**สุราใต้แสงจันทร์** [แนวจีนโบราณ] บทที่ 17 : ข่าวลือ (2) P.10 UP 18/12/2559
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: **สุราใต้แสงจันทร์** [แนวจีนโบราณ] บทที่ 17 : ข่าวลือ (2) P.10 UP 18/12/2559  (อ่าน 83852 ครั้ง)

ออฟไลน์ ia091

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ//สวัสดีปีใหม่ค่ะ

ออฟไลน์ tempo_oil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
ตอนนี้กำลังติดแนวจีนโบราณมากกกกก

มาได้จังหวะพอดีเลยค้า น่าติดตามมากแต่ดูดราม่าจัง

สำนวนการเขียนดีมากเลยค่ะ อ่านแล้วลื่นมากก

ไม่ชอบแม่ทัพลู่เท่าไร สงสัยว่าจะรักกันได้ไง

รอตอนต่อไปนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
ชอบอ่านนิยายแนวนี้ค่ะ เขียนสนุกน่าติดตามค่ะ

ออฟไลน์ SoulFighter

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
ชอบนิยายแนวนี้มากค่ะ หาอ่านยากมากกกกก

คนแต่งเปิดเรื่องมาได้น่าติดตามมาก สนุกดีค่ะ

ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ karupin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ลื่นไหลมาก อ่านแล้วให้ความรู้สึกว่าเป็นจีนโบราณจริงๆ ชอบมากเลยค่ะ
แอบเสียดายที่รัชทายาทต้องตาบอด แต่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ไปอีกแบบ

ออฟไลน์ NakiDGM14

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
บทที่ 5 : ในเปลวเพลิง (1)



     ไออุ่นจากถ้วยยาที่วางอยู่เบื้องหน้าของอดีตรัชทายาทแห่งต้าซางจางหายไปนานแล้ว หากแต่ร่างโปร่งกลับยังนั่งนิ่งไม่ขยับแม้แต่น้อย ดวงตาสีดำขลับไร้จุดรวมสายตาดูเหม่อลอยยิ่งกว่าทุกครา ทำให้คนสนิทที่เป็นคนยกมายิ่งทวีความกังวลมากขึ้นทุกที จางเหลียนอยากจะอ้าปากเรียกเจ้าชีวิตของตนเองหลายครั้งแล้วแต่ก็มิกล้าเอ่ยคำ เมื่อเห็นท่าทางที่ดูเศร้าหมองที่ดูหนักอึ้งนั่น....

     หลังจากที่เขาโดนจับแยกไป เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายของเขากัน

     "...ฝ่าบาท" สุดท้ายจางเหลียนก็ต้องส่งเสียงเรียกในที่สุด ยาถ้วยนี้เป็นถ้วยที่สามแล้ว ถ้าออกไปเอาอีกพวกทหารต้าเสียงต้องใช้เป็นข้ออ้างในการจับเขาแยกกับองค์ชายอีกเป็นแน่ หลิวช่างหลินสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าหันกลับไปยังต้นเสียง

     "มีอะไรรึ อาเหลียน?"

     "ยาพ่ะย่ะค่ะ" จางเหลียนพยายามควบคุมตัวเองมิให้เสียงมีแววความสงสัยปะปน เตือนเจ้าชีวิตตนเองเสียงนุ่ม บัณฑิตหนุ่มเลื่อนถ้วยยาที่ตอนนี้ยังอุ่นน้อยๆไปแตะที่มือเรียวเพื่อไม่ให้ผู้เป็นนายต้องความหาจนเผลอปัดถ้วยยาพลิกคว่ำ

     "...อ่า ข้าเหม่ออีกแล้วรึ...." หลิวช่างหลินถอนหายใจแผ่ว หยิบถ้วยยากลิ่นฉุนขึ้นมากระดกลงไปจนหมดถ้วย ยาของหมอโจวเดิมทีขมอย่างร้ายกาจอยู่แล้ว ยิ่งมาดื่มตอนเกือบจะเย็นแบบนี้รสชาติยิ่งย่ำแย่สุดจะบรรยาย คนป่วยวางถ้วยยากลับลงไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

     "ฝ่าบาทมีเรื่องไม่สบายพระทัยหรือพะยะค่ะ" จางเหลียนตัดสินใจถามตรงๆ พลาง ยืดตัวขึ้นนำถ้วยยาหันไปส่งให้นางกำนัลที่ยืนรออยู่ รอจนนางกำนัลนางนั้นเดินออกไปแล้วก็ถือวิสาสะนำโส่วหลู*(1)เล็กๆที่พันด้วยผ้านุ่มๆมาใส่ในมือขององค์ชายของตนเพราะเห็นว่าปลายนิ้วของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อด้วยความหนาว

     เมื่อได้ของอุ่นๆมาถือ หลิวช่างหลินก็กระชับมือถือมันให้มั่นคงขึ้น ลมหายใจสีขาวจางพรูออกมาตามจังหวะการถอดถอนใจ

     "เปล่าหรอก ข้าแค่มีอะไรต้องคิดเท่านั้น"

     "....แน่หรือขอรับ" คราวนี้จางเหลียนไม่ได้ปล่อยให้องค์ชายของตนบอกปัดง่ายๆอีก

     "อืม ไม่มีอะไรจริงๆ อิ่นเอ๋อร์ได้ติดต่อกลับมาอีกหรือเปล่า ถ้ามีก็บอกให้ว่าเลิกกังวลเรื่องข้าซะ แล้วรีบหนีออกจากเมืองให้เร็วที่สุด" หลิวช่างหลินตอบปัดอีกครั้ง ตัดบทด้วยการเปลี่ยนเรื่องที่จางเหลียนไม่อาจไม่สนใจได้

    "มีครั้งหนึ่งขอรับ อินอ๋องแจ้งมาว่าตอนนี้ออกจากเมืองไปแล้ว ฝ่าบาทมิต้องเป็นห่วง"
     
     "เช่นนั้นก็ดี..."

     "....ฝ่าบาทอุ่นพอไหมพะย่ะค่ะ หากไม่พอกระหม่อมจะเติมฟืนให้" จางเหลียนมิอาจซักไซ้ต่อไปจึงสอบถามเรื่องอื่นแทน ซึ่งองค์ชายของเขาก็พยักหน้ารับเบาๆ แล้วกลับไปเหม่อต่ออีกครั้ง...

     ....มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

     จางเหลียนเก็บกักความสงสัยไว้ในใจ ขยับลุกขึ้นไปนำฟืนมาใส่เพิ่มแล้วหยิบที่เขี่ยไฟมาเกลี่ยให้ความร้อนกระจายตัวอีกครั้ง ขณะที่กำลังจมอยู่กับความคิด หางตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่ทำให้โทสะปะทุขึ้นในอกอีกครั้ง บัณฑิตหนุ่มยันตัวลุกขึ้น เดินไปที่หน้าประตูซึ่งเปิดค้าง ดวงตาเย็นชาฉายแววเกลียดชังจับจ้องไปยังอดีตสหายรักแล้วปิดประตูกระแทกใส่หน้าอย่างแรง

     อย่างไรก็ไม่พ้นการกระทำโฉดชั่วของพวกต้าเสียงแน่!

*********

     'พวกต้าเสียง' ในความคิดของบัณฑิตหนุ่มนั้น บัดนี้ก้าวอย่างมั่นคงผ่านธรณีประตูไม้หอมสีแดงสดของตำหนักซูเซียว หนึ่งในหกตำหนักของจักรพรรดิหลิวเฉิงเพื่อพบใครบางคนที่รอตนอยู่

     ร่างแบบบางในชุดหรูหราสีแดงสดปักลายดอกมู่ตาน*(2)ด้วยด้ายทองคำอย่างวิจิตรงดงามนั่งอยู่ในห้องรับแขก ใบหน้าเรียวได้รูปรับกับดวงตาหงส์คู่งามทำให้ใบหน้าที่แต่งแต้มสีสันเพียงเล็กน้อยดูโดดเด่นจับตา การแต่งกายของนางช่างขัดกับสภาพเก่าโทรมของตำหนักแห่งนี้ราวฟ้ากับดิน ตำหนักซูเซียวเดิมทีเป็นตำหนักที่หรูหราไม่แพ้ตำหนักใดจนกระทั่งผู้เป็นเจ้าของได้ก่อความผิดร้ายแรงเข้า ร้ายแรงจนตำหนักที่งดงามดังสรวงสรรค์ถูกเปลี่ยนเป็น 'ตำหนักเย็น' เพื่อเป็นสถานที่จองจำเจ้าตัว

     ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังร่างเบื้องหน้าด้วยสายตาเรียบเฉยไร้อารมณ์ แม้นางจะขยับยิ้มส่งให้ก็มิได้แสดงท่าทีใดเป็นพิเศษ ร่างสูงของแม่ทัพทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเปิดประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม

     "ท่านเรียกข้ามา ต้องการจะสนทนาอันใด"

     เห็นชายหนุ่มเปิดบทสนทนาโดยไม่แม้แต่จะจิบชาที่นางเตรียมเอาไว้ให้ สตรีผู้เป็นเจ้าของตำหนักก็ขยับยิ้มละมุน พลางเลื่อนจานใส่ขนมไปให้อย่างมีไมตรี

     "ท่านแม่ทัพลู่ใยต้องรีบร้อน ดื่มชาเป็นเพื่อนข้าสักเดี๋ยวเถอะ ขนมนี่ข้าให้คนเตรียมเป็นพิเศษเชียวนะ"

     ท่านแม่ทัพที่ว่าหรี่ตาลงน้อยๆ ไม่เพียงแต่มิตอบรับน้ำใจ ยังเอ่ยตัดรอน

     "พระสนมเหยียนไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมสิ่งใดเพื่อข้า ต้าเสียงมีคนทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว ท่านมีสิ่งใดก็พูดมาตามตรง"

     สตรีผู้ถูกเรียกว่าสนมเหยียนสีหน้าขรึมลงเล็กน้อย สีหน้านุ่มนวลถูกแทนที่ด้วยความกระด้างเย็นชา คำเรียกนี้เป็นคำที่นางทั้งรัก ทั้งเกลียดอย่างแท้จริง รักเพราะมันเคยเป็นคำเรียกที่ผู้อื่นเอ่ยถึงตนด้วยความเคารพยำเกรง เกลียดเพราะคำนี้เองที่พวกชั้นต่ำใช้ซ้ำเติมเยาะเย้ยนางเมื่อถูกดีดให้ร่วงลงมาจากสวรรค์ ครานี้น้ำเสียงที่ตอบกลับจึงเย็นชาเป็นพิเศษ

     "ท่านเองมิใช่รู้ดีหรอกรึ ว่าข้าต้องการอะไร"

     "ใช่ ข้ารู้ และข้าบอกไปแล้วว่าข้าให้มิได้"
   
     "เหตุใดมิได้!" สนมเหยียนขึ้นเสียงสูง ในกระแสเสียงมีความไม่พอใจแฝงอยู่อย่างชัดเจน หากแต่ลู่ซือเหยียนก็มิได้นำพากับอารมณ์ของสตรีคู่สนทนาเท่าไหร่นัก

     "ข้าบอกเหตุผลท่านไปแล้ว ยังไงก็มิได้"

     "ข้าเพียงต้องการชีวิตของมัน! เหลือแค่มันเท่านั้น! ข้าช่วยท่านมาตั้งเท่าไหร่ ข้าขอเพียงเท่านี้ท่านให้ข้ามิได้เชียวหรือ!!" ใบหน้างดงามบิดเบี้ยวไปด้วยแรงโทสะเพียงแค่นึกถึงมันผู้นั้น ความเกลียดชังก็แล่นพล่านขึ้นในอกราวกับมีแมลงนับร้อยนับพันบินเบียดเสียดอยู่ในนั้น...

