❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly  (อ่าน 92959 ครั้ง)

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
ได้ใช้เวลาด้วยกันทั้งวันเลยเนอะ คงมีความสุขมากแน่ๆ
แต่ลึกๆ ก็ยังหน่วงๆ อยู่ อาจจะเพราะอะไรไม่ชัดเจนอยู่


ปล. ชอบตอนกินไอติมด้วยกันอะ เป็นคนชอบกินไอติมเหมือนกัน (เอ๊ะ เกี่ยวไหม555+)
แต่ยี่ห้อที่นัทกิน นานๆกินที มันแพง ฮาๆ ชอบคาราเมลบิสกิตกับคุกกี้แอนด์ครีมมาก อร่อยๆ

ออฟไลน์ kitty08

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-4
ฝันระหว่างกันคงจะสำเร็จในเร็ววันน่ะ  :o8: อยากรู้จังเลยว่าพ่อของแฟรงค์มีปัญหาอะไรกับคนในพื้นที่เนอะถึงได้กลับไปไม่ได้เลยน่ะ แล้วยังห้ามพูดถึงอีก คงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ เลย
เวลาเห็นนัทแล้วก้อคิดถึงต้นเหมือนกันเนอะ บุคลิกหลาย ๆ อย่างคล้าย ๆ กัน แต่ต้นดูจะอ่อนไหวกว่า และต้นก้อเป็นเกย์แต่นัทไม่ใช่เลย
รอติดตามความรักระหว่างทั้งสองต่อไป  :mew1:

ออฟไลน์ Magis

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
หวานแบบไร้ความขมแบบตอนนี้ ก็ดีนะ อ่านไปยิ้มไป มีความสุข อิอิ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
 :pig4:  ได้เห็นบรรยากาศน่ารักๆ ของแฟรงค์กับนัทแล้วก็ อยากให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ


ปอลอ ตอนพิเศษนี้เม้นยากจริงๆ ค่ะ มีมารมาขัดตลอด  :z3: 


แอบดอดมาแก้ไขคำผิด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2015 18:03:13 โดย ่jum »

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly

ตอนที่ 13 ✢ พ่อบ้านแฟรงค์


[/center]

ผมล้างแผลให้นัทด้วยน้ำและสบู่อย่างเบามือ ได้น้องผู้ชายที่ฟรอนท์เป็นคนไปหาสบู่ น้ำสะอาดใส่ชามพลาสติกและผ้าขนหนูผืนเล็กสะอาดๆ มาให้ นัทซี๊ดปากเป็นระยะๆ เพราะแสบแผล แต่ก็อดทนไม่บ่นสักคำ ไม่รู้ว่าหมาตัวนั้นมีเชื้อพิษสุนัขบ้าหรือเปล่า ถ้าไม่แน่ใจนัทก็คงต้องฉีดวัคซีนอีกรอบ เสร็จแล้วผมก็เอาผ้าขนหนูให้นัทกดซับตรงแผลไว้

"นัทเดินไหวมั้ย"

ผมถามอย่างเป็นห่วง นัทอ้ำๆ อึ้งๆ ผมไม่อยากปล่อยเวลาให้ช้ากว่านี้ ส่งกุญแจรถให้ปอนด์ที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ อย่างเป็นห่วง แล้วก็ถือวิสาสะช้อนตัวนัทขึ้นมาอุ้มไว้ นัทดูตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ว่าอะไร ส่วนคนที่มองดูจะคิดยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนใจในตอนนี้

"ปอนด์ เปิดประตูรถให้พี่หน่อย"

ปอนด์รีบทำตามที่ผมบอกโดยเร็ว ผมอุ้มนัทเดินตัวปลิวยังกับแบกนุ่นไปที่รถ ปอนด์เปิดประตูฝั่งคนนั่งด้านซ้ายไว้รออยู่แล้ว ไปถึงผมก็วางนัทลงนั่งบนเบาะรถได้เลย

"เพียวรอพี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา ทุกคนเดินทางกลับไปก่อนนะครับ ไม่ต้องห่วงนัท เดี๋ยวผมจัดการเอง ปอนด์...พี่ฝากดูแลทุกคนแทนพี่กับนัทด้วย"

"ได้ครับ" ปอนด์พยักหน้ารับคำหนักแน่น

ผมเดินไปเปิดประตูรถฝั่งคนขับ สตาร์ทรถแล้วก็ค่อยๆ ขับลงทางลาดชันไป ก่อนจะวิ่งขึ้นอีกรอบเพื่อเข้าสู่ถนนใหญ่ ผมพอจำได้ว่าโรงพยาบาลเขาค้ออยู่ที่ไหน จึงบึ่งรถไปอย่างไม่รอช้า

"พี่แฟรงค์ไม่ต้องบอกแม่นัทนะ นัทไม่อยากให้แม่เป็นห่วง"

นัทเอ่ยขึ้นหลังจากที่ผมขับรถไปตามถนนใหญ่ได้สักพัก มือยังง่วนเอาผ้าขนหนูกดซับแผลไว้อยู่ ผมเอื้อมมือไปตบไหล่นัทเบาๆ ถ้านัทไม่อยากให้บอกก็ไม่มีปัญหาหรอก ผมอยู่ตรงนี้ทั้งคน ยังไงก็ดูแลนัทได้สบายอยู่แล้ว

"อดทนอีกนิดนะ จะถึงโรงบาลแล้ว"

นัทพยักหน้า จากนั้นเราก็นั่งเงียบ ไม่ได้คุยกันเลยจนถึงโรงพยาบาล

พอถึงโรงพยาบาลแล้วผมก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพยาบาลและหมอไป นัทต้องฉีดยากันพิษสุนัขบ้าสองเข็ม ถ้าเคยฉีดมาแล้วไม่ต้องฉีดครบชุดใหญ่ เข็มแรกฉีดทันที จากนั้นนับไปอีกสามวันให้มาฉีดอีกรอบ แต่ไม่ต้องฉีดเซรุ่มด้วยเหตุผลเดียวกัน พอเสร็จเรียบร้อยหมอก็ให้ยามาชุดหนึ่ง ก่อนจะอนุญาตให้กลับบ้านได้

ผมพานัทกลับมาที่รีสอร์ทและเปิดห้องพักให้ใหม่หนึ่งห้อง ทางรีสอร์ทยินดีให้พักฟรีสองวันเพื่อชดใช้แทนค่ารักษาพยาบาล ผมให้นัทนอนพักผ่อนไปก่อน ไม่อยากให้นัทเดินทางเพราะกลัวแผลอักเสบ ค่อยกลับวันที่ฉีดวัคซีนรอบสุดท้ายดีกว่า

พอจัดการธุระของนัทเสร็จแล้ว ผมก็พาเพียวเดินทางไปสนามบินพิษณุโลก เธอจองตั๋วออนไลน์ไว้แล้วตอนที่ผมพานัทไปโรงพยาบาล ได้เที่ยวบินตอนบ่ายสอง ตอนนี้เพิ่งสิบเอ็ดโมงเศษจึงน่าจะไปถึงทันก่อนเวลาขึ้นเครื่อง

เพียวนั่งเงียบไม่พูดไม่จา เหม่อลอยสลับกับครุ่นคิดตลอดทาง ผมไม่เคยเห็นเธอเป็นอย่างนี้เลยตั้งแต่คบกันมา เหตุการณ์ในช่วงวันสองวันนี้คงทำให้เธอเข้าใจเรื่องต่างๆ ดีขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งผมทนความเงียบไม่ไหว ต้องยอมเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเธอก่อน

"เพียวจะแวะกินข้าวก่อนมั้ย"

"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเพียวไปกินที่สนามบินก็ได้ ยังไม่หิว" น้ำเสียงนั้นฟังดูห้วนสั้นและห่างเหิน ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าผมด้วยซ้ำ

"โอเค"

ผมพูดสั้นๆ เช่นเดียวกัน ดูจากอาการแล้วเพียวคงไม่อยากพูดคุยเท่าไหร่ ก็เลยเงียบกันไปสักพัก ถนนช่วงนี้สวยมากเพราะวิ่งผ่านภูเขา เราจึงเปลี่ยนความสนใจไปที่วิวสองข้างทางและข้างหน้าแทน เส้นขอบทิวเขาสีเขียวเข้มตัดกับฟ้าสีครามยามหน้าหนาวดูแล้วเพลินตา แต่ความสวยงามนั้นกลับไม่มีผลอะไรกับเราสองคนเลย

"เพียวคิดยังไง พี่หมายถึง...เรื่องของพี่กับนัทที่น้านวลเล่าให้ฟังเมื่อวาน"

ผมถามขึ้นเมื่อเราเงียบกันไปกว่าสิบนาที อย่าว่าแต่คนฟังเลยที่ลำบากใจ คนถามก็ลำบากใจไม่น้อยเหมือนกัน

"ไม่รู้ค่ะ" เพียวตอบแค่นั้น

ผมรู้ว่าเธอกำลังคิดหนักและเป็นทุกข์ ครั้นผมจะกระเหี้ยนกระหือรือรุกคืบหรือบีบบังคับเธออยู่ฝ่ายเดียวก็คงไม่เหมาะ ต้องรักษาความเป็นสุภาพบุรุษเอาไว้บ้าง แม้เป้าหมายคือต้องเลิกรากันไป แต่ก็ไม่อยากทำให้เพียวรู้สึกว่าผมไม่แคร์หัวจิตหัวใจเธอเลย ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะทำอะไรเราก็ตัดสินใจร่วมกันมาตลอด พอถึงคราจะเลิก จะให้ผมตัดสินใจคนเดียวก็กระไรอยู่

"นัทเค้าอยู่ในใจพี่มาตั้งนานแล้ว พี่คงไม่สามารถตัดใจจากเค้าในชาตินี้ได้ ต่อให้ไม่ได้กลับมาเจอกัน นัทก็ยังอยู่ในใจของพี่ ไม่เคยหายไปไหน เค้าอยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ พี่ผิดเองที่ทำให้เพียวต้องมาเสียเวลาด้วย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พี่ก็คงไม่ดึงใครเข้าพัวพันกับปัญหาของพี่ให้มันยุ่งยากแบบนี้ เชื่อพี่นะเพียว รักคนที่เขารักเราดีกว่า ให้โอกาสหัวใจของเพียวได้เจอคนใหม่ วันนี้พี่ขอเป็นคนใจร้ายทำให้เพียวเสียใจ แต่มันก็ดีกว่าที่เพียวจะเสียใจเพราะพี่...ในวันที่มันสายเกินไป"

ผมเน้นย้ำตรงคำว่า "สายเกินไป" ช้าๆ ชัดๆ เพียวกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาอาบสองแก้ม ผมก็ชักใจแป้วไปเหมือนกัน

"หมายความว่า...พี่แฟรงค์ไม่เคยรักเพียวเลยเหรอคะที่ผ่านมา"

ผมรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก ถ้าหากผมเป็นเธอบ้างก็คงรู้สึกแย่ไม่น้อยที่คนที่เรารักพยายามหาเหตุผลร้อยแปดมาบอกเลิก มันย่อมดีกว่าแน่นอนถ้าเรายอมปล่อยมือคนที่ไม่รักเราอีกแล้ว แต่เพียวคงไม่อยู่ในช่วงเวลาที่จะปลงใจได้ ถึงผมอยากจะให้เราจบเร็วแค่ไหน ก็ต้องรอให้เพียวคิดและตัดสินใจด้วย

"เพียวอยากบอกอะไรกับพี่มั้ย พูดอะไรก็ได้ที่เพียวอยากพูด ด่าพี่ก็ได้ ถ้ามันจะทำให้เพียวรู้สึกดีขึ้น พี่ก็ยอม"

ผมส่งผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงให้ เพียวรับไปแล้วก็ซับน้ำตาอย่างเงียบๆ ผมรู้สึกแย่กับสถานการณ์อย่างนี้เหลือเกิน รู้ดีว่าคนที่เจ็บมากที่สุดตอนนี้ก็คือเพียว เจ็บปวดโดยที่เธอไม่ได้ทำผิดเลย

"เพียวไม่รู้จะพูดอะไร เอาเป็นว่า...ขอเวลาเพียวอีกซักสามสี่วัน แล้วเพียวจะให้คำตอบกับพี่ ก็รอฟังแล้วกัน อาจจะเป็นข่าวดีก็ได้"

ผมเอื้อมมือไปแตะมือของเพียวแล้วก็บีบเบาๆ ให้กำลังใจ เพียวเหลือบมองแล้วก็หันกลับไปตามเดิม เธอคงรู้ว่าแม้จะเป็นมือเดิมที่คุ้นเคย แต่ความรู้สึกและสัมผัสที่เกิดขึ้นช่างแตกต่างจากที่ผ่านมาสิ้นดี

"พี่จะเอาใจช่วยนะเพียว พี่รู้ว่าเพียวเป็นคนที่เจ็บมากที่สุด แต่พี่เชื่อว่าเพียวเข้มแข็งมากพอที่จะผ่านมันไปได้ เพียวจำไว้นะ...ถึงเพียวกับพี่ไม่ได้รักกันเหมือนที่ผ่านมา แต่เราสองคนก็มีสิ่งดีๆ หลายอย่างร่วมกัน ถ้าเพียวไม่รังเกียจ เราก็ยังเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกันได้ พี่จะรอฟังนะ อ้อ...ถ้าเพียวมีอะไรให้ช่วย พี่ก็ยินดีเสมอ"

ผมยิ้มบางๆ ให้กำลังใจ ภาวนาขอให้เธอคิดได้ในเร็ววัน ไม่ใช่เพราะอยากให้เธอไปให้พ้นๆ ไวๆ แต่คนเราถ้าคิดและเลือกได้แล้ว กำลังใจและความมุ่งมั่นก็จะเพิ่มมากขึ้นจนเอาชนะความเสียใจได้ อีกไม่นานก็จะพร้อมก้าวไปบนเส้นทางชีวิตใหม่

แต่กระนั้น...แม้เพียวจะยอมหลีกทางให้ ก็ใช่ว่าอุปสรรคจะหมดไปง่ายๆ อุปสรรคที่ใหญ่กว่ากำลังรอผมอยู่ข้างหน้า อุปสรรคจากคนใกล้ตัวนับว่าเป็นหนึ่งในปัญหาที่แก้ยากที่สุด แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอันเกิดจากสายเลือด แต่ก็อาจเปราะบางเสียจนแตกหักได้ง่ายๆ

มีหลายอย่างที่ผมไม่เข้าใจตอนเด็กๆ แม้จะรู้ว่าพ่อขัดแย้งผลประโยชน์กับเพื่อนที่นั่น แต่ผมก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพ่อถึงห้ามผมไม่ให้กลับไปเพชรบูรณ์อีก เรื่องของพ่อไม่เห็นเกี่ยวกับผมเลย แต่ใครอย่าเผลอพูดเรื่องนี้ให้พ่อผมได้ยิน รายไหนรายนั้นเป็นต้องเจออาการโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

เหตุการณ์ที่ทำให้ผมคลายสงสัยและพอจะปะติดปะต่อเรื่องได้เกิดขึ้นช่วงที่ผมเรียนปีสาม ตอนนั้นผมกับเพียวยังไม่ได้เป็นแฟนกัน เพื่อนๆ ผมตกลงกันว่าจะไปเที่ยวด้วยกันสักครั้งก่อนเรียนจบ แล้วพวกเราก็เลือกเขาค้อ พอพ่อผมรู้เรื่องเท่านั้นก็เรียกผมไปหา สั่งห้ามและต่อว่าต่างๆ นาๆ จนผมต้องขอยกเลิกทริปกับเพื่อนๆ ไป โชคดีที่เพื่อนๆ ยอมเปลี่ยนเป็นที่อื่นเพราะอยากให้ไปด้วยกันครบทุกคน ผมยังจำใบหน้าและน้ำเสียงโกรธจัดของพ่อได้ดี

"แฟรงค์ต้องลืมเรื่องเก่าๆ ได้แล้ว พ่อไม่อยากให้แฟรงค์ทำอะไรที่มันไม่ควร อย่าลืมว่าแฟรงค์เป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลเรา ปู่กับพ่อฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่แฟรงค์ทั้งหมด อย่าทำให้ปู่กับพ่อต้องผิดหวังสิแฟรงค์"

"พ่อพูดเรื่องอะไรเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ ทำไมผมจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดผมมั่งไม่ได้ พ่อกลัวอะไรเหรอครับ" ปกติผมไม่ค่อยเถียงพ่อนักหรอก แต่วันนั้นผมคงทนไม่ไหว

"อย่าเถียงพ่อนะแฟรงค์ เอาเป็นว่า...พ่อจะอนุญาตให้แฟรงค์กลับไปที่นั่นได้อีกก็ต่อเมื่อ...แฟรงค์มีแฟน หรือแต่งงานมีลูกมีเมียแล้วเท่านั้น จนป่านนี้แฟรงค์ก็ยังทำไม่ได้เลย แล้วจะให้พ่อไว้ใจได้ยังไงว่าแฟรงค์จะไม่เป็นอย่างที่พ่อกลัว รูมั้ยว่าพ่อกับแม่กลัวขนาดไหน ไม่งั้นพ่อไม่จับแฟรงค์แยกจาก..."

จู่ๆ พ่อก็หยุดพูดกลางคัน เหมือนเพิ่งนึกได้ว่ากำลังพลั้งปากพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดเสียแล้ว ผมพอรู้ว่าที่บ้านกลัวผมเป็นเกย์ แล้วพ่อจับผมแยกจากใครกัน ในชีวิตนี้ผมเคยแยกจากคนๆ เดียวเท่านั้น พอนึกออกแล้วผมก็เสียววาบไปทั่วทั้งสันหลัง

"อย่าให้พ่อรู้นะว่าแกกลับไปที่นั่นอีก พ่อขอห้ามอย่างเด็ดขาด" พ่อคาดโทษด้วยเสียงเฉียบขาด ก่อนจะเดินออกไปด้วยอาการฉุนเฉียวจนคนอื่นๆ เข้าหน้าไม่ติด

ผมวิ่งขึ้นไปบนห้องของตัวเอง ค้นลิ้นชักหาการ์ดที่นัทเขียนให้และรูปถ่ายของเราสองคนออกมาดูอย่างร้อนรน ตอนที่จากนัทมาคราวนั้น ผมก็คิดว่าผมเสียใจมากแล้ว แต่วันนี้ผมเสียใจยิ่งกว่าเป็นร้อยๆ เท่า พอเห็นการ์ดแล้วก็นึกถึงตอนที่นัทกอดผมไว้ ร้องไห้อ้อนวอนไม่ให้ผมไปปานจะขาดใจ นัทเฝ้าถามผมว่าใครจะอยู่เป็นเพื่อนนัท ใครจะขี่จักรยานไปกลับโรงเรียนด้วยกัน ใครจะซื้อไอติมให้นัทกิน แม้จะยังเด็ก แต่ผมก็แทบจะขาดใจเสียให้ได้

"นัท...พี่ขอโทษ..."

ผมปล่อยให้ตัวเองร้องไห้โฮอย่างสุดกลั้น เกือบสิบปีแล้วที่ผมจากนัทมา ถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้ผมก็คงคิดว่าตัวเองลืมไปหมดแล้ว ที่ไหนได้ ผมไม่เคยลืมความรักความผูกพันกับน้องที่ผมรักเลย เพราะอย่างนี้นี่เองพ่อถึงกีดกันผมทุกวิถีทาง

หลังจากวันนั้นผมก็ใช้เวลาทำใจอยู่สักพัก สุดท้ายก็เหมือนลืมๆ กันไปอีกจนได้ คงเป็นเพราะไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยวมากพอ รูปถ่ายและการ์ดใบนั้นก็เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความผูกพันที่ไม่มีวันกลับคืนมา จนกระทั่งผมได้เจอกับนัทอีกครั้ง ความทรงจำและความผูกพันเก่าๆ ที่ถูกเก็บซ่อนไว้จึงฟื้นขึ้นมาทวงคืนสิ่งที่เคยสูญเสียไป

พ่อของผมจะโกรธมากสักแค่ไหนถ้ารู้ว่าจะไม่มีงานแต่งงานของผมกับเพียวเกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่อยากสูญเสียนัทไปอีกแล้ว ได้กลับมาเจอกันคราวนี้ก็เหมือนกับปาฏิหาริย์ ผมจะรักษาปาฏิหาริย์นี้ไว้จนสุดชีวิตของผม

... ... ...

ผมส่งเพียวแล้วก็แวะห้างโลตัสซื้อน้ำดื่มแพ็ค ไม้แขวนเสื้อ ผงซักฟอก กาละมังพลาสติกใบเล็กและเตารีดถูกๆ ติดมือมาด้วย เสื้อผ้าของเราใช้หมดแล้วเพราะเตรียมมาสำหรับสามวันสองคืน ผมไม่อยากซื้อใหม่ก็เลยคิดว่าซักรีดเองดีกว่า ที่ต้องซักเองเพราะรีสอร์ทที่พักอยู่เพิ่งเปิดใหม่ ยังไม่มีบริการซักรีด เสร็จธุระในห้างแล้วผมก็รีบบึ่งรถกลับมาที่ภูลู่ลมรีสอร์ทในเวลาเพียงชั่วโมงเดียว มาถึงก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ แล้ว

พอไขกุญแจห้องพักเข้าไปก็เห็นนัทนอนอยู่ ผมเอาของที่ซื้อมาวางไว้บนโต๊ะตัวหนึ่งข้างๆ ทีวี พอนัทได้ยินเสียงกุกกักก็เลยงัวเงียตื่นและลุกขึ้นนั่ง ผมเดินไปนั่งข้างๆ แล้วก็ถามอย่างเป็นห่วง

"มีไข้มั้ย"

ผมถามพลางเอามือแตะหน้าผากนัท ดูเหมือนจะมีไข้รุมๆ อยู่บ้าง

"พี่แฟรงค์กินข้าวหรือยัง" นัทถามด้วยความเป็นห่วงเช่นเดียวกัน

"ยังเลย"

"นัทสั่งมาให้แล้ว พี่แฟรงค์กินข้าวก่อนดีกว่า มันน่าจะเย็นแล้วล่ะ พอดีนัทกะเวลาไม่ถูกว่าพี่แฟรงค์จะกลับมาถึงตอนไหน"

ผมมองไปที่จานข้าวที่หุ้มด้วยพลาสติกใสที่วางไว้ตรงโต๊ะเล็กๆ ข้างทีวีตัวนั้น ตอนนี้มีของวางอยู่เต็มไปหมด ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็เดินไปหยิบจานข้าวมา ข้าวผัดปูจานนี้เย็นชืดไปแล้ว แต่ผมก็ต้องกินประทังชีวิตไปก่อน

"รอพี่แป๊บนึงนะ"

ผมบอกนัทแล้วก็เดินไปหยิบน้ำมาหนึ่งขวดส่งให้นัท แล้วก็หยิบอีกหนึ่งขวดของตัวเองออกไปนั่งกินข้าวที่โต๊ะซีเมนต์ทาสีลายไม้ข้างนอกห้อง กินไปไม่ทันถึงครึ่งจานผมก็หยุดกิน ภาพเหตุการณ์ที่นัทร้องไห้อ้อนวอนไม่ให้ผมไปวนเวียนมาเข้ามาในหัวอีกแล้ว คงเป็นเพราะผมเพิ่งนึกถึงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานั่นเอง ก็เลยพาลให้กินข้าวไม่ลง

ผมเช็ดปาก ดื่มน้ำสองสามอึก แล้วก็เดินกลับเข้ามาในห้อง นัทยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมและมองผมด้วยรอยยิ้มแปลกๆ

"พี่แฟรงค์ นัทปวดฉี่น่ะ"

เสียงอ้อนนั้นทำให้ผมเผลอยิ้มอย่างเอ็นดู ลืมเรื่องรบกวนใจเมื่อกี้ไปเลย

"เดี๋ยวพี่พาไป ให้อุ้มมั้ย หรือว่าจะให้ช่วยพยุง"

"พยุงดีกว่า เดี๋ยวพี่แฟรงค์หลังหักพอดี"

ผมเดินไปยืนข้างๆ นัทค่อยๆ ยืนขึ้นแล้วก็โอบไหล่ผมไว้ จากนั้นผมก็พยุงนัทเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างช้าๆ ไม่ให้นัทลงน้ำหนักที่ขาข้างที่โดนกัดมากเพราะจะทำให้แผลอักเสบ ถ้าเป็นแผลสุนัขกัด หมอจะไม่ปิดแผลให้เพราะเชื้อพิษสุนัขบ้าเติบโตได้ดีในภาวะขาดออกซิเจน จึงต้องเปิดแผลไว้ ผมจึงต้องพานัทไปทำแผลทุกวันจนกว่าจะหายอักเสบอีกด้วย

"พี่แฟรงค์ออกไปก่อนดิ" นัทบอกเมื่อเข้ามาในห้องน้ำแล้ว

"อายเหรอ แล้วนัทจะยืนยังไง ไม่ต้องอายพี่นะ เราสองคนมีความสัมพันธ์กันแล้ว เห็นกันหมดแล้วจะอายทำไม พี่พูดจริงๆ นะ ระหว่างเราสองคน ไม่มีอะไรต้องอายกันหรอก ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนนะ"

