แอบรัก⊰❤⊱วันที่6
บรรยากาศของการประชุมใหญ่ค่อนข้างเคร่งเครียดจนวรานนท์ที่นั่งอยู่ข้างอาวิต้องเกร็งตัวเกือบตลอดเพราะความไม่ค่อยชินกับแรงกดดันเลยค่อนข้างประหม่าได้ง่ายกว่าคนอื่นแต่สายตาหนึ่งที่จ้องมายิ่งทำให้รู้สึกแย่เข้าไปอีก
ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่เป็นไร...
ทำไมต้องเป็นลูกชายของท่านประทานที่ชื่อว่าธรณินทร์ ภิพัฒธนมงคลด้วย!
ใบหน้าขาวพยายามไม่เหล่มองไปยังฝั่งตรงข้ามที่มีร่างของราชานั่งเท้าคางมองมาด้วยสายตาที่เดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
ข้อความที่ได้ยินก่อนจะเข้ามาในห้องก็ทำให้รู้สึกแย่มากพอแล้วทำไมยังต้องมาจ้องกันแบบนี้อีก
จะให้ผมตะโกนขอโทษตรงนี้เลยไหมล่ะ?
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เอาเข้าจริงก็ไม่กล้าหรอก...ใครจะกล้าตะโกนขอโทษต่อหน้าคนเยอะๆแบบนี้กัน
“ทางเราจะมีการถ่ายโฆษณาที่เกาะทางตอนใต้ของประเทศเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ในอาทิตย์หน้าตามที่แจ้งไปข้างต้นนะครับ...ส่วนรายละเอียดของงานในครั้งนี้เราได้เชิญช่างภาพอิสระที่มีชื่อเสียงมาเป็นคนถ่ายภาพให้เชิญคุณวิสุธ แก้วจันทร์ทักทายทุกคนหน่อยครับ”เมื่อคนหน้าห้องพูดจบอาวิก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเกร็งนิดหน่อย
“...สวัสดีครับผมวิสุธ แก้วจันทร์เป็นช่างภาพอิสระ...รู้สึกเป็นเกรียติมาที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับบริษัทชั้นนำแบบนี้...ทั้งผมและผู้ช่วยจะพยายามให้ดีที่สุดครับ...ขอบคุณครับ”ประโยคสุดท้ายอาวิเหล่มามองผมก่อนจะนั่งลงตามเดิม
“เมื่อแนะนำตัวช่างภาพไปแล้วก็มาต่อกันเลยนะครับ...สำหรับช่างภาพจะทำการถ่ายภาพเพื่อทำเป็นโปสเตอร์โฆษณาโดยจะมีอีกทีมทำเป็นโฆษณาแบบอนิเมชั่นทั้งนี้ธีมของงานคือความแตกต่างที่ลงตัว...ทางเราจึงได้มีการจองเรือเพื่อพาไปสถานที่ดำน้ำเผื่อจะใช้ในการถ่ายทำได้และ...”คำอธิบายงานยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆโดยที่ในหัวของผมตอนนี้ขาวโพรนไปหมด
สิ่งเดียวที่รู้สึกคือสายตาคมสีน้ำตาลที่จ้องมาอย่างไม่ลดละ
ทำไมเขาถึงไม่ฟังสิ่งที่กำลังอธิบายอยู่ล่ะ?
มามองผมทำไม?
“ตั้งใจฟังหน่อยจ้าว”เสียงของอาวิดังขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่เบาๆทำให้สติเริ่มกลับเข้าร่างอีกครั้ง
“คะ...ครับ”ผมรีบขานก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังด้านหน้าที่มีพนักงานคนหนึ่งกำลังอธิบายโปรเจคนี้อย่างละเอียดยิบอยู่ จากที่ฟังๆมางานโฆษณาครั้งนี้ค่อนข้างลงทุนเพราะต้องไปถ่ายกันถึงเกาะทางตอนใต้แถมยังมีการเช่าเรือให้ไปถ่ายรูปใต้น้ำอีก
การถ่ายภาพใต้น้ำเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนเลยค่อนข้างตื่นเต้นอยู่พอสมควร
“สำหรับกำหนดการณ์คร่าวๆเราจะเดินทางในเช้าของวันจันทร์และต่อกันด้วยเครื่องบินและเรือเพื่อตรงไปยังสถานที่ถ่ายทำโดยที่พักจะเป็นโรงแรมหรูระดับ5ดาวที่ท่านประธานเป็นเจ้าของอยู่...ในเรื่องของอาหารทางโรงแรมมีภัตรคารและรูมเซอร์วิซที่สามารถโทรสั่งมาทานที่ห้องได้โดยไม่เสียงเงินยกเว้นของมึนเมานะครับ...”คำอธิบายนั่นทำให้รู้ว่าทางบริษัทไม่ได้ลงทุนมากอย่างที่คิดในตอนแรกเพราะทั้งสถานที่ถ่ายหรือที่พักก็ต่างอยู่ในเครือของบริษัททั้งนั้น
“...นี่คือรายละเอียดคร่าวๆนะครับ...ต่อมาขอเชิญท่านประทานกล่าวปิดการประชุมด้วยครับ”
ในที่สุดก็จบ
ผมแทบจะชูมือสองข้างขึ้นเหนือหัวถ้าไม่ติดที่กำลังอยู่ในห้องประชุมที่มีคนเป็นสิบละก็นะ...ผมเคยเข้าร่วมประชุมหลายครั้งแต่อยากบอกว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่ประชุมนานขนาดนี้ คนที่อธิบายรายละเอียดก็แจกแจงจนยิบย่อยมากแต่ดันปิดท้ายว่าทั้งหมดนั่นคือรายละเอียดคร่าวๆ?
“...เฮ่อ...”ผมแอบลอบถอนหายใจก่อนจะมองไปยังหน้าต่างอีกฝั่งที่เห็นท้องฟ้าสีครามเป็นฉากหลัง...ห้องที่ใช้จัดประชุมครั้งนี้อยู่ในชั้นเกือบบนสุดของตึกทำให้สามารถมองเห็นวิวที่สวยงามจนอยากยกกล้องขึ้นมาถ่ายเก็บไว้
ดวงตาสีเขียวปนเทามองเหม่ออกไปยังท้องฟ้าก่อนจะสัมผัสได้ว่ามีสายตาจ้องมองอยู่ ด้วยความที่สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลยหันไปมองทางนั้นอย่างไม่คิดอะไรและทันทีที่ดวงตาของตัวเองสบเข้ากับดวงตาคมสีน้ำตาลผมก็สะดุ้งจนอาวิต้องหันมามองว่าเป็นอะไร
“...ขอโทษครับ”ผมก็ได้แต่เอ่ยขอโทษพรางยิ้มแฮะๆส่งไป
“งานโฆษณาตัวนี้เป็นการโปรโมทและเชิญชวนให้คนเข้ามาใช้บริการและออกมาท่องเที่ยวที่โรงแรมของเรามากขึ้น...ผมคาดหวังกับโปรเจคนี้ไว้สูงและหวังว่าทุกคนจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง...เลิกประชุมได้”เมื่อการประชุมเสร็จสิ้นเหล่าผู้เกี่ยวข้องก็ทยอยเดินออกจาห้องประชุม
“สวัสดีคุณวิสุธ...ไม่สิ...วิ”เสียงของท่านประธานดังขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาทักทายอาวิที่ลุกขึ้นเดินไปหาอีกฝ่าย
“ไหนบอกว่าเวลาอยู่บริษัทเราไม่รู้จักกันไงคุณตรีภพ...ภิพัฒธนมงคล”อาวิพูดขึ้นพรางมองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานของบริษัทแห่งนี้
“เจอเพื่อนเก่าทั้งทีก็ต้องทักทายหน่อยสิ...ดีใจที่ยอมตกลงร่วมงานนะ”
“ตกใจอยู่ที่ถูกติดต่อแบบนี้...ฉันเป็นแค่ช่างภาพธรรมดาๆไม่รู้ว่างานจะถูกใจนายไหม?”
“ธรรมดา?...ฮะฮะ...ระดับนี้ถ้าเรียกว่าธรรมดาคงไม่ต้องหาคนเก่งที่ไหนแล้ว”
“คงเก่งก็มีอยู่เยอะ...อ้อ...ขอแนะนำผู้ช่วยหน่อยนะ...จ้าว”เสียงเรียกทำให้ผมที่นั่งอยู่ค่อยๆลุกขึ้นอย่างเกร็งๆเดินเข้าไปหาอาวิ ดวงตาคมสีน้ำตาลที่เหมือนกับของราชาทว่าดูน่ากลัวกว่ามากทำให้รู้สึกกลัวอยู่บ้าง
“สวัสดีครับผมวรานนท์ เทพภักดี...ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”ผมเอ่ยทักทายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นท่านประธานและพ่อของราชา
“อืม...ท่าทางใช้ได้...เธอถ่ายรูปแบบไหนล่ะ?”
“ผมชอบถ่ายพวกสิ่งมีชีวิตกับพวกตึกที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองน่ะครับ”เมื่อถูกถามผมก็ตอบกลับพร้อมยกนิ้วขึ้นดันแว่นอย่างเกร็งๆ
“คนละสไตล์กับนายเลยนี่”ท่านประธานหันไปพูดกับอาวิ
“ก็ใช่...ปากบอกว่าชอบถ่ายรูปสิ่งมีชีวิตหรือพวกตึกแต่พอเอาเข้าจริงฉันว่าจ้าวถ่ายรูปธรรมชาติได้สวยไม่แพ้กันหรอกแค่เขาไม่ค่อยชอบเดินทางไปถ่ายเท่านั้นเอง”อาวิหันไปตอบ
“หื้ม...ชมออกนอกหน้าแบบนี้แปลว่าศิษย์เอก?”
“ก็ไม่เชิง...จำภาพวันก่อนที่นายถามว่าใครวาดได้ไหม?”
