แอบรัก⊰❤⊱วันที่4เช้าวันต่อมาธรณินทร์ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นที่สุดในรอบหลายๆวัน...ไม่รู้ว่าความเครียดที่ปกติจะมีเสมอมันหายไปไหน ตอนนี้รู้เพียงว่าอยากรีบไปทำงานเร็วๆจะได้เคลียร์งานทุกอย่างให้เสร็จเพื่อจะได้ขับรถไปรวมกับเหล่ามิตรสหายที่นัดไว้เมื่อคืนก่อนนอนสักที
การจะหาเจ้าของรูปถ่ายเหล่านั้นจำเป็นต้องมีคนช่วยและคนกลุ่มแรกที่นึกถึงก็ไม่พ้นเพื่อนสนิทตอนมหาวิทยาลัย...ไม่ใช่แค่นั้นบางคนในกลุ่มยังเป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่ตอนมัธยมปลายด้วยซ้ำ
ครืดดดด~
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นตอนที่ผมกำลังแต่งตัวอยู่ทำให้ความสดชื่นที่มีหายวับไปกลับตาเพราะรู้ดีว่าคนที่โทรเข้าตอนนี้คือใคร
“เฮ่อ...”เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมเจ้าของร่างสูงที่เดินมายังโต๊ะที่โทรศัพท์ถูกวางชาร์ตไว้
ชื่อที่ปรากฏขึ้นบนจอเป็นคำสั้นที่มีความหมายต่อผมซะเหลือเกิน...
‘พ่อ’
คือชื่อของปลายสายที่โทรเข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกันที่คิดไว้ในหัวเมื่อครู่
เนื้อหาที่โทรมาคงไม่ต้องพูดถึง...ยังไงก็คงเป็นเรื่องเมื่อวานนี้ที่ผมตอบปฏิเสธลูกสาวของบริษัทยักษ์ใหญ่ไปแถมยังทิ้งเธอไว้กลางห้างโดยไม่ตามไปอีก
ต้องเตรียมใจโดนบ่นหูชาสินะ
“ครับพ่อ”ผมรับสายพร้อมเอ่ยทักทาย
(ทำอะไรลงไปรู้ตัวรึเปล่าธรณินทร์!)ปลายสายเรียกชื่อเต็มด้วยเสียงที่แข็งกร้าว
เสียงแบบนั้นคงจะโกรธมาก
“ขอโทษครับ”
(แค่ขอโทษมันพอที่ไหนกัน...กี่ครั้งแล้วที่แกทำตัวแบบนี้...มันงามหน้าไหมล่ะเล่นปล่อยลูกสาวเขาให้กลับบ้านเองคนเดียวรู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น)
“แล้วพ่อล่ะ...กี่ครั้งแล้วที่ทำแบบนี้...ผมบอกไปแล้วว่ายังไม่ต้องการที่แต่งกับใครในตอนนี้”ผมไม่ยอมถูกว่าอยู่ฝ่ายเดียวหรอก
(ใครให้แกแต่งกันแค่หมั้นหมายไว้ก่อนเท่านั้น)เสียงทุ้มจากปลายสายตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
มันต่างกันตรงไหน
ถ้าหมั้นก็แปลว่าต้องแต่ง
“หมั้นผมก็ไม่เอา”
(ทำไมแกถึงเรื่องมากแบบนี้ราชา)
“แล้วทำไมพ่อต้องบังคับผมทุกเรื่องด้วยล่ะ?...ผมยอมพ่อทุกอย่างแล้วขอแค่คนรักไม่ได้เหรอที่ให้ผมหาเองน่ะ”คุยกับพ่อทีไรไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เราจะคุยกันเหมือนพ่อลูกปกติ
มีแต่คำบ่นสารพัดว่าไม่ได้ดั่งใจอย่างนั้นอย่างนี้
(ฉันให้เวลาแกแล้วตั้งนานก็ไม่เห็นจะได้สักทีแล้วผิดตรงไหนที่คนเป็นพ่อจะหาลูกสะใภ้ให้น่ะ)
“มันไม่ผิดแต่ผมไม่ได้สนใจพวกเธอ...ถ้าผมเจอคนที่ใช่ผมจะบอกพ่อเองเพราะงั้นอย่ามาหลอกให้ผมไปนัดดูตัวอีกนะครับ”แค่คุยไม่กี่นาทีเส้นเลือดในสมองก็เต้นตุบๆเหมือนจะระเบิดออกมาซะให้ได้
(ฉันให้เวลาอีกแค่สองเดือนถ้ายังหาไม่ได้เตรียมตัวลางานไปดูตัวได้เลย)
นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนที่ปลายสายจะวางไปทันที...มือของผมกำโทรศัพท์แน่นอย่างข่มอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านในตอนนี้ จะหาคนรักภายในสองเดือนได้ง่ายๆที่ไหนกันล่ะ?
นี่ขนาดหามาเกือบทั้งชีวิตยังไม่เจอแล้วจะเจอในสองเดือนได้ยังไง?!
“โธ่เว้ย!!”เสียงสถบดังลั่นพร้อมทุบกำปั้นที่ถือโทรศัพท์ลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ
ก่อนที่อารมณ์โกรธจะปะทุมากไปกว่านี้ผมก็ก้าวยาวๆไปที่ลิ้นชักข้างเตียงพร้อมเปิดลิ้นชักชั้นแรกออกมา...รูปถ่ายทั้ง3ใบที่ข้อความให้กำลังใจถูกหยิบขึ้นมาก่อนที่ผมจะทิ้งตัวนั่งบนเตียงด้านข้าง
ไม่ว่าจะอ่านกี่รอบข้อความพวกนั้นก็ช่วยผมได้มากจริงๆ
เมื่ออารมณ์เย็นลงผมก็กลับมาจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปทำงานที่บริษัทของพ่อที่อยู่ไม่ไกลจากห้องพักสุดหรูนี่เท่าไหร่ ถึงจะเป็นลูกชายของท่านประธานแต่ก็ไม่ได้มีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่นเลยตรงกันข้ามกลับถูกจ้องมองจากรอบข้างอยู่ตลอดเวลาว่ามีความสามารถพอที่จะมาบริหารงานต่อได้หรือไม่
การทำงานวันนี้ผ่านไปได้อย่างไม่มีอะไรให้เครียดมากนักนอกจากการนัดประชุดในช่วงบ่ายของบริษัททำให้ผมไม่สามารถกลับก่อนเวลาได้เหมือนที่ตั้งใจ ทั้งที่คิดว่าจะรีบไปรวมตัวกับเพื่อนจะได้ให้ช่วยหาคนที่ส่งภาพถ่ายมาให้แต่พอเป็นแบบนี้ก็ต้องเลื่อนเวลานัดไปเป็นช่วงเย็น
ทันทีที่ท่านประธานหรือพ่อของผมบอกจบการประชุมผมก็รีบออกจากห้องโดยไม่ลืมยกมือไหว้บอกลา...รถหรูสีดำเงาเคลื่อนที่มาเรื่อยๆจนถึงสวนสาธารณะที่มาประจำ
โรงอาหารคือสถานที่นัดรวมตัวกันของพวกเราเหมือนอย่างทุกครั้งแต่ครั้งนี้มีกลุ่มคนมาเพิ่มอยู่สักหน่อย...ปกติจะมีกลุ่มเพื่อนที่เล่นบาสกันรวมผมด้วยก็5คน ตอนนี้เพิ่มมาอีก5คนและคงเดาไม่ยากว่า5คนที่ว่านั่นคือใคร
“มาช้านะราชา”เสียงของแฝดพี่หรือเต้ยดังขึ้นพร้อมลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ พอในกลุ่มได้ยินเสียงเรียกก็หันมามองกันอย่างพร้อมเพรียงด้วยมุมที่ผมเดินเข้ามาทำให้เต้ยเห็นผมก่อนคนอื่น
“โทษทีพอดีติดประชุม”
“ประธานใหญ่ก็งี้แหละ”เพชรเพื่อนสนิทตั้งแต่ตอนประถมของผมพูดขึ้นยิ้มๆแล้วเลื่อนเก้าอี้มาให้นั่ง
“ประธานที่ไหนกัน”เป็นแค่รองประธานต่างหาก
“คนนัดดันมาช้าเองนี่ต้องมีบทลงโทษใช่ป่ะ?”ต้นที่นั่งอยู่ข้างพี่ชายฝาแฝดถามขึ้น
“ก็ได้...ถ้าช่วยเรื่องหนึ่งได้ละก็นะ”ผมบอกข้อเสนอ
“วิ๊ว!...ระดับราชามีเรื่องขอให้สามัญชนอย่างพวกเราช่วยด้วยแปลว่าคงเป็นเรื่องใหญ่สินะ”เต้ยพูดด้วยใบหน้าเหมือนกำลังเจอเรื่องสนุก
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย”แค่เป็นเรื่องที่ต้องใช้หลายๆคนถึงจะสำเร็จ
“ว่ามาเลย”เพชรพูดบ้าง
“...มันเริ่มยากสักหน่อย...”ไม่รู้ว่าทำไมพอจะพูดถึงเจ้าของรูปถ่ายนั่นเสียงของตัวเองถึงเริ่มสั่นด้วย
“จะเริ่มยังไงก็ช่างรีบๆว่ามาเรามีเวลาฟังทั้งคืนแหละ”
“หุบปากน่าเต้ย!”แฝดน้องหันไปบอกแฝดพี่พร้อมตบหัวคนที่พูดแทรกเบาๆ
“ว่าต่อเลยเพื่อน”ก้องบอก
“จำที่บอกว่ามีคนส่งรูปถ่ายพร้อมเขียนให้กำลังใจมาได้ไหม?”ผมเริ่มเกริ่น
“ได้ๆ...สาวสวยรูปร่างอ่อนชอยสูง170ใช่ป่ะ?”
“คนที่เป็นสตอล์กเกอร์?”
“นางแบบจากต่างประเทศ?”
“หรือที่เป็นพนักในบริษัท?”
คำตอบอันหลากหลายทำให้เจ้าของคำถามถึงกับกุมขมับ...
นี่ผมคิดถูกที่จะขอร้องให้พวกนี้ช่วยใช่ไหม?
“ยังไม่รู้เลยว่าเป็นผู้หญิงแน่รึเปล่า”ผมบอกออกไป
“คนที่ทำขนาดนี้ก็มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นแหละและต้องเป็นผู้หญิงที่ขี้อายด้วย”เต้ยบอกต่อ
“อย่าเพิ่งพูดทั้งที่ไม่มีหลักฐานสิ”เพรชหันไปบอกเต้ย
“จะบอกว่าคนที่ให้เป็นผู้ชายงั้นเหรอ?”
คำถามนั่นทำให้คนที่นั่งฟังอยู่ขมวดคิ้วทันที...
ผู้ชาย?
นั่นสิ...ก็มีความเป็นไปได้50/50...ถ้าเป็นผู้ชายจริงก็คงจะแปลกน่าดู
ที่ผมดูไม่ตกใจเท่าไหร่เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกผู้ชายตามหรือจีบ...ในอดีตเคยมีมาแล้วแต่ผมไม่ใช่สายไบเลยต้องปฏิเสธถึงเพื่อนหลายๆคนจะบอกว่าน่าเสียดายให้ผมลองหน่อยก็ตามที
ผมคิดว่าทุกคนมีอิสระที่จะชอบ...
รวมทั้งมีอิสระที่รัก
เราถึงไม่อาจห้ามใครไม่ให้มาชอบเราได้และในทางเดียวกันเราก็ไม่อาจบอกให้ใครมาชอบเราได้เหมือนกัน
“พอๆ...เลิกทะเลาะกันได้แล้วเข้าเรื่องสักทีสิราชา”คนที่นั่งเงียบมาตลอดตั้งแต่เข้ามาพูดห้ามสองคนที่ทำท่าเหมือนจะทะเลาะกัน โน้ตเป็นชื่อของเพื่อนคนนี้...เพื่อนตอนมหาวิทยาลัยที่สนิทด้วยเพราะชอบเล่นบาสเหมือนกันแถมนิสัยยังเข้ากันได้เลยสนิทกันอย่างรวดเร็ว
“วันก่อนพึ่งมีรูปใบใหม่ถูกใส่อยู่ในกระเป๋า”
“แจ้งความเลยสิ...แล้วฉันจัดการให้เอง”อาร์ตที่เป็นตำรวจเพียงหนึ่งเดียวของกลุ่มพูดขึ้นทันที
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้”ผมไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายถูกจับสักหน่อย
“งั้นจะเอายังไง?”
“อยากให้ช่วยกันหาหน่อยว่าใครที่เป็นคนทำเรื่องนี้”ผมบอกกับทุกคนที่อยู่ในกลุ่ม
“หา?...ถ้ารู้แล้วจะทำไงต่อล่ะ?”ต้นถามต่อ
“...ไม่รู้สิ”พอได้ยินคำถามนี้ก็ตอบยากเลย
ที่ให้เพื่อนช่วยก็แค่อยากรู้จัก...
อยากเห็นหน้า...
และอยากพูดคุยด้วยเท่านั้น
“ให้คนรุมซ้อมเลยดีไหม?”เฟียสพูดขึ้นพร้อมควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เฟียสเองก็เป็นหนึ่งในเพื่อนที่สนิทกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย...ถึงจะเป็นคนหน้าตาดีแต่เบื้องหลังใบหนน้ายิ้มๆนั่นลูกยากูซ่าของแท้เลย
“เฮ้ย...ไม่ต้องๆ”ผมรีบเอ่ยห้ามอย่างรวดเร็ว
“ดูท่าจะไม่ได้หาตัวเพื่อตักเตือนสินะ”อาร์ตพึมพำพร้อมมองหน้าผม ดวงตาสีน้ำตาลด้านข้างหรี่ลงเหมือนกำลังจับผิด
“...ก็ใช่”
“บอกพวกเรามาตรงๆว่าทำไมถึงต้องหาตัวอีกฝ่ายด้วยถ้าไม่ได้อยากมาตักเตือน”อาร์ตพูดต่อ ตอนนี้ในกลุ่มนั่งกันเงียบมากทุกสายตากำลังจ้องมาอย่างคาดคั้นเพื่อจะเอาคำตอบให้ได้
“...ไม่รู้...”
“จะไม่รู้ได้ไงเล่า”
“...แค่อยากเจอ...”
“ห๊ะ?”
“อยากเจอ...อยากเห็นหน้าและก็อยากพูดคุยด้วย...ละมั้ง”
“...”คำตอบที่ได้ยินทำเอาคนทั้งโต๊ะถึงกลับเงียบกริบก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พระเจ้า!”คนแรกที่ตะโกนขึ้นคือเต้ย
“โอ้ว!...มันเกิดขึ้นแล้ว”!ตามมาด้วยต้น
“...เดี๋ยวสิ”
“ไม่อยากเชื่อนี่คือความจริงใช่ไหม?”เพชรก็อีกคนที่หันใบหน้าผมไปหาก่อนจะจ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย
“อะไรของพวกแกเนี่ย?”ผมไม่เห็นเข้าใจสักนิด
“ฮะฮะฮะ”หลังจากเสียงตะโกนก็กลายเป็นเสียงหัวเราะไปซะแล้ว
“...”ตกลงเกิดอะไรขึ้น?