นัทตีหน้าเหลอ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าตกลง ผมพานัทไปยืนตรงชักโครก จากนั้นก็อ้อมไปยืนข้างหลัง ใช้สองมือจับลำตัวนัทคอยพยุงไว้ นัทปลดซิบแล้วก็ยืนฉี่อย่างเก้ๆ กังๆ คงเป็นเพราะไม่ชินนั่นเอง แต่ผมก็อยากให้เราสองคนชินในทุกๆ มิติชีวิตของกันและกัน อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นชีวิตคู่

"เดี๋ยวพี่กดน้ำให้" ผมบอกเมื่อเห็นนัททำท่าก้มตัวและเอื้อมมือไปแต่ก็กลัวล้ม

"นัทเขยิบออกมาหนึ่งก้าวนะ แล้วก็เกาะไหล่พี่ไว้"

นัททำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่าย ผมเขยิบเข้าไปแทนที่นัทแล้วช่วยกดน้ำให้

"ตาพี่มั่งนะ พี่ก็ปวดฉี่เหมือนกัน"

นัททำหน้าเหลออีกแล้ว แต่ก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ผมรูดซิบออก เล็งเป้าหมายได้แล้วก็เริ่มปลดปล่อยของเสียในรูปของเหลวออกมา ในระหว่างนี้ก็หันไปมองหน้านัท ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยแล้วก็ทำเสียง "ฉี่" ยาวๆ ไปพร้อมกับการปฏิบัติภารกิจของผมด้วย

"พี่แฟรงค์ตลกง่ะ"

นัทหัวเราะชอบใจพลางเอามือทุบไหล่ผมเบาๆ ผมรู้ว่าเราสองคนรู้สึกดีแค่ไหนที่เริ่มเข้าใกล้ชีวิตส่วนตัวของกันและกันมากขึ้น

เสร็จภารกิจแล้วผมก็เอื้อมมือไปหยิบกระดาษชำระมาเช็ดทำความสะอาดโถนั่งที่เปรอะเปื้อนนิดหน่อย ก่อนจะกดน้ำทำความสะอาดเป็นขั้นตอนสุดท้าย

"ล้างมือก่อนนะ"

ผมให้นัทโอบไหล่ผมไว้เหมือนเดิม พาเดินมาที่อ่างล้างมือที่อยู่ห่างเพียงสองสามก้าว ผมล้างมือก่อน จากนั้นก็อ้อมไปยืนด้านหลังของนัท ช่วยพยุงลำตัวนัทไว้ให้ยืนล้างมือได้โดยไม่ต้องกลัวล้ม เสร็จเรียบร้อยแล้วก็พยุงนัทออกมาจากห้องน้ำ แล้วก็ให้นัทนอนพักผ่อนบนเตียงตามเดิม

"อยากทำอะไรก็บอกพี่นะ ไม่ต้องเกรงใจ น้านวลจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงไง"

พอผมเล่นไม้นี้นัทก็เลยพยักหน้า นัทคงไม่อยากให้แม่เป็นห่วงจนต้องปิดร้านมาช่วยดูแลหรอก แต่ถ้าน้านวลรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ แกคงไม่ห่วงเพราะเชื่อใจว่าผมจะดูแลนัทเป็นอย่างดีอยู่แล้ว

"เดี๋ยวพี่จะซักเสื้อผ้าให้นะ ข้างนอกลมแรง ตากแป๊บเดียวก็แห้งแล้ว เราจะได้มีเสื้อผ้าใส่ไง นัทนอนพักสบายๆ เลย เย็นๆ พี่จะออกไปหาซื้ออะไรอร่อยๆ มาให้กิน"

นัทยันกายลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าเกรงใจ "พี่แฟรงค์ไม่ต้องซักให้นัทก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้นัทจะซักเอง"

"ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก ถ้านัทหายแล้วเดี๋ยวพี่จะใช้คืนให้คุ้มเลย" ผมแกล้งพูดติดตลก

"จะดีเหรอ"

ผมพยักหน้า จากนั้นก็จัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก เหลือแต่ชุดชั้นในสีเทาแบบทรังค์ เตรียมตัวเป็นพ่อบ้านเต็มที่ ผมเอาเสื้อกับกางเกงที่ถอดออกใส่ไม้แขวนเสื้อแขวนไว้ที่ลูกบิดประตูห้อง ชุดนี้ยังซักไม่ได้เพราะไม่งั้นจะไม่มีใส่ นัทนั่งมองดูแล้วก็ยิ้มให้ผมแปลกๆ ไม่รู้ว่าแอบมองอะไรของผมอยู่หรือเปล่า สักพักก็นอนลงไปตามเดิม

ผมเอากะละมังและผงซักฟอกเข้าไปในห้องน้ำ เปิดฝักบัวใส่น้ำจนเกือบเต็ม ใส่ผงซักฟอกแล้วก็ตีเป็นฟอง ก่อนจะเดินมาเปิดกระเป๋าเอาเสื้อผ้าของเราสองคนไปซัก กะละมังเล็กไปหน่อยผมจึงต้องแบ่งเป็นสองกอง ซักให้หมดทุกอย่างทั้งข้างในและข้างนอก

ผมเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ นัทจึงพอมองเห็นว่าผมทำอะไรอยู่ นอนไปสักพักแล้วก็ลุกขึ้นมานั่งดูอีกรอบ

"พี่แฟรงค์น่ารักง่ะ เหมือนพ่อบ้านเลย"

นัทพูดพลางยิ้มและหัวเราะ ผมก็เลยหันไปหัวเราะด้วย

"ทำไมไม่นอนล่ะ แผลจะได้หายไวๆ" ผมเตือนอย่างเป็นห่วง

"พี่แฟรงค์"

"หืม..." ผมเอียงคอมองนัทอย่างสงสัย

"มาหานัทตรงนี้หน่อยดิ"

ผมเลิกคิ้วมอง ท่าทางของนัทดูแปลกๆ "มีอะไรเปล่า"

"ก็มาก่อนดิ" นัทรบเร้าด้วยท่าทางอ้อนๆ

"พี่ตัวเปียกนะ" ผมแย้ง

"ก็เช็ดตัวดิ ผ้าเช็ดตัวก็มี"

"โอเคๆ"

ผมสะบัดมือให้ฟองออกไปบางส่วน จากนั้นก็ลุกขึ้นไปล้างมือ เดินออกมาหยิบผ้าเช็ดตัวที่วางไว้ตรงโต๊ะข้างทีวีแล้วก็เช็ดตัวให้แห้ง คอยหรี่ตามองนัทอย่างสงสัย เจ้าตัวเขินไม่กล้าสบตาเลย ผมเอาผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างไว้แล้วก็เดินไปนั่งลงบนเตียงข้างๆ นัท

"ต้องมีอะไรแน่ๆ เลย จะทำอะไรพี่หรือเปล่าเนี่ย อย่านะ...พี่ยังไม่พร้อม" ผมแกล้งเอามือกอดปกป้องตัวเองไว้แล้วก็หัวเราะ

"ใช่ที่ไหนเล่า" นัทผลักผมเบาๆ เป็นเชิงหยอกเล่น

"แล้วให้พี่มาหาทำไมล่ะ"

นัทยิ้มแหยๆ เหมือนจะมีบางอย่างที่ไม่กล้าบอกตรงๆ

"ถ้าไม่มีพี่ไปซักผ้าต่อนะ"

"เดี๋ยวสิ" นัทรีบท้วงเมื่อผมทำท่าจะลุกไป

"แปลกๆ นะเรา" ผมหรี่ตามองอย่างสงสัย แต่เห็นคนเหนียมอายแล้วก็ชักอยากจะหอมแก้มซักฟอดเหมือนกัน

"นัทอยากกอดพี่แฟรงค์ง่ะ" เจ้าตัวยอมรับสารภาพอายๆ

ผมเลิกคิ้วอย่างงงๆ แต่แล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม "แล้วก็ไม่บอกดีๆ"

นัทโผเข้ากอดเอวพร้อมกับซบหน้าลงบนไหล่ผม ผมจึงสวมกอดไว้อย่างรักใคร่แล้วลูบหลังอย่างเบามือ

"ทำไมอยู่ๆ ก็อยากกอดพี่ขึ้นมาเฉยๆ ล่ะ" ผมถามด้วยความอยากรู้

"ก็พี่แฟรงค์น่ารัก"

"น่ารักแล้วรักพี่หรือเปล่าล่ะ"

"รักสิ ไม่รักแล้วจะกอดทำไมล่ะ"

ผมเอามือลูบผมนัทเบาๆ อย่างเอ็นดู "พี่ก็รักนัทนะ"

นัทกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นแล้วก็ซุกหน้าลงต่ำตรงอกเปลือยเปล่าของผม เจอลูกอ้อนอย่างนี้เข้า ผมคงรักคงหลงจนโงหัวไม่ขึ้นแน่เลย

"ขอบคุณที่ช่วยดูแลนัทนะ แล้วก็...ขอบคุณที่อุตส่าห์เก็บเงินซื้อไอติมแม็กนั่มให้นัทกินด้วย"

นัทพูดติดตลกตอนท้าย ถ้าน้านวลไม่เล่าให้ฟัง ผมกับนัทก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ชมกันซึ่งๆ หน้าอย่างนี้ผมก็เขินแย่ ก็เลยต้องเสพูดเรื่องอื่นไป

"พี่ว่า...เราน่าจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้นะ"

"ข่าวดีอะไรเหรอ" นัทผละออกเล็กน้อย แต่ก็ยังกอดผมไว้หลวมๆ อยู่ ขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย

"พี่คุยกับเพียวตอนไปส่งเค้าที่สนามบิน เพียวบอกพี่ว่า...เค้าขอเวลาคิดอีกซักสามสี่วัน แล้วจะบอกข่าวดีกับพี่"

"จริงเหรอ"

"จริงสิ" ผมบอกด้วยท่าทางตื่นเต้น แล้วก็พูดหยอก "อย่ากอดพี่นานนะ เดี๋ยวมันขึ้นอีก"

คราวนี้นัทก็เลยผละออกไปเลย

"หื่นอีกละ"

ผมหัวเราะชอบใจแล้วก็เอามือขยี้หัวนัทเล่นเบาๆ

"นอนเหอะ แผลจะได้หายไวๆ เดี๋ยวพี่ไปซักผ้าต่อแล้ว"

นัทพยักหน้าแล้วก็ทำตามอย่างว่าง่าย ผมช่วยยกขาข้างที่ถูกหมากัดขึ้นไปวางบนเตียงให้อย่างเบามือ แล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องน้ำเพื่อซักผ้าต่อให้เสร็จ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยได้ทำเอง แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่เป็น

นัทนอนหลับปุ๋ยไปแล้ว ผมซักผ้าเสร็จแล้วก็นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาหาที่ตากหน้าบ้าน อาศัยแขวนตามกิ่งไม้เป็นหลักเพราะไม่มีราวให้แขวน ลมหนาวพัดแรงอย่างนี้น่าจะทำให้แห้งได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

ตากเสร็จแล้วก็กลับเข้ามาในห้อง กำลังจะหยิบเสื้อผ้ามาใส่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะข้างทีวีดังขึ้น ผมก็เลยต้องรีบมารับโทรศัพท์ก่อน แม่โทรมานั่นเอง ผมกดรับแล้วก็เดินออกมาคุยข้างนอก จะได้ไม่ส่งเสียงรบกวนนัท

"สวัสดีครับแม่"

"นัทเป็นไงมั่งล่ะแฟรงค์"

ผมขมวดคิ้วอย่างแปลกใจเพราะยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่เรื่องนี้เลย

"ผมพาไปฉีดยาที่โรงพยาบาลมาแล้วครับ ตอนนี้นอนพักอยู่ที่รีสอร์ทที่กลุ่มเราเพิ่งมาพัก"

"อืม...ก็ดีแล้ว"

"แม่รู้ได้ยังไงครับ" ผมตัดสินใจถามไป

"เมื่อกี้แม่คุยกับเพียว เพียวเค้าเพิ่งถึงบ้านเมื่อกี้"

"ครับ"

หลังจากนั้นผมกับแม่ก็เงียบไปสักพัก

"แฟรงค์...แฟรงค์กำลังทำอะไรอยู่เหรอลูก แม่ไม่ค่อยสบายใจเลย แม่กลัว"

"แม่กลัวอะไรเหรอครับ" สีหน้าผมเริ่มเครียด แม่คงสงสัยบางอย่างถึงได้ถามอย่างนี้

"แฟรงค์...ลูกก็รู้อยู่ แฟรงค์จะแต่งงานแล้วนะลูก แม่ไม่อยากให้แฟรงค์กับพ่อต้อง..."

แม่ปล่อยให้เสียงขาดช่วง แต่ผมก็พอจะเดาออกว่าแม่หมายถึงอะไร ผมถอนหายใจอย่างหนักใจก่อนจะถามหยั่งท่าที

"แม่ครับ...ถ้าผมกับเพียวไม่ได้แต่งงานกัน"

"แฟรงค์! อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะลูก" แม่รีบสวนเสียงแหวกลับมาทันที

"นึกว่าตัวเองกำลังเล่นขายของอยู่หรือไง นึกอยากจะรักก็รัก นึกอยากจะเลิกก็เลิก อีกไม่กี่วันก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว ทางนั้นเค้าจะได้มาแหกอกพ่อกับแม่ตายน่ะสิ เผลอๆ เค้าจะฟ้องเอาด้วย แม่จะไม่ว่าหรอกนะถ้าแฟรงค์กับเพียวเพิ่งคบกัน แต่นี่...เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว แฟรงค์ไม่สงสารน้องหรือไง แล้วเค้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมาถึงเพิ่งคิดจะมาเลิกกันเอาป่านนี้ คิดว่ามันถูกหรือไง"

แม่เล่นว่าผมซะยาวเหยียด แค่นี้ผมก็เริ่มเห็นความยุ่งยากแล้ว ถ้าเป็นพ่อของผมเองจะขนาดไหน ผมถอนหายใจอย่างหนักใจอีกครั้ง พยายามคิดว่าจะสื่อสารให้แม่เข้าใจเรื่องนี้ได้ยังไง

"แม่ครับ...ผมไม่ได้รักเพียว ที่ผมสนใจเค้า...มันก็เริ่มมาจากที่เค้าชอบกินไอติมเหมือนนัท แม่ก็รู้ดีนี่ครับว่าพ่อ...เป็นคนจับผมแยกจากนัทมา ห้ามไม่ให้ผมไปเจอโดยที่ผมก็ไม่เคยรู้ว่าทำไม แต่ผมอยากให้แม่รู้...ความรู้สึกที่ผมมีให้นัทไม่เคยเปลี่ยนไปเลย พอกลับมาเจอกันทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม แม่ก็คงรู้ว่าผมรักน้องคนนี้มากแค่ไหน ผูกพันกับเค้ามากแค่ไหน แล้วที่สำคัญ ตอนนี้ผมก็รักนัทไปแล้วครับแม่ ผมไม่รู้ว่าแม่จะรับได้หรือเปล่า แต่นัทเค้าอยู่ในใจผมมาตลอด ผมไม่รักเค้าไม่ได้ ผมไม่เคยลืมเค้าเลย ถึงพ่อกับแม่จะจับเราแยกกันยังไงผมก็ไม่เคยลืมเค้า หัวใจของผมอยู่ที่นัท ไม่ใช่เพียว ไม่ใช่คนอื่น ผมรักใครไม่ได้แล้วครับแม่"

"แฟรงค์! นี่ลูกพูดอะไรออกมา รู้ตัวหรือเปล่า หาเรื่องใส่ตัวหรือไง รู้มั้ยว่าถ้าพ่อรู้เข้าจะเกิดอะไรขึ้น!"

น้ำเสียงของแม่ฟังดูตกใจมาก ไม่รู้ว่าพ่ออยู่ใกล้ๆ หรือเปล่า แต่คิดว่าแม่คงหาที่เหมาะๆ ไว้แล้วก่อนจะโทรหา

"รู้ครับ ผมรู้ดีทุกอย่าง แต่ไม่ว่าจะยังไง ผมก็จะไม่ยอมเสียนัทไปอีกครับแม่ ถึงพ่อจะฆ่าผมให้ตาย ผมก็ต้องยอม แต่ผม...จะไม่ให้พ่อจับผมแยกจากนัทอีกเป็นอันขาด"

"แฟรงค์!"

แม่เรียกชื่อผมเสียงดังจนเหมือนตะโกน เราเงียบกันไปนาน เหมือนแม่จะคิดอะไรได้จึงเปลี่ยนมาถามผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

"แฟรงค์อย่าเพิ่งบอกพ่อเรื่องนี้ละกัน แม่ขอให้แฟรงค์ทบทวนแล้วก็คิดให้ดีๆ ก่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มันมีผลต่อธุรกิจของเราด้วย"

"ผมไม่มีเวลาแล้วครับแม่ ผมคิดมาเป็นเดือนๆ แล้ว ผมรู้ว่ายังไงๆ ผมก็รักเพียวเหมือนเดิมไม่ได้ เราสองคนอยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีความสุขหรอกครับแม่ เอาเป็นว่า...ถ้าเพียวเค้าตกลงใจได้เมื่อไหร่ว่าเราจะไม่แต่งงานกัน ผม...จะเป็นคนคุยกับพ่อเอง"

"แฟรงค์! นี่ลูกบ้าไปแล้วเหรอ หาเรื่องอย่างงี้ทำไมห๊ะ!"

ผมถอนหายใจยาว คงจะเป็นรอบสุดท้ายก่อนวางสาย

"ผมขอโทษครับแม่ แต่ผม...ยอมไม่ได้แล้วครับ!"


- TBC -[/center]

อ่านจบ บวกเป็ด คอมเมนต์ ทุกเรื่อง ทุกตอน :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2017 14:03:44 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
อ่านจบแทบจะสลบเหมือด
ศึกสายเลือดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

จริงๆแล้วก็เห็นใจเพียวนะ
หมดรักก็หมดใจ
หวังเพียงแต่ให้เพียวตัดใจได้เร็วๆ จะได้ไม่เจ็บนาน

เพราะถึงจะยื้อเอาไว้..ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรจะดีขึ้นแล้ว

+1 ให้กับสองตอนล่าสุด

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
นี่เองสินะ สาเหตุที่โดนจับแยกกันตอนเด็ก
ศึกแห่งสายเลือดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วสินะ เอาใจช่วยหวังว่าพ่อแม่จะเข้าใจลูก

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
เห็นใจทุกฝ่ายเลยคับ และผมก็ลุ้นว่าพ่อจะจัดการยังไง แฟรงค์จะทำยังไง อยากให้แฟรงค์ นัทเขาฝ่าฟันไปได้ด้วยดี
อ่านฉากที่แฟรงค์คุยกับแม่แล้วผมลุ้นว่า แฟรงค์คงจะยอมหักกับพ่อแน่ๆเลยถ้าพ่อรู้เรื่องนี้เข้า ชอบฉากนัท แฟรงค์ สวีทกันมากๆคับ อ่านแล้วอบอุ่นดี โดยเฉพาะตอนเข้าห้องน้ำ ๕๕๕
  ตอนใหม่มาเร็วๆนะคับ ลุ้นๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2015 00:21:20 โดย GuoJeng »

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
บทที่ 12 +เป็ด ให้กับบรรยากาศดีๆ และความหลังอันหวานไหนของแฟรงค์กับนัทคะ จริงๆ วันก่อนแว๊บมาอ่านได้ครึ่งตอนแล้วมีงานด่วนเข้ามาเลยต้องแว๊บๆ หายๆ เหมือนกระสือวาเลนไทน์มาส่องๆ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะอ่านจบสักที เพิ่งได้โอกาสเข้ามาต่อจนจบ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
แบบนี้นี่เอง ที่โดนแยกกับนัทตอนเด็ก เพราะพ่อรู้...

แต่ตอนนี้โตๆ กันแล้ว แฟรงค์คงไม่ยอมอีกแน่ๆ มีแตกหักกันไปข้างแหละ
ถึงจะแต่งกับเพียวไป คนไม่รักกันแต่งไปก็เท่านั้น พ่อแม่น่าจะรู้ มันไม่มีความสุขหรอก
หวังว่าคงเอาความสุขของลูกมาเป็นที่หนึ่งนะ
ตอนนี้อาจจะยังไม่เข้าใจ แต่หวังว่า..สักวันคงเข้าใจ

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
Special part -- ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกสะทกสะท้อนใจขึ้นมาเสียเฉยๆ ตอนแรกก็อดค่อนขอดนัทกับแฟรงค์ไม่ได้ที่ดูจะอ่อนไหวและสะเทือนใจกับเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามง่ายดายเสียเหลือเกิน แต่คิดไปคิดมาอาจเป็นตัวเราเองก็ได้ที่ใจกระด้างและไม่เคยผูกใจผูกพันธ์กับใครอย่างจริงจังทำให้ไม่มีอารมณ์ร่วมกับเรื่องเท่าที่ควร บ่นๆ ไปก็อดจะอิจฉานัทกับแฟรงค์ไม่ได้ +เป็ด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2015 21:10:20 โดย กบกระชายไทยนิยม »

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
รู้สึกเกลียดคนรุ่นเดียวกับตัวเองพิกล  พ่อแม่นัทก็น่าจะรุ่นเดียวกับเราแหละ
เราชอบแฟรงค์มากในเรื่องที่พยายามสู้
แฟรงค์กับพ่อก็น่าจะมีนิสัยคล้ายๆกัน
ยอมหักไม่ยอมงอ
เพียวท่าจะบอกทุกอย่างกับแม่แฟรงค์ไปแล้ว

ที่แฟรงค์ไปซื้อของมาซักผ้าเราแปลกใจนะ เพราะว่าแฟรงค์เป็นลูกเจ้าของรีสอร์ทที่น่าจะมีฐานะพอประมาณ   น่าจะส่งซักรีดมากกว่าจะมานั่งซักเอง  อาจจะซักแค่ชั้นใน   แต่ถ้าเป็นเจน ME  นี่ส่งซักหมดแม้กระทั่งชั้นใน   อาจจะเป็นทำนองบอกอนาคตแฟรงค์ตอนที่พ่อตัดลูกก็ได้มั๊ง

แฟรงค์พูดกับเพียวขนาดนี้ ถ้าหากว่าเพียวยังทู่ซี้อยู่ก็ไม่รู้แล้วแหละ

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
รู้สึกเกลียดคนรุ่นเดียวกับตัวเองพิกล  พ่อแม่นัทก็น่าจะรุ่นเดียวกับเราแหละ
เราชอบแฟรงค์มากในเรื่องที่พยายามสู้
แฟรงค์กับพ่อก็น่าจะมีนิสัยคล้ายๆกัน
ยอมหักไม่ยอมงอ
เพียวท่าจะบอกทุกอย่างกับแม่แฟรงค์ไปแล้ว

ที่แฟรงค์ไปซื้อของมาซักผ้าเราแปลกใจนะ เพราะว่าแฟรงค์เป็นลูกเจ้าของรีสอร์ทที่น่าจะมีฐานะพอประมาณ   น่าจะส่งซักรีดมากกว่าจะมานั่งซักเอง  อาจจะซักแค่ชั้นใน   แต่ถ้าเป็นเจน ME  นี่ส่งซักหมดแม้กระทั่งชั้นใน   อาจจะเป็นทำนองบอกอนาคตแฟรงค์ตอนที่พ่อตัดลูกก็ได้มั๊ง

แฟรงค์พูดกับเพียวขนาดนี้ ถ้าหากว่าเพียวยังทู่ซี้อยู่ก็ไม่รู้แล้วแหละ

เรื่องซักรีด รีสอร์ทนี้ไม่มีบริการให้ครับ น่าจะเป็นเพราะเพิ่งเปิดใหม่ (ผมเพิ่งไปพักที่นั่นมา)
เดี๋ยวผมจะอธิบายในตอนต่อไป ขอบคุณที่ท้วงมาครับ

สำหรับทุกคน

Wishing you a very Merry Christmas and a Happy New Year 2016!

:) Sarawatta :)

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
สงสารเพียวนะหมดรักย่อมหมดใจด้วยเป็นธรรมดา ก็ได้แต่หวังว่าเพียวจะทำใจได้แล้วช่วยพูดกับครอบครัวทั้ง 2 ฝ่ายให้ดีขึ้น

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ในมุมหนึ่งก็คงต้องบอกว่าพ่อของแฟรงค์เป็นคนที่ใส่ใจลูกตัวเองมากขนาดที่รู้ว่าแฟรงค์รู้สึกยังไงก่อนที่ลูกชายจะรู้ตัวซะอีก การแก้ปัญหาด้วยวิธีตัดไฟตั้งแต่ต้นลมก็ไม่ได้ผิดซะทีเดียว ตอนนั้นทั้งคู่ก็ยังเด็กและไม่ได้เป็นเกย์โดยธรรมชาติ ถ้าเป็นทั่วๆ ไปคงแต่งงานแต่งการมีครอบครัวเหมือนคนปกติในที่สุด
แต่ความผูกผันมันมากกว่าที่ใครๆจะคิดรวมถึงเจ้าตัวด้วย พอโชคชะตาชักนำให้มาเจอกันอีกทีมันถึงออกมาเป็นอย่างนี้ ถือว่าพ่อแม่ทำเต็มที่แล้ว ที่เหลือก็ขอแค่เปิดใจอย่าคิดถึงหน้าตาหรือผลประโยชน์ทางธุรกิจให้มากกว่าความสุขของลูกชาย ตอนนี้ลูกเป็นผู้ใหญ่แล้วควรให้เขาเลือกเส้นทางชีวิตตัวเอง

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Merry Christmas!

