“รู้ปะ ถ้ายะไม่ลดน้ำหนัก ตัวต้องเหมือนหมีแพนด้าแน่ๆ!”
ชโยบินกลับไทยได้ไม่ทันไรก็ถูกแฝดพี่อีกสองคนลากตัวมาจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อมาดูหมีแพนด้าที่ครั้งยังเด็กพ่อของพวกเขาเคยพามา
แฝดสามเป็นที่สะดุดตาของคนที่พบเห็น แฝดพี่คนโตนั้นหล่อเหลาหาตัวจับยาก แฝดคนกลางก็แก้มเยอะ ปากนิดจมูกหน่อย เป็นที่น่ารักต้องตาต้องใจของใครหลายคน ส่วนแฝดคนสุดท้องนั้นอาจจะหล่อไม่เท่าแฝดพี่ แต่ดีกรีนักร้องซุปสตาร์ก็เรียกสายตาจากบรรดาติ่งได้เป็นอย่างดี วันนี้จึงต้องมีพี่จินมาเป็นบอดี้การ์ดด้วย
“งั้นโยก็คงเหมือนลิง”
“ทำไมโยต้องเหมือนลิงด้วย! ไม่เอา โยจะเป็นเสือ แล้วนะอ่ะ ตัวจะเป็นอะไร”
“งู”
“ยังชอบงูไม่เปลี่ยนเลย” ชยบอกพลางยิ้มกว้าง “แต่นะต้องเป็นหมีโคอาล่า เพราะชอบนอน”
“ฮ่าๆๆๆ”
ชโยหัวเราะ ก่อนแฝดน้องทั้งสองจะโดนแฝดพี่จับหัวชนกัน จนต่างฝ่ายต่างร้องโอดโอยแล้วทำหน้ายุ่ง มองค้อนพี่ชายคนละที
“นานแล้วเนอะที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้” ชยสุขใจ เขานั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพี่ชายกับน้องชาย หันมองคนพี่ก็เห็นกำลังยิ้มละมุน หันมองคนน้องก็ได้แต่ยิ้มโปรยเสน่ห์ให้สาวๆ ที่เมียงมองมา “เสียดายที่เพี้ยนกับป๋าจะมาตอนเย็น ไม่งั้นคงได้เที่ยวสวนสัตว์ด้วยกัน”
“อืม” ชนะพยักหน้าเห็นด้วย “เราไปที่บ้านสัตว์เลื้อยคลานต่อเลยไหม เสร็จแล้วจะได้รีบกลับไร่”
“โอเค” ชยกับชโยตอบรับอย่างร่าเริงก่อนจะพากันลุกจากที่นั่ง เดินออกจากร้านกาแฟมุ่งตรงไปยังบ้านสัตว์เลื้อยคลาน สถานที่ที่ชนะโปรดปรานมากที่สุด
ชนะชอบสัตว์ไม่มีเท้าทุกชนิด แต่เกลียดสัตว์เท้าเยอะอย่างพวกตะขาบกับแมงมุม ส่วนชยนั้นเจาะจงชอบแค่หมีแพนด้ากับสัตว์ตัวเล็กๆ ที่น่ารักเท่านั้น ในขณะที่ชโยชอบสัตว์สี่เท้าดุร้าย ประเภทกินเนื้ออย่างพวกเสือ สิงโต
“นะ ทำไมตัวชอบงูเหรอ” ชโยถามพลางกอดแขนชยไว้แน่น แฝดน้องทั้งสองชอบสัตว์มีเท้ามากกว่าจะชอบพวกเลื้อยคลานขดตัวไปมา แต่ก็ยังยอมตามแฝดพี่เข้ามาในบ้านสัตว์เลื้อยคลาน
“เพราะมันมีพิษ” ชนะตอบพลางจ้องมองงูจงอางตัวสีดำเมื่อมในตู้กระจก “เวลามันจ้องจะจับเหยื่อ ก็น่ามอง”
“น่ากลัวต่างหาก” ชยแก้ต่าง “ตัวอย่าไปใกล้สิ เดี๋ยวมันก็ฉกเอาหรอก”
“มันอยู่ในตู้กระจก” ชนะมองน้องชายอย่างเอ็นดู “ยะมานี่สิ มาดูใกล้ๆ”
“ไม่ๆๆๆ”
“โย” ชนะขยิบตาให้กับแฝดคนสุดท้องที่เข้าใจความนัย ชโยผลักชยให้เข้าไปหาชนะอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ยยย!” ชยหน้าเหวอ โดนแฝดพี่จับไว้แล้วจับหัวกลมๆ ให้มองงูที่กำลังเลื้อยอยู่ใกล้ๆ “นะ ไม่เอา เค้ากลัวววว”
“แค่มองเอง”
“นะขี้แกล้งอ่ะ โย เดี๋ยวตัวโดนดีแน่”
ชโยยักไหล่ ขืนไม่ตามใจแฝดพี่ เขานั่นแหละจะโดนแกล้งเป็นรายถัดไป ชนะเดินดูงูแต่ละชนิด มือก็ล็อคคอให้ชยเดินตามไม่ห่าง แฝดคนกลางถึงกับบ่นงึมงำไม่หยุด มีแฝดคนสุดท้องหัวเราะคิกคักตามหลัง พี่จินบอดี้การ์ดหน้าเข้มที่เดินตามมาห่างๆ ก็พลอยสุขใจไปด้วย เพราะนานแล้วที่ไม่ได้เห็นภาพแบบนี้
แฝดสามเดินเที่ยวสวนสัตว์จนพอใจแล้วก็ขึ้นรถกลับไร่เทียมตะวัน ที่คุณตาคุณยายซึ่งเป็นพ่อแม่ของเพี้ยนเป็นเจ้าของ มาถึงที่ไร่ก็พบว่าไร้พ่ายกับเพี้ยนมารออยู่ก่อนแล้ว เห็นคุณตาคุณยายกำลังให้เด็กตั้งเตาบาร์บีคิว คนแก้มเยอะก็ตาวาว รีบวิ่งเข้าไปกอดผู้อาวุโสทั้งสอง
“คุณตา คิดถึงงงงง” นายเหนือหัวแห่งไร่เทียมตะวันได้แต่หัวเราะร่วนกับเด็กช่างเอาอกเอาใจอย่างชย ก่อนที่จะกอดรับหลานๆ ไปคนละที นายแม่ของไร่ก็ยิ้มแย้มอย่างสุขใจเช่นกัน เพราะนานๆ ทีหลานๆ จะขึ้นมาเชียงใหม่
“น้องนะผอมไปรึเปล่าลูก ไอ้เพี้ยน ทำไมแกไม่ดูแลหลานฉันให้ดียะ” ถามไถ่กับหลานคนโตสุดที่รักแล้วก็ตวัดไปหาลูกชายที่กำลังเสียบเนื้อตามด้วยมะเขือเทศและสับปะรดเพื่อทำบาร์บีคิว เพี้ยนทำปากขมุบขมิบแต่ก็ไม่ได้โต้เถียงเพราะกลัวจะโดนปืนผาหน้าไม้ของนายแม่เล่นงานเข้าให้
“อย่าโทษเพี้ยนเลยครับยาย นะแค่อยากลดหุ่น” ชนะรีบแก้ต่าง กอดเอวคุณยายอย่างเอาใจ “ยายทำแค่บาร์บีคิวเหรอ นะอยากกินยำวุ้นเส้นฝีมือยายด้วย”
“ได้จ้ะลูก เดี๋ยวยายทำให้นะ”
“นะไปช่วยด้วยนะครับ”
“จ้า” คุณยายยิ้มแย้มรับคำ ก่อนจะหันมองแฝดคนสุดท้องที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ เพี้ยน “โย มากับยายไหม ตรงนี้ปล่อยไอ้เพี้ยนมันทำไป”
“ไม่อ่ะ โยจะช่วยเพี้ยนทำบาร์บีคิว”
ถ้าชนะเป็นหลานรักคุณยาย ชยเป็นหลานรักคุณตาแล้ว ชโยก็คือลูกรักของเพี้ยน ตอนเด็กๆ แฝดสามได้รับความรักมากมายจนไม่มีใครนึกอิจฉาใคร ทว่า...หลังจากที่ชนะถูกส่งไปอเมริกา อะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไป วันนี้เพี้ยนจึงมีความสุขที่สุดที่ได้เห็นภาพบรรยากาศเดิมๆ หวนคืนมาอีกครั้ง
“พี่พ่าย เลิกทำงานได้แล้ว มาช่วยน้องทำบาร์บีคิวเร็ว” คงมีอีตาสามีหน้าดุนี่แหละที่ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ก็ไม่ยอมเปลี่ยน บ้างานอย่างไรก็อย่างนั้น
“ไม่ เดี๋ยวมือกูเปื้อน”
เพี้ยนเบะปาก ฟังข้ออ้างคนตัวใหญ่แล้วก็รู้สึกหมั่นไส้
“โย พี่นะเป็นไงบ้าง สนุกหรือเปล่า” เพี้ยนเลิกสนใจไร้พ่ายแล้ววกกลับมาชวนชโยพูดคุย
“ก็...บอกไม่ถูก โยว่า เหมือนนะคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยิ้มก็หัวเราะปกตินะ”
“อืม...” เพี้ยนพยักหน้า ก่อนจะเหลือบมองไร้พ่ายที่ยอมวางแฟ้มเอกสารลง “ช่วยดูพี่นะด้วย อย่าให้คลาดสายตาเชียว”
“แน่นอนอยู่แล้ว แต่โยอยู่ไม่นานก็ต้องกลับ ยะก็เรียนหนัก” ชโยบอก ใบหน้าหล่อเหลามีแต่ความกลุ้มใจ “แล้วเพี้ยนได้คุยกับนะบ้างหรือยัง”
“พี่เพี้ยนถามแล้ว แต่น้องนะไม่ยอมบอกอะไร”
“ยะก็ถามแล้วเหมือนกัน โยก็เลยคิดว่าไม่ถามดีกว่า เพราะขนาดยะถามก็ยังไม่บอก”
“อืม” เพี้ยนพยักหน้ารับรู้ “พี่พ่าย แล้วพี่ได้คุยกับลูกหรือเปล่า”
ไร้พ่ายส่ายหน้า “ไม่จำเป็นหรอกมั้ง”
“อย่าพูดแบบนี้สิ บางทีพี่อาจจะเป็นคนเดียวที่น้องนะอยากให้ถามก็ได้”
“โตแล้วก็ดูแลตัวเองบ้าง”
“พี่พ่าย คิดแบบนี้จริงๆ หรือไง ถ้าสักวันมันสายเกินไปแล้วอย่ามาคร่ำครวญให้เห็น ตอนที่แสดงความรักได้กลับไม่ทำ”
ไร้พ่ายทำหูทวนลม เบื่อที่จะฟังเพี้ยนมันบ่น จึงทำทีเปิดแฟ้มเอกสาร พิจารณาโครงการก่อสร้างต่อไป แต่ในใจยังคงเต็มไปด้วยความกังวล
***********
บรรยากาศยามเย็นที่ไร่เทียมตะวันนั้นเย็นสบาย ท่ามกลางสนามหญ้าสีเขียวขจีมีโต๊ะตัวยาวตั้งวางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเตาย่างบาร์บีคิว ชนะหัวเราะอย่างสนุกสนานไปกับเรื่องเล่าสมัยก่อนของคุณตา เพี้ยนที่ยืนปิ้งบาร์บีคิวก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เห็นลูกชายหัวเราะได้อย่างนี้คงไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว
บนโต๊ะตัวยาวคราคร่ำไปด้วยอาหารรสเลิศ ทั้งยำวุ้นเส้นฝีมือคุณยายที่ชนะรีเควส ทั้งต้มยำไก่ อาหารเหนือที่ชยชอบทาน และบาร์บีคิวอีกหลายไม้ฝีมือชโยกับเพี้ยน
“น้องนะ ทานเยอะๆ นะลูก” ชนะนั่งข้างคุณยายที่หยิบอาหารใส่จานให้ไม่ขาด ส่วนคนรูปหล่อก็เอาอกเอาใจคุณยายจนคุณตาน้อยใจให้เด็กๆ เห็นไปอีกหลายยก เรียกเสียงฮาครืนจากเพี้ยน แม้กระทั่งไร้พ่ายที่ปกติมักจะหน้านิ่งก็ยังขยับยิ้มตาม
“ป๋า...อันนี้อร่อย” ชนะตักยำวุ้นเส้นใส่จานให้ผู้เป็นพ่อ เพี้ยนยิ้มกว้างจนน้ำตาซึมเพราะนานมากแล้วจริงๆ ที่ไม่ได้เห็นความใส่ใจระหว่างพ่อลูกคู่นี้
“อืม เราก็กินบ้าง” ไร้พ่ายตอบเสียงเรียบ ยกมือลูบหัวลูกชายอย่างเก้ๆ กังๆ จนสุดท้ายมือใหญ่ที่แสนอบอุ่นนั้นก็ลูบผ่านแผ่วเบาแล้วรีบผละออก ชนะคลี่ยิ้ม ชิมเนื้อไก่ที่พ่ออุตส่าห์ตักมาให้
“ป๋า ตักให้นะคนเดียวเลย พวกเราล่ะ” คนแก้มเยอะทำทีประท้วง เพี้ยนก็ผสมโรงด้วยอีกคน
“น้องด้วยยย ตักให้น้องเลย กินข้าวด้วยกันมาจะยี่สิบปีแล้วไม่เคยตักกับข้าวให้น้องกินบ้าง”
ไร้พ่ายที่กำลังตักแบ่งอาหารให้จานให้ลูกๆ แต่ละคนเหมือนตอนยังเด็กขมวดคิ้วใส่ไอ้เด็กโข่ง “มึงมีมือไหม”
“จิ๊”
“ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้า” คุณยายหัวเราะสะใจลูกชายที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่เพี้ยนมันยังเด็ก ก่อนจะยิ้มรับเมื่อลูกเขยหยิบบาร์บีคิวใส่จานให้ “ขอบใจจ้ะลูกเขย”
เห็นเพี้ยนหน้าตูม ชโยที่นั่งใกล้จึงรีบตักยำวุ้นเส้นใส่จานให้ “โยตักให้นะ ป๋าไม่รัก แต่โยรัก”
“ลูกชายของพี่เพี้ยนนนน”
ชนะเห็นชโยรีบขยับหนีจูบจากเพี้ยนก็หัวเราะลั่น ต่อให้โยรักแค่ไหน ก็คงไม่พร้อมให้หน้าหล่อๆ เปื้อนริมฝีปากที่มันวาวเพราะบาร์บีคิวแน่นอน
มื้ออาหารในวันนี้...คงอยู่ในความทรงจำของชนะไปอีกนานเท่านาน เพราะไม่มีอาหารร้านดังร้านไหน จะอร่อยได้เท่าฝีมือของคุณยาย ไม่มีบรรยากาศหรูหราที่ไหน...จะถูกใจได้มากกว่า บรรยากาศที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกับครอบครัว ชนะมีความสุขมากเหลือเกิน
ครืด...ครืด....ครืด...
“นะ โทรศัพท์มือถือตัวสั่นรึเปล่าอ่ะ เหมือนได้ยินเสียง” ได้ยินชยพูดดังนั้น ชนะก็รีบควานมือหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองทันที ก่อนจะล้วงมันออกจากกระเป๋ากางเกง เบอร์โทรบนหน้าจอมือถือเป็นตัวเลขหลายหลักราวกับคนโทรอยู่คนละประเทศ
“ผมขอตัวแป๊บนะครับ” ชนะรีบขอตัวแล้วเดินเลี่ยงมารับสาย
“สวัสดีครับ”
“น้องนะ แม่นะคะ” น้ำเสียงหวานหยดของผู้หญิงที่เขาเลี่ยงจะรับสายมาตลอดทำให้ลำตัวเกร็งแข็งขึ้นมา
“ครับแม่”
“หนูรินกลับมาที่บ้านแล้วนะคะ แล้วทำไมลูกไม่กลับมากับหนูรินด้วย ไม่คิดจะมาเยี่ยมแม่บ้างเหรอ”ชนะกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ใจหนึ่งอยากกดวางสาย แต่อีกใจกลับพร่ำบอกว่าอีกฝ่ายคือมารดาที่ให้กำเนิด
“ผมต้องไปเรียนครับแม่ คงไปเยี่ยมไม่ได้”
“งั้นปิดเทอมมาหาแม่นะคะ แม่จะรอ แม่คิดถึงน้องนะมากเลย”“ผม...”
“อย่าปฏิเสธแม่เลยนะคะ แล้วนี่อยู่ที่ไหนคะลูก ที่บ้านหรือเปล่า ป๋าอยู่ด้วยไหม”“ผมมาเชียงใหม่กับป๋ากับเพี้ยนครับ มาที่ไร่ของคุณตาคุณยาย”
ได้ยินเสียงหัวเราะบาดหูจากปลายสาย ชนะจึงได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ
“ลูกไม่ได้เป็นลูกไอ้เพี้ยนมัน ไม่จำเป็นต้องไปนับญาติ น้องนะเป็นลูกของแม่กับป๋านะคะ ไอ้เพี้ยนมันแย่งป๋าไปจากแม่ มันเป็นเกย์โรคจิต แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปใกล้มัน”“แม่ เพี้ยนไม่ได้เป็นแบบนั้น” เสียงของชนะแข็งกร้าว
“มันเป็นโรคจิตจริงๆ นะลูก ไม่งั้นมันไม่ทำพี่สาวมันท้องหรอก ก่อนที่มันจะมาแย่งป๋าไปจากแม่ มันทำพี่สาวลูกพ่อเลี้ยงของมันท้อง พี่สาวมันน่ะร่าน อยากได้ป๋าของลูกใจจะขาด แต่ยังดีที่ลุงมาวินเขาช่วยกันมันไว้ได้ สุดท้ายก็ได้เสียกับไอ้เพี้ยน แล้วแขวนคอตายหนีอาย”“แม่...ผมวางนะครับ” ชนะไม่อยากรับฟังเรื่องที่แม่กำลังพูด ราวกับเป็นเรื่องโกหก...ไม่ใช่เรื่องจริง
“เดี๋ยว...น้องนะ ฟังแม่ ถึงเวลาที่ลูกควรรู้สักทีว่าไอ้เพี้ยนมันทำอะไรไว้กับแม่บ้าง”“ผมไม่ฟัง”
“ถ้าไม่ฟังแม่จะบินไปหาวันพรุ่งนี้เลยดีไหม”ชนะเงียบกริบ สิ่งสุดท้ายในโลกใบนี้รองจากการเลิกกับเสมอแล้วก็คือการพบเจอกับแม่แท้ๆ ที่เป็นเหมือนฝันร้าย
“ไอ้เพี้ยนมันขับรถชนแม่ มันทำให้พี่ชายของแม่ต้องติดคุกตลอดชีวิตและถูกฆ่าตายในนั้น มันทำให้คุณปู่ของลูกตรอมใจตาย มันทำทุกอย่างเพื่อจะแย่งป๋าของลูกไปจากแม่”“เพี้ยนไม่ใช่คนแบบนั้น ผมรู้จักเพี้ยนดี แม่อย่าพูดโกหก”
“แม่ไม่ได้โกหก ไอ้เพี้ยนมันชั่ว กี่คนแล้วต้องตายเพราะมัน ทั้งพี่สาวร่านๆ ของมัน ทั้งเมียที่ส่งเสียเลี้ยงดูมันก็ถูกข่มขืนจนตาย ทุกอย่างเพราะมันทั้งนั้น”“แม่...พอเถอะครับ อย่าใส่ร้ายเพี้ยนอีกเลย”
“น้องนะไม่เชื่อแม่ก็ไม่เป็นไร แต่แม่บอกไว้เลยว่า แม่เป็นฝ่ายถูกกระทำ ถูกมันพรากเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากแม่ แม้แต่ลูก...ก็ยังเข้าข้างมันมากกว่าแม่”ชนะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนล้า ไม่อยากต้องรับรู้กับอะไรทั้งนั้น เขาฟังแม่พูดกรอกหูมามากพอแล้ว ฟังมามากพอจนรู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นบ้า แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็ไม่เคยรู้สึกเกลียดเพี้ยนเลยสักนิด เพราะเพี้ยนจริงใจ รักและดูแลเขาเป็นอย่างดีมาตลอด เพี้ยนปกป้องเขา อยู่กับเขาในวันที่เขาไม่เหลือใคร มีแต่เพี้ยนที่เข้าใจเขา
“ถามป๋าดูก็ได้ ว่าเรื่องมันเป็นยังไง อย่าถามไอ้เพี้ยน เพราะมันจะโกหกลูก”“แม่ครับ ผมต้องกลับไปทานข้าวต่อแล้ว”
“โอเคๆ แม่กวนลูกแค่นี้ก็ได้ แต่ปิดเทอมต้องมาหาแม่นะ”ชนะไม่รับปาก กดวางสายแล้วเดินกลับโต๊ะ อยู่ทานไปได้อีกนิดหน่อยก็ขอตัวมาอาบน้ำ รู้สึกร่างกายห่อเหี่ยวเหลือคณา อยากได้น้ำเย็นๆ มาชะโลมร่างกายให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
เรื่องราวในครั้งที่ชนะยังเด็กนั้นเลือนลาง ที่จำได้ชัดเจนก็มีแต่ช่วงเวลาเลวร้ายที่ต้องไปอยู่กับแม่ทุกช่วงปิดเทอมเท่านั้น ชนะไม่รู้เกี่ยวกับคุณปู่ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลุงที่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของแม่เลย จำได้ว่าคุณปู่นั้นใจดี และคุณลุงก็รักพวกเขามาก แต่หลังจากนั้นคนทั้งคู่ก็หายไป ชนะรับรู้เอาตอนโตว่าทั้งสองคนตายไปแล้ว ทว่า...สาเหตุการตายนั้นไม่แน่ชัด เพราะไม่มีใครเล่ารายละเอียดให้ฟังแม้แต่คนเดียว
***********
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครบรอบวันตายของพี่กิ๊ฟแล้ว น้องว่าจะไปที่บ้านสวนเสียหน่อย” เพี้ยนบอกไร้พ่ายเสียงเบา ขณะนี้ในห้องนั่งเล่นเหลือกันอยู่แค่สองคน เพราะสองผู้อาวุโสเข้านอนแล้วตามประสาคนสูงอายุ ส่วนเด็กๆ ก็แยกย้ายกันเข้าห้องตัวเอง
“อืม พาอ่องไปทำความสะอาดด้วยก็ดี ไม่ไปนาน คงมีแต่ฝุ่น”
“พี่พ่ายไปด้วยกันไหม”
“ทุกปีมึงก็ไปคนเดียวอยู่แล้ว” ไร้พ่ายบอกเสียงเรียบ “ไม่ต้องคิดมาก วันนั้นจะเป็นวันเดียวที่กูอนุญาตให้มึงคิดถึงกิ๊ฟได้เต็มที่”
เพี้ยนพยักหน้า ล้มตัวลงนอนหนุนตักของไร้พ่าย “ขอบคุณที่เข้าใจน้อง”
ภายในห้องเงียบกริบ แต่บรรยากาศเย็นสบายไร้ความอึดอัด คงมีแต่คนที่แอบฟังอยู่นอกห้องที่หัวใจเต้นรัวเร็ว
“นี่ก็นานแล้วเนอะพี่ ตั้งแต่ที่ไอ้มาวินมันตาย ไม่รู้น้องสาวมันทำบุญให้บ้างไหม เห็นตั้งแต่พี่มันตายยันแก่มันก็ยังทำบาปไม่เลิก”
“กูก็ทำบุญให้อยู่คงได้รับบุญบ้าง”
“กรวดน้ำให้นังวิวมันด้วย มันจะได้เลิกตามรังควานน้องนะเสียที คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ขนาดศาลสั่งไม่ให้มันเข้าใกล้ลูกแล้วมันยังกล้าอีก” น้ำเสียงของเพี้ยนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “มันไม่สำนึกบ้างเลยนะนังนี่อ่ะ ร่วมหัวกับพี่ชายมันฆ่าพี่ดรีม ฆ่าลูกในท้องของพี่ชายมันเองไม่พอ ยั้งมาคิดว่าเราทำพี่มันตาย พี่มันทำตัวเองแท้ๆ คดีข่มขืนพี่กิ๊ฟแทนที่มันจะถูกประหารชีวิต แต่กลับแค่ติดคุก พ่อพี่กิ๊ฟสั่งเก็บเองก็มาโทษน้อง ที่ทุกวันนี้น้องไม่มีลูกก็เพราะนังวิวมันไม่ยอมรับความจริงแล้วเอาแต่สาปแช่งนี่แหละ”