     เพียงแค่รู้ว่ามันยังมีชีวิต นางก็แทบไม่อยากหายใจเอาอากาศบนโลกเดียวกันเข้าไป ลูกของนางปีศาจตนนั้น...ลูกของผู้หญิงที่แย่งเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากนาง!

     ต้องเผชิญกับความกราดเกรี้ยวของสตรีที่อายุอานามห่างกันเกือบสองรอบ ลู่ซือเหยียนมิเพียงไม่ตอบโต้ ความรู้สึกเวทนาปนสมเพชยังผุดขึ้นมาจนไม่ได้เอ่ยแทรกการระบายของนาง ในสายตาของเขา สตรีที่ถูกความริษยากลืนกินจนมิอาจแยกแยะผิดชอบชั่วดีเช่นนี้น่าสงสาร และอันตรายเป็นอย่างยิ่ง พวกนางไม่เพียงทำลายศัตรูเท่านั้น ยังทำลายแม้กระทั่งตนเอง ครานี้บุตรสาวของมหาเสนาบดีเช่นนางถึงกับขายแผ่นดินเกิดเพื่อล้างแค้นผู้ที่นางมิอาจต่อกร

     กับคนเช่นนี้ ใส่อารมณ์ข่มขู่ไปก็ไม่มีประโยชน์

     ลู่ซือเหยียนรอจนนางระบายอารมณ์จนพอใจถึงค่อยยันตัวลุกขึ้นจากที่นั่ง มองนางด้วยสายตาเย็นชา

     "อย่างไรข้าก็ทำทุกสิ่งตามที่ตกลงกันไว้แล้ว จากนี้ข้าจะให้คนมาพาท่านย้ายไปที่ตำหนักที่ดีที่สุด ท่านเหนื่อยมามาก ต้าเสียงจะตอบแทนบุญคุณของท่านแน่นอน"

     พระสนมเหยียนที่ได้อะละวาดทำลายข้าวของไปแล้วหอบหายใจหนักหน่วง อย่างไรอายุนางก็ไม่น้อยแล้ว เสียการควบคุมตัวเองได้ไม่นานก็สามารถควบคุมตนเองให้กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง

     "หากข้าบอกว่าข้าไม่ยินยอมกับข้อตกลงนี้ล่ะ" นางย้อนถาม ประโยคนี้เรียกความสนใจของแม่ทัพใหญ่ให้หันกลับมาอีกครั้ง

     "ท่านไม่อยากรู้ผลของการต่อต้านข้าหรอก" ทิ้งท้ายเพียงเท่านี้ ลู่ซือเหยียนก็สาวเท้าจากไปโดยที่ไม่หันกลับมามองอีก

     เพราะไม่หันกลับมา จึงไม่อาจเห็นความอำมหิตที่ฉายชัดบนสีหน้าของสตรีผู้ถูกทิ้งไว้ได้เลย...

     พระสนมเหยียนนั่งทอดสายตาไปยังบานประตูที่เปิดค้างอยู่นาน ครั้งนี้นางมิได้ลุกขึ้นมาอะละวาดทำลายข้าวของอีก แต่กลับเดินออกไปยังระเบียง เอ่ยเสียงแผ่วเบา

     "ลี่เฉียน มาหาข้า"

     ระเบียงว่างเปล่าที่ไม่น่ามีผู้ใดอยู่กลับมีนางกำนัลคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้นมาตามเสียงเรียก นางกำนัลผู้นี้เดินเข้ามาหาผู้เป็นนายด้วยฝีเท้าเงียบกริบไร้เสียง ถึงข้างตัวของผู้เป็นนายก็ย่อตัวลงด้วยท่วงท่าที่งดงามยิ่ง

     "พระสนม"

     เหยียนมู่เสีย หรือพระสนมเหยียนเหลือบสายตาไปมองนางกำนัลคนสนิทที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวเล็กน้อย

     "เตรียมการเรียบร้อยแล้วหรือยัง?"

      ลี่เฉียนย่อตัวลงอีกครั้ง ตอบว่าทุกสิ่งทุกอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว เพียงพระสนมสั่งการมาทุกอย่างก็พร้อมจะดำเนินต่อทันที คนฟังพยักหน้ารับพอใจ รอจนลี่เฉียนถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วหมุนตัวกลับไป ดวงตาของสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ก็ฉายประกายเยียบเย็น...

     หากต้าเสียงไม่ต้องการชีวิตของมันผู้นั้น...ข้าเหยียนมู่เสียจะเป็นฝ่ายเอามาเอง!


****************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2016 01:21:25 โดย NakiDGM14 »

ออฟไลน์ NakiDGM14

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0

     วันเวลาไหลผ่านมิต่างกับสายน้ำที่ไม่อาจไหลย้อนกลับ จากวันที่ประตูเมืองถูกทำลาย นับเวลามาตอนนี้ก็ย่างเข้าเดือนเดือนที่สามแล้ว วันเวลาไหลผ่านฤดูกาลย่อมต้องเปลี่ยนผันเช่นกัน ในยามนี้หิมะได้โปรยปรายไม่เว้นช่วงมาราวสาฝมวันแล้ว เกล็ดหิมะทับถมเป็นชั้นหนา ทัศนียภาพ
ทั้งหมดถูกปกคลุมจนกลายเป็นสีขาวโพลน ให้ความรู้สึกอ้างว้าง เย็นชายิ่ง

     ในวันที่อากาศไม่เป็นใจเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนต้องการเก็บตัวอยู่ในห้องที่มีเตาไฟให้ความอบอุ่นซุกตัวอยู่ใต้ผ้านวนหนา แต่ความต้องการกับความเป็นจริงมักสวนทางกันเสมอ... นางกำนัลและทหารอารักขายังต้องทำหน้าที่ของตน คอยปรนนิบัติผู้เป็นนายมิให้ขาดตกบกพร่อง

     วังตะวันออกมาบัดนี้กลายเป็นที่คุมขังของอดีตรัชทายาทแห่งต้าซาง ก็ไม่ได้อยู่เหนือกฎเกณฑ์นี้ จะต่างก็เพียงแต่ ทหารและนางกำนัลรับใช้นอกจากจางเหลียน ก็ล้วนเป็นคนของต้าเสียงที่แม่ทัพลู่ซือเหยียนส่งมาควบคุมความประพฤติผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ทั้งสิ้น

     จางเหลียนแม้ไม่พอใจกับความรู้สึกที่ถูกจับตาแบบนี้นัก แต่ก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งเช่นกันว่าตนเองในตอนนี้มิได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไรอีกแล้ว ทำได้เพียงกัดฟันข่มอารมณ์แล้วรับใช้องค์ชายของตนให้ดีที่สุดเท่านั้น

     "ฝ่าบาท ดื่มน้ำแกงหน่อยไหมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพิ่งให้คนครัวเอาไก่ดำมาตุ๋นกับโสมร้อยปี ช่วงนี้อากาศเย็นนัก บำรุงไว้หน่อยก็ดีนะพ่ะย่ะค่ะ" จางเหลียนประคองถาดที่ใส่ถ้วยน้ำแกงมาอย่างระมัดระวังเอ่ยขึ้น เดินไปวางมันลงที่โต๊ะเตี้ยข้างเตียงนอน คำพูดของคนสนิทนั้นเรียกรอยยิ้มจากร่างโปร่งบนเตียงได้เล็กน้อย

     "บำรุงไว้หน่อยอะไรกัน ไม่ใช่ว่าเจ้าขยันบำรุงข้าทุกสามเวลาหลังอาหารหรอกหรือ?" หลิวช่างหลินเอ่ยเย้าคนสนิทพลางยืดตัววางโส่วหลูที่ถือไว้อุ่นมือลง อากาศในยามนี้หนาวจนหายใจแต่ละครั้งก็มักมีไอสีขาวพรูออกมาด้วย ถึงตาจะมองไม่เห็น แต่ระยะเวลาที่ผ่านมานี้ประสาทสัมผัสส่วนอื่นก็เฉียบคมขึ้นไม่น้อยเป็นการทดแทน เมื่อรับถ้วยน้ำแกงมาดื่มแล้ว หลิวช่างหลินก็ถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง

     "ข้างนอกหิมะยังตกอีกรึ...."