บรรยากาศหวาน ๆ อบอุ่นดูแลกัน ร้อนระอุขึ้นมาทันตาพอเจอบทสนทนาแฟรงค์กับแม่

ขอให้มีทางออกดี ๆ นะ

ออฟไลน์ kitty08

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-4
 :impress3: อ่านแล้วอิจฉานัทจังเลยอ่ะ แฟรงค์เป็นแบบสามีที่ดีเลิศมากเลยน่ะ ตั้งแต่อ่านมารู้สึกฟินกับตอนนี้ที่สุดน่ะ ในที่สุดก้อเฉลยออกมาแล้วว่าเป็นสาเหตุใดที่ทำให้แฟรงค์ต้องขาดการติดต่อไป จิ๊กซอว์เริ่มต่อให้เห็นภาพแหละ นับถือพ่อแฟรงค์มากอ่ะตัดไฟเสียแต่ต้นลม แต่ก้อไม่อาจฝืนพรหมลิขิตได้ เขาถึงบอกว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่เคยมีคำว่าบังเอิญ  :mew1: ยังไงก้อขอให้แฟรงค์สู้ ๆ น่ะ เพราะมองแล้วหนทางช่างยากลำบากยิ่งนัก แล้วนัทก้ออย่าถอดใจน่ะแฟรงค์ยังต้องการกำลังใจอีกมากน่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ชอบที่แฟรงค์ดูแลนัทตอนเจ็บ คือ มันดี มันน่ารัก มันแสดงถึงความรักความห่วงใยในตัวอีกฝ่าย  o13

ท้ายตอนอุปสรรคสำคัญที่ชื่อครอบครัวกำลังจะมาใช่ไหม

คนเราถ้าคู่กันแล้วทำยังไงก็ไม่แคล้วกัน ถึงพ่อแฟรงค์จะแยกทั้งคู่ในตอนเด็กได้
แต่ทั้งสองก็ยังโคจรกลับมาเจอกัน รักกัน ถ้าห้ามไปแล้วเปล่าประโยชน์ พ่อแฟรงค์ก็ควรจะทำใจยอมรับนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PFlove

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 844
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
พี่แฟร้งนี้ดูเป็นผู้ใหญ่มากจริงๆดูแลนัท เรียกได้ว่าดีมากมากทีเดียว เพราะพี่แฟร้งรักนัทมากขนาดนี้ไงแและเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กพ่อของแฟร้งถึงได้กแลัวและจับพี่แฟร้งแยกออกมา.. พ่อของแฟร้งคงคิดว่าถ้าแยกกันไปมันคงจะดีขึ้นแต่ไม่ใช่เลยแฟร้งยังคงรักนัททุกวันไม่มีเปลี่ยนไปเลยแม้จะห่างกันไปก็ตามแถมพอมาเจอกันในแบบที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วมันยิ่งมองเห็นอะไรๆได้มากขึ้น
 อยากบอกว่าคุณsarawatta เขียนบทคุณแฟร้งอ่านที่ไรเห็นภาพคุณหมอโป๊ปทันที เพราะบุคคลิกคุณหมอโป๊ปเขาดูอบอุ่น

เพียวนี้เดายากมากจริงๆ เพียวนะรู้ความจริงแล้วแหละว่าแฟร้งไม่ได้รักตัวเองเลยตั้งแต่แม่ของนัทเลาให้ฟังแล้วแหละแต่นางเหมือนจะยังไม่อยากยอมรับความจริง..ไม่รู้ว่าข่าวดีจะเป็นยังไงนะ ถ้านางอยากจะจบแล้วหลบไปนางคงไม่เล่าเรื่องนี้ให้แม่ของแฟร้งฟังหรอกนะ...เพราะนางต้องรู้ว่าผู้ใหญ่ไม่ยินดีด้วยแน่ๆ 
"มันจึงเป็นความรัก ที่ไม่ถึงกับสุข
เป็นความทุกข์ ที่ไม่ถึงกับเศร้า
เป็นความรัก ที่ทั้งซึ้งทั้งเหงาอยู่ด้วยกัน
(เป็นความซึ้งและความเงียบเหงาอยู่ด้วยกัน)" อ่านแล้วนึกถึงเพลงนี้...อ่านตอนที่ฟังเพลงนี้อยู่พอดี  :mew2: :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
อ่านตอนนี้ไปรู้สึกหน่วงๆ สลับกับฟินๆ ตอนที่สองคนนี้กระหนุงกระหนิงกันก็ฟินจ้า งานฟินมา แต่พอสลับกับเรื่องเพียวกับเรื่องครอบครัวของแฟรงค์นี่เหี่ยวเลย เมื่อวานมาบวกเป็ดไว้ล่วงหน้า แต่หลับไปก่อนอ่านจบ วันนี้เลยมาตามบวกกำลังใจ  :L2:

ออฟไลน์ Magis

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
แบบนี้ ถ้าจะคุยให้พ่อยากแฮะ เอาใจช่วยแฟรงค์ให้คุยกันเข้าใจด้วยดี

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
รู้ทั้งรู้ว่าต่อจากนี้ต้องไม่ง่ายแน่ๆ แต่แฟรงค์ก็ยังยืนยันที่จะเดินหน้าต่อไป เด็ดเดี่ยวมากๆ เลยนะคะ 

ออฟไลน์ RIRIN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +492/-2
พี่แฟรงค์น่ารักมาก รู้สึกอยากเข้าไปสิงร่างนัทจังเลย **ตื่นๆ บอกตัวเอง**

ชอบความอบอุ่นของพี่แฟรงค์มากๆ เชื่อเลยว่าพี่แฟรงค์จะต้องดูแลนัทได้ดี  :กอด1: และในความฟินนี้นักเขียนก็ทำให้มันระอุขึ้นมาจนร้อนนิดๆ กับเรื่องของคุณแม่ เอาใจช่วยพี่แฟรงค์เต็มที่เลยค่ะ ทั้งถีบทั้งดัน ยังไงก็ต้องเอาชนะอุปสรรคให้ได้นะคะ สู้ๆ  :a2:

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
สุขสันต์วันปีใหม่ 2016 ล่วงหน้าครับ
ตอนนี้ไม่แจกมาม่า กลับมาหลังปีใหม่ค่อนกินให้จุใจนะครับ


❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly

ตอนที่ 14 ✢ รักใหม่ที่บ้านเกิด


[/center]

ถ้าจะบอกว่าผมเหมือนได้ใช้ชีวิตคู่กับสามีที่แสนดีก็คงจะไม่ผิดนัก เมื่อวานนี้ แฟรงค์ซักผ้าเสร็จแล้วก็ออกไปหาซื้ออาหารเย็นมาให้ เรานั่งกินไป คุยกันไป รับลมหนาวเย็นๆ ข้างนอกห้อง หลังจากนั้นก็ช่วยเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผม ก่อนจะเปลี่ยนที่นอนครึ่งหนึ่งเป็นโต๊ะรีดผ้า ผมจะช่วยก็ไม่ยอม ก็เลยได้แต่นอนเอาใจช่วยและคุยเป็นเพื่อนพ่อบ้านสุดหล่อจอมขยัน รีดเสร็จแล้วแฟรงค์ถึงได้ไปอาบน้ำ ก่อนมานอนดูทีวีด้วยกันและหลับไปราวๆ ห้าทุ่ม

เช้าวันต่อมาแฟรงค์พาผมไปล้างแผลที่โรงพยาบาล แล้วก็พาผมกลับมาพักที่รีสอร์ท ไม่ได้ไปไหนเลยเพราะแฟรงค์อยากให้ผมพักรักษาแผลให้เต็มที่ เผื่อว่าจะดีขึ้นจนพอไปเที่ยวด้วยกันวันก่อนกลับได้ เราหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเตรียมไว้ สลับกับทำงานด้วยโทรศัพท์ ส่วนมากผมจะโทรยืนยันกับผู้รับเหมาแต่ละราย นัดวันเวลาให้เข้ามาปรับปรุงรีสอร์ท แฟรงค์โทรคุยกับลูกค้าประจำบางราย แจ้งให้ทราบว่ารีสอร์ทจะปิดปรับปรุงชั่วคราว แม้ว่าผมจะส่งจดหมายไปแจ้งแล้ว แต่การโทรไปคุยก็ช่วยกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดีกว่า

... ... ...

พอถึงวันก่อนกลับ แผลของผมดีขึ้นมากและไม่ปวดเท่าไหร่ แฟรงค์พาผมไปล้างแผลอีกครั้ง เสร็จแล้วก็พาผมบึ่งตรงมายังร้านกาแฟเปิดใหม่แห่งหนึ่งในตำบลแคมป์สน ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องที่ตั้งและการออกแบบที่สวยงาม แฟรงค์อยากมาดูมากเผื่อว่าจะได้แนวคิดไปปรับปรุงร้านกาแฟที่รีสอร์ทของตัวเอง

ร้านกาแฟพิโนลาเต้ตั้งอยู่บนเนินเขาที่เปิดโล่ง มองเห็นวิวทิวทัศน์ได้รอบด้าน มีจุดชมวิวที่เห็นพระธาตุผาซ่อนแก้วด้วย นอกจากร้านกาแฟแล้วยังมีรีสอร์ทให้พัก แต่มีอยู่เพียงห้าหลังเท่านั้น ราคาค่อนข้างสูงถึงเลขห้าหลักต่อคืน

ผมกับแฟรงค์ได้ที่นั่งติดริมหน้าผา ตอนแรกว่าจะขึ้นไปนั่งชั้นสองเพราะเห็นวิวได้กว้างกว่า แต่ติดที่ผมเดินไม่สะดวกก็เลยอยู่ชั้นล่าง แม้ว่ายังเช้าอยู่แต่คนก็เริ่มหนาตาแล้ว ถ้าเรามาช้ากว่านี้อีกหน่อยก็น่าจะไม่มีที่นั่ง

"นัทดูนี่"

แฟรงค์ส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาให้ผมอ่านไลน์ที่น้องสาวส่งมาให้

"ฝากความคิดถึงนัทด้วยนะคะพี่แฟรงค์ ถ่ายรูปนัทมาให้ดูด้วย เฟิร์นอยากเห็น อยากรู้ว่าโตขึ้นแล้วนัทหน้าตาเป็นยังไง"

"เฟิร์นเค้ายังไม่นอนอีกเหรอ" ผมถามพลางดูนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง ตอนนี้สิบโมงเช้าหน่อยๆ

"ยัง ที่ลอสแองเจลลิสเพิ่งทุ่มนึงเอง"

แฟรงค์บอกแล้วก็เขยิบเก้าอี้มาติดกับผม

"ถ่ายรูปด้วยกันหน่อย จะส่งให้เฟิร์นดู"

แฟรงค์พูดพลางเอาหัวมาชิดกับผมแล้วยื่นโทรศัพท์ออกไปจนสุดแขน

"ยิ้มหน่อยสิ"

ผมยิ้มตามที่แฟรงค์ขอ เขินเมื่อเห็นภาพในหน้าจอมือถือเป็นรูปผมกับแฟรงค์คู่กัน แต่ยิ้มเขินนั้นก็ทำให้รูปออกมาดูดี พอแฟรงค์ส่งรูปที่ถ่ายเมื่อสักครู่ไปให้เฟิร์น เฟิร์นก็ส่งข้อความกลับมาทันที

"นัทหล่อเหมือนกันนะคะ ถ่ายที่ไหน วิวสวยมาก อ้อ พี่กับนัทถ่ายรูปยังกะเป็นแฟนกันเลย 555"

ผมอ่านข้อความที่แฟรงค์ส่งให้ดูแล้วก็ขำ ไม่รู้ว่าแฟรงค์ตั้งใจให้เฟิร์นสงสัยหรือเปล่า แฟรงค์พิมพ์ไลน์ตอบน้องสาวไป แต่ผมไม่ได้อ่านแล้วว่าสองพี่น้องคุยอะไรกันอีก

