเมื่อมีเครื่องมือถูกสอดเข้ามาในปากพร้อมกันถึงสองอัน สะดุ้งโหยงพร้อมกับหลับตาปี๋เมื่อได้ยินเสียงคล้ายสว่านที่กำลังชอนไชลงในเนื้อฟันดังมาจากห้องข้าง ๆ ตามด้วยเสียงหวีดร้องของเด็กหญิง


“พี่ไปดูห้องโน้นก่อนนะคะหมอนุ”


‘หมอนุ?’ ได้ยินเสียงผู้ช่วยทันตแพทย์เรียกอย่างนั้นก่อนที่เธอจะเปิดประตูบานเลื่อนแล้วเดินออกจากห้องไป


“สงสัยจะกลัวหมอถึงได้ไม่ปล่อยให้ฟันผุเลย”


เขาคงดึงหน้ากากอนามัยออกเสียงนั้นถึงได้ชัดเจนมาก ๆ


“แต่ดีจังที่ยังพอมีคราบหินปูนให้ขูดออกบ้างจะได้นัดให้มาบ่อย ๆ”


ธานัทถอนใจพลางมุ่นคิ้วอยู่ใต้ผืนผ้าสีเขียวเมื่อรู้แน่ว่าที่แท้คุณหมอฟันคนนี้ก็คือคนคุ้นเคยกัน ‘ไหนเมื่อคืนก่อนคุยกันว่าสัปดาห์นี้ไม่กลับบ้านไง แล้วทำไมถึงมาโผล่ที่คลินิกนี้ได้’


“ทำไมหัวใจเต้นแรงจัง ตื่นเต้นที่ต้องมาขูดหินปูนหรือว่าตื่นเต้นที่อยู่ใกล้ ๆ หมอครับ”


น้ำเสียงล้อ ๆ ทำเอาคนฟังมุ่นคิ้วหนัก ปัดมืออีกฝ่ายออกก่อนจะกล่าว “จะตรวจก็รีบตรวจ มัวแต่ล้ออยู่ได้”


ทันตแพทย์นุพันธ์หัวเราะในลำคอดึงผ้าปิดหน้าคนไข้ออกพลางกดปุ่มให้พนักเก้าอี้ตั้งตรง ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ที่คนเองนั่งให้ใกล้เข้ามาจนสามารถมองเห็นหน้าอีกฝ่ายได้ถนัด


“เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวหมอเขียนใบนัดขูดหินปูนก่อน อาทิตย์ละครั้งดีไหม”


คนฟังทำหน้าเบ้ รู้ดีกว่าการขูดหินปูนนั้นทรมานเพียงใด “คลินิกเถื่อนหรือเปล่า ขูดหินปูนอาทิตย์ละครั้ง”


“ก็อยากเจอคนไข้บ่อย ๆ”


“พูดยังกับทุกวันนี้ไม่ค่อยได้เจอกันอย่างนั้นแหละ”


“ไม่ได้เจอตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้วนี่นา” นุพันธ์ทำเสียงอ้อน


“เอ๋ยบอกพี่นุแล้วว่ามาเก็บข้อมูลเขียนหนังสือ” พูดจบก็ก้าวลงจากเก้าอี้ “เสร็จแล้วเอ๋ยไปรอข้างนอกนะ คนอื่นเขาจะได้มาทำต่อ”


“พี่ไม่มีคนไข้แล้ว ที่เหลือให้เจ้าพัฒน์มันจัดการ”


ธานัทพยักหน้าพลางนึกถึงคุณหมอนิพัฒน์ผู้เป็นเจ้าของคลินิกทันตกรรมเปิดใหม่แห่งนี้ที่นุพันธ์เคยแนะนำว่าเป็นน้องชายแท้ ๆ ของเขา ตาคมมองตามร่างสูงลุกขึ้นถอดเสื้อคลุมออกพาดลงกับเก้าอี้ ในที่สุดก็ต้องแปลกใจเมื่อมือใหญ่คว้าหมับเข้ากับข้อมือของตนเอง


“ไปกันเถอะ” พูดจบก็รั้งคนสูงน้อยกว่าให้ลุกขึ้น


“เดี๋ยว ๆ พี่นุจะไปไหน”


“ไปคุยกันข้างบน”


“ต...แต่เอ๋ยจะกลับบ้าน เอ๋ยมากับพี่เอย”


“พี่ฝากเจ้าพัฒน์ให้บอกพี่เอยแล้วว่ากลับไปก่อนได้เลย เดี๋ยวพี่ไปส่งเอ๋ยเอง” ว่าแล้วก็ขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบเบา ๆ “แต่วันไหนยังไม่รู้นะ”