     "พ่ะย่ะค่ะ จากที่เริ่มตกวันนี้ก็วันที่สามแล้ว ฤดูหนาวปีนี้ยาวนานยิ่ง ทั้งยังหนาวกว่าทุกปี ก่อนนอนข้าจะให้คนเอาน้ำขิงมาดีหรือไม่พะยะค่ะ" รอจนองค์ชายของตนดื่มน้ำแกงหมดถ้วยแล้ว จางเหลียนก็เสนอขึ้นมา นี่ก็เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากผู้เป็นเจ้าชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

     "ถึงบอกว่าไม่เอา เจ้าก็เอามาอยู่ดี จริงๆเลย ข้าเพียงแค่มองไม่เห็น ร่างกายส่วนอื่นก็ไม่ได้บุบสลายที่ตรงไหน ความหนาวแค่นี้ ปกติข้ายังออกไปเดินเล่นกลางสวนได้ทั้งวันด้วยซ้ำ"

     "กระหม่อมเพียงแค่...." จางเหลียนยังไม่ทันพูดจบ ความรู้สึกประหลาดก็พุ่งขึ้นมาจนต้องหันไปทางฉากกั้นหยกขนาดใหญ่ ตวาดออกมาเสียงดังก้อง

     "นั่นใคร! เผยตัวของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!" ไม่พูดเปล่า มีดสั้นที่พกติดตัวตลอดก็ถูกซัดออกไปยังจุดที่ความรู้สึกนั้นแม่นยำ มุ่งมาดจะดับชีวิตผู้บุกรุกไม่กลัวตาย ดังคาด เงาร่างสีดำสายหนึ่งพุ่งหลบมีสั้นออกมาจากหลังฉากกั้น ยังมิทันที่จางเหลียนจะลงมืออีกครั้ง ร่างโปร่งเบื้องหลังก็ส่งเสียงออกมา

     "จางเหลียน หยุดมือ"

     มีดสั้นที่กำลังจะปาหยุดชะงักไป ถึงไม่เต็มใจก็ต้องหยุดมืออย่างเสียไม่ได้ กระนั้นบัณฑิตหนุ่มที่น่าจะบอบบางอ่อนแอผู้นี้กลับยังถืออาวุธของตัวเองเอาไว้มั่นไม่ยอมปล่อย

     ผู้บุกรุกห่มคลุมร่างกายของตนไว้ด้วยชุดรัดกุมสีดำสนิททั้งยังปิดหน้าปิดตาอีกด้วย มองอย่างไรไม่น่าน่าไว้วางใจแม้แต่น้อย

     เห็นท่าทางหวาดระแวงของจางเหลียน ชายชุดดำที่บุกรุกเข้ามาในห้องของคนอื่นก็ยกมือยอมแพ้ มือดึงผ้าคลุมหน้าของตัวเองลงเผยให้เห็นใบหน้าที่แยกไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรีดวงหนึ่งจับคู่กับดวงตาสองข้างที่มีโทนสีต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งทำให้ฝ่ายที่ถืออาวุธระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม จางเหลียนหรี่ตาลงด้วยท่าทางอันตราย

     "เจ้าเป็นใคร"

     "ข้าหลี่รุ่ยเต๋อ แซ่หลี่ รุ่ยจากภูเขารุ่ย และเต๋อจากคุณธรรม เป็นเพียงคนที่แวะผ่านมา ไม่ใช้คนร้ายหมายเอาชีวิตแน่นอน" ชายชุดดำตอบด้วยน้ำเสียงระรื่นปราศจากความหวาดกลัว ทั้งยังยิ้มแป้นอย่างไม่เข้ากับสถานการณ์แม้แต่น้อย

     "ท่านเข้ามาในนี้ทำไม ต้าเสียงคิดจะเก็บพวกข้าแล้วงั้นรึ ถึงได้ส่งมือสังหารเช่นท่านมา" ครานี้เป็นหลิวช่างหลินที่ยันตัวลุกขึ้นจากที่นอน ก้าวเข้ามายืนเคียงข้างคนสนิทของตนถามขึ้นมา

     "มิใช่ มิใช่" หลี่รุ่ยเต๋อรีบส่ายหน้าปฎิเสธทันทีเมื่อคู่สนทนาเข้าใจจุดประสงค์การมาของตนผิดพลาด ท่าทางนั้นยิ่งทำให้จางเหลียนระแวงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

     "เช่นนั้นเหตุใดข้าเสียงดังปานนี้ คนข้างนอกนั่นถึงไม่รีบเข้ามาเล่า หากไม่ใช่พวกเจ้าวางแผนสังหารองค์ชายกับข้า จะเป็นอะไรได้อีก!"

     หลี่รุ่ยเต๋อเลิกคิ้วน้อยๆ สั่นหน้าจุ๊ปากเบาๆราวกับกำลังมองเด็กน้อยอ่อนต่อโลก

     "จะฆ่าพวกเจ้าข้าไม่จำเป็นต้องอาศัยแรงใครหรอก" คนพูดยักไหล่น้อยด้วยท่าทางถือดี มือหยิบพัดจากที่ไหนไม่รู้มาคลี่ออกแล้วสะบัดอย่างสบายอารมณ์ หากมองเพียงท่าทางของคนทำ ตัดชุดสีดำและพฤติกรรมน่าสงสัยออกไป จะบอกใครว่าอีกฝ่ายเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่กำลังเดินเล่นจีบสาวงามบนท้องถนนทุกคนต้องพยักหน้าคล้อยตามแน่นอน

     "เช่นนั้น ข้าถามท่านได้หรือไม่ ว่าท่านเข้ามาทำอะไรที่นี่" หลิวช่างหลินเปิดปากถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทำเอาคนฟังประหลาดใจไม่น้อย ความสนใจถูกกระตุ้นขึ้นมาจนต้องหุบพัดแล้วเลิกเล่น

     "ต่อจากนี้ข้ามีหน้าที่คุ้มครองท่าน"

     "...มิใช่ว่ามีคนทำหน้าที่อยู่แล้วหรือ"

     "แน่นอนว่าย่อมมีคนทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ข้าต้องมาคุ้มครองท่านมันไม่ใช่มือสังหารธรรมดาหรอก"

     "ท่านพูดเช่นนี้..." จางเหลียนขมวดคิ้วเพียงครู่เดียวสีหน้าก็เผือดลงจนซีดขาว นึกถึงความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมา

     "ข้าตอบคำถามแล้ว ทีนี้เจ้าก็ลดอาวุธลงได้กระมัง?" หลี่รุ่ยเต๋อจ้องอาวุธในมือบัณฑิตหนุ่มนิ่ง ริมฝีปากคลี่ยิ้มเรียบๆ "เพราะถ้าเจ้าไม่ลด ข้าเองก็ชักจะอารมณ์ไม่ดีแล้ว" ดวงตาสองสีเปล่งประกายจริงจังเอาเรื่องขึ้นมาวูบหนึ่งจนคนถูกมองถึงกับต้องขบฟันกลั้นอาการสั่นสะท้าน  ก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดอดีตรัชทายาทแห่งต้าซางจึงแตะบ่าให้คนสนิทของตนลดอาวุธลง

     ตอนนี้ที่ทุกอย่างยังไม่พร้อม จักหาเรื่องคนของต้าเสียงไม่ได้

     "ข้าหลิวช่างหลิน จากนี้คงต้องรบกวนท่านหลี่แล้ว" อดีตองค์รัชทายาทพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล  ประสานมือคารวะอย่างคนระดับเท่าเทียมกัน

     การเรียกขานสุภาพ ท่าทีมีมารยาทนุ่มนวล แต่ถึงกระนั้นกลับมิยอมอ่อนข้อในที น่าสนใจ น่าสนใจยิ่ง หลี่รุ่ยเต๋อขยับยิ้มกริ่ม ตอนนี้เขาไม่สงสัยแล้ว ว่าเหตุใดแม่ทัพเลือดเย็นของพวกเขาถึงได้สั่งการลงมาแบบนี้

     ตัวประกันแบบนี้ปล่อยให้ตายน่าเสียดายแย่

     คิดได้ดังนั้น ใบหน้าที่แข็งขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดก็สลายหายไป ดวงตาสองสีกลับมาทอประกายระยับดุจคนเจ้าสำราญดังเดิม ชายชุดดำน่าสงสัยในความคิดของจางเหลียนก็ประสานมือตอบกลับทีเล่นทีจริง

     "เช่นกัน ฝากตัวด้วย"


**********


     นับจากวันนั้นห้องของหลิวช่างหลินก็มีแขกพิเศษโผล่มาในจังหวะที่น่าเหลือเชื่อเสมอ สิบกว่าวันที่ผ่านมาจัดการนักฆ่าที่บุกเข้ามาได้นับสิบ ยังไม่รวมนักฆ่าที่หลงซานจับได้ต่างหาก จำนวนที่มากมายถึงเพียงนี้ออกจะน่าตกตะลึงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าของผู้เป็นเป้าหมายเปลี่ยนไปมากเท่าไหร่

     ความชิงชังที่หยั่งรากลึกของคนผู้นั้น แท้จริงแล้วลึกล้ำถึงเพียงนี้...

     หิมะหยุดตกไปหลายวันแล้ว ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาอากาศก็แห้งขึ้นจนชวนให้ระคายคอ จางเหลียนจึงมักต้มน้ำสมุนไพรให้เขาดื่มบ่อยๆ จนตัวเขาแทบจะมีกลิ่นสมุนไพรนานาชนิดเป็นกลิ่นประจำตัวอยู่แล้ว

     เสียงฝีเท้าเสียงหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ จังหวะการก้าวเดินที่หนักแน่นมั่นคงนั้นทำให้ในใจของคนฟังหนักอึ้งอย่างน่าประหลาด เสียงฝีเท้านั้นหยุดนิ่งอยู่ที่ประตูเหมือนทุกครั้ง หยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป

     เป็นแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่ไม่แม้แต่จะก้าวเข้ามาหรือส่งเสียงพูดจาแม้แต่น้อย แม่ทัพผู้นั้นเพียงเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูในตอนที่จางเหลียนไม่อยู่เสมอ แรกๆเขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายเพียงมาตรวจตราความเรียบร้อย แต่พอนานวันเข้าความสงสัยก็ยิ่งเพิ่มทบทวี

     คนเป็นแม่ทัพใหญ่จำเป็นต้องเจียดเวลาอันมีค่าของตนเองเพื่อมาเฝ้ามองตัวประกันทุกวันเลยหรือ? ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ สุดท้ายอดีตรัชทายาทก็ผ่อนลมหายใจแรงๆแล้วเลิกคิดมันเสียเลย

     เดาใจคนแบบนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด จะทำให้ตัวเองเวียนหัวเอาเสียเปล่าๆ

     ร่างโปร่งขยับลุกขึ้นจากโต๊ะน้ำชากลางห้องพัก เดินกลับไปเข้าไปในห้องด้านใน ฝีเท้าแต่ละก้าวมั่นคง ไม่จำเป็นต้องคลำทาง ห้องนี้จากที่สะดุดล้มครานั้นหลิวช่างหลินก็ไม่เคยให้คนสนิทของตนย้ายของโดยที่ไม่บอกตนเองก่อน การเคลื่อนไหวในห้องเลยลื่นไหลไม่ติดขัดแม้แต่น้อย

     วันนีัเขาใช้ให้จางเหลียนไปหาของบางอย่างตั้งแต่เช้า จนป่านนี้บ่ายคล้อยแล้วเจ้าตัวยังไม่กลับ ออกจะผิดวิสัยของจางเหลียนไปบ้าง ครั้นจะถามพวกทหารยามหน้าห้อง หลงซานซึ่งเป็นคนเดียวที่ยอมโต้ตอบก็หายไปไหนไม่รู้ ส่วนทางหลี่รุ่ยเต๋อวันนี้ยังไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้าด้วยซ้ำ...

     ลางสังหรณ์บางอย่างผุดขึ้นมาให้รู้สึกใจคอไม่ดี

     เงียบเกินไป... ตอนนี้มันเงียบเกินไป! เสียงลมหายใจของพวกทหารยามหน้าประตูเงียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

     หลิวช่างหลินผุดลุกขึ้นจากเตียงที่เพิ่งหย่อนตัวลงนั่ง ก้าวเท้าเร็วๆไปยังประตูห้องนอนก็พบว่าถูกปิดล๊อคเสียแล้ว พยายามออกแรงผลักอยู่นานก็หาขยับไม่ ตอนนี้เองที่กลิ่นฉุนอันไม่พึงประสงค์ได้ลอยเข้ามาแตะจมูก

     กลิ่นที่ทำให้เลือดในกายเย็นยะเยือกในชั่วพริบตา...

     น้ำมัน...

     มีใครบางคนกำลังจุดไฟเผาที่นี่! ดวงตาสีดำสนิทเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก กลิ่นน้ำมันฉุนขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงของหยาดน้ำไหลลงตกกระทบกับพื้นไม้ยิ่งบีบรัดความรู้สึกให้สิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม

     ในที่สุดก็ถึงคราวของข้าแล้วงั้นรึ...เสด็จพ่อ เสด็จแม่..ลูกกำลังจะไปพบพวกท่านเดี๋ยวนี้...

     เสียงน้ำไหลหยุดไปแล้ว อดีตรัชทายาทแห่งต้าซางยืนนิ่งไม่ขยับ รู้ดีว่ามิอาจหนีไปจากสถานที่แห่งนี้ด้วยตนเอง หากเป็นตอนที่ตายังมองเห็น เพียงหนึ่งดาบที่สามารถพาตนเองออกไปได้ไม่อยากเย็น ทว่ายามนี้อย่าว่าแต่จะฟาดฟันอะไรเลย กระทั่งดาบคู่กายก็ถูกยึดไปแล้วด้วยซ้ำ

     จากทิศทางของเสียงน้ำเมื่อครู่ เกรงว่าเมื่อคนร้ายจุดไฟ นอกจากจะหลับหูหลับตาวิ่งไปให้ไฟเผาเอาดาบหน้า ก็มีแต่เตรียมใจรับความตายอยู่ที่นี่แล้ว...

    ไม่ต้องให้เสียเวลารอนาน ควันก็เริ่มลอยลอดตามช่องแคบๆของกรอบประตูเข้ามาด้านใน หลิวช่างหลินก้าวถอยจากบานประตูช้าๆ...หันไปนำกาน้ำชาเทราดบนผ้าเอามาปิดปากและจมูกตนเอง...

     หากใครสักคนเข้ามาไม่ทัน เห็นทีครานี้เขาจะได้ก้าวข้ามประตูผีแล้วจริงๆ

**********

     ในขณะที่เปลวเพลิงเริ่มลุกไหม้ บานประตูหนาหนักของห้องเก็บของห้องหนึ่งในวังตะวันออกก็ถูกกระแทกเปิดออกด้วยฝีมือของบุรุษที่สวมชุดขุนศึกแห่งต้าเสียง ดวงตาสีนิลคมกริบกวาดตามองไปรอบห้องอย่างร้อนรน จนสายตาไปปะทะกับร่างผอมบางร่างหนึ่งที่นอนสลบอยู่บนพื้น ก็รีบพุ่งเข้าไปหาทันที

     "จางเหลียน!" เอ่ยเรียกชื่อคนสลบพลางเขย่าตัวเบาๆให้ตื่น แต่บัณฑิตหนุ่มก็ยังไม่ได้สติ ทั้งลมหายใจยังแผ่วเบาจนน่ากลัว

    หานหลงซานเอามือตบข้างแก้มอดีตสหายอีกครั้ง เห็นว่าไม่ได้ผลแน่แล้วจึงตัดสินใจกดนิ้วลงบนจุดใต้จมูกเพื่อเรียกสติกลับมา หลังจากเอานิ้วออกคนสลบก็สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะลืมตาขึ้น...

    แรกเริ่มดวงตาของคนเพิ่งฟื้นยังฉายประกายงุนงง เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยก็หลุดเรียกอาซานออกมาด้วยความเผลอตัว คำเรียกขานนั้นราวกับเข็มทิ่มแทงเข้าไปในอกของคนฟัง เพราะหลังจากอีกฝ่ายเรียกสติกลับมาได้เต็มร้อย ความงุนงงในดวงตาคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง

     "...เจ้า! ทำอะไร ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!" ทันทีที่สังเกตเห็นว่าตนเองถูกประคองไว้ในอ้อมแขนของคนทรยศ จางเหลียนก็ตวาดลั่น ผลักร่างสูงกว่าออกห่างทันที   ทางหานหลงซานมิเพียงยินยอมให้อีกฝ่ายปัดป้อง เมื่อโดนผลักออกมาแล้วยังขยับถอยเว้นระยะห่างจากคนเจ็บให้อีกฝ่ายลดความตื่นตระหนกลง

     ผลักคนทรยศออกไปแล้ว จางเหลียนถึงได้หันมองรอบด้านเห็นสถานที่ไม่คุ้นตาคิ้วเรียวจึงขมวดเข้าหากันเป็นปม รอจนร่างกายขยับได้คล่องขึ้น บัณฑิตหนุ่มถึงค่อยยันตัวลุกขึ้นจากพื้นปัดผุ่นขาวๆที่เกาะตนเองออก สีหน้าแสดงออกถึงความหงุดหงิดอย่างชัดเจน

     เขาไม่ได้เอ่ยคำถามโง่ๆว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร กลิ่นยาสลบที่ถูกคนร้ายเอามาโปะปิดจมูกยังคงฉุนกึกอยู่ในห้วงความคิด สภาพเช่นนี้ดูอย่างไรก็หนีไม่พ้นคงถูกคนร้ายสักคนจับตัวมาเป็นแน่

     เหลือบมองไปยังร่างสูงในชุดขุนพลแดนศัตรู ความรู้สึกก็ยิ่งย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ความไว้วางใจก่อนหน้าถูกทำลายไปสิ้นแล้ว จะให้เอ่ยปากขอบคุณคนทรยศตีให้ตายเขาก็ไม่มีวันทำ  กับความรู้สึกของเขาในตอนนี้ แค่พูดด้วยก็รู้สึกอึดอัดแล้ว

     "เจ้าวางแผนจะทำอะไรอีกล่ะ สร้างบุณคุณเพื่อเรียกคืนความเชื่อใจงั้นรึ? ข้าขอบอกไว้เลยนะ ว่าวิธีเก่าๆแบบนี้ใช้ไม่ได้ผลกับข้าหรอก"

     หานหลงซานมิได้เปลี่ยนสีหน้าเมื่อได้ยินคำพูดอันแห้งแล้งนั้น ตอบอย่างเรียบง่ายว่าเปล่าแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก

    จางเหลียนจ้องมองใบหน้าอดีตสหายที่กลายมาเป็นศัตรูอยู่นานเมื่อไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความเรียบเฉยจึงแค่นเสียงแล้วเดินกระแทกบ่าร่างสูงออกไปจากห้องเก็บของอับทึบนี้ แต่ออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง

    ควันสีดำทะมึนสายหนึ่งลอยขึ้นมาจากจุดกึ่งกลางของวังตะวันออก ที่ๆเขาจำได้ดีว่ามันเป็นสถานที่ที่เจ้าชีวิตของตนอยู่ในตอนนี้...

    "ฝ่าบาท!"



****************************************
     *(1)โส่วหลู : เตาเล็กๆมีฝาปิด ใช้ถือไว้ให้ความอบอุ่นในมือ มักมีรูปทรงเป็นโถเล็กๆที่มีการแกะวาดลวดลายไว้อย่างสวยงามตามแต่ละท้องที่
      *(2) ดอกมู่ตาน : ดอกโบตั๋น

     กลับมาแล้วค่ะ!! หายไปหลายวันเพราะกำลังหนักใจว่าจะเอาเนื้อหายัดลงไปในตอนเดียวยังไง.. สุดท้ายก็ต้องหั่นออกเป็นสองตอนซะงั้น 555 แง ต้องรื้อออกนั่งเขียนเรียบเรียงใหม่... เลยช้าแบบมโหฬาร ขออภัยนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะ ///v\\\  ไม่ได้ตั้งใจตัดให้ค้างนะ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ! มัน..มันเคาะมาเรื่อยๆแล้วมาหยุดตรงนี้เองค่ะ 555

     เป็นครั้งแรกที่ยัดลงความเห็นเดียวไม่ได้ เอื้อ... //

     การเขียนในมุมของคนตาบอดแอบเขียนยาก แต่ก็ท้าทายไม่เบา เจอสหายที่หลงไหลนิยายแนวเดียวกันหลายคนเลย ประทับใจมากค่ะ! โฮก ยาวอีกแล้ว ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคอมเม้นทุกคอมเม้นที่เป็นพลังใจให้คนเขียนในตอนก่อนหน้า และที่กำลังจะเม้นตอนอ่านจบตอนนี้นะคะ(มัดมือชก.) แล้วพบกันครึ่งหลังค่า ^^   
****************************************



นายน้อยแห่งหอเหลียนฮวา มีหน้าที่สืบข่าวควบตำแหน่งมือสังหาร (สังกัดกับแม่ทัพลู่คนเดียว เป็นสหายกันมาตั้งแต่เด็ก) : หลี่รุ่ยเต๋อ


หน้าตาของโส่วหลู
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2016 01:28:07 โดย NakiDGM14 »

ออฟไลน์ NakiDGM14

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ลืมไปว่าลืมแปะที่นี่ อ่านเรื่องนี้ไปพลางฟังเพลงอิมเมจเนื้อหาไปพลางนะคะ  :o8:

แปะให้ขึ้นเป็นวีดีโอไม่เป็น แปะเป็นลิ้งค์แทนแล้วกัน.. :katai4: //


ออฟไลน์ we.jinkyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 120
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
ในที่สุดก็มาต่อดีใจนึกว่าจะโดนทิ้งไว้กลางทาง 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tempo_oil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
โอ๊โหหหหหหหหห ตัดฉับ  :a5:

แล้วจะมาเมื่อไร งื่อออออ ค้างอย่างรุนแรงง

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ Ignite

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :z3:ค้างงงอาาาา ลุ้นมากเลยสุุดท้ายใครจะไปช่วยนะ

ออฟไลน์ PingPong_Hunlay

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อยากอ่านต่ออออ :ling1:
แม่ทัพเอาองค์รัชทายาทไปอยู่ด้วยเลยสิ  :serius2:
สงสาร :hao5:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
องค์รัชทายาทจะปลอดภัยไหม

ออฟไลน์ Lyralyn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :mew3: มาติดตามอีกคนค่าาา

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
เฮ้ยยยค้างงงงงงง องค์ชายจะเป็นอะไรไหมอ่าา
ขอให้แม่ทัพมาช่วยทันทีเถอะ

ออฟไลน์ poogan_zadd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ฝ่าบาทแย่แล้ววว
ท่าทางเรื่องนี้การเมืองจะเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ รู้สึกว่าเข้มข้นดีค่ะ อิอิ
แต่ก็รอเสพความหวานอยู่น้า รออ่านค่

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
ฝ่ายบาทของดิฉันน โอย ตาบอดด้วย น่าสงสารจัง

ถ้าตาไม่บอดท่านต้องเป็นตัวละครที่สร้างสีสันทางการเมืองได้มากกว่านี้แน่ๆ รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ NakiDGM14

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
บทที่ 6 : ในเปลวเพลิง (2)


*************************


     เปลวเพลิง คืออะไร... ถามคำถามนี้กับต่างคน ย่องได้คำตอบที่ต่างกัน บางคนตอบว่าเป็นสิ่งที่ให้แสงสว่าง บางคนตอบว่าเป็นสิ่งที่คอยช่วยหุงหาอาหาร แต่หากถามชายหนุ่มที่ตกอยู่ในวงล้อมของเปลวเพลิงในตอนนี้ล่ะก็...เจ้าตัวคงจะตอบว่าเปลวไฟคือหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย

     ผิวกายร้อนผ่าวเพราะไอของเพลิง ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงก่ำ ยิ่งอยู่นานดวงตาก็ยิ่งแสบเพราะควันไฟ ถึงจะไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้อีกแต่เปลือกตาก็ยังหลับแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้ไอร้อนจากด้านนอกมาทำร้ายดวงตาได้ จะหายใจแต่ละครั้งก็ลำบากมากขึ้นทุกที...

     ไอร้อนที่เพิ่มขึ้นบ่งบอกว่าด้านนอกไฟโหมแรงขึ้นทุกขณะ ลุกลามเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ในสภาพที่ไม่อาจใช้ดวงตามองหาทางหนี การเดินมั่วๆไม่ได้ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย ถ้าพลาดเดินไปในจุดที่ไฟกำลังลุกโหมคงหนีไม่พ้นกลายเป็นซากร่างสีดำ

     เห็นทีวันนี้ อย่างไรก็ไม่รอดพ้นแน่แล้ว...อดีตรัชทายาทแห่งต้าซางได้แต่ถอดถอนใจ เขามิได้หวาดหวั่นต่อความตายที่กำลังจะมาถึง ตัวเขาในตอนนี้จะอยู่ก็ดี จะตายก็ดี สิ่งที่ทำให้หนักใจมีเพียงเรื่องที่มิอาจรักษาสัญญากับน้องชายเอาไว้ได้ อิ่นเอ๋อร์ต้องโกรธเขามาเป็นแน่...

     แต่หากเขาตายไปในตอนนี้ความจริงแล้วจักเป็นผลดีกับต้าซางมากกว่า กองกำลังที่อยู่ด้านนอกจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง บุกมาไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะทำให้ตัวประกันอย่างเขาตกที่นั่งลำบาก

     เพราะเหตุนี้ หลังจากออกแรงและสำรวจรอบๆว่าตนเองออกไปไม่ได้แน่แล้ว หลิวช่างหลินจึงมิได้ดิ้นรนอีก เพียงนำผ้าชุ่มน้ำมาปิดปากและจมูกเพื่อไม่ให้ตนเองสำลักควันเท่านั้น

     เสียงไม้ลั่น เสียงเปลวไฟที่กำลังโหมรุนแรงจากด้านนอกเริ่มกระชั้นเข้ามาทุกขณะ บ่งบอกว่าประตูผีได้คืบคลานเข้ามาอยู่เบื้องหน้าแล้ว สติของชายหนุ่มเริ่มเลือนลางลงทีละน้อย ความร้อนไล่เอาเหงื่อให้ไหลซึมออกมาราวกับน้ำหลาก รู้สึกได้ว่าคอแห้งผากจนกระทั่งน้ำลายก็กลืนไม่ลง

    ชักจะเข้าใจความรู้สึกของพวกปลาที่ถูกย่างแล้วสิ หลิวช่างหลินคิดติดตลกในใจ แม้สติจะเลือนลาง แต่ห้วงความคิดของอดีตรัชทายาทกลับกระจ่างใสยิ่ง นิ่งสงบดุจผิวน้ำไร้ระลอกคลื่น ยิ่งไร้ความหวาดกลัว จนถูกความเวียนหัวโจมตี ร่างโปร่งจึงทรุดตัวลงนั่งยันแขนข้างหนึ่งไว้กับเตียง พยายามไม่ล้มไปในตอนนี้ 

     ในจังหวะที่ร่างทั้งร่างกำลังจะทรุดลงไปกองที่พื้น เสียงโครมครามก็ดังแว่วมาจากด้านนอก ลักษณะเสียงที่ดังอย่างต่อเนื่องบ่งบอกว่ามันไม่ใช่การพังถล่มเพราะไฟที่กำลังลุกไหม้แน่นอน แต่เป็นเพราะมีใครบางคนกำลังบุกเข้ามาด้านในต่างหาก

     ใครกัน...จางเหลียน? ไม่ จางเหลียนใช้แต่มีดสั้น ถึงบุกเข้ามาเสียงก็ไม่มีทางดังโครมครามเช่นนี้แน่ หรือจะเป็นคนร้าย...คนผู้นั้นคงไม่เมตตาขนาดใช้ดาบมาฟันเขาตายในดาบเดียวทั้งๆที่วางแผนจุดไฟเผาให้ตายอย่างทรมานหรอก.

    แล้วใครกัน...

    ในช่วงเวลาที่เสียงหลากหลายผสมปนเปแบบนี้ การจักแยกตัวตนด้วยเสียงฝีเท้าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ระหว่างที่กำลังสับสนประตูห้องก็ถูกพังเข้ามาพร้อมๆกับเสียงดังสนั่น ใครคนนั้นรุดเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ก้มตัวลงแตะสำรวจร่างของเขาอย่างคล้ายจะร้อนรน สัมผัสนี้ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย แต่เขาก็ไม่มีแม้แต่เรียวแรงที่จะเอ่ยปากแล้ว...

     ก่อนที่สติจะขาดหายไปโดยสมบูรณ์ หลิวช่างหลินรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนที่สอดเข้ามาประคองร่างของตน แล้วอุ้มขึ้นอย่างนุ่มนวล...

     แต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาก็ไม่อาจรับรู้ได้แล้ว....

*********

     หากจะนิยามช่วงชีวิตที่ผ่านมาของลู่ซือเหยียน นอกจากช่วงเวลาในวัยเด็กแล้ว สถานที่ที่เขาคุ้นเคยที่สุดไม่ใช่บ้าน แต่เป็นสนามรบ ชายหนุ่มออกรบครั้งแรกตอนอายุย่างเข้าสิบห้าปี ติดตามที่พ่อผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ในขณะนั้นขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อปกปักษ์แผ่นดินต้าเสียง อายุสิบเจ็ดก็ได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วเพราะผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา อายุยี่สิบเจ็ดปีก็ได้กินตำแหน่งหย่งฉีต้าเจียงจวิน*(1) เติบโตมากับกลิ่นคาวเลือดและความตายของศัตรูมากกว่าจะเป็นบทกวีหรือเสียงดนตรีแบบคุณชายท่านอื่นในแผ่นดิน...

     เพราะคุ้นเคยกับร้อยแปดสารพันแผนการในการชิงชัยในสนามรบ ลู่ซือเหยียนจึงมิได้ใยดีเท่าไหร่นัก ที่จักใช้วิธีการสกปรกในการชิงชนะเหนือสมรภูมิ ในเมื่อมันสามารถลดความสูญเสียของฝ่ายตนเอง เหตุใดต้องดันทุรังทำตามครรลองเพื่อปรานีศัตรูด้วยเล่า ที่กล่าวมาก็คือเรื่องใดที่ตัดสินใจไปแล้ว เขาไม่เคยเสียใจภายหลัง กับคนที่ตายเพราะแผนการของตน เขาจะจัดพิธีศพอย่างสมเกียรติ พื้นฐานของการเป็นแม่ทัพ ต้องตัดความใจอ่อนออกไปให้ได้

     ในสงครามการผ่อนความโหดเหี้ยมของท่านลงเพียงอึดใจ เสี้ยวพริบตานั้นอาจดับชีวิตของท่าน สงครามจักทำให้ท่านเคยชินกับความตายและสามารถเปลี่ยนตัวเองให้การเป็นมารร้ายไร้หัวใจได้อย่างไม่ยากเย็น

     ในเมื่อสามารถทำใจให้เคยชินกับความตายของสหาย เหตุใดถึงจะไม่สามารถชินกับความตายของศัตรูได้เล่า

     ทั้งๆที่คิดว่าตนเองเคยชินกับความตายแล้ว เหตุใดเขาจึงทำเรื่องบ้าๆอย่างการลุยเข้ามาในกองไฟเพื่อตัวหมากตัวหนึ่งกัน ถึงหมากตัวนี้จะสำคัญเพียงไรก็ไม่ควรสำคัญกว่าชีวิตของตัวเขาเองมิใช่หรือ!