กาแฟที่เราสั่งมาเสิร์ฟพอดี แฟรงค์เขยิบเก้าอี้ไปที่เดิมแต่ก็ยังอยู่ข้างผมอยู่ เราจิบกาแฟร้อนๆ ไล่ลมหนาว ท่ามกลางบรรยากาศแสนโรแมนติกกลางหุบเขาใต้ฟ้าสีครามไร้เมฆบัง ยิ่งพิศดูยิ่งเห็นว่าร้านนี้สวยมากจนนึกอยากทำบ้าง

"นัทยังไม่ได้บอกน้านวลเรื่องลาออกเหรอ"

ผมเกือบจะสำลักกาแฟที่กำลังจิบอยู่ แม้จะลังเลแต่ก็รู้ว่าไม่ควรโกหก

"ยัง..." บอกเสียงอ่อย

"อีกไม่กี่วันนัทก็จะกลับมาอยู่นี่แล้ว นัทจะบอกน้านวลว่ายังไงล่ะ"

ผมทำหน้ายุ่งยากใจ แต่คำถามนี้ก็ทำให้ผมรู้ว่าแฟรงค์เป็นคนใส่ใจและช่างสังเกตมาก ไม่รู้ไปสังเกตเอาตอนไหนถึงรู้ว่าผมยังไม่ได้บอกแม่

"ก็..." ผมอ้ำอึ้ง

"ไม่เปลี่ยนใจเหรอ เพิ่งทำงานได้แค่สองเดือนเอง พี่ตั้งใจว่าจะสอนเรื่องการบริหารจัดการรีสอร์ทให้ซะหน่อย จะไปซะแล้ว พี่อยากให้นัทอยู่ต่อนะ อยู่ทำงานกับพี่อีกซักสองสามปี หรือว่า...ยังไม่หายโกรธพี่เรื่องวันนั้น"

แฟรงค์ทำหน้าเศร้าจนผมเกือบใจอ่อน ส่วนเรื่องวันนั้น จะโกรธได้ยังไงเพราะตัวเองก็สมยอมกลายๆ

"ถ้ายังไม่ได้บอกน้านวลก็ดีนะ ถ้าเกิดนัทเปลี่ยนใจก็อยู่ต่อได้เลย ว่าไง...หายโกรธพี่แล้วใช่มั้ย ที่พี่ทำไป...พี่ทำด้วยความรักนะ นัทโกรธคนที่รักนัทได้ลงคอเชียวเหรอ"

แฟรงค์ทำเสียงอ้อน ช่างดูน่าสงสารจนผมชักเห็นใจ

"เปล่า...ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธซะหน่อย"

"แต่นัทก็จะทิ้งพี่ไปแล้วนี่ ไหนว่าจะอยู่ให้กำลังใจพี่ไง ถ้าเกิดนัทลาออกไปแล้ว ใครจะอยู่ให้กำลังใจพี่ล่ะ เดี๋ยวพี่สู้ไม่ไหวน้า..."

คนอะไร อ้อนได้น่ารักที่สุดเลย ถ้าไม่ติดว่าอยู่ข้างนอก ผมคงจะโผไปกอดแล้ว

"จะให้ทำไงล่ะ พี่แฟรงค์เซ็นเองนี่" ผมนิ่วหน้าอย่างรู้สึกผิด

"อ้าว...มาโทษพี่ซะงั้น" แฟรงค์หัวเราะชอบใจ

"ใครใช้ให้เซ็นล่ะ" ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

"ไม่อยากออกแล้วใช่มั้ย" แฟรงค์ถามอย่างตรงไปตรงมา

"ขอคิดดูก่อนละกัน" ผมแบ่งรับแบ่งสู้ แค่นี้แฟรงค์ก็คงรู้แล้วว่าผมไม่อยากไป

"โอเค แต่พี่เซ็นอนุมัติไปแล้ว นัทกลับมาอยู่กับแม่ช่วงปีใหม่ก่อนก็ได้ แล้วค่อยมาสมัครใหม่อีกที ยังไงๆ พี่ก็รับอยู่แล้วล่ะ"

"นึกว่าจะขึ้นแบล็กลิสต์นัทซะแล้ว" ผมพูดติดตลก

แฟรงค์เอื้อมมือมาจับมือผมไว้เบาๆ

"นัทอย่าทิ้งพี่ไปไหนนะ ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป เราสองคนต้องจับมือกันไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นัทอย่าปล่อยมือพี่เด็ดขาด โอเคมั้ย"

สายตาซึ้งๆ สะกดผมให้นั่งนิ่งราวกับต้องมนต์ แฟรงค์เป็นผู้ชายที่ทั้งหล่อและอบอุ่นเหลือเกิน ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งรัก ยิ่งเห็นนิสัยใจคอก็ยิ่งชื่นชมหลงใหล

ผมพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เป็นเชิงตอบรับ แฟรงค์บีบมือผมเบาๆ โดยไม่ยอมละสายตาไปไหน จนผมเขินเสียเอง

"คนมองแล้ว"

ผมเตือนอย่างอายๆ แฟรงค์ขำเบาๆ แล้วปล่อยมือของผมออก

"ไม่ดีเหรอ เค้าจะได้รู้กันไงว่าเราเป็นอะไรกัน เห็นมั้ย...สาวๆ กลุ่มนั้นจะฉกพี่ไปแล้ว"

แฟรงค์พูดพลางแว่บหันไปมองสาวๆ กลุ่มหนึ่งที่นั่งห่างออกไปอีกสามสี่โต๊ะ เข้าใจว่าพวกเธอคงแอบมองแฟรงค์มาระยะหนึ่งแล้ว

"แล้วไม่ชอบเหรอ" ผมถามพลางแว่บมองสาวๆ กลุ่มนั้นบ้าง

"เมื่อก่อนก็ชอบ แต่ตอนนี้..." แฟรงค์เอามือมาจิ้มหน้าอกผมเบาๆ "ชอบคนนี้มากกว่า"

ใบหน้าหล่อขาวใสยิ้มกรุ้มกริ่ม แม้มองข้างๆ ก็ยังมิอาจลดความน่ามอง ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ชายที่มีเสน่ห์เกินห้ามใจคนนี้จะรักผม

"พี่แฟรงค์รู้ตัวหรือเปล่าว่าเป็นคนน่ารัก อบอุ่นด้วย" ผมบอกด้วยรอยยิ้มระบายไปทั้งใบหน้า

"พี่ไม่ได้เป็นอย่างนี้กับทุกคนนะ ต้องเป็นคนพิเศษจริงๆ เท่านั้น" แฟรงค์ส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยมาให้

"คารมอย่างงี้ สาวๆ คงหลงกันตรึม" ว่าแล้วผมก็ยกกาแฟขึ้นจิบ

"ตรึมที่ไหนล่ะ จีบใครก็ไม่ติดซักคน รู้มั้ยว่าทำไม เพราะพี่...รอจีบคนนี้คนเดียวต่างหาก"

ผมเกือบสำลักกาแฟอีกแล้ว รีบวางแก้วที่กำลังจิบลงแทบไม่ทัน

"เป็นไรเปล่า" แฟรงค์ถามอย่างเป็นห่วง

ผมส่ายหน้าพลางขำ แล้วก็ถามไปทั้งที่ยังขำอยู่ "นี่พี่แฟรงค์กำลังจีบนัทอยู่เหรอ"

แฟรงค์ยักคิ้วพร้อมกันสองข้างสองครั้ง

"ไม่เห็นรู้ตัวเลยว่าจีบ"

แฟรงค์เอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งมาหนีบที่ข้อมือผมเบาๆ ในท่าจีบ "รู้ตัวยัง"

ผมอึ้งไปประมาณสามวินาทีแล้วก็ขำ "พี่แฟรงค์ตลกง่ะ"

"พี่จีบนัทมาตั้งแต่นัทอยู่ปอสามแล้ว จำไม่ได้เหรอ"

"จริงง่ะ นัทไม่ได้แก่แดดขนาดนั้นซะหน่อย"

"ไม่เห็นจำเป็นต้องแก่แดดเลย คนจีบกัน เค้าก็ต้องทำความรู้จักกันก่อนจะรักกัน พี่รู้จักนัทตอนนัทอยู่ปอสาม แล้วตอนนี้ก็รักกัน พี่ว่าพี่จีบนัทตั้งแต่ปอสามก็ถูกแล้ว"

ตรรกะอะไรหนอ แม้มันจะเพี้ยนๆ หน่อย แต่ความรักก็ทำให้มันโอเคได้

"โอเค ปอสามก็ปอสาม" ผมส่ายหน้าพลางขำเบาๆ

"นัทไม่หึงพี่หน่อยเหรอ เห็นมั้ย...เค้าแอบมองพี่อีกแล้ว"

แฟรงค์คงหมายถึงสาวๆ กลุ่มนั้น ก็น่าจะจริงเพราะพวกเธอกำลังซุบซิบและหันมามองแฟรงค์อีกแล้ว

"ทำไมต้องหึงล่ะ นัทไม่เห็นต้องทำอะไรเลย แค่อยู่ของนัทดีๆ ก็มีคนมาหลงรักแล้ว แค่ชอบกินไอติม แค่เอาแต่ใจนิดๆ หน่อยๆ แถมบางทียังชอบเอาเปรียบด้วย กินอะไรก็ไม่แบ่ง เป็นอย่างงี้ยังมีคนมารักเล้ย จะว่าไป...ถ้าเกิดวันนึงมีคนมาชอบนัท พี่แฟรงค์หรือเปล่าน้า...ที่ต้องเป็นคนหึง" ผมยักคิ้วใส่หนึ่งที

"ครับผม ขนาดยังไม่มีใครมาจีบพี่ก็หึงจะแย่อยู่แล้ว หึงล่วงหน้าไว้ก่อนเลย"

แฟรงค์หัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วก็เขยิบเก้าอี้มาชิดผมอีก หยิบมือถือออกมาแล้วยื่นไปสุดแขนเช่นเคย

"ถ่ายแบบไหนดี เค้าถึงจะรู้ว่าพี่กำลังจีบคนนี้อยู่"

"ไม่รู้ดิ" ผมบอกอย่างเขินๆ

แฟรงค์ก็เลยเอามือโอบไหล่ผม ก่อนจะกดถ่ายภาพคู่ของเรา ถ้าเกิดสาวๆ กลุ่มนั้นเป็นสาววาย พวกเธอคงจะกรี๊ดกันใหญ่ที่เห็นชายหนุ่มสองคนนั่งคุยกันกะหนุงกะหนิง แต่พอพวกเธอหันหน้าหนีไปและไม่ค่อยสนใจเราสองคนอีก ก็พอเดาได้ว่าไม่ใช่สาววายแน่นอน

ถ่ายเซลฟี่กันอีกสองสามรูปเราก็นั่งคุยกันต่อและจิบกาแฟที่เหลืออย่างสบายๆ เห็นแฟรงค์มีความสุขผมก็พลอยมีความสุขด้วย แต่เมื่อวานก็แอบเห็นคุยโทรศัพท์หน้าเครียดอยู่ ไม่รู้ว่าคุยกับใครหรือเรื่องอะไร

"นัทอยากมีร้านแบบนี้มั่งจัง ถ้าเกิดว่าอีกสองสามปี...นัททำคล้ายๆ อย่างงี้ มีไร่สตรอเบอรี่ซักสี่ห้าแปลง มีร้านกาแฟ แล้วก็มีรีสอร์ทซักสี่ห้าห้องเหมือนที่นี่ พี่แฟรงค์ว่าดีมั้ย ลูกค้าที่มากินกาแฟที่ร้านสามารถเดินไปชิมสตรอเบอรี่สดๆ จากไร่ได้ แต่เราต้องปลูกแบบออร์แกนิคนะ แล้วก็...นัทว่าจะทำเค้กสตรอเบอรี่อร่อยๆ ขายด้วย กินกับกาแฟที่ร้าน หรือซื้อเป็นของฝากก็ได้ ถ้าเกิดใครอยากพัก ก็มีห้องให้พัก มีวิวสวยๆ ให้ดู นัทว่าที่ที่แม่ซื้อไว้ก็พอทำแบบนี้ได้อยู่นะ"

แฟรงค์พยักหน้าเห็นด้วยอย่างช้าๆ คล้ายกับว่ากำลังคิดตามไปด้วย

"ก็ไม่เลวนะ ฟังจากที่นัทพูด พี่ก็ชักอยากจะทำแบบนี้เหมือนกัน"

"มาทำกับนัทมั้ยล่ะ" ผมลองชวนอย่างนึกสนุก

"น่าสนใจนะ นัทจำได้มั้ยที่พี่เคยถามนัทเรื่องความฝันร่วมกันของเราสองคน บางทีมันอาจจะเป็นอันนี้ก็ได้ ขอเวลาพี่คิดหน่อย พี่เองก็มีความฝันว่าอยากจะทำรีสอร์ทบนภูเขาเหมือนกัน เผื่อเราสองคน...จะทำให้มันเป็นเรื่องเดียวกันได้"

แฟรงค์ยิ้มอย่างมีความสุข เวลาพูดถึงความฝันทีไร แฟรงค์มักจะยิ้มชวนฝันบ่อยๆ แสดงว่าเป็นคนช่างคิดช่างฝันมากพอดู

หลังจากกินกาแฟหมดแล้ว ผมกับแฟรงค์ก็สละที่นั่งให้คนที่รอคิวอยู่ แฟรงค์ช่วยพยุงผมเดินไปตามจุดชมวิวต่างๆ แล้วก็ผลัดกันถ่ายรูป ขอให้คนช่วยถ่ายรูปเราสองคนบ้าง ดูเหมือนว่าคนจะคอยมองอย่างสนใจที่เห็นผู้ชายสองคนเดินกอดคอพยุงกันไป

"พี่แฟรงค์ นัทอยากไปถ่ายรูปตรงนั้น ที่มันมีต้นหญ้าอ้อน่ะ เห็นมั้ย ตอนเด็กๆ นะ นัทเคยดูเอ็มวีความทรงจำของพี่แอม เสาวลักษณ์ มีฉากกับต้นหญ้าอ้อด้วย สวยมาก พี่แฟรงค์จำได้มั้ย"

ผมชี้บอกด้วยเสียงตื่นเต้น ช่างไม่เจียมสังขารตัวเองเสียเลย ตรงที่จะไปนั้นต้องเดินข้ามถนน แล้วก็ขึ้นเนินไปหน่อย มีหญ้าอ้อสูงประมาณเข่าถึงเอวกระจายไปทั่ว ดอกสีขาวของมันไหวเอนล้อเล่นกับลมหนาวตลอดเวลา

แฟรงค์ก็ไม่บ่นสักคำ อุตส่าห์พาผมขึ้นไปยืนถ่ายรูปบนนั้นจนได้ ผมจึงได้ภาพของตัวเองกับหญ้าอ้อปลิวไสวอย่างที่เคยฝันไว้ตอนเด็กๆ

"แดดมันแรงไปหน่อย ภาพมันเลยไม่สวย แสงมันกระด้าง ถ้าเป็นเช้าๆ หรือเย็นๆ น่าจะสวยกว่านี้"

แฟรงค์บอกพร้อมกับอวดภาพที่ถ่ายให้ผมดูสามสี่รูป

"สวยแล้ว นัทชอบ พี่แฟรงค์ถ่ายรูปสวยดีนะ" ผมหันไปชมพลางยิ้มให้

จากนั้นเราก็ขับรถลงจากเนินเขา มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองเขาค้อ แวะไปหาเพื่อนเก่าของแฟรงค์ที่เปิดร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์อยู่ในตลาด เพื่อนแฟรงค์ที่ชื่อโซ้ยนี่แหละที่ผมชอบไปถามหาแฟรงค์บ่อยๆ แล้วก็ได้คำตอบเดิมๆ เหมือนทุกครั้งว่าแฟรงค์อยู่กรุงเทพ แฟรงค์พูดคุยกับเพื่อนอย่างเป็นกันเอง ถามหาเพื่อนเก่าๆ สมัยประถมหลายคน ส่วนมากก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว

พอถึงเวลาเที่ยง แฟรงค์ชวนโซ้ยไปกินข้าวกลางวันด้วยกันกับเราที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ๆ โซ้ยดีใจมากทีเดียว คงเป็นเพราะไม่เคยมีเพื่อนสมัยประถมคนไหนพามากินข้าวด้วยกันอย่างนี้มาก่อน โซ้ยพูดขึ้นมาช่วงหนึ่งว่า

"ไอ้นัทน่ะมันมาหากูทีไรก็ถามหามึงตลอดเลย กูก็ได้แต่บอกมันไปว่าไอ้แฟรงค์มันอยู่กรุงเทพ กูก็รู้แค่นี้เหมือนที่มันรู้นั่นแหละ แต่มันก็มาถามกูทุกที มันคิดถึงมึงมากเลยนะไอ้แฟรงค์ กูยังแปลกใจเลยว่าทำไมมึงไม่กลับมาเยี่ยมมันมั่ง เมื่อก่อนกูเห็นพวกมึงสองคนขี่จักรยานไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน กลับด้วยกันทุกวัน กูยังจำได้เลยว่ามึงชอบซื้อไอติมให้ไอ้นัทมันกินบ่อยๆ"

ผมกับแฟรงค์ฟังแล้วก็ยิ้ม แสดงว่าความผูกพันของผมกับแฟรงค์ชัดเจนมาก ถ้าพูดถึงแฟรงค์ก็ต้องนึกถึงนัท ถ้าพูดถึงนัทก็ต้องนึกถึงแฟรงค์ ใครๆ ที่รู้จักเราสองคนต่างก็จำภาพของเราไว้อย่างนี้

ก่อนจากไป แฟรงค์ฝากเพื่อนให้ช่วยหาจักรยานให้หนึ่งคัน โซ้ยก็รับปากเป็นอย่างดีว่าจะหาให้ จากนั้นแฟรงค์ก็พาผมขับรถไปตามถนนเส้นที่ไปอนุสรณ์สถาน ถนนเส้นนี้มีรีสอร์ทและร้านกาแฟสวยๆ อยู่หลายที่ เราขับรถแวะชมไปเรื่อยๆ แวะชิมกาแฟบ้างก็มี ดูเหมือนว่ายิ่งได้เห็นแฟรงค์ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกอยากกลับมาทำอะไรสักอย่างที่นี่

พอแดดร่มลมตก แฟรงค์ก็ขับรถมาฝากจอดไว้ที่ร้านของโซ้ย โซ้ยหาจักรยานกลางเก่ากลางใหม่มาให้ได้คันหนึ่ง ผมกับแฟรงค์ก็เลยได้จักรยานคันนี้แหละที่ช่วยพาเราย้อนรอยอดีต แฟรงค์เป็นคนปั่น ผมเป็นคนซ้อนท้าย

เราปั่นไปที่โรงเรียนประถมเก่าของเราก่อน ช่วงนี้ยังไม่ปิดเทอมจึงได้เจอครูบางท่านที่เรารู้จัก ไม่น่าเชื่อว่าแม้กระทั่งครูที่เคยสอนเราก็ยังจำเราสองคนได้ แถมยังพูดถึงเราเหมือนที่โซ้ยพูดเมื่อกลางวันอีกด้วย

จากนั้นแฟรงค์ก็พาผมขี่จักรยานไปที่บ้านของผม แม้ว่าสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ จะทำให้เส้นทางดูแปลกๆ ไปบ้าง แต่แฟรงค์ก็จำได้เป็นอย่างดี ผมไม่จำเป็นต้องบอกทางเลย

พอมาถึงหน้าบ้านผมแฟรงค์ก็หยุดเหม่อมอง ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเพราะแม่กับพี่นิวอยู่ที่ร้าน บ้านผมเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากเพราะแม่ปรับปรุงใหม่หมด แฟรงค์ก็เลยถามหาอะไรหลายๆ อย่างที่ตอนนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้หรือสิ่งของต่างๆ

จากนั้นแฟรงค์ก็พาผมขี่จักรยานไปที่บ้านเก่าของแฟรงค์ ผมไม่ได้กลับไปที่นั่นนานกว่าสิบสองปีแล้ว พอมาถึงก็พบว่ามันเปลี่ยนไปมากจนแทบจำไม่ได้เลย แต่ผมก็พอจำหน้าคนในครอบครัวนี้ที่มาอยู่ต่อได้ แฟรงค์ยืนเหม่อมองอีกเช่นเคย คงคิดถึงบ้านหลังนี้มากเหมือนกัน

"ที่นัทเคยบอกแฟรงค์ว่า...นัทชอบแฟรงค์ตั้งแต่อยู่มอหนึ่ง นัทได้คำตอบที่นี่แหละ ตอนที่แฟรงค์จากไป นัทขี่จักรยานมาที่บ้านหลังนี้บ่อยๆ พอขึ้นมอหนึ่ง นัทก็ยังมาอยู่ แต่มีอยู่วันนึง นัทเกิดสงสัยว่า...นัทมาที่นี่ทำไมบ่อยๆ มาแล้วก็ไม่เคยเจอแฟรงค์เลย ไม่รู้จะมาทำไม นัทถามตัวเองว่า...ความรู้สึกอะไรที่ทำให้นัทพาตัวเองมาที่นี่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีความหวังเลย พี่แฟรงค์พอจะเดาออกใช่มั้ยว่ามันเป็นความรู้สึกอะไร"

แฟรงค์หยุดเหม่อมอง หันมามองผมที่นั่งอยู่ข้างหลังแล้วก็พยักหน้า

"นั่นแหละ พอนัทรู้แล้ว นัทก็บอกตัวเองว่า...นัทจะไม่กลับมาที่นี่อีก แล้วนัทก็ไม่เคยกลับมาที่นี่อีกเลย เพิ่งจะได้กลับมาก็วันนี้แหละ"

"ที่นี่ใช่มั้ยที่ทำให้นัทรู้ว่านัทรักพี่" แฟรงค์หันมาถาม ผมพยักหน้ายอมรับ

"เสียดายนะที่พี่ไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ตอนนั้น ถ้าย้อนเวลาได้ พี่จะกลับมาหานัท มารับรู้ความรู้สึกทุกอย่างที่นัทมีให้พี่"

"ช่างมันเหอะพี่แฟรงค์ มันผ่านไปแล้ว"

ผมตบที่ต้นขาแฟรงค์เบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจเพราะเห็นสีหน้าแฟรงค์ดูเศร้า แฟรงค์หันมายิ้มให้ผม ก่อนจะค่อยๆ เลี้ยวรถจักรยานกลับและปั่นออกไป ไม่รู้ว่าเราจะได้กลับมาที่นี่ด้วยกันอีกหรือเปล่า แม้ว่าจะมีความทรงจำด้วยกัน แต่มันก็ไม่ใช่ที่ของเราอีกต่อไปแล้ว

แฟรงค์พาผมมาปิดท้ายเส้นทางย้อนรอยอดีตที่สะพานข้ามลำธารเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างทางไปโรงเรียน ตอนเด็กๆ ผมกับแฟรงค์ชอบมายืนดูสายหมอกหนาที่ปกคลุมไปทั้งภูเขาที่อยู่เบื้องหน้าตรงนี้บ่อยๆ มีหญ้าอ้อแถวๆ นี้ด้วย ผมก็เลยได้ถ่ายรูปใหม่กับหญ้าอ้อที่ต้องแสงแดดอ่อนๆ ยามเย็น ได้ภาพสวยมากทีเดียว

เราสองคนยืนคุยกันบนสะพานและเหม่อมองไปไกลยังขุนเขาสลับซับซ้อนเบื้องหน้า ผมไม่รู้สึกเจ็บแผลแล้วก็เลยพอยืนจับขอบสะพานเองได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าสิบสามปีผ่านมา เราจะมีโอกาสได้กลับมายืนตรงนี้ด้วยกันอีกครั้ง

"พี่ชักอยากจะกลับมาอยู่ที่นี่ซะแล้วน่ะนัท เมื่อก่อนพี่ก็ว่ามันสวยนะ แต่พอกลับมาอีกทีตอนโต มันสวยกว่าที่คิดไว้เยอะเลย พี่อยากทำรีสอร์ทดีๆ ที่นี่ เอาแบบให้สวยไม่ซ้ำใคร ขึ้นชื่อจนใครๆ ก็อยากมาพัก คงรวยไม่รู้เรื่องเลยคราวนี้"

แฟรงค์เล่าความฝันของตัวเองให้ผมฟังอย่างมีความสุข

"พี่แฟรงค์อยากรวยเหรอ ตอนนี้พี่แฟรงค์ก็รวยแล้วนะ"

"นัทกำลังจะบอกว่าพี่ไม่รู้จักพอเพียงหรือเปล่า" แฟรงค์หันมาถามยิ้มๆ

"ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก แต่บางทีนัทก็เคยสงสัยนะว่าเราจะมีเงินเยอะๆ กันไปทำไม บางคนมีเป็นพันล้านหมื่นล้าน ใช้ทั้งชาติยังไม่หมดเลย"

"พ่อพี่สอนว่า...เราใช้เงินได้สองแบบ แบบแรกใช้บริโภค ซื้อบ้านซื้อรถ ซื้อความสบายให้ตัวเอง แบบนี้เราไม่ต้องมีเงินเยอะหรอก ถึงมีเยอะก็ใช้หมดอยู่ดี ส่วนแบบที่สอง คนที่เค้ามีเงินพันล้านหมื่นล้าน เค้าเอาเงินมาสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ แล้วก็พัฒนาอะไรหลายๆ อย่างให้พวกเรา ถ้าไม่มีคนที่มีเงินเยอะๆ แบบนี้ คนที่จบมาจะไปทำงานกันที่ไหน จริงมั้ย พ่อพี่สอนบ่อยๆ ว่า...คนเราเกิดมาแล้วจะเอาแต่ตัวเองรอดก็ได้ จะช่วยให้คนอื่นรอดด้วยก็ได้ เงินไม่ได้มีไว้แค่เอามากินใช้ให้หมดไปนะ มันสร้างอะไรดีๆ ได้ตั้งเยอะ ช่วยคนก็ได้"

ผมพยักหน้าช้าๆ และคิดตามไปด้วย "จริงด้วย นัทไม่เคยมองมุมนี้เลย พ่อของพี่แฟรงค์เก่งนะ"

"แม่ของนัทก็เก่ง เห็นมั้ย...น้านวลดูแลลูกน้องในร้านตั้งหลายคน ถ้าเกิดวันนึงนัททำรีสอร์ทหรือร้านกาแฟอย่างที่นัทบอกพี่เมื่อกี้ นัทก็จะสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้คนอื่นๆ รับผิดชอบชีวิตคนอื่นๆ เหมือนกัน ไม่ใช่แค่เอาตัวเองรอดคนเดียว นัทว่าดีมั้ย รวยแล้วก็ช่วยคนอื่นได้ด้วย"

"ดีสิ งั้นต่อไปนัทจะรวยให้ดู" ผมหัวเราะแล้วก็หันไปยิ้มกับแฟรงค์

เสร็จสิ้นภารกิจย้อนรอยอดีตแล้ว แฟรงค์ก็พาผมกลับ ก่อนกลับก็แวะซื้อของฝากให้โซ้ยด้วย โซ้ยดีใจมากจนยิ้มไม่หุบ ผมว่าถ้าแฟรงค์ได้กลับมาที่นี่บ่อยๆ สร้างสายสัมพันธ์กับคนที่เคยรู้จักกันเอาไว้ ต่อไปแฟรงค์จะมาทำอะไรที่นี่ได้ง่ายขึ้น

ก่อนกลับเข้ามาในรีสอร์ท เราแวะกินข้าวเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งบนถนนสายสิบสอง วันเวลาแห่งความสุขช่างสั้นเหลือเกิน พรุ่งนี้เราก็จะเดินทางกลับไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง แต่แฟรงค์ก็ย้ำกับผมเสมอว่า เราจะต้องไม่ปล่อยมือกัน ผมก็หวังว่าตัวเองจะเข้มแข็งมากพอที่จะไม่ปล่อยมือแฟรงค์ไปเสียก่อน

พอหัวถึงหมอนในคืนนี้ ความรู้สึกแปลกๆ หลายอย่างก็เกิดขึ้นในความคิด สองคืนที่ผ่านมา ผมกับแฟรงค์ไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นกันหรอก อาจจะเป็นเพราะขาผมยังเจ็บ และอยากรอให้ปัญหาคลี่คลายมากกว่านี้เสียก่อน เราจึงอยู่ด้วยกันอย่างพี่น้อง

แต่ทำไมบรรยากาศคืนนี้ช่างแตกต่างจากสองคืนที่ผ่านมาเสียจริง เราต่างนอนครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ในความมืดสลัว ฟังเสียงลมหนาวโชยพัดมาเบาๆ สองคืนที่แล้วเรานอนคุยกันจนหลับ แต่คืนนี้เรากลับไม่รู้จะคุยอะไรกัน ได้แต่นอนกระสับกระส่ายไปมา ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำใดออกไป

แต่ในที่สุดก็มีผู้กล้าทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้จนได้ พี่ชายสุดที่รักของผมนั่นเอง

"นัทหนาวหรือเปล่า"

ผมแอบยิ้มดีใจในความมืด เมื่อการสนทนาเริ่มขึ้นย่อมเกิดหนทางที่จะนำไปสู่สิ่งที่มุ่งหวังได้

"นิดหน่อย"

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงตอบไปอย่างนั้น พอปิดประตูห้องและห่มผ้าหนาๆ มันก็ไม่ค่อยหนาวแล้ว สักพักผมก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหว จนกระทั่งมือของใครอีกคนสัมผัสกับมือของผมและกุมไว้

"หายหนาวหรือยัง"

ผมขำเบาๆ "แค่นี้...จะหายหนาวได้ยังไงล่ะ"

ผมตอบไปอย่างประหม่า น้ำเสียงสั่นๆ จนคนฟังน่าจะพอรู้สึกได้ แฟรงค์กุมมือผมแน่นขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าแฟรงค์กำลังตัดสินใจ สักพักเราสองคนก็พลิกตัวหันหน้ามาเผชิญกันในความมืดสลัว

"ถ้าพี่กอดนัท นัทจะว่าอะไรพี่มั้ย นัทจะได้หายหนาวไง"

"แล้วแต่พี่แฟรงค์ดิ" ผมบอกไปอย่างอายๆ

แฟรงค์ใช้มือดันตัวผมให้พลิกไปอีกด้าน แล้วก็นอนกอดผมไว้จากทางด้านหลัง ใกล้ชิดเสียจนผมได้ยินเสียงลมหายใจของแฟรงค์ที่รดอยู่ตรงต้นคอ

"หายหนาวหรือยัง" แฟรงค์ถามคำถามเดิมอีก เสียงพูดดูเหมือนมีแต่เสียงลมมากกว่าเนื้อเสียง

"หายแล้ว"

ผมบอกเสียงแผ่วเบา สัมผัสจากความรักที่แสนอบอุ่นของแฟรงค์ ทำให้ผมปั่นป่วนจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

"พี่แฟรงค์"

"หืม"

"นัท...รู้สึกดีนะ"

พูดไปแล้วผมก็ยังไม่รู้เลยว่า "รู้สึกดี" ของผมคือรู้สึกยังไงกันแน่

"อ๋อ...พี่ก็รู้สึกดีเหมือนกัน"

แฟรงค์พูดแล้วก็ซุกจมูกลงตรงคอผม แถมยังเบียดกอดกระชับผมแน่นขึ้นอีก

"นัทตัวหอมนะ" แฟรงค์ฝังจมูกสูดดมเบาๆ

ใจผมเต้นรัวไม่เป็นส่ำ ประสาทสัมผัสทุกอย่างตื่นจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว ยิ่งสัมผัสได้ถึงการดุนดันของสิ่งที่อยู่ข้างหลังแล้ว ความต้องการจากข้างในก็ยิ่งถูกปลุกเร้าจนแทบระเบิด

"พี่แฟรงค์อย่าเบียดนัทสิ เดี๋ยวหายใจไม่ออก"

ผมกัดฟันบอกไป นี่คงเป็นการห้ามที่ไม่ได้ผลที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมา เพราะแฟรงค์ยิ่งกอดผมแน่นขึ้นกว่าเดิม แถมมือยังไม่อยู่สุข คอยลูบไล้ไปตามแขนและหน้าอกของผมด้วย

"ก็พี่กลัวนัทหนาวไง พี่ไม่อยากให้คนที่พี่รักนอนหนาวรู้เปล่า"

"แล้วพี่แฟรงค์ลูบตัวนัททำไมล่ะ"

"นั่นสิ" แฟรงค์ขำเบาๆ แต่มือก็ยังไม่ยอมหยุด "นัท"

"หืม"

"นัทชอบมั้ยที่พี่ทำแบบนี้"

ผมเคยได้ยินเรื่องคนสำเร็จความใคร่โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรกับส่วนนั้นของตัวเองมาบ้าง ผมรู้สึกว่าอาการนั้นกำลังจะเกิดกับผมแล้ว เพียงแค่สัมผัสที่ปลุกเร้าผมก็แทบจะกลั้นไม่ไหว

"ชอบ" ผมตอบสั้นๆ

"ชอบมากหรือเปล่า"

"พี่แฟรงค์"

ผมไม่ตอบแต่พยายามพลิกตัวหันไปเผชิญกับแฟรงค์ ใบหน้าของเราสองคนใกล้ชิดกันจนได้ยินเสียงลมหายใจแห่งความปรารถนา แฟรงค์ตระกองกอดผมไว้ไม่ยอมปล่อย ผมสอดแขนเข้ากอดแฟรงค์ไว้หลวมๆ เช่นเดียวกัน

"พี่...ขอจูบนัทได้มั้ย พี่จะพยายามไม่ให้มันเลยเถิด"

ผมไม่ตอบว่าได้หรือไม่ แต่เอาริมฝีปากของผมไปแตะกับริมฝีปากของแฟรงค์แทน คงไม่ยากที่แฟรงค์จะรู้ว่าควรทำยังไงต่อ แฟรงค์ประกบริมฝึปากกับผมแน่น แทบไม่มีช่องอากาศให้รั่วไหลออกมาได้เลย จากนั้นก็ค่อยๆ อ้าปากขึ้น สูดลมหายใจ ราวกับว่าแฟรงค์จะดูดลมหายใจออกจากปอดผม ช่างเป็นการจูบที่เสียวซาบซ่านเหลือเกิน เหมือนว่าเราเป็นคนๆ เดียวกัน ใช้ลมหายใจร่วมกัน หายใจเข้าออกพร้อมกัน

เราจูบกันอยู่นานกว่านาที มือไม้ของเราอยู่ไม่สุขเลย รู้ตัวอีกทีเสื้อผ้าก็หลุดลุ่ย กางเกงก็ถูกดึงลงไปคาที่ต้นขา แฟรงค์ถอนปากออกและหอบหายใจ แววตาของเราสองคนเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ยากจะหยุดยั้ง

"นัท...พี่...พี่ทำมากกว่านี้ได้มั้ย" แฟรงค์ถามเสียงสั่น

ผมนอนนิ่งและมีท่าทีลังเล

"พี่ไม่ทำให้เจ็บแผลหรอก"

"แต่..." ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ

แฟรงค์เขยิบใบหน้าเข้ามาใกล้ผม สองมือประคองแก้มสองข้างของผมไว้

"พี่ทนไม่ไหวแล้ว พี่ขอโทษนะ คืนนี้พี่คงนอนไม่หลับแน่ถ้า..."

ผมก็ต้องขอโทษแฟรงค์ด้วยที่ห้ามใจตัวเองไม่ไหวเหมือนกัน ก็เลยยื่นริมฝีปากไปแตะกับริมฝีปากของแฟรงค์เบาๆ อีกครั้ง แฟรงค์คงเดาออกว่าผมยอมจำนนต่ออำนาจดำฤษณาแล้ว!


- TBC -[/center]

อ่านจบ บวกเป็ด คอมเมนต์ ทุกเรื่อง ทุกตอน :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2017 14:04:17 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
มันจะหวานเกินไปแล้วววววว
โอย.....อิจฉา

ชอบตอนไประลึกความหลังในที่ที่เป็นความทรงจำสวยงาม

บางครั้งแม้ความจริงในปัจจุบันจะไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง
การมองดูบางที่ บางสิ่ง ก็นำพาความทรงจำล้ำค่ามาโอบกอดหัวใจให้ได้ยิ้มเหมือนวันนั้นอีกครั้ง

ขอให้จับมือกันอย่างมั่นคงนะ

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้า ขอให้คุณ sarawatta ร่างกายแข็งแรง มีความสุข ประสบความสำเร็จดั่งตั้งใจ
ขอบคุณที่ถ่ายทอดเรื่องราวดี ๆ มาให้อ่านนะ


ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าคับผู้แต่ง
  ชอบตอนนี้มากคับ อ่านแล้วอินตามเลย ๕๕๕ จะมีตอนพิเศษคืนนับถอยหลังเข้าปีศักราชใหม่มั้ยคับ
   ตอนใหม่มาเร็วๆนะคับ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Alice111

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
เข้ามาอ่านยาวเลย.....พี่แฟร้งนี้เป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่นมาก ..แต่เรื่องเพียวยังค้างอยูเลยนะ...พ่อแม่อีกละ ...การที่แฟร้งส่งรูปให้เฟิ์นแสดงว่าพี่น้องเข้ารู้กันดีอยู่แล้วแหละ ..ตอนนี้สวีทหวานมากค่ะ....

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด