Fallen and Destined 10
หลังจากนั้น เขาก็ยังเพียรพยายามหาทางคุยกับอักษรบ่อยๆ หากฝ่ายนั้นยังคงวางท่าห่างเหิน ขอบฟ้าจึงตัดสินใจเอ่ยถามตรงๆ ออกไป
“เราเผลอทำอะไรให้โอ้ไม่พอใจหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ขอโทษด้วย” เขาอึดอัดกับสภาพที่เป็นอยู่จนทนไม่ได้ อักษรที่เอาแต่เมินหน้าหนีกับเขาที่ได้แต่นั่งสงสัยคาดการณ์ไปต่างๆ นานา หากการเอ่ยขอโทษไปก่อนทั้งที่ไม่แน่ใจว่าทำอะไรผิด จะทำให้เรื่องจบลงได้ เขาก็ยินดี “ใครๆ ก็ว่าเราความรู้สึกช้า เลยทำให้คนอื่นรำคาญเอาบ่อยๆ แต่...”
“พอเถอะ ฟ้า” อักษรหันกลับมามองเขาด้วยแววตาผิดหวัง “ฟ้าทำอะไรลงไปน่าจะรู้อยู่แก่ใจ เรามองฟ้าผิดไปจริงๆ”
พูดแค่นั้น อักษรก็หมุนตัวจากไป ทิ้งให้ขอบฟ้ามองตามด้วยความสับสนหนักยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายจึงได้แต่นึกปลงและหวังว่าสักวันพวกเขาจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้แบบเดิม
เมื่ออักษรปฏิเสธ ขอบฟ้าก็กลับมาสู่วังวนเดิมๆ ของการทำอะไรต่อมิอะไรคนเดียวตอนอยู่ที่ทำงาน แต่จะไม่คนเดียวก็ตอนกลับไปเจอหน้ากร จึงอดให้ความรู้สึกดีขึ้นมาบ้างไม่ได้ เพราะถึงจะทะเลาะกันบ้าง ดีกันบ้าง แต่อย่างน้อยก็มีคนให้เขาพูดคุยด้วยก็แล้วกัน
และแม้จะไม่อยากให้มาถึงแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ถึงวันอาทิตย์จนได้ หลังจากเมื่อวานเพิ่งไปนั่งกำกับเขาถึงห้องพัก บังคับให้เก็บเสื้อผ้ากับข้าวของบางส่วน นอกจากนั่งสั่งการ กรก็เอาแต่บ่นเรื่องห้องพักของเขา หาว่าแคบเท่าแมวดิ้นตายบ้าง เล็กเหมือนนั่งอยู่ในกล่องบ้าง เก่าบ้าง ร้อนบ้าง ไม่ปลอดภัยบ้าง ขอบฟ้าปล่อยให้กรบ่นไปตามเรื่องระหว่างที่เก็บของลงกระเป๋า ฟังไปเพลินๆ ส่งเสียงตอบบ้างไปเป็นพักๆ หันมาอีกทีจึงค่อยพบว่าอีกฝ่ายหลับเค้เก้คาเตียงไปเสียแล้ว
หันไปปรับพัดลมตั้งโต๊ะให้หันไปทางคนนอนหลับแล้วเขาจึงค่อยทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง มองใบหน้าที่แม้แต่ในยามหลับยังดูหงุดหงิดไม่หาย สงสัยว่าจะตามไปบ่นต่อในความฝัน