    แม่ทัพใหญ่ลู่ซือเหยียนสบถออกมา ไม่เข้าใจการกระทำนี้ของตนเองแม้แต่นิด ดาบในมือยังคงวาดฟันทำลายอุปสรรคที่กีดขวางทางเดินของตน  ทำลายบานประตูและของที่ล้มระเกะระกะ เบิกทางเพื่อเข้าถึงตัวใครบางคนที่ทำให้เขาต้องทำเรื่องโง่ๆอย่างการกระโจนเข้ามาในกองเพลิง

    เข้ามาแล้วไอร้อนที่แผ่ออกมาจากเปลวไฟร้ายกาจกว่าที่เขาคิดไม่น้อย ขนาดเลือกเดินในทางที่ไฟยังไม่ลุกลาม เปลวไฟยังคงแลบเลียจนผิวกายแสบไปหมด คิ้วคมขมวดแน่นจนแทบเป็นปม ถึงเปลวไฟจะร้อนแรงแค่ไหน ก็ไม่อาจหยุดให้เขาบุกเข้าไปช่วยคนที่ยังติดอยู่ด้านในได้

    ไม่นานร่างสูงก็ฝ่าเข้ามาถึงห้องด้านในสุดซึ่งยังปิดสนิท ด้านนอกมีโซ่เหล็กคล้องอยู่อย่างแน่นหนา บานไม้สีแดงสดเริ่มติดไฟแล้ว มิอาจรู้ได้เลยว่าคนด้านในจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง

    ดาบคู่กายตวัดเพียงครั้งเดียว ตรวนเหล็กก็ส่งเสียงลั่นดังกังวาน ข้อเหล็กข้อหนึ่งปรากฎรอยคมกริบพาดผ่าน ก่อนตรวนทั้งเส้นจะขาดออกจากกันด้วยรอยตัดข้อนั้นเอง

    เมื่อกำจัดสิ่งกีดขวางด่านสุดท้ายสำเร็จ ลู่ซือเหยียนจึงเดินดุ่มเข้ายันกรอบประตูออกสุดแรงจนบานประตูทั้งบานล้มคว่ำไปด้านใน ร่างสูงพุ่งเข้าไปกวาดสายตามองจนรอบก็พบร่างที่ตามหานอนกองอยู่บนพื้นไม่ไหวติง

     เสี้ยววินาทีนั้น ความรู้สึกทรมานไร้ที่มาก็แล่นเสียดแทงเข้ามาในหัวใจ ลู่ซือเหยียนกัดฟันกรอด เดินเข้าไปประคองร่างโปร่งขึ้นมา ยื่นมือไปอังที่จมูก พอพบว่ายังมีลมหายใจอยู่ ร่างสูงก็ระบายลมหายใจออกมา ก่อนจะขยับอุ้มเอาร่างอีกฝ่ายมาอยู่ในอ้อมแขน ยันตัวลุกขึ้นโดยไม่ต้องลำบากออกแรง

     ถึงตัวจะไม่เบาแบบอิสตรี แต่ร่างที่กำลังอุ้มอยู่นี้ก็เบากว่าเขาอยู่โข คนที่สวมชุดเกราะหนักอึ้งเดินไปเดินมาทุกวันเยี่ยงเขา น้ำหนักเท่านี้ จะถือว่าเป็นอะไรได้

     กระชับอ้อมแขนอุ้มจนมั่นคงดีแล้ว ก็ถึงเวลาต้องหาทางฝ่าออกไปให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นร่างในอ้อมแขนของเขาคงจะหมดลมไปเสียก่อน มองเปลวไฟที่ยิ่งนานยิ่งโหมแรง เห็นทีการจะออกไปโดยไม่มีบาดแผลคงเป็นไปไม่ได้ ลูซือเหยียนหรี่ตาลงน้อยๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจเอาอ่างน้ำที่วางอยู่ในห้องมาราดผ้าห่มบนเตียงกระชากมันออกมาคลุมตนเองและร่างในอ้อมแขนที่เปลี่ยนมาอุ้มด้วยแขนข้างเดียว ยึดปมผ้าให้มั่น คว้าเอาดาบคู่ใจทะยานออกไปจากห้อง อาศัยแรงลมจากการเหวี่ยงดาบพุ่งผ่านม่านไฟไปทีละชั้น ละชั้น

     จะต้องออกไปให้ได้!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2016 01:29:38 โดย NakiDGM14 »

ออฟไลน์ NakiDGM14

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
*************


     ค่ายพักผู้ลี้ภัยสงคราม ชายขอบเมืองเหลียง ต้าซาง

     "ไฟไหม้! หมายความว่ายังไงที่ว่าไฟไหม้ตำหนักของท่านพี่!" เสียงตวาดของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังก้อง ตามมาด้วยเสียงถ้วยชาที่ถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย เสียงที่แผดลั่นนั้นเรียกให้ทหารซึ่งกำลังเดินตรวจตราถึงกับหันมามองหน้ากันเลิกลั่ก เมื่อพบว่าต้นเสียงมาจากกระโจมหลักที่ใหญ่ที่สุดก็พากันยืดตัวตรง แล้วเดินทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป

     ภายในกระโจมนั้น อินอ๋องหลิวช่างอิ่นกำลังโกรธจนหน้าแดงก่ำ ในมือมีสาส์นลับที่พวกในเมืองหลวงแอบส่งมาให้ ฝ่ายนายทหารผู้โชคร้ายคุกเข่าตัวสั่นงันงกแบบหวาดกลัว

    ข่าวที่ได้รับมาล่าสุด แจ้งเกี่ยวกับเพลิงไหม้ที่วังตะวันออก ตอนนี้ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายที่เป็นผู้สั่งการได้ ร้ายที่สุดคือตอนไฟเริ่มไหม้ องค์รัชทายาททรงติดอยู่ข้างในแม้จะมีคนไปช่วยออกมา แต่อาการนั้น เป็นตายไม่แจ้ง

     หลิวอิ่นหลิง หรือก็คือ อินอ๋องนั้นเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกับองค์รัชทายาทอย่างแท้จริง องค์ชายทั้งสองถือกำเนิดจากมารดาคนเดียวกัน รัก สนิทสนมกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนที่เมืองหลวงถูกยึด องค์ชายรัชทายาทถูกจับเป็นตัวประกัน อินอ๋องถึงกับไม่สนความปลอดภัยของตนเอง บุกเข้าไปเพื่อช่วยพี่ชายของตนเองกลับมา

     "ทำไมข่าวนี้เพิ่งมาถึงข้า ข้าสั่งไว้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านพี่ให้แจ้งมาด่วนที่สุดไม่ใช่รึ!"

     "ระ เรียนท่านอ๋อง หลังจากเกิดเรื่อง พวกต้าเสียงก็เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตรายิ่งขึ้น สายของเราจึงส่งข่าวมาไม่ได้ขอรับ"

     "ส่งข่าวมาช้า แถมท่านพี่เป็นอย่างไรบ้างก็ยังสืบไม่ได้! พวกเจ้ายังตั้งใจทำงานกันแน่หรือเปล่า!" คราวนี้เสียงตวาดดุดันกว่าครั้งแรกมาก นายทหารสะดุ้งเฮือกทันที รีบก้มลงโขกศีรษะครั้งแล้ว ครั้งเล่า

     "ข้าน้อยสมควรตาย! ขอท่านอ๋องลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"

     "ใช่! พวกเจ้ามันน่าตายนัก!" อินอ๋องตะคอกกลับเสียงเย็นชา ขณะที่อยากจะเงื้อดาบมาฟันอะไรสักอย่างเพื่อระบายอารมณ์ ม่านหนาหนักของกระโจมก็ถูกเลิกเปิดออกพร้อมร่างของใครคนหนึ่งที่เดินเข้ามา

     "ตี้ชุน!" อินอ๋องสลัดความคิดที่จะเงื้อดาบฟันคนทิ้งทันที รีบก้าวเข้าไปหาอย่างว่องไว ตามด้วยการรัวคำถามชนิดไม่หยุดพักหายใจ "ท่านมาที่นี่ทำไมกัน ไม่ใช่ว่าท่านต้องคอยดูแลท่านพี่อยู่ที่นั่นรึ แล้วสรุปท่านพี่เป็นเช่นไรบ้าง!"

    เหอตี้ชุนยังคงสีหน้าเรียบเฉยไว้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

    "องค์ชายใหญ่ส่งข้ามาขอรับ"

    "ท่านพี่ปลอดภัยงั้นหรอ!"

    "ตอนนี้ปลอดภัยดีแล้วขอรับ เลยส่งข้ามาหาท่านก่อนจะทำอะไรบุ่มบ่ามอีก"

    "...ท่านพูดแบบนี้ แสดงว่าท่านพี่คงปลอดภัยแล้วจริงๆ ข้าจะไม่วู่วามก็ได้" อินอ๋องอ่อนข้อให้อย่างง่ายดาย สร้างความประหลาดใจให้นายทหารโชคร้ายที่ยังนั่งมองอยู่ไม่น้อย จนถูกหลิวอิ่นหลิงถลึงตาใส่นั่นแหละ ถึงจะถอนสายตาแล้วรีบออกไป

   ไล่ตัวเกะกะออกไปได้ หลิวอิ่นหลิงก็ถึงกับต้องถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ๆ เดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้เรียบง่ายตัวหนึ่ง หยิบกาน้ำชาออกมารินชาแล้วส่งให้ร่างสูงซึ่งยังยืนนิ่งเป็นตะปูที่ถูกตอกติดกับพื้นอยู่ที่เดิม

   "ท่านมาเหนื่อยๆ จิบชาสักหน่อยแล้วค่อยคุยงานกันเถอะ พี่สาวเป็นอย่างไรบ้าง"

    เหอตี้ชุนยังไม่ได้ตอบคำถามทันที สอดมือเข้าไปในอกเสื้อ แล้วก้มลงประคองจดหมายส่งให้เด็กหนุ่มอย่างนอบน้อม อินอ๋องเลิกคิ้วสูง รับจดหมายมาคลี่เปิดอ่านทันที ลายมืองดงามบนกระดาษราคาแพงแผ่นนี้คือลายมือของหลิวฟางหลิน พี่สาวคนโตที่แต่งให้กับบุตรชายคนโตของสกุลเหอ หรือเหอตี้ชุนที่เป็นคนคุกเข่าให้เขาในขณะนี้

    ซึ่งคนเป็นอ๋องเห็นแล้วขัดตายิ่งนัก อ่านจดหมายจบก็ถอนหายใจแล้วบอกให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาทำตัวตามสบายเถอะ จนร่างสูงยันตัวขึ้นมาแล้วก็อดบ่นพึมพำไม่ได้

    "ข้าบอกแล้วบอกอีกแท้ๆ ว่าท่านเป็นพี่เขยข้า จะมากพิธีไปเพื่ออะไร ดูอย่างพี่เขยรองสิ รายนั้นยังทำตัวตามสบายได้เลย"

    ได้ยินอินอ๋องพาดพิงถึงบุคคลที่สาม สีหน้าของเหอตี้ชุนก็ตึงขึ้นเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแข็งว่า

    "ข้ามิอาจกลายเป็นคนไร้มารยาทเยี่ยงเขาได้"

     อินอ๋องมองสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วได้แต่ยักไหล่ หยิบจดหมายอีกฉบับที่วางไว้บนโต๊ะมายื่นส่งให้

     "ท่านลองอ่านดู แล้วบอกข้า ว่าท่านคิดอย่างไร"

     จดหมายฉบับที่อินอ๋องยื่นให้เป็นจดหมายที่ถูกส่งมาจากทางเหนือ แจ้งข่าวเรื่องการปะทะกันระหว่างต้าเสียงและแคว้นเสอ ในรายงานบอกเล่าอย่างละเอียดว่าบัดนี้ต้าเสียงยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดศึกเต็มรูปแบบ มีเพียงการปะทะเพื่อทำลายหน่วยที่ขนถ่ายเสบียงเท่านั้น

     "ต้าเสียงยังไม่ต้องการเปิดศึกสองทางตอนนี้" อ่านจดหมายจบ ร่างสูงก็เสนอความคิดออกมาสั้นๆ เห็นสีหน้าสงสัยของท่านอ๋องแล้วจึงค่อยขยายความ "ต้าเสียงยึดเมืองหลวงของเราไปได้แล้วก็จริง แต่รอบด้านโดยเฉพาะทางเหนือยังกำราบไม่ได้ทั้งหมด อีกทั้งทหารพวกนั้นยังกร่ำศึกหนักต่อเนื่องมานาน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เหนื่อยล้า พูดง่ายๆก็.."

    "พวกต้าเสียงกำลังถ่วงเวลาให้ทัพใหญ่พักผ่อน ก่อนจะบุกขึ้นไปทางเหนือสินะ" เมื่ออีกฝ่ายเว้นระยะ อินอ๋องก็สรุปอย่างรวบรัด สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย "พวกนั้นคงให้ทหารของมันแต่งชุดของเราเพื่อหลอกให้ข้าศึกตายใจ คิดว่าทัพใหญ่ของต้าเสียงยังไม่รู้ว่าพวกมันกำลังเคลื่อนไหว รอจังหวะเหมาะสมจนทหารพักฟื้นแล้วถึงค่อยจัดทัพออกไปปราบในคราเดียว..."

    "ถูกแล้วท่านอ๋อง แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด" คราวนี้ม่านหนาถูกเลิกขึ้นอีกครั้ง ชายร่างสูงใหญ่ที่ไว้หนวดรกครึ้มดูดุดันก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เดินมาถึงตรงหน้าก็ยกมือประสานทำความเคารพอย่างหนักแน่น

    "ไม่ใช่ทั้งหมด? หมายความว่าอย่างไรรึแม่ทัพกัง"

    "ไม่ใช่ว่ายังไม่เคลื่อนทัพ แต่ทัพย่อยที่ควบคุมหัวเมืองทางใต้ก่อนหน้านี้เคลื่อนทัพออกมาตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้ว" แม่ทัพกังตอบเสียงเคร่ง หมุนตัวไปหยุดหน้าแผนที่ผืนใหญ่ ชี้มือไปยังเครื่องหมายเมืองสิบเมืองที่ถูกยึดไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน คำพูดนี้ทำให้อีกสองชีวิตในกระโจมตัวแข็งทื่อ

   "เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!" อินอ๋องขมวดคิ้วแย้งเสียงเข้ม ส่วนเหอตี้ชุน แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าแสดงความกังขาออกมาอย่างชัดเจน แม่ทัพกังมองทั้งสองด้วยสีหน้าที่ไม่มีวี่แววว่าล้อเล่นแม้แต่นิด

    "เป็นไปแล้ว ที่ข่าวเพิ่งมาเพราะพวกมันควบคุมการเข้าออกของข่าวอย่างแน่นหนา คนของเราเพิ่งส่งออกมาได้เมื่อไม่กี่วันมานี้นี่เอง"

    "พวกมันกล้าละทิ้งเมืองไปได้อย่างไร ยึดเมืองหลวงได้มิใช่สามารถหยุดทั้งต้าซาง" ครานี้เป็นเหอตี้ชุนถามขึ้นมาด้วยคิ้วขมวดมุ่นจนกลายเป็นปมแน่น

    "พวกมันเรียกทัพเสริมมาพร้อมๆกับขุนนางปกครอง เริ่มจัดระเบียบตั้งแต่สี่เดือนก่อน นี่มิใช่เรื่องแปลก ต้าเสียงมีวิธีกลืนกินของต้าเสียง สิบเมืองนั้นเดิมทีมิใช่ของเราแต่เป็นของซานฉี ชาวเมืองไม่สนอยู่แล้วว่าผู้ปกครองจักเป็นใคร อย่างไรก็ไม่ใช่เจ้าชีวิตเดิมของตนเอง"

    คำอธิบายนี้ราวกับคมหอกฟาดลงกลางใจ คนหนุ่มทั้งสองมิอาจแย้งผู้อวุโสได้อีก เหม่อมองไปยังแผนที่ทางทิศเหนือ หลิวอิ่นหลิงก็หลี่ตาลง..

    "เห็นทีหัวเมืองทางเหนือคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว"

    "เป็นเช่นนั้นท่านอ๋อง" แม่ทัพกังย้ำชัด รอยยิ้มเย็นจึงปรากฎบนใบหน้าอย่างชัดเจน

    "รักษาไม่ได้ก็ไม่ต้องรักษา ส่งม้าเร็วกับนกพิราบสื่อสารไป ให้เจ้าเมืองสุ่ย เฉา เว่ย เยี่ย โจว เฉียว ถาน เป้า เหล่ยให้เตรียมพร้อม" น้ำเสียงของหลิวอิ่นหลิงเย็นชาถึงขีดสุด สายตาเลื่อนไปจรดที่เครื่องหมายสีดำทางตะวันออกเฉียงเหนือของแผนที่

    "มันอยากได้เมืองก็ให้เมืองมันไป ชาวเมืองส่วนใหญ่ลี้ภัยไปที่ค่ายเฮยเซ่อ(สีดำ) นานแล้ว เหลือเพียงทหารกับพวกขุนนางบุ๋นบู๊บางส่วนเท่านั้น ก่อนที่พวกสารเลวนั่นจะไปถึง สั่งให้พวกเขาทิ้งเมืองแล้วตามไปสมทบกับพวกชาวเมืองซะ ห้ามปะทะเด็ดขาด" เว้นสูดลมหายใจเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อเสียงหนักแน่น

    "ท่านพี่มิต้องการให้ทหารกล้าของเราหลั่งเลือดโดยเปล่าประโยชน์ ออกจากเมืองแล้วกระตุ้นให้กับดักเริ่มทำงาน เฮยเซ่อเป็นค่ายลี้ภัยที่ท่านพี่เริ่มสร้างตั้งแต่เริ่มสงครามกับต้าเสียง ชาวเมืองที่หลบหนีไปที่นั่นไม่ต่ำกว่าสิบหมื่น ทหารถอนกำลังละทิ้งเมืองเยี่ยงนี้คนฉลาดอย่างลู่ซือเหยียนต้องไม่ไล่ตามทันทีแน่ ถ่วงเวลาจนทหารจากทุกเมืองไปรวมกันที่นั่นแล้ว ต่อให้ทัพใหญ่ขึ้นมาเองก็ไม่จำเป็นต้องหวาดหวั่น คนนำทัพย่อยบุกเมืองอย่างไรก็ไม่ใช่แม่ทัพลู่คนนั้น ข้ามิคิดว่าแค่หาแผนถ่วงเวลาสละคนส่วนน้อย ปกป้องหมากตาสุดท้ายของต้าเสียงจะเกินความสามารถของเหล่าขุนนางทหารที่เหลืออยู่ เหอตี้ชุน แม่ทัพกังรับคำสั่ง!"

    เหอตี้ชุนและแม่ทัพกังคุกเข่าลงเสียงดังตึง

     "ขอรับ!"

     "ข้าให้พวกเจ้าคุมกองทัพสองหมื่นแยกเป็นสองสาย ขัดขวางการเดินทัพของต้าเสียงไว้ให้นานที่สุด หากเก้าเมืองด้านหลังยังอพยพไม่เรียบร้อย ข้าไม่อนุญาตให้ถอนทัพเด็ดขาด!"

     คำพูดเด็ดขาดที่หลุดออกจากปากของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดเบื้องหน้า เลือดของผู้มากอาวุโสกว่าทั้งสองก็เดือดขึ้นจนแทบพล่าน ความรู้สึกท้อถอยในตอนแรกกลับลบเลือนหาย แทนที่ดวยความหวังที่ผุดขึ้นมาอย่างท่วมท้น

    ต้าซางยังมิไร้ความหวัง หากยังมีองค์ชายน้อยตรงหน้าอยู่ล่ะก็...

    โชคดี ต้าซางช่างโชคดี แม้จะถูกโจมตีหนักหน่วงขนาดไหนก็ยังมีองค์ชายทั้งสองที่ทุ่มเทให้กับแผ่นดิน!

    แม่ทัพทั้งสองบัดนี้ประสานมือคารวะเต็มพิธีการ ขานรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก้องกังวานด้วยความภักดี

    "ขอรับ!!"

    ท่านพี่ ข้าจะไม่ยอมแพ้โดยง่าย แผนการเพื่อต้าซางที่ท่านพี่วางไว้ ไม่ถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต ข้าไม่มีวันยอมแพ้พ่ายให้โจรที่มาปล้นแผ่นดินของเราไปเด็ดขาด!

*************

    เมืองหลวงเลี่ยงหรง ต้าซาง

    ภายในห้องที่กลายมาเป็นห้องพักส่วนตัวของแม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงนั้น มีกลิ่นยาและกำยานหอมลอยกรุ่นอยู่ในอากาศอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โจวจั่วชิงกำลังฝังเข็มลงบนข้อแขนเรียวขาวของอดีตรัชทายาทผู้สูงศักดิ์แห่งต้าซาง ซึ่งบัดนี้ยังไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาสักครั้งตั้งแต่ถูกช่วยออกมาจากกองเพลิง ใบหน้าขาวซีดเผือดจนแทบไร้สีเลือด ขับให้ร่างบนเตียงยามนี้ดูเปราะบางกว่าทุกครา เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลซึมออกมาบนใบหน้าของท่านหมอชรา นิ่งอยู่ถึงสองเค่อ มือเหี่ยวย่นจึงค่อยขยับดึงเข็มออกอย่างบรรจง

    "เรียบร้อย..."

    "เขาเป็นอย่างไร ท่านหมอ" ลู่ซือเหยียนก้าวขึ้นมาด้านข้างเตียง มองสำรวจร่างที่ยังนอนสงบนิ่งอยู่บนนั้นด้วยสายตานิ่งสงบ มิรู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่กันแน่

     "ไม่ดี ไม่ร้าย พิษที่เขาได้รับก่อนหน้านี้จริงๆสงบลงแล้ว แต่ถูกความร้อนกระตุ้นขึ้นมาอีก ร่างกายจึงอ่อนแรง ข้าจึงฝังเข็มควบคุมเอาไว้ ที่เหลือก็ต้องดื่มยาต้มของข้าใหม่อีกครั้ง" หมอชราเสียบเข็มกลับไปที่ห่อ ยกผ้าขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าตนเอง ก่อนลูกศิษย์ข้างกายจะเข้ามาประคองให้ลุกขึ้น ลู่ซือเหยียนเพียงมองส่งไปด้านหลัง

     รอจนท่านหมอลับสายตาไป เฉินฟู่หลิงรองแม่ทัพคนสนิทจึงเดินขึ้นมาเคียงข้างผู้เป็นนาย

    "ท่านแม่ทัพ ท่านหมอฝังเข็มเสร็จแล้ว ข้าจะย้ายเขาไปที่ห้องอื่นนะขอรับ"

    ดวงตาคมกริบตวัดมาจ้องคนพูดอย่างดุดัน จนมือที่กำลังจะแตะร่างบนเตียงชะงักไปเล็กน้อย มิกล้ายื่นมือเข้าไปอีก ทั้งยังมิทราบว่าตนเองทำอะไรผิด ผู้เป็นนายถึงได้หันมามองด้วยสายตาเช่นนี้

    "ผู้ใดสั่งให้เจ้าย้าย?"

     เฉินฟู่หลิงถึงกับอึ้งไป สายตาของรองแม่ทัพท่านนี้ฉายแววงุนงงอย่างชัดเจน

     "อะ เอ่อ...มะ ไม่มีขอรับ"

     "ในเมื่อไม่มีผู้ใดสั่ง เจ้าก็ออกไปได้แล้ว" ลู่ซือเหยียนมิได้นำพากับความสงสัยของรองแม่ทัพของตนเลยแม้แต่น้อย กล่าววาจาขับไล่จบก็นั่งลงข้างเตียงปัดมือที่ยื่นมาของเฉินฟู่หลิงออก การกระทำแปลกประหลาดนั้นทำให้คนโดนปัดเบิกตาเล็กๆ แล้วรีบเก็บไม้เก็บมือของตนให้เรียบร้อย

    "จะ จะให้เขาอยู่ที่นี่หรือขอรับ?"

    "แล้วมีอันใดไม่ได้ ทหารที่เจ้าจัดการให้ดูแลที่คุมขังเดิมทำงานผิดพลาด ข้ายังไม่ได้เอาความ มาตอนนี้ข้าจะเป็นคนจับตามองตัวประกันเอง มันไม่ถูกต้องตรงไหน"

    ประโยคนี้ไม่มีทางเป็นประโยคคำถามเด็ดขาด เฉินฟู่หลิงรู้ดีแก่ใจ รองแม่ทัพยืดตัวตรงตอบเสียงขึงขังว่าไม่มีอันใดไม่ถูกต้องขอรับ แล้วรีบหมุนตัวจากไปจัดการงานอื่นๆของตัวเองก่อนจะถูกโบยจนทำงานไม่ได้

    จะถูกโบยจนต้องนอนรักษาตัวทั้งที ขอเฉินฟู่หลิงทำงานให้เสร็จก่อนเถอะ จักให้นอนพักตอนงานยังคั่งค้าง คนบ้างานอย่างเขาจะอัดอั้นจนช้ำในตายเอาได้

    เมื่อไล่คนอื่นออกไปแล้ว ลู่ซือเหยียนก็หันเหความสนใจกลับมายังร่างบนเตียงอีกครั้ง มือหยาบจากการจับดาบยื่นเข้าไปเกลี่ยไรผมให้พ้นจากใบหน้า นิ้วแตะลงบนผิวแก้มคนหลับเบาๆ ก่อนจะไล้สัมผัสผิวเนียนอย่างเผลอตัว ผิวขาวของคนต้าซางนั้นแตกต่างกับผิวของคนต้าเสียงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสัมผัสยังเรียบลื่นจนน่าประหลาดใจ 

    ไม่ทันรู้ตัว มือที่ยื่นไปแตะก็ลากไล้มาตามแนวกรอบหน้า ลงมายังลำคอขาว เคลื่อนไปหยุดตรงสาบเสื้อของคนหลับตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ กำลังจะขยับมือแหวกออก ท่านแม่ทัพใหญ่ก็คล้ายจะได้สติขึ้นมา รีบชักมือกลับราวกับแตะถูกของร้อน

    เมื่อครู่เขาจะทำอันใดกัน... ลู่ซือเหยียนสีหน้าดำทะมึน มิใช่ไม่เข้าใจตนเอง ออกจากบ้านเกิดเมืองนอนทำสงครามมาตลอดสองปีกว่ามิเคยแหกระเบียบทัพแม้แต่ครั้งเดียว ความต้องการของบุรุษเพศแน่นอนว่าย่อมสะสม แต่การสัมผัสแตะต้องคนหลับที่เป็นบุรุษเช่นกันทั้งยังเป็นตัวประกันอันสูงค่าแบบนี้ มองอย่างไรก็ผิดปกติ...ผิดปกติมากทีเดียว!

    ลู่ซือเหยียนยันตัวลุกออกห่างจากที่นอนอย่างรวดเร็ว รู้ตัวว่ามิอาจอยู่ตรงนี้ได้อีก ตั้งแต่เห็นอีกฝ่ายครั้งแรก ความรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งมาก็ยิ่งสะสมมากขึ้นทุกที

    ดวงตามืดบอด กลับไม่ยอมสิ้นหวัง แผ่นหลังที่ยังยืดตรงอย่างถือตัวและความแข็งแกร่งของจิตใจอีกฝ่ายสะกดให้เขามิอาจละสายตาได้ เมื่อริมฝีปากได้กดลงบนเรียกปากบาง ทุกวันยังต้องเดินออกจากที่พักเพื่อไปยืนมองเงียบๆโดยไม่เอ่ยวาจาใด

    ตอนแรกเขายังหาข้ออ้างให้ตนเองได้ว่าเพราะอีกฝ่ายเคยเป็นถึงศัตรูคนสำคัญที่ขับเคี่ยวกันในสนามรบมานาน กว่าจะจับตัวคนๆนี้ได้ก็ยากเย็นเขาย่อมไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตายก่อนจะได้ใช้ประโยชน์  ทว่าหลังจากเสี่ยงชีวิตไปช่วยอีกฝ่ายออกมาจากกองเพลิง ลู่ซือเหยียนก็มิอาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไป

    เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตาย ทั้งมิต้องการให้ใครมาแตะต้อง...

    เขาพลาด พลาดเสียแล้ว ควรจะฆ่าอีกฝ่ายทิ้งไปตั้งแต่แรก มิควรเข้าไปใกล้ถึงเพียงนี้ มาตอนนี้ความรู้สึกที่มิควรจะเกิดก่อตัวขึ้นแล้ว เงียบเชียบอย่างยิ่ง รวดเร็วอย่างยิ่ง ทั้งยังผิดบาปอย่างยิ่ง

    อีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชายรัชทายาทของดินแดนต้าซาง แม้จะไม่มีต้าซางอีกต่อไป อย่างไรก็เก็บอีกฝ่ายไว้ข้างตัวไม่ได้...

    เพียงแค่นึกว่าต้องส่งตัวอีกฝ่ายให้คนอื่น ความเดือดดาลก็พุ่งสูง จนต้องชักดาบข้างเอวฟาดฟันไปยังฉากกั้นไม้สลักลายมังกรด้านข้างจนขาดในดาบเดียว ก่อนจะต้องปล่อยดาบคู่ใจให้หล่นลงสู่พื้น

   "บัดซบ!"


*************************



     มาต่อเรียบร้อยแล้วค่า! ขอบคุณคอมเม้นก่อนหน้าทุกตอนนะคะ อ่านแล้วชุ่มชื่นหนักมาก พลังปั่นแทบล้นเลย 555

    ตอนในเปลวเพลิงนี้แท้จริงไม่ได้หมายถึงไฟที่ไหม้ตำหนักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังหมายถึงไฟสงคราม และไฟที่อยู่ในใจของท่านแม่ทัพลู่ของเราด้วย  ฮา

   ลงมาหลายตอนไม่รู้ว่าตอนนี้ช่วยกู้หน้าของท่านแม่ทัพได้บ้างไหม ผู้อ่านหลายคนคง รู้สึกว่าเนื้อหาของเรื่องอาจจะค่อนข้างหนัก นี่เป็นความตั้งใจของผู้เขียนเองค่ะ ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองคนก็เป็นองค์ชายกับแม่ทัพ ที่สุดแล้วยังไงก็ต้องมีหน้าที่ของตัวเอง มีสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกาย ไม่อาจเน้นไปที่แค่เรื่องของคนสองคนแน่นอน

   ตอนล่าสุดนี้ต่อช้าเพราะตอนค่อนข้างยาว เขียนไปเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งเขียนเพราะกลัวจะเก็บรายละเอียดได้ไม่ครบ ต่อไปความถี่ในการอัพจะเป็นสามสี่วันอัพที ไม่ใช่อัพวันเว้นวันแบบตอนแรกๆ ต้องขออภัยผู้อ่านด้วยนะคะ ยังไงเรื่องนี้ก็จะแต่งให้จบแน่นอนค่า

ติดขัดตรงไหนก็ติดชมกันได้ นักเขียนเป็นคนหัดเขียนมือใหม่ ชอบอะไร ไม่ชอบอะไรก็มาพูดคุยกันได้ค่ะ ^^

ปล.ยัดไม่พอเรปเดียวอีกแล้ว :z3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2016 01:33:20 โดย NakiDGM14 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
สนุกจัง โอ๊ยชอบ รอตอนต่อนะคะ

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ท่านแม่ทัพพพพพพพหวังว่าจะรู้ใจ?ตัวเองโดยเน็ว แต่อีกปัญหาคือแล้วองค์รัชทายาทเล่าจะรู้สึกหนรือไม่

ออฟไลน์ yaoisamasang

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-3
    • https://www.facebook.com/pages/Yaoi-Sama/463499467036395?ref=hl
กลายมาเป็นเชลยรักซะแล้ว :hao7:

ออฟไลน์ lovetogether

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
หน่วงอ่ะไรต์ แบบน้ำตาไหลตั้งแต่ตอนแรกคือกว่าจะอ่านต่อได้ต้องทำใจมาก ขอถามไรต์ได้ไหมว่าจบเศร้ารึเปล่า แบบเราอินอ่ะ
อ่านแล้วชอบเก็บไปคิดแล้วทำให้เราเศร้าอยู่หลายวัน แต่ไรต์แต่งได้ดีมาก ภาษาสวยแถมให้ครามรู้เราอ่ะ ทำให้เราติดตามมาอ่าน
 ขอบคุณนะที่แต่งนิยายสนุกๆให้อ่าน :hao5:  o13

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
คงปล่อยไปไม่ได้ง่ายๆแล้วสินะ

ออฟไลน์ Littlemochaff

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบมากเลยค่าาาา ภาษาลื่นมากอะ ชอบๆ รอต่อน้าาาาาาา

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg

ออฟไลน์ SimplyDelicious

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากเลยค่ะะ ภาษาดี๊ดี วางโครงเรื่องไว้ดีมาก ชอบๆๆ เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
ทสับสนในตัวเองอะดิ


เผลอสนใจอดีองค์รัชทายาทแล้ว


รอดมาได้หวุดหวิดจริงๆๆ



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด