เล่ห์ร้ายจอมราชันย์(จีนโบราณ)
บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
หลิ่วเหวินอี้เดินไปยังสวนดอกท้อสวนหลังเรือนของตัวเอง วันนี้ครบรอบสองเดือนที่มารดาจากไป เขาได้นำร่างนางมาฝังไว้ที่นี่ หลังจากวันนั้นเขาได้รู้ความจริงว่าทำไมมารดาถึงโดนกลืนกินร่างกายและจิตวิญญาณ นางเป็นคนแรกที่นำกระบี่มารโลหิตออกมาแต่ไม่อาจรองรับพลังของมันได้ สุดท้ายจึงถูกกลืนกินจนหมด ส่วนพี่รองหลิ่วเชวี่ยนไป๋คือตัวเลือกของมารร้ายและร่างกายที่รองรับพลังอำนาจได้จึงทำให้เขาได้ครอบครองพลังที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัว แต่สิ่งที่ต้องแลกก็ไม่ต่างจากมารดาของเขา
เวลานี้พวกเขาได้จากไปอย่างสงบเรื่องนี้มีเพียงบิดาเท่านั้นที่ได้รับรู้ความจริง หลังจากผ่านการประลองเขาได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้หลิ่วโอวหยางได้ฟัง ซึ่งอีกฝ่ายนั้นก็รับฟังอย่างเงียบสงบ เพียงแค่ตอบรับว่าท่านพ่อรับรู้ความผิดปกติของหลิ่วเชวี่ยนไป๋แต่ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าเป็นสิ่งใด
หลิ่วโอวหยางแม้จะดูเย็นชาไม่ใส่ใจสิ่งใด ทว่ากลับรับรู้ทุกอย่าง แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นฝ่ายอธรรมแต่ก็ไม่เคยทำสิ่งใดขัดต่อมโนธรรมของตนเอง การได้เปิดใจในครั้งนี้ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะไว้ใจมากขึ้น บิดานั้นรักเขาอย่างแท้จริง เพียงแต่ใช้วิธีเลี้ยงดูบุตรตามวิถีของตนเองที่คิดว่ามันถูกต้อง เรื่องนี้เขาไม่อยากไปคิดเพราะเกิดมาเขาก็ไม่เคยมีลูกและชาตินี้ก็คงมีไม่ได้ ในเมื่อหัวใจเขามอบให้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไปแล้ว
ใบหน้างดงามแต่แฝงไว้ด้วยความเย็นชา ทว่าวันนี้กลับมีความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นมาเพราะผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วแต่คนเจ้าเล่ห์ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็น!
“นายน้อยแย่แล้ว” หลวนซานพุ่งเข้ามาด้วยน้ำเสียงร้อนรน หลิ่วเหวินอี้หันไปมองด้วยสีหน้าเรียบเฉยทว่าคิ้วขมวดขึ้นสูงบ่งบอกความสงสัย
“มีอะไร”
“ฝ่าบาทเสด็จมานิกายมารฟ้าขอรับ” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองคนบอกอย่างไม่เข้าใจ มานิกายมารฟ้าก็ไม่เห็นจะแปลกเพราะเจ้าตัวก็เคยมาแล้ว
“นายน้อยต้องรีบไปห้ามนะขอรับไม่งั้นประมุขได้ไล่ฆ่าฝ่าบาทแน่ๆ” ใบหน้าซีดเผือดและลมหายใจติดขัดด้วยความตื่นเต้นของคนติดตามทำให้หลิ่วเหวินอี้หมุนกายเดินเร็วตรงไปยังตึกใหญ่ความรู้สึกสังหรณ์ใจทำให้ต้องเร่งสาวเท้าให้เร็วขึ้น
“เอ่อ นายน้อยฝ่าบาทยังอยู่หน้าประตูขอรับ” สองเท้าชะงักหันกลับไปมองหลวนซานที่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าอย่างกังวลก่อนจะดีดปลายเท้าใช้กำลังภายในทะยานมาหยุดบนกำแพงหน้าประตูเขานิกายมารฟ้า ดวงตาเรียวคมเบิกตากว้างเมื่อเห็นขบวนเสด็จที่ยาวสุดลูกหูลูกตาทหารองครักษ์มากมายยืนออเต็มหน้าประตู
นี่จะมารบหรือว่ามาหาเขากันแน่!
“ข้าจะให้ท่านเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองหยางเซาเพื่อตอบแทนที่เลี้ยงบุตรชายที่ดีงามอย่างอี้เอ๋อร์” หลิ่วเหวินอี้มองลั่วเหยียนเจิ้งยื่นข้อเสนอให้บิดาเห็นแล้วได้ส่ายหน้า
“ไสหัวกลับไปให้พ้น ข้าเป็นประมุขนิกายมารฟ้าตำแหน่งข้าสูงส่งพอแล้วจะเอาเมืองเล็กๆ นั่นมาทำไม”
“ไม่พอใจหรือไม่งั้นไปเป็นอำมาตย์รับใช้ข้าดีหรือไม่”
“ไปให้พ้นหน้าข้า”
“เฮ่อ ยศถาบรรดาศักดิ์ท่านก็ไม่เอา แก้วแหวนเงินทองและของล้ำค่ามากมายท่านก็ไม่เอา แบบนี้ข้าฉุดกลับวังด้วยท่านคงจะตกลงใช่หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้มองคนต่อรองบิดาเสียงเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจของโอรสสวรรค์แม้จะอ่อนลงหลายส่วนแต่ก็ไม่อาจบดบังรัศมีสูงส่งได้ ยิ่งชุดมังกรสีเหลืองลายมังกรยิ่งทำให้คนรอบกายหวาดกลัว ทว่ายกเว้นไว้เพียงหนึ่งคนที่ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห
“ต่อสู้กับอี้เอ๋อร์ให้ชนะ หากพ่ายแพ้ก็กลับไป” หลิ่วเหวินอี้มองบิดาอย่างแปลกใจ แม้จะหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหแต่กลับยื่นเสนอที่ทำให้เขาคาดไม่ถึง และคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดก็คือลั่วเหยียนเจิ้ง ดวงตาคมกริบเหลือบมามองกำแพงเล็กน้อย ดวงตาสองคู่มองเขานิ่งแต่มันกลับทำให้เขาใจสั่น ดวงตาคมที่ทอประกายหยอกเย้าทำให้เขาหน้าแดงอย่างเก้อเขิน ไม่ได้เจอกันแค่เดือนเดียวทำให้เกิดความรู้สึกมากมายและหนึ่งในนั้นคือคำว่าคิดถึง
“ไม่มีทาง ข้าไม่หันคมดาบใส่คนรักเป็นอันเด็ดขาด” ลั่วเหยียนเจิ้งหันมาบอกพ่อตาอย่างจริงจัง ไม่คิดว่าคนที่ทำตัวไม่สนใจลูกจะรักหลิ่วเหวินอี้จริงจังเช่นนี้และดูจากสภาพเมียเขาเป็นลูกรักเสียด้วยสิ
“งั้นข้าไม่ยอมรับเจ้าเป็นลูกเขยกลับไปซะ” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนตอบโต้อย่างสนใจ เกิดมาตั้งแต่จำความได้ไม่เคยมีใครกล้าขัดใจเขามาก่อนนอกจากหลิ่วเหวินอี้และคนต่อมาก็คือพ่อตาขี้หวงตรงหน้าเขาเวลานี้
“อี้เอ๋อร์พ่อเจ้าไม่ยอมให้เจิ้นเข้าบ้าน เจ้าได้เจิ้นแล้วเจ้าต้องรับผิดชอบนะ ดูสิพ่อเจ้าใจร้ายกับเจิ้นแค่ไหนให้เจิ้นตากแดดเป็นชั่วยามแล้ว” หลิ่วโอวหยางอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึ งมองฮ่องเต้ที่หน้าด้านหน้าหนาจากความเย่อหยิ่งและจองหอง เวลานี้เห็นลูกชายเขากลับทำตัวจากหน้ามือเป็นหลังเท้าพลิกลิ้นกลับจนเขาเป็นฝ่ายผิดไปเสียอย่างนั้น
แค่กๆๆ
หลิ่วเหวินอี้สำลักน้ำลายมองคนหน้าไม่อายด้วยใบหูที่แดงก่ำ แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยแต่เขาอายจริงๆ พูดออกมาได้อย่างไร เขากระโดดลงไปหามองฮ่องเต้ที่มีเหงื่อไหลออกมาอย่างเห็นใจนิดหน่อย
“ท่านจะมาสู่ขอข้าหรือว่ามาออกรบ ไอ้พวกข้างหลังจะเอามาทำอะไรเยอะแยะไม่อายชาวบ้านหรือไง”
“เจิ้นมาสู่ขอฮองเฮาก็ต้องมาเอามาต้อนรับอย่างสมเกียรติ” หลิ่วเหวินอี้ยืนนิ่งมองฮ่องเต้ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ตำแหน่งนั้นมันสูงค่าเกินไปเขารับผิดชอบไม่ไหวที่สำคัญไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีฮองเฮาเป็นผู้ชาย
“โอ้โห่ เจ้าลงทุนกับลูกข้ามากถึงขนาดแต่งตั้งเป็นฮองเฮาเลยหรือ” หลิ่วโอวหยางมองดูลูกเขยอย่างประหลาดใจ ตำแหน่งที่สูงย่อมมาด้วยกับความรับผิดชอบที่หนักหนา แล้วแบบนี้เขาจะกล้ายกลูกชายสุดรักเข้าไปดงหนามได้อย่างไร ใครๆ ต่างก็รู้ว่าวังหลังไม่ใช่ที่วิ่งเล่น ก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจตายได้
“อี้เอ๋อร์เป็นคนรักข้าย่อมต้องเป็นฮองเฮาอยู่แล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยตอบกลับอย่างมั่นใจ ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดจาโผงผางของพ่อตาแม้แต่น้อย
“เฮอะ เหวินอี้บอกข้าสิว่าเจ้ารักเจ้าหนุ่มขี้โรคนี่จริงๆ”
แค่กๆๆๆ
หลิ่วเหวินอี้สำลักน้ำลายอีกครั้งเมื่อบิดาเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา จิ้งจอกเจ้าเล่ห์วันนี้ทำไมเถรตรงจนน่าตกใจ คิดการอันใดไว้เบื้องหลังอีกหรือเปล่าละนี่ ดวงตาคมกริบที่มองมายังเขาทอประกายเจิดจ้าและคาดหวัง อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยบอกรักลั่วเหยียนเจิ้งมาก่อน แต่ว่าจะให้เขาบอกรักต่อหน้าผู้คนนับหมื่นจริงๆ หรือ
“อี้เอ๋อร์คนดีหากครั้งนี้เจ้าบอกรักเจิ้น เจิ้นจะยอมอยู่ข้างล่างอีกครั้ง”
แค่กๆๆ
ครั้งนี้ไม่ใช่หลิ่วเหวินอี้ที่ไอจนหน้าดำหน้าแดงแต่กลับเป็นประมุขนิกายมารฟ้าที่เกิดมาจะห้าสิบปีแล้วแต่เพิ่งเคยเห็นคนหน้าด้านไร้ยางอายแบบนี้เป็นครั้งแรก
หลิ่วเหวินอี้ปิดปากเงียบมองคนตาปริบๆ คาดหวังด้วยใบหูแดงก่ำและสายตากดดันจากผู้เป็นพ่อทำให้เขาพูดไม่ออกรู้สึกกดดันเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ตอบความจริงมา ไม่รักก็บอกพ่อไม่ต้องกลัว”
“กล้ารึ” ดวงตาที่คาดหวังกลับเต็มเปี่ยมไว้ด้วยอำนาจการข่มขู่ หลิ่วเหวินอี้มองทั้งคู่แล้วถอนใจยาวทำไมคนที่ผิดกลับเป็นเขาเช่นนี้
“ข้ารักท่านพี่เหยียนเจิ้งจริงๆ นั่นแหละท่านพ่อ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยตอบเสียงเรียบ จึงได้รับรอยยิ้มเปรมปรีจากลั่วเหยียนเจิ้ง ทว่าใบหน้าบูดบึ้งของบิดาทำให้ยิ้มเจี้ยนถึงอย่างไรคนตรงหน้าก็เลี้ยงเขาจนโตมาถึงตอนนี้
“เฮอะ ข้าคิดแล้วว่าต้องได้ลูกเขย แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นสะใภ้ข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนเอ่ยแล้วได้แต่ปิดปากเงียบ เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องบนเตียงให้ใครฟัง ร่างสูงดึงร่างโปร่งของคนรักมากอดด้วยความคิดถึงไม่สนใจสายตาพ่อตาที่มองเขาอย่างไม่พอใจ
“ตกลงท่านจะเอาอะไรเป็นสินสอด”
“ราชโองการละเว้นโทษตายหลิ่วเหวินอี้ตลอดชีวิต” คำตอบที่ได้รับทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งงันไม่คิดว่าคำตอบจะเป็นเช่นนี้มาก่อน คนตรงหน้าห่วงใยหลิ่วเหวินอี้จริงๆ ร่างในอ้อมกอดตัวแข็งทื่อริมฝีปากแม้มแน่นอย่างคาดไม่ถึง
“ท่านพ่อ”
“อย่าร้องไห้นะไม่งั้นข้าไม่ให้เจ้าออกเรือน” หลิ่วเหวินอี้มองบิดาแดงด้วยความอายเพราะไม่เคยแสดงความรักกับบุตรคนไหนมาก่อน เขารู้สึกซาบซึ้งใจจนพูดไม่ออกเขาไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวมาก่อนแต่ว่าครั้งนี้ทำให้เขาน้ำตาซึมออกมาจริงๆ ดวงตาคมกริบที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากของบิดามองลั่วเหยียนเจิ้งและกล่าวออกมาอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
“หากเป็นไปได้กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาทรักอี้เอ๋อร์เพียงคนเดียวและไม่รับสนมเข้าวังหลังหากไม่จำเป็น กระหม่อมไม่อยากให้อี้เอ๋อร์เจ็บปวดเหมือนมารดาของเขา เพราะกระหม่อมมีภรรยาหลายคนจึงเกิดเรื่องมากมาย หวังว่าฮ่องเต้ที่ฉลาดปราดเปรื่องอย่างพระองค์จะเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” หลิ่วโอวหยางจ้องมองลูกเขยอย่างจริงจังเขาไม่ได้คาดหวังให้คนที่เป็นฮ่องเต้มีภรรยาแค่คนเดียวเพราะอำนาจบางครั้งจำเป็นต้องฝืนทำในสิ่งที่ตนไม่อยากทำ เขาแค่อยากให้ฮ่องเต้ไตร่ตรองให้ดีก่อนเท่านั้น
“ได้ข้ารับปาก”
ลั่วเหยียนเจิ้งรับปากอย่างจริงจัง เพราะสนมที่มีอยู่ภายในวังหลวงก็เป็นขั่วอำนาจเพียงพอแล้ว หากอยากสานต่ออำนาจมากกว่านี้คงให้เพ่ยอวี้เป็นคนดำเนินการเอง ที่สำคัญเขาไม่เคยเข้าไปหาพวกนางเลยตั้งแต่มีหลิ่วเหวินอี้เข้ามาอยู่ในหัวใจ
หลังจากตกลงกันได้ก็ผ่านไปหลายชั่วยาม ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้พักอยู่ที่นิกายมารฟ้าเพราะได้มีการจัดเตรียมงานแต่งตั้งฮองเฮาและรัชทายาทไว้ล้วงหน้าแล้ว หากประมุขหลิ่วโอวหยางไม่ยอมตกลงจริงๆ เขาก็จะฉุดหลิ่วเหวินอี้กลับวังด้วยอย่างแน่นอน
ขบวนเสด็จกลับวังหลวงยิ่งใหญ่เหมือนตอนมา ทว่าครั้งนี้กลับมีฮองเฮาเสด็จกลับวังหลวงไปด้วยสร้างความยินดีแก่ทหารกล้าทุกคนที่ไม่ต้องได้ออกแรง ตอนมาพวกเขาทำใจเอาไว้แล้วเพราะว่าที่ฮองเฮาเป็นถึงบุตรชายของนิกายมารฟ้าซึ่งขึ้นชื่อว่าพรรคมาร ทว่าเขาเล่าเป็นตัดสินว่าพรรคมารต้องเลวร้ายเสมอเพราะที่พวกเขาเห็นคือความจริงใจและเปิดเผย ใครจะดีหรือว่าชั่วไม่อาจตัดสินใจได้หากไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง...
หลิ่วโอวหยางมองตามขบวนเสด็จด้วยความเงียบงัน กิริยาที่ดูขี้โมโหและเอาแต่ใจเปลี่ยนกลับคืนมาเย็นชาเฉกเช่นเดิม หากต้องรับมือกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์แห่งวังหลวงไม่อาจเอาชนะด้วยความเจ้าเล่ห์ได้ เพราะคนธรรมดาอย่างเขาจะเอาอะไรไปสู้กับเล่ห์เหลี่ยมในวังหลวงได้ และความจริงใจเปิดเผยคือสิ่งที่ฮ่องเต้ผู้นี้ต้องการ ลั่วเหยียนเจิ้งเป็นถึงราชันย์แห่งแคว้นและยิ่งใหญ่ที่สุดในหกแคว้น แล้วแบบนี้ใครเล่าจะกล้าต่อกร จะห่วงก็แต่หลิ่วเหวินอี้เท่านั้นหวังว่าจะมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองได้เลือก
“ข้าทำให้เจ้าได้แค่นี้อี้เอ๋อร์”
งานเฉลิมฉลองการแต่งตั้งองค์รัชทายาทและฮองเฮาของแคว้นลั่วหยางถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ กษัตริย์ต่างแคว้นต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันทุกแคว้นเนื่องจากฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งทรงเป็นจักรพรรดิที่มีความปรีชาสามารถกว่าฮ่องเต้องค์อื่นๆ ความฉลาดและน่ายำแกรงของอีกฝ่ายต่างเป็นที่ยอมรับ แม้ครั้งนี้พวกเขาจะตกใจไปบ้างที่พระองค์แต่งตั้งฮองเฮาซึ่งเป็นผู้ชายคนแรกในประวัติศาตร์ ทว่าความงดงามจนสามารถล้มบ้านเมืองได้ทำให้พวกเขาต่างกล่าวขานเป็นเสียงเดียวกันว่า
น่าอิจฉา!
โดยเฉพาะเยี่ยเฟิงกษัตร์ย์แคว้นเยี่ยที่ครั้งหนึ่งเคยปลอมตัวมาเที่ยวเล่นเมืองลั่วหยาง เขายังติดตาตรึงใจกับใบหน้างดงามของหลิ่วเหวินอี้เป็นอย่างดี ไม่คิดว่าวันนี้จะได้พบกันอีกครั้ง ทว่าทุกอย่างกับสายเกินไปเสียแล้วได้พบเจอแต่กลับไร้วาสนา
ภายในงานต่างจัดขึ้นอย่างงดงามสมเกียรติ การแสดงมากมายถูกจัดต้อนรับคณะแขกผู้มาเยือน แม้นางรำจะชม้ายชายตายั่วยวนลั่วเหยียนเจิ้งเพียงใดกลับไร้ผลเพราะพระองค์ไม่สนใจผู้ใดแม้แต่น้อย วันนี้หลิ่วเหวินอี้สวมใส่อาภรณ์สีแดงสดทักทอด้วยดิ้นทองงดงาม แม้ใบหน้าไม่ได้ตกแต่งเหมือนอิสตรีแต่ความงามกลับเฉิดฉาย ใบหน้าเย็นชาดวงตานิ่งสงบไม่ได้หวั่นใจกับภาพตรงหน้าแม้แต่น้อยคล้ายกับว่าคุ้นเคยเหตุการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดี ทว่าใครจะรู้เท่าเจ้าตัวเล่า
หลิ่วเหวินอิ้กุมมือตัวเองนั่งนิ่งอยู่เคียงข้างลั่วเหยียนเจิ้ง แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยทว่าหัวใจกลับสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้น ไม่เคยคิดเคยฝันว่าตัวเองจะเป็นฮองเฮาแม่พระของแผ่นดิน แม้ตำแหน่งจะไม่ชอบใจนักแต่หากอยากเคียงคู่กับคนที่รักก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาเชื่อว่าคนที่เขามอบหัวใจให้นี้ไม่มีวันทอดทิ้งตน
“เหนื่อยหรือไม่” มือหนาที่ยื่นมาจับมือตัวเองไว้ หลิ่วเหวินอี้เงยหน้ามองแล้วส่ายหน้าเบาๆ ความห่วงใยที่ลั่วเหยียนเจิ้งมอบให้หัวใจเขารู้สึกอบอุ่นเสมอ
“อย่ามองเจิ้นเช่นนั้น ถ้ายังไม่อยากถูกกิน” หลิ่วเหวินอี้ใบหน้าแดงระเรื่อก้มหน้าหลบสายตาคนหื่นไม่เป็นเวลา ขนาดอยู่บนรถม้ายังกลืนกินเขาอย่างไม่อายดีแค่ไหนที่เขามีแรงลุกมาร่วมงานด้วยเช่นนี้
หลังจากผ่านพ้นเวลาแสนทรมานที่ต้องนั่งปั้นหน้าไร้ความรู้สึกมาหลายชั่วยาม ในที่สุดงานเลี้ยงก็ได้ถึงเวลาเลิกลา เขารู้สึกขอบคุณลั่วเหยียนเจิ้งที่ไม่จัดงานเจ็ดวันเจ็ดคืนตามที่เหล่าขุนนางเสนอ เพราะแค่สามวันเขาก็เหนื่อยจนแทบไม่อยากร่วมงานแล้ว การนั่งเฉยๆ ไม่ได้ทำให้เข้าเหนื่อยอะไรมากมายเพียงแต่การปั้นหน้าตอบรับความยินดีของเหล่ากษัตริย์ในพันธมิตรต่างหากที่ทำให้เขาเหนื่อยใจ อาจเพราะคนเหล่านั้นไม่อาจล่วงเกินได้อีกทั้งเป็นคนที่รู้จักจึงต้องรักษาหน้าเอาไว้
“เหนื่อยหรือไม่อี้เอ๋อร์” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนที่เข้ากอดเอวเขาเล็กน้อย แล้วพยักหน้ายอมรับเขารู้สึกเหนื่อยจริงๆ แต่ขณะเดียวกันเขารู้สึกมีความสุข ดวงตาเรียวหันไปมองท้องฟ้ายามราตรีอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กับเอนกายพิงร่างสูงที่อยู่ด้านหลัง ลั่วเหยียนเจิ้งเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกวางใจและมอบชีวิตไว้ได้ แม้ในอดีตจะไม่ไว้ใจใครจนไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร หากเขาไม่เปิดใจรับลั่วเหยียนเจิ้งเข้ามาในหัวใจคงไม่รับรู้ว่าความสุขเหมือนเวลานี้แน่ๆ ใบหน้างดงามยกยิ้มบางก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบาอบอุ่นที่ทำให้หัวใจคนฟังเต้นระรัว
“ข้ารักท่าน ขอบคุณที่ทำให้ข้ารู้จักความรักความไว้ใจอีกครั้ง”
ร่างสูงกอดรัดร่างโปร่งแน่นขึ้นก่อนจะก้มลงจูบแก้มอย่างคิดถึงและโหยหา หลิ่วเหวินอี้ไม่รู้หรอกว่าตัวเองคือแสงสว่างที่จุดประกายความรู้สึกให้เขาอีกครั้ง คนที่ควรขอบคุณที่ทำให้หัวใจซึ่งไร้ความรู้สึกได้รู้จักคำว่ารักก็คือตัวเขา เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เขาจะต้องตอบแทนแสงสว่างดวงนี้ด้วยการบอกรักทั้งคืน ให้สมกับที่ได้มาครอบครองอย่างยากลำบาก
“อ๊า...เดี๋ยวสิจะทำอะไร” หลิ่วเหวินอี้ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจเมื่อร่างถูกอุ้มขึ้นในท่าเจ้าสาวเข้าไปในห้องบรรทม แม้พอจะคาดเดาได้แต่ว่าตอนนี้เขายังเหนื่อยไม่หายเลย
“เจิ้นจะบอกรักเจ้าจนกว่าจะมีทายาท เพื่อตอบแทนความรักที่อี้เอ๋อร์มีให้เจิ้น เจ้าว่าดีหรือไม่” ดวงตาเรียวเบิกกว้างมองคนที่วางตัวเองลงเตียงอย่างไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างที่พูดจริงๆ หรือ แล้วเขาเป็นผู้ชายจะมีลูกได้อย่างไร หรือว่าสุดท้ายแล้วเขาไม่ต้องลงจากเตียงเลยรึ!
“ถ้าอย่างนั้นช่วยถนอมข้าหน่อยนะ”
ลั่วเหยียนเจิ้งฉีกยิ้มกว้าง มองรอยยิ้มท้าทายซึ่งสวนทางกับคำพูดด้วยความหมั่นเขี้ยวเพราะฉะนั้นคืนนี้และคืนต่อไปเขาต้องลงโทษให้หนักๆ ขอบคุณสวรรค์ทำให้เขาได้พบเจอหลิ่วเหวินอี้ เขาสัญญาว่าจะปกครองแคว้นลั่วหยางให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข และมอบความรักความเอ็นดูให้อี้เอ๋อร์คนดีคนเดียวตลอดไป...
จบบริบูรณ์
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณนักอ่านที่น่ารักทุกท่านที่อยู่ด้วยกันจนมาถึงตอนจบบริบูรณ์ หากไม่มีนักอ่านทุกท่านหลิ่งฟางคงไม่สามารถดำเนินเรื่องมาถึงปลายทางได้ ขอบคุณด้วยใจที่อยู่ด้วยกันมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา สำหรับเรื่องเล่ห์ร้ายจอมราชันย์ หากมีการสั่งจองฟางจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะคะ ในเล่มจะมีตอนพิเศษ 5 บทได้แก่
1.น้ำแข็งจอมยั่ว (NC18+)
2.หึง หวง และห่วงมาก...
3.จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ขี้งอน
4.จับมือเดินไปด้วยกัน (50ปีให้หลัง)
5.ฟางเทียนฟง (การกลับมาของคนรัก)
สำหรับคนที่ยังสงสัยเรื่องจิวชงหยวนว่าได้เป็นเซียนหรือไม่ คำตอบคือจิวชงหยวนในรูปแบบเล่มจิวชงหยวนเป็นเซียนค่ะ เพียงแต่เรื่องเล่ห์ร้ายจอมราชันย์การดำเนินเรื่องมันผ่านมาไม่กี่ปีเท่านั้นจึงยังไม่ได้เป็นเซียนค่ะ
หากจบเรื่องนี้แล้วไปอ่านอะไรดี หลิ่งฟางจะเขียนเรื่องต่อไปนี้ค่ะ สามารถตามไปหาอ่านได้ แต่ไม่รับปากว่าจะลงเรื่องไหนก่อน จะลงเรื่อยๆ ช่วงนี้ฟางขอพักผ่อนไปก่อนหลังจากสุขภาพจิตใจดีขึ้นจะลงให้อ่านตามปกติค่ะ
เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้
1. จ้าวยุทธภพเจ้าสำราญ (ฮาเร็ม)
2. มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ
3. บันทึกรักขันทีวังบูรพา
ส่วนเรื่องอื่นที่จะลงมีเทพสายลมซึ่งไม่ใช่นิยายวายแต่ไม่มีนางเอกค่ะ
สุดท้ายและท้ายสุด กราบขอบคุณทุกท่านมากค่าาา
ด้วยรักจากใจ หลิ่งฟาง (ความหอมหวานแห่งสายลม)