นั่งมองต่ออีกพักใหญ่แล้วเขาจึงค่อยลุกมาจัดการเก็บของต่อ กว่ากรจะตื่น เขาก็รูดซิปกระเป๋าพอดี ซึ่งพอลุกขึ้นมานั่งโงนเงนได้ กรก็บ่นต่อทันที
“มึนหัวว่ะ ห้องมึงร้อนจนกูปวดหัว”
ดังนั้น ขอบฟ้าจึงชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมเรื่องวันอาทิตย์ว่าอากาศคงจะร้อนยิ่งกว่า แต่โดนผู้ชายตัวร้ายจ้องกลับด้วยสายตาส่อแววสงสัย
“ห้ามขนาดนี้มีอะไรหรือเปล่า หรือมึง...” เขาบริสุทธิ์ใจนะ ให้ตาย แต่พอยืนต่อหน้า กลับเริ่มรู้สึกเหมือนแบกชนักอันเบ้อเริ่มไว้บนหลังก็ไม่ปาน “มีกิ๊กเป็นนักศึกษาซุกไว้”
“จะบ้าเหรอ เอาอะไรมาคิด” ต่อว่าด้วยความฉุนนิดๆ
“ถ้าไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังก็เลิกพูด นี่ไม่เห็นกูแต่งตัวเตรียมพร้อมหรือไง”
เจ้าตัวกางแขนให้ดูชัดๆ กับเสื้อเชิ้ตทับเสื้อกล้าม กางเกงยีนส์สีซีดเปื่อยๆ แค่ชุดเซอร์ๆ แต่คนใส่ยังดูดีอยู่ได้ด้วยรูปร่างที่ทั้งสูงทั้งใหญ่ และแม้หลุดจากลุคปกติไปหลายเท่าตัว หากในสายตาคนมองกลับรู้สึกเหมือนได้เห็นกรในวัยนักศึกษาอีกครั้งมากกว่า
“มัวแต่ทะเลาะกัน น้องมึงนั่งรอรากงอกกันพอดี ตกลงจะไปไม่ไปวะเนี่ย”
ขอบฟ้ายังไม่ค่อยเห็นด้วยอยู่ดีกระทั่งเดินไปยังลานจอดรถและเห็นกรเดินไปยังรถกระบะสี่ประตูที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“รถใครครับ”
“ยืมเพื่อนมา”
กรตอบแบบไม่สนใจนัก หากคนฟังกลับเริ่มรู้สึกผิด ชายหนุ่มอุตส่าห์ไปขอยืมรถมาเพื่อช่วยน้องเขาขนของแท้ๆ ดังนั้นตลอดทางไปยังหอพัก พวกเขาจึงพูดคุยกันได้ตามปกติโดยไม่ทะเลาะกันอีก
แต่ว่า... ให้มาถึงที่แล้ว ถึงไม่อยากโทษฟ้า โทษดินหรือโทษใคร แต่ขอบฟ้าก็เริ่มประหม่า “ฝนเหรอ พี่...พี่มาถึงแล้วนะ รออยู่ข้างล่าง อืม ไม่ต้องรีบก็ได้”
เขามองประตูหอสลับกับร่างสูงที่ยืนกอดอกพิงรถด้วยท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจ จนเห็นน้องสาวที่วันนี้มัดผมเป็นหางม้าน่ารักวิ่งหน้าระรื่นมาหาพร้อมร้องทักนั่นล่ะ กระเพาะเขาก็เริ่มปวดแปล๊บ
“พี่ฟ้า...”
เห็นกับตาว่ารอยยิ้มกว้างหุบฉับทันทีเมื่อปลายฝนมองเลยไปเห็นผู้ชายด้านหลัง แทบไม่ต้องอาศัยเวลาในการนึกทบทวนความทรงจำเลยด้วยซ้ำ เด็กสาวก็ชี้นิ้ว ร้องลั่น “นาย...!”
