(ต่อค่ะ)
ร่างกายของวารนนท์ทรุดฮวบอยู่หน้าห้องทันทีที่ปิดประตูลง...น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เหมือนสิ่งที่อัดอั้นถูกระเบิดออกมา...
สิ่งเดียวที่สามารถสื่อไปถึงราชาได้ผมไม่อาจทำมันได้อีกแล้ว
ไม่รู้ว่าเขาจะแจ้งความจับผมรึเปล่าที่ทำแบบนั้นลงไป
ตั้งแต่นี้ไปคงไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เขาอีกแล้ว
ความบังเอิญที่ทำให้เราเจอกัน มันคงดีที่สุดถ้าผมหยุดอยู่ในที่ของตัวเองและไม่ก้าวล้ำเส้นเข้าไปจนเป็นอย่างตอนนี้...ตอนที่ผมไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้อีก
ตลอดทั้งคืนผมเอาแต่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงของตนโดยที่น้ำตายังคงไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย...ผมเฝ้าบอกตัวเองว่าเพียงแค่ได้มองหรือดูแลเป็นบางครั้งก็มากเกินพอแต่ตัวผมกลับโลภมากพอเห็นว่ามีโอกาสก็ทำสิ่งเดิมซ้ำๆกันจนราชาทนไม่ไหวถึงกับต้องวางแผนเพื่อจับผมแบบนี้
อยากย้อนเวลากลับไปได้จะห้ามตัวเองไม่ให้ทำแบบนั้น
“...ผมขอโทษ...จริงๆ”
ควรจะขอโทษดีๆแต่สิ่งที่ทำลงไปคือตะโกนใส่แล้วผลักจนราชาล้มลงไปกองกับพื้นปูน...การกระทำบ้าๆของตัวเองทำให้คนที่แอบรักต้องมาเจ็บตัวทั้งที่เขาไม่ได้ผิดเลยสักนิด
คนที่ผิดคือผมเอง
แสงแดดที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่างที่ไม่ได้ถูกปิดม่านไว้ทำให้ร่างของคนบนเตียงค่อยๆขยับตัวอย่างเชื่องช้า...อยากจะลุกขึ้นแต่ตอนนี้ขยับตัวไม่ไหวแล้วทั้งร่างมันหนักเหมือนมีอะไรทับอยู่โดยเฉพาะหัวที่ปวดมากจนไม่กล้าขยับตัว
นี่ผมไม่สบายสินะ
แถมยังดูเหมือนจะหนักน่าดูด้วย
เรื่องของราชาทำให้ผมเป็นถึงขนาดนี้เลยเหรอ?
“...ทำไมต้องมาเจอกันอีกด้วยนะ”เสียงนุ่มที่ตอนนี้แหบพร่าดังขึ้นเบาๆพรางซุกใบหน้าลงบนหมอนใบโตอีกครั้งหนึ่ง
ครืดดดด~
เสียงสั่นของเครื่องมือสื่อสารทำให้คนที่สะลึมสะลือพลิกตัวด้วยความยากลำบากก่อนจะคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมา เมื่อเห็นว่าปลายสายคือน้าแก้วก็รีบรับทันที...
“...ครับน้าแก้ว”แค่พูดทักทายหัวก็ปวดจี๊ดจนต้องนอนลงกับเตียงอีกครั้ง
(พึ่งตื่นเหรอข้าว?...ทำไมเสียงเป็นแบบนั้นล่ะไม่สบายเหรอ?)เสียงจากปลายจากดังขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ครับ...ผมปวดหัวนิดหน่อย”
(ไหวไหมข้าว...วันนี้ไม่ต้องมาทำงานนะนอนพักไปเดี๋ยวน้าไปหาที่ห้อง)
“ไม่ต้องลำบากหรอกครับ”
(ไม่ได้ๆ...ดูจากเสียงก็ไม่ไหวแล้ว...กุญแจสำลองยังอยู่ที่เดิมใช่ไหม?)
“ครับน้า”
(เดี๋ยวน้าจะต้มโจ๊กไปให้นะ...พักผ่อนเยอะๆรู้ไหม?)
“ได้ครับ...ขอบคุณมากครับ”
พอวางสายไปผมก็สลบไปอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว...รู้ตัวอีกทีน้าแก้วก็เดินมาปลุกพร้อมกับยกถ้วยข้าวต้มหอมๆมาไว้ตรงหน้าแล้ว น้าแก้วดูแลผมอย่างดีตั้งแต่ช่วงสายจนถึงช่วงเย็นก่อนจะกลับไปที่ร้านโดยก่อนกลับน้าก็ยังให้ผมกินยาลดไข้อีกเม็ด
ผมไม่สบายไปสามวันติดก่อนที่วันที่สี่อาการจะค่อยๆดีขึ้นจนในวันที่ห้าก็หายเป็นปกติ...การป่วยครั้งนี้ดูจะนานกว่าทุกครั้งที่เคยเป็นอาจเป็นเพราะไม่ใช่ร่างกายที่ป่วยแต่เป็นใจต่างหากที่ป่วย
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาผมเฝ้าคิดมาตลอดว่าควรจะทำยังไงดีจนในที่สุดก็หาคำตอบให้ตัวเองได้...
ผมจะไปขอโทษราชาตรงๆ
อย่างน้อยถ้าไปขอโทษเรื่องก็อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิดแต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายจะยอมรับฟังมันรึเปล่า...การเอาของไปใส่ไว้ในกระเป๋าของคนอื่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำไม่ว่ากรณีใดๆก็ตามถ้าผมไม่ได้ไปขอโทษอีกฝ่ายดีๆผมก็คงคาใจอยู่แบบนี้ต่อไปแน่
เพราะงั้นเลยตัดสินใจว่าจะไปขอโทษ...แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอกนะ
ขอทำใจโดนว่าอีกสักหน่อยค่อยไป
“มาแล้วเหรอจ้าว...หายดีแล้วใช่ไหม?”อาวิถามเมื่อเห็นผมขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดข้างร้าน
“สวัสดีครับอา...ผมหายดีแล้วล่ะว่าแต่จะไปไหนกันเหรอครับ?”เสียงนุ่มถามเมื่อเห็นรถเก๋งสีเทาของอาวิจอดอยู่หน้าร้านโดยที่ท้ายรถถูกเปิดอยู่
“มีบริษัทหนึ่งจ้างให้เราไปเป็นช่างภาพของโปรเจคโปรโมทการท่องเที่ยวน่ะ”
“อาวิรับงานแล้วเหรอครับ?”
“อืม...รับตอนที่เรานอนป่วยอยู่น่ะเห็นว่ามีการถ่ายนอกสถานที่ด้วยอาเลยอยากให้เราลองทำดูถือเป็นประสบการณ์ใหม่”
“งานนี้อาไม่ได้ไปคนเดียวเหรอครับ?”ผมถามขึ้นด้วยความสงสัยโดยปกติถ้ารับงานนอกสถานที่จะมีคนหนึ่งที่อยู่เฝ้าร้านเผื่อมีลูกค้ามา
“เราต้องไปเป็นผู้ช่วยด้วย...งานนี้ไม่ใช่ถ่ายภาพธรรมดา”
“...”คำพูดของอาวิทำให้ผมนั่งคิดมาจนรถเก๋งคันสีเทาถึงที่บริษัทแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากร้านเราเท่าไหร่
บริษัทขนาดใหญ่ที่ดูหรูหราและมีตึกมากมายตั้งอยู่ภายในแปลว่าบริษัทนี้ต้องเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงแน่...ถือว่าแปลกที่บริษัทยักษ์ใหญ่จะมาจ้างช่างภาพอิสระในร้านเล็กๆมาร่วมทำงานแบบนี้
ภายในหัวคิดไปเรื่อยเปื่อยจนรถคันเทาแล่นผ่านป้ายขนาดใหญ่ที่มีชื่อบริษัทเขียนอยู่...ชื่อบริษัทที่เห็นทำให้ดวงตาสีเขียวปนเทาถึงกับเบิกกว้างผ่านเลนส์แว่นด้วยความตกตะลึง...
ตาฝาดใช่ไหม?
มันไม่มีทางที่บริษัทนั้นจะจ้างพวกเราได้
“อาวิ”
“อะไรจ้าว?”
“ผมขอถามชื่อบริษัทที่เราต้องร่วมงานด้วยได้ไหม?”ผมถามออกไป
“หื้อ?...ป้ายชื่อก็พึ่งผ่านมานี่”
“คือ...”
“อ้อ...อ่านไม่ทันใช่ไหมหรือว่าตกใจล่ะ?...ตอนแรกอาก็ตกใจเหมือนกันที่บริษัทยักษ์ใหญ่มาขอให้อาเป็นช่างภาพให้น่ะ...บริษัทที่จ้างเราคือ...ภิพัฒธนมงคล”ชื่อบริษัทที่ออกมาจากปากของอาวิทำให้คนที่รอคำตอบอยู่แทบสลบ
ภิพัฒธนมงคล...บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศในด้านการออกแบบและโฆษณาสินค้า...ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการอะไรก็ตามถ้าเพียงได้บริษัทภิพัฒธนมงคลมาเป็นผู้ผลิตโฆษณาให้ก็จะโด่งดังจนมีผู้คนรู้จักกันมากมายภายในไม่กี่วัน ด้วยเทคนิคชั้นยอดในการคิดโฆษณาที่ตรงจุดทำให้คนดูเข้าใจได้ในทันทีโดยไม่ต้องคิดมากหลายตลบอีกทั้งรูปลักษณ์ของแต่ละโฆษณาจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมตกตะลึงหรอก...
สิ่งที่ทำให้ตกใจคือภิพัฒธนมงคลเป็นทั้งชื่อบริษัทและนามสกุลของท่านประธานที่เป็นคนก่อตั้งบริษัทขึ้นมา...นามสกุลที่ว่าเป็นนามสกุลเดียวกับราชาคนที่ผมพึ่งมีเรื่องด้วยเมื่อหลายวันก่อน
ชื่อจริงของราชาคือ...
ธรณินทร์ ภิพัฒธนมงคล
ตาย...ผมต้องตายแน่ๆถ้าเจอเขาที่บริษัท
“ไปกันเถอะจ้าว”อาวิเรียกผมที่ยืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปภายในบริษัท
“...ครับ”
คำขอเพียงคำเดียวของผมคืออย่างให้ได้เจอกับราชาตอนนี้เลย...
ผมยังไม่พร้อมจริงๆ
“สวัสดีครับ...คุณคือวิสุธ แก้วจันทร์ใช่ไหมครับ?”เสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยทำเอาคนที่เดินตามหลังอาวิมาถึงกับชะงักในทันที...เสียงแบบนั้นมีแค่คนเดียวเท่านั้น...
ทำไมพระเจ้าถึงต้องใจร้ายกับผมนักนะ!
“ใช่ครับ...แล้วคุณ?”อาวิเริ่มทักทายอีกฝ่ายโดยที่มีผมยืนหลบอยู่ไกลๆ
“ผมธรณินทร์ ภิพัฒธนมงคล...ลูกชายของท่านประธานครับ”
คำแนะนำตัวนั่นเหมือนเป็นการตอกย้ำความคิดของผมมากขึ้น...คนที่ยืนคุยกับอาวิอยู่ตอนนี้คือราชา
“...”ผมอยากกลายเป็นฝุ่นละอองซะตอนนี้เลยจริงๆ
“ขอบคุณที่เลือกเรานะครับ...จ้าวมาแนะนำตัวหน่อยเร็ว”อาวิหันมาบอกพร้อมกับกวักมือเรียก นั่นทำให้ดวงตาคมสีน้ำตาลหันมามองตามเสียงเรียกก่อนที่ดวงตาสีเขียวปนเทาของผมจะประสานเข้ากับชายที่ยืนอยู่ข้างอาวิอย่างพอดิบพอดี
“...คุณ...”ราชาดูจะจำได้ว่าผมเป็นใครเพราะทันทีที่สบตาเขาก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“...อ่อ...ผมชื่อวรานนท์ เทพภักดีครับ”ผมแนะนำตัวเสียงอ่อยพรางหลบสายตาของคนด้านหน้าที่จ้องเขม็งมา
“...ผมธณินทร์...ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณวรานนท์”ราชาแนะนำตัวอีกครั้งพร้อมยืนมือมาด้านหน้า
“...ยินดีที่ได้...รู้จักครับ”ผมนี่ถึงกับพูดไม่ออก เลยได้แต่ยื่นมือไปจับกับอีกฝ่ายโดยที่ยังก้มหน้ามองพื้นอยู่ทั้งแบบนั้น
“ข้าวจ้าวเขาขี้อายน่ะ”อาวิพูดขึ้นเมื่อผมยังคงก้มหน้าเดินตามทั้งคู่เข้าไปในลิฟต์
“ข้าวจ้าว?”เสียงทุ้มดูเหมือนจะสงสัยว่าใครกันที่ชื่อนั้น
“ก็ชื่อเล่นเต็มๆของวรานนท์ไง...ปกติฉันจะเรียกเขาว่าจ้าว”อาวิบอกด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ...”
ตึ๋ง!
พอเสียงลิฟต์ดังขึ้นอาวิก็นำออกไปด้านนอกก่อนทำให้ผมรีบก้าวตามไปแต่ก็ถูกคนด้านหลังจับข้อมือไว้พร้อมดึงเข้าหาตัวเองจนร่างกายผมเซไปด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ประชุมเสร็จแล้วลงไปหาผมที่ร้านคาเฟ่ที่ชั้น1นะครับคุณวรานนท์ เทพภักดี”ชื่อของผมถูกเรียกออกมาจากปากของอีกฝ่ายข้างๆใบหูก่อนที่ราชาจะเดินตามอาวิไปปล่อยให้ผมยืนหัวใจเต้นแรงอยู่หน้าลิฟต์เพียงลำพัง
....................................................................................
สวัสดีค่ะ
วันนี้มาอัพเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย
มีหลายคนที่ยังไม่อยากทั้งคู่เจอกันต้องขอโทษด้วยที่เจอซะแล้วนะคะ
ตอนนี้เรียกว่าเศร้าที่สุดของเรื่องแล้ว(รู้สึกเศร้ากันบ้างไหมคะ?)55
ข้าวจ้าวของเรานี่เล่นพูดไม่รัวไม่ให้ราชาอิบายจนเข้าใจผิดกันไปเต็มๆ
มารอลุ้นกันว่าพวกเขาจะคุยอะไรกัน...ข้าวจ้าวจะกล้ามองหน้าราชาไหม?
บอกเลยค่ะว่าตอนหน้ามีฉากให้ลุ้นแน่ค่ะ
ครั้งนี้ที่เข้ามาดีใจมากเพราะคอมเม้นต์เยอะที่สุดตั้งแต่แต่งเรื่องนี้มา
แถมมีคนแนะนำนิยายเราในกระทู้ด้วย..ปลื้มใจจังค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นต์และกำลังใจที่ส่งมาให้นะ
จะแต่งเรื่องนี้ให้หวานและฟินที่สุดจนคนอ่านยิ้มตามให้ได้เลยค่ะ
ขอพูดเรื่องการอัพนิยายสักนิดนะ...คาดว่าเราคงอัพเรื่องนี้ทุกวันอาทิตย์เพราะเราจะใช้เวลาในวันเสาร์เพื่อแต่งให้จบตอนอาจมีวันอื่นบ้างที่แต่งแต่ก็แต่งได้นิดหน่อยเท่านั้น
มาอัพช้าหน่อยแต่มาอัพสม่ำเสมอเนอะ
สัญญาว่าจะไม่หายไปไหนจนกว่าจะแต่งจบค่ะ^^
เจอกันใหม่อาทิตย์หน้าวันสิ้นเดือนนะคะ
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