(ต่อค่ะ)
RACHA’s part
ผมนั่งมองแผ่นหลังของข้าวจ้าวจนลับสายตาก่อนจะก้มลงมองภาพที่พึ่งได้มาหมาดๆในมือ...ทันทีที่รูปของตัวเองตอนยืนส่งยิ้มส่งให้กล้องปรากฏขึ้นผมก็คลี่ยิ้มออกมาและรอยยิ้มนั้นก็กว้างขึ้นไปอีกเมื่อได้อ่านข้อความสั้นๆที่เห็นอยู่บริเวณด้านข้างหาดทรายสีขาวที่เขียนว่า...
‘รอยยิ้มกว้างของราชา...น่ามองที่สุด’
“...ผมยิ้มกว้างแล้วไง...ไม่หันมามองหน่อยเหรอ?”ผมหันไปมองห้องพักที่ข้าวจ้าวพึ่งเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มที่หุบไม่ลงจนกระทั่งขับรถมาถึงคอนโดของตัวเอง
วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยมากแต่กลับมีความสุขมากเช่นกัน....ไม่คิดว่าข้าวจ้าวที่ผมพึ่งรู้จักไม่นานจะเป็นเพื่อนร่วมห้องตอนมัธยมปลายมาก่อน ผมยอมรับว่าโกรธนิดหน่อยที่อีกฝ่ายไม่ยอมบอกเรื่องนี้แต่พอมาคิดอีกทีก็ไม่ใช่ความผิดของข้าวจ้าวแต่เป็นผมที่จำไม่ได้ว่าเคยอยู่ห้องเดียวกัน
ขนาดคนที่ความจำดีอย่างต้นกับเต้ยยังจำไม่ได้แล้วประสาอะไรกับผมล่ะ
ผมทิ้งตัวแผ่ลงกลางเตียงโดยที่ใส่พียงเสื้อคลุมสีขาวเท่านั้น...
ใบหน้าแดงๆตอนที่ขยับเข้าไปใกล้นั่นช่างน่าดึงดูดกว่าใครที่เคยเจอมา ดวงตาสีแปลกคู่สวยที่สั่นระริกผ่านเลนส์แว่นทำให้ผมไม่อาจละสายตาออกไปได้
“...คุณทำอะไรกับผมกันข้าวจ้าว?”ผมพึมพำเสียงเบาๆพร้อมกับยกมือก่ายหน้าผากด้วยความไม่เข้าใจ
หลายวันผ่านไปจนถึงวันศุกร์ที่เป็นวันนัดไปเที่ยวนิทรรศการภาพ...ผมตื่นแต่เช้าไปทำงานตามปกติถึงพ่อบอกให้ไปดูแลกิจการหอศิลป์ก็จริงแต่ให้เริ่มอาทิตย์หน้า
อาทิตย์นี้ผมเลยต้องเข้ามาทำงานที่บริษัทก่อน...การทำงานในช่วงเช้ายังคงรู้สึกสบายๆแต่พอถึงช่วงเที่ยง...
ไม่รู้ว่าทำไมสายตาถึงหันไปมองที่นาฬิกาข้อมือบ่อยนักทั้งที่เวลาก็ยังคงเดินตามปกติ...ยิ่งใกล้เวลานัดมากเท่าไหร่สมาธิในการทำงานก็เหมือนจะหมดลงทุกทีจนในที่สุดรองประธานอย่างผมก็ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่รถโดยไม่ลืมสั่งงานเลขาถึงงานที่เหลืออยู่
รถคันสีดำเงาแล่นออกจากบริษัทภิพัฒธนมงคลตรงไปยังร้านแกลลอรี่เล็กๆที่ตั้งอยู่บนถนนสายหลักไม่ไกลจากที่บริษัทเท่าไหร่...ใช้เวลาประมาณ10นาทีก็เห็นร้านที่เป็นเป้าหมายอยู่ตรงหน้าทำให้ชะลอความเร็วลงพรางมองนาฬิกาดิจิตอลหน้ารถที่บอกเวลาเที่ยงเกือบครึ่งเท่านั้น
“...มาเร็วไปสินะ”ผมพึมพำบอกตัวเองด้วยน้ำเสียงเซงๆ
ก็รู้อยู่ว่ามาเร็วกว่าเวลานัดแต่จะให้ทำไงได้ล่ะถึงนั่งอยู่ที่บริษัทต่อไปก็ไม่มีสมาธิในการทำงานอยู่ดี...อย่างน้อยมาอยู่นี่จะได้มีเวลาคิดเรื่องของตัวเองอย่างจริงจังสักที
อยากเห็นหน้า
นั่นเป็นความรู้สึกของผมที่ผุดเข้ามาในหัวตลอดหลายวันที่ผ่านมา
“หื้อ?”ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นใครบางคนยืนอยู่ที่หน้าร้านVI&K...พอลองเพ่งงมองดีๆดวงตาคมสีน้ำตาลก็ต้องเบิกกว้างขึ้นที่เห็นข้าวจ้าวยืนรออยู่ทั้งที่ยังไม่ถึงไม่เวลานัดเลย
ท่าทางแบบนั้นไม่รู้ว่ามายืนรอตั้งแต่เมื่อไหร่?
