บรรทัดสุดท้าย
เสียงพลุที่เป็นเหมือนสัญญาณแห่งการเฉลิมฉลองยังคงดังกึกก้อง แต่ก็ไม่อาจสู้เสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ภายใต้อกเสื้อในขณะนี้ได้ ธานัทเปิดประตูเข้ามาในห้องทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ทอดตามองข้อมือที่ยังรู้สึกอุ่นไม่หายแม้อีกมือจะปล่อยกันไปนานแล้วก็ตาม ชายหนุ่มเอื้อมหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าเปิดไปยังหน้าท้าย ๆ ซึ่งบันทึกเรื่องราววันคริสมาสต์ของในแต่ละปีที่เขามีโอกาสได้หวนกลับไปยังโบสถ์พร้อมกับความหวังที่จะได้พบกับใครบางคน ซึ่งทุก ๆ ปีผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือน ๆ กันนั่นคือความผิดหวัง แต่คริสมาสต์ปีนี้กลับต่างไปจากปีที่ผ่าน ๆ มา จะเรียกว่าเหมือนฝันไปก็คงไม่ผิด
นักเขียนหนุ่มปิดสมุดบันทึกแล้วเก็บลงในลิ้นชักจากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดอ่านข้อความที่เพิ่งถูกส่งมา ในจำนวนข้อความมากมายกลับมีเพียงข้อความจากคนคนเดียวที่ทำให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง
นกฮูกส่งข้อความใหม่“ทำอะไรอยู่”
ตาคมยังคงจ้องไปยังข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอสัมผัส
“อ่านแล้วทำไมไม่ยอมตอบ”
ธานัทถอนใจเบา ๆ ลุกขึ้นเดินไปนั่งที่เตียงก่อนจะแตะปลายนิ้วพิมพ์ข้อความตอบกลับ “ตอบแล้วครับ”
“ตอบไม่ตรงคำถาม พี่ถามว่าทำอะไรอยู่”
“ก็กำลังพิมพ์ตอบ”
“กวน”
คนถูกว่าอมยิ้มไม่รู้ตัว ล้มตัวลงนอนคว่ำกับเตียงนุ่มพิมพ์ข้อความแล้วกดส่ง
“ไม่ได้กวนครับ ผมตอบตามจริง”
“ถ้าอย่างนั้นถามใหม่” ข้อความนั้นถูกส่งมาตามด้วยรูปการ์ตูนหัวกลมยิ้มแฉ่ง “ให้พี่ไปงานเปิดตัวหนังสือด้วยคนได้ไหม”
ชายหนุ่มชั่งใจคิดอยู่นานเมื่อเห็นคำถาม จนในที่สุดก็ตอบกลับด้วยหนึ่งคำสั้น ๆ “ครับ”
“ดีใจจัง”
“เรื่อง?”
“เอ๋ยยอมให้พี่ไป”
คนรับเม้มปากแน่น ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรสุดท้ายก็ส่งเพียงรูปลิงหลับกลับไป
“นอนเถอะ พี่จะขับรถกลับกรุงเทพฯ เหมือนกัน”
ธานัทสัมผัสปลายนิ้วกับระนาบหน้าจอพิมพ์ข้อความเดียวกับที่ใจคิด ‘ขับรถดี ๆ เดินทางปลอดภัยครับ’ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลบออกทั้งหมด วางโทรศัพท์ไว้ใต้หมอนก่อนจะลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำ...
เป็นเวลาเกือบหนึ่งนาฬิกาแล้วแต่แสงจากโคมไฟหัวเตียงยังคงส่องสว่างลอดผ้าม่านหน้าต่างซึ่งอยู่บนชั้นสองของร้านขนมหวานแม่เอย เจ้าของห้องลืมตาโพลงนอนพลิกไปพลิกมาก่อนจะควานหาโทรศัพท์ที่ใต้หมอนขึ้นมาเปิดอ่านบทสนทนาระหว่างตนเองกับอีกคนเมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา
นิ้วเรียวแตะบนหน้าจอแล้วลากลงอย่างรวดเร็วกระทั่งหยุดยังข้อความแรกจากนั้นจึงไล่สายตาดวงตาอ่านทุกตัวอักษรอย่างเชื่องช้าราวกับจะฆ่าเวลาจนในที่สุดเมื่อมือรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนชายหนุ่มจึงรีบเขี่ยหน้าหน้าจอเพื่ออ่านข้ความล่าสุดที่เพิ่งถูกส่งมา
“พี่ถึงแล้วนะ”
“เมื่อยสุด ๆ เลย”
กำลังคิดว่าจะตอบกลับดีไหมอีกหลาย ๆ ข้อความก็ตามมาไม่หยุด
“ทำไมยังไม่นอนอีก”
“ทำงานเหรอ”
ธานัทพิมพ์ตอบคำถามนั้น หากแต่มันดันไปปรากฏถัดจากอีกข้อความหนึ่งเสียได้
“หรือว่ากำลังรอพี่อยู่”
“ใช่ครับ”
“เฮ้ย! ไม่ใช่สิ” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับด้วยรูปสุนัขส่งจูบเป็นหัวใจสีแดงดวงโตก่อนจะรีบกดปิดเครื่องปิดสวิชต์โคมไฟซุกตัวลงใต้ผืนผ้าห่มราวกับกลัวว่าพระจันทร์บนฟ้าจะมองเข้ามาเห็นสองแก้มของตนเอง
...
คืนวันเสาร์...
ทันตแพทย์หนุ่มปลีกตัวออกจากบรรยากาศชื่นมื่นของงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าซึ่งจัดขึ้นที่สนามฟุตบอลหน้าโรงเรียน ติดรถเพื่อนมาลงที่ตลาดก่อนจะเดินไปตามตรอกแคบ ๆ กระทั่งมาหยุดที่บ้านไม้สองชั้นเปิดเป็นโรงเรียนสอนศิลปะและแกลเลอรี นุพันธ์หยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงเปิดดูข้อความที่ก่อนหน้านี้ได้ส่งถึงใครบางคน
“พี่กำลังจะไปนะ”
ไม่มีข้อความใด ๆ ถูกตอบกลับมา แต่ดีหน่อยก็ตรงที่รู้ว่าอีกฝ่ายได้อ่านมันแล้ว ชายหนุ่มกดยิ้มุมปากก้มลงมองหนังสือที่ตั้งใจว่าวันนี้จะมาขอลายเซ็นของนักเขียนให้ได้ เจ้าของร่างสูงเดินข้ามฝั่งไปหยุดที่หน้าบ้านซึ่งจัดเป็นซุ้มเล็ก ๆ ขายหนังสือแบบเดียวกันกับที่ถืออยู่
มองเข้าไปยังโถงชั้นล่างที่เคยเป็นห้องเรียนตอนนี้ประดับประดาด้วยเชิงเทียนเซรามิคและโคมไฟให้แสงสีเหลืองนวล โต๊ะและเก้าอี้สำหรับเด็ก ๆ ถูกนำมาเรียงต่อกันให้หลายคนเลือกนั่ง ในขณะที่อีกหลายคนนั่งล้อมวงอยู่ตรงหน้าเวทีที่ยกสูงจากพื้นเพียงไม่กี่นิ้ว ฉากหลังเป็นภาพเดียวกันกับปกหนังสือ มีข้อความ ‘บรรทัดสุดท้าย (เขียนไว้ว่า...)’
ทันทีที่เสียงหวานของพิธิกรบนเวทีถูกแทนที่ด้วยโน้ตในท่อนอินโทรจากกีต้าร์โปร่งเสียงปรบมือก็ดังขึ้น ปลายนิ้วเรียวขยับทับสายโลหะจนเกิดเป็นทำนองเพลงผสมกับคำร้องนุ่ม ๆ ฟังสบายหู ทุกสายตาต่างจับจ้องอยู่ที่หนุ่มนักดนตรีที่เพิ่งก้าวขึ้นมานั่งที่เก้าอี้กลางเวทีได้เพียงไม่นาน ต่างคนต่างโบกไม้โบกมือตามจังหวะ หากแต่ดวงตาของนุพันธ์กลับถูกตรึงอยู่กับใบหน้าของอีกคนต่างหาก และเมื่อโน้ตตัวสุดท้ายลอยหายไปพร้อมกับสายลมต้นฤดูหนาว สาวสวยที่รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการก็เอ่ยขึ้น
“แหม...เพลงนี้ตั้งแต่สมัยดิฉันยังสาว ๆ เลยนะคะ” เธอปิดปากหัวเราะ “เนื้อเพลงก็ดูจะเข้ากับเรื่องราวในหนังสือของคุณเอ๋ยด้วย เรามาถามนักเขียนกันดีกว่าค่ะว่าได้แรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้มาจากไหน”
“ผมเป็นตัวแทนของเดือนธันวาคม ตอนแรกทีมงานเราก็มานั่งคิดกันก่อนว่าเดือนธันวาคมคนจะนึกถึงอะไร หลายคนนึกถึงการเฉลิมฉลอง นึกถึงอากาศหนาว ๆ นึกว่าจะไปเที่ยวไหน ไปเคาน์ดาวน์ที่ไหน แต่ถึงอย่างไรทุกคนก็มักจะนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดหนึ่งปี เพราะฉะนั้นเดือนธันวาคมมันจึงเป็นช่วงเวลาหนาว ๆ เหงา ๆ ที่ทำให้เรานึกย้อนไปถึงอดีต ยิ่งได้กลับไปในที่ที่เคยไปด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้คิดถึง” ธานัทคลี่ยิ้มจาง ๆ “แรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้ของผมก็คือการได้กลับมาที่บ้านที่จันทบุรี ได้เดินเล่นในตรอกซอกซอยที่เคยวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ได้มีโอกาสกลับไปที่โรงเรียนที่เคยเรียน”
“ใช่ค่ะ ดิฉันอ่านยังเห็นภาพเลยค่ะ เพราะดิฉันก็เคยเป็นแก๊งสาวสวยหลังห้องมาก่อน ก่อนจะเปลี่ยนคาบเรียนนี่ต้องหยิบแป้งฝุ่นขึ้นมาผัดหน้าทาปากด้วยน้ำยาอุทัยทิพย์ ไม่อย่างนั้นออกจากห้องไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวพูดไปหัวเราะไปพาให้ทุกคนหัวเราะตามไปด้วย
“ในช่วงท้ายแบบนี้ดิฉันคิดว่าหลาย ๆ คนคงอยากฟังคำเฉลยจากปากของนักเขียนแล้วละค่ะ ว่าบรรทัดสุดท้ายเขียนไว้ว่าอะไรกัน คุณเอ๋ยพอจะบอกได้ไหมคะ”
“อย่างที่ผมเขียนไว้ในหนังสือครับ ผมเชื่อว่าทุก ๆ ที่ล้วนมีความคิดถึง และในความคิดถึงก็มักจะมีใครบางคนซ่อนอยู่ และที่เลือกช่วงของการเรียนมัธยมมาถ่ายทอดเพราะผมคิดว่าเราต่างมีประสบการณ์ในช่วงนี้ที่คล้าย ๆ กัน เพราะฉะนั้นเมื่อนึกถึงใครบางคนในช่วงเวลานั้นขึ้นมาก็เหมือนกับเราได้เปิดบันทึกที่เคยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเขาออกอ่าน และเมื่ออ่านจบผมเชื่อว่าทุกคนจะสามารถตอบตัวเองได้ว่าบรรทัดสุดท้ายที่เขียนถึงเขานั้นมันคืออะไร ซึ่งก็อาจจะเหมือนหรือแตกต่างกัน ดังนั้นผมจึงให้ท่านผู้อ่านแต่ละคนได้เป็นคนเขียนบรรทัดสุดท้ายด้วยตัวเองครับ”
“ก็ยังไม่ยอมบอกอยู่ดีนะคะ ไม่เป็นไรค่ะ เอาไว้ลองมากระซิบถามนักเขียนตอนขอลายเซ็นกันอีกทีนะคะ คนอ่านอย่างเรายึดคติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก”
นุพันธ์ยืนอยู่ตรงนั้นจนเลิกงาน รอกระทั่งบรรดาแฟนคลับขอลายเซ็นนักเขียนจนครบ หาจังหวะเข้าไปทักทายแต่เมื่อเห็นธานัทลงจากเวทีพูดคุยกับหนุ่มสาวที่สวมเสื้อยืดสกรีนชื่อสำนักพิมพ์แล้วเดินไปถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับเพื่อน ๆ ก็คิดว่าวันนี้คงเป็นการมาแบบผิดที่ผิดเวลาของตนเองเสียแล้ว ทันตแพทย์หนุ่มถอนใจเบากำลังจะหันหลังกลับ เสียงเจื้อยแจ้วของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“พี่นุ!”
เป็นมัสลินนั่นเองที่ส่งยิ้มหวานพร้อมกับโบกมือต่างกับเพื่อนสนิทของเธอที่ยังคงวางหน้านิ่ง นุพันธ์ยิ้มตอบพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปใกล้ รู้สึกเขินเล็กน้อยเมื่อพบว่าดวงตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องมาที่ตนเอง และหากสาวเจ้าเนื้อว่าที่เจ้าสาวของเพื่อนร่วมห้องไม่ช่วยแนะนำบรรดารุ่นน้องก็คงไม่มีใครจำเขาได้
“คิดว่าพี่นุจะไม่มาแล้วเสียอีก” พยาบาลสาวสวยละล่ำละลัก
“ต้องมาสิครับ ก็พี่บอกไว้แล้วว่าจะเอาหนังสือมาให้นักเขียนช่วยเซ็นให้”
“ถ้าอย่างนั้นพี่นุนั่งก่อนเลยค่ะ” พูดจบก็หันไปออกคำสั่งกับคนที่ยังคงยืนนิ่ง “เอ๋ย แกมาเซ็นหนังสือให้พี่นุเร็ว เดี๋ยวฉันเดินไปส่งเพื่อน ๆ เอง”
“นี่จะไปไหนกันเหรอมัส” นุพันธ์ถามอย่างแปลกใจ
“ยัยนุ่นกับเพื่อน ๆ จะไปหาร้านนั่งคุยกันต่อ ส่วนมัสกับเอ๋ยเดี๋ยวจะกลับไปช่วยพี่เอยขายขนมค่ะ พี่นุคุยกับเอ๋ยไปก่อนนะคะ”
“ด...เดี๋ยวเราไปส่งเพื่อน ๆ ด้วย” ธานัทเอ่ยตะกุกตะกัก
“ไม่ต้องเลยไอ้นัท แกอยู่นี่แหละ เซ็นหนังสือให้แฟน...คลับไป” นุ่นกล่าวพร้อมกับหันไปชวนเพื่อน ๆ ให้ออกเดินทางกันเสียที
“เอ๋ย แกมานั่ง” มัสลินว่าพลางรั้งแขนเพื่อนก่อนจะกดบ่าให้เขานั่งลง “เดี๋ยวมัสมานะคะ”
นุพันธ์พยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะนั่งลงทอดตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ขอลายเซ็นหน่อยนะครับ” พูดจบก็ยื่นหนังสือให้
ธานัทสบตาคนพูดแวบหนึ่งรับหนังสือมาแล้วเปิดออกจัดการเซ็นชื่อลงที่หน้าสุดท้ายตามที่เขาต้องการ กำลังจะส่งคืนให้ก็ต้องชะงักเพราะคำถาม
“ถ้าในความคิดถึงของเอ๋ยมีพี่ซ่อนอยู่ ช่วยตอบหน่อยได้ไหมว่าบรรทัดสุดท้ายของเอ๋ยเขียนว่ายังไง”
“ป...ปวดฉี่”“ว่าไงนะ” ทันตแพทย์หนุ่มมุ่นคิ้ว
“ผมบอกว่าปวดฉี่ ปวดมากเลย ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะครับ” กล่าวพลางเลื่อนหนังสือคืนให้ จากนั้นก็พรวดพราดลุกขึ้น ท่าทางเก้อเขินกับพวงแก้มแดงเรื่อของเขาทำเอาคนมองกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่
นุพันธ์ละสายตาจากร่างสูงที่เดินหายเข้าไปด้านใน หยิบหนังสือแล้วจึงลุกขึ้นเป็นเวลาเดียวกับที่มัสลินเดินกลับเข้ามา
“พี่นุ เอ๋ยล่ะคะ” สาวสวยกล่าวพลางชะเง้อมองหาเพื่อน
“เข้าห้องน้ำน่ะ นั่นไงมาพอดีเลย” เบนหน้าไปยังคนที่กำลังถูกพูดถึง
“ต้องอยู่ช่วยทางนี้ก่อนไหม” มัสลินหันไปถาม
“ไม่ต้องแล้วละ เหลือแค่เก็บของกับจัดสถานที่คืนให้พี่เชษฐ์ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีมงานเขา”
“ถ้าอย่างนั้นกลับกันเลยเนอะ”
“อื้อ”
“พี่นุมายังไงคะ” หญิงสาวหันมากล่าวกับอีกคน
“พี่ติดรถเพื่อนมาน่ะ แล้วสองคนมากันยังไง”
“มัสจอดรถไว้ที่บ้านเอ๋ยแล้วก็พากันเดินมาค่ะ พี่นุไปทานขนมด้วยกันก่อนไหมคะ เดี๋ยวมัสให้เอ๋ยขับรถไปส่ง”
ธานัทหันขวับทำได้เพียงแค่มองสองคนพี่พากันยิ้มร่าก่อนจะลอบถอนใจเบา ๆ
...
บนถนนแคบ ๆ คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ร้านขายของทำมือเป็นจุดแวะและดึงเงินจากกระเป๋าของบรรดานักท่องเที่ยวหนุ่มสาว แม้จะเป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้วแต่ภายในร้านขายอาหารและเครื่องดื่มก็ยังมากไปด้วยเหล่านักชิมขาจร นุพันธ์กวาดตามองไปรอบ ๆ พลางนึกทบทวนว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่มีโอกาสได้กลับมาที่นี่
ทั้งที่ตนเองก็ถือว่าเป็นคนท้องถิ่นหากแต่ภาพที่เห็นกลับทำให้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก คงต้องขอบคุณเจ้าของหนังสือเล่มที่ถืออยู่ในมือนี่กระมังที่ทำให้ได้หวนคืนมาที่นี่อีกหน คิดได้ดังนั้นก็เบนสายตาสายมองข้ามศีรษะสาวสวยที่เดินขั้นกลางแต่เมื่อเห็นหน้านิ่งของอีกคนก็อดนึกขันไม่ได้ ยิ่งตอนมัสลินเดินอ้อมหลังไปอีกฝั่งพร้อมกับแกล้งเบียดจนกระทั่งไหล่ชิดไหล่นั้นธานัทก็ยิ่งหน้าตูมหนัก
“อีกไกลไหม” นุพันธ์กระซิบถาม
“เลยแยกข้างหน้าก็ถึงแล้วครับ พี่นุเมื่อยแล้วเหรอครับ”
“เปล่า พี่ไม่ได้เมื่อยหรอก แต่ก็กลัวว่าเอ๋ยจะเมื่อยที่วางหน้าขรึมตลอดเวลามากกว่า เฮ้อ...ทำไมนะ อยู่ใกล้ ๆ คนที่ชอบน่ะจะยิ้มบ้างไม่ได้เลยหรือไง ดูอย่างพี่สิ” พูดจบก็เลื่อนหน้าห่างออกมาแถมยิ้มเสียกว้างสนับสนุนคำพูดของตนเอง หารู้ว่าว่านั่นยิ่งทำให้คนฟังเขินจนแทบอยากจะแทรกตัวหลบตามหลืบเสียให้ได้
สามคนเดินมาหยุดที่หน้าร้านขนมหวานซึ่งตอนนี้คงเต็มไปด้วยคนที่มายืนต่อแถวรอซื้อขนมบัวลอยรสเลิศที่ซุ้มด้านหน้า มัสลินตรงเข้าไปช่วยอารดาที่ง่วนอยู่กับตักขนม โดยมีเด็กในร้านคอยเป็นลูกมือช่วยยกไปเสิร์ฟและมัดยางจัดลงถุงให้ลูกค้าที่ซื้อกลับบ้าน ส่วนธานัทยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ จะเชิญให้นุพันธ์นั่งแต่ทุกโต๊ะที่มีอยู่ไม่มากก็เต็มหมดแล้ว
“เอ๋ยไปช่วยพี่สาวเถอะ เดี๋ยวพี่ยืนรออยู่แถวนี้แหละ”
“ต...แต่ว่า...”