“ไม่เคยมีใครสั่งใครสอนให้เคารพผู้ใหญ่หรือไง” กรยันตัวขึ้นยืนตรงพร้อมส่งยิ้มยียวน “หืม คุณน้องเมีย...เอ๊ย น้องฝน”
แค่แรกเจอ ขอบฟ้าก็อยากควักยาดมแล้ว หากจำต้องรีบฝืนตัวเอง ตะครุบปากน้องสาวที่ตั้งท่าจะกรี๊ดออกมาไว้ก่อน
“ห้ามมีเรื่องกันเด็ดขาดนะ ยัยฝน! ไม่งั้นพี่ไม่อนุญาตให้เราย้ายหอแล้ว”
รอจนแน่ใจว่าปลายฝนจะไม่กรีดร้องแล้ว ขอบฟ้าจึงค่อยยอมลดมือลง กล่าวสำทับ “อีกอย่าง วันนี้พี่กรอุตส่าห์จะมาช่วยฝนย้ายหอนะ ไม่เห็นแก่หน้าเขา ฝนก็ควรจะเห็นแก่หน้าพี่บ้าง”
ส่งเสียงฮึดฮัดนิดหน่อยก่อนเด็กสาวจะยอมยกมือไหว้ชนิดที่เรียกว่าไปเร็วมาเร็ว คือยกมือขึ้นมาประกบกันดังแปะแล้วลดมือลงทันที “สวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันหลายปี ยังนิสัย...เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลยนะคะ”
“หึหึ” กรหัวเราะกึกกักยามฟังการทักทายแบบให้เติมคำที่เหมาะสมลงในช่องว่าง “สำหรับพี่ น้องฝนก็ยังตลกเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนค่ะ”
ปลายฝนทำท่าขนลุก สะบัดร้อนสะบัดหนาว ร้อนถึงคนกลางอย่างเขาที่ต้องรีบเอ่ย “พอได้แล้วทั้งคู่ ฝนรีบไปติดต่อเจ้าหน้าที่ให้พวกพี่เข้าไปก่อน จะได้เริ่มเก็บของกันเสียที”
สิบนาทีต่อมา พวกเขาสามคนก็มาหยุดยืนมองกองข้าวของที่ยังเก็บไม่เรียบร้อยเท่าไรนัก ขอบฟ้าขมวดคิ้ว หันไปมองหน้าน้องสาวซึ่งรีบแก้ตัว
“ช่วงนี้ฝนต้องทำรายงานส่งอาจารย์ตั้งสองวิชาเลยไม่ค่อยมีเวลาเก็บ แต่นี่เหลืออีกนิดหน่อยเอง พี่ฟ้าช่วยฝนเก็บต่อทีนะ” โดยไม่รอให้ตอบ ปลายฝนก็หันไปคว้าเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ถอดจากไม้แขวนมาส่งให้ “วันนี้เมทฝนบอกว่าจะกลับมาอีกทีเย็นๆ ถ้าเป็นไปได้ เราก็รีบเผ่นกันก่อนยัยนั่นจะมาดีกว่า”
เหลียวซ้ายแลขวามองความวุ่นวายรอบตัวแล้วคนที่ประกาศปาวๆ ว่าจะมาช่วยก็เดินเลี่ยงออกไปทางระเบียงเล็กๆ ควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ขอบฟ้าไม่ค่อยแปลกใจ เพราะเมื่อวานกรก็ทำแบบนี้ คือไม่ช่วยอะไร ดีเสียอีกที่ไม่นั่งบ่นให้ฟัง
“เอามาทำไมเนี่ย” เด็กสาวบุ้ยปากไปทางระเบียง
“อย่างน้อยเราก็มีรถขนของแล้วกัน”
ต่างคนต่างนั่งเก็บของไปพลาง สองพี่น้องก็พูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปพลาง จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่ แน่ใจแล้วว่าคนด้านนอกนั่นไม่สนใจพวกเขาสักเท่าไหร่ เด็กสาวจึงค่อยๆ เอ่ยถามขึ้น
“แล้วนี่เจอกันได้ยังไง”
“...บังเอิญน่ะ”
“บังเอิญแบบไหน”
“แบบ...บังเอิญว่าเขามาเทคโอเวอร์บริษัทไง” ตอบแบบไม่เต็มเสียงทำเอาคนฟังขยับเข้ามาใกล้ขึ้น จ้องหน้าจับผิดเต็มที่
“บังเอิญแน่นะ”
“สำหรับพี่ มันคือความบังเอิญ” เขาอยากจบเรื่องบังเอิญเต็มแก่แล้วนะ
“งั้น...พี่พลรู้หรือยัง” ปลายฝนลดเสียงลงจนเหลือแค่กระซิบกระซาบ ขอบฟ้าเองก็ชำเลืองมองแผ่นหลังกว้างที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักก่อนตอบในระดับเสียงเดียวกัน
“พี่พลไม่อยู่กรุงเทพฯ” เม้มปากนิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วเขาจึงบอกว่า “ไว้พี่บอกเอง เธออย่ายุ่งเรื่องนี้เลย”
“ถึงไม่ห้าม ฝนก็ไม่คิดจะวิ่งโร่ไปฟ้องหรอก” น้องสาวกระแทกเสียงตอบ “น่าสงสาร ทั้งที่คอยอยู่ข้างๆ มาตลอดแท้ๆ แต่กลับมาเจอไอ้เรื่องบังเอิญบ้าบอคอแตก...”
“เฮ้ย” ไม่รู้ว่ากรมายืนเท้าแขนกับกรอบประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สายตาที่จ้องมองมาทำเอาสองพี่น้องสะดุ้ง “มัวแต่คุยเล่นกันแล้วเมื่อไหร่จะเสร็จวะ”
กล่าวจบ ร่างสูงก็ก้าวตึงๆ มาคว้ากล่องเปล่าได้ก็โยนหนังสือทั้งกองลงไป คว้าอีกกล่องมาโกยของใช้กระจุกกระจิกลงโครมเดียวจบ พอเด็กสาวลุกขึ้นตั้งท่าจะอาละวาดกลับโดนยัดกล่องใส่มือแทน
“อืดอาดพอกันทั้งพี่ทั้งน้อง มัวแต่เก็บทีละชิ้นทำถึงพรุ่งนี้ก็ไม่เสร็จ” ดุด้วยเสียงหนักๆ ก่อนออกคำสั่ง “ขนลงไปก่อนเลย รถกระบะสีน้ำเงินที่จอดอยู่ด้านหน้านั่นล่ะ”
“งั้นเดี๋ยวพี่...” ขอบฟ้าตั้งท่าจะลุกตามแต่โดนกดหัวไว้ให้นั่งลงตามเดิม
“ถ้าไม่อยากให้กูโกยเสื้อผ้าน้องมึงใส่กระเป๋า ก็เก็บต่อเงียบๆ ไปเลย”
ชั่วระยะที่ปลายฝนลงไปแล้วกลับขึ้นมาอีกครั้ง กรที่ตอนนี้ท่อนบนสวมแค่เสื้อกล้ามชื้นเหงื่อก็ทำเรื่องมหัศจรรย์เมื่อสามารถเก็บ กวาดและโกยข้าวของรกๆ ลงใส่ถุงบ้าง ลังบ้างจนหมด ทีแรกเจ้าตัวตั้งท่าจะช่วยเขาจัดการในส่วนของเสื้อผ้าต่อ แต่ขอบฟ้ารีบคว้าไว้ทันที ไม่ได้หรอก เสื้อผ้าของน้องสาวจะปล่อยให้ผ่านมือผู้ชายคนอื่นง่ายๆ ได้ยังไง
“ทำอะไรกันอยู่น่ะ” ปลายฝนถามเมื่อเปิดประตูมาเจอสองคนยืนยื้อกระเป๋าเสื้อผ้าอยู่
“พี่มึงกวนตีน!” ตวาดพลางปล่อยสายกระเป๋าของกลางทิ้งแบบกะทันหันจนขอบฟ้าเซแซ่ดๆ ถอยหลังด้วยท่าทางน่าอนาถ ก่อนกรจะหันไปคว้ากล่องที่เต็มไปด้วยหนังสือยกขึ้นด้วยท่าทางไม่หนักแรงเดินออกจากห้องแบบไม่เหลียวหลัง
“พี่แค่... ก็แค่คิดว่าให้คนอื่นมาช่วยจัดเสื้อผ้าของน้องสาวมันคงไม่ค่อยดี” เขาพยายามแก้ตัวเสียงอ่อยยามโดนจ้องด้วยสายตาสงสัยเต็มประดา ซึ่งคิดว่าไม่น่าพูดเลยเพราะปลายฝนด่าซ้ำ
“ปัญญาอ่อน” คนพูดก้มมองลังที่เต็มไปด้วยของที่โดนอัดลงไปในสภาพเละเทะ “ทั้งคู่เลย”
ขอบฟ้าตีหน้าไม่ถูก จะให้เถียงหรือแก้ตัวก็ไร้สาระเกิน ได้แต่ดุเบาๆ “อย่าให้พี่กรได้ยินล่ะ พี่ไม่รับรองความปลอดภัยนะ”
“รู้น่า” ปลายฝนตอบกลั้วหัวเราะ หันมาสะกิดบ่าพี่ชาย “จริงสิ แล้ว...”
“อ้าว ฝน ยังเก็บของไม่เสร็จอีกเหรอ” เสียงผู้มาใหม่ดึงสองพี่น้องให้หันไปมองโดยพร้อมเพรียง ขอบฟ้ากระพริบตาปริบมองเด็กสาวในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์สั้นจุ๊ดจู๋เปิดเรียวขาสวย ถือเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีคนหนึ่ง น่าเสียดายแค่ดูเหมือนจะแต่งหน้าเกินวัยไปบ้างก็เท่านั้น
“ไหนหน่าบอกจะกลับเย็นๆ” ปลายฝนตีหน้ายุ่งเมื่อเห็นเด็กสาวที่น่าจะเป็นรูมเมทเดินยิ้มเข้ามาในห้อง
“แวะมาเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ เดี๋ยวรุ่นพี่มารับ” กล่าวพลางทิ้งตัวลงนั่งใกล้ๆ ขอบฟ้า “พี่ชายฝนเหรอคะ น้อยหน่าค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
“ครับ เรียกฟ้าก็ได้ครับ” เพราะไม่ค่อยได้สนทนากับเพศตรงข้ามมากเท่าไหร่ เขาจึงอดรู้สึกเกร็งนิดๆ ไม่ได้ “ขอโทษที่ทำห้องรกนะ แต่เดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พูดจากเกรงใจไปได้ คนกันเองแท้ๆ” ปลายนิ้วเรียวที่ทาเล็บสีสันสดใสแตะลงบนต้นแขนเขาเบาๆ ให้พอต้องขมวดคิ้ว “เห็นฝนพูดถึงพี่ฟ้าบ่อยๆ ไม่เห็นบอกเลยว่าน่ารักขนาดนี้”
เอ่อ ถึงตั้งแต่เกิดมาจะไม่เคยมีใครชมว่าหล่อเหลาดูดีอะไรก็เถอะ แต่ไอ้คำว่าน่ารักนี่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาปลาบปลื้มสักนิด ขอบฟ้ายิ้มเจื่อนขณะที่ปลายฝนกระแอมไอโขลก
“พี่ฟ้าเขาเป็นคนขี้อายน่ะ หน่าอย่าไปแหย่ดีกว่า”
“ขี้อายจริงเหรอ ขอหน่าทดสอบหน่อยนะคะ” ก่อนที่คนเชื่องช้าอย่างขอบฟ้าจะเข้าใจความหมายนั้นก็โดนสองมือนุ่มจับใบหน้าเอาไว้ พร้อมกับที่เด็กสาวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ว้าว เป็นผู้ชายที่ตาสวยจังนะคะ ผิวก็ดี๊ดี”
“หน่า พอได้แล้ว!” ปลายฝนลุกขึ้นตวาดคล้ายเหลืออด ในขณะที่ผู้เป็นพี่ชายผงะ รีบคว้าข้อมือเด็กสาวทันที
“ปล่อยเถอะครับ น้องเป็นผู้หญิงนะ ไม่ควรล้อเล่นแบบนี้เลย ถึงพี่จะเป็นพี่ชายเพื่อนก็เถอะ” ให้ตายเถอะ เด็กสาวๆ สมัยนี้ใจกล้ามากไปแล้ว ในฐานะพี่ชาย ขอบฟ้ารู้สึกว่าน้องสาวตัวเองถูกเลี้ยงมาได้เหมาะสมกว่าเป็นไหนๆ
“พอก็ได้...” ฝ่ายโดนดุตีหน้าสลดนิดหนึ่ง แต่จู่ๆ กลับยื่นหน้ามาแตะริมฝีปากลงบนข้างแก้มเขา “แต่นิดเดียวคงไม่เป็นไรนะคะ”
สองพี่น้องหน้าเหวอ อ้าปากค้าง ต่างคนต่างตั้งตัวไม่ถูกและยิ่งรับมือไม่ทันเมื่อร่างสูงที่ไม่รู้ว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กำลังยืนมองเหตุการณ์ในห้องเล็กๆ ด้วยสีหน้าคล้ายอยากฆ่าใครสักคนเต็มแก่
...ถ้าจะให้ลองเดาจากสามคนในห้อง คาดว่าอันดับหนึ่งน่าจะเป็นเขานี่ล่ะ
ไม่ต้องรอ ไม่ต้องลุ้นให้เสียเวลา กรกระแทกเท้ามาคว้าคอเสื้อเขากระชากจนตัวปลิว
“มึงคิดว่ากำลังทำเหี้ยอะไรอยู่!” ตะคอกพร้อมเขย่าคอเสื้อเขาเสียหัวสั่นหัวคลอน “ห่างตาเข้าหน่อยไม่ได้ มึงคิดจะให้กูโมโหตายจริงๆ ใช่ไหม!”
“พี่กร ใจเย็นๆ” ถึงจะตกใจ แต่ขอบฟ้าก็พยายามคุมสติเรียกอีกฝ่าย “มันไม่มีอะไรสักหน่อย น้องแค่ล้อเล่น ปล่อยผมก่อน...นะครับ”
เขาจ้องตา พูดเสียงไม่เบาไม่ดัง ทำท่าทีไม่ตื่นตระหนกทั้งที่หัวใจลงไปกองแถวตาตุ่ม คิดว่าคงได้ผลอยู่บ้างเมื่อมือแข็งแม้ไม่ปล่อยแต่ก็ค่อยๆ คลายคอเสื้อที่รั้งคอเขาลง สีหน้ากราดเกรี้ยวดูสงบลงเล็กน้อย
หากยังไม่ทันหายใจโล่งอก เด็กสาวต้นเรื่องกลับแตะมือลงบนต้นแขนกร
“นี่มันอะไรคะ แค่จูบทำไมต้องโวยวายขนาดนี้ด้วย” สายตาที่เคยส่อแววเชิญชวนกลายเป็นออกแนวสงสัยพลางมองพวกเขาสลับกัน “พี่สุดหล่อคนนี้ แหม อย่าบอกนะคะว่าเป็น...”
เด็กสาวทำหน้ารู้เท่าทันพร้อมแค่นเสียงหัวเราะ
“ถ้าได้ทั้งสองขั้ว ไม่สนใจหน่าบ้างเหรอคะ แค่สนุกๆ ไม่ต้องผูกมัดก็ได้ เผื่อจะเบื่ออะไรจืดชืด”
บอกตรงๆ ว่าไม่ได้รู้สึกโดนดูถูก แต่ขอบฟ้ายอบรับว่างงๆ นิดหน่อยที่เด็กสาวๆ สมัยนี้กล้าจนไม่รู้จะพูดยังไง โชคดีที่ปลายฝนเติบโตมาได้อย่างน่ารักสมวัย คนเป็นพี่ชายรู้สึกปลาบปลื้มจริงๆ
“ยัยหน่า!” ก่อนที่ปลายฝนจะลากอดีตเพื่อนร่วมห้องหลบไป กรกลับยกมือห้าม ปรายตามาแทนคำพูดว่าอย่ายุ่ง
ขอบฟ้าพอจะรู้ถึงแค่เจอหน้ากันไม่กี่นาทีว่าน้องน้อยหน่าคงร้ายไม่หยอก ทว่าในขณะเดียวกัน เขาก็จำได้ขึ้นใจว่า...กรก็แรงไม่แพ้ใครหน้าไหนเหมือนกัน
ต่อหน้าต่อตา กรเริ่มยิ้มให้น้องหน่า หากเป็นรอยยิ้มชนิดที่ขอบฟ้าเห็นแล้วอยากวิ่งหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก
“พี่กร น้องเป็นผู้หญิงนะ อย่า...อื้อ” หวังดีจะเอ่ยปากห้ามแต่กลับต้องช็อคตาเหลือกเมื่อชายหนุ่มหันมาขยี้ริมฝีปากลงบนกลีบปากโดยแรง ยิ่งเขาร้องอุทธรณ์อู้อี้ ยิ่งโดนลิ้นร้อนรุกรานจาบจ้วง ยิ่งพยายามขัดขืน ยิ่งโดนกดปากแรงขึ้นจนเจ็บ
แต่กระนั้น พอหยุดนิ่งๆ แบบยอมแพ้ กรก็ไม่ได้หยุด หากเพิ่มความอ่อนหวานจนหัวหมุน ลมหายใจอุ่นๆ กับกลิ่นกายแนบชิดชวนให้ตาลาย เรี่ยวแรงราวกับจะถูกสูบออกไปพร้อมสติรับรู้ ท้ายสุดกว่าอีกฝ่ายจะยอมละริมฝีปากไปอย่างอ้อยอิ่ง ขอบฟ้าก็เข่าอ่อนแทบทรุด เผลอยึดต้นแขนกรไว้แน่น
ขณะยังหอบหายใจเหมือนเพิ่งไปวิ่งมา เขาเห็นสองสาวในห้องมองมาแบบอึ้งๆ ขณะที่กรหันไปกล่าวเสียงดังฟังชัด
“กับผู้หญิงแบบเธอ ฉันจัดไว้ในประเภทขอให้คลำไม่เจอหางเป็นใช้ได้ ตอนนี้ไม่ได้อดอยากถึงขั้นนั้น อีกอย่าง...กับหมอนี่ แค่เห็นหน้า ของก็ขึ้นแล้ว” แล้วกรจึงค่อยสั่งปลายฝนที่ยังพูดไม่ออกสักคำ “เก็บกระเป๋ามา เราจะไปกันแล้ว”
ร่างสูงก้มลงคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กกว่ายัดใส่มือเขา ส่วนใบใหญ่ก็เอาไปสะพายไว้เอง แขนข้างหนึ่งหนีบกล่อง ใช้มืออีกข้างที่ว่างจูงมือเขา สภาพเหมือนพ่อจูงลูกไปโรงเรียน
พอก้าวออกมาที่ทางเดินและสวนทางกับคนที่เดินผ่าน ขอบฟ้าก็ชักหน้าแดง พยายามดึงมือออก เขาไม่นึกโทษคนมองหรอก เพราะถ้าเห็นผู้ชายสองคนเดินจูงมือหอบกระเป๋าเสื้อผ้าเหมือนกำลังหนีตามกัน เขาก็คงมองเหมือนกัน
“พี่กร ปล่อยก่อนได้ไหม คนมอง...”
“จะให้กูจับมือ” กรหยุดเดิน ตวัดเสียงหงุดหงิด “หรือจะให้กูจับมึงปล้ำตรงนี้”
ไม่คิดหรอกว่าผู้ชายตรงหน้าจะล้อกันเล่น “จับมือก็ได้”
เดินจูงมืออวดกันให้คนในหอดูเกือบสิบคนนั่นล่ะกว่าพวกเขาจะลงมาถึงรถ ขอบฟ้าพยายามคิดในแง่ดีว่าไม่เป็นไรหรอก เพราะเขาคงไม่มีวันกลับมาที่นี่อีกแล้ว
ปลายฝนที่วิ่งตามลงมาสมทบรีบเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งรอ ผู้โดยสารสองคนร้อนใจทำท่าอยากรีบออกเดินทางเต็มแก่ ทว่าคนขับดันไม่ยอมขึ้นรถ กลับควักบุหรี่ออกมาจุดสูบซะงั้น
เหมือนเดจาวู ใช่ ทุกครั้งที่เขาอยากรีบไปให้พ้นที่เกิดเหตุ กรต้องควักไอ้บุหรี่บ้านั่นขึ้นมาสูบ ...ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ขอย้ำว่าทุกครั้ง!
“พี่กร เดี๋ยวค่อยสูบได้ไหม” ขอบฟ้าคิดว่าตัวเองน่าจะหัดไปเรียนขับรถสักที เวลาจำเป็นเขาจะได้อาสาขับให้ “ทำไมเราไม่รีบไป...”
“ความผิดมึงยังไม่ได้ชำระ อย่าหาเรื่องให้กูหงุดหงิดเพิ่ม” พูดจบก็ทุบฝากระโปรงหน้ารถที่ยืมเพื่อนมาดังโครม ขอบฟ้าไม่นึกอยากให้กรหันมาทุบหัวเขาแทนจึงไม่ได้เซ้าซี้ต่อ ปลายฝนก็ทำท่าปลงอนิจจัง นั่งกอดกระเป๋าเสื้อผ้า ทำหน้าประมาณจะเกิดอะไรก็ช่างหัวมัน
สรุปว่าเพิ่งจบยกแรกสินะ
มีคนกล่าวไว้ว่าสงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร งานนี้จะมีกี่ศพไม่รู้ แต่ขอบฟ้าคิดว่าเขาน่าจะเป็นศพแรกกระมัง
+++++++++++