แอบรัก⊰❤⊱วันที่13
แสงของช่วงสายของวันพฤหัสบดีส่องเข้ามาภายในห้องที่มีทั้งผ้าใบและรูปภาพหลายอันวางตั้งเรียงรายกันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบนัก รูปภาพหนึ่งที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้องมีชายสองคนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหาภาพนั้นอยู่โดยที่ชายคนแรกหรือก็คือผมกำลังยกพู่กันขึ้นพร้อมแต้มสีฟ้าที่ปลายก่อนจะเริ่มจรดพู่กันลงบนภาพนั่นต่อ
ในขณะที่ปลายพู่กันจะสัมผัสถึงผ้าใบมือของผมก็หยุดชะงักลง...
การไม่ได้จับพู่กันมาหลายวันไม่ได้ทำให้รู้สึกผิดแปลกหรือไม่มีสมาธิแต่ชายคนที่สองที่นั่งอยู่ข้างๆต่างหากที่กำลังทำให้มือที่จับพู่กันอยู่สั่นเล็กน้อย ใบหน้าที่มองไปยังภาพก็ก้มลงด้วยใบหน้าแดงก่ำ แม้แต่ริมฝีปากก็เม้มเข้าหากันจนแน่น...ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเพราะถูกสายตาของคนที่แอบชอบมาตลอก11ปีจับจ้องมา
ถ้าเป็นตอนปกติคงไม่รู้สึกเขินอายขนาดนี้แต่เพราะสถานะที่เปลี่ยนไปทำให้อดไม่ได้ที่จะอายแบบนี้
แฟน
ผมกับราชาคบกันแล้วเมื่อวันก่อนและวันนี้เขาก็มาหาผมตั้งแต่ช่วงสาย ทั้งที่ผมบอกว่าจะเข้ามาวาดรูปต่อแต่อีกฝ่ายก็บอกว่าจะตามมาให้ได้จนเกิดสถานการณ์ในตอนนี้ขึ้น...
ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่สติหลุดออกจากการวาดรูปแบบนี้
ปกติผมมักจะถูกอาวิชมที่มีสมาธิในการวาดจนไม่สนใจสิ่งรอบข้างแต่พอมีราชามาอยู่ใกล้ๆแบบนี้แค่แรงจะขยับมือยังแทบไม่มีเลย...
แล้วแบบนี้ผมจะวาดต่อได้ยังไงกัน
“...ราชา”เสียงนุ่มเอ่ยเรียกคนข้างกายที่จ้องมาไม่หยุดด้วยเสียงสั่นๆ
จะจ้องอะไรขนาดนั้น
“หืม?”ทั้งน้ำเสียง ใบหน้า แววตาและท่าทางบอกได้เลยว่าราชากำลังมีความสุข
แต่เขามีความสุขเรื่องอะไรนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
“...เอ่อ...อย่าจ้องมากได้ไหม?”
“ไม่ได้จ้องแค่มองต่างหาก”
“ก็นั่นแหละ...อย่ามองมาได้ไหม?”มันไม่มีสมาธิแล้วนะ
“ผมมองแฟนตัวเองไม่ได้เลยเหรอ?”
“...”คำถามที่ถามกลับมาทำให้ผมต้องเม้มปากตัวเองแน่นพร้อมกับใบหน้าที่เถือกด้วยความเขินอาย
นี่เขากล้าพูดประโยคน่าอายออกมาได้ยังไง?!
“ไม่ได้ยินที่ผมถามเหรอข้าวจ้าว”เมื่อผมไม่ตอบอีกฝ่ายก็ขยับหน้าเข้ามาใกล้ราวกับจะกลั้นแกล้งให้หัวใจวายกันไปข้าง
“...ทำไมชอบแกล้ง”
“ก็อย่าทำตัวน่าแกล้งสิ”
“ผมทำตรงไหน?”ผมรีบหับไปถามอีกฝ่ายทันทีที่ได้ยิน ดวงตาคมสีน้ำตาลที่จ้องมาออกแนวขบขันอย่างชัดเจนจนผมต้องก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตานั่น
“ทุกตรงนั่นแหละ...ถ้าไม่อยากให้แกล้งก็อย่าหน้าแดง...อย่าก้มหน้า...อย่าหลบตา...อย่าเม้มปาก...และอย่าทำตัวน่ารัก”เสียงทุ้มก้มลงมากระซิบคำตอบข้างๆใบหูยิ่งทำให้คนที่ก้มหน้าอยู่ถึงกับถอยหนีแต่เพราะเป็นเก้าอี้ธรรมดาเลยทำได้แค่เอนตัวไปด้านหลังเท่านั้น
“...คนขี้แกล้ง”ที่เขาบอกมาผมไม่มีทางทำมันได้หรอก
ถ้าไม่อยากให้ผมหน้าแดง ก้มหน้า หลบตา หรือเม้มปากก็อย่าเข้าใกล้ผมสิ...แค่มีราชาอยู่ใกล้อาการพวกนั้นมันก็เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ใครจะอยากหน้าแดงต่อหน้าคนที่ชอบกัน?
แล้วไอ้คำสุดท้ายนั่นน่ะ...
น่ารัก
ใครน่ารักเล่า?!!
“ก็อยากน่าแกล้งทำไมล่ะ”
“...ไม่ไปทำงานรึไง?”ผมรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่ตัวเองจะเป็นลมเพราะคำพูดหวานๆของคนด้านข้าง
“ผมกำลังโดนย้ายงานน่ะ”
“ย้ายงาน?”
“ใช่...พ่อบอกว่าผมทำงานที่บริษัทไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“งั้น...จะทำยังไงล่ะ?”ผมหันไปถามอย่างเป็นห่วง
การให้ย้ายงานมันไม่ใช่เรื่องที่จะเล่าขำๆได้เลยนะ
ราชาไปทำอะไรถึงขนาดที่ต้องโดยย้ายเหรอ?
ตั้งแต่ที่รู้จักกับราชามาเขาไม่ใช่คนที่จะทำงานสะเพล่าหรืออู้งานดังนั้นที่บอกว่าทำงานไม่ค่อยดีมันต้องมีเหตุผลอื่นอีกแน่...แล้วราชายังเป็นถึงลูกชายของประธานบริษัท จากที่เคยเจอเขาไม่น่าจะเป็นคนที่ใจร้ายกับลูกชายตัวเองนักนี่
“อาทิตย์หน้าผมต้องย้ายไปทำอีกที่หนึ่ง...เพราะงั้น...ผมอยากให้ข้าวจ้าวมาเป็นผู้ช่วยได้ไหม?”
“ผู้ช่วย?”
“อืม...ผมไม่ได้บังคับแต่ถ้าไม่ได้ข้าวจ้าวก็ไม่รู้จะหาใครแล้ว”คำพูดนั่นทำให้ผมต้องคิดหนัก...เรื่องที่ราชาอยากให้ช่วยต้องเกี่ยวกับการถ่ายไม่ก็วาดรูปแน่
ก็ถ้าเป็นเรื่องอื่นผมคงช่วยไม่ได้หรอก
“...ขอฟังรายละเอียดหน่อยได้ไหม?”
“อืม...ข้าวจ้าวรู้จักหอศิลป์Art of Gobleที่อยู่ในตัวเมืองไหม?”
“แน่นอนสิ...หอศิลป์ขนาดใหญ่ที่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ...ไม่ใช่แค่มีพื้นที่ที่ใหญ่มากเท่านั้นยังมีทั้งภาพถ่ายจากบุคคลชั้นนำระดับจัดแสดงอยู่...แล้วก็มีภาพวาดจากจิตกรชื่อดังและบางภาพก็มีแค่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น...หอศิลป์ในฝันแบบนั้นผมต้องรู้จักอยู่แล้ว”ไม่ต้องรอให้ราชาอธิบายเรื่องหอศิลป์นั่นหรอกเพราะผมนี่เป็นแฟนตัวยงเลย อยากจะเข้าไปสักครั้งแต่ไม่โอกาสสักที
“...รู้ดีจังนะ...แปลว่าคงชอบมาสินะ”
“ที่สุดเลย”ผมบอกพร้อมรอยยิ้ม
“แล้วรู้ไหมว่าใครเป็นเจ้าของ?”
