❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly
ตอนที่ 9 ✢ วันฟ้าใสที่เขาค้อ ผมเลื่อนดูภาพถ่ายพรีเว็ดดิ้ง ที่เพียวอัปโหลดขึ้นเฟสบุ๊คพร้อมกันหลายรูปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง จะว่าเศร้าก็เศร้า ใจหายก็ใช่ แต่ก็ดีใจกับสองคนนั้นด้วยที่เดินทางมาถึงวันนี้ ความใกล้ชิดและสีหน้าของคนในภาพบ่งบอกถึงความสุขของชีวิตคู่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น แฟรงค์ดูหล่อใสกับผมทรงใหม่ที่เพิ่งตัด หล่อจนผมอิจฉาคนที่ได้แฟรงค์เป็นคู่ใจ จำนวนไลค์และคอมเมนต์มากมายยิ่งย้ำว่าชีวิตคู่ของคนทั้งสองช่างน่ายินดี ถ้าเปลี่ยนจากเพียวเป็นผมล่ะ ใครจะชื่นชมยินดีด้วย
ผมเลื่อนดูภาพไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจก็ยังอยากดู จนมาเจอภาพแฟรงค์จุมพิตหน้าผากของเพียว ผมก็เลื่อนหนีแทบจะทันที เห็นเพียงแวบเดียวก็เจ็บแปลบเกินทนแล้ว ดูนานกว่านี้คงขาดใจ พอทำใจได้หน่อยผมก็เลื่อนกลับไปดูภาพนั้นอีกครั้ง แต่สุดท้าย...ดูได้ไม่เท่าไหร่ผมก็รู้ว่าควรต้องเลิกดู
ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่หัวเตียง จู่ๆ ก็คิดถึงบทรักแสนหวานทว่าเร่าร้อนของเราในห้องนี้เมื่อไม่กี่วันนี้ ถ้าไม่หลอกตัวเอง มีหรือที่ผมจะปฏิเสธได้ว่าคืนนั้นของเราช่างมีความสุขมากแค่ไหน แม้ว่าจะรู้สึกผิดบาปกับผู้หญิงอีกคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็ตาม คิดแล้วก็รู้สึกผิดที่ต่อว่าแฟรงค์ว่าฉวยโอกาส ความโมโหทำให้ผมลืมคิดไปว่าปรบมือข้างเดียวไม่ดัง
ไม่รู้ว่าแฟรงค์คุยกับเพียวหรือยัง แต่ไม่ว่าจะคุยหรือไม่คุย ภาพพรีเว็ดดิ้งแสนหวานชื่นก็บอกเป็นนัยว่าสองคนคงเดินหน้าสู่ประตูวิวาห์ในไม่ช้า ก็ดีแล้วที่เป็นอย่างนั้น แฟรงค์ควรมีชีวิตอย่างผู้ชายทั่วไป มีครอบครัว มีลูก ดูแลธุรกิจให้เติบโต ดีกว่าเอาชีวิตดีๆ มาเสี่ยงกับผมเป็นไหนๆ ผมพอรู้มาบ้างว่าพ่อของแฟรงค์เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เกิดรับไม่ได้ขึ้นมาก็อาจตัดแฟรงค์ออกจากกองมรดก ถ้าร้ายแรงกว่านั้นก็ตัดขาดความเป็นพ่อลูก ผมไม่อยากเห็นชีวิตแฟรงค์ลำบากถึงเพียงนั้นหรอก การที่ผมจากไปจึงน่าจะดีกับทุกฝ่าย
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ความคิด ผมรีบเดินไปเปิดเพราะไม่อยากเดาให้เสียเวลาว่าใครมาหา พอเห็นแฟรงค์ยืนอยู่พร้อมกับถุงกระดาษอย่างดีใบหนึ่งก็แปลกใจ แฟรงค์น่าจะเพิ่งกลับจากพังงาเมื่อเย็นนี้ แทนที่จะพักผ่อนก็ยังอุตส่าห์มาหา
"พี่ซื้อไอติมมาฝาก ฮาเกนดาสของโปรดนัทไง"
แฟรงค์ชูถุงใบนั้นขึ้นให้ผมดู ก่อนจะยื่นมือผมให้รับไว้
"ขอบคุณครับ"
ปกติผมสนิทกับแฟรงค์มากจนไม่เคยพูด "ครับ" ด้วย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมถึงลงท้ายด้วย "ครับ" เมื่อกี้ เรามองหน้ากันด้วยสายตามีคำถามแต่ไม่พูด คงเป็นเพราะต่างคนคงต่างรู้สึกแปลกแยกจากความบาดหมางที่เพิ่งผ่านมา
"งั้น...พี่...กลับก่อนนะ"
"อ้าว...มีธุระต่อเหรอ"
ผมทำหน้าเสียดาย มายังไม่ทันหายคิดถึงก็จะกลับเสียแล้ว ผมเผลอมองดูผมตัดใหม่ของแฟรงค์อย่างสนใจ แม้อยากชื่นชมชิดใกล้ชายหนุ่มตรงหน้าแค่ไหนก็ทำได้เพียงแค่คิด
แฟรงค์พยักหน้าช้าๆ ดูเหมือนต่างคนต่างมีอะไรอยากพูดหลายอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเก็บไว้ในใจ
"ขับรถดีๆ นะ"
แฟรงค์พยักหน้า ยิ้มเจือเศร้าบางๆ
"นอนหลับฝันดีนะ"
แฟรงค์เดินถอยไปหนึ่งก้าว หันหลังกลับแล้วก็เดินหายไปในความมืด ทิ้งผมให้มึนงงสงสัยอยู่ตรงประตู พอรู้ว่าจะต้องจากพี่ชายที่แสนรักไปแล้วก็ใจหายเหลือเกิน ไม่ใช่แค่แฟรงค์เท่านั้นที่โดนผมลงโทษ ผมก็ลงโทษตัวเองอย่างสาสมด้วยการพรากจากคนที่รักเช่นกัน
ผมเลือกไอศครีมรสช็อกชิพมาวางไว้บนโต๊ะแล้วเก็บที่เหลือใส่ตู้เย็นไว้ พอแกะเปิดกินก็นั่งมองเหม่อคิดไปเรื่อยเปื่อย ตอนเด็กๆ แฟรงค์มักเจียดเงินค่าขนมมาซื้อไอศครีมให้ผมกินบ่อยๆ บางทีซื้อให้ผมแล้วตัวเองก็นั่งมองกลืนน้ำลาย อยากกินแค่ไหนก็เสียสละให้ผม พี่ชายแท้ๆ หรือก็เปล่า แฟรงค์ดูแลผมอย่างดีไม่เคยบ่นสักคำ คิดมาถึงตรงนี้แล้วผมก็สะท้อนใจและรู้สึกผิด แฟรงค์รักผมมากเกินกว่าที่ผมจะรับรู้และเข้าใจด้วยซ้ำ
"แฟรงค์คิดแล้ว...ต่อให้แฟรงค์ต้องเสียไปทุกอย่าง แฟรงค์ก็จะเลือกคนที่เป็นที่หนึ่งในใจของแฟรงค์"พอประโยคนี้ที่แฟรงค์เคยพูดแว่วมาในความคิด น้ำตาของผมก็พลันร่วงเผาะๆ หยุดกินไอศครีมแล้วก็เดินไปหยิบโทรศัพท์มาถือไว้ ตอนแรกว่าจะส่งไลน์ไปหา แต่คิดไปคิดมา แฟรงค์ควรได้สัมผัสความรู้สึกที่แท้จริงของผม ไม่ใช่แค่ตัวอักษรที่ไร้ชีวิตจิตใจ
พอแฟรงค์รับสาย ผมก็กรอกเสียงลงไปทันทีโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันทักทายตามธรรมเนียมด้วยซ้ำ
"พี่แฟรงค์ นัทขอบคุณพี่แฟรงค์มาก...สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง พี่แฟรงค์...เป็นพี่ชายที่อบอุ่นของนัทตลอดมา นัทจะไม่ลืมพี่แฟรงค์เลย นัทจะไม่ลืมความดีทุกอย่างของพี่แฟรงค์ ต่อให้เราอยู่ไกลกันแค่ไหนนัทก็จะไม่ลืม"
คนรับสายไม่พูดตอบสักคำ แต่ผมก็ไม่เก็บมาคิดสงสัยน้อยใจหรอก
"พี่แฟรงค์ นัท..."
ผมรู้ดีว่าไม่ควรพูดประโยคนั้น ก็เลยตัดสินใจวางสายไป แฟรงค์เพิ่งกลับมาจากถ่ายพรีเว็ดดิ้ง ผมไม่ควรเอาเรื่องของตัวเองไปกวนใจแฟรงค์อีก แฟรงค์เหนื่อยกับผมมาพอแล้ว ผมควรหยุดสร้างปัญหาเสียที
แฟรงค์ไม่ได้โทรกลับหาผม แต่ส่งข้อความหนึ่งมาทางไลน์
"เมื่อไหร่ที่นัทต้องการพี่ พี่แฟรงค์คนนี้จะมาหานัทเสมอ"ผมยิ้มให้กับข้อความนั้นทั้งน้ำตา นึกโกรธตัวเองที่ทำตัวงี่เง่ากับแฟรงค์หลายอย่าง พูดไม่ดีกับแฟรงค์ก็หลายหน แต่แฟรงค์กลับไม่เคยปริปากต่อว่าผมสักคำ
ผมเก็บไอศครีมที่กินไม่หมดเข้าตู้เย็น กลับมานั่งที่เดิมแล้วก็ฟุบหน้าลงร้องไห้ แฟรงค์บอกว่าคนที่อยู่ในใจของแฟรงค์ตลอดมาก็คือผม แล้วคนที่อยู่ในใจผมตลอดมาก็คือแฟรงค์เช่นเดียวกัน แฟรงค์ชอบเพียวเพราะเพียวมีบางอย่างคล้ายผม ส่วนผมก็ชอบต้องตาเพราะเธอทำบางอย่างคล้ายแฟรงค์ แม้ดูเหมือนว่าจะลืมเลือนกันไปแล้ว แม้ดูเหมือนว่าต่างคนต่างหมดอิทธิพลต่อกันเพราะจากกันนาน แต่เรากลับลืมความรู้สึกเก่าๆ ที่ฝังใจไม่ได้เลย
ตอนอยู่มอหนึ่ง ผมพบว่าตัวเองรู้สึกพิเศษกับแฟรงค์แม้ว่าแฟรงค์จะไม่อยู่แล้ว พอทำงานก็รักคนที่คล้ายว่ามีเงาของแฟรงค์ซ้อนทับอยู่ ความเจ็บปวดแรกก็เกิดขึ้นตอนที่แฟรงค์ทิ้งผมไปและไม่เคยกลับมาหา ต่อมาคนที่เป็นเงาของแฟรงค์ก็หลอกลวงผมอย่างร้ายกาจ ผมจึงฝังใจประสบการณ์เจ็บปวดที่แฟรงค์เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อมอย่างช่วยไม่ได้ ความกลัวนั้นทำให้ผมสร้างกำแพงป้องกันตัวเองอย่างแน่นหนา ยิ่งรู้ว่าตัวเองจะเป็นมือที่สามก็ยิ่งปัดป้องเป็นระวิง
สุดท้ายผมก็ตระหนักว่า ภาพและความรู้สึกเก่าๆ เหล่านั้นไม่ใช่ของจริง แฟรงค์ตัวจริงในวันนี้คือคนที่มีความรักเต็มเปี่ยมในหัวใจ พร้อมจะมอบให้ผมทุกเวลาที่ผมต้องการ หัวใจของผม...ไม่ไร้รักอย่างที่ผ่านมาอีกแล้วเพราะความรักของแฟรงค์ แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า เมื่อทุกอย่างกำลังจะย้อนกลับไปเหมือนตอนที่ผมอยู่มอหนึ่งอีกครั้ง
"พี่แฟรงค์...นัทรักพี่ นัทอยากอยู่กับพี่ นัทอยากกอดพี่ นัทรักพี่คนเดียว พี่แฟรงค์ได้ยินเสียงหัวใจของนัทหรือเปล่า พี่แฟรงค์ได้ยินมั้ย"
... ... ...
ยังไม่ทันถึงเก้าโมงเช้าดีนัก รถตู้ของเราก็เลี้ยวเข้าสู่ถนนหมายเลขยี่สิบเอ็ดแล้ว ถนนสายนี้แยกจากถนนพหลโยธินบริเวณสามแยกพุแค อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี ขับตามถนนเส้นนี้ไปอีกราวๆ สองร้อยเจ็ดสิบกิโลเมตรก็จะถึงถนนหมายเลขสิบสองที่หล่มสัก เลี้ยวซ้ายเดินทางต่ออีกราวยี่สิบห้ากิโลเมตรก็จะถึงปลายทางที่ภูลู่ลมรีสอร์ท อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
ผมเช่ารถตู้สองคันสำหรับพนักสิบห้าคน รวมผมและปอนด์ด้วย เนื่องจากผมเป็นเจ้าถิ่น จึงได้รับเกียรติให้นั่งตรงเบาะหน้าคอยบอกเส้นทาง รถตู้อีกคันที่ปอนด์นั่งอยู่คอยวิ่งตามหลัง ส่วนแฟรงค์ขับรถเบนซ์ตามมาหลังสุดพร้อมกับตุ๊กตาหน้ารถที่พ่วงตำแหน่งว่าที่เจ้าสาวด้วย
พนักงานที่มาก็มีคนสวน พนักงานบัญชี พนักงานที่ฟรอนท์ พนักงานที่ร้านกาแฟ ร้านเสริมสวย ฟิตเนสและร้านอาหาร ไม่มีพนักงานซักรีดหรือทำความสะอาดเพราะจ้างบริษัทข้างนอกมาดูแลให้
ป่านนี้สองคนหลังสุดคงขับรถไปคุยกันไปกระหนุงกระหนิง หลังๆ มานี้แฟรงค์ดูห่างเหินกับผมจนรู้สึกได้ แม้กระทั่งก่อนเดินทางก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ ผมเองก็มัวแต่ยุ่งๆ กับการจัดเตรียมทริปและประสานงานกับบริษัทต่างๆ ที่เข้ามาตีราคา
หลังจากทริปนี้เราก็จะเริ่มลงมือปรับปรุงรีสอร์ทขนานใหญ่ แฟรงค์กับเพียวและครอบครัวจะไปเที่ยวต่างประเทศตามที่วางแผนไว้ล่วงหน้าในช่วงนั้นด้วย นอกจากไปเที่ยวแล้วก็จะรับเฟิร์นกลับมาด้วยกันช่วงใกล้ๆ ปีใหม่ พอเฟิร์นกลับมาแล้วก็คงมาช่วยพี่ชายทำรีสอร์ทอีกแรง แว่วๆ ว่าเธออยากเปิดธุรกิจใหม่ด้วย แต่น่าเสียดายที่ผมคงไม่ได้อยู่เห็นทั้งเฟิร์นและการเติบโตของที่นี่
หลังจากเฟิร์นกลับมาแล้ว งานสำคัญอีกงานหนึ่งก่อนเปิดรีสอร์ทก็คืองานแต่งงานของแฟรงค์กับเพียว ถึงตอนนั้นผมคงไม่อยู่แล้ว ต่อให้ผมทำใจว่ารักแฟรงค์ในฐานะพี่ชายได้ ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมาร่วมงานด้วยหรือเปล่า กลัวว่ามาเห็นแล้วจะทำใจไม่ได้ คงให้แม่กับนิวมาแทนละกัน
หลังจากผ่านไปเกือบสามชั่วโมงเราก็มาถึงอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่นี่มีร้านอาหารขึ้นชื่อเรื่องไก่ย่างหลายเจ้า หลายๆ คนคงเคยเห็นเฟรนไชส์ไก่ย่างวิเชียรบุรีมาบ้างแล้ว ต้นตำหรับมาจากที่นี่นี่เอง
ผมกับปอนด์ช่วยกันหาข้อมูลร้านอาหารเตรียมไว้หลายที่ สุดท้ายก็มาลงเอยที่ร้านไก่ย่างบัวตอง มีเปิดอยู่ด้วยกันสามร้านบนถนนหมายเลขยี่สิบเอ็ด พอดีอีกสองร้านปิดทำความสะอาด วันนี้จึงเหลือเพียงร้านเดียวให้เลือก
หลังจากที่รถมาจอดหน้าร้าน พวกเราก็เดินฝ่าแดดและย่ำพื้นหินกรวดเข้าไปในร้านที่เปิดโล่งทุกทิศทุกทางยกเว้นหลังคา มีลูกค้าเยอะพอสมควรในช่วงเที่ยงวัน โชคดีที่ยังพอมีโต๊ะเหลือให้พวกเรานั่งได้ครบทุกคน
พนักงานรวมถึงปอนด์นั่งกินข้าวด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ มีเพียงแฟรงค์กับเพียวเท่านั้นที่แยกไปนั่งด้วยกันต่างหาก คงไม่ใช่เพราะแฟรงค์เจ้ายศเจ้าอย่างหรอก ผมเดาว่าเพียวคงมีเรื่องอยากคุยกับแฟรงค์สองต่อสองมากกว่า
พวกเรานั่งกินข้าวและคุยกันไปอย่างสนุกสนาน อาหารที่สั่งมาก็เป็นพวกอาหารอีสาน เช่น ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง ลาบเป็ด ยำปลาดุกฟู รสชาติพอกินได้แต่ก็ไม่ถึงกับอร่อยเลิศ อาศัยว่าร้านใหญ่ ชื่อดังและติดถนนใหญ่ นักท่องเที่ยวจึงมากินกันหนาตา
ผมคอยชำเลืองมองไปที่โต๊ะของแฟรงค์กับเพียวบ่อยๆ คอยแอบมองดูใบหน้าและทรงผมใหม่ของแฟรงค์จากด้านข้าง ไม่ว่าจะมองด้านไหนแฟรงค์ก็ดูดีเสมอ แต่ผมคงไม่มีวาสนาได้อยู่เคียงข้างอีกแล้ว
ผมกินไปได้สักพักก็ขอตัวไปห้องน้ำ ทางที่จะไปนั้นต้องผ่านโต๊ะของแฟรงค์กับเพียวด้วย พอเดินไปใกล้ๆ ผมก็พยายามทำเป็นไม่มองและไม่สนใจ แต่หูเจ้ากรรมก็พลันได้ยินเสียงสองคนคุยกันลอยผ่านมา พอฟังดีๆ ก็พบว่าไม่น่าจะเป็นการพูดคุยที่รื่นรมย์
"อะไรกันน่ะพี่แฟรงค์ คบกันมาตั้งหลายปียังไม่รู้อีกเหรอว่าเพียวไม่ชอบกินผักชีใบเลื่อย ตักมาให้ทำไมเนี่ย"
"ขอโทษๆ พี่มัวแต่คิดยุ่งๆ ก็เลยลืม พี่ขอโทษนะเพียว"
เสียงแฟรงค์ฟังดูรู้สึกผิดพอสมควร แล้วผมก็ได้ยินเพียวทำเสียงจิ๊กจั๊กไม่พอใจ
"ทีเรื่องคนอื่นจำแม่นนะคะ แต่เรื่องของแฟนตัวเองกลับชอบลืม"
"เพียว ทำไมพูดอย่างงี้ล่ะ พี่ก็ขอโทษแล้ว"
"ก็มันจริงไหมล่ะคะ"
ผมเห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบเดินหนีไป ไม่อยากฟังเรื่องผัวเมียตีกันให้ปวดหัวหรอก อีกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องของผมด้วย พอเสร็จธุระ ผมเดินผ่านมาก็ยังเห็นแฟรงค์กับเพียวนั่งเงียบๆ สีหน้ายังคงบูดบึ้งทั้งคู่ พอแฟรงค์เหลือบมาเห็นผมก็ส่งยิ้มบางๆ มาให้ ผมยิ้มตอบพอเป็นพิธีแล้วก็รีบเดินจากไป
ผมกลับมานั่งกินข้าวกับเพื่อนพนักงานคนอื่นๆ ตามเดิม พอสบโอกาสเมื่อไหร่ผมก็อดหันไปมองที่โต๊ะนั้นอีกไม่ได้ สองคนนั้นก้มหน้าก้มตากินใครกินมันราวกับไม่รู้จักกัน ปราศจากเสียงพูดคุยกระหนุงกระหนิงอย่างที่ผมเพิ่งจินตนาการไว้ เพียวคงงอนแฟรงค์น่าดูเลย
ความสนใจของผมยังคงพุ่งไปที่แฟรงค์ ผมมองจอนผมและจมูกโด่งเป็นสันแล้วก็แอบยิ้มชื่นชม แฟรงค์ช่างมีเสน่ห์ในทุกมุมมองเสียจริง ผมคงมีความสุขไม่น้อยเลยถ้าได้เป็นคนนั้นที่อยู่ใกล้ๆ คอยออดอ้อน หยอกเล่นและดูแล
... ... ...
เราเดินทางมาถึงที่พักที่ภูลู่ลมรีสอร์ทเกือบๆ บ่ายสามโมง แม้ระยะทางจะไม่ไกลมากแต่เราก็ไม่เร่งรีบ ขับสบายๆ แถมยังแวะจอดปั๊มกันบ่อยๆ เข้าห้องน้ำบ้าง ซื้อของกินบ้าง
รีสอร์ทนี้ตั้งอยู่บนเนินดินสูงติดถนนหมายเลขสิบสอง มีลมพัดโชยเย็นๆ กระทบผิวกายตลอดเวลาสมกับชื่อภูลู่ลม พอเข้าเดือนธันวาคมแล้ว อากาศหนาวที่มาพร้อมลมแรงยิ่งทำให้หนาวมากขึ้น พอลงจากรถแล้วเราก็สัมผัสความหนาวได้ทันที
เพื่อนพนักงานตื่นเต้นกับความสวยงามของที่นี่กันใหญ่ วิ่งไปถ่ายรูปตรงนั้นตรงนี้ทั้งที่ยังไม่ได้เอาของไปเก็บที่ห้องเลย มองไกลออกไปจะเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนอยู่รายล้อม นี่แหละบ้านเกิดของผมกับแฟรงค์ สถานที่ที่เราสองคนเติบโตมาด้วยกัน
พนักงานหนุ่มๆ ช่วยกันขนกระเป๋าลงจากรถ ส่วนผมเดินเข้าไปคุยกับเจ้าที่ที่ฟรอนท์เรื่องห้องที่จองไว้ ไม่นานก็ได้กุญแจห้องออกมาด้วย ปอนด์ก็ช่างน่ารัก ช่วยเอากุญแจไปแจกให้ทุกคนอย่างกระวีกระวาด
ผมเห็นหมาสองสามตัวมาป้วนเปี้ยนเล่นกับแขกที่มาพัก แม้จะเคยถูกหมากัดแต่ผมก็ไม่ถึงกับกลัวจนต้องวิ่งหนี ตรงกันข้าม เห็นทีไรผมก็มักจะอดเล่นด้วยไม่ได้ทุกที ผมย่อตัวลงไปนั่งเล่นกับหมาพุดเดิ้ลสีขาวๆ ตัวหนึ่ง มันเลียไม้เลียมือผมใหญ่ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน พลันสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นแฟรงค์ยืนมองผมอยู่เงียบๆ พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ไม่รู้ว่ากำลังนึกถึงวันคืนเก่าๆ สมัยประถมอยู่หรือเปล่า เพราะผมถูกหมากัดนี่แหละเราถึงได้รู้จักกัน
ผมหยุดเล่นกับหมาตัวนั้นแล้วก็ยืนขึ้น น้องผู้ชายที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ฟรอนท์เตือนว่าระวังหมาตัวสีดำๆ ด้วยเพราะมันเพิ่งออกลูกและหวงลูกมาก ผมพยักหน้ารับรู้แล้วก็ยิ้มให้ พอหันกลับไปมองหาแฟรงค์อีกทีก็หายไปเสียแล้ว
ตามแผนที่วางกันไว้ พอเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้อง ล้างหน้าล้างตาและพักผ่อนกันพอหายเหนื่อยแล้ว ปอนด์ก็จะให้ทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องอาหารตอนสี่โมงเย็น ตรงนั้นจะเป็นทั้งที่กินข้าวเช้า ข้าวเย็นและจัดกิจกรรมสันทนาการด้วย ปอนด์เตรียมกิจกรรมต่างๆ ไว้ให้ทำตลอดสามวันสองคืนกันเลย
พอได้กุญแจครบแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไปตามบ้านหลังต่างๆ ของตัวเอง บ้านพักส่วนมากอยู่บนเนินลาดเอียง ผมพักอยู่ปีกขวา มีทางเดินเล็กๆ ทำด้วยคอนกรีตง่ายๆ นำทางไปจนถึงตัวบ้าน เลยไปหน่อยมีบ้านพักอีกสามสี่หลังติดๆ กัน แต่ละหลังพักได้สองถึงสามคน ส่วนหลังนี้ผมกับปอนด์จะพักด้วยกัน
พอถึงเวลานัดเราก็มาเจอกันที่ห้องอาหารทางปีกซ้าย แฟรงค์กับเพียวก็มาร่วมเล่นด้วย ทุกคนอยู่ในชุดสบายๆ พร้อมทำกิจกรรมทุกรูปแบบ เกริ่นนำนิดหน่อยแล้วปอนด์ก็เริ่มแนะนำกิจกรรมแรก ปอนด์อธิบายว่าให้เราเดินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสั่งให้หยุด เราอยู่ใกล้กับใครก็ให้จับคู่กับคนนั้น จับมือกับคู่ของเราแล้วก็ถามคำถามอะไรก็ได้ที่อยากถามคู่ของเรามากที่สุด แล้วปอนด์จะสุ่มถามว่าคู่ไหนคุยอะไรกันบ้าง
พอเข้าใจโจทย์ดีแล้ว เจ้าหน้าที่รีสอร์ทก็ช่วยเปิดเพลงให้ พวกเราเดินวนไปเวียนมาอย่างช้าๆ มีเสียงหัวเราะสลับพูดคุยเป็นระยะๆ สักพักเสียงดนตรีก็หยุดลงพร้อมกับเสียงปอนด์ที่ตะโกนบอกให้เราหยุดเดิน
คู่ของผมคนนั้นอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่ผมแอบมองทรงผมใหม่บ่อยๆ นั่นเอง ผมไม่แปลกใจหรอกเพราะแอบเห็นแฟรงค์เดินตามหลังผมมาตลอด
แฟรงค์ยื่นมือมารอไว้ พอสายตาเราประสานกันก็เห็นแววประหม่าของทั้งคู่ ผมแทบจะลืมมองหาเพียวไปเลยเมื่อเห็นแฟรงค์อยู่ตรงหน้า แฟรงค์เผยอยิ้มน้อยๆ เป็นการเริ่มทักทายและสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลาย ผมจึงยื่นมือไปจับกับมือของแฟรงค์ไว้
"นัทสบายดีมั้ย"
แฟรงค์ถามเหมือนเราไม่ได้เจอกันนาน ทั้งที่ความจริงก็เจอกันแทบทุกวัน
"สบายดี แฟรงค์ล่ะ"
ผมถามไปเบาๆ ยิ้มน้อยๆ รู้สึกเขินเหมือนกันที่ต้องจับมือกันไป คุยกันไป
"แฟรงค์ก็สบายดี"
"เดินทางเหนื่อยหรือเปล่า"
"ไม่เท่าไหร่ แต่เหงาน่าดู"
"เหงาได้ไง แฟนก็อยู่ด้วย" ผมเอียงคอสงสัย
แฟรงค์ค่อยๆ ระบายยิ้มอย่างช้าๆ คงเขินเหมือนกันที่ต้องจับมือกัน
"ไม่มีใครแทนที่คนสำคัญของแฟรงค์ได้หรอก"
"อืม" ผมพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ชักทำหน้าไม่ถูก
"แล้วนัทล่ะ เดินทางเหนื่อยมั้ย"
"ไม่เหนื่อยหรอก แต่นั่งนานๆ ก็เมื่อยหลังเหมือนกัน แฟรงค์ล่ะ ขับรถนานๆ ไม่เมื่อยเหรอ"
"ก็เมื่อยหลังเหมือนนัทแหละ"
ผมขำเบาๆ แล้วก็ถาม "กินข้าวกลางวันอร่อยมั้ย"
"ก็ดี พอกินได้" แฟรงค์ตอบด้วยรอยยิ้มที่หม่นลงเล็กน้อย ทะเลาะกับแฟนแล้วจะกินข้าวอร่อยได้ยังไง
"แล้วนัทล่ะ ชอบอาหารอะไรมากที่สุดตอนกลางวัน"
"ไก่ย่างนั่นแหละ แล้วก็ลาบเป็ด แฟรงค์ล่ะ แฟรงค์ชอบกินอะไรมากที่สุด"
"ก็ชอบไก่ย่างเหมือนกัน เสียดาย...ไม่มีไอติมให้กิน"
เราสองคุยไป ยิ้มไป หัวเราะไป พอผมกำลังจะอ้าปากถาม เสียงปอนด์ก็ตะโกนบอกให้เราหยุด
"หยุดครับๆ แต่ว่าจับมือกันไว้ต่อนะครับ อย่าเพิ่งปล่อย ทีนี้ ใครอยากเล่าครับว่าคุยอะไรกับคู่ของเราบ้าง"
มีคู่นั้นคู่นี้แลกเปลี่ยนให้ฟังหลายคู่ บางคู่ก็เล่าเรียบๆ บางคู่ก็เล่าตลกๆ ให้เพื่อนๆ หัวเราะ ตอนนี้แหละที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นเพียว เธอจับคู่อยู่กับน้องผู้หญิงที่ทำงานที่ร้านกาแฟคนหนึ่ง สีหน้าของเธอดูเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ สายตาของเธอมองมาที่ผมกับแฟรงค์อย่างแปลกๆ จนผมรู้สึกกลัว แฟรงค์เหมือนจะรู้ความคิดของผมจึงบีบมือผมแน่นขึ้น
"เอ้า คุณแฟรงค์ล่ะครับ มีอะไรจะเล่าให้พวกเราฟังมั้ยครับว่าคุยอะไรกับคุณนัทมั่ง"
ปอนด์หันมาถามคู่ของผมเข้าใจได้ ผมว่าจะอยู่เงียบๆ แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วเชียว
"อ๋อ...ไม่มีอะไรครับ จริงๆ ผมกับนัทก็เจอกันเกือบทุกวัน แต่ช่วงหลังๆ ต่างคนต่างยุ่ง ก็เลยไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ ก็เลยถือโอกาสถามนัทว่าสบายดีหรือเปล่า เดินทางเหนื่อยมั้ย กินข้าวอร่อยมั้ย ประมาณนี้ครับ นัทมีอะไรจะเสริมมั้ย"
แฟรงค์หันมาถามผมที่ยืนอึดอัดใจอยู่
"ก็คล้ายๆ กับแฟรงค์ เอ๊ย...คุณแฟรงค์ครับ แล้วก็ถามด้วยว่าชอบอาหารอะไรมากที่สุดในร้านที่เราเพิ่งไปกิน ผมกับคุณแฟรงค์ก็ชอบกินไก่ย่างเหมือนกันครับ"
"เสียดายไม่มีไอติมให้กินเลย นัทเค้าชอบกินไอติมมาก"
แฟรงค์พูดแทรกขึ้นมาแล้วก็ขำ คนอื่นๆ ก็พลอยขำไปด้วย ยิ่งทำให้เพียวจับจ้องมองดูด้วยความสนใจ เพียวก็ชอบกินไอศครีมเหมือนกันแท้ๆ แต่แฟรงค์ไม่เอ่ยถึงเธอเลย
"โอเคครับ เดี๋ยวเราไปกิจกรรมต่อไปกันเลยดีกว่า อย่าเพิ่งปล่อยมือกันนะครับ แล้วก็ต้องอยู่กับคู่ของเราตลอดเวลา ห้ามเปลี่ยนคู่ รักเดียวใจเดียวนะครับ"
ปอนด์เว้นจังหวะหัวเราะ คนอื่นๆ ก็หัวเราะตามด้วย จากนั้นปอนด์ก็ให้ทุกคนจับมือกันเป็นวงกลม แล้วให้ทุกคนยื่นแขนที่จับกันไว้มาตรงกลางวง ให้มือทุกมือชนติดกันให้ได้ จากนั้นก็ให้นั่งลง จับมือกันไว้เหมือนเดิม แล้วยื่นขาของทุกคนเข้าไปกลางวงให้ขาทุกขาสัมผัสกัน ปิดท้ายด้วยการยืนขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เปลี่ยนจากขาเป็นหูบ้าง ปอนด์บอกให้เอาหูทุกหูชนกันให้ได้ คราวนี้เสียงหัวเราะสนุกสนานดังกว่าเดิม เพราะไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ทำไม่ได้อยู่ดี แฟรงค์ก็ดูสนุกใหญ่ พยายามเอาหูมาแตะเล่นกับผมแล้วก็หัวเราะ พอใกล้ชิดกันอย่างนี้ ผมก็ยอมรับว่ารู้สึกดีไม่น้อย
ปอนด์ให้แต่ละคู่จับกลุ่มที่อยู่ใกล้กันให้ได้ครบหกคน แน่นอนผมก็ยังอยู่กับแฟรงค์เหมือนเดิมแต่มีคนอื่นๆ มาเพิ่มด้วย ส่วนเพียวก็ยังคงไม่ได้เข้ามาใกล้แฟรงค์เลย ถึงกระนั้นก็คอยชำเลืองดูตลอด
ปอนด์แจกกระดาษที่มีภาพลายเส้นขาวดำลายมันดาลาหรือลายมณฑลแบบต่างๆ ให้แต่ละกลุ่ม แจกดินสอสีให้ด้วย จากนั้นก็ให้คนในกลุ่มช่วยกันระบายสี แต่ต้องสร้างกติกาขึ้นมาก่อนว่าจะช่วยกันระบายสียังไง
กลุ่มผมตกลงกันว่าให้แต่ละคนแบ่งกันระบายสีส่วนต่างๆ ใช้สีได้ตามชอบ แฟรงค์ดูสนุกอีกแล้ว หยิบดินสอสีมาระบายลงบนรูปก่อนเพื่อน นั่งชิดไหล่ชนไหล่กับผมจนคนในกลุ่มมองอย่างสงสัย แฟรงค์คอยหันมายิ้มให้ผมบ่อยๆ ชวนให้ผมใช้สีนั้นสีนี้ ระบายตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง จะว่าไปผมรู้สึกดีมากที่มีแฟรงค์อยู่ใกล้ๆ แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีสายตาของใครบางคนมองดูอยู่ แฟรงค์ก็ทำเหมือนไม่แคร์เอาเสียเลย
"คุณแฟรงค์ดูสนิทกับคุณนัทจังเลยนะคะ"
แก้วตาถามขึ้นมาในขณะที่เรากำลังระบายสีจนเกือบเสร็จแล้ว
"อ๋อ...ผมกับนัทโตมาด้วยกัน เราเกิดแล้วก็โตที่เขาค้อด้วยกันนี่แหละครับ หมู่บ้านที่ผมเคยอยู่ก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่ ผมเรียนประถมกับนัท เจอกันตั้งแต่เด็กๆ เลย เราสองคนสนิทกันมาก ขี่จักรยานไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน ผมอายุห่างจากนัทสี่เดือนกว่าๆ แต่ก็เรียนคนละชั้นกับนัท ตอนเด็กๆ ผมยังเคยบอกนัทบ่อยๆ เลยว่าอย่าเรียกผมว่าพี่ เพราะว่าเราอายุห่างกันไม่เยอะ แต่เค้าก็ชอบเรียกผมว่าพี่บ่อยๆ อ้อ...แล้วนัทก็ชอบกินไอติมมาก เห็นผมเมื่อไหร่ต้องวิ่งมาขอกินไอติมทุกที"
แฟรงค์เล่าให้เพื่อนๆ พนักงานฟังอย่างอารมณ์ดี
"จริงเหรอคะ คุณแฟรงค์กับคุณนัทเกิดที่เขาค้อเหรอคะ ไม่ยักกะรู้มาก่อนเลย" แก้วตาทำสีหน้าแปลกใจ คนอื่นๆ ก็เช่นกัน
"จริงครับ เดี๋ยวถ้าขับรถผ่านจะชวนไปแวะดู"
"มิน่าล่ะ แก้วตาสังเกตว่าคุณนัทชอบเรียกคุณแฟรงค์ว่าแฟรงค์เฉยๆ บ่อยๆ เป็นอย่างงี้นี่เอง บังเอิญจังเลยนะคะได้กลับมาเจอกันอีก แถมยังมาทำงานด้วยกันด้วย เสียดาย...คุณนัทจะทิ้งพวกเราไปซะแล้ว"
แฟรงค์หันมามองผม ยิ้มแล้วก็ขำด้วยกัน ผมคงไม่ได้คิดไปเองหรอกว่าแฟรงค์ดูมีความสุขเวลาที่เราสองคนอยู่ใกล้กัน
พอเสร็จกิจกรรมวาดรูป เราก็เล่าแลกเปลี่ยนวิธีการระบายสีเป็นกลุ่มๆ จากนั้นปอนด์ก็ให้เราลงไปเล่นเกมตรงลานข้างล่าง เป็นเกมสุดท้ายก่อนกินข้าวเย็น เกมนี้ยังเล่นเป็นกลุ่มเหมือนเดิม แต่ละกลุ่มจะส่งสมาชิกทีละคนออกมายืนขาเดียว เท้าสะเอว แล้วก็หมุนคอ คนที่ยืนดูอยู่ช่วยนับดูว่าหมุนได้กี่รอบก่อนที่ขาจะตกพื้น พอขาตกพื้นต้องหยุดทันที ทำครบทุกคนแล้วก็เอาคะแนนมารวมกันทั้งกลุ่ม กลุ่มไหนทำได้เยอะที่สุดก็จะได้ของรางวัลพิเศษไป
พอเกมเริ่มเสียงหัวเราะก็มาทันที ดูเหมือนง่ายแต่เอาเข้าจริงก็ยากไม่ใช่เล่น ส่วนมากมักทำได้ไม่ถึงสิบครั้งต่อคน คนที่หมุนคอได้หลายรอบมักเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรง ความสนุกจึงอยู่ที่ได้ลุ้นเวลาเพื่อนยืนโงนเงนจะล้มแหล่มิล้มแหล่นี่แหละ
พอถึงกลุ่มของผมบ้าง ผมก็ให้แฟรงค์ออกไปทำก่อนเพื่อน แฟรงค์หมุนคอได้ตั้งสิบแปดรอบ แสดงว่าแข็งแรงน่าดู จากนั้นคนอื่นๆ ก็ออกไปทำบ้าง
พอถึงคิวของผม ตอนแรกผมก็คิดว่าไม่น่าจะยาก แต่พอหมุนคอไปได้สองสามรอบก็เริ่มเวียนหัว กัดฟันทำไปได้เกือบสิบครั้งก็ไม่ไหว สุดท้ายก็ซวนเซจนทรงตัวไม่อยู่ แฟรงค์ตรงเข้ามาช่วยประคองได้ทันเสียก่อนที่ผมจะล้มก้นจำเบ้าไป
พอได้อยู่ในอ้อมแขนของแฟรงค์อีกครั้ง ผมก็ยิ่งรู้สึกหวั่นไหว แม้ว่าสายตาของใครคนนั้นจะมองมาก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกของผมได้ เรายิ้มให้กันก่อนที่ผมจะทรงตัวลุกขึ้นยืนได้เอง พอแฟรงค์ปล่อยมือ เราก็แอบมองตากันด้วยความรู้สึกที่ยากจะบอก
พอเล่นเกมเสร็จแล้ว เราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนที่ห้องชั่วคราวเพราะอาหารเย็นยังไม่พร้อม ผมมองหาปอนด์ไม่เจอก็เลยเดินกลับไปคนเดียว จู่ๆ แฟรงค์ก็วิ่งมาดักหน้าผมไว้ พอผมหยุดยืนมอง แฟรงค์ก็บอกผมว่า
"แฟรงค์คุยกับเค้าแล้ว ยังไม่สำเร็จ เค้าไม่ยอม"
แล้วแฟรงค์ก็เดินแกมวิ่งจากไป ผมยืนนิ่งครุ่นคิดสักพักก็เดินจ้ำอ้าวออกไปบ้าง บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกยังไงกับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน แล้วผมจะเอายังไงกับชีวิตของผมดี อีกไม่กี่วันก็จะกลับมาอยู่บ้านกับแม่แล้ว แต่แฟรงค์ก็ยังพยายามที่จะเลิกกับเพียวให้ได้อีก เพื่อผมหรือเปล่า...
พอมาถึงหน้าห้องพักผมก็หยุดยืนนิ่งอีกครั้ง แหงนหน้ามองท้องฟ้าใสๆ ยามหน้าหนาวของเขาค้อ แล้วก็ถามตัวเองในใจว่า ผมควรจะเดินหน้าสู้เพื่อความรักเหมือนแฟรงค์ หรือควรจะหยุดแล้วจากกันไปทางใครทางมัน
- TBC -[/center]
ชอบงานใคร อย่าลืมบวกเป็ด/คอมเมนต์ให้นักเขียนทุกคน ทุกเรื่อง ทุกตอนนะครับ