Fallen and Destined 1
“เลิกงานแล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า ฉลองเงินเดือนออกกัน”
เสียงนั้นดังมาจากผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเอ่ยชวนเพื่อนๆ โดยไม่ได้เจาะจงและมีเสียงตอบรับหลากหลาย
“เออๆ ไปด้วย ไปร้านเดิมนะ เขาเปิดเพลงเพราะดี”
“ว่าจะเริ่มเก็บเงินสักหน่อย แต่ไปก็ได้วะ เดี๋ยวค่อยเริ่มเก็บใหม่เดือนหน้า”
“จะไปกินกันกี่โมง เดี๋ยวต้องไปรับแฟนก่อนแล้วจะรีบตามไปนะโว้ย”
แม้จะยังไม่ถึงเวลาเลิกงานแต่บรรยากาศก็ครึกครื้นขึ้นทันตา และทันทีที่นาฬิกาบอกเวลาเลิกงานปุ๊บ แทบทุกคนก็รีบเก็บงานที่ทำเสร็จบ้าง ยังไม่เสร็จบ้างเข้าแฟ้มเพื่อมาทำต่อในอาทิตย์หน้า มีเพียงสี่ห้าคนที่ไม่ได้มีทีท่ารีบร้อนเพราะไม่ได้คิดจะไปฉลองเงินเดือนออกแต่คิดจะตรงกลับบ้านไปหาครอบครัว
ทว่าในจำนวนคนน้อยนิดนั้นก็มีใครคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในกรณีดังกล่าว
หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินย้อนกลับมาหยิบของที่ลืมทิ้งไว้บนโต๊ะเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นว่ายังมีใครอีกคนยังก้มหน้าก้มตาทำงานไม่เลิก
“อ้าว ทำไมยังนั่งอยู่อีก งานเร่งเหรอ” เธอพยายามนึกหาเรื่องชวนคุยกับพนักงานร่วมแผนกที่ไม่ค่อยสนิทสนมกันนักคนนี้
ฝ่ายนั้นดูจะไม่ทันตั้งตัวนิดหน่อย คงไม่คิดว่าจะมีใครเอ่ยทัก “ก็ไม่เร่งเท่าไหร่หรอก แต่เราอยากทำให้เสร็จน่ะ”
“อืม ขยันจัง” รับคำแล้วเธอจึงเอ่ยชวนตามมารยาท “ถ้าทำเสร็จแล้วก็ตามไปที่ร้านสิ”
แม้จะพยักหน้ารับ แต่ต่างฝ่ายก็ต่างรู้ว่าเขาไม่มีทางตามไปที่ร้านแน่ หญิงสาวจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากยิ้มให้อีกครั้งและรีบวิ่งตามเพื่อนๆ ที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
จนหญิงสาวลับตาไป ขอบฟ้าจึงค่อยถอนหายใจ งานเลี้ยงย่อยๆ แบบนี้ใช่ว่าเขาไม่เคยพยายามมีส่วนร่วม แต่เขาเคยไปแล้ววางตัวไม่ค่อยถูก ในขณะที่ทุกคนดื่มกินพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เขากลับไม่ดื่มเหล้าและยังติดนิสัยชอบฟังมากกว่า ที่สำคัญ เขาไม่ชอบสถานที่หนวกหูแบบนั้นเท่าไหร่ด้วย
หลังเลิกงาน ขอแค่หนังสือสักเล่มกับอาหารเย็นอร่อยๆ สักอย่างสำหรับกินในห้องพักเงียบๆ ขอบฟ้าก็มีความสุขพอแล้ว เมื่อรู้ตัวดังนั้น เขาจึงไม่พยายามฝืนตัวเองให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบมากนัก
ก้มลงจัดการเอกสารบนโต๊ะต่อได้สักพักก็มีเสียงเรียกดังขึ้น “ฟ้า ยังนั่งทำงานอยู่อีก ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง ทำไปเขาก็ไม่มีโอทีให้หรอก”
ขอบฟ้าเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้เจ้าของเสียง บนใบหน้านั้นมีรอยยิ้มกว้างสดใสและยังดูน่ารักแม้เจ้าตัวจะพยายามเปลี่ยนให้ดูมู่ทู่ก็ตาม “ยังจะยิ้มอีก นี่เรากำลังโมโหอยู่นะ”
“ก็โอ้น่ารักนี่ ถึงจะโกรธจนแก้มป่องก็เถอะ” ตอบพลางเพ่งพินิจดูใบหน้าขาวใสของเพื่อนร่วมงานต่างแผนกอย่างอักษร แม้จะเป็นผู้ชาย แต่ก็เป็นผู้ชายที่น่ารักมากๆ ด้วยดวงตากลม ปากสีชมพูที่ชอบพูดจ๋อยๆ จนเป็นที่เอ็นดูของหลายๆ คน นอกจากนี้อักษรยังเป็นคนอัธยาศัยดีมากและยึดเอาเขาที่เข้าทำงานพร้อมกันเป็นเพื่อนไปด้วยโดยปริยาย
“ไม่ต้องมายอเลย เสียเวลาเปล่า รีบๆ เก็บของได้แล้ว” ไม่พูดเปล่า อักษรยังชะโงกหน้ามารวบงานบนโต๊ะเก็บเข้าแฟ้มแบบไม่ยอมฟังคำคัดค้าน “เราต้องไปซื้อของให้พี่ เราอยากให้ฟ้าไปเป็นเพื่อน ไปนะ แล้วเดี๋ยวจะเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนให้ด้วย”
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางปฏิเสธ เขาจึงยอมเก็บของแต่โดยดี “ไปน่ะไปได้อยู่แล้ว ไม่ต้องเลี้ยงข้าวหรอก เกรงใจ”
“ฟ้าเนี่ยขี้เกรงใจจังน้า” อีกฝ่ายกล่าวพลางหัวเราะ “รีบไปกันเถอะ เย็นๆ อย่างนี้รถคงติดน่าดู”
เป็นจริงอย่างที่คาดเดาเพราะกว่าที่ทั้งสองจะมาถึงจุดหมายก็กินเวลาเกือบชั่วโมง โชคดีที่อักษรจัดการซื้อของได้เร็ว ทั้งคู่จึงได้เข้าไปนั่งพักกินข้าวกินน้ำหลังจากนั้นไม่นาน
“เฮ้อ เหนื่อยชะมัด วันศุกร์สิ้นเดือนแบบนี้คนเยอะจริงๆ” อักษรบ่นงึมงำและเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นอีกคนเงียบๆ “ฟ้าเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นเงียบไปตั้งแต่เมื่อกี๊”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่มึนหัวนิดหน่อย คนเยอะจนตาลายน่ะ” รีบตอบพร้อมยิ้ม “แต่ก็ดีนะที่ซื้อได้แล้ว”
“อื้ม พี่อายนั่นล่ะ ไม่รู้จะบ้าอ่านการ์ตูนไปถึงไหน โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วแท้ๆ แถมเจ้าตัวก็ไม่ค่อยว่างมาซื้อเอง ชอบใช้เราอยู่เรื่อย...” อักษรยังบ่นต่อยาวเหยียดจนกระทั่งได้จานข้าวมาถือไว้นั่นล่ะถึงค่อยเลิกบ่นและรีบจัดการอาหารตรงหน้าแทน
ส่วนขอบฟ้าที่อาศัยเสียงพูดแจ้วๆ ของเพื่อนช่วยดึงความสนใจไปจากอาการปวดหนึบที่ขาก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว พวกเขาสองคนกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในบริเวณศูนย์อาหาร เนื่องจากอักษรยืนยันว่าจะเลี้ยง เขาจึงบอกว่างั้นขอกินที่ศูนย์อาหารแทนร้านอาหารหรูๆ ตามที่อีกฝ่ายเสนอ
ความจริงด้วยฐานะทางบ้านของอักษร เจ้าตัวไม่มีความจำเป็นจะต้องมาทำงานเป็นลูกจ้างเงินเดือนต่ำแบบนี้แม้แต่น้อย แต่เนื่องจากเด็กหนุ่มไม่ต้องการถูกโอ๋จากพ่อและพี่ๆ อีก เขาจึงตัดสินใจเริ่มทำงานในตำแหน่งผู้น้อยแบบคนทั่วไปแทน
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาเตรียมตัวจะกลับบ้านนั้นเอง ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก “สวัสดีครับ”
ทั้งสองเงยหน้ามองผู้มาใหม่แบบงงๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรตอบ
“คือเห็นน้องน่ารักเลยอยากขอเบอร์หน่อยได้ไหมครับ” สายตาที่พุ่งตรงไปที่อักษรทำให้เจ้าตัวเริ่มหน้าเบี้ยว
“ผมเป็นผู้ชาย”
“ผมรู้ แต่น้องน่ารักมากๆ ยังไงถ้าไม่รังเกียจ...” ก่อนจะทันเอ่ยต่อจนจบ อักษรก็ลุกพรวด ลากมือขอบฟ้าเดินลิ่วๆ ออกจากบริเวณนั้น และพูดอย่างมีน้ำโห
“อะไรของหมอนั่น! เดี๋ยวนี้ผู้ชายเขาเดินเข้ามาขอเบอร์ผู้ชายเหมือนกันดื้อๆ เลยเหรอ จะด่าว่าตาถั่วก็ดันรู้อยู่แล้ว งั้นต้องด่าว่าหม้อไม่เลือก”
“ก็โอ้น่ารักนี่ ทำไงได้” หากพอเห็นเพื่อนตวัดตามองมาแบบฉุนๆ ขอบฟ้าก็รีบพูด “ไหนเคยเล่าว่าสมัยเรียนเจอบ่อย ทำไมถึงได้ยังโกรธอยู่อีกล่ะ”
“นั่นมันสมัยเรียน เราก็ยังเด็กๆ อยู่เลยไม่อยากจะคิดมาก” อักษรทำท่าสั่งสอน “แต่นี่เราก็แต่งตัวแบบคนทำงานกันแล้ว ไม่ได้มีตรงไหนจะดูน่ารักหน่อมแน้มอีก ทำไมยังพวกบ้าๆ พรรค์นี้ยังไม่เลิกตอแยอีกก็ไม่รู้”
“อืม ใจเย็นเถอะ อย่าไปหัวเสียกับพวกนั้นเลย เขาคงไม่รู้น่ะ” พยายามพูดให้อีกฝ่ายสบายใจโดยไม่ได้คิดอะไรแต่ขอบฟ้ากลับต้องสะอึกเมื่ออักษรทำปากยื่น
“แหงสิ ฟ้าก็ใจเย็นได้นี่นา คนไม่เคยโดนตามจีบไม่รู้หรอก” ครั้นพอเห็นสีหน้าอึ้งๆ ของเพื่อน อักษรจึงรีบแก้คำพูด “เราไม่ได้ว่าฟ้านะ ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น คือ...เราหมายถึงโดนผู้ชายจีบทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นผู้ชายต่างหาก”
รีบตีสีหน้าให้เป็นปกติ ปัดความทรงจำเก่าๆ ในหัวทิ้งแล้วขอบฟ้าจึงค่อยหัวเราะเสียงแห้ง “นั่นสินะ ของแบบนี้ไม่โดนกับตัวคงไม่รู้”
หลังจากนั้น อักษรก็ชวนคุยเรื่องอื่นจนกระทั่งกินข้าวเสร็จ พวกเขาจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน เมื่อเปิดประตูไขเข้าห้องพักได้ ขอบฟ้าก็เดินไปนั่งพักที่เก้าอี้ก่อนเป็นอย่างแรก แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เขาชักกลายเป็นพวกติดเก้าอี้ไปเสียแล้ว เห็นเป็นไม่ได้ ต้องโผเข้าหาทุกที
ภายในห้องพักขนาดเล็กมีข้าวของเฉพาะที่จำเป็น เช่น เตียง ตู้เสื้อผ้า ตู้เย็นเครื่องเล็ก สิ่งฟุ่มเฟือยเพียงอย่างเดียวคือโทรทัศน์ที่มุมห้องซึ่งทิวหมอกซื้อให้หลังจากมาเยี่ยมเขาที่ห้องในครั้งแรกและเห็นความมัธยัสถ์ของเขา
ในตอนแรก เขาคิดจะปฏิเสธไม่รับไว้ด้วยซ้ำ “มันเปลืองค่าไฟ ผมไม่ค่อยชอบดูหนังดูละครอยู่แล้วด้วย”
“เปิดแค่วันละไม่กี่ชั่วโมง ค่าไฟไม่เท่าไหร่หรอก” ทิวหมอกไม่ยอมรับของขวัญกลับมาและกล่าวเสริมเมื่อเห็นท่าทีลังเลของน้องชาย “ห้องแกเงียบเหมือนป่าช้า อย่าให้มันวังเวงนักจะได้ไหม”
หลังจากยอมรับมา ขอบฟ้าก็พบว่ามันช่วยคลายความเงียบเหงาไปได้เยอะทีเดียวกับการที่ต้องกลับมาอยู่ในห้องคนเดียว เสียงจากโทรทัศน์ช่วยให้เขาเพลินและไม่ฟุ้งซ่านมากนัก
อย่างเช่นในคืนนี้ เขาก็นั่งดูรายการทอล์คโชว์จนเริ่มง่วง จึงค่อยปิดโทรทัศน์และกลับมาล้มตัวนอนแล้วจบหนึ่งวันอันเรียบง่ายไปในที่สุด
++++++++++
“ขอบฟ้า คุณเข้ามาพบผมหน่อย”
เสียงเรียกจากหัวหน้าแผนกทำให้เขาที่นั่งทำงานเอกสารมาตั้งแต่เช้าเงยหน้าขึ้น สบตากับหัวหน้าที่ยืนมองมาจากที่ไม่ไกลนักแล้วรีบลุกขึ้นเดินไปหา
เมื่อเข้าไปยืนหน้าโต๊ะที่มีการกั้นบริเวณไว้เป็นสัดส่วน ขอบฟ้าก็อดประหม่าไม่ได้ “หัวหน้ามีอะไรเหรอครับ”
“ไม่ต้องเครียด นั่งลงก่อนสิ” รอจนเขานั่งลง หัวหน้าแผนกซึ่งเป็นชายวัยปลายสี่สิบ ลงพุงนิดๆ ชอบขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลาและชอบให้ลูกน้องประจบประแจงก็เอ่ยขึ้น “งานที่ทำตอนนี้มีปัญหาอะไรบ้างไหม”
“ไม่มีครับ ผมไม่มีปัญหาอะไร” ตอบพลางนึกกังวลว่าตัวเองจะเผลอไปทำอะไรผิดเข้าโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า
“งั้นเหรอ” พยักหน้ารับแล้วคิ้วที่ขมวดอยู่ก่อนก็ขมวดมุ่นหนักขึ้น “อย่างที่รู้นะว่าตอนนี้ทางบริษัทกำลังจะควบรวมกับบริษัทแม่ แล้วจะดำเนินการแผนปรับโครงสร้างภายในแผนกต่างๆ หลักๆ ก็เป็นการโยกย้ายสับเปลี่ยนทรัพยากรบุคคลกับอีกอย่าง คือการลดจำนวนพนักงานของบริษัทเพราะเขาถือทางโน้นเป็นหลัก”
ขอบฟ้ากลืนน้ำลาย เริ่มเกร็งมากขึ้น
“ทางแผนกเราก็โดนเหมือนกัน เบื้องบนเขาให้อำนาจผมเป็นคนพิจารณา ซึ่งผมก็ดูมาพักใหญ่แล้ว คุณอยู่ในตัวเลือกหนึ่งของผม” ไม่รู้เขาทำหน้ายังไงออกไป แต่หัวหน้าก็รีบโบกมือ “อย่าเพิ่งตกใจไป ผมพิจารณาคุณในส่วนของการย้ายแผนกต่างหาก”
เขานิ่งฟังรายละเอียดการโยกย้ายหลังจากนั้น มันไม่ใช่การบังคับแต่คือการสมัครใจ หัวหน้าให้เวลาเขาไปคิดดูหนึ่งเดือน อันที่จริง ขอบฟ้าก็ไม่ได้นึกยึดติดกับตำแหน่งหรือแผนกที่ทำอยู่สักเท่าไหร่ การจะขอความร่วมมือให้ย้ายก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก เพียงแต่ว่า...