“วันนี้แหละ จะวันไหน” ธานัทกล่าวพลางบิดข้อมือหนี แต่เมื่อมือนั้นหลุดออกนุพันธ์ก็เปลี่ยนมาเป็นโอบเอวแทนเสียนี่


“ไปเร็ว พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันคิดถึงจะแย่แล้ว” พูดจบก็เปิดประตูจูงมือคนอายุน้อยกว่าเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง เปิดประตูเข้าไปในห้องนอนห้องเดิมเมื่อครั้งที่นี่ยังคงเป็นร้านขายสังฆภัณฑ์


“นี่ห้องพี่นุเหรอครับ” ธานัทกล่าวพลางมองไปรอบ ๆ


“ใช่ ตอนพี่ย้ายไปเรียนที่กรุงเทพฯ เวลากลับจันท์ก็อยู่แต่ที่บ้านสวน แต่คุณลุงก็ยังเก็บห้องนี้เอาไว้ให้ พอเจ้าพัฒน์ซื้อต่อตึกนี้มาทำคลินิกพี่ก็เลยให้ช่างเขาทาสีใหม่”


คนฟังพยักหน้าก่อนจะไปหยุดยืนที่โต๊ะเขียนหนังสือกวาดตามองข้าวของบนโต๊ะที่มีทั้งตำราเรียน หนังสือการ์ตูนแบบที่เด็กผู้ชายชอบอ่านกระทั่งสะดุดเข้ากับกรอบรูปตั้งโต๊ะ มือขาวเอื้อมหยิบภาพนั้นขึ้นมาดูอย่างพิจารณา มันเป็นภาพของชายหนุ่มสามคนยืนกอดคอกันที่สนามฟุตบอลของโรงเรียน ด้านหลังเป็นอาคารเรียนที่ทั้งเขาและนุพันธ์ต่างก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี


“ยิ้มอะไร หืม?” เจ้าของห้องกล่าวพลางสวมกอดจากด้านหลังพร้อมกับพาดคางลงบนบ่ากว้างมองไปยังทิศทางเดียวกัน


“มีเอ๋ยด้วย”


“จริงเหรอ”


“นี่ไง บนระเบียงอาคาร” พูดพลางแตะปลายนิ้วลงที่มุมหนึ่งของภาพ


“แอบมองใครอยู่ ไอ้ที ไอ้เชษฐ์ หรือพี่”


“มองพี่ที” ปรายตามองเจ้าของวงแขนแกร่งก่อนจะวางกรอบรูปลง


“จริงเหรอ”


“อื้อ ตัวสูง หุ่นนักกีฬา ใคร ๆ ก็มอง”


นุพันธ์กดยิ้มมุมปากหมุนร่างคนปากแข็งให้หันมาสบตากันพร้อมกับยื่นคำขาด “ให้โอกาสพูดอีกทีว่ามองใคร”


“มองพี่ที” ธานัทยังยืนยันคำเดิม


“ดื้อจริง ต้องสอนกันหน่อยแล้วว่าต่อไปนี้ต้องมองใคร”


พูดจบก็รวบตัวคนอายุน้อยกว่าไว้ในอ้อมแขนอีกครั้งก่อนจะแกล้งทิ้งน้ำหนัก แม้ธานัทกำแขนเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายแน่น พยายามขืนร่างไว้แต่สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานแรงได้ ทันทีแผ่นหลังสัมผัสกับที่นอนนุ่นนุพันธ์ก็พลิกตัวกลับกดกลีบปากลงกับเนื้อคอขาวแตะจูบซ้ำ ๆ ก่อนจะเลื่อนปลายจมูกผ่านแนวสันกรามแล้วกดลงกับข้างแก้มทั้งซ้ายและขวาสูดกลิ่นหอมของคนใต้ร่างให้หายคิดถึง


“พ...พอแล้วพี่นุ”


“แกล้งยั่วกันจะให้พอได้ยังไง” กระซิบที่ข้างหู แกล้งลากจมูกวนเวียนบนผิวแก้มขึ้นสีกระทั่งหยุดให้ปลายจมูกชนกันก่อนจะแตะริมฝีปากลงกับกลีบปากนิ่มอย่างเชื่องช้าหากแต่หนักหน่วงราวกับจะกลืนกินกันเข้าไปทั้งตัว


ธานัทหอบถี่หาทางโกยอากาศเข้าปอดแต่ก็ไม่บ่อยนักที่ปากหยักจะเปิดโอกาสให้ทำเช่นนั้น และเมื่อหัวใจตกอยู่ในสภาวะที่ยากต่อการควบคุม มือไม้ก็เผลอไผลจิกขยุ้มเข้าที่ลำคอแกร่งกระนั้นก็ยังไม่ละความพยายามรั้งสติไม่ให้เตลิดไปตามความรู้สึกหวามไหวแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง


ความรู้สึกแสบที่ต้นคอทำให้นุพันธ์จำต้องถอนริมฝีปากออก เท้าแขนลงกับหมอน ใช้หลังมืออีกข้างเกลี่ยลงบนพวงแก้มสีระเรื่ออย่างทะนุถนอม สักพักทันตแพทย์หนุ่มก็ต้องมุ่นคิ้วเมื่อคนใต้ร่างใช้คมฟันขาวกดลงบนกลีบปากของตนเอง


“ไม่เอา อย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวเจ็บ” พูดจบก็จุมพิตที่หน้าผากเพื่อปลอบประโลม ด้วยกลัวเหลือเกินว่าเนื้อบางนั้นจะช้ำ “พี่ขอโทษ”


ธานัทส่ายหน้าน้อย ๆ แทรกเรียวนิ้วเสยผมของอีกฝ่ายขึ้นในขณะที่ดวงตาสองคู่ยังคงสบกันนิ่ง “เอ๋ยแค่อยากให้แน่ใจว่ามันไม่ใช่ฝัน”


“ไม่ใช่แน่ ๆ” กล่าวพลางรั้งมือขาวมากดจูบก่อนจะวางแนบลงกับข้างแก้มของตนเอง “จับดูสิ พี่อยู่ตรงนี้จริง ๆ แก้มนี่ก็เป็นของเอ๋ย ปาก จมูก คิ้ว ตา...”


คนฟังยิ้มน้อย ๆ ค่อย ๆ ไล้ปลายนิ้วไปตามสันจมูกสุดที่ปลายคิ้วเรียงเส้นหนา จากนั้นจึงสัมผัสฝ่ามือลงที่บ่ากว้างลูบไล้ไล่ต่ำลงจนกระทั่งถึงแผงอกแกร่ง 


“ตรงนี้ด้วยหรือเปล่าครับ” พูดขึ้นเมื่อมือหยุดที่อกด้านซ้าย


“ทั้งตัว” นุพันธ์กดยิ้มมีเลศนัย “จับให้หมดเลยดีไหม” ว่าแล้วก็ยึดข้อมือเล็กทำท่าจะลากลงไปให้ถึงส่วนที่กำลังโหยหาการสัมผัส แต่เพราะธานัทโวยวายขึ้นเสียก่อนจึงต้องเลิกล้มความคิดที่จะแกล้งกัน


“ทำไมชอบแกล้งเอ๋ยนัก”


“ถ้าไม่อยากให้แกล้งก็ตอบมาเสียที ว่าบรรทัดสุดท้ายของเอ๋ยเขียนว่ายังไง”


ธานัทกัดปากข่มยิ้ม ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอยากรู้คำตอบถึงเพียงนี้


“ว่ายังไง”


“ถ้าเอ๋ยไม่บอกล่ะ”


“พี่ก็...จะจูบให้แก้มช้ำไปเลย จูบจนกว่าจะยอมบอก”


"ถ้าอย่างนั้นเอ๋ยบอกก็ได้” คนว่าง่ายกล่าวอ้อมแอ้มพร้อมกับหรุบตาลงต่ำ


“อะไร พี่รอฟังอยู่”


"บรรทัดสุดท้ายของเอ๋ยเขียนว่า..."


ทันตแพทย์หนุ่มตาวาว รู้ตัวอีกทีก็ตอนแก้มนุ่มซบลงบนบ่าพร้อมกับแขนขาวที่วาดโอบเข้ากับรอบคอ กลิ่นหอมจากร่างที่ขยับเบียดเข้ามาทำเอาเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ และเมื่อริมฝีปากบางสัมผัสกับใบหูพร้อมกับถ้อยคำหนึ่งที่เจือขึ้นในอากาศ คนฟังก็แทบห้ามทั้งหัวใจและร่างกายเอาไว้ไม่ไหว จะเป็นไปได้ไหมหากจะขอได้ยินคำนั้นซ้ำ ๆ ไปตลอดกาล...



...จนกว่าจะได้พบกันในบันทึกหน้าใหม่...





สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ ในที่สุดนิยายเรื่องนี้ก็ดำเนินมาถึงบรรทัดสุดท้ายจนได้

เราดีใจทุกครั้งที่ได้โพสต์ตอนสุดท้ายของนิยาย ดีใจที่สามารถเขียนให้จบลงได้ 

เรื่องนี้ต่างกับเรื่องอื่น ๆ ตรงที่รู้แน่นอนว่าเมื่อเขียนจบ คงไม่ได้เขียนนิยายอีกนาน เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องทำเริ่มชัดเจนขึ้น

นับว่าเป็นโชคดีค่ะ ที่ตัดสินใจหยิบเรื่องนี้มาเขียนให้เรียบร้อย ขอบคุณมาก ๆ สำหรับทุก ๆ คอมเม้นต์ค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตาม ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาคุยกัน

เราวางแผนว่าจากนี้ถ้าสามารถทำได้ น่าจะค่อย ๆ ทำนิยายที่เขียนไว้ให้เป็นเล่ม

และถ้าหากเวลาอำนวยก็หวังว่าจะได้กลับมาเริ่มบรรทัดใหม่ให้ทุกท่านได้อ่านกันอีกครั้ง

หรือหากโอกาสนั้นไม่มี ก็ยังวนเวียนอยู่แถวนี้ค่ะ ไม่ได้ไปไหนไกล ยังคุย ยังทวง กันได้ตลอด


ขอบคุณค่ะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-06-2017 17:51:57 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ WannaSay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ขอบคุณสำหรับความงดงามของนิยายเรื่องนี้ค่ะ

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
กรี๊ดคู่นี้น่ารัก และเราคิดว่าเป็นคู่ที่ทะลึ่งที่สุดของนักเขียน555(เอ๋ยคงบอกว่าหมอนุคนเดียวเลย เอ๋ยไม่เกี่ยว :ling1:) เราช๊อบชอบ

ในเรื่องนี้ผู้หญิงทุกคนเป็นคนตลกมาก  โดยเฉพาะพี่เอยมาแรงแซงโค้งสุดท้ายเลย ทั้งฮาและถึงกับอึ้งไปด้วยเลยค่ะ555

ส่วนพี่ทีในที่สุดก็รู้แล้วว่าพี่เป็นแค่ตัวประกอบ (สงสารจริงๆนะ ตอนแรกน้องเดาว่าพี่อาจจะเป็นถึงคู่แข่งคนสำคัญของหมอนุเลย)
แถมพี่ไม่มีบทพูดเลย  แต่ทุกคนพูดถึงพี่ทั้งนั้น พี่มีบทบาททุกตอนจริงๆ ทุกคนรักพี่นะ (คิดบวก  ได้เท่านี้ก็ดีใจแล้วเนอะพี่ที555)

การแอบรักเราคิดว่าคงจะออกแนวเศร้าๆซะส่วนใหญ่  แต่เรื่องนี้ผิดคาดมากค่ะ 
เราเฮฮาและลุ้นไปเชียร์ไปร่วมกับเพื่อนๆของเอ๋ยเลยค่ะ 

สนุก ฮา และเขินเอามากๆกับการจีบตรงๆของพี่นุค่ะ
และประหลาดใจมากที่พี่นุยิ้มละไมแต่ทะลึ่งน่าดู  คงจะทะลึ่งแต่กับเอ๋ยเท่านั้น  ก็เอ๋ยเป็นคนพิเศษนี่เนอะ555
รอรวมเล่มนิยายชุดในความคิดถึงนะคะ  รักทั้ง3เรื่องเลยค่ะ มีเรื่องราวที่ประทับใจและให้ได้คิดถึงในแต่ละเรื่องมากมายจริงๆค่ะ o13
จะรอจนกว่าจะได้พบกันในบันทึกหน้าใหม่ของนักเขียนนะคะ  ขอบคุณคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้ามากจริงๆ :L2: :กอด1: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-02-2016 22:53:01 โดย Lovetree »

ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1


 :กอด1:

  สุดท้าย  น้องเอ๋ย ก้อ แพ้ใจ ตัวเอง...  เอ๊  หรือ แพ้แรงตื๊อ ของพี่นุ ก้อไม่รุ้  :o8:



 ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟิน ขอบคุณ คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า มากๆๆๆ นะ  กอดแน่นนนนนนนนน  #รอ ตอนพิเศษ after ตรุษจีน before Valentinesฮับ

  :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven



//แอบสงสัย ว่า หมอนุ ชอบ ชาย มาตั้งแต่มอปลาย หรือเปล่า :hao3:
    หรือ เพิ่งมามาชอบเอ๋ย ตอนที่เจออีกครั้ง  ปริศนายังคาใจ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
น่ารักมากกก... หวีดร้องงขอ nc อีกค่ะ  :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด