Fallen and Destined 3
“ทำอะไรอยู่”
เสียงทุ้มนุ่มดังมาตามสาย ขอบฟ้ามองดูกระเป๋าเสื้อผ้าเปิดอ้าซ่าแล้วตอบงึมงำ “เก็บของนิดหน่อย ว่าแต่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“เพิ่งมาถึงเมื่อเช้า ไปทำธุระให้ที่บ้านจนเสร็จแล้วเพิ่งว่างนี่ล่ะ” นิ่งไปนิดก่อนจะเอ่ยต่อ “ฟ้าเหนื่อยหรือเปล่า ไปหาอะไรกินกับพี่ไหวไหม อยากเจอ...ไม่ได้เห็นหน้าเราตั้งหลายเดือน”
“ผมไม่เป็นไรหรอก แต่พี่พลเถอะ เพิ่งกลับมา วิ่งรอกทำธุระแล้วไม่เหนื่อยเหรอ”
พลชนะรีบเอ่ยด้วยความกระตือรือร้น “สบายมาก งั้นเดี๋ยวพี่ไปรับที่ห้องนะครับ”
วางสายปุ๊บ ขอบฟ้าก็รีบลากกระเป๋าวิ่งหาที่ซ่อน ทีแรกกะจะเอาเข้าไปไว้ในห้องน้ำ แต่ถ้าเกิดพลชนะขอเข้าห้องน้ำคงเห็นมันเป็นอย่างแรก พอคิดจะเอายัดเข้าตู้เสื้อผ้า มันก็รกและเล็กจนไม่มีที่ไว้ พยายามยัดเข้าใต้เตียง เตียงก็เตี้ยเกิน สุดท้ายเขาจึงหมดหนทาง ได้แต่วางไว้บนเตียงโดยเอาหมอนเอาผ้าห่มสุมทับไปตามเรื่อง
เพิ่งสะบัดผ้าคลุมเตียง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “ครับ มาแล้วครับ”
หันไปเช็คสภาพในห้องอีกรอบเมื่อเห็นว่าสะอาดเรียบร้อยดีแล้วเขาค่อยเปิดประตูรับ “พี่พล”
พลชนะที่ยังอยู่ในชุดทำงานเกือบเต็มยศ เพียงแต่คลายปมเนคไทลงและไม่มีเสื้อสูทตัวนอกยืนยิ้มกว้าง มองหน้าเขาครู่หนึ่งก่อนจะอ้าแขนกอดเขาไว้ “คิดถึงจัง ผอมลงหรือเปล่า ช่วงนี้งานหนักเหรอ”
ขนาดวิ่งวุ่นทั้งวัน ตัวพลชนะก็ยังมีกลิ่นน้ำหอมจางๆ ผสมกับกลิ่นเหงื่อนิดๆ ซึ่งเขาก็คิดว่าหอมแบบมีเสน่ห์ดี
“งานไม่ได้ยุ่งมาก ผมไม่ได้ผอมลงสักหน่อยแล้วก็...คิดถึงเหมือนกัน”
อ้อมกอดรัดแน่นขึ้นอีกเมื่อได้ยินคำตอบอู้อี้ นานจนขอบฟ้าเริ่มอึดอัดจึงเริ่มดิ้นยุกยิก “ฮื้อ จะกอดไปถึงไหน ปล่อยได้แล้ว”
ท่อนแขนแข็งแรงยอมปล่อยแบบอ้อยอิ่ง ชายหนุ่มยังคงดูดีเหมือนเดิมหรือต้องเรียกว่าดีขึ้นด้วยซ้ำเมื่อได้ความภูมิฐานจากอายุที่เพิ่มขึ้นช่วยส่งเสริมบุคลิกให้ดูเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ไม่เหลือคราบของเด็กหนุ่มอีกต่อไป
พอขอบฟ้าตั้งใจจะเอ่ยชวนให้ออกจากห้อง พลชนะกลับกวาดตามองสภาพภายในห้องของเขาแล้วขมวดคิ้ว เล่นเอาคนมีชนักเริ่มร้อนตัว เขาว่าเขาเก็บของดีแล้วนะ มันเหลือหลักฐานน่าสงสัยอะไรอยู่อีกหรือไง
“ทำไม...” พลชนะผละจากเขาไปยืนกลางห้อง คิ้วเข้มเริ่มขมวดหนัก “ของในห้องฟ้ามันดูโล่งๆ เตรียมเก็บของจะไปไหน ฟ้าจะย้ายห้องงั้นเหรอ”