แผนกใหม่ที่ว่าไม่ได้ประจำการอยู่ที่สำนักงานใหญ่ แต่เป็นการเดินสายออกต่างจังหวัด เงินเดือนเพิ่มขึ้นนิดหน่อยแต่ไม่คุ้มค่าเหนื่อยทำให้พนักงานมักจะอยู่ได้ไม่นาน
แม้ปากจะบอกว่าแล้วแต่สมัครใจ แต่ขอบฟ้าก็รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ เขากลัดกลุ้มมากจนนอนไม่หลับและมักจะเก็บเรื่องนี้มาครุ่นคิดแทบจะตลอดเวลา เมื่ออักษรเอ่ยปากทักเรื่องใจลอยบ่อยๆ เขาก็มักจะยิ้มกลบเกลื่อน พึมพำว่าไม่มีอะไร
หัวหน้าแผนกให้เวลาเขาตัดสินใจหนึ่งเดือนก่อนย้าย เขาจึงคิดจะใช้เวลาหนึ่งเดือนที่ว่าทำใจแทน
“แย่ชะมัด ที่แผนกเรามีคนโดนเลย์ออฟตั้งหลายคนแน่ะ โชคดีนะที่เขาเลือกแต่พวกมีปัญหา ชอบอู้งานไม่ก็โดดร่มแกล้งป่วยบ่อยๆ” อักษรพูดขึ้นตอนที่พวกเขานั่งกินข้าวกลางวันด้วยกันที่ห้องอาหารสวัสดิการ “แล้วที่แผนกฟ้าล่ะ เป็นไงบ้าง เขาบอกอะไรบ้างหรือเปล่า”
“อืม ก็...” แค่คิดถึง ลำคอก็ตีบตันจนต้องวางช้อน พยายามคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีและดีกว่าการโดนเลย์ออฟอย่างที่อักษรพูดเยอะ เมื่อปลอบใจตัวเองได้ดังนั้น ขอบฟ้าจึงยิ้ม “เราโดนขอให้ย้ายแผนกน่ะ”
“หา! จริงดิ แล้วย้ายไปแผนกอะไร” ตาโตๆ ของอักษรเบิ่งกว้างและยิ่งกว้างจนคิ้วเลิกสูงลิ่วเมื่อฟังคำตอบ “ต่างจังหวัด! ได้ไง! คนที่ไม่เคยลาป่วย ไม่เคยมาทำงานสายแบบฟ้าทำไมต้องโดนย้ายด้วย ไม่ยุติธรรมเลย!”
คำถามนั้นเขาก็เคยสงสัย แต่การคาดเดาคำตอบกลับยิ่งทำให้รู้สึกแย่จนไม่อยากนึกถึง
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อย เราก็ว่าดีกว่าโดนเลย์ออฟเยอะ” การหยิบยกข้อดีขึ้นมาพูดถึงทำให้เขารู้สึกดีขึ้นครู่หนึ่ง แต่ก็แค่แป๊บเดียวจริงๆ
“แล้วฟ้าจะไหวเหรอ” นั่นล่ะ เขาก็สงสัย “แล้วคนพูดไม่เก่งแบบฟ้าจะหาเพื่อนได้เหรอ แล้วเราล่ะ แย่ที่สุดเลย ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย”
ตอนแรกเขาเคยคิดจะเอาเรื่องไปปรึกษาทิวหมอก แต่พอโทรไปแล้วได้ยินเสียงเหนื่อยๆ คุยไป ไอค่อกแค่กไปของพี่ชาย เขาเลยพูดไม่ออกและวางหูไปหลังจากบอกให้อีกฝ่ายหายป่วยเร็วๆ
เห็นทีเย็นนี้ เขาคงต้องเริ่มวางแผนเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเสียแล้ว
++++++++++++