นี่ถ้าผมไม่ออกมาเร็วก็จะยืนรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมงเลยเหรอ?
ปริ๊น!
ผมบีบแตรรถเพื่อเรียกคนที่ยืนเอาหลังพิงผนังร้านพลางก้มหน้ามองกล้องของตัวเองจนไม่สนใจว่าผมได้จอดรถอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว...ดวงตาสีสวยเงยขึ้นมามองก่อนจะเบิกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรื่ออย่างน่าสัมผัสเมื่อเห็นรถของผมจอดเรียบอยู่ พออีกฝ่ายจัดการอะไรบางอย่างที่กล้องของตัวเองเสร็จก็วิ่งมาที่รถผม
“...ขอโทษ...รอนานไหม?”คำพูดที่ออกมาจากปากของข้าวจ้าวทำให้ผมหันไปมอง..
ประโยคนั้นผมต่างหากที่ต้องเป็นคนพูด
“ไม่นาน...แล้วข้าวจ้าวล่ะรอนานไหม?”
“...ไม่นาน”
“เท่าไหร่?”ผมถามต่อ
“อะไร?”
“รอมานานเท่าไหร่แล้ว?”ผมถามอีกครั้งด้วยประโยคที่ชัดเจนกว่าเดิม
“...ก็ไม่นานเท่าไหร่”ช่วงจังหวะที่อีกฝ่ายเงียบไปทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าข้าวจ้าวกำลังโกหกผมอยู่
“ผมรู้ว่าคุณโกหก”
“ผะ...ผมเปล่า”
“ข้าวจ้าว”
“...มารอ...ตั้งแต่...”
“ตั้งแต่อะไร?”ผมไม่คิดจะให้อีกฝ่ายได้ยื้อไปนานกว่านี้แล้ว
“...ตั้งแต่11โมงกว่า”
“มารอทำไมเร็ว?”เมื่อได้ยินผมก็ยิงคำถามต่อทันที
ตั้งแต่11โมงกว่า...ให้ตายสิคนคนนี้
“ก็กลัว...ว่าราชาจะรอ”คำตอบนั่นดูจะน่าพอใจอยู่แต่ก็ยังไม่ยกโทษให้หรอกนะ
“ถึงอย่างนั้นก็ออกมาเร็วไป”
“...ขอโทษ”
“คราวหน้าห้ามมารอแบบนี้อีกนะ”
“...คราวหน้า...”เสียงพึมพำเบาๆดังขึ้นทำให้ผมเหล่ไปมองก่อนจะเจอใบหน้าแดงๆที่ก้มลงต่ำเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
พอลองคิดดูดีๆคำพูดของผมคงจะแปลความหมายว่าเราจะได้ออกมาเที่ยวกันอีกทำให้อีกฝ่ายหน้าแดงได้แบบนี้...ผมไม่ปฏิเสธสิ่งที่พูดออกไปสักนิดเพราะอยากจะหาเวลาพาข้าวจ้าวออกไปเที่ยวด้วยอยู่แล้ว
“ครั้งหน้าผมจะพาคุณไปที่อื่นอีก...เพราะงั้น...”
“เพราะงั้นอะไรเหรอ?”คนด้านข้างถามขึ้นทันทีที่ผมเงียบไป
ผมไม่ได้อยากจะเงียบหรอกแต่เพราะคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกไปดูเหมือนกำลังจีบอีกฝ่ายอยู่เลยทำให้รู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก...จะว่าไม่ชอบก็ไม่ใช่ ความรู้สึกนี้ใกล้เคียงกับคำว่าตื่นเต้น
“...ขอเบอร์โทรศัพท์หน่อยสิ”ผมกลั้นใจเอ่ยประโยคนั้นออกไปด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้นกว่าที่เคย
ทั้งที่เป็นคำพูดธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นหรือเขินอายแต่พอคนตรงหน้าคือข้าวจ้าวผมกลับรู้สึกแตกต่าง...
ข้าวจ้าวแตกต่างกับทุกคนที่เคยเจอมา
ไม่เพียงแค่แตกต่างแต่ผมกำลังรู้สึกว่าเขาพิเศษ...
พิเศษกว่าทุกคนที่เคยรู้จัก
“...จะดีเหรอ?”เสียงนุ่มนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดขึ้น
“อะไรดีล่ะ?”
“ก็...ไม่กลัวผม...โทรไปกวน...หรือส่งข้อความไปหาเหรอ?”คำตอบนั่นทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะหันไปมองหน้าของข้าวจ้าวที่หันมามองด้วยใบหน้าแดงๆ
“เอาสิ...ผมจะเปิดเครื่องรอทุกวันเลย”ผมบอกออกไปทันที ไม่คิดว่าข้าวจ้าวจะกล้าโทรมากวนหรือส่งข้อความมาเหมือนพวกสตอล์กเกอร์ที่เคยเจอ...ถ้าอีกฝ่ายโทรมาจริงผมจะตั้งหน้าตั้งตารอรับเลย
“...คนขี้แกล้ง”
“ผมแกล้งข้าวจ้าวตรงไหนกัน?”ผมหันไปถามเมื่อได้ยินเสียงบ่นเบาๆดังขึ้น
“ก็รู้อยู่...”
“ไม่รู้สักหน่อย”
“...ไม่พูดด้วยแล้ว...เอาโทรศัพท์มาสิจะได้เมมเบอร์ให้”ข้าวจ้าวพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆกึ่งเขินอายจนผมยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองส่งไปให้
ได้อยู่กับข้าวจ้าวชั่วโมงเดียวแต่ผมกลับยิ้มมากกว่าหนึ่งปีรวมกันซะอีก
ไม่ว่าจะทำท่าทางอะไรก็น่ามอง น่าดูไปหมด
“...ไม่ปลดล๊อคให้ก่อนล่ะ?”
“รหัส242238”ผมบอกโดยที่สายตายังมองไปยังถนนที่เริ่มมีรถเยอะขึ้น
“ราชา...นายไม่ควรบอกรหัสกับใครก็ไม่รู้แบบนี้นะ”เสียงบ่นนุ่มๆดังขึ้น ถ้าเป็นเสียงบ่นปกติผมคงทำหน้าระอาแล้วเบนหน้าหนีไปแล้วแต่พอเป็นคำบ่นจากปากชมพูๆนั่นผมกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกห่วงใยอยู่
“ใครก็ไม่รู้ที่ไหนกัน...คนที่ผมบอกรหัสให้รู้คือคุณวรานนท์ เทพภักดี...ชื่อเล่นว่าข้าวจ้าว”
“...ใช่เวลาเล่นไหมเนี่ย?”
