(ต่อค่ะ)
เวลาผ่านไปสักพักให้ผมก็เกิดเบื่อขึ้นมาเลยหยิบโทรศัพท์ที่ตั้งปิดเสียงขึ้นมาดูและปรากฏว่ามีคนไลน์หาเกือบร้อยข้อความซึ่งที่ไลน์มาเป็นกลุ่มเพื่อนชาย10คนทีชอบมาเล่นบาสด้วยกันเสมอ ส่วนมากเนื้อหาในไลน์ก็จะเป็นพวกเรื่องไร้สาระไม่ก็นัดกันว่าวันนี้จะมาเล่นบาสไหมประมาณนั้น
จากที่ไล่อ่านดูเหมือนว่าวันนี้จะมีนัดรวมตัวครั้งใหญ่โดยมีอาร์ตที่พึ่งกับมาจากการทำภารกิจยาวถึงหลายอาทิตย์...ไม่ใช่แค่นัดแต่ดูเหมือนจะมีการท้าแข่งกันในไลน์โดยที่ใครแพ้ต้องเลี้ยงข้าว ผมก็ได้แต่นั่งส่ายหน้าไปมากับเนื้อหาในไลน์ก่อนจะนึกได้ว่าควรจะส่งอะไรไปบ้าง...
สิ่งแรกที่ผุดเข้ามาในหัวทำให้ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมเดินถอยหลังไปเล็กน้อยจนได้ระยะที่พอสมควร...กล้องมือถือถูกยกขึ้นก่อนจะถ่ายภาพของข้าวจ้าวที่กำลังนั่งหันหลังให้โดยมีภาพวาดขนาดกลางที่ยังวาดไม่เสร็จเป็นแบ็คกราว
รูปที่ว่าถูกส่งไปในไลน์โดยมีคนเข้ามาอ่านอย่างรวดเร็ว
ToNN:ใครวะ
เต้ยสุดหล่อ:นั่นสิ
ก๊อง ก่อง ก้อง:ผู้ชาย?
เพชร(อัญมนีล้ำค่า):ใช่สตอล์กเกอร์คนนั้นป่ะ?
ดูเหมือนจะมีเพรชคนเดียวที่รู้ว่าเป็นใคร
เต้ยสุดหล่อ:สตอล์กเกอร์?...ไม่จริงน่าทำไมมาอยู่ด้วยกันได้ล่ะ?
ToNN:แกแอบถ่ายเขาเหรอราชา?...อย่าบอกนะว่าพวกแกอยู่ด้วยกันน่ะ?
ก๊อง ก่อง ก้อง:รายงานสถานการณ์ด่วนเพื่อน
เพชร(อัญมนีล้ำค่า):อย่าเงียบสิราชา
ราชา:อืม...อยู่ด้วยกัน
พอตอบไปแบบไหนก็มีคำถามต่ออีกมากมายจนต้องอมยิ้มเพราะความอยากรู้ของเพื่อนๆโดยมีเฟียสกับโน้ตเข้ามาร่วมวงด้วย บทสนทนายังคงมีต่อโดยที่ผมไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติมแต่ยังอ่านไลน์ที่เพื่อนๆส่งมาอยู่จนถึงข้อความหนึ่งที่ทำให้ชะงัก...
ART:พามาหาพวกเราหน่อย
ข้อความจากอาร์ตทำให้ผมลังเลเล็กน้อยว่าจะยังไงดี...ไหนๆก็เป็นเพื่อนกันผมก็ควรจะแนะนำเพื่อนของตัวเองให้รู้จัก ถ้าจะทำแบบนั้นก็ไม่แปลกสินะ...เห็นน้าแก้วบอกข้าวจ้าวไม่ค่อยมีเพื่อนด้วยถ้าพาไปแนะนำอาจได้เพื่อนเพิ่มก็ได้
ราชา:ก็ได้...แต่ห้ามแกล้งเขานะ...ห้ามพูดเรื่องสตอล์กเกอร์ด้วย
ตอนนี้เราคุยกันเข้าใจแล้ว
ก๊อง ก่อง ก้อง:โอ๊ะ...มีหวง เอ้ย ห่วงด้วย
เต้ยสุดหล่อ:เริ่มแปลกแล้วนะเพื่อน
ข้อความมากมายถูกส่งมาโดยที่ผมก็ทำแค่ไล่อ่านแต่ไม่ตอบเหมือนเดิม
“...อื้มม”เสียงนุ่มของคนที่นั่งอยู่หน้าภาพวาดดังขึ้นทำให้คนที่กำลังอ่านไลน์รีบเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วหันไปมองทางต้นเสียงที่มีร่างโปร่งของข้าวจ้าวลุกขึ้นพร้อมกับยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อคลายกล้ามเนื้อ
“...หิวน้ำจัง...อ๊ะ...เก้าอี้?”อีกฝ่ายพึมพำก่อนจะมองไปด้านข้างที่มีเก้าอี้ที่ผมยกไปวางอยู่ใกล้ๆ
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนอยากให้ตัวเองตัวลีบแบนเพื่อจะได้วิ่งไปหลบอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้องได้โดยไม่ถูกจับได้แต่เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยทำได้แค่ยืนเฉยๆรอคนด้านหน้าหันหลังกลับจนดวงตาสีเขียวปนเทาคู่สวยสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลของผมพอดี
“...ราชา?”เมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ดวงตาใต้เลนส์แว่นก็เบิกกว้างขึ้นก่อนใบหน้าขาวนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อแล้วก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ
“สวัสดีข้าวจ้าว”ผมเอ่ยทักทายออกไปพร้อมส่งรอยยิ้มไปให้
“เอ่อ...สวัสดี...มาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ก็...สักพัก”
“แล้ว...เอ่อ...คือ...”
“...ผมผ่านมา...แล้วคิดว่าเราไม่ได้เจอกันนานแล้วเลยแวะมาหาน่ะ”ผมอยากจะตบมือให้ตัวเองกับการแถสดๆนี่เหลือเกิน...จะให้บอกว่าขับรถจากบริษัทเพื่อมาหาก็ไม่ได้อีก
“ขอบคุณ...สบายดีไหม?”
“อืม...สบายดี...”ถ้าไปนับเรื่องที่คุณชอบเข้ามาโผล่ในหัวผมนะ
“...”
“เราไปกินข้าวกันไหม?...ตอนนี้ก็เวลาเลิกงานพอดีผมนัดเพื่อนไว้ที่สวนสาธารณะน่ะ”เมื่ออีกฝ่ายเงียบผมเลยต้องเป็นคนเปิดการสนทนาเอง
“...ไม่เป็นไร...ผมไม่อยากรบกวนเวลาคุณกับเพื่อนๆ”ข้าวจ้าวตอบกลับมา
“คุณก็เพื่อนผมนะข้าวจ้าว”
“ก็ใช่แต่...ถ้าผมไปอาจทำให้ทุกคนหมดสนุกนะ”
“คิดมากน่า...ถ้าไม่ตกลงผมจะอุ้มลงไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย”พอไม้อ่อนไม่ได้ก็ต้องไม้แข็งถึงคำพูดนั่นจะไม่สามารถทำจริงๆได้ก็ตาม ถึงข้าวจ้าวจะตัวเล็กกว่าผมแต่ก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดจะอุ้มตัวลอยได้เหมือนผู้หญิง
ก็แค่ขู่เท่านั้น
“มะ...ไม่เอา...”แต่ดูเหมือนคำขู่จะใช้ได้...งั้นก็ขอขู่อีกนิดละกัน
“ถ้าไม่อยากให้อุ้มก็ตกลงสิ”ผมบอกต่อพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น
“...เอ่อ...ได้...ตกลง...ผมตกลงไปก็ได้!”เสียงนุ่มตะโกนขึ้นด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเมื่อผมเข้าไปจับไหล่ทั้งของข้างของข้าวจ้าวไว้
“ก็แค่นี้...ผมจะไปรออยู่หน้าร้านนะ...เอารถผมไป”ผมไม่ยอมให้อีกฝ่ายขัดเลยรีบออกมาจากห้องทันทีที่พูดจบ
พอลงมาด้านล่างผมก็บอกลาทั้งอาวิและน้าแก้วก่อนจะสต๊าทรถรอข้าวจ้าวอยู่หน้าร้าน...ไม่นานคนที่รอก็เดินออกมาด้วยเสื้อผ้าชุดเดิมที่ต่างไปมีแค่ไม่มีผ้ากันเปื้อนเท่านั้น เมื่ออีกฝ่ายปิดประตูรถผมก็ขับออกไปทันทีโดยมีจุดหมายคือสวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกล
“วันนี้ไม่ได้ขับมอเตอร์ไซค์มาเหรอ?”ผมหันไปถามคนที่ก้มหน้ามองกล้องสีดำที่อยู่ในมือโดยไม่มีท่าทีว่าจะเปิดบทสนทนากันเลยสักนิด
เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมคุยผมเลยตัดสินใจที่จะเป็นคนเปิดบทสนทนาเอง
“...ขับมาแต่ตอนนี้เอาไปซ่อมอยู่”
“รถเสียกลางทางเหรอ?”ผมถามต่อ
“เปล่า...เสียตอนที่กำลังจะออกไปข้างนอกพอดี”
“ผมถามได้ไหมว่าจะไปไหน?”ดวงตาคมสีน้ำตาลเหล่มองไปยังคนข้างกายเพื่อดูสถานการณ์
“ไปนิทรรศการภาพใกล้ๆนี่น่ะ”
“นิทรรศการ?...คุณชอบดูพวกนี้ด้วยเหรอ?”
“ชอบสิ...รู้จักหอศิลป์ขนาดใหญ่ที่อยู่กลางตัวเมืองไหม?”คนด้านข้างหันมาถามบ้าง
“รู้จักสิ...”ก็ที่นั่นเป็นอีกกิจการของพ่อและยังเป็นกิจการที่ผมต้องเข้าไปดูแลด้วย
“ผมอยากไปที่นั่นมากเลย...แต่ค่าบัตรเข้ามันแพงมากตอนนี้กำลังเก็บอยู่...วันนี้อาวิบอกว่ามีนิทรรศการที่เข้าฟรีเลยอยากไปดู...น่าเสียดายที่รถเสียวันนี้”แววตาตอนที่พูดนั้นดูจะผิดหวังที่ไม่ได้ไปมาก
“ผมพาไปไหม?”ไม่รู้อะไรดลใจที่ทำให้เจ้าของรถหรูเอ่ยปากออกไปแบบนั้น
“ห๊ะ?...เอ่อ...ไม่เป็นไร...ราชานัดกับเพื่อนไว้นี่”
“งั้นวันอื่นล่ะ?”ยอมง่ายๆก็อย่าเรียกผมว่าราชาเลย
“ไม่เป็นไรจริงๆ”
“ผมอยากไปกับข้าวจ้าวนะ”
“...”คำพูดนั่นของผมทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆหน้าขึ้นสีอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าแดงๆที่ไม่ได้เห็นมาซะนานเรียกร้อยยิ้มจากเจ้าของรถได้ตามคาด...รู้ทั้งรู้ว่าคำพูดแบบนั้นเป็นการให้ความหวังแต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดมันออกไป
ที่อยากไปด้วยเป็นความจริงนะ
การจะบริหารศูนย์ศิลปะหรือหอศิลป์ได้จำเป็นต้องมีความรู้เฉพาะด้านผมเลยอยากจะขอให้ข้าวจ้าวมาช่วยผมในเรื่องนี้หน่อย การจะขอให้ช่วยจำเป็นต้องมีเวลาคุยซึ่งก็พอเหมาะกับที่อีกฝ่ายอยากไปดูนิทรรศการ...หลังจากดูงานเสร็จผมจะลองพูดกับข้าวจ้าวดูว่าจะช่วยผมได้ไหม
“ข้าวจ้าว...อย่าเงียบสิ”
“...นายเป็นแบบนี้กับทุกคนเหรอ?”เสียงนุ่มถามขึ้นเบาๆโดยยังก้มหน้าลงอยู่
“เป็นยังไง?”ผมถามกลับ
“...ก็...ชอบพูด...ให้ความหวังไง”
“กับข้าวจ้าวคนแรก”
คำพูดที่ตอบกลับไปทำให้ใบหน้าของคนฟังถึงกับกำมือตัวเองแน่นแถมยังไม่ใช่แค่มือแต่ริมฝีปากก็เม้มเข้าหากันแน่นด้วย...
ใบหน้าแดงๆนั่นเรียกร้อยยิ้มผมได้ตลอดสิน่า
“ไปด้วยกันเถอะข้าวจ้าว...ผมอยากไปคลายเครียดด้วย”ผมพูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปสักพัก
ไม่รู้ว่าที่นั่งเงียบนี่คือเขินหรืออายกันแน่
ดีไม่ดีอาจจะทั้งสองอย่างก็ได้
คนอะไรทำตัวน่ารักได้ตลอดเวลาแบบนี้
“...ขอเป็นวันศุกร์ได้ไหม?”นิ่งไปสักพักใบหน้าขาวก็หันมาถามผมที่กำลังขับรถอยู่
“ไม่มีปัญหา...งั้นบ่ายโมงเจอกันที่หน้าร้านคุณนะ”
“อืม”
บทสนทนาเราจบเพียงเท่านี้เพราะรถสีดำเงาได้มาถึงสวนสาธารณะที่เป็นสถานที่นัดเจอเพื่อนสนิทของผมแล้ว...ผมเดินนำข้าวจ้าวไปจนถึงโรงอาหารที่เป็นสถานที่นัดเจอเหมือนอย่างในทุกครั้ง
“เฮ้!...ทางนี้ราชา!!”เสียงตะโกนเรียกชื่อดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วกระโดดชูมือเพื่อบอกตำแหน่ง คนที่ตะโกนเรียกคือเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยมเพชรนั่นเอง
“เออ!”ผมตะโกนตอบรับก่อนจะเดินตรงไปทางนั้น
“ข้าวจ้าว...เพื่อนผมอาจจะแซวอะไรแรงไปก็อย่าถือสาเลยนะ”ก่อนจะเดินไปผมหันกลับไปบอกคนข้างหลังด้วยความกังวล ไม่รู้ว่าเพื่อนผมจะแซวอะไรบ้างแต่ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นผมจะจัดการเอง
“อืม...ไม่เป็นไร”ข้าวจ้าวส่งยิ้มบางๆมาให้นั่นทำให้ผมคลายความกังวลลงมาหน่อย
ผมเดินนำมายังโต๊ะที่ถูกนำมาต่อติดกันเพื่อให้เพื่อนชายกว่า10คนนั่งล้อมวงกันได้โดยไม่เบียดกันเท่าไหร่...ดูเหมือนพวกเพื่อนๆของผมจะสนใจข้าวจ้าวเป็นพิเศษเพราะพอคนที่เดินตามมาเข้ามาใกล้ทุกสายตาก็หันมาจ้องเป็นตาเดียว
“อย่าไปจ้องเขาแบบนั้นสิ”ผมปามเพื่อนที่เหลือในกลุ่มด้วยใบหน้าดุๆ
ข้าวจ้าวยิ่งเป็นตื่นคนง่ายๆอยู่
แล้วนั่นจะจ้องให้ทะลุเลยรึไง
ผมได้แต่จ้องไปยังเพื่อนแต่ละคนด้วยสายตาที่ไม่พอใจนัก...
ความรู้สึกเหมือนหวงนี่มัน...
“วิ๊ว!...มีปกป้องๆ”เสียงของเต้ยดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที
“ปกป้องอะไร...ก็พวกแกเล่นจ้องเขาซะพรุนแล้วเนี่ย”ผมรีบสวนกลับ
“มีหวงๆ”แฝดอีกคนพูดเสริมทันที
“พอก่อนน่า...ให้เพื่อนใหม่เราได้แนะนำตัวหน่อย”เฟียสพูดขัดคู่แฝดก่อนจะหันไปยิ้มให้ข้าวจ้าวอย่างเป็นมิตร
“สวัสดีครับ...ผมชื่อวรานนท์ เทพภักดี...ชื่อเล่นว่าข้าวจ้าว...ยินดีที่ได้รู้จักครับ”คำแนะนำตัวจากข้าวจ้าวดูจะเป็นทางการไปจนคนทั้งโต๊ะหลุดขำออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“เลิกขำน่าเพื่อน”ผมหันไปเพื่อนทั้งที่ตัวเองก็หน้าแดงเพราะกลั้นขำไว้
“ฮะฮะฮะ...เพื่อนเราคนนี้มารยาทดีชะมัด...มานี่เลย...มานั่งข้างผมมา”ต้นลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินมาลากตัวข้าวจ้าวให้นั่งตรงกลางระหว่างต้นและเต้ย พอเห็นข้าวจ้าวจะมานั่งต้นที่นั่งอยู่เลยขยับเข้าไปให้เขาเข้าไปนั่งได้สบายมากขึ้น...
ดูท่าจะเข้ากับเพื่อนผมได้ดีกว่าที่คิดแฮะ
“ขอบคุณนะต้น”
“...”คำพูดเบาๆของข้าวจ้าวทำให้คนทั้งกลุ่มถึงกลับเงียบสนิทรวมถึงตัวผมเองด้วย
ดวงตาสีเขียวปนเทาของข้าวจ้าวเบิกกว้างเหมือนกำลังตกใจกับอะไรบางอย่าง...ไม่นานริมฝีปากปากนั่นก็เม้มเข้าหากันแน่นอย่างร้อนรน
“ทำไมถึงรู้ชื่อผมได้ล่ะ?”คำถามจากปากต้นเป็นสิ่งเดียวกับที่ผมอยากรู้อยู่
ทำไมข้าวจ้าวถึงได้รู้สึกต้นได้...ไม่สิ ทั้งต้นและเต้ยต่างเป็นฝาแฝดแปลว่าต้องรู้จักทั้งสองคนดีถึงจะสามารถแยกพวกเขาออกจากกันได้....
งั้นทำไมข้าวจ้าวถึงแยกได้ล่ะ?
........................................................................
สวัสดีค่ะ
มาอัพตอนต่อไปแล้ว
ขอแจ้งอะไรสักเล็กน้อยนะคะ...ในตอนที่8เราได้ทำการปรับการเขียนใหม่และเพิ่มเนื้อหาเข้าไปเพราะมีคอมเม้นต์มาบอกว่าการดำน้ำนั้นจำเป็นต้องมีใบอนุญาตด้วย เราไม่เคยดำเลยไม่มีความรู้เรื่องนี้...ดังนั้นจึงของเปลี่ยนแปลงในบางเนื้อหานะคะ...
ตอนที่8ได้อัพใหม่เรียบร้อยแล้วสามารถเข้าไปอ่านได้เลยค่ะ
กลับเข้ามาในตอนที่9กันดีกว่า...พระเอกของเราดูจะสับสนมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
อีกไม่นานก็จะรู้ใจตัวเองแล้วค่ะ(เย้ๆ)
มารอลุ้นกันตอนหน้าว่าข้าวจ้าวจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี...เล่นหลุดปากชื่อเพื่อนออกมาทั้งที่ยังไปแนะนำ
ความลับแตกแน่(55)
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์และทุกๆกำลังใจนะคะ
ปล.มีเรื่องอยากถามหน่อย ตอนพิเศษของเรื่องนี้อยากอ่านเป็นตอนพิเศษแบบไหนกันบ้างคะ?
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะ
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