[เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)  (อ่าน 65256 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-12-2015 06:38:49 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นดิฉันต้องขออภัยนักอ่านทุกท่านที่ยังคงติดตามผลงานเรื่องก่อนหน้านี้ซึ่งก็ยังลงค้างไว้อยู่ แต่ดิฉันมีเหตุจำเป็นที่จะต้องแต่งเรื่องเพิ่มอีกเรื่องหนึ่ง จึงขอแจ้งท่านนักอ่านว่า เรื่องอะไรที่ยังแต่งค้างอยู่ ดิฉันก็จะยังคงแต่งต่อ (แต่อาจจะช้าสักหน่อย ถึงมาก ฮรี่...) ส่วนเรื่องนี้ น่าจะแต่งและลงต่อเนื่องภายในก่อนสิ้นปีนี้ค่ะ (เพราะเราต้องทำเวลา ฮ่าๆ)

สำหรับคนที่เคยอ่านนิยายชุดเรื่องสั้นของดิฉันมาก่อน คงคุ้นกับชื่อเรื่องเรื่องนี้พอสมควร แน่นอนว่าเรื่องนี้จะใช้พล็อตแบบเดียวกับเรื่องสั้น เพียงแต่เล่าขยายความให้ยาวขึ้น และเพิ่มบทสรุปตอนจบของแต่ละคู่ในลักษณะเรื่องสั้นขนาดยาว (แทนที่จะเป็นเรื่องสั้นแบบตอนเดียวจบอย่างต้นฉบับเก่า)

ยังไงก็ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่ะ^^

---------------------------------------------------
Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่1 เกาะนางเงือก

                คุณเคยฟังนิทานก่อนนอนกันบ้างรึเปล่าครับ? ที่เล่าถึงสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด ไม่น่าจะมีอยู่ในโลกจริงได้เลย อย่างเช่น มังกร ม้ายูนิคอร์น หรือสิ่งมีชีวิตครึ่งบกครึ่งน้ำที่มีท่อนบนเป็นคนท่อนล่างเป็นปลา

                ครับ... ผมกำลังพูดถึงเงือก

                คุณเคยคิดบ้างไหมครับว่าพวกเขาอาจจะมีตัวตนอยู่จริง?

                ถ้าถามผมก่อนหน้านี้ไม่กี่วันผมคงตอบอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ‘ไม่’ ผมไม่มีทางเชื่อเรื่องนิทานปรัมปรางี่เง่าพวกนั้นเด็ดขาด

                แต่ทว่า...

-----------------------------------

                “ด้วยความเคารพนะครับ ทาซากิซัง ผมว่าคุณควรจะหยุดพักผ่อนสักหนึ่งสัปดาห์”

                ผมเขม้นตามองกรอบแว่นตาโลหะที่เคลือบสีดำสนิทก่อนจะมองเลยผ่านไปยังดวงตาสีดำสนิทพอๆ กันที่อยู่ด้านหลัง พลางนึกสงสัยว่าเพราะอะไรเขาถึงใส่แว่นที่ไม่มีเลนส์แบบนี้

                “ทาซากิซัง...” ฝ่ายนั้นเน้นคำพูดด้วยน้ำเสียงยานคางขึ้น ผมขยับตัวนิดหน่อย เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าผมกำลังตั้งใจฟังอยู่ “ครับ?”

                “คุณเห็นว่าไงครับ”

                “อ้อ” ผมส่งเสียงในคอ “กรอบแว่นใหม่ของคุณดูดีมาก แต่ผมว่าดูเหมือนอันเก่าไปหน่อยนะ”

                คู่สนทนาของผมหลับตาลงอย่างอดทนอดกลั้น ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “นี่แว่นตาผมอันเก่าครับ ผมกำลังถามคุณว่า คุณคิดยังไงเรื่องลาพักครับ”

                “อ้อ...” ผมร้องดังขึ้นกว่าครั้งก่อนหน้าหน่อยหนึ่ง แล้วยักไหล่ “ทำไมผมถึงต้องลาพักล่ะ?”

                ผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนหวีผมป้าย ที่สวมแว่นตาไม่มีเลนส์ซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างผมขยับตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าเหลือความอดทนน้อยเต็มที “เพราะคุณเหนื่อยเกินไปน่ะสิครับ”

                “ผมน่ะหรือ?”

                “ใช่!” ฝ่ายนั้นตอบแล้วพูดต่อโดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้ผมได้อ้าปาก “สัปดาห์ที่แล้วคุณลืมนัดสิบสามครั้ง มากกว่าสัปดาห์ก่อนโน้นสามครั้ง มากกว่าสองสัปดาห์ก่อนเจ็ดครั้ง นี่ยังไม่รวมเรื่องที่คุณเซ็นอนุมัติคำสั่งพลาดหกครั้ง ยังดีนะครับว่าผมตรวจดูก่อนส่งให้ฝ่ายเอกสารจัดการดำเนินเรื่อง”

                “อ๋อ... คิดว่าเรื่องที่ผมดูแว่นคุณผิดเสียอีก ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ ยังไงคุณก็ทำหน้าที่เลขาของผมได้ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องลาพักหรอก”

                “จำเป็นสิครับ!” ฝ่ายนั้นโพล่งออกมา “คุณเป็นประธานของที่นี่นะครับ คุณต้องเป็นหลักของบริษัทเรา ไม่ใช่ฝากเรื่องทุกอย่างเอาไว้กับผมแบบนี้ ผมรู้ว่าคุณขยัน แต่ถ้าคุณไม่พักบ้าง ต่อให้มีเลขาแบบผมสักสิบคน ก็จัดการเรื่องผิดพลาดของคุณพวกนี้ไม่ไหวหรอกครับ”

                “อืม... ผมก็ยังไม่นึกอยากจะได้เลขาแบบคุณถึงสิบคนหรอกนะ”

                “ทาซากิซัง!” ผู้ชายรูปร่างสะโอดสะองที่เวลาทำงานดูเป็นการเป็นงานขึ้นเสียงสูง ก่อนจะพูดสืบต่อ “ด้วยความเคารพเถอะครับ ท่านประธาน ผมแนะนำให้คุณหยุดพักผ่อน ยังไงคุณก็ต้องหยุดพัก”

                ผมมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ “คามิซาวะซัง ผมยอมไปร้านคาราโอเกะกับพวกคุณช่วงค่ำก็ได้ ไม่เห็นจะต้องให้ผมหยุดงานตั้งเป็นสัปดาห์เลย”

                คามิซาวะ ซุบารุเขม้นตามองผมผ่านกรอบแว่นที่ไม่มีเลนส์กลับ “ได้โปรดเถอะครับ ผมจำได้ว่าคราวก่อนที่คุณไปคาราโอเกะกับพวกเรามันเกิดอะไรขึ้น”

                ผมเลิกคิ้ว พลางนึกว่าครั้งก่อนที่ผมไปคาราโอเกะกับพวกเขามันเกิดอะไร แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปาก เลขาหนุ่มของผมก็พูดเสียงเฉียบขึ้นมาเสียก่อน

                “ห้ามบ่ายเบี่ยงอะไรทั้งนั้นล่ะครับ ผมจองสถานที่พักผ่อนไว้ให้คุณแล้ว รับรองว่าคุณจะต้องพอใจแน่นอน”

                คิ้วของผมเลิกขึ้นสูงกว่าเดิม “อะไรทำให้คุณมั่นใจขนาดนั้น?”

                คามิซาวะมองหน้าผม แล้วยกมือตบอก “ตรงนี้ครับ”

                เฮ่อ... ให้ตายซี่...

--------------------------------------------

                ในที่สุดผมก็ยอมลาพักเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีตั้งแต่รับตำแหน่งประธานบริษัท ที่ที่คามิซาวะจองให้ผมไม่ใช่สถานที่ตากอากาศชื่อดังอย่างซัปโปโร หรือเกาะสวรรค์ต่างประเทศอย่างมัลดีฟ แต่เป็นที่พักในหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทางตอนใต้ของเกาะคิวชู ซึ่งเป็นเกาะบ้านเกิดของคามิซาวะนั่นเอง

                อันที่จริงแล้วผมไม่ได้ตกลงปลงใจจะมาเกาะนี้เพราะนึกครึ้มอยากจะแวะเยี่ยมเยียนบ้านเกิดของเลขาหรอก แต่เพราะท่าทางมั่นอกมั่นใจของเขาต่างหาก ที่ทำให้ผมมาที่นี่ ผมอยากรู้ว่าบนเกาะเล็กๆ ห่างไกลผู้คนแบบนี้จะมีอะไรให้ผมพอใจ

                คามิซาวะผู้แสนดีในบ้างครั้ง และแสนเข้มงวดในแทบทุกครั้ง มาส่งผมที่ท่าเรือ แน่นอนว่าก่อนไปผมไม่วายถามถึงรายละเอียดทุกอย่างที่บริษัท แม้เขาจะหาว่าผมลืมนัด เซ็นเอกสารผิด แต่ทุกลมหายใจของผมมีแต่เรื่องของบริษัทอยู่ตลอดเวลา และเพราะอย่างนี้แหละ ผมถึงต้องไปดึงตัวเขามาจากอีกบริษัท เพื่อให้มาช่วยงาน ตอนนี้เขามาทำงานกับผมได้ห้าปีแล้ว ทำงานได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่นิดเดียว ผมไม่ผิดหวังที่ได้ตัวเขา แต่ก็ไม่อยากได้เลขาแบบเขาเพิ่มมาเป็นสิบคนหรอก

                ดังนั้น พอเขาเริ่มตีหน้าตึงหลังจากที่ผมทำท่าเป็นกังวลกับเรื่องของบริษัทไม่เลิก ผมจึงจำต้องขึ้นเรือข้ามฟากที่จอดรออยู่ ก่อนจะมองตัวเขาที่ยืนอยู่บนฝั่งซึ่งค่อยๆ ห่างออกไป

                การเดินทางกับเรือข้ามฟากไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจอะไรมากนัก ถ้าพูดให้แย่คือเลวร้ายด้วยซ้ำ ผมเมาเรือหลังจากแล่นออกมาจากท่าได้ราวสิบห้านาที และจำต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นอีกสามชั่วโมงเต็มๆ เรือถึงจอดเทียบท่า

                เพราะอาการเมาเรือ ทำให้ผมไม่มีอารมณ์จะพิจารณาทัศนียภาพอะไรบนเกาะเล็กๆ ที่ผมเพิ่งก้าวเท้าลงเหยียบมากนัก ระหว่างที่ผมกำลังยืนยืดตัวสูดอากาศยามเย็นที่ตลบอบอวลไปด้วยไอของน้ำเค็ม เผื่อว่าจะไล่อาการเมาเรือไปได้บ้าง ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาผม

                “ขอโทษนะคะ ทาซากิ โทวะซังรึเปล่าคะ?”

                ผมหันไปมองคนพูด และพบว่าเธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคน รูปร่างผอมแต่ดูทะมัดทะแมงแบบคนบนเกาะ เธอสวมชุดทำงานแบบโบราณ ผมพยักหน้า แล้วรีบหยิบจดหมายแนะนำตัวที่คามิซาวะเขียนมาให้ยื่นให้เธอทันที

                “ครับ ผมทาซากิ โทวะ คุณคงเป็นยูมิโกะซังใช่มั้ยครับ”

                เธอพยักหน้ารับ “ค่ะ เขาเพิ่งโทรมาบอกดิฉันเมื่อสองวันก่อนนี่เอง ว่าเจ้านายของเขาจะมาพักผ่อนที่นี่ คุณคงสนใจเรื่องที่เขาเล่าสินะคะ”

                ผมเลิกคิ้วด้วยความฉงน “เรื่องเล่า?”

                “ใช่ค่ะ... เอ๋? ซุบารุซังยังไม่ได้เล่าหรือคะ?”

                ผมแค่นยิ้มพลางนึกแค้นเลขาตัวดี “ไม่เลยครับ เขาไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังไปมากกว่าบอกว่าที่นี่เป็นบ้านเกิดของเขา”

                ยูมิโกะทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะผุดยิ้มออกมา “งั้นคุณคงให้ความสำคัญกับซุบารุซังมาก ที่จริงเขาก็เป็นคนน่ารักมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ”

                ผมนึกเถียงในใจ แต่ไม่ได้พูดออกไป ได้แต่พยักหน้าเนือยๆ พอเห็นท่าทางของผม ยูมิโกะคงเพิ่งนึกขึ้นได้

                “ดิฉันพาคุณไปดูที่พักดีกว่าค่ะ นั่งเรือมานานคงเหนื่อยแย่เชียว”

                ผมแค่นยิ้ม พลางกลั้นกระเพาะไม่ให้ขย้อนอะไรออกมาระหว่างเดินตามเธอไป

                ที่พักของผมเป็นบ้านไม้แบบเก่าชั้นเดียว มีห้องรับแขกเล็กๆ ด้านหน้า ด้านหลังเป็นห้องนอนและห้องน้ำ ระหว่างที่ผมกำลังนั่งพักอยู่บนฟูกนั่งในห้องรับแขก เสียงของใครอีกคนก็ดังขึ้น

                “ยูมิโกะซัง นั่นแขกที่ซุบารุซังแนะนำมาหรือครับ?”

                ผมเลิกคิ้ว ไม่ได้นึกแปลกใจที่มีใครต่อใครเที่ยวมาถามเรื่องผม เพราะนี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ใครจะไปจะมา คนทั้งหมู่บ้านจะต้องรู้ข่าวและให้ความสนใจอยู่แล้ว ที่สิ่งที่ทำให้ผมนึกแปลกใจคือ เสียงของคนที่ทักต่างหาก

                เสียงของเขาใสเหมือนแก้ว ผมไม่เคยได้ยินใครพูดแล้วทำให้รู้สึกแบบนี้มาก่อน

                “ใช่จ้ะ” ยูมิโกะขานรับ ก่อนจะโค้งให้ผมแล้วเดินไปที่ประตู ผมเลยต้องลุกตามด้วย เพราะอยากเห็นหน้าเจ้าของเสียง

                “วันนี้กลับช้านี่จ้ะงิน ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้วนะ คงไม่ใช่ว่ารอเจอแขกของซุบารุซังหรอกนะ”

                คนถูกถามหัวเราะเสียงกังวานเหมือนระฆังเงิน ผมอดไม่ได้จริงๆ เลยต้องชะโงกหน้าออกไปดู

                “คือผม...”

                เขาเป็นเด็กผู้ชาย อายุประมาณสักสิบหกปี ผิวขาวเกลี้ยงไม่เหมือนคนที่อยู่เกาะเลยสักนิด ที่สำคัญยังกัดสีผมเสียอ่อนจนแทบจะกลายเป็นสีเงิน หนำซ้ำยังใส่คอนแทกต์เลนส์สีเขียวน้ำทะเลอีกด้วย พอเทียบกับเสื้อผ้าปอนๆ ที่เขาสวมอยู่ ผมรู้สึกขึ้นมาว่ามันช่างไม่เข้ากันเอาเสียเลย

                “เธอ...”

                “อ้อ!” ยูมิโกะทำท่าตกใจเหมือนเพิ่งนึกได้ว่ามีผมอยู่ด้านหลัง “คุณทาซากิ อาการไม่สบายดีขึ้นแล้วหรือคะ?”

                “ครับ ดีขึ้นแล้ว” ผมตอบ ก่อนจะเบนสายตาไปมองเด็กผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง “เด็กคนนี้คือ...”

                “อ๋อ งิน...”

                “ครับ ผมชื่องิน คุณคงเป็นเจ้านายของซุบารุซังสินะครับ” งินพยักหน้ารับพลางถามผมต่อด้วยรอยยิ้ม ให้ตายเหอะ ทำไมไม่รู้ผมถึงรู้สึกหัวใจเต้นตึกๆ กับรอยยิ้มนั้นนักก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่เขาดูแปลกจนประหลาดเลยด้วยซ้ำ

                “เอ่อ... ใช่ ผมเป็นเจ้านายของคามิซาวะซัง คุณเป็นเพื่อนเขาหรือ?”

                “ครับ... เอ่อ คุณ...”

                ผมมัวแต่อึ้งจนลืมมารยาทการแนะนำตัวไปสนิท “ทาซากิ... ทาซากิ โทวะ เรียกผมโทวะก็ได้”

                “ครับ โทวะซัง” งินเรียกชื่อผมแล้วยิ้มอีกครั้ง ผมรู้สึกตาพร่า นึกสงสัยว่าตัวเองเหนื่อยเพราะการเดินทางจนมีอาการหน้ามืดแล้วหรือไร

                “ซุบารุซังเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีใช่มั้ย เขาแต่งงานมีลูกแล้วหรือยังครับ”

                “สบายดี แต่เรื่องแต่งงานมีลูกผมว่าเขาคงห่างไกลน่ะ” ผมตอบ แล้วเห็นคู่สนทนาอมยิ้มก่อนจะพึมพำเสียงเบา “อย่างนี้ทสึกิยะซังต้องดีใจแน่”

                ผมไม่รู้ว่าทสึกิยะเป็นใคร อาจจะเป็นคนรู้จักคนหนึ่งของคามิซาวะก็ได้ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากถาม งินก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน “ที่จริงผมมีเรื่องอยากถามเกี่ยวกับซุบารุซังอีกเยอะ แต่พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว ยังไงพบกันพรุ่งนี้นะครับ” พูดจบเขาก็โค้งตัวให้ผมอย่างเคารพ แล้วเดินฉับๆ ออกไปราวกับกลัวว่าจะตกเรือถ้าไปไม่ถึงหาดก่อนพระอาทิตย์ตกอย่างนั้นและ ผมมองตามหลังเขา ก่อนจะหันมาหายูมิโกะ

                “เขาเป็นใครครับ ดูท่าทางเหมือนไม่ใช่คนในหมู่บ้าน”

                “อ๋อ จ้ะ เขาไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้หรอก เขา... เอ่อ...”

                ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไรหรอกครับยูมิโกะซัง ผมรู้ว่าเดี๋ยวนี้ลูกคนมีเงินชอบทำอะไรแปลกๆ เข้าไปทุกที แล้วนี่เขาเอาเรือมาเองหรือว่ายังไงครับ ที่จริงผมเองก็รู้สึกว่าเขายังเด็กอยู่ ไม่น่ามีใบอนุญาตขับเรือนะครับ เขาคงมีคนมารอรับ ถึงต้องรีบขนาดนั้น”

                “อ้อ.. ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ... ที่จริงแล้วงินน่ะ...” ยูมิโกะพูดแล้วก็ทำสีหน้าลำบากใจ “พูดไปไม่รู้คุณจะเชื่อหรือเปล่า แต่งินไม่ใช่คนหรอกค่ะ เขาเป็นเงือก”

                ผมเลิกคิ้วสูง ก่อนจะหัวเราะออกมา “โอเคครับ ผมเข้าใจล่ะ”

                ยูมิโกะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะพูดออกมา “คุณรู้หรือคะ?”

                ผมหัวเราะดังกว่าเดิม “รู้สิครับ ผมทำงานกับคามิซาวะซังมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าคนแบบเขาจะทำเซอร์ไพรส์ผมด้วยวิธีนี้ ไว้เดี๋ยวผมจะจัดการเขาเองครับ ยูมิโกะซังไม่ต้องคิดมาก ผมไม่ถือโทษโกรธคุณหรอก”

                “เอ่อ...” ยูมิโกะมองหน้าผม พลางกะพริบตาปริบๆ ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา “เดี๋ยวดิฉันยกอาหารเย็นมาให้นะคะ คุณหิวรึเปล่า?”

                “ดีเลยครับ ขอบคุณมาก” ผมว่า หลังจากยูมิโกะออกจากบ้านไปแล้ว ผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เตรียมจะโทรหาเลขาตัวดีที่หลอกผมมาที่เกาะนี้

                เขาเห็นผมเป็นเด็กหรือไง ถึงต้องทำเซอร์ไพรส์ผมด้วยการให้ผมมาเห็นเด็กแต่งคอสเพลย์บนเกาะ แล้วเอาไปผูกโยงกับเรื่องปรัมปราแบบนั้น

                ผมกดโทรศัพท์ พลางนึกอยากเห็นสีหน้าของคามิซาวะ ตอนที่ได้ยินผมบอกว่าจับไต๋ทุกอย่างของเขาได้แล้ว แต่สิ่งที่ผมได้ยินผ่านหูโทรศัพท์คือ ‘ขอโทษค่ะ โทรศัพท์ของท่านไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’

                ผมกดโทรศัพท์อีกครั้งด้วยความงุนงง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าบนเกาะห่างไกลขนาดนี้อาจจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ แล้วก็จริงอย่างที่ว่า เพราะพอผมลองมองหน้าจอโทรศัพท์ดีๆ ก็พบสัญลักษณ์คำว่า ‘ไม่มีบริการ’ ขึ้นเด่นหราอยู่

                ให้ตายเหอะคามิซาวะ นี่คุณจะหลอกให้ผมมาติดเกาะจริงๆ ใช่ไหม

                ผมนึกหงุดหงิด เพราะผมจำเป็นต้องรู้เรื่องของบริษัท ถ้าจะตัดการติดต่อผมแบบนี้ผมจะทนอยู่ได้ยังไงตั้งหนึ่งสัปดาห์ แต่พอนึกได้ว่าตอนมาถึงเกาะ ยูมิโกะพูดถึงเรื่องโทรศัพท์ แสดงว่าที่นี่มีโทรศัพท์บ้าน ดังนั้น เมื่อเธอกลับมาอีกครั้งพร้อมสำรับอาหาร ผมจึงออกปากถามทันที

                “ยูมิโกะซังครับ ผมขอยืมโทรศัพท์ที่บ้านคุณหน่อยได้ไหมครับ พอดีผมจะคุยธุระเรื่องงาน”

                “อ้อ...” ยูมิโกะซังร้องออกมา “ซุบารุซังเพิ่งโทรมาถามเรื่องคุณเมื่อครู่นี้เองค่ะ ดิฉันเลยบอกว่าคุณกำลังจะทานมื้อเย็น”

                “อ๋อ... อย่างนั้นหรือครับ งั้นผมขอทานมื้อเย็นก่อน แล้วจะไปโทรหาเขาแล้วกัน คุณรอได้ไหมครับ ผมทานไม่นานหรอก จะได้เดินไปด้วยกันเลย”

                “ค่ะ”

----------------------------------

                อาหารเย็นมื้อนั้นจะว่าไปแล้วก็อร่อยใช้ได้ เพราะสดกว่าที่ผมเคยทานเป็นไหนๆ แต่เพราะมัวแต่พะวงอยู่กับเรื่องโทรศัพท์ ผมเลยไม่ค่อยได้นึกใส่ใจมากนัก ยูมิโกะพาผมเดินจากบ้านพักมาถึงบ้านของเธอ ก่อนจะให้ผมยืมใช้โทรศัพท์

                “สวัสดีครับ ทาซากิซัง ห้ามคุยเรื่องงานตอนนี้นะครับ” นั่นคือประโยคทักทายคำแรกที่หลุดออกมาเมื่ออีกฝ่ายกดรับโทรศัพท์ ผมไม่รู้จะนึกขำหรือหงุดหงิดดี

                “คามิซาวะซัง ทำไมคุณไม่บอกผมก่อนว่าที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ”

                “เพราะผมเห็นว่านั่นเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับคุณครับ ทาซากิซัง คุณไปพักผ่อนนะครับ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์แหละดีแล้ว”

                ให้ตายเหอะ เพราะงี้แหละผมถึงไม่อยากมีเลขาแบบเขาเป็นสิบคน

                “งานที่บริษัทเรียบร้อยดีครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่อาการเมาเรือดีขึ้นแล้วหรือครับ”

                “ดีขึ้นแล้ว เออ... คามิซาวะ” ผมเรียกเขาห้วนๆ อย่างที่ไม่ค่อยทำมากนัก ก่อนจะพูดต่อ “แต่เรื่องเซอร์ไพรส์ที่คุณหาไว้รอผม บอกเลยนะว่ามุกมันตื้นเกินไป”

                คามิซาวะเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงเขาหัวเราะ อืม... ที่จริงเขาไม่ค่อยหัวเราะเท่าไหร่หรอก ผมเลยไม่ทันได้สังเกต ว่าเสียงหัวเราะของเขามันฟังเพราะแบบแปลกๆ

                “คุณเจองินแล้วใช่ไหมครับ ผมรู้ คุณต้องไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ผมเข้าใจครับ ที่บ้านผมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าสวยมากเลยนะครับ คุณต้องหาโอกาสไปดูให้ได้ รับรองว่าคราวนี้คุณต้องประทับใจแน่นอน”

                ผมแค่นยิ้มใส่โทรศัพท์ “ได้เลยคุณเลขา ถ้าทริปนี้ผมไม่ประทับใจอะไรสักอย่างล่ะก็... รับรองว่ากลับไปผมลงโทษคุณหนักแน่”

                คามิซาวะหัวเราะหึๆ ใส่โทรศัพท์ “เชิญเลยครับ แต่ผมมั่นใจว่าคุณต้องไม่มีทางทำแบบนั้นแน่”

                ผมนึกท่าทางตอนเขาตบอกในห้องทำงาน แล้วรู้สึกขำขึ้นมา “เออ ผมจะรอดูหน้าคุณวันนั้นแล้วกัน”

                “งั้น... ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะครับ เรื่องงานไม่ต้องเป็นห่วง คุณพักให้สบาย แล้วอย่าลืมตื่นขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ล่ะ”

                “อืม... ราตรีสวัสดิ์”

---------------------------------------------------

                คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับ คงเพราะแปลกที่และมีเสียงคลื่นดังอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอุตส่าห์รู้สึกตัวตื่นมาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจนได้

                เพราะนึกหมั่นไส้เลขาตัวดี ผมเลยสลัดความคิดจะนอนต่อ แล้วพาตัวเองออกจากบ้าน เดินฝ่าความมืดอึมครึมของท้องฟ้ายามใกล้รุ่งออกไปที่หาด

                ไหนขอดูหน่อยซิ ว่าพระอาทิตย์ขึ้นบนเกาะนี้มันวิเศษขนาดไหน

                ผมเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ตามริมหาด ฟังเสียงคลื่นและสูดอายน้ำเค็มจนเต็มปอด ขณะที่พระอาทิตย์ค่อยๆ เลื่อนตัวเองขึ้นมาเหนือผิวน้ำ พร้อมกับแสงสีแดงทองแรกของวัน ทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนผิวน้ำใต้เงาแสงอาทิตย์

                ตอนแรกผมคิดว่าเป็นปลา แต่พอมันเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมจึงรู้ว่าไม่ใช่ ความรู้สึกบางอย่างทำให้ผมรีบเดินหลบไปอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง พลางลอบมองไปยังผิวน้ำที่เคลื่อนไหวอยู่

                สิ่งนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงใกล้โขดหินริมหาด จากนั้นผมก็เห็นเรือนผมสีเงินโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ จากนั้นก็ตามด้วยใบหน้าของคนที่ผมเพิ่งเห็นเมื่อวาน

                งิน!

                ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว เหมือนถูกตรึงเอาไว้ตรงนั้น งินค่อยๆ ปีนขึ้นมาบนโขดหิน ผมสีเงินและผิวสีขาวที่เต็มไปด้วยละอองน้ำเค็มของเขา สะท้อนแสงแดดยามเช้าเป็นประกายราวไข่มุก แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาผมมากกว่านั้น คือครีบหางสีเงินขนาดใหญ่ที่สะท้อนแสงแวววาว ในส่วนที่ควรจะกลายเป็นขาของเขาต่างหาก

                ผมนึกถึงคำพูดของยูมิโกะ นึกถึงสีหน้ามั่นใจของคามิซาวะ ตอนที่เขาบอกชื่อเกาะบ้านเกิดให้ผมฟัง

                “เกาะบ้านเกิดผมชื่อว่าเกาะนางเงือกครับ”

-------------------------------------------

ออฟไลน์ PFlove

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
เนื้อเรื่องน่าสนใจมากค่ะ...ชอบการใช้ภาษาที่คุณแต่งเขียนมันอ่านดูแล้วสละสลวยดีมากเลยค่ะ.. :3123:
ปูเสื่อรออ่านตอนต่อไป...ชอบ..ชอบ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2015 09:14:51 โดย PFlove »

ออฟไลน์ junnozefis

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew1:  :mew1:  :mew1:

ว้าวๆๆ  เรื่องใหม่  ภาษาสวยมากเลยค่ะ


ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
อยากอ่านตอนที่เป็นเรื่องสั้น รบกวนขอลายแทงได้ไหมคะ? ><

ออฟไลน์ baipai_bamboo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เรื่องหน้าติดตามมาก รอตอนต่อไปนะค่ะ

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
แปะค่าาาา  ชอบตั้้งแต่เรื่องสั้นแล้วค่าาา

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
น้องงินต้องเป็นเด็กน่ารักแน่ๆ อยากเห็นบ้างจัง  :กอด1:

ออฟไลน์ shinachan

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
รอต่อเลยค่ะ ชอบที่พี่แต่งทุกเรื่องเลย ♥

ออฟไลน์ magarons

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +68/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lollita

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่2 งิน

                ‘เกาะนางเงือก’

                คำนี้ดังขึ้นในหัวของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่สายตาถูกตรึงไว้ด้วยภาพที่ยากจะเชื่อว่าเป็นความจริงตรงหน้า

                งินนั่งอยู่ตรงนั้น เขายกแขนขึ้นสูงอย่างคนเพิ่งตื่นได้ไม่นาน ละอองน้ำทะเลที่ซัดสาดกับโขดหินสะท้อนประกายกับแสงแดด เมื่อรวมกับเกล็ดสีพราวพวกนั้น ช่างเป็นภาพอัศจรรย์ที่ยากจะบรรยาย

                ผมได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ขณะที่ดวงตะวันลอยสูงขึ้นมาเรื่อยๆ เสียงฮัมเพลงต่ำๆ ในท่วงทำนองที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนดังแว่วมากับสายลม อย่างช้าๆ เกล็ดและครีบหางสีเงินยวงที่สะท้อนเปลวแดดค่อยๆ อันตรธานหายไป เรือนขาเรียวยาวได้รูปคู่หนึ่งปรากฏโฉมขึ้นมาแทนที่

                ผมแทบจะหยุดหายใจ

                งินยกมือขึ้นบิดตัวอีกครั้ง ก่อนจะไถลลงจากโขดหิน คว้าเอาเสื้อผ้าที่ซุกเอาไว้ตรงซอกหินขึ้นมาสวม แล้วตรงมายังต้นไม้ที่ผมยืนอยู่

                ไม่จริงน่า...

                “โทวะซัง?!”

----------------------------------

                “......................”

                ผมหรี่ตาลงเล็กน้อย เพื่อให้คุ้นชินกับแสงสว่างที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามา ก่อนจะพบว่าตัวเองนอนอยู่บนฟูกนอนในบ้านพัก พอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก็พบว่าเก้าโมงกว่าเข้าไปแล้ว ผมรีบผุดลุกขึ้น รู้สึกกระดากที่ตัวเองตื่นสายโด่งขนาดนี้

                คงเพราะมัวแต่ฝันประหลาดอยู่แน่ๆ

                อาหารเช้าถูกวางไว้แล้วที่ห้องรับแขกตอนผมเดินออกมา ผมนั่งทานพลางนึกหงุดหงิดตัวเองที่ดันฝันงี่เง่าจนตื่นสาย เลยทำให้ไม่ได้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตามคำท้าทายของคามิซาวะ

                ใช่ มันจะเป็นเรื่องจริงไปได้ยังไง ผมจะเห็นเงือกมานั่งอาบแดดบนโขดหินแล้วกลายเป็นคนได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ความฝัน

                ผมทานมื้อเช้าเสร็จก็ออกจากบ้านพัก เพื่อออกสำรวจเกาะ กะว่าถ้าไม่มีอะไรให้ผมสนใจจริงๆ ผมจะจับเรือพรุ่งนี้กลับเลย แต่เดินออกมาได้ไม่นาน ผมก็ได้พบใครคนหนึ่งเดินตรงเข้ามา

                “โทวะซัง”

                ผมอึ้งไปหน่อย ก่อนจะยิ้มออกมา “งิน...”

                “ครับ” ฝ่ายนั้นตอบคำพลางใช้ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลมองผมเหมือนเป็นห่วง ผมเลยฝืนยิ้มต่อ “คอนแทกต์เลนส์เธอสวยนะ”

                งินกะพริบตาปริบๆ ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “คุณดูสบายดีก็ดีแล้วครับ แล้วนี่ทานมื้อเช้าแล้วหรือครับ?”

                “เรียบร้อยแล้ว” ผมว่า แล้วรู้สึกอึดอัดขึ้นมา ให้ตายสิ เพราะไอ้ฝันเมื่อเช้าแน่ๆ

                งินดูลังเลใจ เขามองผมหลายครั้ง สุดท้ายก็ถามออกมา “โทวะซัง สะดวกให้ผมเป็นคนนำคุณชมเกาะรึเปล่าครับ?”

                “อะ... อ๋อ ได้สิ” ผมโพล่ง เพราะมัวแต่มองปอยผมสีเงินรวมถึงสัดส่วนบนใบหน้าของเขาอยู่ ให้ตายเหอะ เพราะเขาแต่งตัวประหลาดแบบนี้แน่ๆ ผมเลยเก็บเอาไปฝันแบบนั้น

                งินกะพริบตาอีกปริบสองปริบ จากนั้นก็ยิ้มออกมา “งั้นไปกันเถอะครับ” พูดจบเขาก็ฉวยมือผมเดินออกไป


                ที่ที่งินพาผมไปดูคือลำธารสายเล็กๆ ที่ไหลมาจากยอดเขาท้ายหมู่บ้าน เขาหย่อนก้นนั่งลงบนโขดหินริมลำธาร แล้วเชื้อเชิญให้ผมนั่งตาม

                “นั่งสิครับ ผมมีนิทานจะเล่าให้คุณฟัง เกี่ยวกับหมู่บ้านบนเกาะนี้แหละ”

                ผมนั่งลงข้างเขา พลางมองปลาตัวเล็กๆ ที่แข่งกันว่ายทวนน้ำอยู่ “ว่าไงล่ะ”

                “เกาะนี้มีชื่อว่าเกาะนางเงือก ซุบารุซังบอกคุณแล้วใช่มั้ยครับ?”

                “อือ”

                เด็กหนุ่มผมสีแปลกหันหน้ามองผม ก่อนจะมองไปที่ธารน้ำบ้าง “ธารน้ำนี่แหละครับ ที่ทำให้มนุษย์อย่างพวกคุณสามารถอาศัยอยู่บนเกาะนี้ได้ นี่เป็นแหล่งน้ำจืดเดียวบนเกาะนี้”

                “อืม”

                “บรรพบุรุษยุคแรกๆ ของหมู่บ้านนี้มาถึงที่นี่ได้ด้วยการนำทางของเงือกครับ”

                “............”

                “คุณเชื่อรึเปล่า?”

                ผมยักไหล่ “มันก็แค่นิทาน...”

                งินหันมองหน้าผมอีกครั้ง ก่อนจะขำพรืดออกมา “คุณนี่... เป็นอย่างที่ซุบารุซังบอกจริงๆ ด้วย”

                คราวนี้ผมหันมองเขาทันที “คามิซาวะบอกเรื่องฉันกับเธอว่าอะไร”

                งินหัวเราะคิกคัก “บอกไม่ได้หรอกครับ มันเสียมารยาท”

                “เรื่องไม่ดีงั้นสิ”

                “ไม่เชิงแบบนั้นหรอกครับ” เด็กหนุ่มว่า ก่อนจะพูดต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมถามอีก “คุณสนิทกับซุบารุซังมากสินะครับ”

                “ระดับหนึ่ง เขาเป็นเลขาผม” ผมว่า พลางนึกสงสัยว่าเจ้าคามิซาวะเล่าเรื่องบ้าอะไรเกี่ยวกับผมให้เด็กนี่ฟังกันแน่

                “อ้อ...” งินพยักหน้า แล้วมองผมด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ซุบารุซังเป็นยังไงบ้างครับ ยังร้องเพลงเพราะเหมือนเดิมไหม?”

                “เขาร้องคาราโอเกะทุกวัน แต่เวลาทำงานน่ะชอบทำเสียงจิกอย่างกับแม่ไก่” ผมพูดพลางทำท่าประกอบ งินมองผมแล้วหัวเราะชอบใจ เสียงหัวเราะของเขาฟังดูเพราะจนผมเผลอฟังจนเหม่อ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเขาถามต่อนั่นแหละ

                “ซุบารุซังเป็นคนเก่งนะครับ เขายังไม่มีแฟนหรือครอบครัวหรือคนรักใช่มั้ยครับ?”

                “ยังไม่มีหรอก” ผมตอบ พลางหรี่ตามองคนถาม “นี่... งิน ฉันถามจริงๆ เถอะ เธอแอบชอบคามิซาวะอยู่ใช่มั้ย?”

                “เอ๋?!” เด็กหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด ผมเลยรีบฉวยโอกาสถามจี้เขาต่อ “ไม่ต้องมา เอ๋ พาฉันมาเดินเล่นแต่ถามถึงแต่เรื่องเขานี่ แปลว่าเธอชอบเขาใช่มั้ยล่ะ? รับมาเถอะน่า ฉันไม่ถือเรื่องที่เธอชอบผู้ชายด้วยกันหรอก”

                งินเบิ่งตากว้างมองผม ก่อนจะโพล่งออกมา “แย่แล้ว ซุบารุซังลืมบอกผมอีกเรื่อง”

                “เรื่องอะไร” คราวนี้ผมชักนึกฉุนคามิซาวะขึ้นมาจริงๆ

                “เรื่องที่คุณเป็นคนตลกไงครับ” พูดจบเขาก็หันมายิ้มให้ผมแบบขำๆ “โทวะซัง ผมไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยกันหรอก คุณนี่ก็เดาไปได้”

                ผมชักนึกฉุนเขาด้วยอีกคน “นี่ เป็นเด็กเป็นเล็กระวังคำพูดหน่อยเถอะน่า ยังไงเธอกับฉันก็อายุห่างกันตั้งหลายปีนะ”

                “ครับๆ” งินรับคำด้วยสีหน้าแบบที่มองแว้บเดียวก็รู้ว่าไม่ได้เชื่อฟังสิ่งที่ผมพูดเลยแม้แต่น้อย ผมหรี่ตามองเขาแล้วพูดต่อ “ก็เธอเอาแต่ถามนั่นถามนี่เรื่องคามิซาวะ จะให้ฉันคิดอย่างอื่นได้ไง แล้วไม่คิดจะเล่าเรื่องตัวเองหน่อยเหรอ?”

                “หืม? เรื่องผมเหรอครับ?”

                “อือ”

                “คุณอยากฟังเหรอ?”

                “ใช่” ผมพยักหน้า “ในเมื่อเธออุตส่าห์เสนอตัวเป็นคนทำทางฉันแล้ว เธอก็ควรเล่าเรื่องตัวเองให้ฉันฟังหน่อย เมื่อวานยูมิโกะซังบอกฉันแล้วว่าเธอไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้ เธอมาจากที่ไหนน่ะ? โอซาก้า?”

                เด็กหนุ่มผมสีแปลกที่นั่งอยู่ข้างผมหัวเราะอีก “ผมเหมือนคนโอซาก้าเหรอครับ?”

                “มีส่วน”

                “ตรงไหน”

                “ตรงแปลกนี่แหละ”

                คราวนี้งินหัวเราะราวกับได้ฟังเรื่องขำมาก “โทวะซัง คุณนี่สุดยอดไปเลย ผมไม่ได้คุยกับใครแล้วขำขนาดนี้มานานแล้ว ซุบารุซังบอกผมว่าคุณน่าเบื่อได้ไงนี่”

                “หืม? คามิซาวะว่างั้นเหรอ?”

                งินทำท่าเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว เขารีบพูดปัดพัลวัน “เอ่อ... ไม่เชิงนะครับ ซุบารุซังไม่ได้พูดอะไรเสียหายเกี่ยวกับคุณหรอก”

                ผมหรี่ตามองเขา แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “แล้วที่บอกว่าฉันน่าเบื่อนี่ใครพูด?”

                “........” งินขยับตัวถอยจากผมไปหน่อย “โทวะซังอย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ผมกลัวนะเนี่ย”

                ผมแน่ใจว่าเขาไม่ได้กลัวผมจริงๆ อย่างที่พูดมาแน่นอน เลยยืนหน้าเข้าไปใกล้อีก “งั้นก็รับมาสิว่าใครพูดถึงฉันแบบนั้น”

                “เอ่อ... ผมพูดของผมเอง”

                “...”

                “จริงๆ นะครับ”

                “จะรับผิดแทนคามิซาวะเหรอ?”

                “ก็ซุบารุซัง... อ๊ะ! จะทำอะไรน่ะครับ” งินร้องออกมา เมื่อถูกผมดึงตัวเข้ามาใกล้ ผมแกล้งเค้นเสียงฝ่ายไรฟันบอกเขา “ก็จับเด็กไม่ดีมาทำโทษไง”

                “เอ๋?! อ๊ะ!” งินอุทานเสียงแปลก เมื่อถูกผมใช้มือตีก้นเสียงดังเพี๊ยะ ผมพูดสำทับ “เด็กไม่ดีหัดโกหกต้องถูกตีรู้มั้ย?”

                เด็กหนุ่มที่ถูกผมจับตีก้นดิ้นขลุกขลัก อันที่จริงงินตัวเล็กกว่าผม แต่พอเริ่มดิ้นผมถึงรู้ว่าเขาแรงเยอะใช่ย่อย หลังจากยื้อยุดกันอยู่พัก ผมก็ยอมปล่อยเขา

                “โทวะซัง... คุณ... คุณ...” งินหันหน้ามองผมด้วยท่าทางเหมือนคนโกรธจัด แก้มแดงเห่อไปหมด ผมมองเขา ไม่รู้จะขำหรือว่าสงสารดี

                “อายเหรอ? ฉันหยอกเล่นนิดหน่อยเอง”

                “หยอกเล่น?!” ฝ่ายนั้นสวนคำพูดผม หน้าแดงจัดกว่าเดิม “คุณ... คุณ... คุณมันไร้มารยาทที่สุดเลย!!” พูดจบเขาก็ผุดลุกขึ้น แล้ววิ่งหายออกไป ผมใจหายวาบ เพิ่งรู้ตัวว่าล้อเล่นแรงเกินไป


                “งิน รอก่อน” ผมวิ่งไล่ตามงินไปจนถึงท้ายหมู่บ้าน ถึงยื่นมือคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ เขาดิ้นขลุกขลักสุดแรง

                “ปล่อยผม!”

                “เดี๋ยว ฟังฉันพูดก่อนสิ”

                “ไม่เอา!” เด็กหนุ่มผมสีแปลกคนนั้นร้อง แล้วดิ้นสุดแรงจนหนีจากการเกาะกุมของผมไปได้อีกครั้ง ผมวิ่งไล่ตามเขาไป กระทั่งเห็นว่าเขาวิ่งตรงไปที่หาด

                “งิน ไม่เอาน่า... อย่าทำแบบนั้น” ผมตะโกน เมื่อเห็นว่าเขาวิ่งลงไปในน้ำโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “งิน!”

                ผมรีบวิ่งตามเขาลงไป ให้ตายเหอะ แค่ล้อเล่นหน่อยเดียว ถึงกับวิ่งลงน้ำจะฆ่าตัวตายเลยเหรอ เด็กสมัยนี้นี่มันยังไงกัน

                “งิน!!” ผมตะโกนเรียกชื่อเขา แต่ไร้เสียงตอบกลับ น้ำทะเลเค็มเฝื่อนกระเด็นเข้าปากเข้าจมูกผม “งิน!!”

                งินหายไปท่ามกลางฝืนน้ำทะเลสีเขียวครามใต้แสงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องเรียกเขาอีกหลายครั้ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกผม

                “ทาซากิซัง ตายแล้ว! รีบมาช่วยกันหน่อยเร็ว!!”

                หลายนาทีต่อจากนั้น ผมถูกพาตัวกลับเข้ามาที่ฝั่งในสภาพทุลักทุเลสิ้นดี ผมหันมองคนที่มาช่วยลากตัวผม ก่อนจะถามออกไป “ยูมิโกะซัง งินเขา...”

                ยูมิโกะมองผม แล้วถอนหายใจออกมา “งินไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณไปอาบน้ำล้างตัวก่อน เดี๋ยวฉันจะต่อโทรศัพท์หาซุบารุซังให้นะคะ

----------------------------------

                “คามิซาวะ” พอรู้ว่าเขากำลังถือหูรออยู่ ผมก็รีบกรอกเสียงลงไปทันที “มีเด็กฆ่าตัวตายต่อหน้าผม”

                “เอาล่ะๆ ทาซากิซัง ใจเย็นๆ นะครับ” คามิซาวะว่า แต่ผมรู้สึกแย่เกินกว่าจะฟังคำปลอบใจ “เขาเดินลงน้ำทะเลไปต่อหน้าผม”

                “ทาซากิซัง” คามิซาวะเน้นเสียงหนักขึ้น ผมรู้สึกตัวเองเหมือนถูกสะกด จำต้องเงียบเสียงแล้วฟังเขา

                “คุณตั้งสติดีๆ แล้วฟังผมนะครับ งินไม่เป็นอะไร ทะเลเป็นบ้านของเขา เขาเป็นเงือก”

                “หา?!” ผมรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบหัว “ว่าไงนะ?”

                “เขาเป็นเงือก” คามิซาวะเน้นเสียงอีกครั้ง “เมื่อเช้าคุณก็ได้เห็นกับตาแล้ว... อ้อ... ผมลืมไปว่าคุณเป็นลม” เขาหยุดไปพัก ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกๆ

                “ทาซากิซัง ฟังผมนะครับ งินเป็นเงือก คุณเห็นแล้วกับตาตัวเองเมื่อเช้า แต่เป็นลมไป กระบวนการทางสมองของคุณคงทำการปฏิเสธภาพที่คุณเห็นอย่างเต็มที่ ซึ่งผมไม่แปลกใจหรอก แต่คุณต้องตั้งสติ แล้วยอมรับให้ได้ว่า งินที่คุณเห็นคนนั้นน่ะ เขาไม่ใช่คน เขาเป็นเงือก”

                ผมอ้าปากค้าง ภาพความฝันเมื่อเช้าไหลเข้ามาในสมอง “......”

                “ทาซากิซัง...”

                “ละ... ล้อเล่นใช่มั้ย?”

                “...” คามิซาวะเงียบไปครู่หนึ่ง “หายใจลึกๆ นะครับทาซากิซัง งินเป็นเงือก เขาไม่ได้จมน้ำตายหรือฆ่าตัวตายต่อหน้าคุณหรอก เขาแค่โมโหคุณเลยหนีกลับบ้าน แค่นั้น”

                “แต่...”

                “ถ้าคุณไม่เชื่อ พรุ่งนี้ตอนเช้าไปนั่งรอเขาที่โขดหินเดิมที่คุณไปมา อ้อ... มีอีกเรื่องที่ผมต้องบอกคุณ”

                “อะไร?”

                “คุณอย่าเที่ยวเอามือไปตีก้นเงือก เงือกเขาถือนะครับ ตีก้นนี่ถือว่าอยากมีอะไรด้วยเลยนะ”

                “เฮ้ย!”

                “ไม่มีฮ้งไม่มีเฮ้ยอะไรทั้งนั้นแหละครับ คุณไปตีก้นเขาแบบนั้น เขาต้องโมโหคุณอยู่แล้ว อีกอย่าง ถึงงินจะดูเหมือนเด็กอายุสิบหกสิบเจ็ด แต่อายุเขาปาไปตั้งเก้าสิบกว่าแล้ว คุณอย่าไปทำเหมือนเขาเป็นเด็กๆ จะดีกว่า”

                “หา!” ผมรู้สึกตาพร่ากะทันหัน

                ไม่จริงน่า...!

                “ทาซากิซัง!?”

-----------------------------------------------
** วะ555+ ในที่สุดหลังจากเขียนเรื่องที่นายเอกเป็นลมมาหลายเรื่อง ในที่สุดก็มีเรื่องที่พระเอกเป็นลมสักที (อย่าหาความปกติในนิยายดิฉัน เพราะมันไม่มี :a5:)
.
เรื่องนี้พอมาขยายเป็นเรื่องยาวแล้วมันเหมือนมีประเด็นฮาๆ และแก่ๆ (?) แทรกเข้ามาอีก อาจจะเพราะต้นฉบับเก่าตอนที่เขียนเป็นเรื่องสั้น ชีวิตยังไม่อยู่สายโอจิค่อนและตลกโปกฮาขนาดนี้ (มันใช่เรอะ) ที่จริงที่อยากจะเขียนถึงมากคือเรื่องของคามิซาวะ ซุบารุซัง แต่คงต้องจัดการเรื่องของคู่หลักอย่างโทวะและงินให้จบก่อน
.
ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามนะคะ จะรีบอัพตอน3ต่ออย่างว่องไวค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เราเคยอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ในบอร์ดของคุณจูค่ะ ดีใจมากกกกกเลยที่รีไรท์ให้ยาวขึ้น  :hao5:
ตอนแรกเราคิดว่าเรื่องนี้เคะจะเด็กกว่านะคะ แต่คุณจูยังคงคอนเซ็ปเดิมคือเคะแก่ แซ่บจริงงง!  :hao6:  :hao7:  :hao7:
ทาซากิซัง งินหนีลงทะเลไปแล้วนะ แกล้งเขาแบบนั้นมันผิดผี! ต้องรับผิดชอบบบบ อิ้อิ้ ><

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
กรี๊ดดด เห็นชื่อคนแต่งแล้วต้องคลิกเข้ามาเลย ><

ลงชื่อติดตามจ้า
----------
ทำไมเราขำาา 555555
ไม่นึกว่าตีก้นจะ = ขอมีอะไรด้วยเลยนะเนี่ย 55555555
ยังคงความเป็นเคะแก่เหมือนเดิม 5555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-11-2015 21:27:55 โดย boboman »

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
ตาแก่คนนี้น่ากลัวจริงๆ ค่ะ คือ เห็นดื้อแล้วจับตีก้นเลยนี่มันส่อมากนะคะ

ถึงน้องจะดูเด็กมากแต่ก็ไม่ใช่เด็กสิบขวบ นี่มันคุกคามทางเพศเลยนะเนี่ย

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เซอร์ไพรส์จนเป็นลมเลยพ่อพระเอก
ทำเด็ก(แต่อายุมาก)โกรธจนหนีลงทะเล จะตามไปขอโทษยังไงล่ะนี่

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ปู่เงือกเลยหน้าแดงเพราะแบบนี้เอง
ติดตามค่ะ
 :L1: 

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ฮาตรงเรื่องนี้ให้พระเอกเป็นลมบ้างนี่ล่ะ
ที่งินถามถึงซุบารุซังบ่อยๆเพราะเห็นมาตั้งแต่ซุบารุซังเป็นเด็กเลยสินะ
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Jthida

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
ชอบอ่าาา เราชอบนางเงือกมาก มโนอยู่บ่อยๆว่าตัวเองเป็นนางเงือก5555555555

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โอ๊ยขำ ห้ามตีก้นเงือก5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Allure-Q

  • Just the way you are
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 267
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เป็นลมบ่อยจริงพ่อพระเอก (ฮา)

รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ yaoisamasang

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-3
    • https://www.facebook.com/pages/Yaoi-Sama/463499467036395?ref=hl
เอาแล้วๆๆๆๆ ตีตูด = ขอมีอะไรด้วย :hao6:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
แบบนี้ต้องตีก้นบ่อยๆ~


กินเงือกนี่เป็นอมตะม้าย?

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
สงสัยต้องตีก้องน้องงินบ่อยๆ  :-[

ออฟไลน์ boyslover

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
โหห พึ่งเห็นคุณจูออนมาอัพนิยายใหม่
พระเอกมันมึนได้โล่จริงๆ ได้กับเงือกแบบนี้นึกถึงพี่ภัยมนีเลย :hao6:

ปล.ไม่มีนายเอกคนไหนแซ่บเท่าพี่เกรียงของผมได้อีกแล้ว แฮ่  :hao7:

ออฟไลน์ supizpiz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 692
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-0

ออฟไลน์ magarons

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +68/-6
โหห พึ่งเห็นคุณจูออนมาอัพนิยายใหม่
พระเอกมันมึนได้โล่จริงๆ ได้กับเงือกแบบนี้นึกถึงพี่ภัยมนีเลย :hao6:

ปล.ไม่มีนายเอกคนไหนแซ่บเท่าพี่เกรียงของผมได้อีกแล้ว แฮ่  :hao7:

เห็นด้วยกับ ป.ล. พี่เกรียงนี่แซบจริง

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
จำได้ว่าเคยอ่านแล้ว เมื่อนานมาแล้ว พอเอามาขยายก็ชอบอีก
ยกมือว่าอยากรู้เรื่องซาบารุด้วยคน

ออฟไลน์ chacogothicW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านแล้วขำอ่ะ55555555ไม่คิดว่าคุณจูออนจะแต่งอะไรดูโชเน็นขนาดนี้55555555
งินอ่านแล้วคิดถึงปิโกะอ่ะหนูขอโทษนะพี่...
เอ๊ะ ที่บอกโอจิค่อน... :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog


Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่3 เรื่องของคนจับปลา

                เรื่องที่ผมเป็นลมไปสองครั้งภายในหนึ่งวันถูกโจษจันไปทั้งหมู่บ้าน ทำเอาผมอายแทบแทรกแผ่นดิน ให้ตายเหอะ เรื่องนี้ต้องโทษเจ้าคามิซาวะคนเดียวเลย เพราะหมอนั่นนั่นแหละ ว่าแต่... แล้วเจ้านั่นรู้ได้ยังไงว่าผมตีก้นงิน

                “คามิซาวะ!” ผมกลับไปที่บ้านของยูมิโกะอีกครั้งเป็นรอบที่สองของวัน พอต่อสายโทรศัพท์ติดก็กรอกเสียงลงไปทันที “คุณรู้ได้ยังไง?!”

                “หืม?” น้ำเสียงแสดงความแปลกใจที่ลอดกลับออกมายิ่งทำให้ผมรู้สึกฉุนหนัก “คามิซาวะ คุณรู้ได้ไงเรื่องที่ผมตีก้นงิน”

                “อ้อ...” เจ้าคามิซาวะร้องเสียงยาวผ่านสายโทรศัพท์ ก่อนจะพูดต่อ “อย่าพูดดังไปครับทาซากิซัง เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะรู้กันหมดว่าคุณเพิ่งไปลวนลามเงือกมา”

                ตั้งแต่ได้เขามาเป็นเลขาสี่ปี มีครั้งนี่แหละที่ผมนึกอยากเอาอะไรปาใส่หน้าเขา “ไม่ตลกนะ”

                “ก็ไม่ตลกน่ะสิครับ” คามิซาวะย้อนแล้วพูดต่อ “ยูมิโกะซังโทรมาบอกผม อ้อ... คือเธอไม่ได้ไปสอดรู้สอดเห็นอะไรเรื่องคุณหรอกนะ เธอแค่เป็นห่วงคุณ เพราะเมื่อเช้าคุณเป็นลมต่อหน้างินไปรอบนึงแล้ว”

                ให้ตายเหอะ อย่ามาย้ำกันให้มากจะได้มั้ย!

                “ว่าแต่คุณโอเคแล้วนะครับ มีตรงไหนที่ยังสงสัยอีกมั้ย?”

                มาถึงจุดนี้ผมชักสงสัยว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้านาย ใครกันแน่ที่เป็นลูกน้อง

                “คามิซาวะ”

                “ครับ?”

                “ผมจะกลับพรุ่งนี้”

                “ไม่ได้ครับ” ฝ่ายนั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ผมไม่ได้บอกคุณเหรอครับ ว่าที่นั่นมีเรือไปกลับจากฝั่งสัปดาห์ละครั้ง”

                เส้นเลือดบนหัวผมถึงขั้นเต้นตุ้บๆ “ผมเพิ่งได้ยินคุณบอกเดี๋ยวนี้นี่แหละ”

                “อ๋อ งั้นก็ตามนั้นแหละครับ” คามิซาวะตอบผมแบบคนไม่เดือดร้อนอะไร ใช่สิ ก็คนเดือดร้อนมันผมนี่

                “เดี๋ยว ผมทนอยู่บนเกาะแบบนี้ได้ไม่ถึงสัปดาห์หรอกนะ”

                “ไมได้ก็ต้องได้ครับ แค่คุณแอบแต๊ะอั๋งเงือกไปครั้งเดียวเอง ไม่ถึงตายหรอก เชื่อผมนะครับ”

                เออ ผมรู้ว่าไม่ถึงตาย แต่มันอายไม่เข้าใจหรือไง!

                “คามิซาวะ!”

                ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดต่อ คามิซาวะก็พูดสวนกลับมา “คุณยื่นใบลาพักไว้ตั้งหนึ่งสัปดาห์ ยังไงก็ใช้ให้ครบเถอะครับ อีกอย่าง คุณต้องอยู่ขอโทษเรื่องวันนี้ด้วย ขืนหนีขึ้นเรือกลับมา โดนเงือกตามจมเรือผมไม่รับไม่รู้ด้วยนะ”

                “คามิซาวะ!!” ผมแผดเสียงใส่หูโทรศัพท์ แต่คงช้าไปหน่อย เพราะเจ้าคามิซาวะชิงวางสายไปก่อนแล้ว คนที่ได้ยินเต็มๆ ก็คงมีแต่ตัวผมที่เป็นคนพูดนี่แหละ

------------------------------

                “ทาซากิซัง...” ยูมิโกะที่ยืนรออยู่หน้าบ้านเอ่ยทักทันทีที่ผมเปิดประตูออกมา ผมฝืนยิ้มให้เธอ “ผมเสียงดังไปหน่อย โทษทีนะครับ”

                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เธอตอบ ผมเลยพูดต่อ “ว่าแต่เรื่องงิน...”

                “อ๋อ งินไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ... แล้วก็ ดิฉันต้องขอโทษด้วยที่แอบตามพวกคุณไปโดยไม่บอกก่อน”

                ผมถอนหายใจเฮือก “ไม่เป็นไรหรอกครับยูมิโกะซัง ผมเข้าใจ ยังไงผมก็ต้องขอโทษเรื่องงินด้วยนะครับ ผมไม่รู้จริงๆ”

                ยูมิโกะพยักหน้า “พรุ่งนี้ถ้างินขึ้นมา คุณลองคุยกับเขาดูนะคะ เขาคงไม่ถือโทษอะไรคุณมากหรอกค่ะ”

                “ครับ” ผมรับ แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ้อ... ยูมิโกะซังครับ ว่าแต่ทำไงงินถึงมีขาได้ล่ะครับ เขาเป็นเงือกใช่ไหมครับ หรือว่าเงือกทุกตัวที่นี่มีขากันหมด”

                “อ๋อ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ” ยูมิโกะว่า “ปกติแล้วเงือกไม่มีขาหรอกค่ะ แต่งินเป็นพวกพิเศษ”

                “พวกพิเศษ?”

                “ค่ะ บรรพบุรุษของงินบางส่วนเป็นมนุษย์คะ?”

                พอเห็นผมทำหน้าสงสัย ยูมิโกะเลยพูดสืบต่อ “ในอดีตมีเรื่องเล่ากันมาว่า เงือกบางตนขึ้นมาล่อลวงมนุษย์ผู้ชายลงไปเป็นสามี อย่างงินก็คงเป็นหนึ่งในบรรดาเงือกที่สืบทอดเชื้อสายมาจากเรื่องเล่าน่ะค่ะ”

                “อ้อ... ครับ แล้ว... งินขึ้นมาทำอะไรบนนี้ครับ ท่าทางเหมือนเขาขึ้นมาบ่อย”

                “เข้าขึ้นมาหาซื้อของน่ะค่ะ” ยูมิโกะเล่าพลางยิ้ม “พวกเงือกชอบกระจกมากค่ะ ถ้าไม่ใช่กระจกก็ต้องเป็นของที่ต้องแสงแล้วเป็นประกายเหมือนแก้วเหมือนกระจก งินเขาขึ้นมาบนนี้บ่อยเพราะมาหาของพวกนี้ไปฝากเพื่อนๆ เขานี่ล่ะค่ะ”

                ผมเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าเงือกจะเป็นพวกชอบอะไรแบบนั้น “แล้วยังมีกระจกเหลืออีกมั้ยครับ?”

                “เอ๋?”

                “คือ... คุณบอกว่าเขาขึ้นมาหากระจก ถ้าไม่มีกระจกก็แปลว่าเขาจะไม่ขึ้นมาใช่มั้ยล่ะครับ” ผมว่า ยูมิโกะมองผมพักหนึ่งแล้วยิ้มออกมา “อ๋อ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ต่อให้ไม่มีกระจกเขาก็ยังจะขึ้นมาแน่ๆ ค่ะ ก็ทาซากิซังเป็นแขกที่ซุบารุซังฝากเอาไว้นี่คะ”

                ผมอดสงสัยไม่ได้ “เดี๋ยวนะครับ ผมขอถามนิดนึง คามิซาวะเป็นคนสำคัญของที่นี่เหรอครับ ทำไมงินดูจะให้ความสำคัญกับเขาจัง พวกคุณก็ด้วย”

                “อ๋อ... เรื่องนั้น...” ยูมิโกะมีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด “ดิฉันคงพูดไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องมันซับซ้อน”

                “คามิซาวะเป็นคนบนเกาะนี้รึเปล่าครับ?”

                “ค่ะ... ตามทะเบียนบ้านค่ะ”

                “...”

                ยูมิโกะแสดงท่าทีลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อผมมองเธอด้วยสายตาตั้งคำถาม “คุณลองไปถามงินดูเถอะค่ะ เรื่องนี้ฉันพูดไม่ได้จริงๆ”

                ผมถอนหายใจออกมา “ตกลงครับ ผมเข้าใจล่ะ ยังไงก็ขอบคุณมากๆ นะครับ”

                “ค่ะ ด้วยความยินดีค่ะ”

----------------------------------------

                วันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่ฟ้ายังไม่สาง จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่เพื่อไปรอพบงิน ผมออกจากบ้าน เดินไปยังชายหาดด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

                ผมยังไม่แน่ใจนักหรอกว่าเขาเป็นเงือกจริงหรือไม่ และไม่แน่ใจด้วยว่าวันนี้เขาจะมารึเปล่า

                ‘คุณ... คุณ... คุณมันไร้มารยาทที่สุดเลย!!’ คำพูดและสีหน้าแสดงอาการโกรธขึงของฝ่ายนั้นยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำผม ถ้าเขาไม่ยอมขึ้นมารับคำขอโทษจากผมล่ะ ถ้าหากเขาไม่ยอมมาอีกเลยล่ะ?

                ผมไม่ได้กลัวจะมีเงือกไปจมเรือระหว่างกลับหรอก เพียงแต่พอนึกถึงสีหน้าของงินตอนนั้นแล้ว ผมก็รู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าต้องขอโทษเขาให้ได้ เขาทำให้ผมรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก หากไม่ได้ขอโทษเขาต่อหน้า หากว่าเขาไม่ยอมยกโทษให้ล่ะก็ ผมคง...

                ผมยืนมองระลอกคลื่นที่กระเพื่อมอยู่บนผืนน้ำสีเทาทะมึนด้วยจิตใจว้าวุ่น เกือบหกโมงแล้ว แต่ทว่ากลุ่มเมฆหนาทึบก่อตัวแน่นจนแทบมองไม่เห็นแสงตะวันแรกของวัน

                ผมมีเวลาอยู่บนเกาะนี้เพียงแค่ไม่กี่วัน ถ้าหากว่า...

                “งิน!” ผมโพล่ง เมื่อเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวน้ำเบื้องหน้า พลางก้าวเท้าย่ำลงไปในน้ำทะเลสีเทาทะมึน ด้วยหวังว่าจะได้เอ่ยปากขอโทษเขาทันทีที่ได้เห็นหน้า

                “งิน...?!” ผมชะงักเสียงไว้แค่นั้น ถึงแม้ฟ้าจะยังไม่สว่างมาก แต่เสี้ยวหน้าที่โผล่ขึ้นมาเพียงแค่ดวงตาก็ทำให้ผมรู้ทันทีว่านั่นไม่ใช่งิน

                ดวงตาคู่นั้นวาววับในความมืดสลัว ดูน่ากลัวอย่างประหลาด งินที่ผมเคยเห็นต้องไม่มีแววตาอย่างนี้แน่ แม้ผมจะได้พบและพูดคุยกับเขาในเวลาไม่นานก็ตาม ผมบอกตัวเองว่าต้องถอยกลับ แต่เหมือนถูกน้ำทะเลตรึงขาทั้งสองข้างเอาไว้

                ดวงตาคู่นั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตาสีเทาวาวราวสัตว์ร้าย เรือนผมสีเข้มยาวสยายกระจายอยู่บนผืนน้ำตรงหน้า ผมรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีถอนเท้าขึ้นมาจากหล่มทรายที่ถูกคลื่นซัดมาทับถม แต่ก็เหมือนจะช้าไปก้าวหนึ่ง เมื่อมือแข็งแรงข้างหนึ่งพุ่งเข้ามาลากตัวผมลงไปในน้ำ

                !!!

                ผมดิ้นสุดแรง พยายามสลัดมือเปียกลื่นข้างนั้นที่ฉุดลากผมอยู่ แต่เรี่ยวแรงนั้นช่างมหาศาล มันดึงผมลึกลงไปใต้น้ำ ราวกับต้องการให้ผมจมน้ำตายอยู่ตรงนี้ ผมตะเกียกตะกายครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกสติใกล้ขาดลงทุกที

                ผมต้องมาตายอย่างนี้น่ะหรือ?... ตายโดยที่ยังไม่ได้ขอโทษคนที่ผมไม่รู้ว่าเป็นคนหรือเงือกกันแน่นั่นเลยสักคำ

                !!!

                ผมรู้สึกถึงบางอย่างที่เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว เข้ากระแทกเจ้าตัวที่ฉุดผมเอาไว้ จากนั้นมือของใครคนหนึ่งก็ฉุดตัวผมขึ้นไปเหนือผิวน้ำ

                “แค่กๆ” ผมสำลักน้ำทันทีที่สูดอากาศเข้าไปเฮือกแรก น้ำทะเลเค็มเฝื่อนทะลักออกจากจมูกจนแสบไปหมด ได้ยินเสียงใครบางคนเถียงกัน

                “ขวางฉันทำไม!”

                “คุณนั่นแหละ ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงฉุดเขาลงมาแบบนี้!”

                เสียงหนึ่งผมจำได้ว่าเป็นเสียงของงิน แต่อีกเสียงผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมอยากจะพูดบางอย่างกับเขา แต่จนใจที่ตัวเองเอาแต่สำลักน้ำจนแค่พยายามสูดหายใจยังยาก

                “ก็หมอนี่มันสมควรโดนแล้ว เมื่อวานก็ลวนลามนาย แถมก่อนหน้านี้ยังได้อยู่ใกล้ชิดซุบารุทุกวันอีก”

                “ทสึกิยะซัง!” งินขึ้นเสียงสูง “คุณหยุดคิดไปไกลเรื่องซุบารุซังทีเถอะ โทวะซังเป็นแค่เจ้านาย เขาไม่ทำอะไรแบบนั้นกับซุบารุซังแน่”

                “แน่ใจได้ไง?” อีกเสียงย้อนถาม “ยังไงก็เหอะ ฉันไม่มีทางปล่อยหมอนี่ให้กลับไปเป็นๆ แน่”

                “หยุดนะ!” ผมได้ยินเสียงงินตวาด จากนั้นก็รู้สึกเหมือนเขาพยายามจะเอาขาเตะใครสักคน... ถ้าเขามีขาน่ะนะ

                “เลิกบ้าทีเถอะ ต่อให้คุณลากโทวะซังจมน้ำตรงนี้ ซุบารุซังก็ไม่มีทางกลับมาหาคุณแน่ คุณนั่นแหละเป็นต้นเหตุทำให้เขาไม่ยอมกลับมา”

                “ว่าไงนะ!!”

                ผมรู้สึกเหมือนถูกแบกขึ้นไหล่ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าผมคือดวงตาสีเทาคู่หนึ่งที่จ้องมาอย่างประสงค์ร้าย ก่อนที่มันจะผลุบหายลงน้ำไป ขณะที่ผมค่อยๆ ถอยห่างออกมาเรื่อยๆ

 

                “เป็นยังไงบ้างครับ” งินถามผม ขณะใช้มือลูบหลังผมที่กำลังสำลักน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย หลังไอจนรู้สึกเหมือนปอดจะหลุด ผมก็หายใจเข้าลึกๆ ได้สักที

                “ขอ... ขอโทษนะ”

                “เอ๋?”

                “เรื่องเมื่อวานน่ะ... ฉันขอโทษด้วย” ผมพูด แล้วใช้มือสองข้างจับแขนเขาไว้ “ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เธออาย ขอโทษด้วยนะ”

                เมฆดำที่ปกคลุมท้องฟ้าหายไปแล้ว ที่อยู่เบื้องหลังของงินคือแสงอาทิตย์สีทองแรกของวัน ผมไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของเขา ได้ยินเพียงแต่เสียงที่ฟังไพเราะราวกับระฆังเงิน

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ โทวะซัง ผมไม่โกรธคุณหรอก”

                ผมพยักหน้า “ขอบใจนะ”

                พวกเรานั่งแช่น้ำกันอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่ง เสียงคลื่นซัดฝั่งยามเช้าฟังดูเหมือนบทเพลงรับอรุณ ผมมองงินอีกครั้ง ก่อนจะพบว่า ต่ำลงไปตั้งแต่ช่วงขาของเขามีแต่เกล็ด

                “เธอเป็นเงือกจริงๆ สินะ”

                เขายิ้มให้ผมพลางถอนใจ “ก็มีแต่คุณคนเดียวล่ะครับที่ไม่เชื่อ”

                ผมพยายามแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ก็ใครมันจะไปเชื่อ... เงือกมีจริงซะที่ไหน”

                “แล้วมีจริงรึเปล่าล่ะครับ”

                ผมจำต้องพยักหน้ายอมรับ พลางมองครีบหางสีเงินสวยที่อยู่เบื้องหลังเขา ก่อนจะถามออกมา “ว่าแต่... คนที่เธอคุยด้วยตะกี้เป็นใครน่ะ? คนหรือเงือก?”

                “เงือกครับ” งินตอบทันใจ “เขาเป็นผู้ใหญ่ในฝูงผม”

                “อ้อ...” ผมครางในคอ นึกทบทวนบทสนทนาระหว่างที่ตัวเองกำลังสำลักน้ำ “เขารู้จักกับคามิซาวะงั้นสิ”

                “เอ่อ... ครับ”

                “เป็นอะไรกันน่ะ? อย่าบอกนะว่าหมอนั่นอยากลากคามิซาวะลงไปอยู่ในน้ำด้วยกัน”

                งินมองผม ก่อนจะทำหน้าเหมือนตอบไม่ถูก “เรื่องมันซับซ้อนครับ”

                ผมหรี่ตามองเขา “เรื่องของคามิซาวะนี่ดูลึกลับจริงนะ”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมได้แต่สั่นศีรษะ “ผมไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องนี้หรอกครับ คนเดียวที่พูดได้คือซุบารุซัง”

                “อืม... และฉันแน่ใจด้วยว่าคนอย่างหมอนั่นต้องไม่มีทางพูดอย่างแน่นอน” ผมว่า พลางนึกถึงสีหน้าของคามิซาวะ งินเงยหน้ามองผม “คุณรู้หรือครับว่าซุบารุซังจะพูดหรือไม่พูดอะไร?”

                “ไม่รู้หรอก” ผมว่า พลางรู้สึกเอ็นดูท่าทางแปลกใจของเขา ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่เป็นเงือกที่อายุห่างกับผมอย่างกับคนรุ่นปู่

                “นี่ งิน... คามิซาวะบอกฉันว่า เธออายุเก้าสิบกว่าเข้าไปแล้ว จริงหรือ?”

                “จริงสิครับ ปีนี้ผมอายุเก้าสิบห้า” เขาพยักหน้า ก่อนจะไถลตัวมานั่งข้างผม “แต่ถ้านับกับตามอายุเงือก ผมยังเด็กอยู่นะ”

                พอเห็นเขาทำหน้าเหมือนแกล้งงอนแบบนั้นแล้ว ผมนึกอยากเอามือหงิกแก้มขาวๆ นั่นขึ้นมาตงิด เสียแต่กลัวจะไปทำผิดที่ผิดทางจนกลายเป็นเรื่องแบบเมื่อวานอีก เลยได้แต่เก็บมือเอาไว้

                “งั้นที่เล่ากันว่ากินเนื้อเงือกแล้วจะเป็นอมตะก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ”

                งินหันควับมาทันที “ไม่จริงอย่างที่สุดเลยล่ะครับ ห้ามเชื่อเด็ดขาดเลยนะโทวะซัง”

                “ทำไมล่ะ?”

                ฝ่ายนั้นทำหน้ายู่ “เงือกน่ะแค่มีอายุยืนกว่าคนเท่านั้นเองครับ ไม่มีใครกินเนื้อเงือกแล้วเป็นอมตะหรอก มันเป็นเรื่องเล่าของคนที่ไม่สมหวังในรักกับเงือกเท่านั้นเอง”

                “หืม?”

                “นานมาแล้วนะครับ มีมีคนจับปลาคนหนึ่ง ได้พบเงือกสาวตนหนึ่งนั่งหวีผมอยู่บนโขดหินริมหาด เขาหลงรักเธอตั้งแต่แรกเห็น และอยากได้ตัวเธอมาเป็นภรรยา ดังนั้นเขาจึงค่อยย่องเข้าไปหาเธออย่างเงียบๆ แต่ทว่า เพียงแค่ปลายนิ้วของเขายื่นไปสัมผัสเส้นผมของเธอ เงือกสาวก็สะดุ้งสุดตัว แล้วกระโดดหนีลงน้ำไป ชายคนนั้นกระโดดตามเธอลงไป แต่ไม่ว่าจะดำน้ำหรือตามหาอย่างไร ก็ไม่เจอเธออีกเลย เขามารอเธออยู่ที่โขดหินทุกวันด้วยความหวังว่าสักวันจะได้เจอเธออีกครั้ง คราวนี้เขาจะบอกขอโทษเธอ พูดคุยกับเธอดีๆ แต่ทว่าเธอก็ไม่ยอมกลับไปที่นั่นอีกเลย การรอคอยกลายเป็นความผิดหวัง ความผิดหวังกลายเป็นการอาฆาต เขารักเธอจนชังเธอ เลยสร้างเรื่องขึ้นมาว่าหากใครได้กินเนื้อเงือกแล้วจะเป็นอมตะ เพื่อที่ทุกคนจะได้ควานหาตัวเธอมาให้เขา”

                งินเล่าพลางหันหน้ามองผม ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลของเขาเป็นประกายภายใต้แสงแดดอ่อนๆ ผมได้ยินเสียงตัวเองถอนหายใจเฮือก “ความรักบางทีก็เป็นเรื่องน่ากลัวนะ”

                “ครับ”

                “...”

                “โทวะซัง”

                “หืม?”

                “คุณเคยรักใครบ้างรึเปล่าครับ?”

                ผมหันไปมองเขาอีกครั้ง “ถามทำไมน่ะ?”

                “ก็... คนมีความรักชอบทำแต่เรื่องน่ากลัวนี่ครับ”

                ผมเลิกคิ้ว ไม่รู้จะนึกขันหรืออะไรดีกับคำพูดของเขา “อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้นล่ะ”

                งินไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้างุด ผมเลยพูดตอบเขาไป “คนมีความรักไม่ได้ทำเรื่องน่ากลัวไปทุกคนหรอก บางคนเขาก็แค่รักมากไปจนตัดใจไม่ได้เท่านั้น”

                งินเงยหน้ามองผม “งั้นคุณคงไม่ใช่คนแบบนั้นใช่ไหมครับ?”

                “ฉันน่ะหรือ?” ผมย้อนถามแล้วหัวเราะ “แน่นอน ฉันน่ะยังไม่เคยรักใครจนตัดใจไม่ได้แบบนั้นหรอก”

                เงือกหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างผมคลี่ยิ้มออกมา “ดีจัง งั้นคุณก็ไม่เป็นคนใจร้าย”

                ผมฟังแล้วอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกเขาที่ลุกขึ้นยืนฉุดมือให้ลุกตามเสียก่อน “วันนี้คุณอยากไปดูที่ไหนอีกครับ เดี๋ยวผมอาสาพาเที่ยวเอง”

                ผมมองมือของงิน ก่อนจะต้องรีบเบนสายตาออกจากช่วงสะโพกของเขา “เอ่อ... ใส่เสื้อผ้าก่อนดีมั้ย?”

                งินสะดุ้งเหมือนเพิ่งนึกได้ ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อที่ซุกเอาไว้ที่ซอกโขดหิน ผมมองไล่เขาไปทางหางตา แล้วบอกกับตัวเองว่าต้องสอนเขาเรื่องมารยาทเวลาเป็นคนบ้างล่ะ

                อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ควรแก้ผ้าล่อนจ้อนเดินไปเดินมาต่อหน้าผมแบบนี้

----------------------------------------
** ฮุ ฮ่าๆๆ ดิฉันมั่นใจว่าถึงตอนนี้ หลายคนต้องสงสัยเรื่องของซุบารุเหมือนโทวะซังแน่ๆ แต่ทว่า... เรื่องของซุบารุนั้นจะยังคงเป็นความลับจนกว่างินและโทวะจะเข้าใจกัน กร๊าสสส
.
ปล. เป็นการลงนิยายที่เร็วที่สุดในรอบหลายปี :-[
ปล.2 อวยซุบารุแบบออกนอกหน้า :man1:
ปล.3 โชตะแบบโอจิค่อนประหลาดมากๆ เรื่องนี้ :hao7:
ปล.4 พอเหอะ!!! :z6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด