❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly
ตอนที่ 6 ✢ ถ้าโลกนี้มีแฟรงค์สองคน "คุณนัทคะ คุณเฮนนิ่งมาถึงแล้วนะคะ ตอนนี้พักอยู่ห้องเรือนแพห้าค่ะ"
แก้วตา พนักงานที่ฟรอนท์เดินเข้ามาบอกผมทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในอาคารต้อนรับ เธออายุมากกว่าผมหลายปีอยู่ ชื่อของเธอก็คล้ายๆ กับใครคนนั้นที่ผมเคยรักมาก ได้ยินทีไรก็แสลงใจอยู่หน่อยๆ แต่ก็ไม่ถึงกับจะทำให้เป็นอะไร
"ครับ...แล้วมาถึงตอนไหนครับ"
"อืม...เกือบๆ เที่ยงคืนค่ะ"
ผมพยักหน้ารับรู้
"อ้าว คุณแฟรงค์มาทำงานละ แปลกจังเลย ตอนผู้จัดการคนก่อนอยู่ คุณแฟรงค์มาทำงานอาทิตย์ละสองสามวันเอง ตั้งแต่คุณนัทมาทำงาน คุณแฟรงค์มาทำงานทุกวันเลย"
ผมหันไปมองตามแก้วตาก็เห็นรถของแฟรงค์วิ่งผ่านไปยังที่จอดรถทางด้านหลังไวๆ ผมก็สงสัยเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ
"นั่นไงคะคุณเฮนนิ่ง"
แก้วตาชี้ไปที่ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งที่กำลังเดินเล่นอยู่ตรงทางเดินรอบทะเลสาบ ฝั่งที่อยู่ใกล้อาคารต้อนรับ
"เดี๋ยวผมไปทักทายลูกค้าก่อนละกันนะครับ ถ้าแฟรงค์มา...อ้อ...ถ้าคุณแฟรงค์มาบอกว่าเดี๋ยวผมมานะครับพี่"
"ได้ค่ะๆ เดี๋ยวพี่จะบอกให้"
"ขอบคุณครับ"
ผมเดินจ้ำอ้าวออกไปแล้วก็มุ่งตรงไปหามิสเตอร์เฮนนิ่ง หนุ่มชาวเยอรมันที่จะมาพักอยู่ที่นี่นานถึงสิบวัน เป็นแขกคนสุดท้ายก่อนที่เราจะปิดปรับปรุงรีสอร์ทประมาณสองเดือน
"Good morning! Are you Mr. Henning?"
ผมร้องทักเมื่อเดินมาถึงตัว เฮนนิ่งหันมามองแล้วก็ส่งยิ้มมาทักทายเช่นเดียวกัน ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะอายุประมาณสามสิบต้นๆ หน้าตาดูหล่อเหลามากทีเดียว แถมหุ่นยังดูดีอีกต่างหาก ว่าแต่...ผมเกิดสนใจรูปร่างหน้าตาของผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ชักแปลกๆ แล้วสิ
"Yes, I'm Henning. And you?" เฮนนิ่งถามผมกลับบ้างว่าผมเป็นใคร
"I'm Tan--manager of the resort. Nice to meet you."
ผมพูดพร้อมกับยื่นมือไปเชคแฮนด์ด้วย ปกติผมจะไม่แนะนำตัวเองว่านัทถ้าเป็นชาวต่างชาติ เพราะคำว่านัทในภาษาอังกฤษมีความหมายไม่ค่อยดี ก็เลยแนะนำตัวเองว่าชื่อแทน มาจากตัวอักษรสามตัวแรกของชื่อจริงภาษาอังกฤษของผม
"Nice to meet you, too, Tan. Look. Don't you think it's an amazing place? I visit Bangkok nearly every year but I've never found a place like this before. No one knows this is also Bangkok."
เฮนนิ่งบอกว่าที่นี่สวยมาก มากรุงเทพเกือบทุกปีแต่ก็ไม่เคยรู้ว่ากรุงเทพมีแบบนี้ด้วย ผมก็เลยขำเบาๆ
"Me too. I've lived in Bangkok for several years but I've just known this area--not long ago. Glad to hear you like our place."
ผมบอกเฮนนิ่งไปว่าผมเองก็อยู่กรุงเทพมาหลายปีแต่ก็เพิ่งรู้จักที่นี่ได้ไม่นาน ดีใจที่เฮนนิ่งชอบที่นี่ด้วย
"I really love it. But it seems there aren't many customers."
"Right, we're planning to close our resort for renovation soon. You're our last customer before we close. But the fishing park is still open. Usually our fishing park's customers come in the afternoon. Many come in the evening time to enjoy fishing and dining here. And if you like water sports, we have jet skies, kayaks and flyboards available after 10 in the morning till 6 in the evening."
