แอบรัก⊰❤⊱วันที่7(ครึ่งหลัง)
ทางธรณินทร์ที่กำลังขับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ก็เริ่มสังเกตว่าคนด้านหลังเริ่มไม่ปกติเพราะเอาแต่เงียบและก้มหน้าลงจนมองเห็นแค่เส้นผมสีน้ำตาลที่พลิ้วไปมาจากด้านหลังผ่านกระจกมองข้างของมอเตอร์ไซค์...สัมผัสของชายเสื้อที่ถูกดึงเล็กน้อยทำให้คนขับอยากหันไปมองหน้าอีกฝ่ายตอนนี้จริงๆ
เดาไม่อยากเลยว่าใบหน้าขาวคงกลายเป็นสีแดงก่ำเพราะความเขินอาย
ข้าวจ้าวเป็นคนที่คิดอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าหมด...
เขาชอบผม
นั่นเป็นสิ่งที่รู้ดีและก็ดีใจมาก
ท่าทางเขินอายที่แค่ผมพูดหรือขยับเข้าใกล้...ผมไม่ปฏิเสธเลยว่ามันเรียกรอยยิ้มจากราชาคนนี้ได้ทุกครั้งไป
“ข้าวจ้าว!”เสียงทุ้มตะโกนเรียกพร้อมเอนตัวไปด้านหลังน้อย
“...อืม”เสียงพึมพำเบาๆตอบกลับมา
“จะให้ผมขับไปทางไหน?”เป็นอีกครั้งที่ราชาตะโกน
“อะไรนะ?”คนด้านหลังถามเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูด อาจเป็นเพราะแรงลมที่เข้าปะทะหน้าอยู่เลยทำให้เสียงส่งไปไม่ถึงคนที่นั่งอยู่ด้านหลังก็ได้ แต่ผมว่าสาเหตุที่ไม่ได้ยินเพราะอีกฝ่ายยังคงก้มหน้าอยู่ต่างหาก...อยู่ไกลขนาดนั้นจะได้ยินก็คงแปลก
“ขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆหน่อย!”ผมชะลอรถพร้อมตะโกนขึ้นอีกรอบ
“มะ...ไม่เป็นไร...ผมได้ยิน”
“ข้าวจ้าว!”เมื่ออีกฝ่ายเริ่มดื้อผมเลยเรียกชื่อเสียงดังเพื่อบอกว่าอย่าดื้อกับผม
น่าแปลกที่ปกติผมไม่ใช่คนเผด็จการให้คนอื่นทำตามใจตนแบบนี้แต่พอเป็นข้าวจ้าว...
เขาให้ความรู้สึกเหมือนแบบว่า...
น่าแกล้ง
นี่ผมคงกลายเป็นคนไม่ดีไปแล้วสินะที่คิดว่าสนุกที่ได้แหย่หรือแกล้งอีกฝ่ายแบบนี้น่ะ
“...”เจ้าของชื่อที่เรียกนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะค่อยเงยหน้าขึ้นมาจนเห็นใบหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงก่ำอย่างคิดไว้...ริมฝีปากบางกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่นเหมือนกำลังข่มอารมณ์บางอย่างไว้
“ขยับเข้ามาอีก”ผมบอกเมื่อเห็นว่าข้าวจ้าวทำเพียงเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้น
“ไม่...ผม...อ่อ...”เสียงอึกอักนั่นทำให้ผมหันหน้าไปด้านข้างก่อนจะยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ข้าวจ้าวครับ”ครั้งนี้ลองใช้เสียงนิ่มๆแทนเผื่อว่ามันจะได้ผล
“...คนขี้โกง”เสียงนุ่มบอกก่อนจะขยับใบหน้าเข้ามาจนคางของอีกฝ่ายเกยอยู่ที่หัวไหล่ผมด้วยใบหน้าที่แดงก่ำกว่าเดิม
“หึ...เราจะไปร้านไหน?”ผมเลิกแกล้งแล้วถามออกไปถ้าขืนแกล้งมากกว่านี้อาจได้วนรถไปที่โรงพยาบาล
“แล้วราชาอยากกินอะไรล่ะ?”
“แล้วแต่เลย”
“...ผมก็แล้วแต่ราชา”อีกฝ่ายบอกเสียงอ่อย
“งั้นแถวนี้มีร้านอะไรที่เปิดแล้วบ้าง?”คนด้านหน้าตัดสินใจถามเพราะขืนยังถามกันไปมาวันนี้คงไม่ได้กินมื้อเช้าแน่
“ก็มีร้านข้าวต้ม...ร้านโจ๊ก...ร้านก๋วยเตี๋ยว...”
“อืม...ร้านไหนอร่อยสุดล่ะ?”
“...ก็อร่อยทุกร้าน...ไปร้านก๋วยเตี๋ยวดีไหม?”
“ก๋วยเตี๋ยว?”สิ่งที่ข้าวจ้าวพูดเหมือนรู้ใจว่าผมกำลังจะบอกอะไรไป
“อืม...ราชาชอบนี่”อีกฝ่ายบอกเสียงสั่นโดยไม่รู้เลยว่านั่นทำให้คนขับต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงรู้ได้
“ใช่ผมชอบ...แล้วข้าวจ้าวรู้ได้ยังไง?”ถูกอย่างที่ข้าวจ้าวว่าผมชอบกินก๋วยเตี๋ยวมากกว่าข้าว...จากทั้งสามร้านที่บอกมาผมไม่ลังเลเลยที่เลือกก๋วยเตี๋ยวที่ตัวเองชอบ
“...”คำตอบที่ได้รับมีเพียงแค่ความเงียบกับดวงตาสีเขียวปนเทาที่เบิกกว้างขึ้นผ่านเลนส์แว่นก่อนจะรีบก้มหน้าลงทันที การกระทำนั่นทำให้ผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ฮะฮะฮะ...คุณนี่มัน...”
ใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าพวกเราจะไปถึงร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่...ร้านขนาดกลางที่มีโต๊ะนั่งทั้งด้านนอกติดริมถนนไปจนถึงโต๊ะนั่งที่อยู่ด้านในกระจกห้องแอร์ ร้านนี้เป็นร้านเดียวที่เปิดในช่วงเช้า...จากที่ดูร้านด้านข้างยังปิดอยู่เลย
ผมเดินตามข้าวจ้าวมาก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะริมถนนใหญ่...คนด้านข้างยื่นเมนูที่วางเสียบไว้บนโต๊ะส่งมาให้ผมให้เลือกดูเมนูว่าจะสั่งอะไรไม่นานพนักงานหนุ่มก็มารับเมนู...
“ขอบะหมี่เกี๊ยวพิเศษใส่ทุกอย่างครับ”ข้าวจ้าวสั่งก่อน
“ผมเอาบะหมี่ต้มยำเย็นตาโฟพิเศษใส่ทุกอย่าง”ผมสั่งบ้าง
“บะหมี่เกี๊ยวทุกอย่างพิเศษกับบะหมี่ต้มยำเย็นตาโฟทุกอย่างพิเศษอย่าละชามนะครับ”พอรับเมนูเสร็จพนักงานหนุ่มก็เตรียมเดินกลับไป
“เดี๋ยวครับ”เสียงของข้าวจ้าวทำให้เขาหันมามองอย่างงงๆ
ผมเองก็งงเหมือนกันว่าเรียกพนักงานไว้ทำไมหรือจะสั่งเพิ่มอีกชามกัน?...ดูภายนอกไม่น่าใช่คนกินจุแต่ถ้าเขาสั่งอีกชามอาจเป็นกินจุกว่าที่เห็นก็ได้
“อ่อ...”ดวงตาสีเขียวปนเทาใต้กรอบแว่นหันมามองที่ผมเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูด
“มีอะไรข้าวจ้าว?”เสียงทุ้มถามเมื่อทนฟังคนด้านข้างพูดอ่อติดกันหลายรอบไม่ไหว
“ไม่มีอะไรบอกเหรอ?”คำถามถูกถามกลับทำให้คนฟังได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความงงงวย
“อะไรล่ะ?”มีอะไรที่ต้องบอกเหรอ?
“...ก็...เย็นตาโฟที่นี่ใส่...ปลาหมึกสดนะ”เสียงนุ่มบอกเสียงเบา
“หมึกสด?...จริงเหรอ?...อ่อ...เย็นตาโฟที่ผมสั่งไม่ใส่หมึกสดนะครับ”ผมหันไปบอกพนักงานที่ยืนรออยู่
“ได้ครับ”พอเสร็จเขาก็เดินกลับเข้าไปในร้าน
“ขอบคุณที่บอก”
“อืม...ไม่เป็นไร”
“ว่าแต่...ทำไมถึงรู้ว่าผมกินปลาหมึกไม่ได้ล่ะ?”ผมถามแล้วหันไปมองหน้าคนที่กำลังเทน้ำอยู่
“...คือ...”เสียงอึกอักพร้อมกับมือสั่นๆทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ท่าทางของข้าวจ้าวดูมีพิรุธสุดๆเลย...ถึงผมจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรนัก ยังไงข้าวจ้าวก็เหมือนเป็นสตอล์กเกอร์ผมมาก่อนก็ไม่น่าแปลกที่เขาจะรู้ว่าผมกินปลาหมึกสดไม่ได้
จะว่าไม่ได้ก็เชิง...เรียกว่าไม่กินได้ก็ดี
“คืออะไร?”
“...ผมขอโทษ”คำขอโทษพร้อมใบหน้าที่ก้มต่ำลงทำให้คนอยากแหย่เล่นถอนหายใจออกมา
“ผมไม่ได้จะว่าคุณสักหน่อย...ต้องขอบคุณด้วยซ้ำ”
“แต่ผม...”
“ไม่รู้ว่าคุณรู้ข้อมูลพวกนี้ได้ยังไงแต่ผมไม่ใช่คนที่จะมาบ่นมาว่าหรอก...ไม่เป็นไรนะ”เสียงทุ้มบอกก่อนจะยกมือขึ้นแล้วสัมผัสเบาๆที่เส้นผมสีน้ำตาลของคนด้านข้าง ทันทีที่มือสัมผัสกับเส้นผมของข้าวจ้าวร่างกายของเขาก็เกร็งขึ้นทันแถมยังก้มหน้าต่ำลงอีกเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงขึ้น
ก็รู้ว่าอีกฝ่ายยังชอบตัวเองอยู่...การทำแบบนี้ก็ไม่ต่างกับให้ความหวัง
ถ้าเป็นคนอื่นผมคงไม่แสดงออกหรือทำแบบนี้หรอกอาจเป็นเพราะรู้สึกสบายใจที่พูดคุยและเห็นใบหน้าแดงๆที่น่าแกล้งนั่นก็ได้ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าคนคนนี้แตกต่างกับคนอื่นที่เคยเจอมา
มื้อเช้าง่ายๆได้ผ่านไปก่อนที่วรานนท์จะซ้อนท้ายราชากลับไปยังร้านของอาวิ...ตลอดทางกลับคนซ้อนท้ายได้แต่ก้มหน้าลงโดยที่มือทั้งสองข้างลอบเกาะชายเสื้อของคนด้านหน้าไว้ สัมผัสอุ่นๆของฝ่ามือยังคงติดอยู่ที่เส้นผมเพียงแค่นึกถึงก็ทำใบหน้าแดงก่ำขึ้นในทันที...
หวังว่าราชาคงไม่เห็นว่าผมหน้าแดงขนาดไหนหรอกนะ
หลังจากกลับมาถึงร้านพวกเรารวมทั้งอาวิก็ขึ้นรถหรูสีดำเงาของราชาไปยังบริษัทที่มีการเตรียมรถในการเดินทางไว้ให้แล้ว...การเดินทางเริ่มต้นจากการนั่งลงไปยังสนามบินที่อยู่ถัดไปหลายชั่วโมงก่อนจะบินไปยังตอนใต้ของประเทศ ท้องฟ้าที่มีเมฆลอยต่ำอยู่ด้านล่างในระหว่างการเดินทางโดยเครื่องบินทำให้ทั้งผมและอาวิยกกล้องขึ้นมาถ่ายหลายต่อหลายครั้ง
เมื่อเครื่องบินลงจอดก็เดินทางต่อด้วยเรือขนาดกลางลำหนึ่งที่ดูหรูหราจนผมไม่กล้ายืนพิงผนังเรือด้วยซ้ำ...เรือสีนวลค่อยๆแล่นออกจากท่าเมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม อาวิกับผมแยกกันไปคนละทางโดยอาวิไปทางหัวเรือเพราะชอบที่จะถ่ายรูปของธรรมชาติส่วนผมอยากจะถ่ายรูปจากท้ายเรือให้มองเห็นท่าเรืองที่เราพึ่งออกมาเมื่อครู่
กล้องคู่ใจถูกยกขึ้นให้อยู่ในระดับสายตาก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะมองผ่านเลนส์จนเห็นท่าเรือที่อยู่ห่างไกลพอสมควรแล้วกดถ่าย มือที่ถือกล้องลดลงก่อนจะมองรูปที่พึ่งถูกถ่ายไปพร้อมขมวดคิ้วแน่นเมื่อรูปที่ถ่ายไม่ได้ดั่งใจนัก
“...แสงมากไป”เสียงพึมพำดังขึ้นก่อนกล้องตัวเดิมจะถูกยกขึ้นแล้วขยับร่างกายไปซ้ายทีขวาทีเพื่อหาจุดที่จะถ่ายรูปออกมาให้สวยที่สุดก่อนที่ท่าเรือนั้นจะห่างออกไปจนไม่สามารถถ่ายได้
ร่างของผมค่อยๆขยับไปด้านข้างจนได้มุมที่เหมาะสมจึงกดชัตเตอร์ถ่ายรูปในจังหวะเดียวกับที่ไหล่ไปชนกับอะไรบางอย่างที่แข็งๆ...พอละสายตาออกจากกล้องเพื่อมองไปด้านข้างดวงตาสีเขียวปนเทาก็เบิกกว้างขึ้นผ่านเลนส์แว่นเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนส่งยิ้มให้ด้านข้างนั้นเป็นใคร
“...ราชา”ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่อยู่ข้างๆจะเป็นราชา
ทำไมเขาถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ?
“ถ่ายรูปเพลินจนไม่ดูทางเลยนะ...ถ้าตกน้ำไปใครจะช่วยล่ะ?”เสียงทุ้มถาม
“...ขอโทษ”
“ไม่เอาคำนี้สิ...วันนี้ผมได้ยินขอโทษมาจากปากข้าวจ้าวหลายรอบแล้วนะ”ดูท่าเขาจะไม่ได้ต้องการคำขอโทษ
“...ขอบคุณ”เมื่อคิดอะไรไม่ออกเลยเอ่ยออกไปแค่คำนี้เท่านั้น
“ด้วยความยินดีครับผม”คำตอบครั้งนี้ทำให้อีกฝ่ายส่งยิ้มกว้างกลับมาให้จนผมต้องรีบหันหน้าหลบก่อนที่ใบหน้าตัวเองจะแดงมากกว่านี้
รอยยิ้มของราชาดูดีที่สุด...และผมก็ชอบมันมากที่สุดเช่นกัน
เมื่อก่อนได้เห็นรอยยิ้มนั้นจากที่ไกลๆเหมือนอย่างข้อมูลอื่นๆที่รู้ได้เพราะคอยแอบมองและสังเกตราชาอยู่เสมอจนรู้ว่าราชาชอบกินก๋วยเตี๋ยวมากกว่าข้าวแต่ไม่ชอบกินปลาหมึกสด...จากที่แอบๆฟังเห็นว่าไม่ได้แพ้แต่ถ้ากินบางร้านก็จะผื่นขึ้นได้เขาเลยเลี่ยงที่จะไม่กิน
“...ทำไมมานี่ล่ะ?”ผมถามโดยที่ไม่หันไปมองหน้าอีกฝ่าย
“หื้อ?...คุยกับใครน่ะ?”คำถามกวนๆถูกส่งมาจนผมต้องหันไปค้อนทีหนึ่งก่อนจะตอบคำถามนั้นให้
“คุยกับนายไง”
“อ้อ...เห็นหันหน้าไปทางนั้นนึกว่าคุยกับท้องฟ้าซะอีก”
“...”คำพูดเหมือนกำลังแหย่นั่นทำให้ผมมุ่ยหน้าทันที
ทำไมวันนี้ราชาถึงชอบแกล้งผมนักนะตั้งแต่ตอนซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้ว
“คิก...ทำหน้าตลกมากเลย...ผมแค่อยากหาเพื่อนคุยและคนแรกที่ผมคิดถึงก็คือคุณ...ข้าวจ้าว”คำพูดของเขาทำให้ผมต้องก้มหน้าลงต่ำอีกครั้งเพื่อซ่อนใบหน้าแดงๆของตน
ทำไมชอบให้ความหวังด้วยคำพูดแบบนั้นกัน
ไม่แปลกเลยที่ใครๆต่างก็ชื่นชอบราชา...
เขาทั้งเป็นมิตร
เข้ากับคนอื่นง่าย
เคารพการตัดสินใจของทุกคน
ไม่เอาตัวเองเป็นใหญ่
แถมยังอ่อนโยนมากๆ
ข้อดีของราชาจะให้พูดทั้งวันก็คงไม่หมด
นี่ผมเข้าข่ายคนกำลังเพ้อสินะ
“...แล้วเพื่อนคนอื่นล่ะ?”มันอดไม่ได้ที่จะถามออกไป บนเรือนี้มีคนอยู่เยอะแยะแถมยังเป็นบริษัทของอีกฝ่ายอีก...การที่ไม่มีเพื่อนหรือคนสนิทด้วยเลยถือเป็นเรื่องแปลก
“ก็มีบ้าง...แต่ไม่สนิทเท่าคุณ”
“พวกเราพึ่งเป็นเพื่อนกันแค่อาทิตย์เดียวเองนะ”ผมบอกเสียงเบา
อาทิตย์เดียวที่ได้ฐานะใหม่ว่าเพื่อนของราชา
แต่ตลอดหนึ่งอาทิตย์ก็ไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง
เรียกว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ได้พูดคุยในฐานะเพื่อน
“มันไม่ได้อยู่ที่เวลานี่นา...ผมรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ข้างๆข้าวจ้าวเหมือนผมสามารถบอกทุกอย่างที่คิดได้...ไม่เหมือนกับคนอื่นที่ผมต้องสร้างภาพลักษณ์ขึ้นมา...”
“...”ผมฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเงียบๆ
“รู้ไหมว่าวันแรกที่ผมเห็นรูปถ่ายใบหนึ่งถูกใส่อยู่ในกระเป๋าผมรู้สึกยังไง?”
“...คงโกรธมั้ง”ผมตอบคำถามนั้นกลับ
รูปถ่ายที่ว่าคงเป็นผมเองที่เป็นคนเอาไปใส่...ราชาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแปลว่าจะว่าผมงั้นเหรอ?
“ไม่เลยสักนิด...”
“...ไม่จริง”ผมเผลอหลุดสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปพอนึกได้ว่าทำอะไรลงไปก็รีบยกมือขึ้นปิดปากทันทีแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันการซะแล้ว
“ผมพูดจริงนะ”คนด้านข้างที่ได้ยินรีบพูดต่อพร้อมหันมามองหน้าผม
“...เป็นผมคงไปแจ้งความ”ในเมื่อหลุดปากไปแล้วก็ไม่มีอะไรต้องปิดอีก
“ก็จริง...แต่รูปภาพและข้อความพวกนั้นเป็นกำลังให้ผมได้มากเลย...พวกเราไม่ได้พึ่งเป็นเพื่อนกันแค่อาทิตย์เดียวหรอกนะ”
“หมายความว่ายังไง?”
“ผมคิดว่าข้าวจ้าวเป็นเพื่อนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับรูปภาพและข้อความพวกนั้นแล้ว”คนข้างกายพูดออกมาอย่างสบายๆโดยทอดสายตามองไปยังท้องฟ้าที่ไร้เมฆบดบัง
“ขอบคุณ”รอยยิ้มที่ดูสบายใจนั่นทำให้ผมคลียิ้มตามเช่นกัน
“หนึ่งอาทิตย์หลังจากนี้เราคงจะสนิทกันมากขึ้นนะ”
“...ทำไมถึงอยากสนิทกับผมล่ะ?”
“แล้วทำไมผมถึงสนิทกับคุณไม่ได้?”อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ถามกลับมาแทน
“คงไม่ลืมนะว่า...”ผมชอบราชา
ประโยคสุดท้ายถูกกลืนลงคอไปเพราะถ้าบอกออกไปก็เป็นการประกาศว่าตนยังรู้สึกยังไงกับอีกฝ่ายอยู่...ถ้ารู้ราชาอาจไม่รู้สึกสบายใจเหมือนอย่างตอนนี้ก็ได้
“ว่าอะไรนะ?”
เจ้าของเสียงทุ้มของรองประธานบริษัท ธรณินทร์ ภิพัฒธนมงคล ถามกลับเมื่อช่างภาพตรงหน้าไม่ยอมพูดคำต่อมาให้ได้ยินสักที…
ใบหน้าที่แดงระเรื่อนั่นเดาได้ไม่ยากเลยว่าประโยคต่อมาคืออะไร...
ทั้งที่รู้ก็ยังอยากแกล้งให้อีกฝ่ายพูดมันออกมา
“...ไม่มีอะไร”
“ผมมีวิธีทำให้คุณตอบเชื่อไหม?”เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูดผมก็มีอีกหลายวิธีที่จะทำให้ยอมพูดได้
“...ไม่เชื่อ”ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นทันทีที่พึมพำออกมา
ในเมื่อไม่เชื่อผมเลยดันหลังอีกฝ่ายจนชิดเข้ากับแนวกันเรือแล้วใช้มือทั้งสองข้างเกาะแนวกันนั้นไว้โดยที่มีร่างของข้าวจ้าวอยู่ภายใน ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างผ่านเลนส์แว่นสายตาก่อนจะหันหน้าไปซ้ายขวาเหมือนกำลังหาทางหนีโดยที่ใบหน้านั่นแดงขึ้นอีก
“...บอกผมหน่อยว่าคำต่อมาที่คุณจะพูดคืออะไร?”พูดจบก็เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้จนดวงตาสีน้ำตาลของผมประสานเข้ากับดวงตาสีเขียวปนเทาที่สั่นระริกตรงหน้า
“...อย่าแกล้งผมแบบนี้”เสียงสั่นๆนั่นไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อนตรงกันข้ามผมอยากจะเห็นมันมากกว่านี้
“ถ้าบอกผมจะปล่อย”ผมบอกพร้อมขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย
“ระ...รู้แล้ว...ผมยอมแล้ว”
“ผมรอฟังอยู่นะ”เจ้าของคำพูดยังคงปิดทางหนีทำให้คนที่ถูกต้อนต้องเอ่ยประโยคน่าอายนั่นออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“...ผม...ผมชอบราชา”ถึงจะเอ่ยออกมาอย่างติดๆขัดๆแต่ก็ยังเรียกรอยยิ้มจากคนที่รอฟังได้อยู่ดี
คำว่าชอบที่ได้ยินมาตลอดจากการสารภาพรักจนนับไม่ถ้วน...
ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้แบบนี้
คำว่าชอบจากปากของข้าวจ้าวมันทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
หนึ่งอาทิตย์ต่อจากนี้คงจะมีหลายเรื่องเกิดขึ้นแน่ๆ...
และถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนที่ยืนตัวเกร็งด้วยใบหน้าแดงก่ำตรงหน้านี่ละก็...
มันคงจะน่าสนุกสุดๆเลย
............................................................................................
สวัสดีค่ะ
อย่างแรกเลยคงต้อง Chinese New Year 2016 นะคะ
วันนี้เป็นวันไหว้หลายๆบ้านคงมีเลี้ยงมื้อใหญ่...อิ่มแปร้แน่เลย
สำหรับครึ่งหลังนี่รู้สึกไหมว่าราชาเริ่มขี้แกล้ง? 555+
คงจะทนความน่ารักน่าแหย่ของข้าวจ้าวไม่ไหวแน่ๆๆๆ
คนที่ปฏิเสธเขาแต่กลับมาขอฟังคำว่าชอบอีกครั้งนี่ต้องการอะไรจากข้าวจ้าวผู้น่ารักกันน้าาา
ขอบคุณทุกคำติชมและทุกกำลังใจที่มีให้นะคะ
มีคนคอมเม้นท์ว่าตามมาจากกระทู้แนะนำนิยาย...ตอนแรกก็คิดว่าเป็นกระทู้เดิมที่เคยเห็นแต่พอเข้าไปดูกลับมีคนเข้ามาตบกระทู้แนะนำหลายคนเลย...
ดีใจมากๆๆ
ขอบคุณนะคะ
และเห็นด้วยกับหลายๆคอมเม้นต์ที่บอกว่าที่ราชาทำอยู่นี่คืออ่อยนะคะ...แบบว่าชอบให้ความหวังงงง
อ่านเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องเครียดค่ะ...อย่ากลัวดราม่าเลยเพราะมันไม่มีค่ะ อิอิ
ไว้เจอกันใหม่ในวันแห่งความรักค่ะ
新正如意 新年发财 (ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้)
คิดหวังสิ่งใดขอให้สมหวังสมปรารถนาในปีใหม่นี้ มีแต่ความสุขมั่งคั่ง โชคดีร่ำรวยตลอดปีนะคะ
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