ตอนที่10[#1]
วันนี้เป็นวันพุธ วันแสนล้ากลางสัปดาห์ เมื่อคืนพี่เฟิงแชทมาบอกผมว่าขอเลื่อนไปเลี้ยงสายรหัสวันวันพฤหัสหน้าแทนเพราะวันเสาร์ที่จะถึงนี้พี่นารายณ์จะเลี้ยงน้องรหัสตัวเองแบบโลว์คอสข้างถนนกับเพื่อนในคณะ พี่เฟิงเลยเปลี่ยนแผนเลี้ยงผมพร้อมเพื่อนในคณะเหมือนกันแต่ใช้สถานที่เดิมคือบุฟเฟ่ต์บนโรงแรมของพี่นารายณ์
อย่างนี้ก็หมายความว่าวันที่พี่เฟิงเลี้ยงผมจะมีแค่ผมกับพี่เฟิงเท่านั้น ไม่มีพี่นารายณ์เข้ามาเอี่ยว
เฮ้อ...โล่ง
อ้าว...แล้วไหงกูมานั่งดีใจที่ไม่ได้เจอพี่นารายณ์วะ
“เหี้ยครอส เพราะมึงเลย มึงทำให้กูรู้สึกละอายโดยไม่มีความผิด!”ผมตะโกนใส่ดินใส่ฟ้าอย่างหัวเสีย ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เช้าตรู่จนห้องเรียนยังไม่เปิด เวลามามหาลัยของผมไม่ค่อยแน่นอนเท่าไหร่ขึ้นกับเส้นทางที่พี่แท็กซี่เลือกใช้ อย่างวันนี้ก็เช้าเกิ๊น!
“ร้องหาผู้ชายแต่เช้า”
มารคอหอยหมายเลยหนึ่งปรากฏกาย ซังผู้เสือกขยันตื่นเช้าเอาวันนี้วางกระเป๋าลงบนโต๊ะหินอ่อนและนั่งลงข้างผม มันปิดปากหาวหวอดๆเหมือนคนอดนอน
“ทำไมวันนี้มาเช้าวะ”
“กูคุยกับหวานถึงเช้า ขี้เกียจนอนเล่ยอาบน้ำมามหาลัยแม่ง...ฮ้าววว”มันพูดไปหาวไป
“มึงกับหวานนี่ยังไง คบกันแล้วเหรอวะ โหดมากอ่ะ เพิ่งเปิดเทอมเดือนเดียวเพื่อนกูก็มีแฟนแล้วเว้ย!”ซังเห็นเงียบๆนิ่มๆอย่างงี้แต่ตอนม.ปลายมันก็ได้แฟนเป็นเด็กคอนแวนต์นะครับ สวยซะด้วย จำได้ว่าเป็นคฑากรนะ
“กูใคร? กูซัง! ใครจะไปอ่อนหัดอย่างมึง แอบชอบเขามากี่ปีแล้วนะ 3? 4? เหอะ!”
“เกลียด”ขว้างงูไม่เคยพ้นคอเลย ไม่ว่าซังจะเปลี่ยนแฟนสักกี่คนมันก็ต้องแซะผมเรื่องนี้ตลอด! จนกลายเป็นปมด้อยไปแล้วเนี่ย!
“หึหึ มึงไม่ต้องเสียใจไปหรอก คนกากไม่ได้มีแค่มึงคนเดียว”
“หมายความว่าไงวะ?”ผมขมวดคิ้วเอียงคอมองมันแบบงงๆ แต่ใบหน้าตอนสงสัยของผมคงน่ารักเกินไปหน่อยมันเลยตอบกลับอย่างแสนเอ็นดูว่า
“หน้าปัญญาอ่อนของมึงทำอะไรกูไม่ได้หรอกนะ กูพูดถึงไอ้ตาไร้แววที่เห็นหน้าอย่างมึงน่ารักและออกตัวจีบแบบเว่อร์วังอลังกาลดาวล้านดวงแต่สุดท้ายก็แดกแห้ว”
“หมายถึงครอส?”ซัง มึงจะลีลาเล่นคำไม่พูดตรงๆเพื่ออะไร พอผมเอ่ยชื่อนี้ออกไปมันก็หลุดยิ้มมุมปาก สีหน้ามีเลศนัยสุดๆ
“เออเดะ ทำไมเสียงมึงดูไม่มั่นใจวะเพื่อน คนที่จีบมึงช่วงนี้ก็มีแค่คนเดียวหนิ ที่ลังเลเพราะมึงแอบไปมีกิ๊กแล้วไม่เล่า? หรือเพราะไอ้คนที่กูพูดถึงมันยังไม่แห้ว?”
อื้อหือ! นี่มันพี่ซังจิตสัมผัส! โหดสัสรัสเซียมากเพื่อน เล่นคำยอกย้อนซะผมแทบตกเก้าอี้
“ก็ประมาณนั้นแหละมั้ง”ผมถอนหายใจออกมาในที่สุด บทสนทนายามเช้าอันแสนสดใสกลายเป็นเรื่องอะไรไปแล้วเนี่ย เพื่อนผมมีสีหน้าตกใจตอนได้ยินคำตอบจากปากของผม
ทีวันที่ไปกินไอติมด้วยกันมันยังแซวผมอยู่เลย ไหงวันนี้มาโหมดเครียดวะ
“มึงเป็นคนดีนะเพลิน ถึงสมองมึงจะคิดเรื่องชั่วๆออกมาเต็มไปหมดแต่พื้นฐานจิตใจของมึงเป็นคนดี กูเชื่อว่าคนอย่างมึงไม่ให้ความหวังลมๆแล้งๆกับใครหรอก เหมือนที่ผ่านมามึงก็ปฏิเสธชัดเจนทุกคนไม่ใช่เหรอวะ?”ครั้งแรกเลยนะที่โดนชมแล้วไม่ดีใจ
“กูบอกเรื่องพี่นารายณ์ไปแล้วทุกอย่างเลยเรื่องพี่เฟิงด้วย มันก็คงเสียใจแหละ ฟังจากเสียง แต่ก็นะ...เห้อ”
“ผิดแล้วเพื่อน ยิ่งมึงบอกเรื่องพี่เขายิ่งผิดใหญ่”
“หา? ทำไมอ่ะ”ผมว่านั่นเป็นคำพูดที่ดูดีที่สุดเท่าที่เคยพูดกับคนที่มาจีบแล้วนะ ปกติจะโดนแบบ ไอ้เหี้ย! ไปไกลๆเลยกูไม่ชอบผู้ชาย...กรณีนี้เอาไว้ใช้กับผู้ชายที่มาจีบ กับ ขอโทษนะครับ พี่ไม่ได้ชอบน้องแล้วก็คิดว่าไม่มีทางเปลี่ยนใจด้วย...กรณีนี้ใช้กับผู้หญิง
ผมขมวดคิ้วหน้ายุ่ง ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ทำมันผิดยังไง
“ก็มึงเล่นบอกเขาซะหมดเปลือก บอกเขาว่าคนที่มึงแอบชอบกำลังแอบรักเพื่อนสนิทตัวเองอยู่ อย่างงี้เขาก็รอดิวะ”คำพูดของซังเล่นเอาผมสะอึก
“กู...ไม่ได้ตั้งใจ...”ไม่ได้ตั้งใจให้ครอสเข้าใจแบบนั้น...จริงๆน่ะเหรอ?
“มึงอาจจะไม่รู้ตัว ในฐานะเพื่อนสนิทกูขอบอกเลยว่าสำหรับมึง’คนนี้พิเศษ’ แต่ไม่รู้ว่าพิเศษแบบไหน”
“จะบ้าเหรอ!? ครอสเนี่ยนะ! ตอนแรกกูเกลียดมันจะตาย ไม่มีทางๆๆๆๆ”
“แต่มึงก็ให้อภัยมันในชั่วข้ามคืน”
“ก็มันมาขอโทษหนิ จะไม่ให้อภัยกันเลยก็เกินไป กูไม่ได้ชอบมันนะ...กูแค่ชอบตัวเองเวลาอยู่กับมัน...”เพราะพวกเราสนิทกันเร็ว เข้ากันได้ดี ผมได้เป็นตัวของตัวเอง
“ก็ไอ้คนที่ทำให้รู้สึกแบบนั้นก็ต้องพิเศษอยู่พอตัวใช่ไหมล่ะ”
“แต่กูชอบพี่นารายณ์...”
“กูรู้ดีรู้ลึกรู้จริงเลยด้วย แต่กับครอสกูไม่รู้เพราะตัวมึงเองยังไม่รู้ตัวเองเลย”
“...”ผมหลบสายตาที่เหมือนจะอ่านทุกอย่างทะลุปรุโปร่งของมัน
“จำคำกูไว้นะเพื่อน...”
“อะไร...”
“คนจับปลาสองมือแม่งเลว!” คำพูดของไอ้ซังคอยตามหลอกหลอนผมตั้งแต่ตื่นนอนยันในฝัน ประสาทจะแดกแต่ไอ้ตัวคนพูดกลับนั่งเรียนอย่างสบายใจ หลังจากไปกินไอติมด้วยกันวันนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับครอสอีกเลย นี่ก็ผ่านมาจนถึงเย็นวันศุกร์อันเป็นวันที่มีเรียนศิลปะวิจักษ์แล้ว
ช่วงเช้าผมเข้าเรียนตามปกติ ภายนอกอ่ะนะที่ปกติ แต่ทั้งใจทั้งตากลับชะเง้อคอรอใครบางคนที่ลงวิชานี้ตามผมแต่กลับไม่โผล่หัวมาให้เห็นเลย
ผมเช็คชื่อแทนมันใจก็คอยคิดไปด้วยว่าทำไมมันถึงไม่มา
ไปไหนวะ? คำถามนี้ผุดขึ้นในหัวตลอดเวลา
พอเข้าช่วงบ่ายวันนี้ผมทำแลปแบบไม่ปกติเท่าไหร่ เกือบทำกระบอกตวงตกแตกแหน่ะ นี่ผมเป็นเอามากขนาดนี้เลยเหรอ? แค่ไม่ได้เจอหน้าคนที่ควรจะเจอกันสองชั่วโมงต่อสัปดาห์นั่นน่ะเหรอ
ผมไม่กล้าคาบประเด็นนี้ไปถวายให้ไอ้ซังด่าซ้ำแล้ว แค่คำว่าเลวเมื่อสองวันก่อนก็จุกออกเกินต้านทาน
“หวานๆ ขอเวลาเดี๋ยวดิ ว่างป่ะ”ผมสะกิดที่ปรึกษาหมายเลขสอง ไอ้ซังยังไม่เปิดตัวว่าคบกับหวานแต่ผมมั่นใจว่ายัยนี่แหละว่าที่แฟนเพื่อนผม หวานเป็นคนสวยนะครับ แต่ไม่ออร่าโดดเด่นเท่าแม่แก้วเลยไม่ได้เข้าชิงตำแหน่งดาวคณะ
ว่าที่แฟนเพื่อนหันมามองหน้าผมอย่างแปลกใจ โชคดีที่ซังโดนจัดให้ทำแลปอีกห้องนึงเลยไม่มีมารรบกวน
“มีอะไรเหรอเพลิน”
“ทำแลปเสร็จยัง”
“เสร็จแล้วๆ เหลือล้างเครื่องแก้วเนี่ย ช่วยหน่อยดิ”ได้ทีใช้เลยนะแม่คุณ ผมทำตามคำสั่งของเธออย่างเสียไม่ได้ “ว่าแต่มีเรื่องไรเลย ว่ามาดิ”
“อ่า...”พอผมง้างปากปุ๊ป ตุ๊ดที่ล้างเครื่องแก้วอยู่อีกฝั่งของอ่างก็หูผึ่งปั๊ป ผมงี้งับปากแทบไม่ทัน”ไว้เล่าที่ร้านลุงหนวดได้ป่ะ”ร้านลุงหนวดที่ว่าคือร้านเครปเย็นครับ คนขายเป็นคุณลุงหนวดจิ๋มหน้าตาโฉดไม่เหมาะกับร้านสักนิด แต่อร่อยดีนะ วันเปิดเทอมเคยไปกินกับซังครั้งนึง
“ว๊าย เดือนคณะชวนเดท”หวานคนแมนกรี๊ดอย่างดัดจริต ผมได้แต่ส่ายหน้าเพลียใจ
พวกเรารีบล้างเครื่องแก้วและเก็บของมายังร้านลุงหนวดด้วยความรวดเร็ว ดูท่าต่อมเผือกของหวานจะกระตุกยิกเพราะเธอชี้สั่งเมนูไปมั่วๆทั้งของเธอและของผมพร้อมเร่งให้เล่ายิกๆ
“ว่ามาๆ สัญญาว่าจะไม่เอาไปบอกซัง”แหม รู้ใจซะด้วย ผมยิ้มแฉ่งเลย
“ก็...แบบว่า...อะไรนะลืม...”ลืมจริงไม่ได้ลีลา ผมจะมาถามอะไรหวานวะ มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดต้องแห่กันมาเล่าในที่แบบนี้เลยรึไง
“อ้าว?”
“แหะๆ...มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอก แต่ก็นะ...สมมตินะ ถ้าหวานมีคนที่ตามจีบหวานแบบออกนอกหน้าคนนึง...”พอพูดถึงต้องนี้ผมก็กลั้นใจเผื่อว่าจะโดนแซว แต่ร่างบางฝั่งตรงข้ามกลับทำเพียงพยักหน้าจริงจังเท่านั้น มือเรียวสวนรวมประสานกันบนโต๊ะท่าทางจริงจังเหมือน HR เวลาสัมภาษณ์งาน วันนี้มาแปลกแฮะ ไอ้ซังต้องเอาข่าวไปอัพเดทให้ฟังแหง เลวมาก มีหน้ามาด่าคนอื่น ไอ้เลวววววว ชิส์ๆๆๆ
“พูดต่อสิ”
“แล้วอยู่ดีๆคนคนนั้นก็หายเงียบไปเลย หวานจะโทรไปถามเขาไหม...แบบ...ทำไมวันนี้ไม่มาเรียน...ไรงี้...”
“เรื่องแค่นี้อ่ะนะ!?”หวานแทบจะปาเครปเย็นซึ่งมาเสริฟพอดีใส่หน้าผม เธอผิดหวังระดับรุนแรงมากเมื่อสิ่งที่ผมผู้ลากเธอมาถึงร้านขนมสองต่อสองพูดมีเท่าหางอึ่ง
“ใช่จ้า~”
“โอ๊ยยย ชะนีจะเป็นลม ทำไมผู้ชายสมัยนี้คิดเล็กคิดน้อยจังวะ เป็นห่วงเขาก็โทรไปสิ ถามเลยว่าวันนี้ไม่มาเรียนเป็นไรป่าว ไม่สบายเหรอ? หาหมอยัง? แต่ถ้าไม่เป็นห่วงก็ไม่ต้องโทร โทรไปก็มีแต่เติมเชื้อไฟเปล่าๆ”
ถูกต้องตรงประเด็นสุดๆเลยครับท่านอาจารย์!
แต่ว่านะ
“แล้วตกลงเราควรโทรไปไหม? โอเคๆ ไม่ถามแล้ว เรื่องแบบนี้มีสมองก็ควรคิดเอง...ฮึ๊บๆๆๆ ไม่โทรละกันเนอะ กินเครปกันๆ มื้อนี้เราเลี้ยง”
หวานคงไม่พอใจในการตัดสินใจของผมเท่าไหร่ เธอเม้มปากเสตามองมือถือซึ่งวางอยู่ข้างจานของผมเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ตัดสินใจเงียบไป พวกเรากินกันเงียบๆ เอาเข้าจริงๆแล้วเวลาแค่เดือนนึงที่เจอกันคงน้อยเกินกว่าจะมานั่งกินของหวานกันสองต่อสองแบบนี้
เกร็งแฮะ
หวานก็คงเกร็งเหมือนกัน
ไม่ใช่ประมาณแบบเขินอะไรหรอก รู้ๆกันอยู่ อารมณ์ตอนนี้คืออึดอัดนิดๆหาประเด็นอะไรมาคุยกันไม่ได้มากกว่า
“ถ้าไอ้ซังทำตัวไม่ดีมาฟ้องเราได้นะ”
“อ๋อ..อื้ม”
กริบ
“เพลินเองก็มาปรึกษาเราได้ทุกเรื่องนะ ถึงจะไม่ได้เรื่องอะไรหรือใส่ความเห็นส่วนตัวลงไปเยอะแต่สัญญาว่าจะไม่เอาไปพูดต่อ”
“ขอบคุณนะ”
ถ้าเราสนิทกันเร็วๆได้คงดีนะ ผมคลี่ยิ้มอ่อนรู้สึกเข้าใกล้เพื่อนใหม่คนนี้ได้อีกเปราะหนึ่ง
ผมสนิทกับคนยาก เพื่อนในคณะเองก็รู้จักอยู่ไม่กี่คน...ถ้าหากพูดคุยกับทุกคนได้อย่างที่เป็นกับครอสก็คงจะดี
ครืดดด
ห้วงคิดของผมถูกสะดุดด้วยสายเรียกเข้า ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอไม่รู้ว่าทำให้ผมหรือหวานแปลกใจมากกว่ากัน แต่คนที่ดึงสติกลับมาได้ก่อนคือหวาน เธอกล่าวกับผมเสียงเรียบว่า”รับสิ”พร้อมขอตัวไปเข้าห้องน้ำเหมือนเปิดโอกาสให้ผมพูดบางอย่าง
“มีอะไรเหรอครอส”
“แค่คิดถึง...โทรหาไม่ได้เหรอ” “ถ้าคิดถึงแล้วต้องโทรมาตลอดงี้กูไม่ต้องรับโทรศัพท์เช้าสายบ่ายเย็นเลยเหรอ ฮ่ะๆๆ”ผมแกล้งแซวปลายสายเพราะจับน้ำเสียงหม่นหมองได้แจ่มชัด วันนี้หายไปไหนมาหว่า หรือจะป่วยจริงๆ
“ไม่ได้วางสายยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยต่างหาก” อื้อหือ...เสียงหนักอกหนักใจขนาดนี้ยังไม่วายหยอกกูอีก ไอ้ห่า เดี๋ยวปั๊ดวางสายซะเลย
“วันนี้หายไปไหน ทำไมไม่มาเรียน พอตกเย็นก็มาตอแหลคิดถึงกูก็มาหาดิในคาบอ่ะ มีการบ้านด้วยแต่ไม่บอกหรอกนะ”
“หึๆๆ เสียใจด้วยนะครับเพลิน เพื่อนกูส่งรูปมาให้ทางไลน์แล้ว” “งั้นโทรมาไม แค่นี้นะ บายๆๆๆ”เหนือกว่ากูตลอด! เกลียดว่ะ
“เดี๋ยว!...”ครอสตะโกนยั้งผมไว้ แล้วไอ้ผมก็บ้าจี้ไม่วางสายด้วยนะ งี้มันก็เข้าใจว่าเมื่อกี้ผมแกล้งงอนเล่นตัวไรงั้นดิ
“ไร”
“อยู่ไหน” “ร้านเครปหน้าม.”
“กับใคร” “ไม่บอก”ทั้งๆที่ไม่มีอะไรในกอไผ่เลยแท้ๆแต่พอทำตัวลับๆล่อๆแล้วเรื่องมันดูลี้ลับขึ้นจม คือความจริงกูแค่มากินขนมกับสาวในคณะเพื่อปรึกษาเรื่องมึงอ่ะนะ เหอๆ
“...ไปหาได้ไหม...” เสียงซึมหนึกกว่าเดิมอีก นี่แค่ฟังเสียงนะ เห็นหน้าผมคงใจอ่อนยวบอยู่ ยิ่งเป็นคนพื้นฐานจิตใจดีอยู่ด้วยเพื่อนบอกมาเมื่อวันก่อน อิอิ
“เออๆ”
หวานขอตัวกลับไปเมื่อยี่สิบนาทีก่อน ก่อนจากมีทิ้งเงินไว้ด้วยก็บอกว่าจะเลี้ยงๆแต่ก็ดื้อไม่ยอม แต่ถ้าทิ้งเงินไว้เฉยๆก็ไม่เท่าไหร่แต่ดันมีแซวเรื่องไอ้ครอสแถมด้วยนี่เพลินจะไม่ทน!
ผมนั่งเขี่ยมือถือไปมาจนแบตจวนจะหมด ลุงเจ้าของร้านก็คอยเหล่ผมตลอดสงสัยจะกลัวแอบชาร์ตแบตฟรีหรือไม่ก็สงสัยว่าเมื่อไหร่ไอ้เด็กบ้านี่จะไสหัวออกจากร้านไปสักทีเกะกะคนอื่นเขา
เวลาเดียวกันนั้นเองหางตาของผมก็เหลือบไปเห็นโฟล์คบีทเทิลสีเหลืองเลมอนจอดเทียบท่าหน้าร้าน หลายสายตาของคนเดินผ่านไปผ่านมองต้องเหลือบมองร่างสูงซึ่งเดินลงจากรถคันเด่นนั่น ครอสเดินเข้ามาในร้าน ตรงมาหาผม ทรุดตัวลงนั่งข้างอย่างหมดแรง พอได้นั่งมันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แหงนหน้าพิงพนักและยกมือก่ายหน้าผาก
มึงมางี้กูก็กวนตีนไม่ออกดิ
“เป็นไรมึง”ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่เคยเจอครอสเวอร์ชั่นนี้มาก่อน ลุงหนวดเจ้าของร้านเดินมาจะจดเมนูแต่ผมโบกมือไล่ เดาว่าไอ้ครอสคงไม่มีอารมณ์กินอะไรตอนนี้
“ง่วง ขอนอนตักได้ป่ะ”
ถ้าเป็นเวลาอื่นผคงยันหัวมันออกแถมถีบซ้ำไปละ แต่นี่มันครอสคนจ๋อยไงเพลินคนใจอ่อนจะไปทำไรได้นอกจากพึมพำคำว่าอืมเบาๆ โชคดีที่ผมเลือกนั่งโต๊ะญี่ปุ่นแบบนั่งพื้น มีเบาะรองก้นสองสามอันรอบโต๊ะไอ้คนเพิ่งมาใหม่เลยนอนได้อย่างสบายตัว
ได้กลิ่นเหล้าด้วย
“แฮงค์อ่อ”ครอสแค่พยักหน้าหงึกหงักตอบรับเท่านั้น ผมได้โอกาสมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของมันชัดๆก็พบว่าโทรมมาก ขอบตาดำอย่างกับแพนด้า ผมกระเซิง ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นหนีบแตะเหมือนตื่นแล้วก็ขับรถออกจากคอนโดมาเลย
“เมื่อวานไปผับมาอยู่ถึงเช้าเลยแต่ไม่ต้องกลัวนะไม่ได้นอกใจแอบสบตาใครในนั้นแน่นนอน... นี่ยืมชุดไอ้แวนใส่ ไม่อยากกลับห้องตัวเอง ไม่มีที่ไปว่ะ”
ช่วยพูดภาษาคนหน่อยเถอะ กูต้องมานั่งแปลในสมองซ้ำอีก
“งั้นวันนี้ไปนอนบ้านกูมะ”
ครอสแสดงอาการแปลกใจอย่างปิดไม่มิด มันคงไม่คิดว่าผมจะเอ่ยปากชวนง่ายๆแบบนี้
ถ้าพ่อซังรู้พ่อซังต้องด่าแหงๆ ลูกสาวแรดชวนผู้ชายไปค้างบ้านสองต่อสอง แถมผู้ชายคนนั้นยังโคตรอันตรายเลยด้วย แต่จะให้ทำไงล่ะ ไอ้ครอสตาปรือจะหลับคาตักผมอยู่แล้ว เห็นว่าไม่ได้นอนทั้งคืนขืนหลับทีคงลึกแหง ลุงเจ้าของร้านได้กินหัวให้
“อันตรายนะ”
“รู้น่า แต่จะให้ปล่อยทิ้งไว้ข้างทางรึไง”
“ไม่ถามสาเหตุหน่อยเหรอ”
“ถ้าอยากเล่าก็จะฟัง แต่ถ้าไม่อยากพูดถึงก็ไม่บังคับหรอก...ไปกันเถอะ”ผมพูดพร้อมสะกิดให้มันออกจากตักผมสักที มันจะหลับตอนนี้ไม่ได้ ผมแบกมันไม่ไหว
“มึงเป็นคนอย่างที่กูคิดไว้จริงๆ โคตรดีใจเลยว่ะเพลิน”
ครอสทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมเห็นตามันแดงๆไม่รู้ว่าเพราะไม่ได้นอนหรือเปล่า แต่ดูจากสีหน้าแล้วคิดว่าไม่ใช่
ว่าแต่ไอ้คนอย่างที่คิดไว้นี่...ในทางที่ดีหรือแย่?
" " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " "
สำหรับ #ทีมแวนซัง เสียใจด้วยนะคะ คุณไม่ได้ไปต่อ 55555 
ซังกับหวานเป็นตัวละครที่เราชอบมากๆ
อย่างที่นิยายทุกเรื่องมักมี บทเพื่อนนายเอกสำหรับเพลินก็คือซัง ซังคือเพื่อนที่คอยตักเตือนแต่ไม่โอ๋ไปเสียทุกเรื่อง ถ้าเพลินสะดุดล้มเขาจะยืนมองและให้ลุกขึ้นมาเอง แต่ถ้าเพลินเดินทางผิดเขาจะรีบเข้าไปห้าม ถ้ายืนไม่ไหวจะคอยประคอง นี่แหละคือคำว่าเพื่อนแท้ แต่หลายๆเรื่องมักให้เพื่อนนายเอกจับคู่กับหนุ่มคนอื่นเป็นคู่รอง ซึ่งเราไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ อารมณ์ประมาณผู้ชายทุกคนในโลกไม่จำเป็นต้องเป็นเกย์ก็ได้ ความรักของชxชเป็นเรื่องดี ความรักของชxญเองก็เช่นกัน
แม้ว่านี่จะเป็นนิยายวายแต่เราก็อยากใส่คู่ชายหญิงเข้าไปในเรื่องค่ะ จึงกำเนิดตัวละครหวานขึ้นมา
อย่างที่นิยายทุกเรื่องมักมี ตัวละครหญิงเป็นนางอิจฉาหรือผู้หญิงถูกจัดเป็นเพียงตัวประกอบ โอเค หวานก็นับเป็นตัวประกอบ แต่สำหรับเราเธอมีมิติมากกว่านั้น เราอยากให้ทุกคนเห็นว่าผู้หญิงก็เป็นฝ่ายดีได้ในนิยายวาย และเธอก็เป็นสาววายตัวแม่ แต่ที่พิเศษคือเธอแค่อวยอยู่ห่างๆไม่เข้าไปก้าวก่ายชีวิตของเพลิน เธอพร้อมให้คำปรึกษาแต่จะไม่เข้าไปบังคับบงการ เธอไม่แอบถ่ายรูปและเอาไปสร้างเพจ ครอสเพลินFC ด้วย เพราะเธอรู้จักคำว่ามารยาท 555 นี่แหละเหตุผลที่รักแม่นางคนนี้
คู่นี้อาจเป็นคู่นอกสายตาของนักอ่าน แต่พวกเขาเป็นคู่ในดวงใจของนักเขียนเลยค่ะ