เวรกรรม กลายเป็นว่าเก็บดีเกิน ที่แย่คือเขาเป็นคนประเภทพอโดนดักคอปุ๊บจะไปไม่เป็นทันที ความจริงจึงค่อยๆ รั่วไหลออกทางสีหน้าท่าทาง
พลชนะกอดอก ไม่เหลือร่องรอยอารมณ์ดีก่อนหน้า “ว่าไงครับ ฟ้าคิดจะไปไหน ทำไมต้องทำเหมือนปิดบังด้วย มันจะน่าสงสัยเกินไปหน่อยแล้ว”
“พี่พลไม่หิวเหรอ” เขากระเสือกกระสนหาทางรอด แม้จะค่อนข้างริบหรี่ก็ตาม และอีกอย่าง เผื่อว่าพลชนะอิ่มแล้วอาจจะไม่กัดหัวเขาขาดด้วย “เรากินข้าวไปคุยไปดีกว่ามั้ง”
“จะเอางั้นก็ได้” ตอบเสียงเข้ม รอยยิ้มมุมปากดูไม่เข้ากับนัยน์ตา “ถึงยังไงก่อนจะหมดวันนี้ ฟ้าก็ต้องตอบทุกเรื่องที่พี่อยากรู้อยู่ดี”
พวกเขาเลือกร้านอาหารใกล้ๆ ที่คนไม่พลุกพล่านจนเกินไปนัก ทว่าต่อให้มีอาหารมาวางกองตรงหน้า พลชนะก็ไม่ยอมลงมือกินเสียที สิ่งที่ชายหนุ่มทำหลังจากฟังคำอธิบายของเขาคือไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เงียบเสียจนขอบฟ้าไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่พอใจมากหรือไม่รู้สึกอะไรเลยกันแน่
“ฟ้า” เสียงเรียกชื่อทำเอาเขาที่นั่งใจตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่เกือบสะดุ้ง
“ครับ”
“พี่ไม่อยากให้ฟ้าไปเลย” ไม่ได้ผิดความหมายเท่าไหร่แต่ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี “พี่อยากให้ฟ้ามาทำงานกับพี่...หรือถ้าไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้เป็นงานที่เป็นหลักเป็นแหล่ง พี่มีบริษัทคนรู้จักกำลังรับสมัครพนักงานอยู่ ฟ้าลองไปสมัครดูก่อนได้ไหม พี่รับปากว่าจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายแน่นอน”
เป็นการเสนอทางออกที่ดีเกินคาด ขอบฟ้านิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ “ถ้าพี่รับปากแบบนั้น”
“ดีแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเอารายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทมาให้ แล้วฟ้าว่างวันไหนก็เข้าไปกรอกใบสมัคร สัมภาษณ์งานดู ถ้าเป็นภายในเดือนนี้ก็ยิ่งดี เพราะพี่ยังอยู่นี่ จะได้ขับรถพาไปส่งได้ รับรองว่าแค่ไปส่ง ดีไหม”
สุดท้าย พวกเขาจึงได้ลงมือจัดการอาหารมื้อนั้นกันอย่างมีความสุขและปลอดโปร่งทั้งคู่
+++++++++++
เมื่อเช้าวันทำงานเวียนมาถึง สิ่งแรกที่ขอบฟ้าเจอวินาทีที่เหยียบถึงบริษัทคืออักษรซึ่งวิ่งหน้าตื่นตรงมาหา
“ทำไมเมื่อวันศุกร์จู่ๆ ถึงแอบกลับไปก่อนคนเดียว แล้วโทรไปทำไมไม่รับ เรากดโทรศัพท์หาฟ้าจนมือแทบหงิกตลอดวันหยุดเลยนะ ทำไมถึงชอบทำให้เราเป็นห่วงอยู่เรื่อย ฟ้าไม่เห็นว่าเราเป็นเพื่อนแล้วเหรอ”
“ขอโทษนะ พอดีมีคนรู้จักมาหาเลยมัวแต่ยุ่งๆ” ยกเอาพลชนะมาเป็นข้ออ้าง แต่จะว่าอ้างก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะชายหนุ่มก็มาเกี่ยวเขาไปโน่นมานี่ด้วยตลอดช่วงวันหยุดจริงๆ “ว่าแต่มีธุระอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าถึงได้พยายามติดต่อมาขนาดนั้น”
“เปล่าสักหน่อย เราก็แค่...” ปฏิเสธเสียงพัลวันแล้วอักษรก็ลอบมองหน้าเขา มองหาวี่แววพิรุธ “เราไม่แน่ใจว่าฟ้าอาจจะไปได้ยิน...ไปฟังอะไรผิดๆ มาหรือเปล่า”
“โอ้พูดถึงเรื่องอะไร” เพราะรู้ว่าเพื่อนจะลำบากใจ ขอบฟ้าจึงยินดีทำเป็นไม่รับรู้เสียดีกว่า
“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก แหะๆ ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว” อักษรรีบเปลี่ยนเรื่องคุยจนกระทั่งถึงเวลาเริ่มงานนั่นล่ะ ถึงจะยอมวิ่งกลับไปที่แผนกตัวเอง
++++++++++
ขอบฟ้าขออนุญาตลางานในช่วงบ่ายวันถัดมาเมื่อเห็นว่าตอนนี้งานก็แทบไม่มีเหลือแล้ว ซึ่งหัวหน้าก็เอ่ยปากอนุญาตโดยไม่ถามอะไรมากมาย
เอกสารสมัครงานเตรียมพร้อมอยู่ในซองเอกสารแล้วตั้งแต่แรก ทว่าก็ยังโดนเขาดึงออกมาสำรวจตรวจนับอีกรอบระหว่างนั่งแท็กซี่ไปยังที่หมาย โดยเหตุที่เขายอมสิ้นเปลืองนั่งแท็กซี่ไปเช่นนี้เป็นเพราะว่านึกกังวลว่าหากอาการของขาข้างที่ไม่ดีเกิดไปกำเริบที่นั่นคงเป็นภาพที่ไม่น่าดูนัก และอาจจะกลายเป็นเรื่องของบุคลิกภาพไม่ดีไปอีก
ส่วนพลชนะ เขาไม่อยากรบกวนฝ่ายนั้นมากนักจึงตั้งใจว่าไว้จัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยโทรศัพท์ไปบอก
มีคนมากรอกใบสมัครเหมือนเขาอีกสามสี่คน ซึ่งนับว่ามากพอดู อาจจะเป็นเพราะมีการประกาศรับสมัครในจำนวนค่อนข้างเยอะและล้วนแต่เป็นการตำแหน่งที่ต้องการเร่งด่วนจึงทำให้ขั้นตอนค่อนข้างรวบรัดเอาการ หลังกรอกใบสมัคร เขาก็ได้รับการเรียกสัมภาษณ์ขั้นต้นโดยแผนกบุคคลทันที
เรียกว่ายังไม่ทันเครียดหรือเกร็งก็เสร็จแล้ว เขาโทรศัพท์หาพลชนะหลังออกมาจากบริษัทแบบงงๆ
“หา ไปมาแล้วเหรอ แล้วทำไมฟ้าไม่บอกพี่ พี่จะได้ไปรับ” ปลายสายโวยวายเมื่อรู้ว่าเขาไปจัดการมาแล้ว “น้อยใจนะเนี่ย บอกแล้วแท้ๆ ว่าให้เรียก”
“แค่ใกล้ๆ เองนี่ครับ ผมมาเองได้”
“ไม่รู้ล่ะ ฟ้าต้องไปกินข้าวเย็นกับพี่เป็นการไถ่โทษ ไม่งั้นพี่โกรธจริงๆ ด้วย”
เมื่อรับปาก นัดแนะสถานที่และเวลาซึ่งอีกฝ่ายจะเสร็จงานตามมาเรียบร้อยก่อนวางสายไป โทรศัพท์ของเขาก็ดังต่อ “ว่าไง โอ้”
“เรามาหาฟ้าที่แผนกถึงเพิ่งรู้ว่าฟ้าลางานตอนบ่าย ไปทำอะไรน่ะแล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” เสียงแจ้วๆ ดังมาเป็นชุด ครั้นพอฟังธุระของเขา อักษรก็ร้องอย่างดีใจ “เอ๋ จริงน่ะ ไม่เห็นบอกเราก่อนเลย ไม่ได้การ อย่างนี้ต้องฉลอง”
“เดี๋ยวสิ เราเพิ่งสัมภาษณ์กับแผนกบุคคลเองนะ ยังไม่รู้ผลหรอก” ความกระตือรือร้นและท่าทีเปี่ยมชีวิตชีวาของเพื่อนทำให้ขอบฟ้าพลอยอดคึกคักไปด้วยไม่ได้
“แหม เรารู้ว่าต้องได้แน่ๆ ไม่ต้องห่วง แล้วว่าไงล่ะ ไปหาอะไรกินกันที่ไหนดี”
“เย็นนี้เรามีนัดแล้วน่ะ ไปกับพี่ที่เขาแนะนำให้มาสมัครงานที่นี่นั่นล่ะ” ฟังเสียงผิดหวังของอักษรแล้วเขาจึงรีบหาทางออก “ถ้าไง โอ้ไปกับเราไหม เพราะเราก็นัดพี่เขากินข้าวเย็น”
“จะดีเหรอ”
“ดีสิ พี่พลเขาใจดีจะตาย แล้วเราก็อยากให้เขารู้ว่าเรามีเพื่อนน่ารักๆ แบบโอ้ด้วย” ขอบฟ้าตื่นเต้นนิดๆ ที่จะได้พาอักษรไปอวดให้พลชนะดูตามที่กล่าวจริงๆ ชายหนุ่มจะได้เลิกเป็นห่วงว่าเขาจะไม่มีเพื่อนคบเสียที
“ถ้าฟ้าพูดแบบนั้น...”
ดังนั้น เขากับอักษรจึงไปนั่งรอที่ร้านอาหารและด้วยอารมณ์อยากเซอร์ไพรส์ เขาจึงไม่ได้บอกพลชนะก่อนว่าจะพาเพื่อนมาด้วย ขอบฟ้าพูดถึงพลชนะคร่าวๆ ว่ารู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย หากไม่เอ่ยถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา แค่พูดในเชิงเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันเท่านั้น
“ฟ้าชมเสียขนาดนี้ เราว่าพี่เขาต้องเป็นคนดีมากจริงๆ ล่ะ ขนาดคอยช่วยเรื่องงานทั้งที่เป็นแค่รุ่นพี่ คงใจดีกว่าพี่อายเยอะ” อักษรคล้อยตามคำชมที่ได้ยินจนเริ่มเชื่อฝังจิตฝังใจ “นี่ถ้าพี่บอสอ่อนโยนอย่างรุ่นพี่ฟ้าก็คงดี พี่บอสเนี่ยหน้าตาก็ดี อะไรๆ ก็ดีอยู่หรอก เสียอย่างเดียวว่าบางครั้งก็ใจดำ ช่างตำหนิ เขาเป็นคนประเภทชอบความสมบูรณ์แบบน่ะ อะไรที่ไม่ได้มาตรฐานนี่รับไม่ได้เลย”
แค่ได้ยินชื่อ ขอบฟ้าก็เกิดอาการขมๆ ในปาก กระตุกยิ้มรับคำเพื่อนโดยไม่พูดตอบรับหรือปฏิเสธ ดูนาฬิกาแล้วก็เริ่มชะเง้อชะแง้มองหาคนที่นัดไว้ ปกติถ้าพลชนะมาสายมักจะโทรศัพท์มาบอกเขาก่อน แต่วันนี้สายไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว กลับยังไม่มีสายเรียกเข้าสักครั้ง
“ฟ้า” เหมือนเดินออกมาจากความคิด ร่างสูงที่เพิ่งนึกห่วงว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่ากำลังเดินตรงมาทางนี้พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลานั่นจนกระทั่งเดินมาถึงโต๊ะแล้ว เจ้าตัวถึงเพิ่งสังเกตเห็นคนแปลกหน้าอีกคนอยู่ด้วย รอยยิ้มกว้างนั้นจางลงพร้อมสายตาที่มองประเมินอีกฝ่ายรวดเร็ว
“พี่พลครับ โอ้เป็นเพื่อนที่ทำงานของผม ผมชวนเขามากินข้าวเย็นด้วย ...พี่พลไม่ว่าอะไรใช่ไหม” ประโยคสุดท้าย ขอบฟ้าเอ่ยคล้ายไม่มั่นใจ เพราะในเวลานี้ สีหน้าของพลชนะนิ่งเฉยจนติดจะเย็นชาด้วยซ้ำ ซึ่งเขาไม่คุ้ยเคยกับท่าทีแบบนี้ของชายหนุ่มสักเท่าไหร่
“หืม อะไรกัน พี่จะว่าอะไรได้ แค่ตกใจที่ฟ้ามีเพื่อนน่ารักขนาดนี้ด้วยต่างหาก” รอยยิ้มอบอุ่นกลับมาเหมือนมีคนสับสวิตช์ พลชนะทรุดตัวลงนั่งด้านข้างเขาแล้วแนะนำตัว “โอ้คงอายุเท่าๆ กับฟ้าสินะ ถ้าไม่รังเกียจก็เรียกพี่ว่าพี่พลเหมือนฟ้าก็ได้”
“ขอบคุณครับ พี่พล” อักษรเองก็เพิ่งจะเรียกรอยยิ้มกลับมาได้เช่นกันหลังจากที่หน้าเจื่อนไปชั่วครู่จากสายตามองประเมินในตอนแรกเจอของทั้งคู่
“แล้วนี่สั่งอะไรกันหรือยัง พี่ชักหิวแล้วสิ”
ขอบฟ้ากับอักษรกุลีกุจอโบกมือเรียกพนักงานและรีบสั่งอาหารเพิ่มเติม หลังจากพนักงานรับรายการผละไปแล้ว พลชนะจึงค่อยๆ หยิบกล่องกำมะหยี่ใบยาวขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงและยื่นให้คนข้างๆ
“วันนี้มาช้าไปหน่อยเพราะมัวแต่แวะไปเอาเจ้านี่ ของฝากน่ะ ฟ้าลองเปิดดูสิ”
บอกตรงๆ ว่าแค่เห็นกล่องก็เกิดอาการเกร็งแล้ว หากด้วยสายตาคาดหวังของพลชนะ ขอบฟ้าจึงไม่อยากปฏิเสธตั้งแต่แรกเริ่มและเปิดกล่องออกมาดู พบว่าเป็นสร้อยเงินเส้นบางที่ดูสวยงามแบบเรียบหรูเหมาะกับผู้ชาย
“เอ่อ...” นึกหาคำพูดที่จะไม่แสดงความผิดปกติให้เพื่อนเห็น แต่ขณะที่มัวแต่นึก พลชนะก็หยิบสร้อยเส้นนั้นติดมือขึ้นมาแล้ว
“พี่ใส่ให้นะ” คนพูดแกะตะขอสายสร้อยและโน้มตัวเข้ามาใกล้ บรรจงทาบทับสร้อยลงรอบคอแล้วก้มหน้าลงจนใบหน้าพวกเขาแทบจะติดกันเพื่อเกี่ยวตะขอให้เข้าที่
ขอบฟ้าเริ่มอึกอักเพราะความใกล้ชิดเกินจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย เร่งภาวนาขอให้ชายหนุ่มใส่สร้อยให้เสร็จเสียที
“ฟ้าอยู่นิ่งๆ สิครับ ขยับยุกยิก พี่ยิ่งมองไม่เห็นนะ” เสียงดุเบาๆ ทำให้เขานั่งนิ่งเป็นก้อนหิน แทบไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ
กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ ขอบฟ้าก็คิดว่าจะขาดอากาศหายใจตายเสียแล้ว พลชนะถอยห่างออกไปแต่ยังไม่วายเอื้อมมือมาแตะสร้อยเส้นเล็กเย็นเฉียบที่ทาบอยู่บนผิวอุ่นบริเวณลำคอ
“ห้ามถอดล่ะ”
.............
...................
ก่อนที่ใครจะเอ่ยอะไรขึ้นมาอีก โทรศัพท์ของพลชนะก็ดังขึ้น ชายหนุ่มก้มดูหน้าจอและเอ่ยกับพวกเขา
“ขอพี่คุยธุระแป๊บนึง ถ้าอาหารมาก็กินกันไปได้เลยนะ ไม่ต้องรอ” แล้วจึงผละไป ทิ้งพวกเขาสองคนนั่งกันอยู่ที่โต๊ะ
ขอบฟ้าไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีสีหน้ายังไง แต่ที่รู้ๆ คือถ้าเขามีสีหน้าเหมือนอักษรในเวลานี้คงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่
+++++++++++
หวังจะเอาอักษรมาเปิดตัว ดันกลายเป็นงานเปิดตัวพลชนะแทน เรียกว่าจัดงานแกรนด์โอเพนนิ่งกันแบบไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว
พวกเขามองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ขอบฟ้าเป็นฝ่ายเอ่ยเกร็งๆ ได้ก่อน “โอ้หน้าแดงมากเลยนะ”
คนถูกทักว่าหน้าแดงอึ้งนิดๆ และโต้กลับเสียงนิ่ง “แต่เราว่าหน้าฟ้าคงแดงกว่าหน้าเราเยอะ เรามั่นใจ”
ทั้งสองนั่งเงียบไม่เอ่ยคำใดอีกจนกระทั่งอาหารทยอยมาเสิร์ฟ อักษรจึงทำลายความเงียบด้วยคำถาม “เขาเป็นอะไรกับฟ้า”
ชะงักไปนิดก่อนที่ขอบฟ้าจะตอบโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย “รุ่นพี่”
“เหรอ รุ่นพี่นะ” รับคำอืออาแล้วต่างคนก็ต่างกินข้าวไปเงียบๆ จนกระทั่งพลชนะกลับมา
“โทษที พอดีลูกค้ามีปัญหานิดหน่อย” นั่งลงได้ปุ๊บ ชายหนุ่มก็ตักกับข้าวใส่จานคนนั่งข้างๆ ปั๊บ “กินเยอะๆ นะ ฟ้าผอมลงทุกครั้งที่พี่เจอเลย”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ผอมลง” แก้ตัวอุบอิบขณะนึกตะขิดตะขวงอย่างหนัก เพราะแม้จะเป็นการกระทำแบบเดิมแต่เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าบุคคลที่สาม ขอบฟ้าก็อดหวาดระแวงไม่ได้เหมือนคนมีชนักติดหลัง “พี่พลกินไปเถอะ ผมตักเองได้”
แต่พลชนะไม่สนใจและยังเพียรตักอาหารด้วยกิริยาเอาใจใส่...ที่ดูยังไงก็มากกว่าปกติ ยังดีอยู่นิดตรงที่นานๆ ครั้งก็จะหันไปบริการอักษรด้วย ทว่าหลักๆ ก็ยังไม่พ้นเขาอยู่ดี
เมื่ออาหารมื้อนั้นจบลง ขอบฟ้าก็แทบจะยกมือกราบขอบพระคุณ พลชนะอาสาไปส่งอักษรถึงที่พักโดยไม่ยอมแวะไปส่งเขาที่ห้องก่อนทั้งที่เป็นทางผ่าน จากทั้งหมดที่ว่ามา จะพลิกตะแคงดูอีท่าไหน...มันก็ผิดปกติชัดๆ
ทว่าถึงจะรู้สึกถึงความผิดปกติ ขอบฟ้าก็ไม่ได้ฉลาดพอจะรู้ว่าสาเหตุคืออะไร กระทั่งตอนจะแยกจากกันในคืนนั้น พลชนะก็ไม่ยอมบอกสาเหตุออกมาทั้งที่เห็นหน้าตาสงสัยสุดขีดของเขา ปล่อยให้ขอบฟ้าเข้านอนในคืนนั้นไปแบบงงๆ
กว่าเขาจะได้ฟังคำสันนิษฐานจากปากของอักษรก็เป็นในวันถัดมา
“พี่พลต้องชอบฟ้าแน่ๆ” อักษรพูดเป็นอย่างแรกในตอนที่เจอหน้ามึนๆ ของเพื่อน “ต่อให้ไม่ชอบก็ต้องหวง คงกลัวว่าเราจะคิดไม่ซื่อมั้งเลยแสดงออกชัดเจนซะขนาดคนมองเฉยๆ แบบเรายังอายแทน น่าอิจฉาจังน้า เราก็อยากมีคนดีๆ แบบพี่เขามาชอบบ้างจัง”
สำหรับคนฟัง นั่นไม่ใช่เรื่องดี มันคือปัญหา คือความกระอักกระอ่วน จนป่านนี้แล้ว พลชนะยังจะคิดกับเขาในทำนองนั้นได้อีกเหรอ
จนป่านนี้แล้ว เขาก็ยังรอใครบางคนอยู่ ถึงจะเป็นการรอแบบไม่มีความหวังก็ตามที
“ไม่มีทางหรอก มันไม่มีทาง...เป็นไปได้หรอก” จำได้ว่าเขาตอบต่อข้อสันนิษฐานของอักษรและบอกกับตัวเองถึงเรื่องความหวังในเรื่องที่ไม่ควรหวังเลยสักนิด
หลังจากนั้นไม่ว่าอักษรจะเซ้าซี้ต่ออย่างไร ขอบฟ้าก็ไม่ยอมตอบอีก จนเพื่อนสนิทยอมเลิกราไปเอง
“ขอบฟ้า คุณอย่าลืมไปยื่นเอกสารอนุมัติการย้ายสาขาที่แผนกบุคคลด้วยล่ะ จัดการไว้แต่เนิ่นๆ จะดีกว่า” หัวหน้าแผนกแวะมาบอกเขาพร้อมยื่นแบบฟอร์มที่มีลายเซ็นประทับตราเรียบร้อยส่งให้
เขารับมาไว้ในมือและเริ่มเดินไปยังแผนกบุคคล ยื่นเอกสารให้พนักงานทางด้านหน้าซึ่งบอกให้เขารอสักครู่ ระหว่างที่ยืนรอนั้นเอง ผู้จัดการฝ่ายบุคคลก็เดินสวนพรวดพราดออกไป นั่นยังไม่ได้ทำให้เขาคิดอะไรมากเท่ากับตอนได้ยินพนักงานสาวๆ เริ่มคุยกันเอง
“เห็นว่านายใหญ่จะแวะมากะทันหัน คงมาดูความพร้อมก่อนเซ็นสัญญาล่ะมั้ง”
“ก็จะเปลี่ยนชื่อส่งมอบกันต้นเดือนที่จะถึงอยู่นี่แล้ว ความจริงมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วนี่นา”
“แหงสิ ลดสัดส่วนพนักงานทางเราลงไปตั้งขนาดนั้นแล้ว”
“ความจริง กิจการบริษัทก่อนหน้าก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย ทำไมถึงต้องบีบกันแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้”
เขาไม่ค่อยมีความรู้เรื่องแบบนี้เท่าไหร่ แต่ฟังแล้วก็ให้ความรู้สึกไม่ค่อยดีนัก บางทีเขาน่าจะลองเก็บไปถามพลชนะดู
“นี่ค่ะ ขอโทษที่ให้รอ” พนักงานสาวยื่นเอกสารส่งให้ บอกคร่าวๆ ว่าเป็นสัญญาว่าจ้างฉบับใหม่แทนฉบับเก่าที่ยกเลิกไป ขอบฟ้าขอบคุณและเดินถือกลับมายืนรอลิฟต์
เสียงฝีเท้าหลายคู่ที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้เขาเหลียวหลังไปมองและพบว่าเป็นคณะกรรมการบริหารกับเหล่าผู้ติดตามกำลังเดินมาเป็นกลุ่มใหญ่ ห้อมล้อมใครคนหนึ่งที่เดินลิ่วๆ เป็นไข่แดงอยู่ตรงกลาง
ก่อนจะคิดอะไรออก ขอบฟ้าก็หันหลังกลับเดินเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถไปอีกทาง บอกตัวเองไม่ให้หันไปมอง บอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ร่างกายกลับขยับไปเองโดยไม่ยอมฟังคำสั่งจากสมอง
ร่างนั้นสูงกว่าทุกคนที่ยืนล้อมรอบอยู่ ผมที่เคยยุ่งเหยิงค่อนข้างยาวถูกตัดให้สั้นลงและจัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ ไหล่กว้างภายใต้ชุดสูทดูจะใหญ่ขึ้น หน้าตา...แม้ไม่บูดบึ้งแต่ก็ไม่ได้ยิ้มแย้ม เขารู้ว่าเจ้าตัวคงกำลังไม่สบอารมณ์อะไรสักอย่าง ฝ่ายนั้นยังคงเป็นชายหนุ่มที่ดูดี หล่อเหลาแม้ไรเคราเขียวๆ จะทำให้ใบหน้าดูดุกว่าเดิม หากโดยรวมกลับดูภูมิฐาน ดูมีสง่าราศี ดูหงุดหงิด ดูคุ้นตาจนอยากจะร้องไห้
ประตูลิฟต์ปิดไปแล้ว แต่เขายังยืนอยู่ที่เดิม
วินาทีนั้นเอง ขอบฟ้าจึงรับรู้ความจริงในที่สุดว่าเขายังคงเป็นคนเก่าอย่างที่เคยเป็น ยังยืนอยู่ที่เดิมมาตลอด ในขณะที่อีกฝ่ายเปลี่ยนไปและก้าวเดินไปข้างหน้ามาเนิ่นนานแล้ว
++++++++++