“ไม่ไปไหนหรอก ยังไงวันนี้พี่ก็ต้องรอจนกว่าเอ๋ยจะไปส่งพี่ที่บ้าน” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ
“ค...ครับ”
ทันตแพทย์หนุ่มมองตามร่างสูงที่เดินอ้อมไปยังหลังซุ้มก่อนจะสวมผ้ากันเปื้อนแล้วยกถาดขนมบัวลอยเสิร์ฟให้ลูกค้า เมื่อเห็นว่ามีโต๊ะว่างธานัทก็จัดการเช็ดทำความสะอาดแล้วเชิญให้นุพันธ์นั่ง แต่ชายหนุ่มกลับปฏิเสธสละสิทธิ์นั้นแก่ลูกค้าที่เพิ่งมาใหม่ ผ่านไปพักใหญ่เมื่อคนเริ่มบางตา นุพันธ์จึงมองหาโต๊ะว่างแล้วนั่งลงและในไม่ช้าบัวลอยร้อน ๆ ก็ถูกยกมาวางตรงหน้า
“ทานขนมครับ” พูดจบก็นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เห็นอีกฝ่ายจับช้อนก็ไม่ลืมที่จะเตือน “ระวังร้อนนะครับ”
“ขอบคุณครับ” คนอายุมากกว่ากล่าวจากนั้นจึงตักเม็ดแป้งสีสวยในน้ำกะทิขึ้นเป่าไล่ความร้อน คงเพราะอากาศที่เย็นลงกระมังจึงทำให้หลายคนมองหาสิ่งที่จะช่วยให้คลายความหนาว หากไม่ใช่เครื่องดื่มอุ่น ๆ ก็เป็นขนมที่รับประทานตอนร้อน ๆ เช่นนี้ แต่ทันทีที่เม็ดแป้งนุ่มเคล้าน้ำกะทิสัมผัสกับปลายลิ้นนุพันธ์ก็รู้ได้ทันทีว่าสภาพอากาศเป็นเพียงเหตุผลน้อยนิด รสชาติละมุนลิ้นเช่นนี้ต่างหากที่ทำให้ลูกค้าต่างก็ทนหนาวเย็นรอต่อคิวเพื่อให้ได้ลิ้มลองอยู่ได้เป็นนานสองนาน
“อร่อยจัง พรุ่งนี้พี่มาทานอีกได้ไหม”
“ถ้าอย่างนั้นผมตักฝากให้กลับไปทานที่บ้านไหมครับ”
“มาทานที่นี่ไม่ได้เหรอ” พูดแล้วก็เงยหน้าขึ้นสบตารอฟังคำตอบ
“อ...เอาที่พี่นุสบายใจก็แล้วกันครับ”
“เอ๋ยล่ะ สบายใจหรือเปล่าถ้าพี่มา”
“ครับ” ธานัทรับคำเบา ๆ เบนสายตาหนีรอยยิ้มละไมแล้วกล่าวต่อ “ผมขอตัวไปล้างมือก่อนนะครับ พี่นุทานเสร็จจะไปส่งที่บ้านให้”
“นั่งเถอะไม่ต้องไปไหนหรอก พี่โทรบอกให้น้องชายมารับแล้วละ”
“ครับ”
“ตกลงว่าพรุ่งนี้ให้พี่มาได้ใช่ไหม” ทันตแพทย์หนุ่มถามย้ำ
“ค...ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พี่มาหาที่ร้านนะ”
(มีต่อค่ะ)