เฮนนิ่งสงสัยว่าทำไมมีลูกค้าน้อย ผมจึงอธิบายไปว่าเรากำลังจะปิดปรับปรุงรีสอร์ท แต่บ่อตกปลายังเปิดให้บริการตามปกติ ส่วนมากลูกค้าจะมาตอนบ่ายๆ หรือเย็นๆ มาตกปลาแล้วก็ทานอาหารเย็นที่นี่ แล้วก็แนะนำไปด้วยว่าเรามีเจ็ทสกี เรือคายัคและฟลายบอร์ดให้เล่นตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงหกโมงเย็น ถือโอกาสขายของไปด้วยซะเลย
"Wow! So many activities to do here." เฮนนิ่งหัวเราะแล้วก็มองหน้าผมเหมือนสนใจอะไรบางอย่าง
"How long have you worked here, Tan?" เฮนนิ่งถามผมว่าทำงานที่นี่มานานหรือยัง
"This is my second week here." ผมบอกว่าเพิ่งเข้ามาทำงานเป็นสัปดาห์ที่สอง
"I see. So you're new. What did you do before?"
เฮนนิ่งเริ่มชวนผมคุยเรื่องตัวผมเอง แล้วก็ถามผมหลายอย่าง แม้กระทั่งถามว่า
"Are you single or married?"
"I'm still single." ผมบอกเฮนนิ่งไปว่าผมยังโสดแล้วก็หัวเราะแหะๆ
"Do you like boys or girls?"
อยู่ๆ ก็ถามผมว่าชอบผู้ชายหรือผู้หญิง เล่นเอาผมอึ้งไปเหมือนกัน
"I like girls." หลังจากอึ้งไปสักพักจึงตอบไปว่าชอบผู้หญิง
"Aren't you interested in boys at all?"
เฮนนิ่งถามผมว่าไม่สนใจผู้ชายบ้างเลยหรือ ผมก็เลยได้แต่ยืนนิ่งๆ ไม่รู้จะตอบว่ายังไง
"I like boys."
ผมทำหน้าตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเฮนนิ่งชอบผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมากให้เสียมารยาท อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมต้องบอกผมด้วย ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไร เสียงใครคนหนึ่งก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
"Good morning! Are you Henning?"
แฟรงค์นั่นเอง ไม่รู้ว่าเดินมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ เฮนนิ่งจึงหันไปพูดคุยทักทายกับแฟรงค์ในฐานะเจ้าของรีสอร์ท ทำให้ผมคลายความกดดันลงไปได้พอสมควร อายุป่านนี้แล้วผมก็พอจะเดาได้ว่าเฮนนิ่งกำลังแสดงความสนใจในตัวผมอยู่
แฟรงค์กับเฮนนิ่งคุยกันไปสักพัก แล้วก็มีคำถามหนึ่งที่ทำให้ผมถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยโดยไม่รู้ตัว
"How do you find our resort?" แฟรงค์ถามเฮนนิ่งว่ารีสอร์ทนี้เป็นยังไงบ้าง
"I love it. It's such a beautiful place. I love everything here, especially an adorable guy like you."
เฮนนิ่งตอบว่าที่นี่สวยมาก ชอบทุกอย่าง โดยเฉพาะคนน่ารักอย่างคุณ แล้วก็หันมามองหน้าผมพร้อมกับยิ้มหวาน แววตามีประกายคู่นั้นทำให้ผมประหม่าจนรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่ใช่เพราะชอบแต่ทำตัวไม่ถูกต่างหาก เกิดมาก็ไม่เคยถูกผู้ชายด้วยกันชมว่าน่ารักต่อหน้าต่อตามาก่อน
"Yes, he's such an adorable guy."
แฟรงค์ที่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงอยู่พูดขึ้นมาบ้าง จากนั้นก็เดินมากอดไหล่ผมไว้ เฮนนิ่งขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย
"Oh! Are you two...?"
"Yes, he's my boyfriend."
แฟรงค์ดันไปบอกเฮนนิ่งว่าผมเป็นแฟนซะงั้น ผมนี่มองแฟรงค์ตาค้างเลย
"Oh! I see. I thought he's your resort's manager."
"Yes, he's both my manager and my adorable boyfriend."
เฮนนิ่งนึกว่าผมเป็นแค่ผู้จัดการ แฟรงค์เลยบอกว่าผมเป็นทั้งสองอย่าง แถมยังเน้นคำว่า "adorable" ชัดถ้อยชัดคำ
"ทำไมแฟรงค์พูดอย่างงั้นล่ะ"
ผมรีบท้วงเมื่อแฟรงค์ยืนยันกับเฮนนิ่งว่าผมเป็นทั้งผู้จัดการและเป็นแฟนที่น่ารักด้วย
"อยู่เฉยๆ เหอะน่า"
แฟรงค์กัดฟันบอกเบาๆ ยิ้มอย่างมีชัยชนะ
"Oh! I'm sorry. I didn't realise that."
เฮนนิ่งก็เลยต้องขอโทษเพราะคิดว่าตัวเองมายุ่มย่ามกับแฟนของคนอื่น หน้าเสียไปเลย เราพูดคุยกันอีกนิดหน่อยเฮนนิ่งก็ขอตัวกลับไปที่ห้องพัก ส่วนผมกับแฟรงค์ก็กลับเข้ามาในห้องทำงานเพื่อคุยงานกันต่อ
"นัท...เรื่องรีทรีทสำหรับสตาฟของเรา นัทพอจะมีไอเดียบ้างมั้ยว่าจะไปที่ไหนดี"
พอเข้ามาในห้องทำงาน แฟรงค์ก็ถามผมเรื่องที่จะพาเจ้าหน้าที่ของโรงแรมไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัดช่วงปิดรีสอร์ท
"ไปเขาค้อไหมล่ะ เพิ่งมีรีสอร์ทมาเปิดใหม่ติดถนนสายสิบสองเลย บรรยากาศดีมาก"
ผมเสนอไปพร้อมๆ กับเปิดแม็คบุ๊คของตัวเองไปด้วย ตอนนี้ผมทำสรุปงบประมาณปรับปรุงรีสอร์ทค้างไว้อยู่ กะว่าจะทำต่ออีกสักหน่อย คงไม่เสร็จทั้งหมดหรอกเพราะยังต้องให้บริษัทเข้ามาประเมินราคาอีกหลายเจ้า
"ก็ดีเหมือนกันนะ แฟรงค์อยากกลับไปที่นั่น ไม่ได้กลับไปนาน คงจะเปลี่ยนไปเยอะเลย" แฟรงค์พูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง
"ก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน แต่ยังไงๆ แฟรงค์ก็คงจำได้ว่าเป็นเขาค้อ อ้อ...นัทว่าจะให้ไอ้ปอนด์มาช่วยทำกิจกรรมสันทนาการด้วย ไอ้ปอนด์มันชอบ ตอนสมัยเรียนมันเป็นเด็กกิจกรรม ถ้าเราไปศุกร์เสาร์อาทิตย์ ไอ้ปอนด์มันพอลางานได้อยู่ แต่ต้องบอกมันล่วงหน้าซักหนึ่งอาทิตย์ ให้มันวันละสามพันมันก็โอเคแล้ว พักห้องเดียวกับนัทก็ได้ ถ้าแฟรงค์เห็นด้วย นัทจะได้บอกให้ไอ้ปอนด์มันเตรียมลางานแล้วก็ทำโปรแกรมไว้เลย แฟรงค์ว่ายังไง"
แฟรงค์พยักหน้าตกลงแต่โดยดี แล้วก็ทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะตัดสินใจพูด
"นัท...แฟรงค์มีเรื่องสำคัญอยากคุยกับนัทหน่อย กินข้าวเที่ยงแล้ว...คุยกันหน่อยได้มั้ย พอดีตอนเย็นๆ แฟรงค์ต้องไปงานวันเกิดเพื่อนแถวๆ สีลม กลัวไม่มีเวลาคุยกัน อ้อ...ไม่ต้องกลัวว่าแฟรงค์จะหาว่านัทเอาเวลางานมาทำเรื่องส่วนตัวหรอก แฟรงค์ไม่ได้ต้องการให้นัททำงานวันละแปดชั่วโมงพอดีเป๊ะ ถ้ามีงานเยอะก็ทำเยอะได้ แต่ถ้ามีงานน้อย ก็ไม่ต้องทำถึงแปดชั่วโมงหรอก อีกอย่าง...นัทพักอยู่ที่นี่ตลอด บางทีถึงเวลาพักแล้วก็ยังมาช่วยดูความเรียบร้อยให้ตั้งหลายอย่าง แฟรงค์ก็เกรงใจว่านัทจะทำงานมากไปด้วยซ้ำ"
แฟรงค์พูดเสียยาวเพื่อโน้มน้าวให้ผมเห็นว่าการพูดคุยกับแฟรงค์จะไม่ทำให้เสียเวลางาน
"หรือว่า...นัทยังมีงานค้างอยู่เยอะหรือเปล่า"
แฟรงค์ถามย้ำอีกครั้ง ผมจึงส่ายหน้า
"ไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถ้ามันสำคัญมากก็คุยได้ ไม่นานใช่มั้ย"
"ไม่นาน"
แฟรงค์บอกแล้วก็ยิ้ม แต่ผมกลับชักหวั่นใจ กลัวแฟรงค์จะชวนคุยเรื่องนั้นอีก เห็นทีผมจะต้องพูดอะไรบางอย่างที่จะทำแฟรงค์หยุดคิดเรื่องนี้เสียที
พอเรากินข้าวกลางวันด้วยกันแล้ว แฟรงค์ก็พาผมมานั่งคุยกันตรงศาลาทรงไทยที่ทำไว้สำหรับให้ลูกค้ามานั่งเล่นและคุยกันสบายๆ แต่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าแล้ว เราจึงยึดพื้นที่คุยกันได้อย่างไม่ต้องกังวล คุยสัพเพเหระไปได้หน่อยแฟรงค์ก็เริ่มเข้าเรื่อง
"นัทรู้มั้ย...เรื่องที่นัทชอบกินไอติมเป็นเรื่องที่แฟรงค์จำได้ไม่เคยลืมเลย ฝังอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัว พอแฟรงค์เจอใครสักคนที่ชอบเหมือนนัท มันก็ทำให้แฟรงค์รู้สึกถึงความชอบบางอย่างในอดีต แฟรงค์ก็เลย...คิดว่าแฟรงค์รักเพียว ทุกวันนี้ก็ยังรักนะ แต่...พอแฟรงค์ได้เจอนัท แฟรงค์ก็เริ่มสงสัยตัวเองว่า...ที่แฟรงค์คิดว่าแฟรงค์รักเพียว เป็นเพราะว่าแฟรงค์รักเพียวจริงๆ หรือว่ารักใครบางคนที่ซ้อนทับอยู่ข้างหลัง นัท...แล้วต้องตาล่ะ เค้าทำให้นัทนึกถึงแฟรงค์ เหมือนที่เพียวทำให้แฟรงค์นึกถึงนัทหรือเปล่า แฟรงค์ขอโทษนะที่ต้องพูดเรื่องแฟนเก่าของนัทขึ้นมา แฟรงค์อยากรู้จริงๆ แต่ถ้าบอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แฟรงค์เข้าใจ"
สีหน้าของผมค่อยๆ เปลี่ยนจากยิ้มสบายเป็นกังวล ผมรู้ว่าแฟรงค์สงสัยเรื่องนี้มาสักพักแล้ว
"นัทไม่รู้" ผมตอบโดยไม่หันไปมองหน้า
"นัท...บอกแฟรงค์ตรงๆ ได้มั้ย ไม่รู้สิ แฟรงค์ว่า...เราสองคนน่าจะเป็นเหมือนกัน นัทรู้มั้ยว่าแฟรงค์เองก็รู้สึกเจ็บปวดมากตอนที่แฟรงค์มาเรียนที่กรุงเทพ แฟรงค์แทบจะไม่คบใครเป็นเพื่อนเลยเพราะแฟรงค์...คิดถึงแต่นัท อยากได้เพื่อนแบบนัท อยากได้ใครสักคนแบบนัทเข้ามาในชีวิต แฟรงค์ว่า...แฟรงค์คงฝังใจอยู่ลึกๆ พอเจอใครซักคนที่ทำให้แฟรงค์นึกถึงนัทผ่านเข้ามา แฟรงค์ก็เลยคว้าไว้ ชดเชยความสูญเสียในอดีตไง"
แม้บรรยากาศรอบข้างจะมีเสียงกิจกรรมต่างๆ แต่ผมก็แทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ผมเข้าใจที่แฟรงค์พูดทุกอย่าง แต่ผมไม่อยากเติมเชื้อไฟระหว่างแฟรงค์กับผมอีกแล้ว เราควรจะยุติทุกอย่างไว้ที่ความเป็นพี่น้องกันเท่านั้น ผมถอนหายใจยาวอย่างหนักใจแล้วก็หันไปมองหน้าแฟรงค์ที่นั่งอยู่ข้างๆ
"แฟรงค์..." ผมหยุดเว้นจังหวะไปสักพัก แฟรงค์จ้องมองตาผมอย่างใจจดใจจ่อ
"นัท...ขอยืนยันเหมือนเดิมที่นัทเคยพูดกับแฟรงค์ไว้เมื่อวานก่อน"
แล้วแฟรงค์ก็รีบสวนขึ้นมา
"เป็นเพราะแฟรงค์กำลังจะแต่งงานกับเพียวหรือเปล่า นัท...แฟรงค์จะบอกนัทว่าแฟรงค์ตัดสินใจแล้ว ถ้าเพียวกลับมา แฟรงค์จะบอกเพียวไปตรงๆ ว่าแฟรงค์..."
"อย่านะแฟรงค์!"
ผมรีบสวนกลับโดยเร็วเช่นกัน ทุกอย่างเงียบงันในบัดดล
"ต่อให้แฟรงค์ไม่มีเพียว หรือไม่ได้แต่งงานกับเพียว นัทก็ยังขอยืนยันเหมือนเดิม"
"ทำไมล่ะนัท!" แฟรงค์ถามเสียงแหบพร่าราวกับจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดไป
"นัทบอกแฟรงค์ไม่ได้ แฟรงค์อย่าบังคับให้นัทต้องบอกแฟรงค์เรื่องนี้เลย นัทขอร้องนะแฟรงค์"
"นัท!"
เห็นแฟรงค์ทำหน้าเศร้าแล้วผมก็อดจะรู้สึกผิดไม่ได้ แต่ผมก็เลือกแล้วที่จะให้มันเป็นอย่างนี้
"แฟรงค์...อย่าเลิกกับเพียวนะ สัญญากับนัทได้มั้ยว่าแฟรงค์จะแต่งงานกับเพียว หยุดความสัมพันธ์ของเราไว้แค่พี่น้องเท่านั้น ไม่อย่างงั้นแล้ว...ครั้งนี้ก็คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน"
แฟรงค์ถึงกับตาโตและอ้าปากค้างเมื่อผมได้ยื่นคำขาดนี้ไป แฟรงค์จับไหล่ผมไว้ทั้งสองข้างแล้วหันหน้าผมมาตรงๆ
"นัท! ทำไมนัทถึงได้บังคับให้แฟรงค์สัญญาเรื่องนี้ล่ะ แฟรงค์ไม่สัญญา แฟรงค์ไม่อยากทำอะไรที่ขัดกับหัวใจของตัวเองอีกแล้ว"
"ถ้าอย่างงั้น...นัทก็คงจะต้องไปจากที่นี่ แล้วเราสองคน...ก็จะไม่ได้เจอกันอีก...ตลอดชีวิต"
"นัท!"
มือของแฟรงค์ที่จับไหล่ผมอยู่แทบจะหมดเรี่ยวแรงไปทันที แล้วผมก็เห็นหยดน้ำตาของแฟรงค์ ผมทำให้แฟรงค์มีน้ำตาอีกแล้ว แต่ผมก็ทำได้แค่ขอโทษแฟรงค์ในใจ เพราะผมไม่มีหัวใจจะรักใครอีกแล้ว รู้สึกหวาดกลัวจนเกินกว่าจะรับความรักจากใครได้ ไม่ว่าจะจริงใจแค่ไหนก็ตาม
... ... ...
ตกเย็น แฟรงค์ก็ขับรถออกไปงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อน เราไม่ได้คุยกันอีกเลยตั้งแต่ตอนนั้น ส่วนผมก็พาเฮนนิ่งไปเล่นเจ็ตสกีกับลูกค้าคนอื่นๆ ผมพอเล่นเป็นบ้างเพราะเคยเล่นกับเพื่อนๆ สมัยเรียนบ่อยๆ จึงพอเล่นเป็นเพื่อนได้
จากนั้นเฮนนิ่งก็ขอลองเล่นฟลายบอร์ด มีอุปกรณ์เป็นแผ่นกระดานต่อกับท่อสูบน้ำที่ยืดหยุ่นและโค้งงอได้ มีช่องให้น้ำไหลลงใต้แผ่นกระดานสองช่อง คนที่เล่นจะขึ้นไปยืนบนแผ่นกระดานแล้วล็อกเท้าไว้กับที่ล็อกเท้า จากนั้นก็จะสูบน้ำเข้าไปในท่อ แรงดันน้ำจะทำให้แผ่นกระดานยกตัวสูงจนลอยขึ้นไปในอากาศ น้ำที่ถูกสูบขึ้นไปจะถูกปล่อยลงมาข้างล่าง คนที่อยู่บนกระดานสามารถตีลังกาหรือเล่นโลดโผนได้ เฮนนิ่งดูจะสนุกกับกีฬานี้มากทีเดียว ขอเล่นตั้งหลายรอบ แถมยังให้ผมลองด้วย ผมก็ไม่ปฏิเสธเพราะอยากลองเหมือนกัน
ผมกินข้าวเย็นกับเฮนนิ่งที่ร้านอาหารกลางน้ำ คุยกันไปสารพัดเรื่อง แต่ก็ดูเฮนนิ่งระวังตัวเหมือนกันตั้งแต่ที่แฟรงค์บอกว่าผมเป็นแฟน เราไปเดินเล่นด้วยกันอีกนิดหน่อยหลังจากอาหารเย็น ก่อนที่ต่างคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน
ผมอาบน้ำเสร็จแล้วก็โทรหาแม่ คุยกันเป็นชั่วโมงๆ เลย คุยกับแม่บ้าง พี่นิวบ้าง พอแม่รู้ว่าผมจะพาพนักงานที่รีสอร์ทไปเที่ยวเขาค้อ แกก็ตื่นเต้นใหญ่ บอกให้ผมพาเพื่อนพนักงานไปกินขนมจีนฟรีที่ร้านด้วย แล้วก็กำชับให้ผมพาแฟรงค์ไปหาแม่ให้ได้เพราะแม่อยากเจอแฟรงค์มาก
คุยกับแม่เสร็จแล้วผมก็เห็นมิสคอลจากเบอร์เดิมโทรเข้ามาหลายครั้ง ความจริงผมได้ยินเสียงเตือนตอนคุยกับแม่แล้วล่ะ พอเห็นว่าเป็นเบอร์พี่ที่ทำงานเก่า ผมก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ด้วยความอยากรู้จึงโทรกลับไปหา
"หวัดดีครับพี่ไปรยา สบายดีนะครับพี่ มีเรื่องอะไรตื่นเต้นหรือเปล่าครับ เห็นมิสคอลมาตั้งหลายครั้ง"
ผมกรอกเสียงลงไปเมื่ออีกคนรับสาย
"มีสิ พี่มีเรื่องจะเล่าให้นัทฟัง เรื่องสำคัญมาก"
"เรื่องอะไรเหรอครับพี่"
ผมถามอย่างตื่นเต้น พี่ไปรยาเป็นเพื่อนต่างแผนกในที่ทำงานเก่า ผมพอจะคุยด้วยได้บ้าง แต่คนในแผนกเดียวกันนั้นขัดแย้งกันจนแทบจะมองหน้ากันไม่ติดแล้ว
"ต้องตากับวิโรจน์น่ะสิ ทะเลาะกันใหญ่เลยเมื่อตอนกลางวัน พี่เดาว่าน่าจะเป็นเรื่องธุรกิจร้านกาแฟนั่นแหละ สงสัยจะตกลงผลประโยชน์กันไม่ได้หรือเปล่า เห็นเขาว่านะ..."
พี่ไปรยาเล่าใหญ่เลยโดยไม่สนใจว่าผมอยากฟังหรือเปล่า ผมก็ปล่อยให้แกเล่าไป แต่ผมก็แทบจะไม่ได้ฟังเลยด้วยซ้ำ พอฟังแกเล่าจบ ผมก็พูดคุยกับพี่ไปรยาอีกนิดหน่อยก่อนจะวางสายไป แล้วก็นั่งถอนหายใจเฮือก บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงที่ได้ยินคนรักเก่ากำลังมีปัญหากับคนรักใหม่ รู้แค่ว่าต่อไปผมจะไม่รับสายคนที่ทำงานเก่าอีกแล้ว ผมไม่อยากรับรู้อะไรจากที่นั่นให้เปลืองสมองอีก
ผมเปิดทีวีดู กดดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยโดยไม่มีจุดหมายชัดเจน ในหัวก็คิดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ใช่เรื่องแฟนเก่าหรอก เรื่องแฟรงค์ต่างหาก คิดไปคิดมาผมก็ชักไม่แน่ใจว่าผมพูดกับแฟรงค์แรงไปหรือเปล่า อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าแฟรงค์จะคิดมาก
เกือบๆ สี่ทุ่ม ผมกำลังจะปิดทีวีนอนอยู่แล้ว เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ใครกันมาหาผมดึกดื่นป่านนี้ หวังว่าคงไม่ใช่เฮนนิ่งละกัน พอรู้ว่าเฮนนิ่งชอบผู้ชายผมก็ชักกลัวๆ
ผมเดินไปเปิดประตูแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแฟรงค์ยืนรออยู่พร้อมกับถุงอะไรบางอย่างในมือ
"พี่ซื้อไอติมมาฝาก"
"ฮาเก้นดาสเหรอ!"
ผมตาโตใส่อย่างลืมตัว ลืมไปเลยว่าเพิ่งมีเรื่องที่ยังคุยกันไม่เข้าใจกับแฟรงค์อยู่ ผมชอบกินไอศครีมยี่ห้อนี้มาก แต่ไม่ได้กินบ่อยๆ หรอกเพราะว่ามันแพง
"พี่เข้าไปได้มั้ย"
แฟรงค์ถามด้วยสีหน้าเกรงใจ ผมจึงพยักหน้า
"พี่ซื้อมาหลายรสเลย นัทจะกินเลยมั้ย"
"ไม่ดีกว่า นัทเพิ่งกินข้าว ไม่อยากกินอะไรตอนเย็นๆ เดี๋ยวอ้วน"
แฟรงค์พยักหน้าเข้าใจ ต่างคนต่างไม่รู้จะทำสีหน้ายังไง จะขำก็ไม่กล้าขำ
"เดี๋ยวพี่เอาใส่ตู้เย็นไว้ให้ละกัน"
พอแฟรงค์เปลี่ยนมาเรียกแทนตัวเองว่า "พี่" แล้ว บรรยากาศระหว่างเราสองคนก็เปลี่ยนไปจากเมื่อกลางวันมากทีเดียว
"ทำไมกลับมาเร็วล่ะ นัทนึกว่าพี่แฟรงค์จะกลับดึกแล้วก็นอนที่บ้านซะอีก"
ผมถามในขณะที่แฟรงค์กำลังจัดกล่องไอศครีมใส่ช่องฟรีซอยู่ พอจัดเสร็จและปิดตู้เย็นแล้วก็หันมายิ้มให้
"กลัวใครบางคนเหงา ก็เลยแวะมาดูหน่อย อีกอย่าง...พี่ไม่ได้ซื้อไอติมให้นัทกินนานแล้ว พอดีผ่านไปเจอร้านก็เลยแวะซื้อมาให้ ชอบใช่มั้ยยี่ห้อนี้"
ผมพยักหน้า รู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อยเลยแม้ว่าจะมีเรื่องค้างคาใจกันอยู่ก็ตาม
"ขอบคุณนะพี่แฟรงค์"
แฟรงค์ยิ้มกว้างขึ้นจากที่ดูเหมือนไม่ค่อยกล้ายิ้มเต็มที่ แล้วก็เอามือจับที่คอของตัวเองสองสามครั้งเหมือนคนกระหายน้ำ พอนึกได้ผมก็เลยต้องเป็นฝ่ายเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำให้แฟรงค์บ้าง แฟรงค์รับไปดื่มจนหมดแก้ว จากนั้นก็ยื่นแก้วมาให้อีกที
"อีกแก้วสิ"
ผมรินน้ำใส่แก้วให้อีกรอบ แฟรงค์ก็ดื่มอีกจนหมดแก้วเช่นกัน
"พี่แฟรงค์จะกลับไปนอนบ้านหรือว่าจะ..."