ไร้พ่ายหัวเราะ ตบหน้าผากไอ้ติ๊งต๊องไปหนึ่งที “มึงไม่มีมดลูกไหม”
“เออ นั่นแหละ” เพี้ยนทำหน้าทะเล้น “สงสารเด็กๆ ที่มีแม่จิตไม่ปกติแบบมัน เฮ้อ แล้วนี่พี่หาเมียได้ยัง แก่จะลงโลงแล้วนะ ให้มาอยู่ช่วยเลี้ยงลูกจนน้องเบื่อแล้วเนี่ย เหนื่อยด้วย”
“อายุขนาดนี้แล้วยังจะให้กูไปหาเมียที่ไหนอีก มึงก็เป็นไปจนตายซะก็จบ เลี้ยงลูกมึงก็ทำได้ดี ไม่ต้องบ่นให้มาก”
“ชมน้องดีๆ ไม่เคยจะมีหรอก จิ๊”
“แล้วนะเป็นไงบ้าง จินกับลุงแสงรายงานว่าไง”
“ก็ปกติดี เก็บตัวอยู่ในห้องบ้าง แต่พี่ไม่ต้องกังวลเลย น้องนะไม่กลับไปติดของไม่ดีพวกนั้นอีกแล้ว”
“ยังไงมึงก็ดูไว้ด้วย กูไม่ไว้ใจ เกิดกลับไปติดยาขึ้นมาอีกคงยุ่ง”
“จ้าๆ จะดูให้อย่างดีเลย”
แม้ภายในห้องจะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่คนฟังที่หน้าประตูกลับตัวแข็งทื่อ คำพูดที่กลับด้านกับคำพูดของแม่ คำพูดที่มาจากเพี้ยนและมีป๋ายืนยันให้กรายๆ และยัง...คำพูดที่เหมือนเขาเป็นตัวปัญหา พ่อไม่เคยไว้ใจเขาจริงๆ เลยสักครั้ง เพี้ยนก็เป็นแค่ผู้คุมตามคำสั่งของพ่อเท่านั้น คงไม่ได้ห่วงใยลูกของผู้หญิงที่เกลียด ...ผู้หญิงที่ทำลายชีวิตของตัวเองจากใจเป็นแน่
ชนะยกมือลูบหน้า เดินกลับขึ้นห้องอย่างเงียบเชียบ
“เหมอจ๋า...ไปกับผมนะ ไปหาที่...ที่เป็นของเราด้วยกัน”
มีความสุขที่ได้อยู่กับน้องๆ ได้เที่ยวกันอย่างเต็มที่ ได้กลับมาเจอคุณตากับคุณยาย ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันแล้ว ชนะไม่มีอะไรติดค้างอีก ไม่มีอะไรให้คาดหวัง...ไม่มีเรื่องที่ต้องเฝ้ารอ...ไม่มีคน...ที่อยากจะอยู่ด้วยอีกแล้ว
มือใหญ่กำตุ๊กตาไม้ไว้แน่น ก่อนจะนอนลงบนเตียงช้าๆ เพราะความมึนเบลอจากฤทธิ์ยานอนหลับที่กินเข้าไปเกินขนาด
ชนะเตรียมการมาล่วงหน้าแล้ว...ไม่มีจดหมายบอกลาใดๆ เพราะอย่างน้อยในครั้งนี้...ก็อยากจากไปจริงๆ ไม่เหมือนครั้งแรกที่ทำไปเพราะเรียกร้องความสนใจ
ก๊อกๆๆๆๆๆ
“นะ...เค้ากับโยจะมานอนด้วยยยย นะ...เปิดประตูหน่อยยยย”
ชยร้องเรียกเสียงร่าเริง กอดหมอนไว้ในอ้อมแขนพลางหันมองแฝดน้องที่ช่วยกันยกมือระดมเคาะประตู แต่ภายในห้องก็ยังคงเงียบกริบ
“นะลงไปเดินเล่นข้างล่างรึเปล่า เราลงไปดูกันไหม” ชโยออกความเห็นหลังจากเคาะจนเจ็บมือแล้วยังไม่มีเสียงตอบรับ ก้มมองลอดช่องแคบไม่กี่มิลลิเมตรด้านล่างประตูก็ไม่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมา แต่ในขณะที่กำลังจะตัดสินใจลงไปชั้นล่าง เสียงอะไรบางอย่างก็ตกกระทบพื้นดังมาจากในห้องของพี่ชาย
“นะ อยู่ในห้องเหรอ เปิดประตูให้หน่อย!” ชยเริ่มร้องเรียกเสียงดัง หวาดหวั่นในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ “นะ!”
“เด็กๆ มีอะไรกัน เสียงดังไปถึงข้างล่าง” เพี้ยนรีบขึ้นมาชั้นบนเพราะเสียงตะโกนลั่นบ้าน คุณตาคุณยายก็ออกจากห้องนอนมาเหมือนกัน
“นะไม่ยอมเปิดประตู เรียกก็ไม่ตอบ”
ไร้พ่ายเดินดิ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็วก่อนจะทุบประตูเสียงดัง “นะ! ได้ยินป๋าไหม เปิดประตูหน่อย!”
แต่ยังคงไร้เสียงตอบกลับ “โย มาช่วยป๋าหน่อย”
เพราะประตูของบ้านมีกลอนล็อคอีกชั้นไว้ข้างใน ต่อให้มีกุญแจสำรองไขลูกบิดก็ยังต้องพังเข้าไปอยู่ดี ไร้พ่ายกับลูกชายคนสุดท้องจึงช่วยกันกระแทกประตูให้เปิด แต่สุดท้ายก็ยังต้องพึ่งพาแรงของเพี้ยนอีกแรง
ปึง! ปึง!
เสียงกระแทกประตูหลายต่อหลายครั้ง ก่อนที่กลอนด้านในจะพังหลุดออกไม่เป็นท่า บานประตูตีเปิดด้วยแรงถีบสุดท้ายของไร้พ่าย ชยรีบวิ่งไปหาพี่ชาย เหยียบเข้ากับตุ๊กตาไม้ที่ตกหล่นอยู่ใกล้ๆ ไอ้เจ้าตัวนี่เป็นแน่ที่ตกลงพื้นเสียงดังให้ได้ยิน
“นะ...นะได้ยินไหม!” ชยเขย่าร่างพี่ชายที่แน่นิ่ง รูปหน้าหล่อเหลาเผือดซีด ไร้การตอบสนอง เพี้ยนกัดริมฝีปากแน่น ชโยยืนกอดเพี้ยนไว้แล้วร้องไห้
“แม่...แม่ เรียกรถพยาบาล...” นายแม่ของไร่เทียมตะวันรีบวิ่งหาโทรศัพท์มือถือทันที
ไร้พ่ายรีบเข้าประคองลูกชาย ก่อนจะยกร่างทั้งร่างของลูกขึ้นอุ้ม ใบหน้านิ่งดุเผือดซีดไม่แพ้คนเป็นลูก ดวงตาแดงก่ำเริ่มรื้นไปด้วยน้ำ
“พี่พ่าย รถพยาบาลกำลังมา” เพี้ยนรีบบอก
“กูไม่มีเวลารอรถพยาบาล ลูกกูกำลังจะตาย มึงไปเตรียมรถ เดี๋ยวนี้เพี้ยน ไป!”
เพี้ยนรีบพยักหน้า รีบวิ่งลงบันไดไปทันที พ่อดิวรีบวิ่งตามหลังไปอีกคน “น้องเพี้ยน กุญแจรถลูก”
“ขอบคุณครับพ่อ”
คนลนลานรับกุญแจแล้ววิ่งอย่างสุดกำลังไปเอารถ สตาร์ทเครื่องเสร็จก็เหยียบคันเร่งขับเข้าจอดรอไร้พ่ายที่กำลังอุ้มลูกชายมาขึ้นรถ แฝดอีกสองคนรีบตามขึ้นเบาะหลัง
“ออกรถ!” เสียงเข้มจัดของไร้พ่ายดึงสติเพี้ยนให้กลับคืน จากที่นิ่งงันเพราะสภาพของลูกชายสุดที่รัก จึงได้สติรีบเร่งเครื่องยนต์พาไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที
ภายในรถเงียบเชียบ ชยกอดชโยที่กำลังร้องไห้ ไร้พ่ายกุมมือลูกชายคนโตไว้แน่น กอดร่างที่ซีดเผือดด้วยความปวดร้าว ไม่มีคำพูดใดที่สามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้ในตอนนี้ มีแต่คำขอโทษที่ดังก้องอยู่ในใจ
“ป๋า โตขึ้นนะอยากเป็นทหาร เป็นทหารแข็งแรง นะจะปกป้องน้องๆ ปกป้องเพี้ยน ปกป้องป๋าด้วย”
“ไม่ได้... ธุรกิจของป๋าต้องมีคนดูแลต่อ”รอยยิ้มเจื่อนบนใบหน้าเล็ก...ไร้พ่ายจำได้ดีขึ้นใจ
“นะไม่อยากไปหาแม่ นะอยากอยู่กับป๋า อยากอยู่กับเพี้ยน”
“ไม่ได้ชนะ อย่าดื้อกับป๋า”น้ำตาไหลอาบแก้มไม่ขาดสาย..ไร้พ่ายก็ไม่เคยลืม
“นะไม่อยากไปอเมริกา นะอยากอยู่กับน้อง อยากอยู่กับป๋า อยากอยู่กับเพี้ยน ป๋าอย่าให้นะไปเลย...นะไม่อยากไป”
“ไม่ได้ โตแล้วอย่างอแง แล้วป๋าจะไปเยี่ยมบ่อยๆ”ครั้งนั้นชนะนิ่งงัน ไม่มีแม้แต่น้ำตาสักหยดให้เห็น และตั้งแต่นั้น...ที่ความสัมพันธ์ของเขากับลูกเปลี่ยนไป
“ป๋า มึงมาเยี่ยมลูกบ้างได้ไหมวะ รู้ว่างานยุ่ง แต่มาหาแกหน่อย”
“โทษทีว่ะไอ้เกม กูต้องคุมโครงการใหญ่ เพี้ยนมันก็ไปไม่ได้ ไว้ตอนปิดเทอมกูไปหาก็แล้วกัน”
“แต่ลูกต้องการเจอมึงนะเว้ย”
“เดี๋ยวกูคุยกับนะเอง ไม่ต้องห่วง”“นะ...ป๋าขอโทษ ขอโทษนะลูก” น้ำตาของลูกผู้ชายรินไหลไม่ขาดสาย เพราะแก้วตาดวงใจกำลังจะจากไปอย่างไม่หวนคืน เพี้ยนเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาเปียกชุ่ม เหยียบเร่งเครื่องยนต์จนถึงโรงพยาบาล
ชนะถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินในเวลาต่อมา ไร้พ่ายทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องอย่างอ่อนล้า มีเพี้ยนกอดประคองปลอบโยน
“ลูกต้องไม่เป็นไร” เพี้ยนบอกเบาๆ ปลอบใจทั้งตัวเองและคนรัก เห็นเด็กแฝดอีกสองคนนั่งตาบวมอยู่ใกล้ๆ ก็ผละจากคนพ่อเข้าไปกอดคนลูกไว้
“ทั้งๆ ที่รู้ว่านะมีเรื่องทุกข์ใจ แต่ยะกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย” ชยบอกเสียงเครือ ในมือกำตุ๊กตาไม้ที่ตกอยู่ในห้องของพี่ชายไว้แน่น
“ไม่เอาลูก ไม่ร้องแล้ว พี่นะไม่เป็นอะไรหรอก เชื่อพี่เพี้ยนสิ แล้วนี่เอาเหมอจ๋ามาจากไหน” เพี้ยนปลอบแล้วก้มลงมองในมือของชย
“มันตกอยู่ใกล้ๆ เตียง นะคงถือมันไว้ พอหมดสติมันคงกลิ้งตกลงมา ดีที่มันไม่หัก เพราะตกลงมาเสียงดัง ยะกับโยเลยได้ยินเสียงจากในห้อง” ชยบอก นึกขอบคุณที่เจ้าตุ๊กตาไม้ตัวนี้ตกลงกระทบพื้น เพราะไม่อย่างนั้นก็คงช้าไม่ทันการ
“ต้องขอบคุณมันซะแล้วเนอะ ไปล้างหน้าล้างตาเถอะเด็กๆ เดี๋ยวพี่เพี้ยนกับป๋าจะอยู่ตรงนี้รอ”
ชยกับชโยพยักหน้า ก่อนจะพากันเดินไปหาห้องน้ำในโรงพยาบาล ไม่ลืมที่จะฝากตุ๊กตาไม้ไว้กับเพี้ยนด้วย
“พี่พ่าย...” เพี้ยนเรียกเสียงเบา นำพาให้คนนิ่งงันขยับตัว ก่อนจะส่งตุ๊กตาไม้ไปให้ “มันช่วยลูกเราไว้”
ไร้พ่ายพยักหน้า “นะเลิกกับเสมอแล้วใช่ไหม”
“ใช่พี่ แต่อย่าโทษน้องเหมอเลย เรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้ น้องนะก็คงไม่ได้อยากให้เราโทษน้องเหมอหรอก”
“กูรู้” ไร้พ่ายเข้าใจดีว่าเพราะสภาพจิตใจของลูกชายที่อ่อนแอกว่าคนทั่วไปจนต้องเข้ารับการรักษา คงผิดที่เขาเอง...ที่ใส่ใจลูกไม่ดีพอ “เพี้ยน”
“จ๋าพี่”
“กูจะพานะไปรักษาที่อเมริกาสักพัก กูคงไม่ส่งลูกไปคนเดียวอีกแล้ว ฝากมึงดูแลงานทางนี้ได้ไหม”
“ได้จ้ะ แต่น้องบินไปหาบ่อยๆ ได้ไหมอ่า คงคิดถึงแย่”
“ตามใจมึง ถ้าไม่เหนื่อย”
“ไม่เหนื่อยหรอก แค่เห็นพี่กับลูก น้องก็มีกำลังใจขึ้นมาแล้ว ตอนนี้มาภาวนาให้น้องนะกันดีกว่าเนอะ”
เพราะมีเพี้ยน เรื่องเลวร้ายถึงได้บรรเทาลง ไร้พ่ายคงทำอะไรไม่ถูก ถ้าหากมีแค่เขากับลูกอยู่กันตามลำพัง
..................................................TBC.................................................................
เพราะเราเตรียมคลายปม วันนี้เลยลงสองตอน
ใจคนอยากจะไป อะไรก็คงรั้งไม่ได้...ชนะ ขอโทษที่ต้องเป็นแบบนี้