“ได้สิ...ภาพที่ฉันบอกจะซื้อเมื่อวาดเสร็จแต่นายบอกไม่ขาย”ท่านประธานบอกพร้อมขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด
“ใช่...ฉันไม่ขายเพราะคนที่เป็นเจ้าของผลงานคือจ้าว”
“พูดเป็นเล่น”ชายที่ยืนข้างอาวิแสดงความตกใจออกมาทันทีเมื่อรู้ความจริง
ภาพที่ว่าคงเป็นภาพที่ผมวาดเมื่อหลายวันก่อนที่จะป่วยแน่ๆ...ไม่เห็นรู้เลยว่ามีคนมาดูแถมยังขอซื้อด้วย
ปกติภาพที่ถูกวาดจะถูกเก็บไว้ที่ด้านหลังร้านโดยไม่ถูกนำออกไปวางขายเพราะผมตั้งใจว่าจะเปิดการแสดงภาพเล็กๆของตัวเองเมื่อมีงานภาพหลากหลายชิ้นกว่านี้
“จะพูดเล่นทำไม?”อาวิคลียิ้มพรางเหล่มามองผม
“...เธอเป็นคนวาดภาพที่ยังไม่เสร็จนั่นจริงๆเหรอ?”ท่านประธานหันมาถาม
“...ถ้าหมายถึงภาพที่ใช้สีน้ำลากเป็นเส้นประกอบกันละก็...ผมเป็นคนวาดเองครับ”คนถูกถามตอบเสียงสั่น
ทั้งที่ไม่ได้ถูกดุแต่กลับรู้สึกเกร็งๆอย่างบอกไม่ถูก
“เธออยากขายภาพนั้นไหม?”อีกฝ่ายถามต่อ
“...อ่อ...ผมคิดว่ายังไม่อยากขายครับ....พอดีผมอยากเก็บทุกรูปที่วาดไว้เพื่อเปิดการแสดงภาพเล็กๆน่ะครับ”ผมตอบกลับไป
“ถ้าจะเปิดแสดงภาพก็เป็นอีกนัยหนึ่งว่าเปิดขายอยู่ดีนี่...เอางี้นะ....ฉันขอจองภาพนั่นไว้ก่อนได้ไหม?”
“ครับ?”ผมถึงกับอึ้งที่ได้ยินคำพูดนั่น
คนธรรมดาๆอย่างผมถูกจองภาพวาดตั้งแต่ยังไม่ได้แสดงเลยเหรอ?
“ฉันอยากได้รูปนั่นมาก...มันให้ทั้งความรู้สึกผ่อนคลายและสงบนิ่ง”
“...ก็ได้ครับ”ผมตัดสิใจพร้อมพยักหน้าตกลง...ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธข้อเสนอที่ดีขนาดนี้นี่
“งั้นก็ตามนี้...หวังว่าเธอคงไม่ลืมสิ่งที่พูดแล้วขายให้กับคนอื่นหรอกนะ”เขาถามย้ำ
“มะ...ไม่แน่นอนครับ”ใครจะกล้าลืมกัน
“ดีมาก...นี่นามบัตรฉันมีงานเมื่อไหร่ติดต่อมา”ท่านประธานบอกพร้อมกับยื่นนามบัตรส่งมาให้
“ขอบคุณมากครับ”ผมยื่นมือไปรับอย่างสั่นๆ
ไม่คิดว่าจะมีวันที่ผลงานตัวเองได้รับการยอมรับเร็วขนาดนี้
“วิ...เราไปหามื้อเที่ยงกินกันหน่อยเถอะ”
“ไม่ทำงานต่อเหรอท่านประธานบริษัท?”อาวิหันไปถาม
“หึ...แค่วันเดียวบริษัทไม่ล้มละลายหรอกน่า”
“เอาสิ...จ้าวมาด้วยกันไหม?”อาวิหันมาถาม
“อ่อ...ไม่ดีกว่าครับ”ผมต้องลงไปหาราชาต่ออีก
“งั้นเอารถอาขับกลับละกัน...”
“ไม่ต้องครับ...เดี๋ยวผมกลับเองอาไว้ใช้เถอะ”ผมรีบพูด
“กลับได้เหรอ?”
“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะอา”
“ไม่ว่ายังไงเราก็ยังเด็กสำหรับอาเสมอจ้าว”อาบอกพร้อมยกมือขึ้นขยี้เส้นผมสีน้ำตาลของผมแรงๆ
“ผมดูแลตัวเองได้ครับ”
“ก็ได้...ตามใจเลย”
พอตกลงกันได้วรานนท์ก็ขอแยกตัวลงมาที่คาเฟ่ชั้น1ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยพนักงานในบริษัทนั่งกับจนเต็มทุกโต๊ะ...ช่วงเวลากลางวันแบบนี้ไม่ว่าใครก็คงเลือกสถานที่กินให้สะดวกที่สุดซึ่งก็คงไม่พ้นคาเฟ่ที่อยู่ด้านล่างนี่แน่
เจ้าของร่างโปร่งผลักประตูร้านเข้าไปก่อนจะมองไปรอบๆเพื่อหาโต๊ะนั่งแต่ก็เป็นอย่างที่คาดไว้...โต๊ะทุกตัวถูกนั่งเต็มหมด
ถ้าเป็นแบบนี้ผมก็ขอตัวกลับได้โดยไม่ต้องเจอกับราชาใช่ไหม?
ในหัวเริ่มตั้งคำถามพรางใช้ดวงตาสีเขียวปนเทามองไปรอบๆร้านอีกครั้งก่อนจะสะดุดตาเข้ากับชายหนุ่มผมดำซอยสั้นที่นั่งอยู่ตรงริมหน้าต่าง ถึงอีกฝ่ายจะหันหลังให้แต่ผมก็ยังจำได้ดีว่าคนคนนั้นคือราชาไม่ผิดแน่
“...สู้สิข้าวจ้าว”เสียงนุ่มบอกกับตัวเองก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้คนที่นั่งรออยู่ด้านริมร้าน
ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกกังวล...ไม่รู้ว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นไปในทิศทางไหนกันแต่ขอแค่อย่าถูกเกลียดเลยก็พอแล้ว นั่นเป็นคำเดียวที่ไม่อยากได้ยินออกมาจากปากของคนที่ตัวเองแอบชอบ
“...ขะ...ขอโทษ...ที่ให้รอนาน...ครับ”เสียงสั่นที่ดังขึ้นทำให้คนที่นั่งรอหันมามองนิ่งๆ
“ไม่เป็นไร...นั่งสิ”
“ขอคุณครับ”ผมรีบนั่งลงก่อนจะก้มหน้ามองมือทั้งสองข้างที่กำแน่นจนขาวไปทั้งมือ
“สั่งอะไรไหมครับ?”อีกฝ่ายถาม
“...”ผมได้แต่ส่ายหน้ากลับไปโดยที่ยังก้มหน้าอยู่
ถ้าเงยขึ้นไปเขาคงเห็นใบหน้าแดงๆของผมแน่
“เราจะคุยกันทั้งที่คุณก้มหน้าอยู่แบบนี้เหรอครับ?”เสียงทุ้มยังคงถามต่อ
“...ขอโทษครับ”ผมตอบกลับเสียงเบาแต่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นไป
“ผมน่ากลัวเหรอ?”
“ไม่...ไม่เลยสักนิด”ผมรีบเงยหน้าขึ้นไปตอบแต่เมื่อดวงตาเราประสานกันใบหน้าสีชมพูระเรื่อก็รีบก้มหน้าลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ตึก ตัก ตึก ตัก
เสียงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเพียงแค่ได้สบตากับราชาทำให้ผมต้องเม้มปากตัวเองแน่นเพื่อระงับอาการตื่นเต้นของตัวเอง...การที่ได้มานั่งร่วมโต๊ะด้วยแบบนี้มันยิ่งกว่าความฝันซะอีก
“ถ้าผมไม่น่ากลัวก็เงยหน้าขึ้นมาสิครับ”
“...”เส้นผมสีน้ำตาลส่ายไปมาแทนคำปฏิเสธที่พูดไม่ออก
“ก้มหน้าไปก็ซ่อนใบหน้าแดงๆนั่นไม่ได้หรอกนะ”คำพูดต่อมาทำให้คนที่หน้าร้อนอยู่แล้วยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่
นี่เขาเห็นว่าหน้าผมแดง...
อายจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
“...ขอโทษ”
“ขอโทษอีกแล้ว...ตั้งแต่เจอกับคุณพูดขอโทษผมมากี่รอบแล้วรู้ไหม?”เสียงทุ้มถามก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆราวกับจะช่วยให้ผมผ่อนคลายลง
“...ขอ...”
“ไม่เอาคำว่าขอโทษนะ”เสียงของราชาพูดแทรกก่อนที่ผมจะพูดจบ
“...”เมื่อไม่รู้จะพูดอะไรเลยได้แต่นั่งเงียบๆอยู่แบบนั้น
“เฮ่อ...สั่งมื้อเที่ยงทานกันเถอะเดี๋ยวไปทำงานต่อไม่ไหวนะ”อีกฝ่ายบอกพร้อมกับยื่นเมนูมาให้ตรงหน้าผมที่ก้มหน้าลงจนจมูกแทบจะติดคอ
มือเรียวหยิบเมนูมาดูด้วยร่างกายที่สั่นเล็กน้อย...หัวใจที่เต้นแรงกลับแรงขึ้นไปอีกเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะได้ทานอาหารเที่ยงร่วมกับราชา หน้าของเมนูถูกเปิดผ่านไปเรื่อยๆพร้อมกับหน้าของผมที่ค่อยๆเงยตามเพราะถ้าไม่เงยก็มองเมนูไม่เห็น
“รับอะไรดีคะ?”เสียงของพนักงานสาวเดินเข้ามารับเมนูด้วยรอยยิ้ม
“ขอก๋วยเตี๋ยวเขียวหวานไก่กับผักโขมอบชีส...เครื่องดื่มก็น้ำส้มปั่นครับ”ราชาหันไปบอกพนักงานโดยไม่มองเมนูเลยสักนิด...อาจเป็นขาประจำของร้านนี้ก็ได้
“ค่ะ...รับเป็นก๋วยเตี๋ยวเขียวหวานไก่กับผักโขมอบชีส...เครื่องดื่มเป็นน้ำส้มปั่นนะคะคุณราชา”พนักงานสาวทวนเมนูด้วยรอยยิ้มพรางก้มลงมาจนเสื้อคอกว้างนั่นเห็นหน้าอกรำไร
ราชากำลังถูกเชิญชวน?
“ครับ...แล้วคุณเอาอะไรล่ะ?”ราชาไม่สนใจหญิงสาวที่พยายามให้ท่าแต่กลับมองมาที่ผมแทน
“อ่อ...ข้าวผัดกุ้งกับน้ำแตงโมปั่นไม่หวานครับ”ผมหันไปบอกรายการที่ตนต้องการ
“รับเป็นข้าวผัดกุ้งกับน้ำแตงโมปั่นไม่หวานนะคะ...จะรับอย่างอื่นเพิ่มไหมคะคุณราชา?”น้ำเสียงห้วนๆที่ทวนรายการของผมบ่งบอกได้อย่างดีว่าเธอไม่เห็นผมอยู่ในสายตาเลยสักนิด
“ไม่ล่ะ”เมื่อราชาปฏิเสธเธอก็ต้องจำใจเดินกลับไปอย่างไม่พอใจนัก
ราชามักจะเป็นที่สนใจของทุกคนอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย...ด้วยการวางตัวที่แสนสุภาพและท่าทางที่เหมือนเจ้าชายในการ์ตูนก็ยิ่งส่งเสริมให้เขาน่าดึงดูดมากขึ้น
“คุณอายุเท่าไหร่เหรอ?...ผมว่าตัวเองน่าจะมากกว่านะ”ราชาถามทำลายความเงียบ
ใจจริงอยากจะบอกว่าเท่ากันแต่ก็ฉุกคิดได้ว่าถ้าทำแบบนั้นก็เหมือนผมรู้ข้อมูลของเขาอยู่ก่อนแล้วอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้
“...ปีนี้25ครับ”
“เท่ากันเลย”สีหน้าของราชาดูตกใจเล็กน้อยที่รู้อายุจริงของผม
“...ครับ”
“งั้นก็ไม่ต้องสุภาพกันขนาดนี้ก็ได้นะ”
“...อืม”
“คนที่ใส่ภาพถ่ายลงในกระเป๋าผมคือนายใช่ไหม?”คำถามตรงๆที่ถูกถามราวกับจะย้ำให้แน่ใจว่าคนที่ทำเป็นผมจริงๆไม่ใช่คนหน้าคล้าย
นี่อาจเป็นเวลาดีที่จะได้ทั้งอธิบายและขอโทษอย่างจริงจัง
“...ครับเป็นผมเอง...ต้องขอโทษด้วยที่ทำแบบนั้นคือ...ตอนแรกก็แค่เห็นเครียดๆก็เลยอยากให้กำลังใจเท่านั้น...ขอโทษจริงๆครับ”ผมอธิบายพร้อมกับก้มหัวขอโทษ
“...”
“...”ยิ่งเห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไรกลับมาก็ยิ่งทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง
ราชาต้องโกรธอยู่แน่ๆ
“ผมมีสิ่งที่อยากรู้...ไม่ต้องเงยหน้าก็ได้แต่ช่วยตอบมาตามตรงได้ไหม?”
“...อืม”
“ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย?”คำตอบของคำถามนั่นชัดเจนจนแทบไม่ต้องคิด
ทำไมต้องทำ?
เหตุผลง่ายๆ
ก็เพราะชอบราชาไงล่ะ!
คำตอบง่ายๆที่ไม่กล้าพูด...
ทั้งที่ไม่กล้าพูดแต่ก็ไม่อยากโกหกอีกฝ่ายด้วย
ตลอดเวลาที่เรียนด้วยกันมาเคยคิดตั้งหลายครั้งว่าอยากลองสักครั้งที่ได้สารภาพต่อหน้าอีกฝ่ายว่าชอบแต่ทุกครั้งที่จะเดินเข้าไปหารอบตัวของราชาก็เต็มไปด้วยเพื่อนฝูงจนไม่มีโอกาสให้ผมได้พูด
ความจริงอาจมีโอกาสหลายครั้งเพียงแต่ความกล้าที่มียังไม่มากพอที่ทำให้ผมออกไปสารภาพรักอีกฝ่าย
ความรู้สึกที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจมาตลอด11ปี
วันนี้อาจเป็นโอกาสแรกและโอกาสเดียวที่ผมจะได้บอกออกไป
เมื่อมีโอกาสแล้วผมจะโยนมันทิ้งไปงั้นเหรอ?
กล้าหน่อยสิวรานนท์!
พูดมันออกไปสิข้าวจ้าว!!
“...ผมชอบราชา”เสียงนุ่มบอกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปสบหน้ากับคนตรงหน้าตรงๆ ดวงตาสีเขียวปนเทาสั่นระริกจ้องมองผ่านเลนส์แว่นไปยังอีกฝ่ายเพื่อบอกว่าสิ่งที่พูดคือความจริง
เพียงแค่พูดออกไปความอัดอั้นที่มีก็เหมือนจะหายไปจนกลายเป็นความโล่งใจที่ได้บอกความรู้สึกตัวเองออกไปสักที...ต่อจากนี้ถึงจะได้คำตอบยังไงก็จะยอมรับมันโดยดี
ขอแค่อย่าพูดว่ารังเกียจ...นอกนั้นจะเป็นคำไหนก็พร้อมจะรับมัน
“ขอบคุณที่ชอบผม...แต่ผมไม่ได้ชอบผู้ชายเพราะงั้นคงเป็นแฟนกันไม่ได้...”
“ครับ”เรื่องนั้นผมรู้ดีตั้งแต่แรกแล้ว
“แต่เราเป็นเพื่อนกันได้...มาเป็นเพื่อนกันแทนไหม?”คำพูดของราชาทำให้คนที่กำลังคิดหลายๆอย่างในหัวจ้องกลับไปอย่างไม่เข้าใจ
ผมบอกว่าชอบเขา...ถ้าเป็นปกติคงโดยว่าแล้วบอกให้อยู่ห่างๆซะไม่ใช่มาถามว่าเป็นเพื่อนกันไหมแบบนี้
“...ได้เหรอ?”ผมถามกลับอย่างไม่แน่ใจ
“แน่นอน”อีกฝ่ายตอบก่อนจะคลียิ้มที่ทำให้หัวใจเต้นแรงออกมา
“ทั้งที่ผม...ชอบราชาเหรอ?”
“การที่มีคนชอบดีกว่าที่มีคนเกลียดอยู่แล้ว...เราต้องทำงานด้วยกันอีกเพราะงั้นมาสนิทกันไว้ดีกว่าเนอะ”
“ขอบคุณ...ขอบคุณที่ไม่เกลียดกัน”ผมบอกออกไปก่อนจะส่งยิ้มกว้างด้วยความดีใจกลับไปให้
ขอบคุณจริงๆ
ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนขอแค่ได้เข้าใกล้อีกหน่อยก็มากพอแล้ว
รอยยิ้มแรกถูกส่งมาทำให้ธรณินทร์ถึงกับเบิกตากว้างขึ้น...ริมฝีปากบางสีชมพูคลียิ้มกว้างจนดวงตาสีแปลกนั่นเกือบปิด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายตรงๆโดยไม่มีการก้มหน้าลงเหมือนอย่างทุกครั้ง
ไม่คิดเลยว่าโชคชะตาจะทำให้เจอกันอีกเร็วขนาดนี้
คำว่าขอบคุณที่ได้ยินทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงกังวลมากที่ผมเรียกให้มาเจอกันแบบนี้
ทั้งทีอยากขอบคุณที่ใส่ภาพถ่ายพวกนั้นมาให้แต่คุณวรานนท์กลับไม่ยอมฟังเอาแต่ขอโทษจนผมคิดว่าตัวเองน่ากลัวขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?
ผมไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดีกับคำว่าชอบที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้าแต่ถึงจะรู้สึกดีแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตกลงเป็นแฟนกันง่ายๆ แถมเท่าที่สังเกตคนตรงหน้าก็ไม่คิดว่าผมจะตกลงนั่นทำให้ไม่รู้สึกแย่นักที่ปฏิเสธไป...วรานนท์ ไม่สิ ข้าวจ้าว
ชื่อที่ทั้งน่ารักและน่ากินเลย
ถ้าเป็นคนอื่นเมื่อถูกผมปฏิเสธร้อยทั้งร้อยคือตื้อจนรู้สึกรำคาญแต่ที่ข้าวจ้าวทำมีเพียงแค่พูดขอบคุณพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ดูจะโล่งใจเหมือนกับเขาพอใจสุดๆแล้วที่ได้เป็นเพื่อน
อาหารที่สั่งเข้ามาแทรกบทสนทนาทำให้พวกเราหยุดพูดคุยและลงมือจัดการมื้อเที่ยงของตัวเองเงียบๆ...ดวงตาสีเขียวปนเทาลอบมองผมผ่านทางเลนส์แว่นสายตา พอดวงตาของเราสบกับอีกฝ่ายก็เบิกตากว้างขึ้นก่อนจะก้มหน้าลงไปทันที...ใบหน้าแดงๆที่เห็นทำให้คนถูกมองยิ้มออกมาก่อนจะลงมือจัดการจานตัวเองต่ออย่างไม่รีบร้อน
คำว่าชอบใครก็พูดได้แต่จะหาว่าใครที่รู้สึกแบบนั้นจริงๆมันยาก...ในชีวิตผมก็ถูกสารภาพรักมานับไม่ถ้วนแต่ไม่เคยมีสักครั้งที่รู้สึกถึงคำว่าชอบได้มากเท่ากับคนที่ก้มหน้าอยู่ตอนนี้
แก้มแดงๆนั่นน่าหยิกชะมัด
“ผมขอเรียกว่าข้าวจ้าวเฉยๆได้ไหม?”เสียงทุ้มถามเพื่อทำลายความเงียบ
“...อืม”เสียงนุ่มตอบกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่พยักขึ้นลง
“ข้าวจ้าว”ผมลองเรียกชื่อคนตรงหน้า
“...อืม”ปฏิกิริยาที่ได้รับทำให้ต้องเม้มปากตัวเองแน่นเพื่อไม่ใช้เผลอยิ้มหรือหลุดหัวเราะออกมา...ใบหน้าที่แดงระเรื่อแดงขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินผมเรียกชื่อ
แดงกว่าน้ำแตงโมที่อีกฝ่ายสั่งซะอีก
“เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ”
“อืม...เพื่อนกัน”
เมื่อไม่รู้จะพูดอะไรพวกเราก็ได้แต่นั่งจัดการมื้อเที่ยงของตนเองจนหมดก่อนจะเรียกคนมาเก็บมาเงินที่โต๊ะ...ทุกครั้งที่ผมมาพนักงานหญิงมักจะแย่งกันมาบริการที่โต๊ะเสมอ ถึงจะรู้สึกดีที่ได้รับการใส่ใจแต่บางครั้งก็มากไปอย่างการที่ก้มลงมาจนเห็นอะไรต่ออะไรนั่น
ผมไม่ได้ใสซื่อถึงขนาดที่มองไม่ออกว่านั่นคือการเชิญชวน
“ให้ผมเลี้ยงนะ”ผมรีบพูดขึ้นเมื่อเห็นคนตรงหน้าหยิบกระเป๋าหนังสีน้ำตาลขึ้นมา
“ไม่ต้องหรอก”อีกฝ่ายส่ายหัวปฏิเสธก่อนจะหยิบแบงค์สีแดงออกมาสองใบ
“คิดรวมเลยครับ”ผมหันไปบอกพนังงานสาวด้านข้างพร้อมกับยื่นธันบัตรสีม่วงไปให้
“รอเงินทอนสักครู่นะคะคุณราชา”เธอบอกเสียงหวานก่อนจะเดินกลับไป
“...เอาไปครับ”เสียงนุ่มบอกพร้อมกับยื่นแบงค์แดงมาให้สองใบด้วยใบหน้าเคืองๆ คิ้วที่โผล่พ้นกรอบแว่นขมวดแน่นบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกไม่ยอมใครเท่าไหร่
“ให้ผมเลี้ยงเถอะถือเป็นการฉลองที่เราเป็นเพื่อนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นผมต่างหากที่สมควรเลี้ยง”อีกฝ่ายพึมพำเสียงเบา
“ทำไมคิดงั้นล่ะ?”
“...ก็ราชายอมให้ผมเป็นเพื่อน”คำตอบเบาๆดังขึ้นพร้อมใบหน้าสีขาวเริ่มขึ้นสี
“ก็ได้...แต่ข้าวจ้าวต้องยอมให้ผมไปส่ง”ได้ชื่อว่าเป็นราชาก็ไม่ยอมใครง่ายๆเหมือนกันถ้าไม่ยอมให้เลี้ยงข้าวก็ต้องยอมให้ไปส่ง
“ผมกลับเองได้”
“งั้นผมเลี้ยงข้าว”
“...คุณมันคนเจ้าเล่ห์”คำบ่นเบาๆไม่ได้ทำให้ผู้ชนะอย่างราชารู้สึกแย่เลยสักนิด
พอเงินทอนมาถึงธรณินทร์ก็เดินนำข้าวจ้าวไปยังที่จอดที่อยู่ด้านในตึก...ที่จอดรถพิเศษสำหรับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ใช้งาน รถสีดำเงาถูกปลดล๊อคก่อนเข้ามานั่งด้านคนขับ...ดวงตาคมสีน้ำตาลมองไปยังด้านข้างที่มีชายหนุ่มรุ่นเดียวกันที่ค่อยๆเปิดประตูและก้าวเข้ามานั่งด้านในอย่างอ้อยอิ่ง
ไม่นานรถสีดำเงาก็เคลื่อนที่ไปตามถนนให้ที่ตอนนี้อัดแน่นไปด้วยรถมากมาย อาจเป็นเพราะเป็นช่วงก่อนกลับเข้าทำงานในตอนบ่ายเหล่าคนที่ไปกินข้าวข้างนอกเลยกลับเข้าบริษัทอย่างพร้อมเพียงกัน
“ข้าวจ้าวชอบถ่ายรูปเหรอ?”ผมหันไปถามทำลายความเงียบ
“อืม...ชอบมากเลย”
“ผมชอบรูปที่ข้าวจ้าวให้มาทุกใบเลย...เวลาเครียดๆมองดูแล้วเหมือนมีกำลังใจ”เสียงทุ้มพูดลอยๆระหว่างขับรถ
“...ดีใจที่ชอบ”คนด้านข้างนิ่งไปสักพักก่อนจะตอบกลับ
“อยากได้อีกสักใบจัง”คนขับรถพึมพำเสียงเบาพรางเหล่มองคนด้านข้างที่กำมือตัวแน่น ใบหน้าแดงๆนั่นทำให้ผมอยากถามออกไปเหลือเกินว่าผมพูดอะไรให้เขินงั้นเหรอ?
“.....ไหม?”
“ห๊ะ?...ว่าอะไรนะ?”ผมถามกลับเมื่อไม่ยินสิ่งที่อีกฝ่ายบอก
“...ผมถามว่า...ถ้าอยากได้...ผมให้เอาไหม?”น้ำเสียงสั่นๆดังขึ้นอีกครั้ง
“เอาสิ”ตอบแบบไม่ต้องคิดเลย
“เลี้ยวขวาตรงแยกหน้านะ”
ผ่านไปไม่นานรถหรูคันสีดำเงาก็จอดอยู่หน้าร้านรับถ่ายรูปและวาดภาพขนาดเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะที่ผมไปประจำสักเท่าไหร่...ไม่แปลกที่ข้าวจ้าวจะไปบ่อยก็ที่ทำงานอยู่ใกล้ซะขนาดนี้นี่
ประตูฝั่งข้างคนขับถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของข้าวจ้าวที่ลงจากรถไปแต่ก่อนที่ประตูจะปิดข้าวจ้าวก็ยื่นอะไรบางอย่างมาให้ผม...แค่มองก็รู้แล้วว่าสิ่งที่อีกฝ่ายให้คือรูปถ่ายหนึ่งใบ
“ขอบคุณที่มาส่งนะราชา”ข้าวจ้าวบอกเมื่อผมรับรูปถ่ายนั่นมา รอยยิ้มบางๆจากคนที่พึ่งลงรถถูกส่งมาอีกครั้งก่อนที่ร่างของอีกฝ่ายจะหายเข้าไปในร้าน
เจ้าของรถหรูมองร่างโปร่งนั้นจนหายลับไปก่อนจะก้มดูรูปถ่ายที่พึ่งได้มาเมื่อครู่...ภาพที่ได้มาเป็นรูปของถนนตรงสี่แยกไฟแดงที่มีคนมามายกำลังเดินข้ามฝั่งพร้อมกับหมึกสีดำที่เขียนข้อความสั้นๆไว้เหมือนเคย
ขอความสั้นๆที่ทำให้ผมอารมณ์ดีจนทำงานที่ไม่คิดว่าจะเสร็จ เสร็จลงอย่างรวดเร็ว...น่าแปลกที่งานออกมาดีทั้งที่ตอนจัดการงานในหัวของรองประธานผู้นี้มีแค่ข้อความธรรมดาๆปรากฏขึ้นเท่านั้น...
‘ขอบคุณนะ...ราชา’
...........................................................................................
สวัสดีค่ะ
มาต่อแล้ว...ตอนนี้คงมีหลายคนที่ลุ้นไปพร้อมๆกับข้าวจ้าว
ข้าวจ้าวสารภาพรักแล้ววว...แต่พระเอกของเรานี่ซิดันปฏิเสธ
โธ่ๆๆ...แล้วจะมาเสียดายที่หลังนะราชาาา
เรื่องนี้แต่งแล้วอินมากโดยเฉพาะนิสัยของนายเอกเราที่ช่างเขินอายซะเหลือเกิน...แต่งไปแต่งมาก็ดันอายแทนซะงั้น?555+
หนูจะเขินอายอะไรนักล่ะข้าวจ้าววว
ทุกคนอย่าเพิ่งหงุดหงิดราชาที่ปฏิเสธข้าวจ้าวน้า...ทุกอย่างมันต้องค่อยเป็นค่อยไป
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ
ตอนแรกคิดจะแต่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสั้นประมาณ10-11ตอนก็จบแล้ว
แต่พอเห็นคนอ่านฟินขนาดนี้เลยกะจะเพิ่มเนื้อหาเข้ามาอีกนิด(อาจจะเพิ่มได้ไม่กี่ตอนเพราะวางเรื่องไว้แล้ว)
มีคนถามว่าทำไมเน้นดวงตาของข้าวจ้าวเยอะจัง...
ขอตอบเลยนะคะ...ส่วนหนึ่งไม่คิดจะเน้นสีตาแต่เน้นว่าข้าวจ้าวใส่แว่นและอีกส่วนคือตัวเราชอบผู้ชายตาสีเขียวค่ะนั่นอาจทำให้เผลอแต่งไปตามความชอบจะพยายามปรับปรุงนะคะ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ที่มากมายนะคะ
ช่วยติดตามความรักของทั้งคู่ต่อไปจนจบด้วยนะ
เจอกันตอนต่อไปวันอาทิตย์หน้าค่ะ
บ๊ายบาย
ปล.คำผิดตอนนี้แก้ถึงตอนที่3ค่ะ...จะรีบแก้ให้ทันตอนปัจจุบันนะคะ
ขอบคุณที่ช่วยหาคำผิดค่ะ(ขนาดอ่านทวนแล้วก็ยังผิดซ้ำๆอีก กระซิกๆ;-;)
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