“เรื่องนี้ห้ามบอกเจ้าตัวนะโว้ย!!”ก้องพูดพร้อมหันไปมองทุกคนที่อยู่รอบๆ
“เอาดิ...เห็นด้วยเลย”
“ครั้งแรกก็งี้...ชักอยากเห็นหน้าแล้วสิ”
“นั่นสิ...จะเป็นผู้หญิงแบบไหนกันนะ”
“เดี๋ยวก่อนยังไม่มีใครบอกว่าเป็นผู้หญิงสักหน่อย...อาจเป็นผู้ชายก็ได้”โน้ตหันไปแย้งเฟียสที่นั่งอยู่ข้างๆ
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะเอาเป็นว่าอยากเห็นละกัน”เฟียสตอบกลับ
“ตกลงนี่มันอะไรเนี่ย?”ผมที่นั่งอยู่หัวโต๊ะถามขึ้นแต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียง...
“ความลับ!!”
“...”ผมมองผู้ชายตัวบึกๆ9คนหันมาบอกคำเดียวกันด้วยรอยยิ้มที่แสนน่าเตะ
คิดว่ามันน่ารักเหมือนที่ผู้หญิงพูดรึไง?!
“พอล่ะ...เข้าเรื่องเลยละกัน...เดี๋ยวพวกเราจะช่วยนายเองราชา”เพชรที่เห็นผมเริ่มเอือมก็กลับเข้าเรื่องทันที
“ขอบคุณ”
“อย่างแรกพวกเราขอข้อมูลหน่อยว่ารูปถ่ายที่ได้ถูกใส่มาตอนไหน?”อาร์ตเริ่มยิงคำถาม
“ไม่แน่ใจ...แต่ครั้งแรกกับครั้งที่สองดูเหมือนจะที่นี่”เมื่อนึกย้อนไปก็บอกออกไปตามที่นึกได้
“แปลว่ามีครั้งที่3?”อาร์ตถามด้วยความสงสัย
“อืม...พึ่งได้เมื่อวานตอนไปห้างแถวนี้น่ะ”
“สตอล์กเกอร์ชัดๆนี่คงตามไปทุกที่แน่ๆเลย”ต้นพูดต่อพรางหันมองซ้ายขวาเหมือนกำลังระแวงรอบกายอยู่
“ไม่น่าใช่สตอล์กเกอร์”
“อะไรที่ทำให้แน่ใจแบบนั้นราชา”อาร์ตถามต่อ
“ความรู้สึก...มันไม่ได้รู้สึกเหมือนถูกคุกคาม”ตรงข้ามกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกช่วยอยู่
“ถ้านายพูดเองก็คงใช่”
“อืมๆ”หลายคนก็เริ่มพยักหน้าเห็นด้วย
ที่ทุกคนเชื่อไม่ใช่เพราะเซ้นส์ผมดีแต่เพราะเคยถูกสตอล์กเกอร์ตามมาก่อนเมื่อตอนปี2 ตอนนั้นเรียกว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่รู้สึกกลัวเพราะไม่ว่าเดินไปไหนก็จะถูกจ้องถูกตามตลอดจนไม่กล้าออกไปไหนคนเดียว...ทีแรกกะจะทนจนกว่าอีกฝ่ายจะเบื่อและเลิกตามไปแต่พอเริ่มหนักเข้าก็ต้องแจ้งความและเรียกผู้ปกครองให้มาคุย
จำได้ว่าคนในตอนนั้นเป็นผู้หญิงตัวเล็กหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา...ถึงจะน่ารักแค่ไหนพอมาเจอแบบนี้ผมก็ขยาดเหมือนกัน จากนั้นก็เหมือนจะรู้สึกถึงความคุกคามที่ถูกส่งมาจากรอบด้านได้
“อยากให้ช่วยดูหน่อยว่าเป็นใคร...ถ่ายรูปไว้ก็ได้”ผมบอกต่อ
“ได้สิแต่วันนี้คงไม่ได้แล้วเอาไว้เริ่มแผนพรุ่งนี้ละกัน”
“ได้...ขอบคุณมาก”
เรื่องนี้คงทำไม่ได้ถ้าอยู่คนเดียว
“ไม่เป็นไร...เราเป็นเพื่อนกันนี่”
หลังจากวันที่ตกลงกันได้วันต่อมาพวกเราก็เริ่มแผนการโดยการที่ให้ผมวางกระเป๋าไว้แล้วเดินออกไปที่อื่น...บริเวณรอบๆมีเหล่ามิตรสหายคอยแอบมองอยู่แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนผ่านไปเรื่อยๆ...
1วัน
2วัน
3วัน
4วัน
เกือบอาทิตย์ผ่านไปโดยที่ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสักนิดเดียว...ทุกอย่างมันเงียบมากเหมือนกับเรื่องที่ได้รูปถ่ายพวกนั้นมาเป็นเรื่องโกหกงั้นแหละ...พอมาถึงช่วงเย็นของวันที่5พวกเราก็มานั่งประชุมกันอีกครั้งด้วยใบหน้าเครียดๆ
“ทำไมไม่ออกมาล่ะ?”เป็นเต้ยที่เปิดประเด็นขึ้นมาก่อน
ตอนนี้พวกเราอยู่ที่โรงอาหารของสวนสาธารณะเดิม...วันนี้คนในกลุ่มมาไม่ครบเพราะมีหลายคนติดงานอยู่อย่างเช่นอาร์ตที่เห็นว่ากำลังไปจับตัวคนร้ายที่ไหนสักแห่งในเมืองอยู่ บนโต๊ะที่มีผู้ชายกว่า7คนนั่งอยู่มีอาหารมากมายถูกนำมาเสิร์ฟ...หลังการออกกำลังก็ต้องเพิ่มพลังงานกันหน่อย
“เพราะเต้ยทำตัวมีพิรุธแน่ๆ”ต้นพูดพรางตักหมึกทอดกระเทียมเข้าปาก
“อย่ามาโทษกันสิ....ทีตัวเองก็เอาแต่ส่งเสียงตะโกนไปมาเหมือนกันแหละ”
“แต่น้อยกว่าคนแถวนี้ละกัน”
“ว่าไงนะ?!”
“พอทั้งคู่เลย”ผมที่นั่งเงียบอยู่รีบห้ามทัพก่อนจะมีเรื่องกันไปมากกว่านี้
“เอาไงต่อดีราชา?”เพชรที่นั่งอยู่ด้านข้างหันมาถาม
“ไม่รู้สิ...”
ทำไมถึงไม่เจอตัวนะ!
“เขาอาจรู้ตัวแล้วก็ได้นะ”เฟียสพูดขึ้น
“รู้ตัว?”
“ก็ดูสองคนนั่นสิ...เล่นทำตัวบ้าๆบอๆป้วนเปี้ยนอยู่รอบกระเป๋าแบบนั้นใครเห็นก็ต้องสงสัยบ้างแหละ”เฟียสพูดต่อ
“ก็จริง”พอลองมานึกๆดูแล้วพวกเราดูจะแสดงพิรุธออกไปมากจึงมีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะรู้ตัวแล้ว...
ถ้ารู้ตัวก็คงกลัวที่จะถูกเปิดเผยเลยไม่กล้าเข้าใกล้ผมแล้ว?
“...ไม่น่าทำแบบนี้เลย”ผมพึมพำออกไปด้วยความเสียดาย
ถ้าผมไม่ดึงดันที่จะตามหาตัวก็คงจะได้ภาพถ่ายพร้อมข้อความอีกหลายใบแล้ว
ดีไม่ดีอาจมีของอย่างอื่นมาให้อีก
นี่ผมกำลังทำลายแหล่งกำลังใจเพียงหนึ่งเดียวของตัวเองไปเหรอเนี่ย?!
“ขอโทษนะเว้ย!”เต้ยกับต้นพูดพร้อมกันเมื่อเห็นผมเริ่มทำหน้าเครียด
“ช่างมันเถอะ”ไม่ใช่ความผิดของใครถ้าจะโทษคนที่ผิดก็คือตัวผมเองที่คิดบ้าๆแบบนี้ขึ้นมา
“เอางี้ไหมราชา”
“อะไร?”ผมเงยหน้าขึ้นไปมองโน้ตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ลองปล่อยไปไหม...ไม่ต้องตามหรือเฝ้าอะไรเพราะการที่เรามัวมานั่งจับพิรุธอยู่แบบนี้มันทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าเข้าใกล้ ถ้าเราปล่อยสบายๆอาจจะโอเคก็ได้”
“ไม่คิดว่ามันสายไปแล้วเหรอ?”พอลองคิดว่าคนที่เฝ้ามองเป็นตัวเองแล้วเห็นหลายคนกำลังคิดจะจับตัวเองอยู่ก็คงไม่กล้าแม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้แล้ว
“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่...ตอนนี้เราไม่มีไรจะเสียแล้ว”
“ก็จริง”...ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว
ไม่อยากเจอก็ได้แต่อย่างน้อยก็ช่วยแสดงตัวว่ายังสนใจกันอยู่หน่อยเถอะ...
คุณช่างภาพ
หลายวันต่อมาธรณินทร์ก็เข้ามาจัดการงานในบริษัทเหมือนปกติพอถึงช่วงเลิกงานก็ตรงไปยังสวนสาธารณะที่นัดเจอกับเพื่อนๆ...ในวันนี้จะเปลี่ยนจากเล่นบาสไปเล่นเทนนิสแทนซึ่งผมก็ตกลง ถ้าเป็นกีฬาที่ใช้ลูกในการเล่นผมก็เล่นได้เกือบทุกอย่าง
ก่อนที่จะไปยังสนามเทนนิสร่างสูงโปร่งก็หยุดพักกดน้ำที่ตู้กดน้ำด้านข้างโดยวางกระเป๋าเป้ใบโปรดไว้ด้านข้าง...บรรยากาศช่วงเย็นดูจะร้อนมากกว่าปกติเหมือนภายในใจผมที่รู้สึกหดหู่เล็กๆที่ไม่ได้ภาพถ่ายที่อยากได้สักที
“ปวดหัวจังเลย”ผมพึมพำเบาๆพรางใช้มือตัวเองยันตู้กดน้ำไว้
ไอร้อนที่สัมผัสได้ทำให้เกิดอาการมึนหัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว...อาจเป็นเพราะพึ่งออกมาจากรถที่เปิดแอร์เย็นช่ำเลยทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทันก็ได้
“...สนามเทนนิสสินะ”พอเริ่มหายปวดหัวก็ก้าวไปยังสนามเทนนิสต่อโดยลืมไปว่ายังไม่หยิบกระเป๋าเป้สีดำใบโปรดของตัวองไปด้วย
“มาเร็วนี่”เสียงทักจากเพชรทำให้คนที่เดินเข้าไปในคร์อดส่งยิ้มกลับไปให้
“ไม่เท่าคุณผู้จัดการหรอกครับ”ผมตอบกลับไปแล้วเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
การเล่นเทนนิสครั้งนี้ผมยืมไม้จากเพชรซึ่งมีบ้านเป็นร้านขายอุปกรณ์กีฬาขนาดใหญ่...ความจริงไม้เทนนิสที่บ้านก็มีแต่ผมไม่อยากกลับบ้านไปเจอพ่อเท่าไหร่เลยขอยืมจากเพื่อนนี่แหละดีที่สุดแล้ว
“แขวะกันจริงนะ”อีกฝ่ายว่าแล้วยื่นแล็กเก๊ตมาให้ผม
“เพื่อนได้เลื่อนขั้นก็ต้องแสดงความยินดีสิ”ผมบอกออกไปตามตรง...เพชรพึ่งได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการแผนกเมื่อสองวันก่อน ด้วยความที่เป็นเพื่อนสนิทเลยพาไปเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่โดยมีคนพ่วงมาด้วยอีกหลายคน
งานฉลองก็ต้องมีคนเยอะๆสิถึงจะสนุก
“เออๆ...ว่าแต่กระเป๋าใบโปรดอยู่ไหนล่ะ?”
“...”ทันทีที่ได้ยินคำถามผมก็มองไปยังไหล่ของตัวเองที่ควรจะมีกระเป๋าเป้สีดำสะพายอยู่แต่ตอนนี้กลับไม่มี
หายไปไหน?
“ราชา!”เสียงตะโกนของต้นและเต้ยดังขึ้นพร้อมกันพร้อมกับในมือของทั้งคู่ที่มีกระเป๋าเป้สีดำของผมติดมือมาด้วย...พอเห็นกระเป๋าของตัวเองก็เหมือนจะนึกได้ว่าลืมไว้ที่เครื่องขายน้ำอัตโนมัตินี่นา
“กำลังหาอยู่พอดีเลย...ขอบใจ”เจ้าของกระเป๋าเดินเข้าไปหาคู่แฝดที่ดูจะตื่นเต้นกับอะไรสักอย่างก่อนจะเอากระเป๋าของตัวเองคืนมา
“ราชา...ราชาโว้ยยย!!”เต้ยจับไหล่ทั้งสองข้างของผมไว้แน่นก่อนจะเขย่าแรงๆ
“อะไร?...หิวข้าวเหรอ?”
“ไม่ใช่ๆ...คือเมื่อกี๊พวกเราเพิ่งมาถึงแล้ว...แล้วเห็น...”เต้ยพูดติดขัดจนคนที่ยืนฟังอยู่ถึงกลับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“ใจเย็นสิ...มีไรว่ามา”เพชรที่เห็นก็เดินตามมาสบทบด้วยอีกคน
“พอเลยเดี๋ยวพูดเอง...พวกเราเห็นคนกำลังใส่อะไรลงไปในกระเป๋าของนายด้วย”ต้นที่ทนไม่ไหวออกตัวพูดแทนพร้อมผลักพี่ชายตัวเองไปด้านข้าง
“ห๊ะ?...เห็นอะไรนะ?”ที่ได้ยินเมื่อครู่คือเห็นคนใส่ของลงมาในกระเป๋า?
กระเป๋าผม?
“บอกว่ามีคนใส่ของในกระเป๋าแกไงราชา!”เต้ยที่ตั้งสติได้ตะโกนขึ้น
“...”เจ้าของกระเป๋าถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยินประโยคนั้นชัดๆอีกครั้ง
มือทั้งสองข้างที่ถือกระเป๋าอยู่กำแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัวก่อนที่ดวงตาคมสีน้ำตาลจะก้มลงมองกระเป๋าใบโปรดในมือด้วยความรู้สึกตื่นเต้น...คำพูดที่ว่ามีคนเอาของใส่ในกระเป๋าตนคิดได้เพียงแค่คนเดียวที่จะทำแบบนั้น
เกือบอาทิตย์ที่พยายามตามหาแต่ก็ไม่พบเลยแม้แต่ร่องลอย
แต่พอวันหนึ่งที่ล้มเลิกกลับได้รับของอย่างงั้นเหรอ?
“รีบๆเปิดสิราชา”เพชรที่อยู่ด้านข้างตบไหล่ผมเบาๆเป็นการเร่ง
“..อ่อ...อืม”ผมพนักหน้าขึ้นลงก่อนจะเปิดกระเป๋าใบดำออกอย่างช้าช้าโดยมีศีรษะของผู้ชายสี่คนก้มลงไปมองของที่อยู่ภายในพร้อมกัน
มือของผมล้วงเข้าไปหยิบถุงบางอย่างที่อยู่ภายออกมาก่อนจะชูขึ้นให้อีกสามคนได้เห็นชัดๆ
“ถุงอะไรน่ะ?...ขยะ?”
“บ้าสิ!...ใครจะเอาขยะมาใส่เล่า!”ต้นหันไปด่าพี่ชายที่พูดก่อน
“อ้าว...ก็เห็นเป็นถุงสีขาวแบบนี้ก็คิดว่าเป็นขยะสิ”
“พอทั้งคู่แหละ...เปิดดูเลยราชา”เพชรหันไปบ่นฝาแฝดก่อนจะหันมาบอกผม
“อืม”ผมพยักหน้ารับก่อนจะเปิดถุงพลาสติกสีขาวขุ่นที่ถูกมัดอยู่ออกดูสิ่งที่อยู่ภายในด้วยหัวใจที่เริ่มเต้นเร็วขึ้น...ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างในคืออะไรแต่สิ่งที่รู้แน่ๆคือคนที่ให้ถุงนี้ยังไม่ได้หนีไปไหน
ของที่อยู่ภายในมีสามอย่างจากที่มองลงไป...อย่างแรกที่เห็นชัดคือกระป๋องของน้ำอะไรสักอย่างและพอหยิบขึ้นมาก็รู้ว่าเป็นเครื่องดื่มชูกำลังสำหรับนักกีฬาที่ยังเย็นๆอยู่
อย่างที่สองคืออะไรสักอย่างที่เป็นซองสีขาวมีลักษณะเป็นแผงคล้ายแผงยาและเมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เป็นอย่างที่คิดยาพาราหนึ่งแผงถูกใส่เอาไว้ข้างๆกระป๋องเครื่องดื่มชูกำลัง
อย่างสุดท้ายคือรูปถ่ายที่ถูกใส่ไว้ในถุงพลาสติกเพื่อกันน้ำเข้าไป...ผมหยิบรูปนั้นออกมาก่อนจะพลิกดูรูปวิวจากมุมสูงที่ถ่ายลงมาเห็นตึกมากมายที่เรียงรายกันอยู่ด้านล่างโดยมีเสาธงอยู่ตรงกลางและด้านหลังก็มีข้อความเขียนอยู่เหมือนเคย...
‘เห็นบ่นปวดหัวเลยซื้อยามาให้...เล่นกีฬาก็ดีแต่รักษาสุขภาพด้วยนะราชา’
“วิ๊วว!...ข้อความหวานมาก...เพื่อนเราโดนจีบแหงๆ”เต้ยที่ชะโงกมาอ่านก็ความก็พูดขึ้นก่อนจะส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้
“จีบที่ไหนกัน...”เท่าที่อ่านไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบโดนจีบเลย...ความรู้สึกที่สัมผัสได้คือความห่วงใยจากเจ้าของของพวกมันเท่านั้น
“แต่น่าเสียดาย...”
“เสียดายอะไรเต้ย?”ผมหันไปถามเพราะอีกฝ่ายเริ่มทำท่าทางแปลกๆ
“ก็...”
“ก็คงที่ใส่ของพวกนี้เป็นผู้ชายน่ะสิ!”ยังไม่ทันที่เต้ยจะได้พูดต้นก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
“...ผู้ชาย?”คนที่ส่งของพวกนี้มาให้คือผู้ชาย?
น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกผิดหวังอย่างที่ควรเป็นเลยสักนิด
“ใช่ๆ...เป็นผู้ชายที่สูงประมาณไอ้ก้อง...ผมสีน้ำตาลแล้วก็ใส่แว่นด้วย”เต้ยอธิบายลักษณะมาให้ฟัง
“มีรูปไหม?”คำอธิบายแบบนั้นมันกว้างไป
“ไม่มีหรอกพวกเราแค่เห็นโดยบังเอิญเท่านั้น...พออีกฝ่ายใส่ของในกระเป๋าเสร็จก็รีบวิ่งไปเลย”
“อ้อ...ที่คอมีกล้องถ่ายรูปห้อยอยู่ด้วย...อาจเป็นช่างภาพก็ได้นะ”ต้นบอกเมื่อนึกอะไรได้
“ช่างภาพ...”งั้นคงไม่แปลกที่รูปทุกรูปจะออกมาสวยงามแบบนี้สินะ
“ว่าแต่รูปนี่ดูคุ้นๆนะ”เพชรที่เงียบไปพูดขึ้นพรางมองภาพถ่ายที่ผมถืออยู่ในมือ
“จะว่าไปก็ใช่นะ...แถวนี้เหมือน...อืม...”ต้นเองก็เข้ามาช่วยออกความเห็นอีกคน
“โรงเรียนสหศึกษา”
“ใช่ๆ...ใช่เลย...จำได้ว่าเคยเข้าไปแล้วแบบนี้เลย”ต้นกับเพชรเริ่มพูดคุยกันท่ามกลางความเงียบของผมที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี...
แค่ได้ภาพถ่ายอีกครั้งก็ถือเป็นเรื่องดีมากแล้ว
ถึงจะมีหลายอย่างที่อยากถามก็ตาม...
อยากรู้ว่าที่หายไปเกือบอาทิตย์ไปทำอะไร
อยากรู้ว่าถ่ายรูปสวยๆแบบนี้ออกมาได้ยังไง
อยากรู้ว่าที่ทำอยู่นี่อีกฝ่ายคิดอะไรกับตนไหม
และก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายทำอะไร...ทำไมถึงทำให้ผมมีกำลังใจได้เพียงแค่มองภาพถ่ายหรือของที่ได้รับมาเท่านั้น
“แปลว่าเขาอาจอยู่ใกล้ๆก็ได้นะราชา”เพชรหันมาบอก
“อยู่ใกล้เหรอ...”ก็มีความเป็นไปได้สูงนะ
“เรื่องนั้นช่างก่อน...ตอนนี้มีเรื่องที่คาใจสุดๆเลย”
“เรื่องอะไรเพชร?”
“ทำไมอีกฝ่ายถึงให้ยาพารามาล่ะ?...นายบ่นว่าปวดหัวเหรอ?”คำถามนั่นทำให้ผมขมวดคิ้วทันที
จะว่าไปผมบ่นว่าปวดหัวตอนที่ยืนอยู่ที่เครื่องกดน้ำอัตโนมัตินี่...หมายความว่าอีกฝ่ายอยู่แถวนั้นแล้วได้ยินสิ่งที่ผมพูดเลยไปซื้อยามาให้แบบนั้นใช่ไหม?
“...บ้าเอ้ย!”ทำไมไม่มองรอบๆให้ดีกว่านี้นะ...ถ้าจะให้ได้ยินสิ่งที่พูดแปลว่าต้องอยู่ใกล้พอสมควร ในระยะแค่นั้นคงมีไม่กี่คนแต่ผมกลับจำไม่ได้เลยสักคนเดียว
“ราชา”
“คงเป็นเพราะคำบ่นพึมพำว่าปวดหัวตอนซื้อน้ำน่ะ”เสียงทุ้มตบกลับไป
“แปลว่าเขาต้องเป็นห่วงนายมาก”เพชรพูด
“คงใช่”
อยากขอบคุณแต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูด
“งั้นถ้านายลองตะโกนออกไปว่าปวดท้องไม่แน่ว่าอาจมียาธาตุน้ำขาวมาใส่ไว้ในกระเป๋าก็ได้นะ”เพชรออกความเห็นอีกครั้งและความเห็นนั่นทำให้ผมเริ่มนึกอะไรขึ้นมาได้
ครั้งแรกที่ได้รูปจำได้ว่าตัวเองพูดว่ามีเรื่องเครียด
ครั้งที่สองที่ได้ก็บ่นว่าหิวน้ำ
ครั้งที่สามก็หงุดหงิดจนต้องทะเลาะกับพ่อในห้องน้ำ
และครั้งที่สี่หรือก็คือวันนี้ผมบ่นว่าปวดท้อง
ทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกันหมด...เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากก้าวก่ายผมมากจนเกินไปเลยให้ของเฉพาะตอนที่ผมกำลังรู้สึกแย่หรือต้องการของสิ่งนั้น หมายความว่าตลอดหลายวันที่ไม่ได้ของอะไรก็เพราะผมไม่ได้พูดบ่นหรือบอกว่าเครียดอะไรสินะ
นั่นหมายความว่าถ้าผมบ่นว่าเครียดก็จะได้ภาพถ่ายพวกนั้นอีกใช่ไหม?
ไม่สิ...
อย่างที่เคยคิดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่สตอล์กเกอร์เพราะงั้นคงไม่ตามตลอดเวลา...ส่วนมากที่ได้ของก็เป็นสวนสาธารณะแห่งนี้แปลว่าเป็นสถานที่ที่อีกฝ่ายมาบ่อย...
ผมที่เริ่มคิดอะไรบางอย่างได้ก็คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ...
“...พรุ่งนี้จะลองแกล้งป่วยดูละกัน”
...........................................................................................
สวัสดีค่ะ
มาอัพต่อแล้วนะคะ
สำหรับใครที่คาดว่าตอนนี้ทั้งคู่จะได้เจอกันต้องขออภัยด้วยนะคะ
อยากลองแต่งฉากที่พระเอกเราแอบเหงาเวลาไม่ได้รูปถ่ายจากข้าวจ้าวดูสักครั้งค่ะ(ตอนนี้ก็สมใจแล้ว)
ในตอนหน้ารับรองว่าเจอกันแน่นอนค่ะ
แต่จะเจอแบบไหน? ยัง?
ราชาเองก็ดูเหมือนจะมีแผน?
เอาเป็นว่ารอติดตามในตอนต่อไปดีกว่าค่ะ
มีหลายคนที่พึ่งเข้ามาอ่านผลงานเราเป็นเรื่องแรกเลยกังวลเรื่องดราม่า
ขอบอกเลยค่ะว่าไม่มีหรอกค่ะ
เราไม่ชอบทั้งอ่านและเขียนแนวที่ดราม่ามากนัก
ตัวเราคิดว่าการแต่งนิยายคือการคลายเครียดจึงจะแต่งในแนวหวานๆและฟินเพื่อจะได้ยิ้มออก...
และหวังว่าจะทำให้ทุกคนที่อ่านยิ้มตามไปด้วยนะคะ^^
สำหรับทุกคอมเม้นท์ที่แนะนำ ติชมและช่วยแก้คำผิดต้องขอขอบคุณมากๆค่ะ
ขอขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆกำลังที่มีให้นะคะ
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