“ฮะฮะฮะ”ผมหัวเราะออกไปก่อนจะมุ่งน่าไปยังนิทรรศการที่จัดขึ้นที่ย่านตัวเมือง
รถหรูสีดำเงาขับเข้ามายังสถานที่จอดรถด้านข้างของตัวตึกที่จัดนิทรรศการภาพอยู่...จากที่เห็นรถจำนวนมากจอดอยู่ก็รู้ได้ในทันทีว่าภายในนิทรรศการนั่นต้องอัดแน่นไปด้วยผู้คนแน่ ระหว่างที่กำลังวนหาที่จอดรถฝนก็ดันตกลงมาปรอยๆ
“ฝนตกแล้ว”ข้าวจ้าวพึมพำก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าสีเทาผ่านกระจกรถ
“ในรถมีร่มอยู่...เดี๋ยวคุณใช้ไปละกัน”ผมพูดขึ้นก่อนจะเห็นที่จอดรถที่ว่างอยู่พอดี ในที่สุดก็ได้จอดรถสักที...ถ้าต้องวนอีกรอบสองรอบคงได้บอกข้าวจ้าวว่าไว้มาใหม่แน่
“ราชาแหละที่ต้องใช้”ข้าวจ้าวไม่ยอมรับร่มที่ผมยื่นไปให้แถมยังดันกลับมาอีก
“งั้นก็ใช้ด้วยกัน”นี่เป็นทางออกเดียวที่คิดได้ในตอนนี้
ในเมื่อต่างคนต่างไม่ยอมที่จะใช้ร่มคันนี้เองก็เหลือแค่ใช้ด้วยกันเท่านั้น
“...ไม่เอา”เสียงพึมพำเบาๆพร้อมกับใบหน้าขาวที่หันไปยังกระจกรถทำให้ผมมองตามไปอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าวจ้าว”
“...ผมวิ่งฝ่าฝนไปได้...ไม่เป็นไรจริงๆ”อีกฝ่ายยังคงย้ำโดยที่ไม่ยอมหันหน้ามา
ถึงจะพูดยังไงก็คงไม่ยอมตกลงสินะ...ถ้าไม่ยอมงั้นผมจะทำให้ยอมเอง
ผมรีบดับเครื่องแล้วก้าวลงจากรถไปยังฝั่งข้างคนขับหรือฝั่งที่ข้าวจ้าวนั่งอยู่นั่นเอง...ร่มสีฟ้าถูกกางออกพร้อมๆกับมือผมที่เปิดประตูฝั่งข้างคนขับออก ดวงตาสีเขียวปนเทาเงยขึ้นมามองอย่างไม่เข้าใจในการกระทำของผม
“ถ้าไม่ยอมมาด้วยกันก็ไม่ต้องลงจากรถ”ผมบอกพลางคลี่ยิ้มมองไปยังใบหน้าของข้าวเจ้าที่กำลังทำตัวไม่ถูก
ใบหน้าขาวที่เริ่มแดงระเรื่อช่างน่ามอง
น่าแปลกที่ผมอยากจะเห็นใบหน้านั่นใกล้กว่านี้
“...ทำไมชอบแกล้งผม?”ดวงตาสีสวยมองมาด้วยแววตาที่สั่นระริก
“ไม่ได้แกล้งสักหน่อย”
“ที่ทำอยู่นี่...เขาเรียกว่าแกล้ง”
“ตรงไหนล่ะ?”ที่ทำอยู่นี่มันเรียกว่าแกล้งตรงไหนงั้นเหรอ...
แค่แหย่เท่านั้นเอง
“ราชา”เสียงนุ่มออกแนวเคืองดังขึ้นพร้อมมองมาที่ผมอย่างโกรธๆ
“แค่ใช้ร่มคันเดียวกันทำให้คุณลำบากใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”ผมอดไม่ได้ที่จะถามออกไปเพราะข้าวจ้าวดูจะไม่อยากใช้ร่มร่วมกับผมเอามากๆ
“...อืม”
“เกลียดกันเหรอ?”
“ไม่ใช่นะ”อีกฝ่ายรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็วพร้อมกับศีรษะที่สะบัดไปมาเพื่อย้ำความจริง
“งั้นทำไมล่ะ?”
“...”
“ข้าวจ้าว”
“...ถ้าอยู่ใกล้กันขนาดนั้น...ผมกลัว...”เมื่อโดนคาดคั้นเสียงสั่นๆของข้าวจ้าวก็ค่อยๆดังขึ้น
“กลัวอะไร?”