"แล้วถ้าพี่จะขอนอนด้วย นัทจะว่าอะไรพี่มั้ย"
ผมรีบส่ายหน้า แฟรงค์หัวเราะอย่างเอ็นดูแล้วก็ยื่นมือมาลูบผมของผมเบาๆ
"My adorable brother"
แน่ะ มีพูดเป็นภาษาอังกฤษด้วย เป็นอะไรของเค้าเนี่ย
"พี่อยากอาบน้ำ มีเสื้อผ้าให้พี่ใส่ซักตัวสองตัวมั้ย"
ผมพยักหน้าแทนคำตอบ ยังไม่ทันได้พูดอะไรแฟรงค์ก็ถอดแจ็คเก็ตยีนส์ตัวโปรดออก เหลือแต่เสื้อกล้ามสีขาวตัวเดียว จากนั้นก็ค่อยๆ ปลดเข็มขัดแล้วก็ถอดกางเกงยีนส์สีน้ำเงินออกไปด้วยอีกตัว แฟรงค์จึงเหลือแต่เสื้อกล้ามและชุดชั้นในสีเดียวกัน อวดหุ่นเซ็กซี่ให้ผมใจสั่นเล่น แล้วก็ส่งผ้าสองชิ้นนั้นให้ผม
"แขวนผึ่งให้พี่หน่อยนะ ยังไม่ต้องซักหรอก พรุ่งนี้ยังพอใส่ได้"
แฟรงค์พูดหน้าตาเฉย ผมรับเสื้อผ้าสองชิ้นมาอย่างงงๆ
"ทำไมไม่นุ่งผ้าเช็ดตัวก่อนล่ะ"
"ทำไม อายเหรอ เมื่อก่อนนัทเห็นของพี่ออกบ่อย พี่ไม่เห็นอายเลย"
ดูพูดเข้า ผมไม่อยากต่อความก็เลยไปค้นตู้เสื้อผ้า ได้ไม้แขวนเสื้อว่างๆ สองอันแล้วผมก็เอาชุดที่แฟรงค์ส่งให้ไปแขวนผึ่งข้างนอก ส่วนแฟรงค์ก็เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำอย่างสบายอารมณ์ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมกลับเข้ามาในห้องแล้วก็เตรียมชุดที่จะใส่นอนให้ จะว่าไปผมก็ทำเหมือนเป็นเมียแฟรงค์เลย แต่ก็แปลกดีที่ผมกลับรู้สึกดีที่ได้ดูแลแฟรงค์อย่างนี้
แฟรงค์นุ่งผ้าขนหนูออกมาจากห้องน้ำ ผมจึงเดินเอาเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นของผมไปส่งให้ แฟรงค์รับไปใส่แล้วก็เดินไปจัดองค์ทรงเครื่องที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เรียบร้อยแล้วก็เอาผ้าขนหนูไปตากข้างนอก ก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้ง
"ไปเดินเล่นกันมั้ย"
ผมเลิกคิ้วมอง แต่สุดท้ายก็พยักหน้าตกลง พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของผม ถึงวันนี้นอนดึก พรุ่งนี้ก็ตื่นสายชดเชยได้
อากาศข้างนอกกำลังเย็นสบาย มีลมพัดเบาๆ กระทบผิวกายเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ถึงกับหนาว แฟรงค์พาผมมานั่งตรงซุ้มม้านั่งที่โยกได้ใกล้ๆ กับที่พัก มองไปไกลๆ จะเห็นเรือนพักเป็นเงาๆ มีเพียงเรือนพักของเฮนนิ่งเท่านั้นที่เปิดไฟส่องสว่าง
แฟรงค์ชวนผมคุยอย่างอารมณ์ดีหลายเรื่อง ส่วนมากก็เป็นเรื่องเก่าๆ ของเราสมัยเด็กๆ มีเรื่องสมัยเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง พอให้รู้จักชีวิตช่วงที่เราไม่เจอกันมากขึ้น แฟรงค์เปลี่ยนมาเรียกแทนตัวเองว่าแฟรงค์แทนพี่ด้วย ดูๆ ไปแฟรงค์ก็มีความสุขมากทีเดียว ส่วนผม ไม่เคยมีครั้งไหนที่ได้ใช้เวลาดีๆ กับแฟรงค์แล้วจะไม่มีความสุขหรอก แม้จะไม่พูดแต่สายตาของผมก็ฟ้องทุกอย่าง
พอคุยกันไปสักพัก จู่ๆ แฟรงค์ก็ถอนหายใจ สีหน้าก็พลันจริงจังขึ้น
"ถ้าโลกนี้มีคนที่ชื่อแฟรงค์สองคนที่เหมือนกันทุกอย่างก็น่าจะดีนะนัท เหมือนกันทั้งนิสัยใจคอ แล้วก็รูปลักษณ์ภายนอก ชีวิตแฟรงค์คงจะง่ายกว่านี้เยอะเลย"
แฟรงค์ก้มหน้านิ่ง เหมือนคิดอะไรบางอย่าง
"ทำไมล่ะแฟรงค์"
แฟรงค์หันมามองผมอย่างเศร้าๆ
"นัทก็น่าจะรู้นะว่าแฟรงค์หมายถึงอะไร"
ผมอึ้งไปเล็กน้อย ความอึดอัดเริ่มคืบคลานเข้ามาเมื่อผมรู้ว่าเรากำลังจะคุยเรื่องอะไรกัน
"อย่าโกรธแฟรงค์เลยนะนัทที่พูดเรื่องนี้อีก อย่าโกรธแฟรงค์ได้มั้ยที่ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ถ้าคนเราห้ามใจได้ง่ายขนาดนั้น โลกนี้ก็คงไม่มีความรักหรอก"
ผมคิดตามแล้วก็ได้แต่นั่งเงียบๆ บอกไม่ถูกเลยว่าในหัวใจรู้สึกยังไงกับคำพูดนี้ แต่ก็คงมีส่วนจริง ถ้าห้ามใจได้ตัวเองได้ง่ายๆ ความรักก็คงหมดอิทธิพลกับชีวิตมนุษย์ โลกของเราคงจะต่างไปจากนี้มากทีเดียว
"แต่แฟรงค์ก็รู้ว่าแฟรงค์คงไม่มีทางเลือก ถ้าจะให้เลือกระหว่าง...แฟรงค์ยังได้เจอนัทอยู่ กับชีวิตของแฟรงค์ที่ไม่มีนัท แฟรงค์ก็ต้องเลือกอย่างแรก เพราะแฟรงค์...ไม่อยากให้นัทจากแฟรงค์ไปไหนอีก เอาเป็นว่า...แฟรงค์จะพยายามนะนัท แต่แฟรงค์ก็อยากให้นัทรู้ว่า...นัทเป็นคนที่แฟรงค์ตามหามาทั้งชีวิต ถึงจะเป็นผู้ชายที่แฟรงค์เองก็ยังไม่รู้ว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ยังไง แต่แฟรงค์ก็รู้ว่า...ความรักจะช่วยให้เราจัดการมันได้เอง"
แฟรงค์หยุดเว้นจังหวะ มองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง
"แฟรงค์ก็ไม่รู้หรอกว่ามันถูกต้องไหม แฟรงค์รู้แค่ว่า...นัทเป็นคนที่ใช่สำหรับแฟรงค์ทุกอย่าง แฟรงค์ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลยตั้งแต่มีแฟนมา"
ผมนั่งนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด น้ำลายเหนียวเสียจนกลืนแทบไม่ลง
"ความรู้สึกของแฟรงค์มาไกลแล้วนะนัท แฟรงค์ไม่รู้ว่าจะถอยกลับไปที่เดิมได้หรือเปล่า ความรู้สึกของแฟรงค์ที่มีให้เพียวก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว แฟรงค์อาจจะผิดที่...ไม่รู้สึกกับเค้าเหมือนเดิม แฟรงค์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า...ถ้าแฟรงค์แต่งงานกับเค้า แล้วชีวิตที่เหลือของแฟรงค์จะเป็นยังไง มันไม่เหมือนเดิมจริงๆ นะนัท แต่ถ้านัทต้องการให้เป็นอย่างงั้น ถ้าแฟรงค์ดึงดันแล้วต้องเสียนัทไป แฟรงค์ก็จะยอม...ตัดเส้นเลือดหัวใจตัวเอง"
"แฟรงค์"
ผมดึงแฟรงค์เข้ามากอดไว้ด้วยความสงสารจับจิตจับใจ เราสองคนกอดกันแน่นแล้วก็ร้องไห้เบาๆ
"แฟรงค์ นัทอยากจะรักแฟรงค์นะ แต่นัท...รักแฟรงค์ไม่ได้"
ผมรู้สึกเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ต้องพูดคำที่ทำร้ายหัวใจของแฟรงค์อีกแล้ว
"ทำไมล่ะนัท ทำไมนัทถึงรักแฟรงค์ไม่ได้ นัทกลัวอะไรเหรอ"
ผมทำใจลำบากเหลือเกินเพราะรู้ว่าพูดไปก็จะทำร้ายหัวใจแฟรงค์ให้เจ็บหนักขึ้น ผมไม่อยากให้แฟรงค์ต้องเจ็บจากคำพูดของผม ผมเคยเจ็บจากความรัก รู้ดีว่ามันเจ็บแค่ไหน ไม่คิดเลยว่าวันนี้ผมจะต้องเป็นฝ่ายทำให้คนอื่นเจ็บบ้าง เจ็บอย่างร้ายกาจเสียด้วย
"ไม่เป็นไร ถ้านัทยังรักแฟรงค์ไม่ได้ก็ยังไม่ต้องรักหรอก แต่แฟรงค์...รักนัทไปแล้ว"
พอได้ยินแฟรงค์พูดอย่างนั้นผมก็ยิ่งใจเสีย นึกโกรธตัวเองที่ช่างบังคับจิตใจแฟรงค์เหลือเกิน เหมือนกับไม่แคร์ความรู้สึกของแฟรงค์เลย แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรให้ดีไปกว่านี้ได้
"แฟรงค์...นัทขอโทษ..."TBCชอบงานใคร อย่าลืมบวกเป็ด/คอมเมนต์ให้นักเขียนทุกคน ทุกเรื่อง ทุกตอนนะครับ