“...เจ้าของ?...อันนี้ไม่รู้เหมือนกันนะแต่น่าจะเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีของประเทศละมั้ง”ผมลองคาดเดาไปเรื่อย การที่จะสร้างหอศิลป์ขึ้นมาได้มีแค่เงินหลัก10ล้านก็ถือว่ายังน้อยดังนั้นเจ้าของหอศิลป์ขนาดใหญ่นั่นต้องเป็นมหาเศรษฐีแน่นอน
“ก็ไม่ผิดหรอก”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับที่ราชาย้ายงานล่ะ?”เมื่อเห็นว่านอกเรื่องมาไกลแล้วผมก็ต้องวกลับเข้าเรื่องเดิมก่อน
“ก็เกี่ยวนะ”
“ยังไง?”อย่าบอกนะว่าถูกย้ายให้ไปทำงานที่นั่นน่ะ
เป็นไปไม่ได้หรอกถึงประธานบริษัทหรือคุณพ่อของราชาจะรวยแต่คงไม่ทำกิจการหลายอย่างพร้อมกันหรอก...พอคิดแบบนั้นภายในใจก็เกิดคำถามขึ้นมา...พ่อของราชารู้จักอาวิแปลว่าต้องรู้จักพวกรูปภาพเป็นอย่างดี แล้วยังชื่นชมภาพวาดที่ยังไม่เสร็จของผมอีกแปลว่าต้องเป็นคนที่มีความรู้ด้านนี้อยู่พอสมควร
ในเมื่อไม่รู้ว่าอะไรคือความจริงผมเลยหันไปสบเข้ากับดวงตาคมสีน้ำตาลเพื่อขอคำตอบ
“เจ้าของหอศิลป์นั่นคือพ่อผมเอง”คำตอบที่ได้รับมาทำให้คนที่ได้ยินถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ถึงจะพอคาดการณ์ไว้แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นจริง
“...”นี่ผมแอบรักลูกชายของเจ้าของหอศิลป์ที่อยากไปมาตลอดงั้นสิ
“ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”ราชาถามด้วยรอยยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นหยิกแก้มผมเบาๆทำให้สติเริ่มกลับเข้าร่าง
“เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ”
“ก็ใช่...มีไม่กี่คนที่รู้หรอกว่าพ่อเป็นเจ้าของหอศิลป์คู่ไปกับประธานบริษัท”
“แล้ว...ราชาต้องไปทำงานที่หอศิลป์เหรอ?”ผมถามต่อ
“ใช่...ไปเป็นประธานแทนพ่อเพราะงั้นผมเลยอยากให้คุณมาเป็นผู้ช่วย...ถึงผมจะรู้วิธีการบริหารแต่เรื่องการดูพวกงานศิลป์นี่ไม่ค่อยจะถนัดเท่าไหร่”
ในที่สุดผมก็เข้าใจแล้วว่าราชาต้องการให้ผมช่วยอะไร
ไม่แปลกที่ราชาจะไม่ถนัดด้านนี้...มีน้อยคนที่จะมีความสามารถในการทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมกันได้ ถ้าให้ผมไปบริหารงานเหมือนราชาก็คงไม่ได้เหมือนกัน
เดี๋ยวก่อนสิ...
อย่าบอกนะว่าที่ราชาขอผมคบก็เพื่ออยากให้ผมไปเป็นผู้ช่วยน่ะ?
“...”ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตากับดวงตาคมสีน้ำตาลด้วยความสงสัย
“มีอะไรข้าวจ้าว?”
“...ราชา”
“หืม?”
“ถึงเราไม่ได้เป็นแฟนกันผมก็ยังช่วยราชาได้นะ”
“...”คำพูดผมทำให้อีกฝ่ายนิ่งไปทันที ใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอยู่หุบลงแทบจะทันแถมยังจ้องมาด้วยสายตาเคืองๆอีก
“...ราชา”
“กำลังคิดอะไรอยู่ข้าวจ้าว?”เสียงทุ้มที่ถามมาดูแข็งกร้าวกว่าปกติจนต้องนึกย้อนไปถึงวันที่ผมอยู่กับพี่โอ๊ต น้ำเสียงแบบเดียวกันเลย
“ราชา...”
“ที่ว่าไม่ได้เป็นแฟนกันหมายความว่ายังไง?”
“ผมก็แค่...”
“แค่?”ราชาไม่ยอมให้เวลาผมเลยสักนิดแค่หยุดชะงักก็ถูกถามต่ออย่างรวดเร็ว
“...ผมแค่คิดว่าที่ราชาขอผมคบเพื่อจะให้ผมช่วยงานรึเปล่า...เท่านั้นเอง”
RACHA’s part
ผมลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ข้าวจ้าวคิดอยู่แค่ได้ยินก็แทบจะข่มอารมณ์ไว้ไม่ไหว...
นี่ข้าวจ้าวคิดว่าผมเป็นยังไงกัน?!
คิดว่าแค่ขอให้ช่วยถึงกับต้องไปขอคนคนนั้นเป็นแฟนเลยงั้นเหรอ?
“...ราชา”
“ข้าวจ้าว”
เฮือก!
ผมเห็นอีกฝ่ายสะดุ้งอย่างชัดเจนเมื่อถูกเรียกด้วยน้ำเสียงแข็งๆ...ร่างโปร่งของคนตรงหน้าสั่นเล็กน้อยยามมองมา แถมดวงตาสีเขียวปนเทาคู่สวยก็เริ่มสั่นระริกไม่แพ้กัน ริมฝีปากบางก็เม้มเข้าหากันแน่ ท่าทางพวกนั้นทำให้ผมถอนหายใจออกมาแรงๆเพื่อไล่อารมณ์โกรธออกไปก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าข้าวจ้าว
“ระ...ราชา..ทำอะไรน่ะ?”ดูเหมือนเขาจะตกใจมากกับสิ่งที่ผมทำ
“ข้าวจ้าว...ผมไม่ขอใครคบเป็นแฟนเพียงแค่ต้องการความช่วยเหลือหรอกนะ”
“...แต่...”
“ข้าวจ้าวไม่มั่นใจในคำว่ารักที่ผมบอกเลยเหรอ?...ผมดูเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ใช่ไหมข้าวจ้าวถึงไม่เชื่อผม”
“...ไม่ๆๆ...ไม่ใช่”อีกฝ่ายส่ายหน้าไปมาเร็วเพื่อย้ำในสิ่งที่ตัวเองพูด
“ผมไม่แปลกใจถ้าคุณจะยังไม่เชื่อแม้แต่ตัวผมเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเจอคนที่รักได้ขนาดนี้”ผมบอกออกไปตามตรง อีกฝ่ายคงไม่รู้หรอกว่าคำตอบตกลงที่ได้ยินนั่นทำให้ผมนอนแทบไม่หลับ ทั้งที่ปาเข้าไปไม่รู้กี่โมงต่อกี่โมงใบหน้าผมก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ตลอด
ไม่เคยคิดว่าการรักใครสักคนมันจะทำให้รู้สึกดีขนาดนี้
วันนี้เองที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้เห็นใบหน้าแดงๆ ท่าทางน่ารักๆของข้าวจ้าวก็ทำให้ผมมั่นใจว่าคนคนนี้แหละ...คือคนที่ตามหามานาน คนคนเดียวที่อยากอยู่ข้างๆไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม
“...ราชา”
“ผมรักข้าวจ้าวจริงๆนะ”ดวงตาคมเงยขึ้นไปสบดวงตาเรียวคู่สวยก่อนจะบอกความในใจไปอีกครั้ง
“อืม...ผมเองก็เหมือนกัน...ขอโทษที่พูดไม่ดีนะ”ใบหน้าที่ขึ้นสีจัดนั่นน่ามองขึ้นไปอีกเมื่อคนที่ทำให้เป็นแบบนั้นคือผม
“อะไรเหมือนกันบอกผมได้ไหม?”เป็นอีกครั้งที่รู้ตัวว่ากำลังแกล้งอีกฝ่ายอยู่แต่ก็อยากจะได้ยินจริงๆนี่
คำคำนั้นที่ออกมาจากใจของข้าวจ้าว
ข้าวจ้าวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อผมได้ยินคำขอ ริมฝีปากบางนั่นเม้มเข้าหากันไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่ผมละอยากกดริมฝีปากของตัวเองเข้ากับอีกฝ่ายซะจริงๆ
ผมไม่ใช่คนลามกอะไรนี่จึงเป็นครั้งแรกที่มีความรู้ว่าอยากจูบคนคนหนึ่ง
“ข้าวจ้าว”เมื่อรอนานไปก็ต้องเรียกอีกครั้งเผื่อสติที่หายไปจะกลับมา
“...ผม...ผมก็รักราชา”ดวงตาคู่สวยปิดสนิทก่อนน้ำเสียงเพราะๆจะบอกสิ่งที่ผมอยากได้ยินออกมา แม้จะเบาราวกับเสียงกระซิบแต่ผมก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ทำตัวน่ารักแบบนี้...จะไม่ให้รักได้ยังไงกัน
“ห้ามคิดแบบนั้นอีกนะ...ผมไม่ยอมให้คุณเลิกกับผมง่ายๆหรอก”ผมพูดย้ำ
“...เหมือนกัน”ข้าวจ้าวที่เงียบไปสักพักอยู่ก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังและใบหน้าที่แดงก่ำ
“อะไรเหมือนกัน?”ทั้งที่รู้แต่ก็ยังอยากจะได้ยิน
ผมนี่ดูท่าจะกลายเป็นคนไม่ดีเข้าไปทุกวันแล้วสิ
“ผม...ผมก็ไม่ยอมให้...ราชาเลิกกับผมหรอกนะ”น้ำเสียงที่ขาดห้วงไปบ้างนั่นเรียกรอยยิ้มกว้างของผมได้ก่อนจะคว้าตัวคนน่ารักเข้ามาในอ้อมกอดแล้วจูบเบาๆที่เส้นผมสีน้ำตาลนั่นอย่างอ่อนโยน
“อืม...ห้ามยอมเด็ดขาดเลยนะ”
หลังจากพูดคุยกันเข้าใจแล้วผมก็พาข้าวจ้าวไปยังหอศิลป์ที่ตนต้องมาเป็นผู้บริหารในอีกไม่กี่วันข้างหน้า...ตั้งแต่ขับรถเข้ามาภายในคนที่นั่งเงียบมาตลอดก็เปิดกระจกพร้อมยื่นหัวออกไปมองสวนขนาดใหญ่ที่ถูกตัดแต่งอย่างมีศิลปะด้านข้าง กล้องตัวโปรดของเขายกขึ้นแล้วถ่ายภาพตรงหน้าด้วยแววตาที่เป็นประกายเหมือนเด็กๆ
มีบ้างที่อีกฝ่ายหันมาบอกให้ผมชะลอความเร็วหน่อยเพราะถ่ายไม่ทัน ทำให้กว่าจะมาถึงยังตัวอาคารก็ใช้เวลาไปนานพอสมควร...อาคาร3ชั้นขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างเป็นศิลปะและมีความแตกต่างกันในแต่ละชั้น สำหรับผมมันก็ดูธรรมดาออกแนวแปลกๆด้วยแต่สำหรับคนที่เป็นคนรักของผมนั้น...
“สุดยอดเลย...ชั้นที่1ถูกล้อมไว้ด้วยกระจกหมดเลยแถมการตั้งกระจกให้ทำมุมแบบนี้ทำให้การหักเหเปลี่ยนไปจนเกิดเป็น...”ข้าวจ้าวที่ปกติทั้งขี้อายและไม่ค่อยพูดกลับทำท่าตื่นเต้นและเริงร่ามากตั้งแต่ที่เข้ามาภายใน กล้องถ่ายรูปตัวโปรดถูกยกขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่เจ้าของมันเดินไปแทบทุกมุมของชั้น
เมื่อให้ข้าวจ้าวได้เดินจนทั่วทั้งชั้นแล้วผมก็พาขึ้นไปยังชั้น2ที่ทั้งผนังและพื้นถูกปูด้วยกระเบื้องรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีฟ้าโดยที่แต่ละชิ้นของกระเบื้องนั้นจะไล่สีตั้งแต่สีอ่อนไปจนถึงสีเข้มโดยไม่ซ้ำเฉดกัน...การจะทำได้คงจะเหนื่อยกันพอดูเลยเพราะถ้าไล่ระดับสีผิดคงจะเป็นจุดเด่นแน่
ถึงผมจะเป็นลูกชายของประธานแต่ก็มาที่หอศิลป์นี่นับครั้งได้นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ได้มาเดินสำรวจอย่างจริงจัง
“ว้าว!...นี่มันCrazy Diamondsนี่นา”เสียงนุ่มจากด้านหลังที่เดินตาผมมาดังขึ้นทันทีที่เห็นภาพรวมของห้องโถงขนาดใหญ่
“Crazy Diamonds?”
อะไร?...ข้าวจ้าวหมายถึงอะไรน่ะ?
“อ้าว...ราชาไม่รู้เหรอ?”
“อืม”
“ก็กระเบื้องที่ปูทั้งผนังและพื้นนี่คือCrazy Diamondsไงล่ะ”
“ไม่ใช่กระเบื้องธรรมดาเหรอ?”ผมถามออกไปอย่างสนใจแล้วมองไปยังข้าวจ้าวที่เดินเข้าไปใกล้ผนังห้องโดยที่ยกมือขึ้นมือแผ่นกระเบื้องสีฟ้าตรงหน้าเบาๆ
“อืม...ถ้าดูแบบปกติราชาคงจะเห็นว่าแต่ละชั้นไล่ระดับสีใช่ไหม?”อีกฝ่ายหันหน้ามาถาม
“แล้วไม่ใช่เหรอ?...ก็เห็นอยู่ว่าแผ่นกระเบื้องด้านบนกับด้านล่างมันคนละสีกัน”
ไม่ว่าจะมองยังไงก็คนละสีกันแน่นอน
“ความจริงแล้วกระเบื้องพวกนี้เป็นสีเดียวกันทั้งหมดเลย...”
“ไม่จริงน่า”ผมพึมพำพร้อมกับเดินเข้าไปหาข้าวจ้าวที่ยังใช้มือลูบแผ่นกระเบื้องอยู่ ดวงตาคมสีน้ำตาลขยับเข้าไปใกล้ผนังก่อนจะขมวดคิ้วแน่นเมื่อมองยังไงแต่ละชั้นก็เป็นคนละสีกันเห็นๆ
“จริงนะ... Crazy Diamondsหรือภาพลวงตาสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน...แต่ละแผ่นด้านบนและล่างของมุมจะทำมุม30และ40องศาทำให้แต่ละด้านนั้นสามารถบรรจบกันได้แต่การไล่สีแต่ละชิ้นของสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนนั้น ตาของคนนั้นจะมองไปตามสีที่ชี้นำและไล่ไปตรงจุดนั้นจุดเดียว...ระบบการมองเห็นก็จะตอบสนองกับมันโดยอัตโนมัติเลยเห็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนที่อยู่ด้านบนและล่างมีสีต่างกัน”คำอธิบายจากคนข้างกายดังขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยที่ดวงตาคู่สวยนั่นยังมองไปยังผนังที่เต็มไปด้วยกระเบื้องรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
“...สุดยอดเลยข้าวจ้าว”อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมคนตรงหน้า
ตั้งแต่เรียนมาก็ไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้เลย
ผมคิดถูกจริงๆที่ขอให้ข้าวจ้าวมาเป็นผู้ช่วย
“ผมเคยเรียนมาน่ะ...ดีจังเลยที่ความรู้ที่มีเป็นประโยชน์แบบนี้”รอยยิ้มกว้างปรากฏพร้อมๆกับคำพูดนั่น
“ดีใจที่เห็นรอยยิ้มของข้าวจ้าวนะ”เมื่อเห็นคนรักยิ้มก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
“...ราชา”
“อ้าว...หุบยิ้มทำไมล่ะ?”
“ก็ใครให้ราชามาพูดแบบนั้นเล่า...แค่อยู่ข้างๆก็ตื่นเต้นจะแย่แล้ว”เสียงพึมพำเบาๆดังขึ้นพร้อมกับข้าวจ้าวที่หันหน้าหนี ถึงอย่างนั้นด้วยความที่ภายในหอศิลป์มีความเงียบเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยทำให้สิ่งที่ข้าวจ้าวพูดดังก้องจนได้ยินอย่างชัดเจน
“งั้นก็อยู่บ่อยๆสิจะได้ชิน”ผมกระซิบบอกข้างหูของข้าวจ้าวก่อนจะสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง
“ราชา....ทำอะไรน่ะ?...ปล่อยนะ”คนที่อยู่ในอ้อมกอดดิ้นแทบจะทันทีที่ถูกสัมผัส ร่างกายที่ขยับไปมาพยายามจะหาทางออกให้หลุดแต่เพราะรู้ว่าจะถูกหนีผมเลยกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจนร่างกายเราแนบชิดกัน
“อย่าหนีผมสิ”
“ก็...อย่ากอดสิ”เสียงสั่นๆเอ่ยบอกก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเอง
ผมมองใบหน้าแดงๆนั่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งน่ารัก น่าแกล้ง น่ามองและน่าสัมผัส...ยิ่งได้ข้าวจ้าวมาเป็นแฟนก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวตนของอีกฝ่ายเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
อยากจะอยู่ข้างๆให้นานที่สุด
อยากจะคว้าตัวอีกฝ่ายให้มาอยู่ในอ้อมกอด
อยากจะมองใบหน้าแดงๆและดวงตาคู่สวนที่สั่นระริกนั่นนานๆ
“รักคุณจังข้าวจ้าว”
“...อย่าพูดแบบนั้นนะ”คนในอ้อมกอดที่ดิ้นไปมาหยุดนิ่งแทบจะทันทีที่ผมบอกรัก เสียงของหัวใจที่ได้ยินจากความเงียบของหอศิลป์นั้นทำให้ผมยิ้มกว้างออกมา...
ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงชอบตัวเองมากแต่ก็ไม่คิดว่าหัวใจจะเต้นทั้งดังและแรงขนาดนี้
“หัวใจ...”
“ห้ามพูดนะ!!”เสียงนุ่มแทรกขึ้นทันทีเหมือนรู้ว่าผมจะแกล้งพูดอะไร
“คุณมันน่ารักข้าวจ้าว”ผมหยุดแหย่คนในอ้อมกอดก่อนที่อีกฝ่ายจะเป็นลมไปจริงๆ ใบหน้าคมเข้าเข้าไปใกล้ข้าวจ้าวมากขึ้นก่อนจะอาศัยความเร็วหอมแก้มเขาฟอดใหญ่แล้วปล่อยให้คนที่ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดเป็นอิสระ
ผมเดินไปด้านหน้าข้าวจ้าวที่ตอนนี้ก็ยังยืนยิ่งไม่ขยับไหน พอได้เห็นหน้านั่นตรงๆผมก็หลุดขำออกมาเพราะเห็นใบหน้าแดงๆนั้นแทบจะกลายเป็นลูกสตอเบอรรี่แถมดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้างขึ้นราวกับกำลังตกใจกับอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่บอกก็พอจะเดาได้ว่าอะไร
“ข้าวจ้าว...ข้าวจ้าว”ผมเรียกพร้อมกับใช้มือแตะที่ไหล่เบาๆ
“...ราชา”
“ไม่เป็นไรนะ?”
“...อืม”พอตอบเสร็จก็ก้มหน้าลงทันที
“ก็รู้อยู่ว่าซ่อนใบหน้าแดงๆนั่นไม่ได้ก็ยังจะพยายามซ่อนเนอะ”ผมแหย่คนตรงหน้าอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
“หยุดพูดเลยราชา!...นายกำลังทำให้ผมอายนะ!”เสียงหวานที่ดูจะขุ่นเคืองเล็กน้อยตะโกนกลับมาแทบจะทันที
“เดี๋ยวอยู่ไปนานๆก็ชินเองแหละ”
“...ขอให้จริงเถอะ”
“แต่ผมอยากเห็นใบหน้าแดงๆขอคุณนี่นาเพราะงั้นอย่างพึ่งรีบชินนะ”ผมขยับเข้าไปกระซิบที่ข้างหูอีกฝ่ายก่อนจะหันหลังเดินไปตามทางเดินที่มีภาพวาดวางประดับอยู่โดยที่มีเสียงตะโกนตามหลังมาติดๆ
“ราชาคนขี้แกล้ง!”
การพาทัวร์ผ่านไปด้วยดี...ชั้นสุดท้ายหรือชั้นที่3เป็นห้องทำงานที่ถูกแบ่งเป็นสัดส่วนโดยที่ห้องที่ผมต้องทำงานอยู่นั้นเป็นห้องที่พ่อเคยใช้หรือก็คือเป็นห้องท่านประธานนั่นเอง จากที่เห็นพวกรายงานต่างๆที่วางอยู่บนโต๊ะก็ทำให้ผมมึนตึบทั้งชื่อของภาพวาดที่ต้องการจะซื้อเพิ่ม ทั้งการตีราคาภาพและอื่นๆอีกมากมาย ขนาดยังไม่ได้มาทำยังยังรู้สึกได้ว่างานนี้ยากจริงๆแต่เพราะมีข้าวจ้าวที่คอยบอกว่าแบบนี้ควรจะทำยังไง ชื่อเฉพาะที่ว่าคืออะไรทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้นมาก
ขากลับผมก็ขับรถมาส่งข้าวจ้าวที่ร้านแกลลอรี่กลางเมือง..ตอนแรกผมอยากไปส่งที่ห้องพักแต่ข้าวจ้าวบอกว่าต้องมาเอารถและของอีกหลายอย่างเลยให้มาส่งที่นี่ดีแล้ว
“ขอบคุณที่มาส่งนะ...ไว้เจอกัน”ข้าวจ้าวเอ่ยลาก่อนจะเปิดประตูรถ
“เดี๋ยวก่อนข้าวจ้าว”ผมรั้งเมื่อนึกได้ว่าลืมพูดเรื่องสำคัญ
“หื้ม?”
“วันศุกร์นี้คุณว่ารึเปล่า?”
“วันศุกร์?...เหมือนจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะ...มีอะไรเหรอ?”ข้าวจ้าวถามกลับ
“พ่อผมอยากพบคุณน่ะ”
“...พ่อ?”คำพูดผมทำให้อีกฝ่ายถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ก็เข้าใจว่ามันเร็วเกินไปที่จะให้ไปพบครอบครัวแต่พ่อก็ย้ำนักย้ำหนาว่าให้เวลาแค่ถึงวันศุกร์นี้เท่านั้น...ถ้าไม่พาข้าวจ้าวไปคงได้ถูกบังคับให้ไปดูตัวที่ไหนอีกแน่ ถึงไม่ไปผมกบอกได้เลยว่าผมไม่มีทางตอบตกลงกับเหล่าผู้หญิงพวกนั้น
สำหรับเหตุผล...
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงจะตอบว่าเพราะผมไม่ได้ชอบคุณ
แต่ในตอนนี้ผมจะบอกกับพวกเธอว่า...
ผมมีคนที่รักที่สุดแล้ว
“พ่อผมอยากพบคุณ”
“ทำไมล่ะ?...ราชาบอกเรื่องของ...เอ่อ...เราเหรอ?”
“เปล่า...ถ้าให้เล่าเรื่องมันยาวเอาเป็นว่าถ้าผมไม่พาแฟนไปพบท่านก็คงต้องไปงานดูตัวจนกว่าจะได้ผู้หญิงสักคนนั่นแหละ...ตอนนี้ผมมีคุณแล้วก็อยากจะบอกพ่อไปเลยว่าเลิกหาคู่ดูตัวให้ได้แล้ว”
“...ท่านอาจจะรู้สึกไม่ดีนะถ้าเห็นผมน่ะ”คำพูดของข้าวจ้าวก็ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจหรอกนะ ไม่รู้ว่าการที่พ่อรู้ว่าคนที่ผมคบเป็นผู้ชายแล้วจะเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่อยากปล่อยให้เรื่องนี้มันยืดนัก
ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นผมจะปกป้องข้าวจ้าวเอง
“ผมเลือกข้าวจ้าวแล้ว...ต่อให้พ่อจะคัดค้านผมก็จะทำให้ท่านยอมให้ได้”การที่จะได้เจอคนที่อยากอยู่ข้างๆมากขนาดนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในเมื่อได้เจอแล้วผมก็จะรักษามันไว้ให้ได้
“...เข้าใจแล้ว...ผมจะไปกับราชา”น้ำเสียงและแววตาที่จริงจังนั่นทำให้ผมยิ้มออก
“ขอบคุณข้าวจ้าว”
...............................................................................................
สวัสดีค่า
มาช้าเล็กนอยเพราะกำลังนั่งแต่งนิยายเพลินๆอยู่ พอหันมองนาฬิกาอีกทีก็ปาไปสี่โมงเย็นแล้ว(ข้าวกลางวันยังไม่ได้กินเลย 555)
อยากบอกทุกคุณว่าเรากำลังแต่ตอนจบของเรื่องนี้อยู่ค่าาาา
ถือเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายสำหรับคนอ่านกันนะ?
มีหลายคนที่ไม่อยากให้เรื่องนี้จบ
แต่ทุกเรื่องราวล้วนแต่ต้องมีตอนจบนะคะ
เรื่องนี้อาจสั้นไปหน่อยแต่ด้วยความที่ตั้งใจแต่งเป็นเรื่องสั้นทำให้ไม่มีเนื้อหาหนักๆเข้ามา
ความจริงก็คิดว่าจะจบตอนที่ขอเป็นแฟนแหละค่ะ(ห๊ะ?!) แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะคิดว่ามันสั้นไป
ยังไงเรื่องราวความรักของราชาและข้าวจ้าวก็มาถึงช่วงท้ายแล้ว
เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ด้วยนะคะ
สำหรับตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากแค่สวีทหวานๆตามประสาแฟน(หวานกันจริงๆ)
ตอนหน้าจะไปเปิดตัวกับพ่อราชาแล้ว...มารอลุ้นกันว่าเป็นเช่นไร
ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆกำลังใจที่มีให้นะคะ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า
บายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