“...กลัวจะห้ามใจตัวเองไม่ได้”คำตอบเอาแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบเรียกรอยยิ้มของผมที่ยืนอยู่ได้ในทันที
“ไม่จำเป็นต้องห้ามนี่”
“...ราชา”ดวงตาสีสวยสบมายังดวงตาคมสีน้ำตาลของผมด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย
“ผมไม่เคยบอกให้คุณต้องห้ามใจตัวเองตอนอยู่กับผม...ผมชอบเวลาที่คุณหน้าแดง...ชอบเวลาที่ดวงตาสีสวยของคุณสะท้อนภาพผมเอาไว้...ชอบเวลาที่มีคุณอยู่ข้างๆ”
สิ่งที่พูดออกไปคือความรู้สึกจริงๆของผม
พูดเองก็อายเองแฮะ...พอมานึกดูอีกทีก็ไม่น่าพูดไปแบบนั้นเลย
น่าอายสุดๆ
“...ราชา”
“เข้างานกันเถอะข้าวจ้าว”เจ้าของชื่อต้องรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาก่อนที่ใบหน้าของตนเองจะแดงเพราะความเขินอาย หรือผมติดนิสัยขี้อายมาจากข้าวจ้าวแล้วกันนะ
“อืม”
พอตกลงกันได้เรียบร้อยข้าวจ้าวก็ออกมาจากรถเข้ามาเบียดกับผมในร่มคันสีฟ้า...พวกเราค่อยๆเดินฝ่าฝนไปอย่างไม่รีบร้อน ตลอดเวลาที่เดินไปไม่มีเสียงพูดคุยระหว่างเรามีเพียงความรู้สึกแปลกๆที่อบอวนจนต้องเผลอยิ้มออกมาตลอดทาง
มีบ้างที่ผมเหลือบไปมองคนด้านข้าง...ใบหน้าขาวที่แรงระเรือทำให้สายตาของผมจับจ้องไปยังอีกฝ่ายจนมาถึงทางเข้าตึกที่มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีระบบรักษาความปลอดภัยหนาแน่นขนาดนี้เพราะราคาของรูปภาพหรือภาพวาดที่อยู่ภายในนั้นบางภาพไม่สามารถตีราคาได้ด้วยซ้ำ...ถึงจะไม่มีความรู้ด้านนี้มากนักแต่ก็เคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง
บรรยากาศภายในเป็นไปอย่างคึกคักอาจเป็นเพราะมีฝนตกอยู่ทำให้ผู้คนไม่สามารถออกไปไหนได้เลยต้องอยู่รอฝนซาก็เป็นได้...ผมเดินตามหลังของข้าวจ้าวที่ดูจะสนใจภาพถ่ายที่อยู่ในโซนแรกของงานแสดงด้วยรอยยิ้ม
อีกฝ่ายคงไม่รู้ตัวหรอกว่าสายตาที่มองไม่ยังรูปถ่ายพวกนั้นมันเปล่งประกายขนาดไหน
ผมมองรูปภาพมากมายที่จัดแสดงอย่างทำความเข้าใจแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เข้าใจเลยสักภาพผิดกลับคนด้านข้างที่มองผลงานจัดแสดงแทบทุกรูปที่เรียงรายอยู่ตามผนังสีขาวสะอาด
เมื่อผ่านงานถ่ายไปก็มาถึงโซนที่เป็นภาพวาด...ภาพวาดนับร้อยๆค่อยๆปรากฏเข้ามาในสายตา มีหลายรูปที่งดงามจนต้องยืนมองด้วยความชื่นชมทั้งที่ไม่มีความรู้
“ราชาชอบภาพนี้เหรอ?”เสียงนุ่มของข้าวจ้าวดังขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาให้ผมใกล้ๆ...ดวงตาสีเขียวปนเทามองไปยังภาพของน้ำตกที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีหลากหลายเฉดด้วยความสนใจ
“อืม...สวยดี”
“ภาพนี้ใช้สีอะครีลิค”
“สีอะครีลิค?”ผมหันไปมองใบหน้าด้านข้างของข้าวจ้าวด้วยความไม่เข้าใจ
ก็รู้อยู่ว่าสีแบ่งออกเป็นหลายแบบแต่ไม่เคยได้ยินชื่อสีนั้นมาก่อนเลย
“อืม...สีอะครีลิค เป็นสีที่มีส่วนผสมของสารพลาสติกโพลีเมอร์จำพวกอะครีลิคหรือ ไวนิลเป็นสีที่มีการผลิตขึ้นมาใหม่ล่าสุดถ้าใช้สีนี้ในการวาดจะได้ลายเส้นที่คมชัดและดูสมจริงมากขึ้น”
“อ้อ...”ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจคำอธิบายที่ได้ยิน
สมแล้วที่เก่งทั้งด้านถ่ายภาพและวาดภาพ
มีความรูปทางด้านนี้แน่นปึกจริงๆ
ยิ่งอยากให้อีกฝ่ายมาเป็นผู้ช่วยมากขึ้นไปอีก
การเดินชมงานผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วแต่ฝนที่คิดว่าน่าจะซาลงกลับตกหนักมากกว่าเดิมทำให้พวกเรายังยืนอยู่ด้านหน้าของตึกที่จัดนิทรรศการ...
“เอายังไงดีข้าวจ้าว?”ผมหันไปถามคนข้างกาย
“นั่นสิ...ถ้าอยู่รอก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฝนจะซาด้วย”
“งั้นฝ่าไปไหม?”ผมถามความเห็น
“ก็ได้นะ”
เมื่อความเห็นเราตรงกันราชาก็กางร่มคันสีฟ้าโดยที่มีข้าวจ้าวขยับเข้ามาใกล้จนไหล่เราสัมผัสกันเบาๆ...พวกเราค่อยๆเดินฝ่าไปยังรถได้สำเร็จแต่เราทั้งคู่ก็เปียกปอนกันถ้วนหน้าเพราะลมที่แรงมากพัดเอาฝนเข้ามาปะทะร่างของพวกเราเข้าอย่างจัง
“หนาวมากไหมข้าวจ้าว?”ผมหันไปถามคนที่นั่งเอามือกอดตัวเองอยู่ด้วยความเป็นห่วง
“อืม...นิดหน่อย...ราชาล่ะ?”
“ผมไม่เป็นไร...ไม่ต้องเปิดแอร์ละกันจะได้ไม่หนาว”
รถคันสีดำเงาค่อยๆเคลื่อนที่ออกจากนิทรรศการไปยังถนนยามดึกที่มืดกว่าปกติเพราะฝนที่ตกลงมาอย่างหนักตั้งแต่ช่วงบ่าย...ตอนที่เราออกมาจากงานก็ปาไปจะสองทุ่มแล้ว ไม่คิดเลยว่าเราจะเดินกันนานขนาดนั้น
ทั้งที่ผมก็ไม่ได้สนใจพวกรูปภาพเป็นพิเศษแต่ผมกลับไม่เบื่อเลยสักนิดที่ได้เดินดูงานพร้อมกับข้าวจ้าว
“บ้านของข้าวจ้าวไปทางไหน?”ผมถามโดยที่สายตายังมองออกไปยังกระจกหน้ารถที่มีที่ปัดน้ำฝนทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง ถึงจะเคยไปส่งอีกฝ่ายมาแล้วแต่ด้วยเส้นทางที่ไม่ค่อยคุ้นเคยและฝนที่ตกหนักทำให้ต้องถามให้แน่ใจอีกรอบ
“ไปส่งผมที่ร้านก็ได้”
“ฝนตกหนักขนาดนี้จะขับมอเตอร์ไซค์กลับได้ยังไงล่ะ?”
“...แต่ผมไม่อยากรบกวน”
“ถ้าไม่บอกผมจะขับไปที่คอนโดผมนะ”
“มะ...ไม่เอานะ...เลี้ยวซ้ายแยกหน้าเลย”ข้าวจ้าวรีบบอกแทบจะทันทีที่ได้ยินว่าผมจะพาไปที่คอนโด
“ก็แค่นี้”รถคันสีดำเงาเลี้ยวไปตามทางต่างๆที่คนด้านข้างบอกจนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักขนาดเล็กแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่ทำงานของข้าวจ้าวเท่าไหร่
ครั้งนี้ผมจำทางมาห้องพักของข้าวจ้าวได้อย่างแม่นยำเลยล่ะ
“ที่นี่เหรอ?”ผมหันไปถามเพื่อความแน่ใจ...สายฝนที่ยังคงตกหนักลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้มองไม่เห็นข้างทางชัดเท่าที่ควร
“อืม...เอ่อ...ราชาไหวไหม?”
“หื้อ?”
“นายตัวสั่นๆนะ...”ข้าวจ้าวพูดพรางขยับตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะที่ใบหน้าของผมเบาๆ สัมผัสนั่นทำให้ร่างกายของผมเกร็งจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
“...ข้าวจ้าว”
เสียงของหัวใจที่อยู่อย่างสงบมาตลอดเริ่มเต้นเร็วขึ้นเพียงแค่ถูกข้าวจ้าวสัมผัสใบหน้าเท่านั้น
“ตัวเย็นเจี๊ยบเลยนี่...ถ้าปล่อยไว้เดี๋ยวจะไม่สบายแน่...”เสียงนุ่มที่เต็มไปด้วยความห่วงใจนั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกแปลกๆที่มีเริ่มเพิ่มพูนขึ้น
ความรู้สึกอะไรสักอย่างที่ไม่รู้จักมาก่อน
“...ไม่เป็นไร”
“...นี่ราชา”อีกฝ่ายเงียบไปสักพักก่อนจะเรียก
“หื้ม?”
“...ไปพักที่ห้องผมก่อนไหม?”
...........................................................................................
สวัสดีค่า
มาต่อแล้ว
ช้ากว่าเดิมไปนิดหน่อยเพราะออกไปทำธุระมา
พรุ่งนี้เรามีสอบด้วยล่ะ55
ช่วงสอบเป็นอะไรที่แย่สุดๆเพราะไม่มีเวลาแต่งนิยาย
เวลาเครียดๆจากการอ่านแล้วแต่งนิยายไม่ได้นี่เหมือนสมองจะละเบิดเลย...ที่แต่งไม่ได้เพราะถ้าเริ่มลงมือเมื่อไหร่จะใช้เวลาไปหลายชั่วโมง เคยบางครั้งที่แต่งจนลืมกินข้าว55
แบบนั้นก็จะทำให้ไม่มีเวลาอ่านหนังสือสอบเลยต้องหยุดการแต่งไว้ก่อน
ยังดีที่มีตอนสำรองไว้
ความจริงก็อยากจะอัพบ่อยแต่ก็ด้วยอะไรหลายๆอย่างเลยได้แค่อาทิตย์ละตอนอย่างที่เคยบอกไป...บางครั้งเองเราก็หมดอารมณ์ในการแต่งแล้วหันมาอ่านนิยายอย่างเดียวก็มี เพื่อกันจากสถานการณ์นั้นเราเลยขอลงแค่อาทิตย์ละตอนเนอะ
มีหลายคนเข้ามาคอมเม้นต์ในเพจว่าชอบเรื่องนี้มาก...บอกเลยว่าปลื้มใจสุดๆ
การแต่งนิยายเรื่องหนึ่งออกมาแล้วมีคนชอบ สนุกและรอคอยตอนต่อๆไปนี่ทำให้คนแต่งมีความสุขมากจริงๆ
ขอบคุณมากนะคะ
ใครที่อยากติดตามการอัพนิยายหรือเรื่องใหม่ๆสามารถเข้าไปกดไลค์ที่เพจได้นะคะ>>
nicedog<<
ในตอนนี้ก็เริ่มมีการพัฒนาความสัมพันธ์กันมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
ราชาเองก็รู้ตัวแล้วด้วยว่าข้าวจ้าวเป็นคนพืเศษ
สปอยตอนหน้า...
ราชารู้ใจตัวเองแล้วค่าาา
แค่ประโยคเดียวก็คลุมได้ทั้งตอนเลยเนอะ อิอิ
มารอลุ้นกันว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมราชาถึงรู้ใจตัวเองได้...
มีคนช่วย?
รู้เอง?
หรือมีเหตุการณือะไรเกิดขึ้น?
มารอลุ้นในอาทิตย์หน้านะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆกำลังใจนะคะ
ทุกคำติชมจะนำไปปรับปรุงเพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุดค่ะ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า
บ๊ายบายค่ะ
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