พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: juon ที่ 18-11-2015 05:35:35

หัวข้อ: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 18-11-2015 05:35:35
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นขนาดยาว] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่1 (18/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 18-11-2015 05:39:33
สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นดิฉันต้องขออภัยนักอ่านทุกท่านที่ยังคงติดตามผลงานเรื่องก่อนหน้านี้ซึ่งก็ยังลงค้างไว้อยู่ แต่ดิฉันมีเหตุจำเป็นที่จะต้องแต่งเรื่องเพิ่มอีกเรื่องหนึ่ง จึงขอแจ้งท่านนักอ่านว่า เรื่องอะไรที่ยังแต่งค้างอยู่ ดิฉันก็จะยังคงแต่งต่อ (แต่อาจจะช้าสักหน่อย ถึงมาก ฮรี่...) ส่วนเรื่องนี้ น่าจะแต่งและลงต่อเนื่องภายในก่อนสิ้นปีนี้ค่ะ (เพราะเราต้องทำเวลา ฮ่าๆ)

สำหรับคนที่เคยอ่านนิยายชุดเรื่องสั้นของดิฉันมาก่อน คงคุ้นกับชื่อเรื่องเรื่องนี้พอสมควร แน่นอนว่าเรื่องนี้จะใช้พล็อตแบบเดียวกับเรื่องสั้น เพียงแต่เล่าขยายความให้ยาวขึ้น และเพิ่มบทสรุปตอนจบของแต่ละคู่ในลักษณะเรื่องสั้นขนาดยาว (แทนที่จะเป็นเรื่องสั้นแบบตอนเดียวจบอย่างต้นฉบับเก่า)

ยังไงก็ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่ะ^^

---------------------------------------------------
Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่1 เกาะนางเงือก

                คุณเคยฟังนิทานก่อนนอนกันบ้างรึเปล่าครับ? ที่เล่าถึงสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด ไม่น่าจะมีอยู่ในโลกจริงได้เลย อย่างเช่น มังกร ม้ายูนิคอร์น หรือสิ่งมีชีวิตครึ่งบกครึ่งน้ำที่มีท่อนบนเป็นคนท่อนล่างเป็นปลา

                ครับ... ผมกำลังพูดถึงเงือก

                คุณเคยคิดบ้างไหมครับว่าพวกเขาอาจจะมีตัวตนอยู่จริง?

                ถ้าถามผมก่อนหน้านี้ไม่กี่วันผมคงตอบอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ‘ไม่’ ผมไม่มีทางเชื่อเรื่องนิทานปรัมปรางี่เง่าพวกนั้นเด็ดขาด

                แต่ทว่า...

-----------------------------------

                “ด้วยความเคารพนะครับ ทาซากิซัง ผมว่าคุณควรจะหยุดพักผ่อนสักหนึ่งสัปดาห์”

                ผมเขม้นตามองกรอบแว่นตาโลหะที่เคลือบสีดำสนิทก่อนจะมองเลยผ่านไปยังดวงตาสีดำสนิทพอๆ กันที่อยู่ด้านหลัง พลางนึกสงสัยว่าเพราะอะไรเขาถึงใส่แว่นที่ไม่มีเลนส์แบบนี้

                “ทาซากิซัง...” ฝ่ายนั้นเน้นคำพูดด้วยน้ำเสียงยานคางขึ้น ผมขยับตัวนิดหน่อย เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าผมกำลังตั้งใจฟังอยู่ “ครับ?”

                “คุณเห็นว่าไงครับ”

                “อ้อ” ผมส่งเสียงในคอ “กรอบแว่นใหม่ของคุณดูดีมาก แต่ผมว่าดูเหมือนอันเก่าไปหน่อยนะ”

                คู่สนทนาของผมหลับตาลงอย่างอดทนอดกลั้น ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “นี่แว่นตาผมอันเก่าครับ ผมกำลังถามคุณว่า คุณคิดยังไงเรื่องลาพักครับ”

                “อ้อ...” ผมร้องดังขึ้นกว่าครั้งก่อนหน้าหน่อยหนึ่ง แล้วยักไหล่ “ทำไมผมถึงต้องลาพักล่ะ?”

                ผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนหวีผมป้าย ที่สวมแว่นตาไม่มีเลนส์ซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างผมขยับตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าเหลือความอดทนน้อยเต็มที “เพราะคุณเหนื่อยเกินไปน่ะสิครับ”

                “ผมน่ะหรือ?”

                “ใช่!” ฝ่ายนั้นตอบแล้วพูดต่อโดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้ผมได้อ้าปาก “สัปดาห์ที่แล้วคุณลืมนัดสิบสามครั้ง มากกว่าสัปดาห์ก่อนโน้นสามครั้ง มากกว่าสองสัปดาห์ก่อนเจ็ดครั้ง นี่ยังไม่รวมเรื่องที่คุณเซ็นอนุมัติคำสั่งพลาดหกครั้ง ยังดีนะครับว่าผมตรวจดูก่อนส่งให้ฝ่ายเอกสารจัดการดำเนินเรื่อง”

                “อ๋อ... คิดว่าเรื่องที่ผมดูแว่นคุณผิดเสียอีก ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ ยังไงคุณก็ทำหน้าที่เลขาของผมได้ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องลาพักหรอก”

                “จำเป็นสิครับ!” ฝ่ายนั้นโพล่งออกมา “คุณเป็นประธานของที่นี่นะครับ คุณต้องเป็นหลักของบริษัทเรา ไม่ใช่ฝากเรื่องทุกอย่างเอาไว้กับผมแบบนี้ ผมรู้ว่าคุณขยัน แต่ถ้าคุณไม่พักบ้าง ต่อให้มีเลขาแบบผมสักสิบคน ก็จัดการเรื่องผิดพลาดของคุณพวกนี้ไม่ไหวหรอกครับ”

                “อืม... ผมก็ยังไม่นึกอยากจะได้เลขาแบบคุณถึงสิบคนหรอกนะ”

                “ทาซากิซัง!” ผู้ชายรูปร่างสะโอดสะองที่เวลาทำงานดูเป็นการเป็นงานขึ้นเสียงสูง ก่อนจะพูดสืบต่อ “ด้วยความเคารพเถอะครับ ท่านประธาน ผมแนะนำให้คุณหยุดพักผ่อน ยังไงคุณก็ต้องหยุดพัก”

                ผมมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ “คามิซาวะซัง ผมยอมไปร้านคาราโอเกะกับพวกคุณช่วงค่ำก็ได้ ไม่เห็นจะต้องให้ผมหยุดงานตั้งเป็นสัปดาห์เลย”

                คามิซาวะ ซุบารุเขม้นตามองผมผ่านกรอบแว่นที่ไม่มีเลนส์กลับ “ได้โปรดเถอะครับ ผมจำได้ว่าคราวก่อนที่คุณไปคาราโอเกะกับพวกเรามันเกิดอะไรขึ้น”

                ผมเลิกคิ้ว พลางนึกว่าครั้งก่อนที่ผมไปคาราโอเกะกับพวกเขามันเกิดอะไร แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปาก เลขาหนุ่มของผมก็พูดเสียงเฉียบขึ้นมาเสียก่อน

                “ห้ามบ่ายเบี่ยงอะไรทั้งนั้นล่ะครับ ผมจองสถานที่พักผ่อนไว้ให้คุณแล้ว รับรองว่าคุณจะต้องพอใจแน่นอน”

                คิ้วของผมเลิกขึ้นสูงกว่าเดิม “อะไรทำให้คุณมั่นใจขนาดนั้น?”

                คามิซาวะมองหน้าผม แล้วยกมือตบอก “ตรงนี้ครับ”

                เฮ่อ... ให้ตายซี่...

--------------------------------------------

                ในที่สุดผมก็ยอมลาพักเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีตั้งแต่รับตำแหน่งประธานบริษัท ที่ที่คามิซาวะจองให้ผมไม่ใช่สถานที่ตากอากาศชื่อดังอย่างซัปโปโร หรือเกาะสวรรค์ต่างประเทศอย่างมัลดีฟ แต่เป็นที่พักในหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทางตอนใต้ของเกาะคิวชู ซึ่งเป็นเกาะบ้านเกิดของคามิซาวะนั่นเอง

                อันที่จริงแล้วผมไม่ได้ตกลงปลงใจจะมาเกาะนี้เพราะนึกครึ้มอยากจะแวะเยี่ยมเยียนบ้านเกิดของเลขาหรอก แต่เพราะท่าทางมั่นอกมั่นใจของเขาต่างหาก ที่ทำให้ผมมาที่นี่ ผมอยากรู้ว่าบนเกาะเล็กๆ ห่างไกลผู้คนแบบนี้จะมีอะไรให้ผมพอใจ

                คามิซาวะผู้แสนดีในบ้างครั้ง และแสนเข้มงวดในแทบทุกครั้ง มาส่งผมที่ท่าเรือ แน่นอนว่าก่อนไปผมไม่วายถามถึงรายละเอียดทุกอย่างที่บริษัท แม้เขาจะหาว่าผมลืมนัด เซ็นเอกสารผิด แต่ทุกลมหายใจของผมมีแต่เรื่องของบริษัทอยู่ตลอดเวลา และเพราะอย่างนี้แหละ ผมถึงต้องไปดึงตัวเขามาจากอีกบริษัท เพื่อให้มาช่วยงาน ตอนนี้เขามาทำงานกับผมได้ห้าปีแล้ว ทำงานได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่นิดเดียว ผมไม่ผิดหวังที่ได้ตัวเขา แต่ก็ไม่อยากได้เลขาแบบเขาเพิ่มมาเป็นสิบคนหรอก

                ดังนั้น พอเขาเริ่มตีหน้าตึงหลังจากที่ผมทำท่าเป็นกังวลกับเรื่องของบริษัทไม่เลิก ผมจึงจำต้องขึ้นเรือข้ามฟากที่จอดรออยู่ ก่อนจะมองตัวเขาที่ยืนอยู่บนฝั่งซึ่งค่อยๆ ห่างออกไป

                การเดินทางกับเรือข้ามฟากไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจอะไรมากนัก ถ้าพูดให้แย่คือเลวร้ายด้วยซ้ำ ผมเมาเรือหลังจากแล่นออกมาจากท่าได้ราวสิบห้านาที และจำต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นอีกสามชั่วโมงเต็มๆ เรือถึงจอดเทียบท่า

                เพราะอาการเมาเรือ ทำให้ผมไม่มีอารมณ์จะพิจารณาทัศนียภาพอะไรบนเกาะเล็กๆ ที่ผมเพิ่งก้าวเท้าลงเหยียบมากนัก ระหว่างที่ผมกำลังยืนยืดตัวสูดอากาศยามเย็นที่ตลบอบอวลไปด้วยไอของน้ำเค็ม เผื่อว่าจะไล่อาการเมาเรือไปได้บ้าง ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาผม

                “ขอโทษนะคะ ทาซากิ โทวะซังรึเปล่าคะ?”

                ผมหันไปมองคนพูด และพบว่าเธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคน รูปร่างผอมแต่ดูทะมัดทะแมงแบบคนบนเกาะ เธอสวมชุดทำงานแบบโบราณ ผมพยักหน้า แล้วรีบหยิบจดหมายแนะนำตัวที่คามิซาวะเขียนมาให้ยื่นให้เธอทันที

                “ครับ ผมทาซากิ โทวะ คุณคงเป็นยูมิโกะซังใช่มั้ยครับ”

                เธอพยักหน้ารับ “ค่ะ เขาเพิ่งโทรมาบอกดิฉันเมื่อสองวันก่อนนี่เอง ว่าเจ้านายของเขาจะมาพักผ่อนที่นี่ คุณคงสนใจเรื่องที่เขาเล่าสินะคะ”

                ผมเลิกคิ้วด้วยความฉงน “เรื่องเล่า?”

                “ใช่ค่ะ... เอ๋? ซุบารุซังยังไม่ได้เล่าหรือคะ?”

                ผมแค่นยิ้มพลางนึกแค้นเลขาตัวดี “ไม่เลยครับ เขาไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังไปมากกว่าบอกว่าที่นี่เป็นบ้านเกิดของเขา”

                ยูมิโกะทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะผุดยิ้มออกมา “งั้นคุณคงให้ความสำคัญกับซุบารุซังมาก ที่จริงเขาก็เป็นคนน่ารักมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ”

                ผมนึกเถียงในใจ แต่ไม่ได้พูดออกไป ได้แต่พยักหน้าเนือยๆ พอเห็นท่าทางของผม ยูมิโกะคงเพิ่งนึกขึ้นได้

                “ดิฉันพาคุณไปดูที่พักดีกว่าค่ะ นั่งเรือมานานคงเหนื่อยแย่เชียว”

                ผมแค่นยิ้ม พลางกลั้นกระเพาะไม่ให้ขย้อนอะไรออกมาระหว่างเดินตามเธอไป

                ที่พักของผมเป็นบ้านไม้แบบเก่าชั้นเดียว มีห้องรับแขกเล็กๆ ด้านหน้า ด้านหลังเป็นห้องนอนและห้องน้ำ ระหว่างที่ผมกำลังนั่งพักอยู่บนฟูกนั่งในห้องรับแขก เสียงของใครอีกคนก็ดังขึ้น

                “ยูมิโกะซัง นั่นแขกที่ซุบารุซังแนะนำมาหรือครับ?”

                ผมเลิกคิ้ว ไม่ได้นึกแปลกใจที่มีใครต่อใครเที่ยวมาถามเรื่องผม เพราะนี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ใครจะไปจะมา คนทั้งหมู่บ้านจะต้องรู้ข่าวและให้ความสนใจอยู่แล้ว ที่สิ่งที่ทำให้ผมนึกแปลกใจคือ เสียงของคนที่ทักต่างหาก

                เสียงของเขาใสเหมือนแก้ว ผมไม่เคยได้ยินใครพูดแล้วทำให้รู้สึกแบบนี้มาก่อน

                “ใช่จ้ะ” ยูมิโกะขานรับ ก่อนจะโค้งให้ผมแล้วเดินไปที่ประตู ผมเลยต้องลุกตามด้วย เพราะอยากเห็นหน้าเจ้าของเสียง

                “วันนี้กลับช้านี่จ้ะงิน ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้วนะ คงไม่ใช่ว่ารอเจอแขกของซุบารุซังหรอกนะ”

                คนถูกถามหัวเราะเสียงกังวานเหมือนระฆังเงิน ผมอดไม่ได้จริงๆ เลยต้องชะโงกหน้าออกไปดู

                “คือผม...”

                เขาเป็นเด็กผู้ชาย อายุประมาณสักสิบหกปี ผิวขาวเกลี้ยงไม่เหมือนคนที่อยู่เกาะเลยสักนิด ที่สำคัญยังกัดสีผมเสียอ่อนจนแทบจะกลายเป็นสีเงิน หนำซ้ำยังใส่คอนแทกต์เลนส์สีเขียวน้ำทะเลอีกด้วย พอเทียบกับเสื้อผ้าปอนๆ ที่เขาสวมอยู่ ผมรู้สึกขึ้นมาว่ามันช่างไม่เข้ากันเอาเสียเลย

                “เธอ...”

                “อ้อ!” ยูมิโกะทำท่าตกใจเหมือนเพิ่งนึกได้ว่ามีผมอยู่ด้านหลัง “คุณทาซากิ อาการไม่สบายดีขึ้นแล้วหรือคะ?”

                “ครับ ดีขึ้นแล้ว” ผมตอบ ก่อนจะเบนสายตาไปมองเด็กผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง “เด็กคนนี้คือ...”

                “อ๋อ งิน...”

                “ครับ ผมชื่องิน คุณคงเป็นเจ้านายของซุบารุซังสินะครับ” งินพยักหน้ารับพลางถามผมต่อด้วยรอยยิ้ม ให้ตายเหอะ ทำไมไม่รู้ผมถึงรู้สึกหัวใจเต้นตึกๆ กับรอยยิ้มนั้นนักก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่เขาดูแปลกจนประหลาดเลยด้วยซ้ำ

                “เอ่อ... ใช่ ผมเป็นเจ้านายของคามิซาวะซัง คุณเป็นเพื่อนเขาหรือ?”

                “ครับ... เอ่อ คุณ...”

                ผมมัวแต่อึ้งจนลืมมารยาทการแนะนำตัวไปสนิท “ทาซากิ... ทาซากิ โทวะ เรียกผมโทวะก็ได้”

                “ครับ โทวะซัง” งินเรียกชื่อผมแล้วยิ้มอีกครั้ง ผมรู้สึกตาพร่า นึกสงสัยว่าตัวเองเหนื่อยเพราะการเดินทางจนมีอาการหน้ามืดแล้วหรือไร

                “ซุบารุซังเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีใช่มั้ย เขาแต่งงานมีลูกแล้วหรือยังครับ”

                “สบายดี แต่เรื่องแต่งงานมีลูกผมว่าเขาคงห่างไกลน่ะ” ผมตอบ แล้วเห็นคู่สนทนาอมยิ้มก่อนจะพึมพำเสียงเบา “อย่างนี้ทสึกิยะซังต้องดีใจแน่”

                ผมไม่รู้ว่าทสึกิยะเป็นใคร อาจจะเป็นคนรู้จักคนหนึ่งของคามิซาวะก็ได้ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากถาม งินก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน “ที่จริงผมมีเรื่องอยากถามเกี่ยวกับซุบารุซังอีกเยอะ แต่พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว ยังไงพบกันพรุ่งนี้นะครับ” พูดจบเขาก็โค้งตัวให้ผมอย่างเคารพ แล้วเดินฉับๆ ออกไปราวกับกลัวว่าจะตกเรือถ้าไปไม่ถึงหาดก่อนพระอาทิตย์ตกอย่างนั้นและ ผมมองตามหลังเขา ก่อนจะหันมาหายูมิโกะ

                “เขาเป็นใครครับ ดูท่าทางเหมือนไม่ใช่คนในหมู่บ้าน”

                “อ๋อ จ้ะ เขาไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้หรอก เขา... เอ่อ...”

                ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไรหรอกครับยูมิโกะซัง ผมรู้ว่าเดี๋ยวนี้ลูกคนมีเงินชอบทำอะไรแปลกๆ เข้าไปทุกที แล้วนี่เขาเอาเรือมาเองหรือว่ายังไงครับ ที่จริงผมเองก็รู้สึกว่าเขายังเด็กอยู่ ไม่น่ามีใบอนุญาตขับเรือนะครับ เขาคงมีคนมารอรับ ถึงต้องรีบขนาดนั้น”

                “อ้อ.. ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ... ที่จริงแล้วงินน่ะ...” ยูมิโกะพูดแล้วก็ทำสีหน้าลำบากใจ “พูดไปไม่รู้คุณจะเชื่อหรือเปล่า แต่งินไม่ใช่คนหรอกค่ะ เขาเป็นเงือก”

                ผมเลิกคิ้วสูง ก่อนจะหัวเราะออกมา “โอเคครับ ผมเข้าใจล่ะ”

                ยูมิโกะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะพูดออกมา “คุณรู้หรือคะ?”

                ผมหัวเราะดังกว่าเดิม “รู้สิครับ ผมทำงานกับคามิซาวะซังมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าคนแบบเขาจะทำเซอร์ไพรส์ผมด้วยวิธีนี้ ไว้เดี๋ยวผมจะจัดการเขาเองครับ ยูมิโกะซังไม่ต้องคิดมาก ผมไม่ถือโทษโกรธคุณหรอก”

                “เอ่อ...” ยูมิโกะมองหน้าผม พลางกะพริบตาปริบๆ ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา “เดี๋ยวดิฉันยกอาหารเย็นมาให้นะคะ คุณหิวรึเปล่า?”

                “ดีเลยครับ ขอบคุณมาก” ผมว่า หลังจากยูมิโกะออกจากบ้านไปแล้ว ผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เตรียมจะโทรหาเลขาตัวดีที่หลอกผมมาที่เกาะนี้

                เขาเห็นผมเป็นเด็กหรือไง ถึงต้องทำเซอร์ไพรส์ผมด้วยการให้ผมมาเห็นเด็กแต่งคอสเพลย์บนเกาะ แล้วเอาไปผูกโยงกับเรื่องปรัมปราแบบนั้น

                ผมกดโทรศัพท์ พลางนึกอยากเห็นสีหน้าของคามิซาวะ ตอนที่ได้ยินผมบอกว่าจับไต๋ทุกอย่างของเขาได้แล้ว แต่สิ่งที่ผมได้ยินผ่านหูโทรศัพท์คือ ‘ขอโทษค่ะ โทรศัพท์ของท่านไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’

                ผมกดโทรศัพท์อีกครั้งด้วยความงุนงง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าบนเกาะห่างไกลขนาดนี้อาจจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ แล้วก็จริงอย่างที่ว่า เพราะพอผมลองมองหน้าจอโทรศัพท์ดีๆ ก็พบสัญลักษณ์คำว่า ‘ไม่มีบริการ’ ขึ้นเด่นหราอยู่

                ให้ตายเหอะคามิซาวะ นี่คุณจะหลอกให้ผมมาติดเกาะจริงๆ ใช่ไหม

                ผมนึกหงุดหงิด เพราะผมจำเป็นต้องรู้เรื่องของบริษัท ถ้าจะตัดการติดต่อผมแบบนี้ผมจะทนอยู่ได้ยังไงตั้งหนึ่งสัปดาห์ แต่พอนึกได้ว่าตอนมาถึงเกาะ ยูมิโกะพูดถึงเรื่องโทรศัพท์ แสดงว่าที่นี่มีโทรศัพท์บ้าน ดังนั้น เมื่อเธอกลับมาอีกครั้งพร้อมสำรับอาหาร ผมจึงออกปากถามทันที

                “ยูมิโกะซังครับ ผมขอยืมโทรศัพท์ที่บ้านคุณหน่อยได้ไหมครับ พอดีผมจะคุยธุระเรื่องงาน”

                “อ้อ...” ยูมิโกะซังร้องออกมา “ซุบารุซังเพิ่งโทรมาถามเรื่องคุณเมื่อครู่นี้เองค่ะ ดิฉันเลยบอกว่าคุณกำลังจะทานมื้อเย็น”

                “อ๋อ... อย่างนั้นหรือครับ งั้นผมขอทานมื้อเย็นก่อน แล้วจะไปโทรหาเขาแล้วกัน คุณรอได้ไหมครับ ผมทานไม่นานหรอก จะได้เดินไปด้วยกันเลย”

                “ค่ะ”

----------------------------------

                อาหารเย็นมื้อนั้นจะว่าไปแล้วก็อร่อยใช้ได้ เพราะสดกว่าที่ผมเคยทานเป็นไหนๆ แต่เพราะมัวแต่พะวงอยู่กับเรื่องโทรศัพท์ ผมเลยไม่ค่อยได้นึกใส่ใจมากนัก ยูมิโกะพาผมเดินจากบ้านพักมาถึงบ้านของเธอ ก่อนจะให้ผมยืมใช้โทรศัพท์

                “สวัสดีครับ ทาซากิซัง ห้ามคุยเรื่องงานตอนนี้นะครับ” นั่นคือประโยคทักทายคำแรกที่หลุดออกมาเมื่ออีกฝ่ายกดรับโทรศัพท์ ผมไม่รู้จะนึกขำหรือหงุดหงิดดี

                “คามิซาวะซัง ทำไมคุณไม่บอกผมก่อนว่าที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ”

                “เพราะผมเห็นว่านั่นเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับคุณครับ ทาซากิซัง คุณไปพักผ่อนนะครับ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์แหละดีแล้ว”

                ให้ตายเหอะ เพราะงี้แหละผมถึงไม่อยากมีเลขาแบบเขาเป็นสิบคน

                “งานที่บริษัทเรียบร้อยดีครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่อาการเมาเรือดีขึ้นแล้วหรือครับ”

                “ดีขึ้นแล้ว เออ... คามิซาวะ” ผมเรียกเขาห้วนๆ อย่างที่ไม่ค่อยทำมากนัก ก่อนจะพูดต่อ “แต่เรื่องเซอร์ไพรส์ที่คุณหาไว้รอผม บอกเลยนะว่ามุกมันตื้นเกินไป”

                คามิซาวะเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงเขาหัวเราะ อืม... ที่จริงเขาไม่ค่อยหัวเราะเท่าไหร่หรอก ผมเลยไม่ทันได้สังเกต ว่าเสียงหัวเราะของเขามันฟังเพราะแบบแปลกๆ

                “คุณเจองินแล้วใช่ไหมครับ ผมรู้ คุณต้องไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ผมเข้าใจครับ ที่บ้านผมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าสวยมากเลยนะครับ คุณต้องหาโอกาสไปดูให้ได้ รับรองว่าคราวนี้คุณต้องประทับใจแน่นอน”

                ผมแค่นยิ้มใส่โทรศัพท์ “ได้เลยคุณเลขา ถ้าทริปนี้ผมไม่ประทับใจอะไรสักอย่างล่ะก็... รับรองว่ากลับไปผมลงโทษคุณหนักแน่”

                คามิซาวะหัวเราะหึๆ ใส่โทรศัพท์ “เชิญเลยครับ แต่ผมมั่นใจว่าคุณต้องไม่มีทางทำแบบนั้นแน่”

                ผมนึกท่าทางตอนเขาตบอกในห้องทำงาน แล้วรู้สึกขำขึ้นมา “เออ ผมจะรอดูหน้าคุณวันนั้นแล้วกัน”

                “งั้น... ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะครับ เรื่องงานไม่ต้องเป็นห่วง คุณพักให้สบาย แล้วอย่าลืมตื่นขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ล่ะ”

                “อืม... ราตรีสวัสดิ์”

---------------------------------------------------

                คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับ คงเพราะแปลกที่และมีเสียงคลื่นดังอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอุตส่าห์รู้สึกตัวตื่นมาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจนได้

                เพราะนึกหมั่นไส้เลขาตัวดี ผมเลยสลัดความคิดจะนอนต่อ แล้วพาตัวเองออกจากบ้าน เดินฝ่าความมืดอึมครึมของท้องฟ้ายามใกล้รุ่งออกไปที่หาด

                ไหนขอดูหน่อยซิ ว่าพระอาทิตย์ขึ้นบนเกาะนี้มันวิเศษขนาดไหน

                ผมเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ตามริมหาด ฟังเสียงคลื่นและสูดอายน้ำเค็มจนเต็มปอด ขณะที่พระอาทิตย์ค่อยๆ เลื่อนตัวเองขึ้นมาเหนือผิวน้ำ พร้อมกับแสงสีแดงทองแรกของวัน ทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนผิวน้ำใต้เงาแสงอาทิตย์

                ตอนแรกผมคิดว่าเป็นปลา แต่พอมันเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมจึงรู้ว่าไม่ใช่ ความรู้สึกบางอย่างทำให้ผมรีบเดินหลบไปอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง พลางลอบมองไปยังผิวน้ำที่เคลื่อนไหวอยู่

                สิ่งนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงใกล้โขดหินริมหาด จากนั้นผมก็เห็นเรือนผมสีเงินโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ จากนั้นก็ตามด้วยใบหน้าของคนที่ผมเพิ่งเห็นเมื่อวาน

                งิน!

                ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว เหมือนถูกตรึงเอาไว้ตรงนั้น งินค่อยๆ ปีนขึ้นมาบนโขดหิน ผมสีเงินและผิวสีขาวที่เต็มไปด้วยละอองน้ำเค็มของเขา สะท้อนแสงแดดยามเช้าเป็นประกายราวไข่มุก แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาผมมากกว่านั้น คือครีบหางสีเงินขนาดใหญ่ที่สะท้อนแสงแวววาว ในส่วนที่ควรจะกลายเป็นขาของเขาต่างหาก

                ผมนึกถึงคำพูดของยูมิโกะ นึกถึงสีหน้ามั่นใจของคามิซาวะ ตอนที่เขาบอกชื่อเกาะบ้านเกิดให้ผมฟัง

                “เกาะบ้านเกิดผมชื่อว่าเกาะนางเงือกครับ”

-------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นขนาดยาว] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่1 (18/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: PFlove ที่ 18-11-2015 08:03:23
เนื้อเรื่องน่าสนใจมากค่ะ...ชอบการใช้ภาษาที่คุณแต่งเขียนมันอ่านดูแล้วสละสลวยดีมากเลยค่ะ.. :3123:
ปูเสื่อรออ่านตอนต่อไป...ชอบ..ชอบ..
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นขนาดยาว] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่1 (18/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: junnozefis ที่ 18-11-2015 08:42:54
 :mew1:  :mew1:  :mew1:

ว้าวๆๆ  เรื่องใหม่  ภาษาสวยมากเลยค่ะ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นขนาดยาว] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่1 (18/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 18-11-2015 09:06:01
อยากอ่านตอนที่เป็นเรื่องสั้น รบกวนขอลายแทงได้ไหมคะ? ><
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นขนาดยาว] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่1 (18/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: baipai_bamboo ที่ 18-11-2015 09:30:10
เรื่องหน้าติดตามมาก รอตอนต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นขนาดยาว] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่1 (18/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 18-11-2015 14:57:20
แปะค่าาาา  ชอบตั้้งแต่เรื่องสั้นแล้วค่าาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นขนาดยาว] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่1 (18/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 18-11-2015 15:18:56
น้องงินต้องเป็นเด็กน่ารักแน่ๆ อยากเห็นบ้างจัง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นขนาดยาว] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่1 (18/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: shinachan ที่ 18-11-2015 16:42:23
รอต่อเลยค่ะ ชอบที่พี่แต่งทุกเรื่องเลย ♥
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นขนาดยาว] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่1 (18/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 18-11-2015 18:21:09
ปูเสื่อรอออ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นขนาดยาว] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่1 (18/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lollita ที่ 18-11-2015 20:03:13
รออออ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 21-11-2015 19:52:50
Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่2 งิน

                ‘เกาะนางเงือก’

                คำนี้ดังขึ้นในหัวของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่สายตาถูกตรึงไว้ด้วยภาพที่ยากจะเชื่อว่าเป็นความจริงตรงหน้า

                งินนั่งอยู่ตรงนั้น เขายกแขนขึ้นสูงอย่างคนเพิ่งตื่นได้ไม่นาน ละอองน้ำทะเลที่ซัดสาดกับโขดหินสะท้อนประกายกับแสงแดด เมื่อรวมกับเกล็ดสีพราวพวกนั้น ช่างเป็นภาพอัศจรรย์ที่ยากจะบรรยาย

                ผมได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ขณะที่ดวงตะวันลอยสูงขึ้นมาเรื่อยๆ เสียงฮัมเพลงต่ำๆ ในท่วงทำนองที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนดังแว่วมากับสายลม อย่างช้าๆ เกล็ดและครีบหางสีเงินยวงที่สะท้อนเปลวแดดค่อยๆ อันตรธานหายไป เรือนขาเรียวยาวได้รูปคู่หนึ่งปรากฏโฉมขึ้นมาแทนที่

                ผมแทบจะหยุดหายใจ

                งินยกมือขึ้นบิดตัวอีกครั้ง ก่อนจะไถลลงจากโขดหิน คว้าเอาเสื้อผ้าที่ซุกเอาไว้ตรงซอกหินขึ้นมาสวม แล้วตรงมายังต้นไม้ที่ผมยืนอยู่

                ไม่จริงน่า...

                “โทวะซัง?!”

----------------------------------

                “......................”

                ผมหรี่ตาลงเล็กน้อย เพื่อให้คุ้นชินกับแสงสว่างที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามา ก่อนจะพบว่าตัวเองนอนอยู่บนฟูกนอนในบ้านพัก พอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก็พบว่าเก้าโมงกว่าเข้าไปแล้ว ผมรีบผุดลุกขึ้น รู้สึกกระดากที่ตัวเองตื่นสายโด่งขนาดนี้

                คงเพราะมัวแต่ฝันประหลาดอยู่แน่ๆ

                อาหารเช้าถูกวางไว้แล้วที่ห้องรับแขกตอนผมเดินออกมา ผมนั่งทานพลางนึกหงุดหงิดตัวเองที่ดันฝันงี่เง่าจนตื่นสาย เลยทำให้ไม่ได้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตามคำท้าทายของคามิซาวะ

                ใช่ มันจะเป็นเรื่องจริงไปได้ยังไง ผมจะเห็นเงือกมานั่งอาบแดดบนโขดหินแล้วกลายเป็นคนได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ความฝัน

                ผมทานมื้อเช้าเสร็จก็ออกจากบ้านพัก เพื่อออกสำรวจเกาะ กะว่าถ้าไม่มีอะไรให้ผมสนใจจริงๆ ผมจะจับเรือพรุ่งนี้กลับเลย แต่เดินออกมาได้ไม่นาน ผมก็ได้พบใครคนหนึ่งเดินตรงเข้ามา

                “โทวะซัง”

                ผมอึ้งไปหน่อย ก่อนจะยิ้มออกมา “งิน...”

                “ครับ” ฝ่ายนั้นตอบคำพลางใช้ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลมองผมเหมือนเป็นห่วง ผมเลยฝืนยิ้มต่อ “คอนแทกต์เลนส์เธอสวยนะ”

                งินกะพริบตาปริบๆ ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “คุณดูสบายดีก็ดีแล้วครับ แล้วนี่ทานมื้อเช้าแล้วหรือครับ?”

                “เรียบร้อยแล้ว” ผมว่า แล้วรู้สึกอึดอัดขึ้นมา ให้ตายสิ เพราะไอ้ฝันเมื่อเช้าแน่ๆ

                งินดูลังเลใจ เขามองผมหลายครั้ง สุดท้ายก็ถามออกมา “โทวะซัง สะดวกให้ผมเป็นคนนำคุณชมเกาะรึเปล่าครับ?”

                “อะ... อ๋อ ได้สิ” ผมโพล่ง เพราะมัวแต่มองปอยผมสีเงินรวมถึงสัดส่วนบนใบหน้าของเขาอยู่ ให้ตายเหอะ เพราะเขาแต่งตัวประหลาดแบบนี้แน่ๆ ผมเลยเก็บเอาไปฝันแบบนั้น

                งินกะพริบตาอีกปริบสองปริบ จากนั้นก็ยิ้มออกมา “งั้นไปกันเถอะครับ” พูดจบเขาก็ฉวยมือผมเดินออกไป


                ที่ที่งินพาผมไปดูคือลำธารสายเล็กๆ ที่ไหลมาจากยอดเขาท้ายหมู่บ้าน เขาหย่อนก้นนั่งลงบนโขดหินริมลำธาร แล้วเชื้อเชิญให้ผมนั่งตาม

                “นั่งสิครับ ผมมีนิทานจะเล่าให้คุณฟัง เกี่ยวกับหมู่บ้านบนเกาะนี้แหละ”

                ผมนั่งลงข้างเขา พลางมองปลาตัวเล็กๆ ที่แข่งกันว่ายทวนน้ำอยู่ “ว่าไงล่ะ”

                “เกาะนี้มีชื่อว่าเกาะนางเงือก ซุบารุซังบอกคุณแล้วใช่มั้ยครับ?”

                “อือ”

                เด็กหนุ่มผมสีแปลกหันหน้ามองผม ก่อนจะมองไปที่ธารน้ำบ้าง “ธารน้ำนี่แหละครับ ที่ทำให้มนุษย์อย่างพวกคุณสามารถอาศัยอยู่บนเกาะนี้ได้ นี่เป็นแหล่งน้ำจืดเดียวบนเกาะนี้”

                “อืม”

                “บรรพบุรุษยุคแรกๆ ของหมู่บ้านนี้มาถึงที่นี่ได้ด้วยการนำทางของเงือกครับ”

                “............”

                “คุณเชื่อรึเปล่า?”

                ผมยักไหล่ “มันก็แค่นิทาน...”

                งินหันมองหน้าผมอีกครั้ง ก่อนจะขำพรืดออกมา “คุณนี่... เป็นอย่างที่ซุบารุซังบอกจริงๆ ด้วย”

                คราวนี้ผมหันมองเขาทันที “คามิซาวะบอกเรื่องฉันกับเธอว่าอะไร”

                งินหัวเราะคิกคัก “บอกไม่ได้หรอกครับ มันเสียมารยาท”

                “เรื่องไม่ดีงั้นสิ”

                “ไม่เชิงแบบนั้นหรอกครับ” เด็กหนุ่มว่า ก่อนจะพูดต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมถามอีก “คุณสนิทกับซุบารุซังมากสินะครับ”

                “ระดับหนึ่ง เขาเป็นเลขาผม” ผมว่า พลางนึกสงสัยว่าเจ้าคามิซาวะเล่าเรื่องบ้าอะไรเกี่ยวกับผมให้เด็กนี่ฟังกันแน่

                “อ้อ...” งินพยักหน้า แล้วมองผมด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ซุบารุซังเป็นยังไงบ้างครับ ยังร้องเพลงเพราะเหมือนเดิมไหม?”

                “เขาร้องคาราโอเกะทุกวัน แต่เวลาทำงานน่ะชอบทำเสียงจิกอย่างกับแม่ไก่” ผมพูดพลางทำท่าประกอบ งินมองผมแล้วหัวเราะชอบใจ เสียงหัวเราะของเขาฟังดูเพราะจนผมเผลอฟังจนเหม่อ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเขาถามต่อนั่นแหละ

                “ซุบารุซังเป็นคนเก่งนะครับ เขายังไม่มีแฟนหรือครอบครัวหรือคนรักใช่มั้ยครับ?”

                “ยังไม่มีหรอก” ผมตอบ พลางหรี่ตามองคนถาม “นี่... งิน ฉันถามจริงๆ เถอะ เธอแอบชอบคามิซาวะอยู่ใช่มั้ย?”

                “เอ๋?!” เด็กหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด ผมเลยรีบฉวยโอกาสถามจี้เขาต่อ “ไม่ต้องมา เอ๋ พาฉันมาเดินเล่นแต่ถามถึงแต่เรื่องเขานี่ แปลว่าเธอชอบเขาใช่มั้ยล่ะ? รับมาเถอะน่า ฉันไม่ถือเรื่องที่เธอชอบผู้ชายด้วยกันหรอก”

                งินเบิ่งตากว้างมองผม ก่อนจะโพล่งออกมา “แย่แล้ว ซุบารุซังลืมบอกผมอีกเรื่อง”

                “เรื่องอะไร” คราวนี้ผมชักนึกฉุนคามิซาวะขึ้นมาจริงๆ

                “เรื่องที่คุณเป็นคนตลกไงครับ” พูดจบเขาก็หันมายิ้มให้ผมแบบขำๆ “โทวะซัง ผมไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยกันหรอก คุณนี่ก็เดาไปได้”

                ผมชักนึกฉุนเขาด้วยอีกคน “นี่ เป็นเด็กเป็นเล็กระวังคำพูดหน่อยเถอะน่า ยังไงเธอกับฉันก็อายุห่างกันตั้งหลายปีนะ”

                “ครับๆ” งินรับคำด้วยสีหน้าแบบที่มองแว้บเดียวก็รู้ว่าไม่ได้เชื่อฟังสิ่งที่ผมพูดเลยแม้แต่น้อย ผมหรี่ตามองเขาแล้วพูดต่อ “ก็เธอเอาแต่ถามนั่นถามนี่เรื่องคามิซาวะ จะให้ฉันคิดอย่างอื่นได้ไง แล้วไม่คิดจะเล่าเรื่องตัวเองหน่อยเหรอ?”

                “หืม? เรื่องผมเหรอครับ?”

                “อือ”

                “คุณอยากฟังเหรอ?”

                “ใช่” ผมพยักหน้า “ในเมื่อเธออุตส่าห์เสนอตัวเป็นคนทำทางฉันแล้ว เธอก็ควรเล่าเรื่องตัวเองให้ฉันฟังหน่อย เมื่อวานยูมิโกะซังบอกฉันแล้วว่าเธอไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้ เธอมาจากที่ไหนน่ะ? โอซาก้า?”

                เด็กหนุ่มผมสีแปลกที่นั่งอยู่ข้างผมหัวเราะอีก “ผมเหมือนคนโอซาก้าเหรอครับ?”

                “มีส่วน”

                “ตรงไหน”

                “ตรงแปลกนี่แหละ”

                คราวนี้งินหัวเราะราวกับได้ฟังเรื่องขำมาก “โทวะซัง คุณนี่สุดยอดไปเลย ผมไม่ได้คุยกับใครแล้วขำขนาดนี้มานานแล้ว ซุบารุซังบอกผมว่าคุณน่าเบื่อได้ไงนี่”

                “หืม? คามิซาวะว่างั้นเหรอ?”

                งินทำท่าเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว เขารีบพูดปัดพัลวัน “เอ่อ... ไม่เชิงนะครับ ซุบารุซังไม่ได้พูดอะไรเสียหายเกี่ยวกับคุณหรอก”

                ผมหรี่ตามองเขา แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “แล้วที่บอกว่าฉันน่าเบื่อนี่ใครพูด?”

                “........” งินขยับตัวถอยจากผมไปหน่อย “โทวะซังอย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ผมกลัวนะเนี่ย”

                ผมแน่ใจว่าเขาไม่ได้กลัวผมจริงๆ อย่างที่พูดมาแน่นอน เลยยืนหน้าเข้าไปใกล้อีก “งั้นก็รับมาสิว่าใครพูดถึงฉันแบบนั้น”

                “เอ่อ... ผมพูดของผมเอง”

                “...”

                “จริงๆ นะครับ”

                “จะรับผิดแทนคามิซาวะเหรอ?”

                “ก็ซุบารุซัง... อ๊ะ! จะทำอะไรน่ะครับ” งินร้องออกมา เมื่อถูกผมดึงตัวเข้ามาใกล้ ผมแกล้งเค้นเสียงฝ่ายไรฟันบอกเขา “ก็จับเด็กไม่ดีมาทำโทษไง”

                “เอ๋?! อ๊ะ!” งินอุทานเสียงแปลก เมื่อถูกผมใช้มือตีก้นเสียงดังเพี๊ยะ ผมพูดสำทับ “เด็กไม่ดีหัดโกหกต้องถูกตีรู้มั้ย?”

                เด็กหนุ่มที่ถูกผมจับตีก้นดิ้นขลุกขลัก อันที่จริงงินตัวเล็กกว่าผม แต่พอเริ่มดิ้นผมถึงรู้ว่าเขาแรงเยอะใช่ย่อย หลังจากยื้อยุดกันอยู่พัก ผมก็ยอมปล่อยเขา

                “โทวะซัง... คุณ... คุณ...” งินหันหน้ามองผมด้วยท่าทางเหมือนคนโกรธจัด แก้มแดงเห่อไปหมด ผมมองเขา ไม่รู้จะขำหรือว่าสงสารดี

                “อายเหรอ? ฉันหยอกเล่นนิดหน่อยเอง”

                “หยอกเล่น?!” ฝ่ายนั้นสวนคำพูดผม หน้าแดงจัดกว่าเดิม “คุณ... คุณ... คุณมันไร้มารยาทที่สุดเลย!!” พูดจบเขาก็ผุดลุกขึ้น แล้ววิ่งหายออกไป ผมใจหายวาบ เพิ่งรู้ตัวว่าล้อเล่นแรงเกินไป


                “งิน รอก่อน” ผมวิ่งไล่ตามงินไปจนถึงท้ายหมู่บ้าน ถึงยื่นมือคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ เขาดิ้นขลุกขลักสุดแรง

                “ปล่อยผม!”

                “เดี๋ยว ฟังฉันพูดก่อนสิ”

                “ไม่เอา!” เด็กหนุ่มผมสีแปลกคนนั้นร้อง แล้วดิ้นสุดแรงจนหนีจากการเกาะกุมของผมไปได้อีกครั้ง ผมวิ่งไล่ตามเขาไป กระทั่งเห็นว่าเขาวิ่งตรงไปที่หาด

                “งิน ไม่เอาน่า... อย่าทำแบบนั้น” ผมตะโกน เมื่อเห็นว่าเขาวิ่งลงไปในน้ำโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “งิน!”

                ผมรีบวิ่งตามเขาลงไป ให้ตายเหอะ แค่ล้อเล่นหน่อยเดียว ถึงกับวิ่งลงน้ำจะฆ่าตัวตายเลยเหรอ เด็กสมัยนี้นี่มันยังไงกัน

                “งิน!!” ผมตะโกนเรียกชื่อเขา แต่ไร้เสียงตอบกลับ น้ำทะเลเค็มเฝื่อนกระเด็นเข้าปากเข้าจมูกผม “งิน!!”

                งินหายไปท่ามกลางฝืนน้ำทะเลสีเขียวครามใต้แสงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องเรียกเขาอีกหลายครั้ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกผม

                “ทาซากิซัง ตายแล้ว! รีบมาช่วยกันหน่อยเร็ว!!”

                หลายนาทีต่อจากนั้น ผมถูกพาตัวกลับเข้ามาที่ฝั่งในสภาพทุลักทุเลสิ้นดี ผมหันมองคนที่มาช่วยลากตัวผม ก่อนจะถามออกไป “ยูมิโกะซัง งินเขา...”

                ยูมิโกะมองผม แล้วถอนหายใจออกมา “งินไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณไปอาบน้ำล้างตัวก่อน เดี๋ยวฉันจะต่อโทรศัพท์หาซุบารุซังให้นะคะ

----------------------------------

                “คามิซาวะ” พอรู้ว่าเขากำลังถือหูรออยู่ ผมก็รีบกรอกเสียงลงไปทันที “มีเด็กฆ่าตัวตายต่อหน้าผม”

                “เอาล่ะๆ ทาซากิซัง ใจเย็นๆ นะครับ” คามิซาวะว่า แต่ผมรู้สึกแย่เกินกว่าจะฟังคำปลอบใจ “เขาเดินลงน้ำทะเลไปต่อหน้าผม”

                “ทาซากิซัง” คามิซาวะเน้นเสียงหนักขึ้น ผมรู้สึกตัวเองเหมือนถูกสะกด จำต้องเงียบเสียงแล้วฟังเขา

                “คุณตั้งสติดีๆ แล้วฟังผมนะครับ งินไม่เป็นอะไร ทะเลเป็นบ้านของเขา เขาเป็นเงือก”

                “หา?!” ผมรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบหัว “ว่าไงนะ?”

                “เขาเป็นเงือก” คามิซาวะเน้นเสียงอีกครั้ง “เมื่อเช้าคุณก็ได้เห็นกับตาแล้ว... อ้อ... ผมลืมไปว่าคุณเป็นลม” เขาหยุดไปพัก ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกๆ

                “ทาซากิซัง ฟังผมนะครับ งินเป็นเงือก คุณเห็นแล้วกับตาตัวเองเมื่อเช้า แต่เป็นลมไป กระบวนการทางสมองของคุณคงทำการปฏิเสธภาพที่คุณเห็นอย่างเต็มที่ ซึ่งผมไม่แปลกใจหรอก แต่คุณต้องตั้งสติ แล้วยอมรับให้ได้ว่า งินที่คุณเห็นคนนั้นน่ะ เขาไม่ใช่คน เขาเป็นเงือก”

                ผมอ้าปากค้าง ภาพความฝันเมื่อเช้าไหลเข้ามาในสมอง “......”

                “ทาซากิซัง...”

                “ละ... ล้อเล่นใช่มั้ย?”

                “...” คามิซาวะเงียบไปครู่หนึ่ง “หายใจลึกๆ นะครับทาซากิซัง งินเป็นเงือก เขาไม่ได้จมน้ำตายหรือฆ่าตัวตายต่อหน้าคุณหรอก เขาแค่โมโหคุณเลยหนีกลับบ้าน แค่นั้น”

                “แต่...”

                “ถ้าคุณไม่เชื่อ พรุ่งนี้ตอนเช้าไปนั่งรอเขาที่โขดหินเดิมที่คุณไปมา อ้อ... มีอีกเรื่องที่ผมต้องบอกคุณ”

                “อะไร?”

                “คุณอย่าเที่ยวเอามือไปตีก้นเงือก เงือกเขาถือนะครับ ตีก้นนี่ถือว่าอยากมีอะไรด้วยเลยนะ”

                “เฮ้ย!”

                “ไม่มีฮ้งไม่มีเฮ้ยอะไรทั้งนั้นแหละครับ คุณไปตีก้นเขาแบบนั้น เขาต้องโมโหคุณอยู่แล้ว อีกอย่าง ถึงงินจะดูเหมือนเด็กอายุสิบหกสิบเจ็ด แต่อายุเขาปาไปตั้งเก้าสิบกว่าแล้ว คุณอย่าไปทำเหมือนเขาเป็นเด็กๆ จะดีกว่า”

                “หา!” ผมรู้สึกตาพร่ากะทันหัน

                ไม่จริงน่า...!

                “ทาซากิซัง!?”

-----------------------------------------------
** วะ555+ ในที่สุดหลังจากเขียนเรื่องที่นายเอกเป็นลมมาหลายเรื่อง ในที่สุดก็มีเรื่องที่พระเอกเป็นลมสักที (อย่าหาความปกติในนิยายดิฉัน เพราะมันไม่มี :a5:)
.
เรื่องนี้พอมาขยายเป็นเรื่องยาวแล้วมันเหมือนมีประเด็นฮาๆ และแก่ๆ (?) แทรกเข้ามาอีก อาจจะเพราะต้นฉบับเก่าตอนที่เขียนเป็นเรื่องสั้น ชีวิตยังไม่อยู่สายโอจิค่อนและตลกโปกฮาขนาดนี้ (มันใช่เรอะ) ที่จริงที่อยากจะเขียนถึงมากคือเรื่องของคามิซาวะ ซุบารุซัง แต่คงต้องจัดการเรื่องของคู่หลักอย่างโทวะและงินให้จบก่อน
.
ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามนะคะ จะรีบอัพตอน3ต่ออย่างว่องไวค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 21-11-2015 20:15:35
เราเคยอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ในบอร์ดของคุณจูค่ะ ดีใจมากกกกกเลยที่รีไรท์ให้ยาวขึ้น  :hao5:
ตอนแรกเราคิดว่าเรื่องนี้เคะจะเด็กกว่านะคะ แต่คุณจูยังคงคอนเซ็ปเดิมคือเคะแก่ แซ่บจริงงง!  :hao6:  :hao7:  :hao7:
ทาซากิซัง งินหนีลงทะเลไปแล้วนะ แกล้งเขาแบบนั้นมันผิดผี! ต้องรับผิดชอบบบบ อิ้อิ้ ><
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 21-11-2015 20:17:30
กรี๊ดดด เห็นชื่อคนแต่งแล้วต้องคลิกเข้ามาเลย ><

ลงชื่อติดตามจ้า
----------
ทำไมเราขำาา 555555
ไม่นึกว่าตีก้นจะ = ขอมีอะไรด้วยเลยนะเนี่ย 55555555
ยังคงความเป็นเคะแก่เหมือนเดิม 5555
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 21-11-2015 20:26:04
ตาแก่คนนี้น่ากลัวจริงๆ ค่ะ คือ เห็นดื้อแล้วจับตีก้นเลยนี่มันส่อมากนะคะ

ถึงน้องจะดูเด็กมากแต่ก็ไม่ใช่เด็กสิบขวบ นี่มันคุกคามทางเพศเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-11-2015 21:22:00
เซอร์ไพรส์จนเป็นลมเลยพ่อพระเอก
ทำเด็ก(แต่อายุมาก)โกรธจนหนีลงทะเล จะตามไปขอโทษยังไงล่ะนี่
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 21-11-2015 21:29:21
ปู่เงือกเลยหน้าแดงเพราะแบบนี้เอง
ติดตามค่ะ
 :L1: 
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-11-2015 21:52:16
ฮาตรงเรื่องนี้ให้พระเอกเป็นลมบ้างนี่ล่ะ
ที่งินถามถึงซุบารุซังบ่อยๆเพราะเห็นมาตั้งแต่ซุบารุซังเป็นเด็กเลยสินะ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 21-11-2015 22:40:42
ชอบอ่าาา เราชอบนางเงือกมาก มโนอยู่บ่อยๆว่าตัวเองเป็นนางเงือก5555555555
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 21-11-2015 22:50:57
โอ๊ยขำ ห้ามตีก้นเงือก5555
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Allure-Q ที่ 22-11-2015 00:08:08
เป็นลมบ่อยจริงพ่อพระเอก (ฮา)

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: yaoisamasang ที่ 22-11-2015 00:16:56
เอาแล้วๆๆๆๆ ตีตูด = ขอมีอะไรด้วย :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 22-11-2015 00:52:48
แบบนี้ต้องตีก้นบ่อยๆ~


กินเงือกนี่เป็นอมตะม้าย?
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 22-11-2015 08:10:06
สงสัยต้องตีก้องน้องงินบ่อยๆ  :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: boyslover ที่ 22-11-2015 09:11:54
โหห พึ่งเห็นคุณจูออนมาอัพนิยายใหม่
พระเอกมันมึนได้โล่จริงๆ ได้กับเงือกแบบนี้นึกถึงพี่ภัยมนีเลย :hao6:

ปล.ไม่มีนายเอกคนไหนแซ่บเท่าพี่เกรียงของผมได้อีกแล้ว แฮ่  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: supizpiz ที่ 22-11-2015 10:42:00
โอ้ยขำ 55555
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 22-11-2015 10:55:13
โหห พึ่งเห็นคุณจูออนมาอัพนิยายใหม่
พระเอกมันมึนได้โล่จริงๆ ได้กับเงือกแบบนี้นึกถึงพี่ภัยมนีเลย :hao6:

ปล.ไม่มีนายเอกคนไหนแซ่บเท่าพี่เกรียงของผมได้อีกแล้ว แฮ่  :hao7:

เห็นด้วยกับ ป.ล. พี่เกรียงนี่แซบจริง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 22-11-2015 13:23:16
จำได้ว่าเคยอ่านแล้ว เมื่อนานมาแล้ว พอเอามาขยายก็ชอบอีก
ยกมือว่าอยากรู้เรื่องซาบารุด้วยคน
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่2 (21/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: chacogothicW ที่ 22-11-2015 16:43:35
อ่านแล้วขำอ่ะ55555555ไม่คิดว่าคุณจูออนจะแต่งอะไรดูโชเน็นขนาดนี้55555555
งินอ่านแล้วคิดถึงปิโกะอ่ะหนูขอโทษนะพี่...
เอ๊ะ ที่บอกโอจิค่อน... :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-11-2015 14:35:10


Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่3 เรื่องของคนจับปลา

                เรื่องที่ผมเป็นลมไปสองครั้งภายในหนึ่งวันถูกโจษจันไปทั้งหมู่บ้าน ทำเอาผมอายแทบแทรกแผ่นดิน ให้ตายเหอะ เรื่องนี้ต้องโทษเจ้าคามิซาวะคนเดียวเลย เพราะหมอนั่นนั่นแหละ ว่าแต่... แล้วเจ้านั่นรู้ได้ยังไงว่าผมตีก้นงิน

                “คามิซาวะ!” ผมกลับไปที่บ้านของยูมิโกะอีกครั้งเป็นรอบที่สองของวัน พอต่อสายโทรศัพท์ติดก็กรอกเสียงลงไปทันที “คุณรู้ได้ยังไง?!”

                “หืม?” น้ำเสียงแสดงความแปลกใจที่ลอดกลับออกมายิ่งทำให้ผมรู้สึกฉุนหนัก “คามิซาวะ คุณรู้ได้ไงเรื่องที่ผมตีก้นงิน”

                “อ้อ...” เจ้าคามิซาวะร้องเสียงยาวผ่านสายโทรศัพท์ ก่อนจะพูดต่อ “อย่าพูดดังไปครับทาซากิซัง เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะรู้กันหมดว่าคุณเพิ่งไปลวนลามเงือกมา”

                ตั้งแต่ได้เขามาเป็นเลขาสี่ปี มีครั้งนี่แหละที่ผมนึกอยากเอาอะไรปาใส่หน้าเขา “ไม่ตลกนะ”

                “ก็ไม่ตลกน่ะสิครับ” คามิซาวะย้อนแล้วพูดต่อ “ยูมิโกะซังโทรมาบอกผม อ้อ... คือเธอไม่ได้ไปสอดรู้สอดเห็นอะไรเรื่องคุณหรอกนะ เธอแค่เป็นห่วงคุณ เพราะเมื่อเช้าคุณเป็นลมต่อหน้างินไปรอบนึงแล้ว”

                ให้ตายเหอะ อย่ามาย้ำกันให้มากจะได้มั้ย!

                “ว่าแต่คุณโอเคแล้วนะครับ มีตรงไหนที่ยังสงสัยอีกมั้ย?”

                มาถึงจุดนี้ผมชักสงสัยว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้านาย ใครกันแน่ที่เป็นลูกน้อง

                “คามิซาวะ”

                “ครับ?”

                “ผมจะกลับพรุ่งนี้”

                “ไม่ได้ครับ” ฝ่ายนั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ผมไม่ได้บอกคุณเหรอครับ ว่าที่นั่นมีเรือไปกลับจากฝั่งสัปดาห์ละครั้ง”

                เส้นเลือดบนหัวผมถึงขั้นเต้นตุ้บๆ “ผมเพิ่งได้ยินคุณบอกเดี๋ยวนี้นี่แหละ”

                “อ๋อ งั้นก็ตามนั้นแหละครับ” คามิซาวะตอบผมแบบคนไม่เดือดร้อนอะไร ใช่สิ ก็คนเดือดร้อนมันผมนี่

                “เดี๋ยว ผมทนอยู่บนเกาะแบบนี้ได้ไม่ถึงสัปดาห์หรอกนะ”

                “ไมได้ก็ต้องได้ครับ แค่คุณแอบแต๊ะอั๋งเงือกไปครั้งเดียวเอง ไม่ถึงตายหรอก เชื่อผมนะครับ”

                เออ ผมรู้ว่าไม่ถึงตาย แต่มันอายไม่เข้าใจหรือไง!

                “คามิซาวะ!”

                ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดต่อ คามิซาวะก็พูดสวนกลับมา “คุณยื่นใบลาพักไว้ตั้งหนึ่งสัปดาห์ ยังไงก็ใช้ให้ครบเถอะครับ อีกอย่าง คุณต้องอยู่ขอโทษเรื่องวันนี้ด้วย ขืนหนีขึ้นเรือกลับมา โดนเงือกตามจมเรือผมไม่รับไม่รู้ด้วยนะ”

                “คามิซาวะ!!” ผมแผดเสียงใส่หูโทรศัพท์ แต่คงช้าไปหน่อย เพราะเจ้าคามิซาวะชิงวางสายไปก่อนแล้ว คนที่ได้ยินเต็มๆ ก็คงมีแต่ตัวผมที่เป็นคนพูดนี่แหละ

------------------------------

                “ทาซากิซัง...” ยูมิโกะที่ยืนรออยู่หน้าบ้านเอ่ยทักทันทีที่ผมเปิดประตูออกมา ผมฝืนยิ้มให้เธอ “ผมเสียงดังไปหน่อย โทษทีนะครับ”

                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เธอตอบ ผมเลยพูดต่อ “ว่าแต่เรื่องงิน...”

                “อ๋อ งินไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ... แล้วก็ ดิฉันต้องขอโทษด้วยที่แอบตามพวกคุณไปโดยไม่บอกก่อน”

                ผมถอนหายใจเฮือก “ไม่เป็นไรหรอกครับยูมิโกะซัง ผมเข้าใจ ยังไงผมก็ต้องขอโทษเรื่องงินด้วยนะครับ ผมไม่รู้จริงๆ”

                ยูมิโกะพยักหน้า “พรุ่งนี้ถ้างินขึ้นมา คุณลองคุยกับเขาดูนะคะ เขาคงไม่ถือโทษอะไรคุณมากหรอกค่ะ”

                “ครับ” ผมรับ แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ้อ... ยูมิโกะซังครับ ว่าแต่ทำไงงินถึงมีขาได้ล่ะครับ เขาเป็นเงือกใช่ไหมครับ หรือว่าเงือกทุกตัวที่นี่มีขากันหมด”

                “อ๋อ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ” ยูมิโกะว่า “ปกติแล้วเงือกไม่มีขาหรอกค่ะ แต่งินเป็นพวกพิเศษ”

                “พวกพิเศษ?”

                “ค่ะ บรรพบุรุษของงินบางส่วนเป็นมนุษย์คะ?”

                พอเห็นผมทำหน้าสงสัย ยูมิโกะเลยพูดสืบต่อ “ในอดีตมีเรื่องเล่ากันมาว่า เงือกบางตนขึ้นมาล่อลวงมนุษย์ผู้ชายลงไปเป็นสามี อย่างงินก็คงเป็นหนึ่งในบรรดาเงือกที่สืบทอดเชื้อสายมาจากเรื่องเล่าน่ะค่ะ”

                “อ้อ... ครับ แล้ว... งินขึ้นมาทำอะไรบนนี้ครับ ท่าทางเหมือนเขาขึ้นมาบ่อย”

                “เข้าขึ้นมาหาซื้อของน่ะค่ะ” ยูมิโกะเล่าพลางยิ้ม “พวกเงือกชอบกระจกมากค่ะ ถ้าไม่ใช่กระจกก็ต้องเป็นของที่ต้องแสงแล้วเป็นประกายเหมือนแก้วเหมือนกระจก งินเขาขึ้นมาบนนี้บ่อยเพราะมาหาของพวกนี้ไปฝากเพื่อนๆ เขานี่ล่ะค่ะ”

                ผมเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าเงือกจะเป็นพวกชอบอะไรแบบนั้น “แล้วยังมีกระจกเหลืออีกมั้ยครับ?”

                “เอ๋?”

                “คือ... คุณบอกว่าเขาขึ้นมาหากระจก ถ้าไม่มีกระจกก็แปลว่าเขาจะไม่ขึ้นมาใช่มั้ยล่ะครับ” ผมว่า ยูมิโกะมองผมพักหนึ่งแล้วยิ้มออกมา “อ๋อ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ต่อให้ไม่มีกระจกเขาก็ยังจะขึ้นมาแน่ๆ ค่ะ ก็ทาซากิซังเป็นแขกที่ซุบารุซังฝากเอาไว้นี่คะ”

                ผมอดสงสัยไม่ได้ “เดี๋ยวนะครับ ผมขอถามนิดนึง คามิซาวะเป็นคนสำคัญของที่นี่เหรอครับ ทำไมงินดูจะให้ความสำคัญกับเขาจัง พวกคุณก็ด้วย”

                “อ๋อ... เรื่องนั้น...” ยูมิโกะมีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด “ดิฉันคงพูดไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องมันซับซ้อน”

                “คามิซาวะเป็นคนบนเกาะนี้รึเปล่าครับ?”

                “ค่ะ... ตามทะเบียนบ้านค่ะ”

                “...”

                ยูมิโกะแสดงท่าทีลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อผมมองเธอด้วยสายตาตั้งคำถาม “คุณลองไปถามงินดูเถอะค่ะ เรื่องนี้ฉันพูดไม่ได้จริงๆ”

                ผมถอนหายใจออกมา “ตกลงครับ ผมเข้าใจล่ะ ยังไงก็ขอบคุณมากๆ นะครับ”

                “ค่ะ ด้วยความยินดีค่ะ”

----------------------------------------

                วันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่ฟ้ายังไม่สาง จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่เพื่อไปรอพบงิน ผมออกจากบ้าน เดินไปยังชายหาดด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

                ผมยังไม่แน่ใจนักหรอกว่าเขาเป็นเงือกจริงหรือไม่ และไม่แน่ใจด้วยว่าวันนี้เขาจะมารึเปล่า

                ‘คุณ... คุณ... คุณมันไร้มารยาทที่สุดเลย!!’ คำพูดและสีหน้าแสดงอาการโกรธขึงของฝ่ายนั้นยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำผม ถ้าเขาไม่ยอมขึ้นมารับคำขอโทษจากผมล่ะ ถ้าหากเขาไม่ยอมมาอีกเลยล่ะ?

                ผมไม่ได้กลัวจะมีเงือกไปจมเรือระหว่างกลับหรอก เพียงแต่พอนึกถึงสีหน้าของงินตอนนั้นแล้ว ผมก็รู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าต้องขอโทษเขาให้ได้ เขาทำให้ผมรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก หากไม่ได้ขอโทษเขาต่อหน้า หากว่าเขาไม่ยอมยกโทษให้ล่ะก็ ผมคง...

                ผมยืนมองระลอกคลื่นที่กระเพื่อมอยู่บนผืนน้ำสีเทาทะมึนด้วยจิตใจว้าวุ่น เกือบหกโมงแล้ว แต่ทว่ากลุ่มเมฆหนาทึบก่อตัวแน่นจนแทบมองไม่เห็นแสงตะวันแรกของวัน

                ผมมีเวลาอยู่บนเกาะนี้เพียงแค่ไม่กี่วัน ถ้าหากว่า...

                “งิน!” ผมโพล่ง เมื่อเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวน้ำเบื้องหน้า พลางก้าวเท้าย่ำลงไปในน้ำทะเลสีเทาทะมึน ด้วยหวังว่าจะได้เอ่ยปากขอโทษเขาทันทีที่ได้เห็นหน้า

                “งิน...?!” ผมชะงักเสียงไว้แค่นั้น ถึงแม้ฟ้าจะยังไม่สว่างมาก แต่เสี้ยวหน้าที่โผล่ขึ้นมาเพียงแค่ดวงตาก็ทำให้ผมรู้ทันทีว่านั่นไม่ใช่งิน

                ดวงตาคู่นั้นวาววับในความมืดสลัว ดูน่ากลัวอย่างประหลาด งินที่ผมเคยเห็นต้องไม่มีแววตาอย่างนี้แน่ แม้ผมจะได้พบและพูดคุยกับเขาในเวลาไม่นานก็ตาม ผมบอกตัวเองว่าต้องถอยกลับ แต่เหมือนถูกน้ำทะเลตรึงขาทั้งสองข้างเอาไว้

                ดวงตาคู่นั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตาสีเทาวาวราวสัตว์ร้าย เรือนผมสีเข้มยาวสยายกระจายอยู่บนผืนน้ำตรงหน้า ผมรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีถอนเท้าขึ้นมาจากหล่มทรายที่ถูกคลื่นซัดมาทับถม แต่ก็เหมือนจะช้าไปก้าวหนึ่ง เมื่อมือแข็งแรงข้างหนึ่งพุ่งเข้ามาลากตัวผมลงไปในน้ำ

                !!!

                ผมดิ้นสุดแรง พยายามสลัดมือเปียกลื่นข้างนั้นที่ฉุดลากผมอยู่ แต่เรี่ยวแรงนั้นช่างมหาศาล มันดึงผมลึกลงไปใต้น้ำ ราวกับต้องการให้ผมจมน้ำตายอยู่ตรงนี้ ผมตะเกียกตะกายครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกสติใกล้ขาดลงทุกที

                ผมต้องมาตายอย่างนี้น่ะหรือ?... ตายโดยที่ยังไม่ได้ขอโทษคนที่ผมไม่รู้ว่าเป็นคนหรือเงือกกันแน่นั่นเลยสักคำ

                !!!

                ผมรู้สึกถึงบางอย่างที่เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว เข้ากระแทกเจ้าตัวที่ฉุดผมเอาไว้ จากนั้นมือของใครคนหนึ่งก็ฉุดตัวผมขึ้นไปเหนือผิวน้ำ

                “แค่กๆ” ผมสำลักน้ำทันทีที่สูดอากาศเข้าไปเฮือกแรก น้ำทะเลเค็มเฝื่อนทะลักออกจากจมูกจนแสบไปหมด ได้ยินเสียงใครบางคนเถียงกัน

                “ขวางฉันทำไม!”

                “คุณนั่นแหละ ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงฉุดเขาลงมาแบบนี้!”

                เสียงหนึ่งผมจำได้ว่าเป็นเสียงของงิน แต่อีกเสียงผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมอยากจะพูดบางอย่างกับเขา แต่จนใจที่ตัวเองเอาแต่สำลักน้ำจนแค่พยายามสูดหายใจยังยาก

                “ก็หมอนี่มันสมควรโดนแล้ว เมื่อวานก็ลวนลามนาย แถมก่อนหน้านี้ยังได้อยู่ใกล้ชิดซุบารุทุกวันอีก”

                “ทสึกิยะซัง!” งินขึ้นเสียงสูง “คุณหยุดคิดไปไกลเรื่องซุบารุซังทีเถอะ โทวะซังเป็นแค่เจ้านาย เขาไม่ทำอะไรแบบนั้นกับซุบารุซังแน่”

                “แน่ใจได้ไง?” อีกเสียงย้อนถาม “ยังไงก็เหอะ ฉันไม่มีทางปล่อยหมอนี่ให้กลับไปเป็นๆ แน่”

                “หยุดนะ!” ผมได้ยินเสียงงินตวาด จากนั้นก็รู้สึกเหมือนเขาพยายามจะเอาขาเตะใครสักคน... ถ้าเขามีขาน่ะนะ

                “เลิกบ้าทีเถอะ ต่อให้คุณลากโทวะซังจมน้ำตรงนี้ ซุบารุซังก็ไม่มีทางกลับมาหาคุณแน่ คุณนั่นแหละเป็นต้นเหตุทำให้เขาไม่ยอมกลับมา”

                “ว่าไงนะ!!”

                ผมรู้สึกเหมือนถูกแบกขึ้นไหล่ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าผมคือดวงตาสีเทาคู่หนึ่งที่จ้องมาอย่างประสงค์ร้าย ก่อนที่มันจะผลุบหายลงน้ำไป ขณะที่ผมค่อยๆ ถอยห่างออกมาเรื่อยๆ

 

                “เป็นยังไงบ้างครับ” งินถามผม ขณะใช้มือลูบหลังผมที่กำลังสำลักน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย หลังไอจนรู้สึกเหมือนปอดจะหลุด ผมก็หายใจเข้าลึกๆ ได้สักที

                “ขอ... ขอโทษนะ”

                “เอ๋?”

                “เรื่องเมื่อวานน่ะ... ฉันขอโทษด้วย” ผมพูด แล้วใช้มือสองข้างจับแขนเขาไว้ “ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เธออาย ขอโทษด้วยนะ”

                เมฆดำที่ปกคลุมท้องฟ้าหายไปแล้ว ที่อยู่เบื้องหลังของงินคือแสงอาทิตย์สีทองแรกของวัน ผมไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของเขา ได้ยินเพียงแต่เสียงที่ฟังไพเราะราวกับระฆังเงิน

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ โทวะซัง ผมไม่โกรธคุณหรอก”

                ผมพยักหน้า “ขอบใจนะ”

                พวกเรานั่งแช่น้ำกันอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่ง เสียงคลื่นซัดฝั่งยามเช้าฟังดูเหมือนบทเพลงรับอรุณ ผมมองงินอีกครั้ง ก่อนจะพบว่า ต่ำลงไปตั้งแต่ช่วงขาของเขามีแต่เกล็ด

                “เธอเป็นเงือกจริงๆ สินะ”

                เขายิ้มให้ผมพลางถอนใจ “ก็มีแต่คุณคนเดียวล่ะครับที่ไม่เชื่อ”

                ผมพยายามแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ก็ใครมันจะไปเชื่อ... เงือกมีจริงซะที่ไหน”

                “แล้วมีจริงรึเปล่าล่ะครับ”

                ผมจำต้องพยักหน้ายอมรับ พลางมองครีบหางสีเงินสวยที่อยู่เบื้องหลังเขา ก่อนจะถามออกมา “ว่าแต่... คนที่เธอคุยด้วยตะกี้เป็นใครน่ะ? คนหรือเงือก?”

                “เงือกครับ” งินตอบทันใจ “เขาเป็นผู้ใหญ่ในฝูงผม”

                “อ้อ...” ผมครางในคอ นึกทบทวนบทสนทนาระหว่างที่ตัวเองกำลังสำลักน้ำ “เขารู้จักกับคามิซาวะงั้นสิ”

                “เอ่อ... ครับ”

                “เป็นอะไรกันน่ะ? อย่าบอกนะว่าหมอนั่นอยากลากคามิซาวะลงไปอยู่ในน้ำด้วยกัน”

                งินมองผม ก่อนจะทำหน้าเหมือนตอบไม่ถูก “เรื่องมันซับซ้อนครับ”

                ผมหรี่ตามองเขา “เรื่องของคามิซาวะนี่ดูลึกลับจริงนะ”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมได้แต่สั่นศีรษะ “ผมไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องนี้หรอกครับ คนเดียวที่พูดได้คือซุบารุซัง”

                “อืม... และฉันแน่ใจด้วยว่าคนอย่างหมอนั่นต้องไม่มีทางพูดอย่างแน่นอน” ผมว่า พลางนึกถึงสีหน้าของคามิซาวะ งินเงยหน้ามองผม “คุณรู้หรือครับว่าซุบารุซังจะพูดหรือไม่พูดอะไร?”

                “ไม่รู้หรอก” ผมว่า พลางรู้สึกเอ็นดูท่าทางแปลกใจของเขา ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่เป็นเงือกที่อายุห่างกับผมอย่างกับคนรุ่นปู่

                “นี่ งิน... คามิซาวะบอกฉันว่า เธออายุเก้าสิบกว่าเข้าไปแล้ว จริงหรือ?”

                “จริงสิครับ ปีนี้ผมอายุเก้าสิบห้า” เขาพยักหน้า ก่อนจะไถลตัวมานั่งข้างผม “แต่ถ้านับกับตามอายุเงือก ผมยังเด็กอยู่นะ”

                พอเห็นเขาทำหน้าเหมือนแกล้งงอนแบบนั้นแล้ว ผมนึกอยากเอามือหงิกแก้มขาวๆ นั่นขึ้นมาตงิด เสียแต่กลัวจะไปทำผิดที่ผิดทางจนกลายเป็นเรื่องแบบเมื่อวานอีก เลยได้แต่เก็บมือเอาไว้

                “งั้นที่เล่ากันว่ากินเนื้อเงือกแล้วจะเป็นอมตะก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ”

                งินหันควับมาทันที “ไม่จริงอย่างที่สุดเลยล่ะครับ ห้ามเชื่อเด็ดขาดเลยนะโทวะซัง”

                “ทำไมล่ะ?”

                ฝ่ายนั้นทำหน้ายู่ “เงือกน่ะแค่มีอายุยืนกว่าคนเท่านั้นเองครับ ไม่มีใครกินเนื้อเงือกแล้วเป็นอมตะหรอก มันเป็นเรื่องเล่าของคนที่ไม่สมหวังในรักกับเงือกเท่านั้นเอง”

                “หืม?”

                “นานมาแล้วนะครับ มีมีคนจับปลาคนหนึ่ง ได้พบเงือกสาวตนหนึ่งนั่งหวีผมอยู่บนโขดหินริมหาด เขาหลงรักเธอตั้งแต่แรกเห็น และอยากได้ตัวเธอมาเป็นภรรยา ดังนั้นเขาจึงค่อยย่องเข้าไปหาเธออย่างเงียบๆ แต่ทว่า เพียงแค่ปลายนิ้วของเขายื่นไปสัมผัสเส้นผมของเธอ เงือกสาวก็สะดุ้งสุดตัว แล้วกระโดดหนีลงน้ำไป ชายคนนั้นกระโดดตามเธอลงไป แต่ไม่ว่าจะดำน้ำหรือตามหาอย่างไร ก็ไม่เจอเธออีกเลย เขามารอเธออยู่ที่โขดหินทุกวันด้วยความหวังว่าสักวันจะได้เจอเธออีกครั้ง คราวนี้เขาจะบอกขอโทษเธอ พูดคุยกับเธอดีๆ แต่ทว่าเธอก็ไม่ยอมกลับไปที่นั่นอีกเลย การรอคอยกลายเป็นความผิดหวัง ความผิดหวังกลายเป็นการอาฆาต เขารักเธอจนชังเธอ เลยสร้างเรื่องขึ้นมาว่าหากใครได้กินเนื้อเงือกแล้วจะเป็นอมตะ เพื่อที่ทุกคนจะได้ควานหาตัวเธอมาให้เขา”

                งินเล่าพลางหันหน้ามองผม ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลของเขาเป็นประกายภายใต้แสงแดดอ่อนๆ ผมได้ยินเสียงตัวเองถอนหายใจเฮือก “ความรักบางทีก็เป็นเรื่องน่ากลัวนะ”

                “ครับ”

                “...”

                “โทวะซัง”

                “หืม?”

                “คุณเคยรักใครบ้างรึเปล่าครับ?”

                ผมหันไปมองเขาอีกครั้ง “ถามทำไมน่ะ?”

                “ก็... คนมีความรักชอบทำแต่เรื่องน่ากลัวนี่ครับ”

                ผมเลิกคิ้ว ไม่รู้จะนึกขันหรืออะไรดีกับคำพูดของเขา “อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้นล่ะ”

                งินไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้างุด ผมเลยพูดตอบเขาไป “คนมีความรักไม่ได้ทำเรื่องน่ากลัวไปทุกคนหรอก บางคนเขาก็แค่รักมากไปจนตัดใจไม่ได้เท่านั้น”

                งินเงยหน้ามองผม “งั้นคุณคงไม่ใช่คนแบบนั้นใช่ไหมครับ?”

                “ฉันน่ะหรือ?” ผมย้อนถามแล้วหัวเราะ “แน่นอน ฉันน่ะยังไม่เคยรักใครจนตัดใจไม่ได้แบบนั้นหรอก”

                เงือกหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างผมคลี่ยิ้มออกมา “ดีจัง งั้นคุณก็ไม่เป็นคนใจร้าย”

                ผมฟังแล้วอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกเขาที่ลุกขึ้นยืนฉุดมือให้ลุกตามเสียก่อน “วันนี้คุณอยากไปดูที่ไหนอีกครับ เดี๋ยวผมอาสาพาเที่ยวเอง”

                ผมมองมือของงิน ก่อนจะต้องรีบเบนสายตาออกจากช่วงสะโพกของเขา “เอ่อ... ใส่เสื้อผ้าก่อนดีมั้ย?”

                งินสะดุ้งเหมือนเพิ่งนึกได้ ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อที่ซุกเอาไว้ที่ซอกโขดหิน ผมมองไล่เขาไปทางหางตา แล้วบอกกับตัวเองว่าต้องสอนเขาเรื่องมารยาทเวลาเป็นคนบ้างล่ะ

                อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ควรแก้ผ้าล่อนจ้อนเดินไปเดินมาต่อหน้าผมแบบนี้

----------------------------------------
** ฮุ ฮ่าๆๆ ดิฉันมั่นใจว่าถึงตอนนี้ หลายคนต้องสงสัยเรื่องของซุบารุเหมือนโทวะซังแน่ๆ แต่ทว่า... เรื่องของซุบารุนั้นจะยังคงเป็นความลับจนกว่างินและโทวะจะเข้าใจกัน กร๊าสสส
.
ปล. เป็นการลงนิยายที่เร็วที่สุดในรอบหลายปี :-[
ปล.2 อวยซุบารุแบบออกนอกหน้า :man1:
ปล.3 โชตะแบบโอจิค่อนประหลาดมากๆ เรื่องนี้ :hao7:
ปล.4 พอเหอะ!!! :z6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-11-2015 14:44:26
เย้ วันนี้ไม่ได้เป็นลมล่ะแค่สำลักน้ำเกือบตายเท่านั้นเอง
ฮ่าๆ ชอบดูพระเอกโดนแกล้ง
แน่ะ แอบมองอะไรน่ะ  :mew1:
เบื่อคำว่าเรื่องมันซับซ้อน ฮ่าๆ คงต้องอยู่นานๆนะจะได้สืบต่อไปเรื่อยๆ

ตำนานนางเงือกน่าสงสารจังเลยค่ะ ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 23-11-2015 19:19:19
"โชตะแบบโอจิค่อนประหลาดๆ" ---->  :laugh:
คุณเลขากับเงือกตนนั้นมีอะไรรรกันนน
ทาซากิซังมองงินเพลินเลยดิ เขาโป๊เดินไปเดินมาอ่ะ 555
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-11-2015 19:52:30
เอิ่ม กว่างินกับโทวะซังจะเข้าใจกัน คนอ่านก็...
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 23-11-2015 20:22:49
เจ้าผมดำต้องกิ๊กกับซุบารุแน่ๆ
ส่วนคุณโทวะคงอยากเป็นอมตะถึงได้ถามอย่างนั้น อยากกินเงือกงินก็บอกกก
งินน่ากินจริงๆ รู้จักกันแป๊บเดียวก็โชว์ก้นให้อิตาโชวะมองเป็นอาหารตาเสียแล้ว น่าตีก้นจริงเชียว ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Maxshu ที่ 23-11-2015 20:23:28
อร๊ายยย สนุกมากกกก สงสัยต้องไปหาเรื่องสั้นมาอ่านละ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 23-11-2015 21:41:00
โฟกัสไปคู่รอง~

น่าสนใจคุ่นี้มากกว่าค่ะ คริๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 24-11-2015 11:24:34
เรื่องนี้สนุกมากค่ะ น่าติดตามมาก
ทำไมเราพึ่งเห็นนะ
รอติดตามนะคะ
รอตอนต่อไปค่ะ
 :impress3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 25-11-2015 01:47:55
ดตอนนี้แอบสนใจเรื่องซุบารุซังมากกว่าเงือกแล้วอ้ะ แลดูซับซ้อนมาก ๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: หลิว ที่ 25-11-2015 02:53:55
เงือกมีขาแล้วตอนแก้ผ้าจะออกมาแบบใหนนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 25-11-2015 11:40:11
กรี๊ดดดด..... พี่จูออนมาลงเรื่องใหม่
ดีดดิ้นดีจาย :z2: :hao6:

หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 25-11-2015 15:13:08
อูยยยย เห็นล่ะอยากตบก้นเงือกเลยครับ  :haun4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 25-11-2015 22:54:03
คุณเลขาคงเป็นแฟนกะเงือก เพราะถ้าเป็นเงือกจะออกจากเกาะนี้ได้เหรอ
แล้วถ้าคุณโทวะเป็นแฟนกะงิน ก็ต้องย้ายมาอยู่เกาะด้วยสิ
เอิ่ม...ชักจะเดามั่ว ให้พระเอกปิ๊ง ๆ เด็กเงือกนี้ก่อนเหอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่3 (23/11/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 03-12-2015 15:44:03

Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่4 จูบ

            อากาศวันนี้ไม่ดีเอาเสียเลย หลังจากมีเมฆครึ้มบังพระอาทิตย์ตอนเช้า พอตกสายๆ สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ผมกับงินเลยตัดสินใจวิ่งเข้าไปขอหลบฝนในร้านค้าเล็กๆ ที่มีอยู่ร้านเดียวภายในหมู่บ้าน เพราะไม่อยากจะกลับไปนั่งมองฝนที่บ้านพัก เจ้าของร้านที่เป็นชายสูงวัยต้อนรับขับสู้พวกเราเป็นอย่างดี เขาเชิญให้เราเข้าไปในร้าน ยกน้ำชากับอาหารว่างมาให้

                “ขอบคุณมากเลยครับ นางามิซัง” งินพูดพลางโค้งตัวให้เจ้าของร้านค้าชรา ผมเลยต้องรีบโค้งตามด้วย

                “ตามสบายเลยครับทั้งสองคน” นางามิพูด ก่อนจะขอตัวออกไปเลื่อนม่านบังฝนลง งินเลื่อนจานขนมมาให้ผม “ไดฟุกุของนางามิซังอร่อยนะครับ เขาเป็นคนที่ทำไดฟุกุอร่อยจนผมเองยังต้องขึ้นมากินบ่อยๆ เลย”

                ผมยิ้มให้งิน พลางนึกสงสัยว่าเขามีวัฒนธรรมร่วมกับมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่

                “ถามอะไรหน่อยสิ”

                “ครับ?” งินเงยหน้ามองผมทั้งที่ยังเคี้ยวไดฟุกุอยู่ในปาก ไม่รู้ทำไม ตอนมองสบกับนัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้น หัวใจผมก็เต้นดังขึ้นมา

                “เอ่อ... เธอขึ้นมาบนนี้นานหรือยัง?”

                “หมายถึงครั้งแรกที่ผมขึ้นมาบนบกหรือครับ?”

                “อือ”

                “อ๋อ นานแล้วครับ สักตอนผมอายุยี่สิบสามสิบเห็นจะได้ เอาจริงๆ ถ้านับเวลาตามอายุผมก็ไม่นานหรอก ตอนนั้นนางามิซังเกิดแล้วเนอะ?”

                ได้ยินเสียงนางามิตอบกลับมา “ตอนผมจำความได้ก็เห็นงินแล้วล่ะครับ”

                “อ้อ...” ผมเกือบยกมือเกาศีรษะเมื่อนึกถึงอายุของเขา “แล้ว... มีเงือกตนอื่นขึ้นมาอีกรึเปล่า หมายถึงว่ามีพวกที่มีขาเดินได้แบบเธออีกมั้ย?”

                “มีสิครับ ถ้าที่เกาะนี้ล่ะก็เคยมีอยู่ครับ แต่ว่าตอนนี้...” งินพูดค้าง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ที่ที่โทวะซังอยู่เป็นยังไงครับ ได้ยินว่ารถบนถนนน่ะน่ากลัวมากเลย จริงรึเปล่าครับ?”

                ผมนึกภาพเขาพยายามข้ามถนนทั้งที่มีขาเป็นหางปลาแล้วก็นึกขำขึ้นมา “ใช่ รับรองว่าเงือกอย่างเธอว่ายข้ามไม่ได้แน่ ยิ่งใช้ขาบางๆ แบบนั้นข้ามไม่ได้ใหญ่เลย”

                “กระโดดข้ามก็ไม่ได้เหรอครับ?” งินทำหน้าสงสัย “ผมกระโดดสูงอยู่นะ”

                ผมหัวเราะ “สูงขนาดไหนล่ะ?”

                ฝ่ายนั้นทำหน้าจริงจัง “ถ้าให้กระโดดแข่งกับชะชิ * (วาฬเพชฌฆาต) ผมกระโดดสูงกว่าหลายเท่าเลย”

                ผมไม่รู้หรอกว่าวาฬเพชฌฆาตกระโดดสูงขนาดไหน แต่พอได้ยินคำว่า ชะชิ** (鯱 – อ่านได้สองเสียง คือชะชิ กับชะชิโฮะโกะ) ก็อดแซวเขาไม่ได้ “แล้วถ้าเป็นชะชิโฮะโกะ*** (วารีพยัคฆ์ – สัตว์ในตำนานของญี่ปุ่น มีหัวเป็นเสือ ตัวเป็นปลาคาร์ฟ มีหนามแหลมมีพิษปกคลุมทั่วร่าง) ล่ะ?”

                งินทำหน้าตกใจ “กับชะชิโฮะโกะผมสู้ไม่ไหวหรอกครับ แต่ถ้าเป็นโอจิซัง**** (คุณน้า) ล่ะก็ไม่แน่ เขากระโดดเก่งมาก”

                ผมสวนด้วยความตกใจไม่แพ้กัน “เดี๋ยวนะ! มีชะชิโฮะโกะจริงเหรอ?”

                ฝ่ายที่ถูกถามเบิ่งตาสีเขียวน้ำทะเลจ้องผม ก่อนจะหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ โทวะซังนี่ตลกจริงๆ ด้วย ถ้าคุณนั่งคุยกับเงือกแบบผมได้ แล้วชะชิโฮะโกะจะไม่มีได้ยังไงล่ะ”

                “เคยเจอเหรอ?” ผมถามด้วยความตื่นเต้น งินมองผมยิ้มๆ “ไม่เคยเจอหรอกครับ ชะชิโฮะโกะอยู่ในบ่อน้ำ พวกผมอยู่ในทะเล จะเจอกันได้ไงล่ะครับ”

                ผมรู้สึกว่าวิธีการพูดของเขาคล้ายกับใครบางคน เสียแต่ที่คนคนนั้นชอบตีหน้าขึงขัง ส่วนเขาเอาแต่หัวเราะกับยิ้มนี่แหละ

                “แล้วสรุปว่ามีหรือไม่มีล่ะ?” ผมถาม ใจหนึ่งก็คาดหวังคำตอบ แต่อีกใจก็ปลอบตัวเองว่าอาจจะไม่ได้สาระอะไรเลยก็เป็นได้

                “มีสิครับ ถึงผมจะไม่เคยเห็น แต่ผมมั่นใจนะ มันเป็นสัญชาตญาณล่ะมั้ง” งินสรุป ผมมองหน้าเขาแล้วจำต้องเชื่อตาม

                ช่วยไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้ผมยังนั่งคุยกับเงือกได้ ชะชิโฮะโกะก็น่าจะอยู่ในบ่อน้ำวัดสักบ่อได้เหมือนกันนั่นล่ะน่า

                “แล้ว... พวกคุณทำยังไงเวลาจะข้ามถนนกันครับ?” งินถามต่อ ผมปั้นหน้าเครียดตอบเขาไป “พวกผมมุดดินเอาน่ะ”

                “เห?!”

                เห็นหน้าตกใจปนแปลกใจของเขาแล้ว ผมอดขำไม่ได้ “มีอะไรน่าตกใจหรือไง?”

                “พวกคุณมุดดินได้ด้วยเหรอ?”

                “ถ้าเธอยังเป็นเงือกได้ คนอย่างฉันมุดดินบ้างไม่ได้หรือไง”

                “ไม่ตลกนะโทวะซัง” งินทำหน้างอน “เอาดีๆ สิครับ ผมรู้มนุษย์มุดดินไม่ได้ แต่ถ้าถือพลั่วถือจอบขุดดินล่ะก็พอจะได้อยู่ อย่าบอกนะครับว่าเวลาจะข้ามถนนพวกคุณถือจอบแล้วขุดดินกัน”

                ผมจินตนาการตามที่เขาพูดแล้วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “บนถนนมีกฎอยู่น่ะ ถ้าไฟแดงเมื่อไหร่ล่ะก็... รถทุกคันต้องหยุด แล้วจะมีสัญญาณไฟให้เราเดินข้ามถนนไง”

                “ว้าว” เงือกหนุ่มตรงหน้าผมร้องด้วยความประหลาดใจ “งั้นก็ไม่ต้องกระโดดข้ามให้เหนื่อยสิครับ แบบนี้ผมก็ไม่ต้องกลัว”

                ผมมองเขายิ้มๆ “อยากไปดูถนนด้วยกันมั้ยล่ะ?”

                “ได้หรือครับ?!” งินพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นหงอยในอีกไม่กี่วินาที “ผมเป็นแบบนี้ไปไม่ได้หรอก”

                “หืม? ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เธอมีขาเหมือนคนปกติ ไม่เห็นจะต้องกลัวเลย ถ้าไม่ชินฉันจูงข้ามก็ได้”

                “คือ... ผมไม่ได้มีขาแบบนี้ตลอดเวลาหรอกนะ” งินพูด พอเห็นผมเลิกคิ้วทำท่าสงสัยเลยพูดต่อ “ผมมีขาเฉพาะเวลาที่ได้อาบแสงอาทิตย์เท่านั้นครับ พอพระอาทิตย์ตก ผมก็จะกลายเป็นเงือกเหมือนเดิม”

                “อา...” ผมนึกถึงภาพที่ได้เห็นครีบหางของเขากลายเป็นขาท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า แล้วจึงพยักหน้า “เข้าใจล่ะ เพราะงี้วันก่อนเธอถึงรีบกลับก่อนพระอาทิตย์ตกงั้นสิ”

                “ครับ”

                “ถ้าไม่ทันพระอาทิตย์ตกจะเป็นไง?”

                “ก็กลับยากสิครับ ต้องลำบากคนอื่นหามลงน้ำ” งินตอบ ผมนึกสภาพเขาถูกหามแล้วก็อดยิ้มไม่ได้

                “ขำอะไรน่ะครับ”

                “เปล่า ฉันแค่กำลังนึกภาพต้องแบกเธอที่เป็นเงือกข้ามถนนน่ะ”

                “โห...” งินร้องออกมา “คิดอะไรไปถึงไหนเนี่ยครับ โทวะซัง ผมไม่อยู่ให้คุณแบกข้ามถนนแน่”

                “อ้าว ทำไมล่ะ?”

                “กว่าคุณจะแบกผมข้ามถนนได้ ผมก็แห้งตายพอดี”

                “เอ๋?”

                “เงือกน่ะอยู่บนบกนานๆ ไม่ได้หรอกครับ อย่างผมนี่เฉพาะช่วงกลางวันเพราะเป็นพวกพิเศษ แต่ถ้าเป็นเงือกแล้ว ยังไงก็ต้องกลับลงน้ำครับ ไม่ลงน้ำนี่ผมได้ตายจริงแน่”

                “อ้อ...” ผมพยักหน้า แล้วไล่สายตามองเขาขึ้นลง

                “มีอะไรหรือครับ?”

                ผมไม่ตอบทันที ยังคงใช้สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จนเจ้าตัวขยับตัวด้วยความอึดอัด “โทวะซัง... ทำไมมองผมแบบนั้น”

                “ฉันกำลังคิดอยู่น่ะ ว่าต้องทำอ่างใหญ่ขนาดไหนให้เธอตอนข้ามถนนดี” ผมตอบหน้าเครียด ได้ยินเสียงงินร้องออกมา

                “โอ๊ย! โทวะซัง คุณนี่มันตลกร้ายเกินไปแล้ว ห้ามคิดจะเอาผมไปเลี้ยงแบบปลาทองในตู้เด็ดขาดเลยนะครับ”

                ผมตอบเขายิ้มๆ “ฉันไม่จ่ายเงินสร้างอ่างยักษ์ไว้เลี้ยงปลาทองหรอกน่า”

                “เลี้ยงผมก็ห้ามนะครับ”

                “ก็ไม่ได้บอกว่าจะเลี้ยงสักหน่อย”

                “แล้วจะเอาอ่างไปทำอะไรครับ”

                “ใส่เธอข้ามถนนไง เธอจะได้ลองข้ามดู”

                งินมองผม เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ “แหะ... ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกครับ แค่ฟังคุณเล่าผมก็สนุกแล้ว”

                ผมมองเขา แล้วนึกถึงเรื่องเมื่อตอนเช้าขึ้นมา “เล่าเรื่องของพวกเธอให้ฉันฟังบ้างสิ เรื่องของเงือกน่ะ”

                “เอ๋?”

                “อย่าง... เจ้าเงือกที่ฉันเจอเมื่อเช้าไง เขาเป็นใคร มาจากไหน เป็นเงือกอะไร เงือกนี่มีหลายชนิดใช่มั้ย?” ผมพยายามชวนคุยโดยไม่ทำให้เขาเห็นว่าผมยังขยายกับเรื่องเมื่อเช้าอยู่ งินมองผมแล้วนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบกลับมา

                “อืม... เงือกมีหลายชนิดมั้ย? ผมว่ามีหลายแบบมากกว่าครับ อาจจะเรียกว่าชนิดก็ได้ คุณอาจจะเข้าใจได้ง่ายกว่า อย่างทสึกิยะซังเนี่ย จัดว่าเป็นเงือกชนิดดุร้ายครับ เขาเป็นประเภทถ้าโมโหขึ้นมาล่ะ จมเรือเดินทะเลได้เลยนะครับ”

                “อย่างนั้นเลย” ผมผิวปากหวือ นึกถึงตอนโดนเขาฉุดลงน้ำ “แล้ว... เขาเกี่ยวข้องอะไรกับคามิซาวะล่ะ?”

                “เอ่อ...” งินชะงักไปทันที “ผมตอบคุณเรื่องนั้นไม่ได้หรอกครับ คุณต้องถามซุบารุซังเอง”

                อีกแล้ว ทำไมพอเป็นเรื่องของคามิซาวะแล้วต้องเป็นแบบนี้ทุกที

                “นี่ ผมถามจริงนะ คามิซาวะนี่คงไม่ได้สร้างวีรกรรมอะไรร้ายๆ เอาไว้จนต้องออกจากเกาะแล้วไม่อยากกลับมาอีกใช่มั้ย?”

                “ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอนครับ” คราวนี้งินตอบผมด้วยสีหน้าหนักแน่น “ซุบารุซังไม่เคยทำอะไรเสียหายเลย แต่เขาคงมีเหตุผล...”

                “บอกไม่ได้งั้นสิ”

                “ต้องถามเขาเองครับ เพราะผมก็ไม่รู้”

                ผมถอนหายใจเฮือก “เอาเถอะ ช่างคามิซาวะกับทสึกิยะอะไรนั่น แล้วเธอล่ะ เป็นเงือกแบบไหน?”

                “ผมเป็นพวกพิเศษครับ”

                “อันนั้นรู้แล้ว ฉันหมายถึง เธอเป็นประเภทดุร้าย หรือว่ายังไง”

                “ก็เป็นประเภทพิเศษน่ะครับ”

                “พิเศษที่ว่านี่คือมีขาเดินได้?”

                “ครับ”

                “แล้วดุมั้ย?”

                “คุณว่าผมดุรึเปล่าล่ะ?”

                ผมชักนึกสงสัยว่าตัวเองถามไม่ตรงคำตอบหรืออย่างไรกันแน่ เลยตัดสินใจขยายใจความของคำถาม “ก็... เธอเคยบอกว่าที่นี่เคยมีเงือกแบบพิเศษที่มีขาเหมือนเธอ แล้วเงือกตนนั้นดุมั้ย ฉันคิดว่าเงือกมีขาคงไม่ได้ดูสุภาพน่ารักแบบเธอหมดหรอก”

                งินมองผมตาปริบๆ “โทวะซังรู้อะไรหรือครับ?”

                “หืม?”

                “อ้อ...” เงือกหนุ่มตรงหน้าผมรีบพูดต่อทันที “จริงๆ แล้วพวกพิเศษแบบผมดุๆ ก็มีนะครับ โดยเฉพาะที่เป็นผู้หญิงเนี่ย ได้ยินว่าถ้าไม่ดุล่ะก็... มีหวังได้ออกลูกเป็นฝูง”

                ผมหลุดหัวเราะออกมาเพราะนึกภาพเงือกสาวแสนสวยถูกทั้งคนทั้งเงือกรุมล้อม อืม... ถ้าไม่ดุนี่อยู่ยากจริงด้วย

                “ไม่ขำนะครับ” งินพูดเสียงฉุนๆ “เงือกผู้หญิงแบบที่มีขาเวลาขึ้นบกอันตรายมาก พวกคุณน่ะน่ากลัวกว่าทสึกิยะซังรวมกันสิบคนซะอีก”

                ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “พวกฉันไม่ได้เลวร้ายแบบนั้นทั้งหมดหรอกน่า”

                “ก็รู้หรอกครับ แต่เวลาฟังพวกเธอมาเล่ามันก็อดคิดแบบนั้นไม่ได้นี่ครับ มนุษย์นี่ยังไง เห็นผู้หญิงสวยเป็นไม่ได้ ต้องรี่เข้าใส่ ผมว่าน่ากลัวมากนะ”

                “แล้วเวลาเธอเห็นเงือกสาวสวยๆ ไม่นึกอยากรี่เข้าใส่หรือไง?”

                งินมองผมแบบตำหนิ “ผมยังเด็กอยู่นะครับ จะไปรู้สึกแบบนั้นได้ไง”

                พอนึกถึงอายุของเขากับคำว่าเด็กที่เขาใช้ ผมก็รู้สึกแสลงขึ้นมา “เธออายุตั้งเก้าสิบห้าแล้ว ยังไม่เคยรู้สึกอะไรกับผู้หญิงอีกเหรอ?”

                “ก็ผมไม่ใช่มนุษย์แบบพวกคุณนี่” งินว่า “กว่าผมจะมีครอบครัวได้ ต้องรอถึงอายุร้อยห้าสิบปีโน่น ก่อนถึงเวลานั้นผมไปเที่ยวมีอะไรกับใครไม่ได้หรอก มีไปก็ไม่มีลูก”

                “ไม่เอาช่วงเวลาสืบพันธุ์สิ เอาแบบความรู้สึกน่ะ ไม่เคยนึกชอบใครหรือปิ๊งใครเลยหรือไง?”

                “ไม่ครับ ผมไม่อยากมีความรู้สึกแบบนั้นหรอก น่ากลัวจะตาย” งินว่าพลางทำหน้าแหยง ผมนึกสงสัยเลยถามต่อ “ทำไมต้องทำหน้ากลัวแบบนั้นด้วยล่ะ แค่ชอบหรือรักใครสักคนมันไม่น่ากลัวแบบนั้นหรอก”

                “พูดแบบนี้โทวะซังเคยชอบหรือรักใครแล้วหรือไงครับ”

                “ยังหรอก”

                “..............”

                “........................”

                “งั้นก็ห้ามมาสอนผมนะครับ ไว้คุณชอบใครเมื่อไหร่ ค่อยมาสอนผมอีกที” งินว่า แล้วทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมแบบเด็กๆ ทำเอาผมชักนึกสงสัยว่าเวลาเก้าสิบห้าปีของเขา มันหมดไปกับอะไรกันแน่

                “อืม” ผมส่งเสียงในคอ ก่อนจะถามเขาต่อ “แล้วพวกเธออยู่กันยังไง? เออ จริงสิ ได้ยินว่าเธอชอบกระจก ทำไมล่ะ?”

                “อ๋อ” เงือกหนุ่มตรงหน้าผมส่งเสียงด้วยดวงตาเป็นประกาย “เพราะกระจกสวยน่ะสิครับ ในทะเลไม่มีอะไรสะท้อนแสงแบบกระจกได้หรอก คุณไม่รู้สึกเหรอครับว่ามันสวย”

                ผมนึกถึงกระจกที่ใช้ส่องหน้าตัวเองอยู่ทุกวัน แล้วสั่นศีรษะ “ถ้าเป็นกระจกที่ตกแต่งลาย ฉันก็คิดว่ามันสวยดีหรอก แต่ถ้าเป็นกระจกก็เฉยๆ นะ”

                “ฮือ... ได้ยินคนเมืองแบบคุณพูดแบบนี้ แสดงว่าบนบกมีกระจกกันทุกหนทุกแห่งจนเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ ด้วย น่าอิจฉาจัง”

                ผมแย้งทันที “ไม่เห็นจะน่าอิจฉาตรงไหน ฉันว่าในทะเลน่าสนใจกว่าเยอะ บนบกน่ะไข่มุกแพงกว่ากระจกตั้งหลายเท่า”

                งินทำตาโต “นั่นสิครับ แล้ว... ที่ที่โทวะซังอยู่ มีกระจกสวยๆ เยอะไหมครับ ผมจะได้เอาไข่มุกมาแลก”

                ผมยิ้มให้เขาด้วยความเอ็นดู “ไม่ต้องเอาไข่มุกมาแลกหรอก ฉันขนมาให้เธอเอาไปแจกเพื่อนฝูงฟรีๆ เลยยังได้ อยากได้สักกี่อันล่ะ”

                งินทำท่าคิด ก่อนจะรีบโพล่งออกมา “ไม่ได้หรอกครับ ยังไงก็ต้องแลก เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเอาไข่มุกมาให้โทวะซังดู เผื่อว่าจะแลกกระจกได้สักหลายบาน”

                ผมหัวเราะ “นี่... ใจคอจะเอามาให้ดูแค่ไข่มุกเหรอ  ไหนๆ ฉันก็มีโอกาสได้เจอเงือกเป็นๆ แล้ว ไม่คิดจะพาฉันลงไปดูที่ที่เธออยู่หน่อยหรือไง?”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมทำหน้าตื่นเต้นกว่าเดิม เขารีบพูดด้วยท่าทางดีใจ “พูดจริงหรือครับโทวะซัง อยากลงไปดูที่ที่ผมอยู่จริงเหรอ?”

                “อือ แต่ว่าฉันคงต้องหาอุปกรณ์ดำน้ำก่อนน่ะนะ” ผมตอบไป แต่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เขาก็ฉุดมือผมให้ลุกขึ้น “งั้นไปกันเลยครับ”

--------------------------------------

                ฝนหยุดตกแล้ว ตอนที่ผมถูกงินลากตัวออกมานอกร้านขายของ แสงแดดหลังฝนที่สว่างสดใสทำให้ผมต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย “นี่ งิน ไม่ต้องรีบหรอก มีชุดประดาน้ำเตรียมเอาไว้ให้ฉันหรือไง?”

                “ของแบบนั้นไม่จำเป็นหรอกครับ” งินพูดพลางดึงมือผมเดินตรงไปที่ชายหาด ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ไม่จำเป็นได้ไงน่ะ ฉันอยากไปดูที่ที่เธออยู่จริงๆ นะ เธออยู่ใต้ทะเลไม่ใช่หรือไง?”

                “ใช่ครับ”

                “งั้นก็ต้องใช้ชุดประดาน้ำ”

                งินหันมามองผมแล้วหัวเราะ “โทวะซัง คุณคุยอยู่กับเงือกนะครับ ไปกับผมไม่ต้องใช้ชุดประดาน้ำหรอก”

                “?” ผมยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไร ก็ถูกงินดึงคอเสื้อเข้าไปหาเสียก่อน

                !!!??

                ผมเบิ่งตาค้าง เบิ่งตามองดวงตาสีเขียวตรงหน้า สัมผัสตรงริมฝีปากที่เพิ่งผ่านพ้นเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง ได้ยินเสียงเขาพูดขึ้นต่อ

                “น้ำลายเงือกทำให้หายใจในน้ำได้ ไม่เคยได้ยินเหรอครับโทวะซัง”

                ผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น นอกจากเสียงคลื่นและเสียงน้ำทะเล ในตอนที่เขาลากผมลงน้ำไป

------------------------------------------------------------               
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่4 P.2 (3/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 03-12-2015 16:00:30
โทวะซังโชคดีมากกกกกกกกกกกกกก

ออกมาแค่ 3 ตอนก็ได้ไปเมืองเงือกละ

 :ling1:

อยากให้งินไปอยู่ในเมืองจัง พาเที่ยว ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่4 P.2 (3/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 03-12-2015 16:21:31
 :กอด1:  กอดคนเขียนค่ะ  อะไรกันคุยกันเรื่องข้ามถนนกันอยู่ได้ตั้งนานสองนาน จีบกันชัดๆ
ทำไมอิชั้นฟินกับจูบแบบนี้ จูบที่ไม่ใช่จูบ มันเป็นแค่การแลกน้ำลายกันเท่านั้น
เย้ ทีนี้ก็เตรียมไปเลือกไข่มุกกันเถอะ
ขอบคุณค่ะ สนุกมากๆ อยากไปเมืองเงือกแล้ว
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่4 P.2 (3/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 03-12-2015 20:02:15
แบบนี้มันน่าไปเมืองเงือกบ่อยๆสินะโทวะซัง จะได้ชิมน้ำลายเงือกบ่อยๆ  :haun4:
จุ๊บปากไม่เป็นไร แต่ตีก้นคือขอจึ๊กๆด้วยซะงั้น
ไม่เข้าใจคุณเงือกเขาจริงๆ

เงือกเด็กอย่างงินมันน่าจับตีก้นจริงเชียว
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่4 P.2 (3/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 03-12-2015 20:09:14
งินเป็นเงือกที่น่ารักมากจริงๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่4 P.2 (3/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 03-12-2015 20:12:14
โอ๊ะะะ  โดนตบตูดโกรษแทบตาย แต่จูบนี่ทำเหมือนแค่จ้องตากันเลย 555
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่4 P.2 (3/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-12-2015 20:21:42
งินน่ารักดีอ่ะ ว่าแต่โทวะซังเออเร่อไปแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่4 P.2 (3/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 04-12-2015 08:16:25
ดูท่างินจะไม่รู้ตัวว่านี่คือจูบ
ทำเอาพ่อพระเอกไปไม่ถูกเลย  :hao7: :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่4 P.2 (3/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 04-12-2015 09:30:06
อร๊างงงงงงง... น้ำลายเงือก ได้ยังไงหรอออออ....
สาธิตโหน่ยยยยยยยย...  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่4 P.2 (3/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 05-12-2015 01:59:49
ชอบพล็อตจังง :impress2:
อยากอ่านเรื่องของซุบารุอะ อีกนานแน่เลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่4 P.2 (3/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Maxshu ที่ 06-12-2015 03:42:33
ไปอ่านเรื่องสั้นมาแล้วน๊า สมควรที่จะเอามาต่อเป็นเรื่องยาวมากๆ
โทวะ แหม่ ได้จูบเฉยเลยนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่4 P.2 (3/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-12-2015 10:36:54
งินน่ารักกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 06-12-2015 14:38:01

Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่5 ใต้ท้องทะเล

                “โทวะซัง?!”

                ผมดึงแขนคนที่อยู่ตรงหน้า พลางถลึงตาใส่เขาแล้วสั่นศีรษะแรงๆ งินดึงตัวผมเข้าไปใกล้ แล้วจับไหล่ผมไว้ “โทวะซัง ไม่ต้องตกใจนะครับ คุณไม่จมน้ำตายแน่”

                ผมสั่นศีรษะแรงกว่าเดิม บรรยากาศรอบตัวดูแปลกไปหมด ตาย ผมต้องตายแน่ๆ

                งินจ้องผมอยู่อึดใจ ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปใกล้อีก จากนั้นก็ประกบริมฝีปากเข้ามา

                “................” ผมจับไหล่เขาไว้แน่น รู้สึกได้ชัดเจนถึงเรียวลิ้นที่สอดเข้ามา สัมผัสนั้นอบอุ่นอ่อนโยน จนทำให้หัวใจของผมที่เต้นถี่รัวด้วยความตกใจ เงียบลงได้ในที่สุด

                “เป็นไงบ้างครับ”

                ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงได้รู้ตัวว่าหายใจในน้ำได้จริงๆ พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นดวงตาสีเขียวแบบเดียวกับน้ำทะเลกำลังจ้องผมด้วยความเป็นห่วง

                “อือ...” ผมส่งเสียงอย่างไม่รู้จะตอบเป็นคำพูดว่าอย่างไรดี ก่อนจะเงียบไปพักใหญ่

                “โทวะซัง...”

                “อือ...” หลังจากลองอ้าปากอยู่ครั้งสองครั้ง ผมถึงได้กล้าลองส่งเสียงออกมา “งิน”

                “ครับ” คนที่อยู่ตรงหน้าผมรับคำแล้วยิ้มให้ ผมเรียกเขาอีกครั้ง รู้สึกแปลกที่ได้ยินเสียงตัวเองตอนอยู่ในน้ำ “งิน”

                “คร้าบ...” งินส่งเสียงตอบอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นจับแก้มผมเอาไว้สองข้าง อย่างกับเล่นกับเด็กๆ “ไม่เป็นไรแล้วนะโทวะซัง ไม่ต้องตกใจนะครับ”

                ผมพยักหน้าช้าๆ พยายามบอกตัวเองว่าอาจจะกำลังฝันอยู่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้มันดูเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงเอาเสียเลย

                “ฉัน... เอ้อ...” ให้ตายเหอะ ไม่ชินกับเสียงตัวเองในน้ำแบบนี้เลย

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมยิ้มบางๆ “รู้สึกแปลกใช่ไหมล่ะครับ”

                ผมพยักหน้าแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ได้ยินเขาพูดต่อ “ไม่เป็นไรครับ ไม่นานเดี๋ยวก็ชิน เหมือนผมตอนขึ้นไปบนบกแหละ”

                ผมนึกถึงเรื่องที่คุยค้างไว้กับเขาออกจนได้ “แล้วไหนล่ะ? ที่ที่เธออยู่”

                “อยู่ลึกกว่านี้ครับ คุณไหวรึเปล่า?”

                ผมก้มลงมองผืนทรายด้านล่างที่อยู่ห่างออกไปจากปลายเท้าผมสักเมตรสองเมตร สลับกับมองหน้าเขา อึดใจใหญ่ๆ ก็พยักหน้าตอบ “อือ ฉันจะไม่ตายใช่มั้ย?”

                “ไม่ตายหรอกครับ ผมเอาตัวเองเป็นประกันเลย” งินพูดพลางยกมือตบอกแบบใครสักคนที่ผมเคยเห็น ผมเผลอหลุดยิ้มออกมา “งั้นก็ได้”

---------------------------------------------

                ที่ที่งินอยู่ อยู่ลึกลงไปในทะเล จะกี่เมตรผมคงกะประมาณไม่ได้ เอาว่าแสงอาทิตย์แทบจะส่องไม่ถึงแล้วกัน เขาจับมือผมเอาไว้ แล้วพาผมดำลึกลงไป ผ่านดงปะการังและฝูงสัตว์น้ำมากมาย ผมเอ่ยปากถามเขาระหว่างทาง

                “ปกติเธอกินอะไรน่ะ? อย่าบอกนะว่าขนมไดฟุกุ”

                งินหัวเราะเสียงแปลกผ่านสายน้ำเข้าหูผม “ก็กินปลาบ้าง หอยบ้างครับ เท่าที่พอจะหาแย่งแข่งกับปลาอื่นได้”

                “อ้อ...” ผมส่งเสียงในคอ แล้วเหลือบเห็นฉลามสี่ห้าตัวผ่านไป “ต้องแย่งกับฉลามพวกนั้นด้วยมั้ย?”

                “อ๋อ ไม่ครับ ปกติเราไม่ยุ่งกับพวกฉลาม ยกเว้นถ้าเราเจอฉลามตาย ซึ่งก็ยากมากๆ เราจะไปถอดเอาชุดฟันออกมาทำอาวุธกับเครื่องประดับครับ”

                ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความทึ่ง “อาวุธกับเครื่องประกับจากฟันฉลามเหรอ?”

                “ครับ” งินรับ แล้วพูดต่อ “เป็นของหายากเหมือนกันนะครับโทวะซัง เพราะปกติฉลามไม่ค่อยเหลือซากให้เก็บอะไรมากนักหรอกครับ เพราะจะกินกันเองเสียก่อน ผมน่ะยังอยากจะได้สร้อยคอฟันฉลามสักเส้นเลย”

                ผมนึกสภาพเขาใส่สร้อยคอพรรค์นั้นแล้วรีบพูดสวนไป “ฉันว่าไม่เหมาะนะ”

                “เอ๋?”

                “อย่างเธอน่าจะเหมาะกับสร้อยเปลือกหอยหรือไข่มุกมากกว่า”

                “ฮือ” งินครางเสียงเศร้า “ทำไมล่ะครับ ผมดูไม่มีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ?”

                ผมนึกขึ้นมาได้ว่าเปลือกหอยในทะเลอาจจะเป็นของไร้ค่า แต่ว่าไข่มุกล่ะ?

                “มุกก็สวยนะงิน ไม่เห็นจะไม่มีค่าตรงไหนเลย”

                “แต่มันธรรมดาไปนี่ครับ ผมอยากได้อะไรที่มันดูแล้วเข้มแข็งสมกับเป็นชายชาตรีหน่อย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนผมนึกขำ “เธอยังเด็กอยู่นะ”

                “แต่อีกไม่กี่ปีผมก็จะโตแล้วนะ ผมต้องหาเขี้ยวฉลามมาไว้ในครอบครองสักชุดให้ได้”

                ผมนึกถึงท่าทางตอนที่เขาทำใส่ผมเมื่อไม่นานมานี้ แล้วก็ต้องสั่นศีรษะ “ฉันว่าอีกนานแน่กว่าเธอจะโตแบบนั้น”

                “โทวะซังก็... อย่าเอาเวลาของคุณมาเทียบกับผมสิครับ ปีนี้ผมอายุเก้าสิบห้าแล้วนะ อีกแค่ห้าสิบห้าปีผมก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว”

                ผมนึกถึงอายุตัวเอง บวกกับตัวเลขเก้าสิบห้า แล้วก็ต้องถอนใจเฮือก “ถึงตอนนั้นฉันคงแก่เป็นคุณปู่ ไม่ก็ตายไปแล้วล่ะ ไม่ได้มาดูเธอโตเป็นผู้ใหญ่แน่”

                จู่ๆ งินก็หยุดว่ายน้ำเสียดื้อๆ ผมจึงถามด้วยความสงสัย “เป็นอะไรน่ะ?”

                เขาไม่ตอบผมในทันที แต่นิ่งไปพักใหญ่ๆ “ไม่มีอะไรหรอกครับ ไปกันต่อเถอะ”

----------------------------------------

                ยิ่งลงลึก แสงจากดวงอาทิตย์ด้านบนยิ่งจางลงทุกที ผืนน้ำตรงหน้าผมสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ ฝูงปลาสีสันแปลกๆ ที่เคยว่ายผ่านไปก็หายไปหมดแล้ว จนถึงตรงนี้ผมยังไม่เห็นเงือกตัวอื่นสักตัว

                “ใกล้ถึงหรือยัง?”

                “ใกล้แล้วครับ ข้างหน้านี้เอง” งินพูด จากนั้นไม่นาน ผมก็ได้เห็นเงาสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งพอเพ่งตามองให้ดี ก็เห็นว่าเป็นผาหินใหญ่ที่อยู่ใต้น้ำ งินพาผมว่ายเลียบขอบผาสูง แล้วชี้มือไปที่ถ้ำหลายแห่งที่อยู่ตรงหน้าผา

                “นั่นบ้านทสึกิยะซังครับ เลยไปอีกหน่อยก็บ้านของโอจิซัง... อ้าว?!”

                ผมมองตามมือที่เขาชี้ ถึงได้เห็นว่าหน้าถ้ำถ้ำหนึ่ง มีหินก้อนใหญ่วางปิดเอาไว้

                “ทสึกิยะซังเอาหินมาปิดหน้าบ้านโอจิซังอีกแล้ว อะไรนักหนานะ” เงือกหนุ่มที่จับมือผมอยู่บ่นอุบอิบ ผมนึกถึงเงือกที่ชื่อทสึกิยะ แล้วก็อดถามอออกไปไม่ได้

                “ทสึกิยะอะไรนี่ เป็นอะไรกับเธอน่ะ?”

                “ไม่ได้เป็นอะไรกับผมหรอกครับ เขาเป็นเพื่อนเก่าของโอจิซังน่ะ”

                “อ้อ...” ผมส่งเสียงในคอ “งั้นโอจิซังของเธอก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วสิ”

                “ครับ โอจิซังปีนี้ก็สองร้อยห้าสิบแล้ว”

                ผมผิวปากหวือ “น้าเธออยู่มาตั้งแต่สมัยเอะโดะเลยรึ?”

                งินหัวเราะออกมา “ครับ ผมมั่นใจเลยว่าคุณต้องนึกภาพโอจิซังรำคาบุกิไม่ออกแน่ เพราะผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน”

                ผมว่าผมนึกถึงตาลุงแก่ๆ รำคาบุกิออก แต่ว่ามันคงไม่ใช่สิ่งที่ผมควรพูดตอนนี้

                “แล้วเขาอยู่ไหนล่ะ?”

                “อ๋อ... โอจิซังตอนนี้ไม่อยู่ที่นี่แล้วครับ”

                “อ้อ... ย้ายไปอยู่ที่อื่นเหรอ?”

                “ครับ ทำนองนั้น”

                ผมนึกทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ผมรู้ว่าเขาเป็นเงือก “แล้วโอจิซังของเธอกับคามิซาวะรู้จักกันมั้ย”

                งินหันมามองผม กลอกตาเหมือนทำท่าคิดหนัก “ผมจะอธิบายยังไงดี... ฮือ... ก็สองคนนี้...”

                “เฮ้ย งิน!” ก่อนที่ผมจะได้ยินงินพูดอะไรต่อ เสียงใครอีกคนก็ดังขึ้น พอหันไปมองต้นเสียง ก็เห็นเงือกตัวใหญ่ที่มีผมสีแดงสยายว่ายออกมาจากถ้ำถ้ำหนึ่ง

                “ตายล่ะ ทสึกิยะซังทำไมตื่นป่านนี้” งินพูด พลางลากตัวผมว่ายหลบไปทันที ได้ยินเสียงเงือกตนนั้นตะโกนไล่หลัง “งิน พาใครมาน่ะ! เขาห้ามไม่ให้พามนุษย์ลงมา ไม่รู้หรือไง”

                แทบจะเร็วพอๆ กับเสียง เงือกตนนั้นว่ายไล่มาเทียบข้าง ก่อนจะยุดมือผมเอาไว้ข้างหนึ่ง งินรีบขยับมาขวางหน้าผมเอาไว้ทันที “อย่ายุ่งกับแขกผมน่า คุณกลับไปนอนเถอะ แล้วช่วยเอาหินออกจากบ้านน้าผมด้วย”

                “ไม่ได้” อีกฝ่ายพูดเสียงเข้ม ผมรู้สึกถึงแรงบีบที่ข้อมือ ให้ตายเหอะ เงือกตนนี้มันจะตามจองเวรจองกรรมผมไปถึงไหน

                “ห้ามพามนุษย์ลงมา โดยเฉพาะไอ้หมอนี่”

                ผมฟังเสียงเขียวๆ ของเขาแล้ว ก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าตัวเองไปสร้างความแค้นให้กับเงือกตั้งแต่ชาติปางไหน ได้ยินเสียงงินตอบกลับไป “ทสึกิยะซัง! ผมจะพาใครมามันก็เรื่องของผม ยังไงกฎของพวกคุณมันก็ใช้กับผมไม่ได้อยู่แล้ว คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจ”

                “งิน!”

                งินดึงมือที่จับผมเอาไว้ออก แล้วพูดต่อ “ผมจะไปที่บ้าน ห้ามมายุ่งกับผม ไม่งั้นเรื่องโอจิซังก็อย่างหวัง...”

                ผมเห็นทสึกิยะถลึงตาสีเทาวาวน่ากลัวมองงิน ก่อนจะล่าถอยออกไป “เห็นแก่โอจิซังของนาย... ฉันรามือไปก่อนก็ได้”

                “ไปเลย แบร่” งินทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เหมือนตอนที่ทำกับผม เห็นแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือว่าอะไรดี จากนั้นเขาก็พาผมว่ายอ้อมไปอีกทางหนึ่ง

                “ถึงแล้วครับ บ้านของผม” งินพูดพลางพาผมว่ายเข้าไปในถ้ำบนหน้าผาถ้ำหนึ่ง ปากถ้ำไม่กว้างมาก พอที่คนตัวโตๆ แบบผมสองคนจะว่ายเข้าไปได้ แต่ด้านในเป็นโพรงใหญ่พอดู

                “มืดนะ” ผมว่า เพราะพอเข้ามาในถ้ำ แสงสว่างทั้งหมดก็ดูจะหายไปทันที งินดึงมือผมแล้วพูดตอบ “โทษทีครับ ผมไม่นึกว่าคุณจะลงมา นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปหาตะเกียงมาให้”

                ยังไม่ทันได้ถามว่าเขาจะเอาตะเกียงแบบไหนมาจุดใต้น้ำ งินก็ว่ายออกไปทางปากถ้ำเสียก่อน ผมจึงได้แต่นั่งมองแสงเรืองๆ ที่ลอดออกมาจากหน้าถ้ำ

                เฮ้อ... ฝันประหลาดแบบนี้เล่าให้ใครฟังไม่มีทางเชื่อแน่ กระทั่งเจ้าคามิซาวะก็เถอะ เอ๊ะ... หรือหมอนั่นจะรู้อยู่แล้วว่าผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถึงได้ทำท่ามั่นอกมั่นใจนัก

                ขณะที่ผมกำลังนึกถึงเรื่องของคามิซาวะอยู่ เงาบางอย่างก็มาพาดอยู่ตรงหน้าปากถ้ำ ตอนแรกผมคิดว่างิน แต่พอเงยมองถึงรู้ว่าผิดสนิท

                “นาย!”

                มือแข็งแรงข้างหนึ่งยื่นมาปิดปากผมเอาไว้ ก่อนที่เจ้าของจะเค้นเสียงลอดไรฟัน “อย่าโวยวายน่า ฉันไม่ได้มาฆ่าแกงอะไรนาย แค่อยากมาคุยอะไรด้วยหน่อย”

                ผมส่งเสียงอู้อี้ในคออยู่พัก สุดท้ายก็จำต้องพยักหน้า เจ้าของมือข้างนั้นจึงลดมือลง

                “มาทำอะไรที่นี่”

                ให้ตายสิ ผมเกลียดเสียงแบบนี้ที่สุด ทำอย่างกับผมเป็นผู้ร้ายงั้นแหละ

                “งินชวนลงมา”

                “จริง?”

                “เออ”

                หมอนั่นจ้องหน้าผม แม้จะมองไม่ถนัด แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเขาต้องกำลังจ้องหน้าผมอยู่แน่ๆ ผมขยับตัวอย่างอึดอัด “นี่ ทสึกิยะซัง มีอะไรจะถามก็ถามๆ มาเหอะ แต่ให้รู้ไว้เลยนะ ว่าฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรทั้งนั้น ฉันแค่มาเที่ยวชมเฉยๆ”

                “เฮอะ” หมอนั่นส่งเสียงในคอ ก่อนจะพูดสืบต่อ “ซุบารุล่ะ? เป็นไงบ้าง สบายดีใช่มั้ย?”

                “อือ สบายดี หมอนั่นแข็งแรงไม่เคยป่วยเลยล่ะ”

                “งั้นเหรอ... แล้วเขา... พูดอะไรถึงฉันบ้างมั้ย?”

                ผมแน่ใจว่าคามิซาวะไม่เคยพูดถึงเรื่องเงือกให้ผมฟังเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะงั้นคงไม่ต้องเจาะลึกถึงเรื่องของเจ้าหมอนี่

                “ไม่ เขาไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับนายหรือเงือกหรอก”

                “อ้าว แล้วทำไมเขาแนะนำให้นายมาที่นี่”

                ผมนึกสงสัยว่าทำไมต้องมาอธิบายเรื่องการมาของตัวเองให้เจ้านี่ฟังด้วย แต่เอาเหอะ สภาพนี้ผมเลี่ยงได้ที่ไหน เลยจำต้องตอบคำถามไป “เขาบอกให้ฉันมาพักผ่อน บอกว่าจะต้องชอบเกาะนี้แน่”

                “หืม? เขาบอกว่านายจะต้องชอบเหรอ? แล้วเขาบอกว่าเขาชอบที่นี่รึเปล่า?”

                ผมนึกแว้บหนึ่ง “หมอนั่นไม่เคยบอกหรอก”

                ผมรู้สึกเหมือนสีหน้าของคนตรงหน้าหมองลงไปหน่อยหนึ่ง “งั้นเหรอ... เขาไม่พูดถึงอะไรเกี่ยวกับที่นี่เลยสินะ”

                “อืม...”

                จู่ๆ หมอนั่นก็เงียบไปเสียดื้อๆ บรรยากาศเลยยิ่งวังเวงเข้าไปอีก ผมเหลือบตาไปมองหน้าถ้ำก็ยังไม่เห็นใคร เลยแข็งใจถามออกไปบ้าง “แล้วเรื่องที่งินพาฉันมาที่นี่ จะทำให้เขาเดือดร้อนมั้ย?”

                “อ้อ... เรื่องนั้นน่ะ... สำหรับงินไม่เป็นอะไรหรอก” หมอนั่นตอบผม แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “งินนี่ก็จริงๆ เลย... นี่ นายชื่ออะไร โทวะใช่มั้ย? นี่ โทวะ... ฉันบอกไว้ก่อนนะ ว่าอย่าทำอะไรให้งินเสียใจเป็นอันขาด”

                “เห?”

                ทสึกิยะขยับเข้ามาใกล้ เหมือนกลัวว่าจะมีใครได้ยิน “งินเป็นเงือกลูกครึ่ง นายรู้ใช่มั้ย? แม่ของเขาเป็นเงือก แต่พ่อของเขาเป็นมนุษย์ งินเป็นลูกครึ่งระหว่างเงือกกับมนุษย์ ดังนั้นโอกาสที่เขาจะเป็นหมันมีสูงมาก ถ้านายอยากจะมีลูกกับเขา ฉันแนะนำว่าอย่า เพราะมันจะทำให้พวกนายเสียใจกันเปล่าๆ”

                ผมนึกอยากกระโดดถีบยอดอกเงือกตรงหน้าขึ้นมาตงิดๆ “นี่ ขอโทษเถอะทสึกิยะซัง ฉันน่ะไม่ได้คิดอะไรกับงินแบบนั้นเลยสักนิด ฉันเห็นหรอกว่าเขาเป็นผู้ชาย แล้วฉันก็เป็นผู้ชาย เพราะงั้นเรื่องจะให้เขามีลูกให้น่ะเลิกคิดไปได้เลย”

                ทสึกิยะส่งเสียงขึ้นจมูกแบบจงใจบอกว่าไม่เชื่อคำพูดผมเลยสักนิด ให้ตายเหอะ ผมสงสัยจริงๆ ว่าผมเคยไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจกันแน่

                “ทสึกิยะซัง!”

 
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่4 P.2 (3/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 06-12-2015 14:39:07
               แต่ก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากถามอะไร เสียงของงินก็ดังขึ้นเสียก่อน เขาว่ายรี่เข้ามาพร้อมกับอะไรบางอย่างที่ส่องแสงเรืองๆ ในมือ

                “มาทำอะไรที่นี่ครับ ออกไปเลยนะ บ้านผมไม่ต้อนรับคุณ”

                แสงสีเขียวประหลาดในมือเขาทำให้ผมเห็นสีหน้าของทสึกิยะเสียที ดวงหน้าของเขาดูน่ากลัวเข้าไปอีกภายใต้แสงนั้น เขาขยับตัวอย่างรำคาญ แล้วว่ายจากไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ งินรีบว่ายมาหาผม แล้วถามด้วยความเป็นห่วง

                “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ? แย่จริงเชียว ผมก็ลืมคิดไปเลยว่าเขาอาจจะตามมายุ่มย่ามกับคุณอีก”

                “ฉันไม่เป็นไรหรอก” ผมโบกมือบอกเขา “เขาแค่มาคุยเฉยๆ”

                “เห? แค่มาคุยเหรอครับ? อย่างทสึกิยะซังคนนั้นน่ะนะ?!”

                “อือ เขาแค่มาคุยเฉยๆ จริงๆ ไม่ได้ทำร้ายอะไรฉันหรอก” ผมยืนยัน งินมองผมอยู่พัก ก็ถอนหายใจออกมา “อย่างนั้นก็ดีแล้วครับ นี่ ผมได้ตะเกียงมาให้คุณแล้ว รับรองว่าคุณต้องชอบแน่”

                พูดจบเขาก็ยื่นอะไรบางอย่างให้ผม พอเพ่งตาดูถึงได้รู้ว่าเป็นปลาน้ำลึกชนิดหนึ่งซึ่งมีติ่งเนื้อยื่นออกมาจากบนหัว ปลายติ่งเนื้อเป็นก้อนเล็กๆ ที่เรืองแสงได้ เจ้าปลาตัวนั้นพอเห็นผมก็รีบว่ายหนี ติดแต่ที่หางของมันมีสาหร่ายผูกเอาไว้ เลยหนีไปไหนไม่รอด ได้แต่สะบัดหางไปมาอยู่อย่างนั้นเอง

                ผมมองหน้าเขาสลับกับปลา เป็นทำนองว่านี่จะให้ผมถือจริงๆ เหรอ งินมองหน้าผม จากนั้นก็พยักหน้า แล้วถึงค่อยเอาปลาตัวนั้นไปผูกไว้กับชะง่อนหินแง่งหนึ่งในถ้ำแทน

                เออ แบบนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย ให้ผมถือปลาว่ายไปว่ายมาก็ดูกระไร

                พอมีแสงสีเขียวเรืองๆ นั้น ผมถึงพอมองเห็นอะไรขึ้นสักหน่อย ถ้ำของงินกว้างขวางพอสมควร ผนังถ้ำถูกเจาะเอาไว้เป็นรูหลายขนาด คาดว่าเอาไว้ใส่ของ งินล้วงมือเข้าไปในรูรูหนึ่ง แล้วล้วงเอาไข่มุกหลายเม็ดออกมา

                “โทวะซัง แบบนี้แลกกระจกได้กี่บานครับ”

                ผมมองแล้วให้นึกขึ้นได้ “จริงสิงิน แล้วคนอื่นๆ ล่ะ? ฉันหมายถึง เงือกตนอื่นๆ ล่ะ? ไปไหนกันหมด ทำไมมีแต่ทสึกิยะมา”

                “อ๋อ” งินส่งเสียงพลางมองไข่มุกในมือ “พวกนั้นนอนอยู่ครับ เงือกนอนกลางวัน แล้วหากินตอนกลางคืนครับ พวกที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น”

                “อ้าว แล้วเธอล่ะ?”

                “ผมยกเว้น” เขาตอบ แล้วหัวเราะขวยๆ “ผมคงติดใจไดฟุกุของนางามิซังแล้วแน่ๆ”

                “เอาดีๆ สิ” ผมว่า “เธอบอกว่าเงือกนอนกลางวัน หากินกลางคืน แล้วเธอที่ตื่นกลางวัน นอนกลางคืน จะเอาเวลาตอนไหนไปหากินล่ะ?”

                “ก็บอกแล้วไงครับว่าผมเป็นพวกพิเศษ เรื่องหากินไม่ใช่ปัญหาหรอก”

                “งิน...”

                งินมองหน้าผมอยู่อึดใจหนึ่ง ในที่สุดก็ยอมอ้าปากเล่าได้เสียที “คือ... ผมก็ใช้กระจกนี่ล่ะครับ แลกของกินเอา อย่างวันไหนถ้าผมขึ้นไปข้างบนแล้วได้กระจกมา ใครอยากได้กระจกก็ต้องเอาของมาแลก ปลาบ้างหอยบ้าง ไข่มุกบ้าง แล้วแต่ว่าตอนนั้นผมอยากได้อะไรเป็นหลัก”

                ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที “ที่แท้เป็นพ่อค้านี่เอง”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมหัวเราะเขินๆ “เรียกแบบนั้นก็ได้ครับ”

                ผมมองหน้าของเขา ภายใต้แสงสีเขียวจากปลาตัวนั้น แล้วให้รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เลยเสไปมองทางอื่น จึงได้เห็นว่าในช่องที่เจาะไว้ข้างผนังอีกหลายช่องมีของหลายอย่างใส่อยู่

                “ตรงนั้นอะไรน่ะ?”

                “อ๋อ อันนั้นเป็นกระจกของแม่ผมครับ” งินพูด แล้วขยับไปหยิบของที่ใส่อยู่ในช่องเจาะมาให้ผมดู มันเป็นกระจกส่องหน้าแบบโบราณอันหนึ่ง ลักษณะเป็นโลหะทรงกลมมีด้ามจับ ด้านหลังกระจกสลักลายเป็นรูปชายคนหนึ่ง นั่งอยู่ริมน้ำใต้ต้นสน ในน้ำมีผู้หญิงคนหนึ่ง โผล่ขึ้นมาแค่ครึ่งตัว ด้านหลังผู้หญิงคนนั้นมีหางเหมือนปลาโผล่เหนือน้ำขึ้นมา ผมเงยหน้าขึ้นมองงิน

                “กระจกบานนี้...”

                “พ่อเป็นคนทำให้แม่ครับ แม่บอกผมแบบนั้น” งินตอบ ผมเลยถามต่อ “งั้นแสดงว่าพ่อเธอเป็นมนุษย์งั้นสิ”

                “ครับ”

                “แล้วตอนนี้ทั้งพ่อกับแม่ของเธอไปไหนแล้วล่ะ”

                “ตายหมดแล้วครับ”

                “งั้นเหรอ...” ผมนิ่งไปอึดใจหนึ่ง พลางมองดูกระจกเก่าๆ อันนั้น ตัวกระจกที่ทำจากโลหะเมื่ออยู่ในน้ำนานๆ ก็ทำปฏิกิริยากลายเป็นรอยด่างสีฟ้าหลายจุด  จนไม่สามารถใช้สะท้อนภาพอะไรได้แล้ว แต่ทว่าผมกลับรู้สึกได้ถึงความรักของคนกับเงือกที่สะท้อนอยู่บนลายสลักเบื้องหลัง

                “ทั้งสองคนคงรักกันมาก”

                “ครับ...”

                “เธอเคยเห็นพ่อตัวเองมั้ย?”

                งินสั่นศีรษะ “ไม่เคยหรอกครับ พ่อตายก่อนที่ผมจะเกิด”

                “อ้อ” ผมนึกขึ้นมาได้ “แม่เธอคงตั้งท้องนานมาก อายุคนกับเงือกมันต่างกันนี่นะ”

                “เปล่าหรอกครับ”

                “เอ๋?”

                “พ่อผมถูกฆ่าเพราะปกป้องแม่น่ะครับ”

                “?!” ผมมองหน้างิน จ้องเข้าไปในดวงตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้น “เรื่องมันเป็นยังไงน่ะ”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมเงียบไปอึดใจใหญ่ “จำเรื่องเกี่ยวกับการกินเนื้อเงือกที่ผมเล่าให้ฟังได้ไหมครับ?”

                “อืม”

                “พอมีคนรู้ว่าพ่อแอบเจอกับแม่ ก็วางแผนกันจะจับตัวแม่ครับ พ่อรู้แผนเลยพยายามขวางไว้จนแม่หนีมาได้ แต่ก็ต้องเสียพ่อไป”

                “อ้อ...” ผมนึกสลดกับเรื่องที่เกิดขึ้น “คนบนเกาะสินะ...”

                “ครับ”

                “แล้ว... เธอไม่นึกเกลียดพวกเขาเหรอ?”

                งินมองผม ยิ้มแล้วสั่นศีรษะ “ไม่หรอกครับ คนดีๆ บนเกาะมีอีกเยอะ อีกอย่างมันเป็นเรื่องก่อนผมเกิด ได้ยินว่าหลังจากนั้นโอจิซังก็ขึ้นไปจัดการกับคนที่ฆ่าพ่อผมจนไม่มีใครกล้าทำอะไรเงือกอีกเลย”

                ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “น้าเธอนี่ท่าทางดุน่าดูเลยนะ”

                คราวนี้งินหัวเราะออกมา “รับรองว่าคุณต้องนึกภาพไม่ออกแน่ สมัยก่อนเวลาผมมองหน้าน้าทีไร ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเขาจะดุได้ขนาดนั้น แต่ถ้าเขาไม่ดุ คงรับมือทสึกิยะซังไม่ได้แน่”

                ผมนึกถึงเจ้าเงือกจอมราวีตัวนั้นขึ้นมา “จริงสิ เจ้าทสึกิยะนั่นทำไมดูจองเวรจองกรรมฉันนัก ฉันไปทำอะไรให้เขาเมื่อไหร่กัน?”

                “อ๋อ เรื่องนั้น...” งินพูดค้างแล้วถอนใจ “ทสึกิยะซังเป็นพวกที่พูดกันด้วยเหตุผลไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ ลองถ้าปักใจเชื่ออะไรแล้ว พูดอะไรให้ตายก็ไม่ฟัง ยังไงผมจะระวังไม่ให้เขามายุ่งกับคุณอีก”

                ผมรู้สึกว่างินไม่ยอมตอบคำถามของผมตรงๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคามิซาวะด้วยรึเปล่า?”

                งินสั่นศีรษะ “ผมตอบไม่ได้หรอกครับ คุณต้องถามเขาเอง”

                ผมรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมา “เรื่องของคามิซาวะนี่มันลึกลับจริงๆ นะ”

                ดูเหมือนงินจะเข้าใจว่าผมไม่พอใจ เลยรีบพูดขึ้นต่อ “ใจเย็นๆ ครับโทวะซัง จริงๆ พวกผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณลำบากใจ แต่ผมตอบแทนเขาไม่ได้จริงๆ”

                “อืมๆ ช่างเหอะ เป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากจะฟังเรื่องของหมอนั่นนักหรอก เอาเรื่องของเธอดีกว่า”

                “เรื่องของผม?” งินพูดเชิงตั้งคำถาม ก่อนจะรีบพูดต่อเหมือนเพิ่งนึกได้ “ใช่แล้ว! คุณยังไม่ได้บอกผมเลย ว่าไข่มุกนี่แลกกระจกได้กี่อัน”

                พูดจบเขาก็ยื่นมือที่มีไข่มุกวางอยู่มาตรงหน้าผม ผมมองแล้วก็รีบกำมือเขาให้เก็บมันเอาไว้ “เก็บไว้เถอะ เธออยากได้แบบไหนกี่บานบอกฉัน แค่กระจกไม่คุ้มจะแลกไข่มุกพวกนี้หรอก”

                “ฮือ... ทำไมล่ะครับ น้อยไปเหรอ?”

                “เยอะไป”

                “....” งินเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากนิ่วคิ้วอยู่เป็นนาน เขาก็พูดออกมา “แล้วผมต้องเอาอะไรมาแลก”

                ผมมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดออกไป “ตัวเธอเป็นไง”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมสะดุ้งเฮือก “ละ... ล้อเล่นใช่ไหมครับ?”

                ผมรู้สึกว่าตัวเองปากพล่อยสิ้นดี เลยทำทีเป็นเออออหัวเราะผสมโรงไป “ใช่ ล้อเล่นน่ะ ฉันไม่อยากได้ปลาทองตัวใหญ่ๆ แบบเธอหรอก”

                “...........”

                “..............................”

                บรรยากาศรอบตัวดูวังเวงขึ้นมาทันที ผมเห็นงินเอาแต่ก้มหน้า ไม่ยอมพูดอะไร เลยรู้สึกขึ้นมาว่าอาจจะพูดอะไรผิดไป เลยพูดขึ้นต่อ “นี่... ไม่อยากได้กระจกแล้วเหรอ?”

                “อยากครับ... แต่...” งินพูดทั้งที่ยังก้มหน้างุด “แต่ผมไม่มีอะไรมาแลก”

                ผมถอนหายใจอีก “ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องหรอก แค่กระจกเอง”

                “............”

                “งิน...?”

                ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมองผม “คุณไม่ชอบผมเหรอ?”

                ผมรู้สึกสะท้านวาบขึ้นมาในอก เมื่อสบกับดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้น “ใครบอกล่ะว่าฉันไม่ชอบเธอ”

                “ก็... ก็คุณไม่ยอมแลกกระจกกับผม... คุณไม่อยากได้ผมด้วย”

                หัวใจของผมเต้นอึงอยู่ในอก แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันดังมาจากโลกอื่น ผมมองเงือกหนุ่มตรงหน้า มองดวงตาสีน้ำทะเลคู่กัน “ถ้าฉันอยากได้ เธอจะให้หรือ?”

                “...?!”

                พอเห็นสีหน้าตกใจของเขา ผมจึงต้องเค้นรอยยิ้มออกมา “เห็นไหม... ถึงฉันอยากได้ เธอก็ไม่ให้ฉันหรอก”

                งินมองหน้าผม แล้วก้มหน้างุดอีกครั้ง “คุณจะเอาผมไปทำอะไรครับ... ผมทำอะไรไม่ได้หรอก”

                ผมยื่นมือไปจับเบาๆ ที่คางของเขา ด้วยความรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่เรื่องจริง “งิน”

                “ครับ...?”

                “ที่ฉันอยากได้ตัวเธอ ไม่ใช่เพราะแค่แลกกับกระจกหรืออะไรทั้งนั้น ฉันอยากได้ตัวเธอ เพราะเธอทำให้ฉันรู้สึกอยากได้ เข้าใจรึเปล่า?”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมสั่นศีรษะ แต่ใบหน้ากลับแดงเรื่อขึ้นมา ผมเชยคางของเขาให้เงยขึ้นมา แล้วขยับหน้าเข้าไปใกล้ “ฉันคิดว่าฉันคงเริ่มชอบใครสักคนขึ้นมาแล้วล่ะ?”

                “เอ๋...?”

                ผมยิ้มให้กับท่าทางไร้เดียงสาของเขา ก่อนจะแนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากคู่นั้น

----------------------------------------------
** อยากจะกรี๊ดให้กับโทวะซังสักสิบล้านรอบ :mc4: ไม่ใช่ดีใจที่ได้ไปเมืองเงือก แต่ดีใจที่ในที่สุดฮีก็เหมือนจะได้เป็นเมะสักที หลังจากที่ช่วงแรกๆ ของตอน ดิฉันเขียนไปถึงกับลังเลว่า จะให้ฮีเป็นเมะหรือเป็นเคะดี (วะ5555+ :laugh:)

เรื่องนี้เป็นอะไรที่มุ้งมิ้งสุดติ่งตับมากถึงมากที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา จนกระทั่งรู้สึกว่า เอ๊ะ นี่เราเขียนนิยายหลุดเองหรือเรื่องมันมุ้งมิ้งเกินไปฟะ? (ซึ่งตรงนี้คงต้องรบกวนท่านผู้อ่านทั้งหลายช่วยกันตรวจสอบ :mew1:)

และก็เป็นเรื่องที่ตอนแรก(?)น่าจะมีจำนวนหน้าในแต่ละตอนน้อยที่สุดในบรรดาเรื่องยาวที่เคยเขียนมา แต่พอมาถึงตอนนี้ ต้องบอกว่าทะลุโควตาที่5-6หน้ามาที่8หน้าเป็นที่เรียบร้อย หวังว่าอนาคตคงจะไม่ทะลุไปที่12-14หน้าดั่งเรื่องอื่นที่เคยเขียนมา (ไม่รู้จะขุดตัวอักษรจากไหนมาโปะไว้นักหนา)

แอบเอาปกร่างจากอีฟจังมาแปะเอาไว้ น้องงินน่ารักฝุดๆ ไปเลย

(http://i45.photobucket.com/albums/f68/juonkung/mermanesample_zpsytq5vp66.jpg)

เรื่องนี้น่าจะมีกำหนดจบที่สิ้นปีนี้ค่ะ ยังไงก็จะพยายามเข็นออกมาให้ทันให้จงได้!!!

ปล. กดโพสไปครั้งแรกแล้วพบข้อความแจ้งกว่าเกิน20000ตัวอักษร /กรี๊ดดังๆ หนึ่งครั้ง แล้วอุทานว่า "แค่8หน้าเอ๊ง!!"  :a5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 06-12-2015 15:03:27
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
เราแอบหวังว่าทั้งสองจะได้อยู่ร่วมกัน อย่าจบดราม่าเลยนะคะ
ไม่อยากให้เรื่องของเงือกมีแต่ตำนานเรื่องเศร้า  :L2: 
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 06-12-2015 15:52:31
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
เราแอบหวังว่าทั้งสองจะได้อยู่ร่วมกัน อย่าจบดราม่าเลยนะคะ
ไม่อยากให้เรื่องของเงือกมีแต่ตำนานเรื่องเศร้า  :L2:

+1


แหะๆ อยากให้งินมีความสุขด้วยอ่ะค่ะ :) พลีสสสส
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 06-12-2015 16:11:10
ไม่ต้องรอโตแล้วงินเอ้ย เจ้าเงือกขี้อ่อย
โทวะจะเลี้ยงเจ้าเงือกเด็กนี่ยังไงดี
ฮาตรงเจ้าผมดำมาบอกว่างินเป็นหมันนี่แหละ คิดไกลกว่าใคร
คุณน้าของงินคือซึบารุ?
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 06-12-2015 16:19:50
น่ารักก ชอบงินจัง55  อยากอ่่านเรื่องนี้ต่อเรื่อยๆ
ไม่ให้จบเลยยย โทวะซังอะไรอ่ะ มาขงมาขอเฉ๊ยย
รอตอนต่อไปนะะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: หลิว ที่ 06-12-2015 16:22:36
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-12-2015 16:28:33
โอจิซัง = ซุบารุซัง รึเปล่าเนี่ย
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 06-12-2015 16:52:05
 :jul1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 06-12-2015 16:59:02
โอ้ยยยยยย  ปากระจกรัวๆน่ารักเกิ้๊นนนนน

ปล.ขอไฟล์รูปได้มั่ยค้า ว่างๆอยากจะปาดสีดูสักครั้ง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-12-2015 20:33:19
งินจะน่ารักไปไหนนนน
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Maxshu ที่ 06-12-2015 21:38:31
จะดีมากค่ะ ถ้าเนื้อเรื่องจบแบบฉีกกระชากกฏเกณฑ์ที่ทสุกิยะพูดไว้ ว่าลูกครึ่งมีความเสี่ยงเป็นหมันสูง คืออยากเห็นลูกของงินกับโทวะ (เริ่มมโนละ)
เห็นปกแล้ว เงินในบัญชี สั่นไม่หยุดเลยค่ะ มีแววว่าอยากได้ 5555555
โอ๊ยยยยย ทำไมท้ายๆทำเราเขินเยี่ยงนี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 06-12-2015 22:04:57
อายุไขของพวกเขาช่างห่างกันเหลือเกิน
อย่านะ
อย่าดราม่าน๊าาาา
 :sad4:
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-12-2015 01:47:31
งินน่ารักดีจัง ลองตามดูๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 07-12-2015 09:17:35
อ่านไปตัวบิดไป น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: chacogothicW ที่ 07-12-2015 14:17:10
ถึงโทวะซังจะเป็นเมะก็ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้อยากให้งินเมะเลยจริ๊งจริง555555555
รอนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 07-12-2015 17:08:32
เป็นโชตะที่โอจิคอนอย่างแปลกๆ จริงๆ ค่ะ ชอบ
งินคุงน่ารักไปอีก
*แต่ยังไงพี่เกรียงก็ยังเป็นที่หนึ่งนะ*
คนเขียนบอกปีหน้าก็รอค่ะ 555555
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 07-12-2015 18:55:39
 :-[ ว๊ายๆ สารภาพรักแล้วอ๊าาา
โทวะนี่จู่โจมไว๊ไวอ๊า หนูงินน้อยจะว่าไงล่ะทีนี้  :m12:
แต่แอบมีสงสัยในหลายๆอยากอยู่นะ แต่คาดว่าอ่านไปเรื่อยๆคงเจอซักตอนแหละ (มั้ง)  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Pin_12442 ที่ 07-12-2015 19:43:09
งินน่าร๊ากกกกกกกกกกกกกก :mew1: :mew3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ชมพูพาล ที่ 08-12-2015 15:48:46
โอจิซัง = ซูบารุ?

ตามมาจากเพจค่ะ เรื่องนี้อ่านเพลินดี ติดตาม
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่5 P.2 (6/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 08-12-2015 18:45:12
โอ๊ยยยย ชอบบบบบบ ฟินเฟร่อออ :-[
งินน่ารักมากเลย เค้าชอบมุ้งมิ้งๆ >3<
ดูท่าโทวะซังจะรู้ตัวเร็วแฮะ รุกเลยๆ!  :z2:
รอน้าาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-12-2015 15:39:09


Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่6 ในดวงตา

                งินสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะจูบตอบผมอย่างอ่อนโยน พวกเราจูบกันแบบนั้นอยู่พักใหญ่ๆ หัวใจของผมเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อะไรบางอย่างระอุอยู่ในนั้น

                “งิน...” ผมเรียกชื่อเขาเสียงเบาระหว่างที่เราผละริมฝีปากออกจากกัน งินใช้ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลมองผม ก่อนจะพูดตอบ “หายใจคล่องขึ้นหรือยังครับ?”

                ระบบความคิดของผมชะงักไปวูบหนึ่ง จากนั้นถึงพอเข้าใจว่าคำถามของเขาหมายถึงอะไร

                “โทวะซัง เป็นอะไรครับ ทำไมเคาะหัวตัวเองแบบนั้น?” งินถามด้วยความตกใจ ผมเคาะหัวตัวเองซ้ำอีกครั้ง ด้วยไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นดี ก่อนจะหัวเราะออกมา “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”

                เงือกหนุ่มตรงหน้ามองผมด้วยสายตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ในที่สุดก็ยอมพยักหน้า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ จริงสิ ผมมีที่นึงอยากให้คุณเห็น”

                พูดจบเขาก็ฉุดมือผมว่ายออกจากถ้ำไป

--------------------------------------

                งินพาผมว่ายฝ่ากระแสน้ำลึก ใช้เวลาประมาณครู่ใหญ่ๆ ก็มาถึงซากเรืออับปางซากหนึ่ง ผมคะเนดูจากขนาดและลักษณะแล้ว น่าจะเป็นเรือสำราญที่ล่มเมื่อนานมาแล้ว งินพาผมว่ายผ่านรอยแตกใหญ่ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เรืออับปางลง เข้าไปด้านใน แสงสว่างที่นี่มีไม่มากนัก แต่โชคยังดีที่ผมคว้าปลาเรืองแสงตัวนั้นติดมือมาด้วย

                โครงสร้างส่วนใหญ่ด้านในตัวเรือยังคงสภาพเดิมเอาไว้ มีเพียงสีและวัสดุตกแต่งผนังบางส่วนที่อาจจะถลอกหรือหลุดล่อนไปเพราะกระแสน้ำและกาลเวลา กระนั้นก็กลับมีเหล่าดอกไม้ทะเล เพรียง และหอยชนิดต่างๆ เข้ามาแทรกตัวแทนที่ ทำให้เกิดภาพแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง

                งินพาผมว่ายมาที่ห้องโถงของเรือ โคมไฟระย้าที่ครั้งหนึ่งคงเคยแขวนอย่างสง่างามอยู่ด้านบน บัดนี้หล่นเอียงกระเท่เร่อยู่ด้านล่าง ถูกปกคลุมไปด้วยดอกไม้ทะเลนานาชนิด งินว่ายเข้าไปใกล้ แล้วผายมือเป็นเชิงอวดพร้อมพูดด้วยสีหน้าภูมิใจ

                “สวยมั้ยครับ?”

                ผมพยักหน้า กวาดตามองโคมไฟระย้านั้นอีกครั้ง “ดอกไม้ทะเลพวกนี้ปลูกเองหรือ?”

                “ขึ้นเองบ้าง ปลูกบ้างครับ” งินตอบ “แบบนี้พอสวยเหมือนตอนที่มันยังไม่ล่มรึเปล่าครับ?”

                ผมเลิกคิ้ว นึกขึ้นมาได้ว่าเขาคงไม่เคยเห็นเรือสำราญในแบบที่มันควรจะเป็น เลยพูดตอบไป “ตอนมันยังไม่ล่มไม่เป็นแบบนี้หรอก แต่ที่เป็นอยู่นี่ก็สวยไปอีกแบบนะ”

                “แล้วตอนยังไม่ล่มที่นี่เป็นยังไงหรือครับ?”

                ผมกวาดตามองไปรอบๆ แล้วชี้มือให้เขาดูด้านบนเพดาน “โคมไฟนี้น่ะ จริงๆ ต้องแขวนอยู่บนโน้น แล้วตรงนั้น” ผมชี้มือไปที่โต๊ะเก้าอี้ที่ล้มกระจัดกระจายอยู่ “เป็นที่ดินเนอร์ เลยไปหน่อยจะเป็นส่วนที่มีการแสดงดนตรี ตรงที่มีเปียโนล้มอยู่น่ะ”

                “หืม? โต๊ะทรงแปลกๆ นั่นน่ะหรือครับ เปียโน?”

                “ใช่” ผมพยักหน้า แล้วมองเขาด้วยความเอ็นดู “ไม่รู้จักล่ะสิ”

                คนถูกถามสั่นศีรษะ ผมเลยพูดต่อ “ไว้ว่างๆ ฉันจะเล่นให้ฟัง”

                “ว้าว” งินร้องด้วยความสนใจ “เล่นเป็นเหรอครับ? งั้นเล่นให้ผมฟังตอนนี้เลย” พูดจบเขาก็ทำท่าจะว่ายตรงไปที่เปียโนหลังนั้น ผมเลยต้องรีบดึงมือเขาไว้ “ตรงนี้ไม่ได้หรอก เปียโนเล่นในน้ำไม่ได้แน่”

                “อ้อ... จริงด้วย ผมลืมไปเลย”

                ผมหัวเราะ พลางมองเขาอีกครั้ง “เอางี้มั้ยล่ะ? เธอไปเที่ยวบ้านฉัน แล้วเดี๋ยวฉันจะเล่นให้ฟัง”

                งินรีบสั่นศีรษะทันที “ไม่ไหวหรอกครับ บ้านคุณอยู่บนบก คงไกลไม่ใช่เล่น ผมไปไม่ไหวแน่”

                “ไม่ไกลหรอก” ผมตอบเขา “เรานัดเจอกันที่ท่าเรือสักแห่ง ฉันจะเอารถไปรับเธอ คงถึงบ้านฉันก่อนพระอาทิตย์ตกแน่นอน”

                งินทำท่านึกอยู่พัก แล้วโพล่งขึ้นมา “แล้วถ้าพระอาทิตย์ตกผมกลับลงน้ำไม่ทันจะทำไงล่ะครับ”

                “ก็ค้างที่บ้านฉันไง” ไม่รอให้เขาพูดอะไรตอบ ผมรีบพูดต่อทันที “ขอแค่มีน้ำทะเลก็พอใช่ไหมล่ะ? เรื่องนั้นไม่ยากหรอก ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมทำท่าลังเลใจอยู่ครู่ใหญ่ๆ “ไม่รู้สิครับ... โอจิซังก็ไม่อยู่ด้วย ผมไม่รู้ว่าจะขึ้นไปได้มั้ย?”

                “แล้วโอจิซังของเธอเมื่อไหร่จะกลับล่ะ” ผมถามเขา พลางรู้สึกเหมือนกำลังจะพาเด็กเล็กๆ ไปเที่ยวแล้วต้องรอผู้ใหญ่อนุญาตก่อน งินมองผมครู่หนึ่ง แล้วสั่นศีรษะ “ไม่รู้สิครับ เอาไว้ยังไง ผมค่อยบอกคุณอีกทีดีกว่า”

                ผมถอนหายใจเฮือก ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไรหรอก ไว้เธอพร้อมเมื่อไหร่ค่อยไปแล้วกัน แต่อย่านานนักล่ะ เดี๋ยวฉันจะแก่เสียก่อน เล่นให้เธอฟังไม่ไหว”

                “ไม่นานหรอกครับผมสัญญา” งินรีบพูดออกมา “ผมต้องไปดูโทวะซังเล่นเปียโนให้ได้เลย”

                ผมยิ้มให้เขา “สัญญาแล้วนะ”

                “ครับ” เงือกหนุ่มตรงหน้าผมพยักหน้าหนักแน่น ผมยื่นนิ้วก้อยให้เขาเหมือนเล่นกับเด็กๆ “งั้นเกี่ยวก้อยกัน”

                “เห?”

                “ก็เป็นการยืนยันสัญญาไง เกี่ยวก้อยกันแล้วหมายความว่าจะไม่ผิดสัญญาเด็ดขาด”

                “ไม่งั้นจะโดนยักษ์ตัดนิ้วใช่มั้ยครับ?” งินพูด แล้วหัวเราะออกมา “โทวะซังเชื่อเรื่องยักษ์ด้วยเหรอ?”

                “ไม่เชื่อหรอก”

                “งั้นเกี่ยวก้อยทำไมครับ”

                “.........” ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร งินก็ยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวนิ้วผมไว้ แล้วพูดต่อ “แต่ผมเชื่อนะ เพราะผมเคยเห็น เพราะงั้น สัญญาครับ ผมจะไม่ให้ยักษ์มาตัดนิ้วเด็ดขาด”

                ผมอ้าปากค้างจะพูดแต่ก็ไม่ทันเขาอีกตามเคย งินคลายนิ้วออก แล้วว่ายตรงไปที่เปียโนที่ล้มอยู่หลังนั้น ก่อนจะยกมันขึ้นมาตั้ง

                “บนบกมันเป็นแบบนี้รึเปล่าครับ?”

                ผมจำต้องว่ายตามเขาไป แล้วหยิบเก้าอี้เปียโนที่วางอยู่ใกล้กันขึ้นมาตั้งไว้ จากนั้นก็ขยับไปเปิดฝาด้านหลังขึ้นมา “ปกติแล้วมันก็ตั้งแบบนี้แหละ”

                “ว้าว” งินทำหน้าพิศวง “แล้วเล่นยังไงครับ โทวะซังทำให้ผมดูหน่อย เอาแค่ท่าทางก็ได้ครับ ผมอยากเห็น”

                ผมมองหน้าเขา แล้วจำต้องนั่งปุลงตรงหน้าเปียโนที่ไม่น่าจะเล่นได้หลังนั้น ก่อนจะเปิดฝาครอบคีย์ขึ้น แล้ววางนิ้วลงไป

                “แบบนี้แหละ พอกดนิ้วลงไปแล้วมันจะมีเสียง” ผมพูดพลางกดนิ้วลงบนคีย์ด้วยความเคยตัว แต่ก็รู้สึกขึ้นมาได้หลังจากนั้นว่ามันคงไม่มีเสียง งินมองผมด้วยท่าทางตื่นเต้น “อยากได้ยินเสียงจัง ผมว่าเสียงมันต้องเพราะมากแน่ๆ”

                “อือ เสียงเพราะ ยิ่งถ้าได้เล่นคู่กับฟลุ้ตแล้วยิ่งเพราะมากเลยล่ะ”

                “ฟลุ๊ตคืออะไรครับ?”

                “เป็นเครื่องดนตรีคลาสสิกอีกชนิดน่ะ ใช้ปากเป่า เหมือนขลุ่ย” ผมพูดแล้วทำท่าทางให้เขาดู เพราะจะให้ผมไปค้นหาฟลุ้ตจากเศษข้าวของที่กระจัดกระจายกันอยู่คงลำบาก อีกอย่างไม่รู้ว่ามันจะยังมีสภาพดีอยู่อีกมั้ย งินมองแล้วพยักหน้า “ถ้าขลุ่ยแบบนั้นผมเคยเห็นบนบก ที่หมู่บ้านเคยมีคนเป่า”

                “อือ”

                “แต่ผมเล่นไม่เป็น”

                “ไม่เป็นไรหรอก แค่ฟังอย่างเดียวก็ดีแล้ว”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมทำปากยื่น “แต่ถ้ามีฟลุ้ตเล่นคู่จะเพราะไม่ใช่หรือครับ หัดยากมั้ย?”

                “ไม่รู้สิ ฉันไม่เคยหัดหรอก”

                “ฮือ... แล้วผมควรทำยังไงดี ไปฟังเฉยๆ ไม่ดีแน่เลย”

                “มันไม่ดีตรงไหนล่ะ”

                “ก็ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนี่ครับ”

                ผมมองเขาอย่างเอ็นดู แล้วนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้ “เธอก็ร้องเพลงประกอบเป็นไง เสียงเธอเพราะนี่ ฉันเคยฟัง”

                “หืม? เมื่อไหร่ครับ?”

                “ก็ตอนเธอขึ้นจากหาด”

                “อ๋อ... ตอนนั้นที่คุณเป็นลม”

                “..............”

                “โทวะซัง...? โกรธเหรอครับ?”

                “เปล่า” ผมปฏิเสธ “แค่นึกทุเรศตัวเองน่ะ ดันเป็นลมไปซะได้”

                งินหัวเราะเสียงใส “ไม่แปลกหรอกครับ ก็คุณไม่เคยเห็นเงือกนี่ เวลาคนตกใจอะไรมากๆ ก็ต้องเป็นลมเป็นธรรมดานี่ครับ”

                “อืม...” ผมรับคำแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ได้ยินเขาพูดต่อ “ต่อไปผมจะระวังไม่ทำอะไรให้คุณตกใจมาก คุณจะได้ไม่ทุเรศตัวเอง”

                ผมนึกทุเรศตัวเองหนักกว่าเก่า จนต้องรีบพูดขึ้นมา “ฉันไม่ใช่คนเป็นลมง่ายอะไรแบบนั้นหรอก”

                “เอ๋?”

                พอเห็นหน้าแปลกใจของเขาแล้วผมถึงขั้นต้องถอนหายใจแรงๆ อีกสองที “เอาว่าปกติฉันไม่ใช่คนตกใจง่ายๆ แล้วกัน อย่าว่าแต่เป็นลมเลย”

                “แสดงว่าตอนเห็นผมคุณตกใจมาก”

                “...อืม” ผมจำต้องพยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะรีบพูดต่อ “แต่มันจะไม่เป็นแบบนั้นแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเธอเป็นเงือก”

                “อ้อ...” งินส่งเสียงแล้วเงียบไป ท่าทางเหมือนกำลังตรึกตรองเรื่องอะไรอยู่ ผมเห็นแล้วก็อดถามไม่ได้ “มีอะไรหรือ?”

                “อ๋อ เปล่าหรอกครับ แล้ว... คุณกับโอ... เอ้อ ซุบารุซัง เป็นยังไงกันบ้างครับ ผมหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขาน่ะ”

                “อ๋อ ปกติ” ผมตอบ แล้วนึกบางเรื่องขึ้นมาได้ เลยพูดต่อทันที “คือฉันกับคามิซาวะเป็นเพื่อนร่วมงานกัน เขาเป็นเลขาส่วนตัวฉัน แค่นั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น บอกทสึกิยะเลยว่าไม่ต้องจองเวรฉันเรื่องคามิซาวะอีก”

                งินทำหน้าโล่งใจปนขำ “ฮ่าๆ ผมรู้แล้วล่ะครับ ส่วนเรื่องทสึกิยะซัง... ผมว่าอธิบายไปเขาก็ไม่เข้าใจหรอก เขาเข้าใจอะไรยากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จริงสิครับโทวะซัง ถ้าคุณกลับไปแล้ว ช่วยทำยังไงก็ได้ ให้ซุบารุซังกลับมาที่เกาะนี้ได้มั้ยครับ ผมมีเรื่องบางอย่างจะต้องคุยกับเขา”

                “อืม...” ผมส่งเสียงในคออย่างใช้ความคิด “ถ้าเธอพูดแบบนี้ แสดงว่าคามิซาวะไม่ยอมกลับมาที่เกาะนี้อีกเลยสินะ”

                “ใช่ครับ”

                “ฉันจะลองพยายามดูแล้วกัน”

                งินร้องด้วยความดีใจ “ขอบคุณนะครับโทวะซัง”

                “ไม่เป็นไรหรอก” ผมตอบเขา พลางนึกสงสัยว่าที่เขาพาผมมาที่นี่ เพราะต้องการจะพูดเรื่องนี้รึเปล่า “นี่ งิน”

                “ครับ?”

                “ที่ชวนฉันมาที่นี่ เพราะเรื่องคามิซาวะเหรอ?”

                “ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ” เงือกหนุ่มตรงหน้าผมรีบปฏิเสธทันที ก่อนจะพูดต่อ “ที่จริงผมชวนคุณมาที่นี่ เพราะคุณเป็นมนุษย์จากที่อื่นคนแรกที่ผมเจอตั้งแต่ผมเกิดมา ผมไม่เคยเจอคนจากที่อื่นเลยนะครับ คุณเป็นคนแรก”

                “แค่นั้นเหรอ?”

                งินดูแปลกใจกับท่าทางของผม “ทำไมล่ะครับ? คุณเป็นคนสำคัญมากนะ เป็นเจ้านายของซุบารุซัง และเป็นแขกของที่นี่ในรอบหลายปีด้วย”

                “งั้นถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน เธอก็จะชวนลงมาเหมือนกันงั้นสิ”

                “ทำไมพูดแบบนั้นล่ะครับ”

                “ถามดูน่ะ”

                งินเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พึมพำอะไรบางอย่างที่ผมจับใจความไม่ได้ ผมเลยขยับตัวเข้าไปใกล้ “ว่าไงล่ะ?”

                เงือกหนุ่มที่มีเรือนผมสีเงินตนนั้นขยับหน้าหนี “เข้ามาใกล้เกินไปแล้วครับ”

                “ก็ฉันไม่ได้ยินนี่”

                “ผมไม่ได้ตอบให้คุณได้ยิน”

                “แล้วกัน” ผมคราง “แล้วเธอตอบให้ใครฟัง”

                “ให้ฟองน้ำฟังครับ”

                ผมนึกอยากตีก้นเขาขึ้นมาตงิด ติดแต่นึกได้ว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะกระทำกับเงือก เลยแสร้งปั้นหน้าดุถามต่อแทน “พูดให้ฟองน้ำฟังแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา ทำไมไม่พูดให้ฉันฟังล่ะ”

                “ก็ผมไม่อยากให้คุณได้ยินนี่”

                “ทำไมไม่อยากให้ฉันได้ยินล่ะ”

                “เดี๋ยวคุณจะว่าผม”

                “เพราะ?”

                งินก้มหน้างุด ไม่ยอมตอบคำถามผมเสียที ผมเห็นท่าเขาแล้วนึกอยากแกล้งขึ้นมา เลยตีเสียงดุต่อ “ก็ได้ เธอจะไม่บอกฉันก็ได้ ยังไงเสียฉันมันก็แค่แขกที่มาพัก ไม่ได้สลักสำคัญอะไรจริงๆ อยู่แล้วนี่”

                “ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ!”

                “แล้วทำไมถึงไม่ยอมพูดให้ฉันได้ยินล่ะ”

                “ก็...” งินทำหน้าอึดอัดใจ “ก็ผมไม่รู้นี่ว่าทำไม... ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นคุณ ถ้าเป็นคนอื่นผมคงไม่พาลงมา”

                “ทำไมล่ะ?”

                “ถ้าผมรู้ผมก็บอกคุณไปแล้วล่ะ” งินพูด แล้วก้มหน้างุด “อย่าโกรธผมเลยนะ”

                เดิมทีผมก็ไม่ได้โกรธอะไรเขาอยู่แล้ว ยิ่งเห็นท่าทางแบบนี้ ผมยิ่งโกรธเขาไม่ลงเข้าไปใหญ่ “ฉันจะไปโกรธอะไรเธอเล่า แค่เธอพาฉันลงมาที่นี่ ฉันก็ดีใจมากแล้ว”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมเงยหน้าขึ้นมาทันที “จริงเหรอครับ?”

                “อือ” ผมพยักหน้า “จะมีคนสักกี่คนมีโอกาสแบบฉันล่ะ มาคราวนี้ถือว่าฉันไม่เสียเที่ยวจริงๆ”

                เขายิ้มออกมา “โทวะซัง ผมมีอีกเรื่องจะบอก”

                “อะไรหรือ?” พอเห็นท่าทางเหมือนอยากจะบอกความลับอะไรสักอย่างของเขา หัวใจผมก็เต้นดังอึงขึ้นมา งินขยับเข้ามาใกล้ ทำหน้าเขินๆ ใส่ผม หลังจากบิดไปบิดมาให้ผมตื่นเต้นเล่นอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็อ้าปากพูดได้เสียที

                “ที่นี่น่ะเป็นสถานที่ลับของผม คุณเป็นคนแรกและคนเดียวที่ผมพามาที่นี่ อย่าไปบอกใครนะครับ”

                หัวใจผมขยับผิดจังหวะไปนิดหน่อย เหมือนคาดเรื่องที่จะได้ฟังพลาดไป ถึงงั้นมันก็กลับมาเต้นระส่ำอีกหลังจากนั้นไม่นาน ตอนที่ได้เห็นดวงตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้นมองสบขึ้นมา

                “แค่คุณกับผม... ห้ามบอกใครนะครับ”

                “อือ... ฉันไม่บอกใครหรอก เธอเองก็ห้ามพาใครมาอีกล่ะ”

                “ครับ”

                ผมไม่รู้ว่าเขารับปากไปแบบนั้นหรืออะไรกันแน่ ผมไม่รู้หรอกว่าเขาคิดยังไงถึงพาผมมาที่นี่ ที่ผมรู้ก็แค่เสียงของหัวใจตัวเองที่เต้นอื้ออึงอยู่ในอก

                ผม...

------------------------------------------------------

                ตอนที่ผมขึ้นมาจากใต้ทะเล ก็เป็นเวลาพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าพอดี งินบอกผมว่าไม่อยากให้ผมค้างคืนในเมืองเงือก เพราะตอนกลางคืนพวกเงือกจะตื่นมาเยอะ แล้วพวกที่ไม่ชอบมนุษย์และดุกว่าทสึกิยะยังมี เขาไม่อยากให้ผมเสี่ยง ผมเองก็ไม่อยากโดนเงือกตามจองล้างจองผลาญในทริปวันหยุด เลยยอมกลับขึ้นฝั่งมาแต่โดยดี

                “พรุ่งนี้จะขึ้นมาอีกหรือเปล่า?” ผมถามตอนที่พวกเรานั่งกันอยู่บนหาด งินหันมองผม แล้วพยักหน้า “มาสิครับ โทวะซังอยากไปเที่ยวที่ไหนอีกรึเปล่า?”

                “เอาที่ที่เธออยากพาฉันไปน่ะ ฉันยังไงก็ได้”

                งินมองผมแล้วหัวเราะคิกคัก “งั้นพรุ่งนี้เจอกันครับ”

                “อือ อ้อ...!” ผมฉุดมือเขาไว้ก่อนที่เขาจะได้ทันลงน้ำ “มีอีกเรื่องที่ฉันต้องบอกเธอ”

                “ครับ?”

                ผมขยับหน้าเข้าไปใกล้เขา แล้วแตะริมฝีปากลงไปหน่อยหนึ่ง งินสะดุ้ง แล้วพูดออกมา “โทวะซังอยากจะลงทะเลอีกเหรอครับ”

                ผมยิ้มให้เขา แล้วใช้มือข้างหนึ่งปิดปากเขาไว้ “ฉันไม่รู้ว่าเธอรู้หรือไม่รู้นะงิน แต่บนบก ถ้าเอาปากแตะกันแบบนี้ หมายถึงคนรักกัน เข้าใจมั้ย?”

                ใบหน้าของเงือกหนุ่มตรงหน้าผมมีสีแดงซ่านขึ้นมาทันที เขารีบสะบัดหน้าแล้วหนีลงน้ำไปอย่างรวดเร็ว

                ผมถอนหายใจเฮือก แล้วยกมือเขกหัวตัวเองทีหนึ่ง

                เฮ้อ... ให้ตายซี่

---------------------------------------------
**โอ๊ย มุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยเขียนมา 555+ :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 10-12-2015 15:47:43
อืมมมมมมมมม

คามิซาวะซังน่าจะเป็นเงือก~ (มโน)


อยากให้งินไปเที่ยวบนบกบ้างงงงงงงงงง

โทวะซังเสกสระว่ายน้ำทะเลในร่มเลยค่ะ โฮะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 10-12-2015 15:48:58
OMG.  :ling1:   โอ้วคามิซามะช่วยด้วย หัวใจจะวาย 
นี่มันคือที่สุดของการอ่านโลลิค่อนสลับขั้ว. ฮ่าๆๆ
งินไม่รู้จริงๆใช่ไหมอะ. ต่อไปนี้คงรู้แล้วนะ ว่านี่มันไม่ใช่การขออากาศแต่เป็นจุมพิตกับคนรักน่ะ
ตอนนี้โรแมนติกแบบไม่รู้ตัวดี นึกฉากโทวะซังเล่นเปียโนแล้วงินยืนในภวังค์  :impress2:   
ตุนน้ำทะเลด่วนๆเลยค่ะเอาเป็นแท็งค์เลย ไม่รู้สระใหญ่ขนาดไหนสินะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 10-12-2015 15:58:07
มุ้งมิ้งมากก บอกเลยค่าาาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 10-12-2015 16:27:41
นิยมคนแก่ที่เด็กกว่าสินะ โทวะซางงงงงงงง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 10-12-2015 17:43:50
งินนนนนน อยากได้งินนนน จะเอาๆๆๆๆๆ  :hao7: ทำไมงินน่ารักแบบนี้  :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 10-12-2015 17:48:56
พี่โทวะเลี้ยงปู่งินเถอะค่ะบอกเจ๊มาเลยว่าอยากได้สระกว้างขนาดไหนลึกขนาดไหน เอาแบบนาเกลือ หรือบ่อกุ้งดี เดี๋ยวเอารถไปขุดให้ แว๊กกก.. เวอร์วังมาก

ก็อยากให้ปู่ได้ฟังเสียงเปียโนมั่ง งุงิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 10-12-2015 17:52:43
 :o8: เขินสุดดดด
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 10-12-2015 18:30:09
โธ่ โทวะไม่น่ารีบบอก งินตื่นหนีกลับทะเลเลย กิกิ
เป็นเรื่องมุ้งมิ้งขั้นสุดที่เคยอ่านจากคุณ juon มาจริงๆ ค่ะ ตอนหน้าขอมุ้งมิ้งอีก
 :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-12-2015 18:30:20
น่ารัก... ว่าแต่ ถ้าหมดช่วงพักร้อนแล้วจะทำยังไงล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Maxshu ที่ 10-12-2015 19:35:22
ทำให้งินเขินแล้วทำไม มันส่งผลต่อผู้อ่านนะ -///-
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 10-12-2015 20:05:25
 ไอ้เราก็นึกว่าเคลิ้มกับจูบ ฮาเงิบไปเลย
คุณซึบารุทำไงถึงขึ้นไปบนบก แล้วไม่กลับทะเลเป็นปีๆได้
ถ้างินขึ้นไปลำบาก โทวะซังลงไปอยู่กับงินก็ไม่เลวนะ หายใจไม่ออกก็จุ๊บเติมทีนึง  :z1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 10-12-2015 20:51:49
โง่ยยย น่าร้ากกกกกก  :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 10-12-2015 21:05:00
เล่นเอาฮาในตอนแรก แต่ตอนท้ายนี่มุ้งมิ้งง่ะ อร๊ายยยย  :m3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-12-2015 21:30:49
มุ้งมิ้งมากจริงๆ ค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 10-12-2015 21:49:59
โทวะซังหลอกเด็ก เอ๊ะ หรือคนแก่  เอาเป็นว่ากำลังล่อลวงน้องงินของพวกป้าๆแน่  :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 10-12-2015 23:40:52
คุณโทวะเต๊าะเด็กใหญ่เลย ถึงจะอายุมากแต่น้องงินยังเด็กอยู่น้า...
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: หลิว ที่ 11-12-2015 06:46:50
ต่อจากนี้งินจะพาโทวะซังลงน้ำทีคงอายม้วนต้วน
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่6 P.3 (10/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 11-12-2015 08:21:31
อ่านรวดเดียวแล้วก็ถึงกับเอามือทาบอกค่ะ เพราะทุกเรื่องที่เคยอ่านมา มีแต่มาเฟีย ฆาตกรรมยิงกันโป้งป้าง ใช้สมองงัดข้อกันสุด เจอมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งแบบนี้เข้าไปถึงกับงงเลย รอตอนต่อไปนะคะ รอผีเสื้อน้ำแข็งด้วยคิดถึงมากค่ะ ปู่งินนี่เป็นเงือกที่น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่7 P.4 (12/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-12-2015 13:23:17


Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่7 คามิซาวะ

                เช้าวันรุ่งขึ้นผมไปนั่งรองินที่ริมหาด แต่จนตะวันขึ้นสูงแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของเขา ผมจึงเดินกลับมาที่หมู่บ้าน จึงได้พบกับยูมิโกะที่มาตามผมไปรับโทรศัพท์พอดี

                “เป็นไงบ้างครับ ทาซากิซัง” เสียงคุ้นหูดังลอดหูโทรศัพท์ทันทีที่ผมกรอกเสียงลงไป ผมเลิกคิ้ว “สบายดี ที่บริษัทเป็นไงบ้าง”

                คามิซาวะทำเสียงเหมือนผิดหวังหน่อยๆ “ว้า คุณถามผมถึงเรื่องงานอีกแล้ว เราสัญญากันแล้วไงครับว่าจะไม่พูดถึงเรื่องงาน”

                ผมนึกอยากพักงานคามิซาวะขึ้นมากะทันหัน ติดอยู่แต่ที่ผมยังอยู่ระหว่างลาพักนี่แหละ “คามิซาวะซัง”

                “ครับ?”

                “โทรมาทำไม”

                เขาอึ้งไปหน่อยหนึ่ง แล้วจึงหัวเราะออกมา “โทรมาตรวจดูว่าคุณยังโอเคอยู่รึเปล่าครับ เห็นเงียบไปเลย ผมกลัวคุณถูกใครลากลงทะเลไป”

                ผมเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง “คามิซาวะ!”

                “ครับ...?”

                “รู้เรื่องเงือกบนเกาะนี้มากแค่ไหน” ผมตัดสินใจถามเขาไปตรงๆ ได้ยินเสียงคามิซาวะตอบกลับมา “รู้พอๆ กับเวลาที่ใช้อยู่บนเกาะนั้นแหละครับ”

                ให้ตายสิ ช่วยตอบให้ตรงคำถามหน่อยได้ไหม!

                “ถ้าจะพูดแค่นี้ล่ะก็ ไม่ต้องโทรมาหรอกนะ ถ้าผมเป็นอะไรไปคงมีคนโทรแจ้งคุณเองนั่นแหละ อีกสามวันผมจะกลับไป ถ้ามีงานส่วนไหนไม่เรียบร้อยล่ะก็...”

                “คุณเตรียมยื่นซองขาวให้ผมได้เลย” เขาสวนทันใจ “ผมยินดีรับผิดชอบกับสิ่งที่ผมทำลงไปครับ”

                ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมา “รู้หรอกน่า ว่าคุณไม่น่าทำอะไรผิดพลาด”

                “รู้ก็ดีแล้วครับ คุณพักผ่อนให้สบายเถอะ รู้สึกยังไงบ้างกับที่นั่นครับ”

                “ก็ดี”

                “แค่นั้นน่ะ?”

                ผมนึกรำคาญเขาขึ้นมา “จะให้ผมตอบอะไรอีกล่ะ ผมมาตามคำขอร้องของคุณ มาเจอเงือกที่นี่ แค่นี้ยังไม่น่าประทับใจพออีกเหรอ?”

                ได้ยินเสียงเขาหัวเราะ “รู้แล้วล่ะครับทาซากิซัง งั้นไว้ผมจะโทรมาใหม่ ขอให้สนุกกับช่วงเวลาพักผ่อนที่เหลือนะครับ”

                “เออ เคลียร์งานรอผมไว้ด้วยนะ ถ้าผมกลับไปตรวจแล้วเจอข้อบกพร่องอะไรล่ะก็...”

                “ทราบล่ะครับ งั้นสวัสดีครับ”

                “อืม”

                ผมวางหูโทรศัพท์ ที่จริงยังมีอีกหลายคำถามที่ผมอยากถามหมอนั่น แต่ด้วยนิสัยอย่างเขา คงไม่ยอมตอบคำถามผมตรงๆ แน่ เอาเหอะ เวลาที่ผมจะได้คุยกับเขายังมีอีกเยอะ ตอนนี้เป็นห่วงช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ก่อนดีกว่า

                “ยูมิโกะซังเห็นงินบ้างมั้ยครับ?” ผมเอ่ยปากถาม หลังออกมาจากบ้าน แล้วเห็นเธอยืนรออยู่ หญิงวัยกลางคนสั่นศีรษะ “ไม่ค่ะ ทำไมหรือคะ?”

                “อ๋อ เปล่าครับ” ผมว่า ก่อนจะเดินปลีกตัวออกมา

-----------------------------------

                สำรับอาหารเช้าถูกวางไว้เรียบร้อยตอนผมไปถึงบ้านพัก ผมนั่งลงบนฟูก กวาดตามองอาหารพวกนั้น พลางนึกถึงเงือกผมสีเงินตนนั้น

                เขาบอกว่าอาหารของเขาเป็นปลากับหอย เขาจะชอบซูชิพวกนี้รึเปล่า?

                ผมมองซูชิหน้าต่างๆ ที่วางอยู่ในถาด พลางนึกถึงภาพเขาตอนกำลังกินขนมไดฟุกุในร้านขายของชำเมื่อวานนี้ เขาเหมือนคนทุกอย่าง ทั้งหน้าตาท่าทาง แม้ว่าสีตาและสีผมจะต่างไปก็เถอะ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของเขาเวลามองผม ทำให้อดรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้ เขาอายุตั้งเก้าสิบห้าแล้ว แถมไม่ใช่คนแต่เป็นเงือก

                ‘ฉันคิดว่าฉันคงเริ่มชอบใครสักคนขึ้นมาแล้วล่ะ?’ ผมนึกถึงคำพูดที่ตัวเองหลุดปากไปเมื่อวาน นึกถึงดวงตาสีเขียวน้ำทะเลของเขา นึกถึงสีหน้าของเขาตอนผมบอกเขาเรื่องจูบ

                ทั้งที่บอกว่าจะขึ้นมาวันนี้แท้ๆ หรือเพราะเรื่องนั้นเขาเลยไม่ยอมขึ้นมา

                บางทีงินอาจจะไม่รู้จริงๆ ก็ได้ เขาคงตกใจที่ผมบอกแบบนั้น ผมนึกถึงตอนที่เขาโมโหครั้งที่โดนผมตีก้น ครั้งนั้นเขารีบหนีลงน้ำไป เมื่อวานนี้ก็เหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับผมกันแน่ บางทีอาจจะเป็นแค่ความสนใจของแปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอ เหมือนเด็กที่ได้เจอของเล่นชิ้นใหม่ พอผมบอกเขาแบบนั้นเขาอาจจะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เขาอาจจะเขินหรืออายจนไม่กล้าขึ้นมาเจอผม เขาคงไม่คิดอะไรเลย บางทีชีวิตเก้าสิบห้าปีของเขาอาจจะเห็นเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาก็ได้

                เขาให้ความสนใจผมที่เป็นมนุษย์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ส่วนผมสนใจเขาเพราะเขาเป็นอะไรที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน บางทีอาจจะเป็นความประทับใจในสิ่งที่คาดไม่ถึง ผมอาจจะไม่ได้รู้สึกชอบเขาจริงๆ ก็ได้ แต่ผมจะแน่ใจได้ยังไง ในเมื่อตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยชอบใครเป็นจริงเป็นจังเลย

                อะไรคือความหมายของคำว่าชอบกันแน่?

                ผมตัดสินใจผละจากอาหารเช้า กลับไปที่บ้านของยูมิโกะอีกครั้งเพื่อขอยืมโทรศัพท์ หลังรอสายอยู่พัก คามิซาวะก็รับเสียที

                “มีอะไรครับ?”

                “คามิซาวะซัง ผมมีเรื่องอยากปรึกษา”

                “เรื่องงานตอนนี้ผมไม่รับนะ”

                ถ้าอยู่ที่ทำงานผมปากระดาษไม่ก็ปากกาใส่เขาแล้วแน่ แต่ตอนนี้พวกเราอยู่ห่างกันคนละโยชน์ ผมจึงทำได้แค่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ แล้วให้นึกสงสัยขึ้นมาว่าโทรหาถูกคนรึเปล่า?

                “ทาซากิซัง?”

                “อืม... ผมฟังอยู่”

                คามิซาวะเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา “ผมสิครับต้องเป็นคนพูดประโยคนั้น คุณมีอะไรอยากจะปรึกษาผมหรือครับ?”

                “คุณเคยชอบใครรึเปล่า?”

                คราวนี้คามิซาวะเงียบไปนานจนผมนึกว่าสายหลุด “คามิซาวะ?”

                “ครับ?!” เสียงของคามิซาวะเหมือนคนเพิ่งหลุดออกมาจากภวังค์ เขารีบพูดต่อทันที “จู่ๆ ทำไมถามเรื่องแบบนี้ล่ะครับ”

                “ผมถามคุณ คุณตอบที่ผมถามก่อนสิ”

                ปลายสายเงียบไปอีกสักพัก “ผมตอบคุณไม่ได้หรอก มันไม่ใช่เรื่อง...”

                “แค่ผมถามว่าคุณเคยชอบใครรึเปล่าทำไมมันตอบยากนักล่ะ?” ผมถามเขาด้วยความสงสัย คามิซาวะเงียบไปอีกครู่ใหญ่ๆ “ทาซากิซัง เกิดอะไรขึ้นกับคุณครับ ปกติคุณไม่น่าจะถามแบบนี้”

                ผมเองก็นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เรื่องแค่นี้ทำไมไม่ยอมตอบผมตรงๆ “ผมถามคุณนะคามิซาวะซัง มีสมาธิตอบผมหน่อยสิ”

                “ผมก็ตั้งสมาธิตอบคุณอยู่นี่ล่ะครับ เอ๊ะ หรือว่า?!” ปลายสายผมเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะโพล่งขึ้นมา “อย่าบอกนะครับว่าคุณชอบงินเข้าแล้ว”

                ผมกัดปากด้วยความหงุดหงิด “ผมแค่สงสัยน่ะ”

                เสียงของคามิซาวะเงียบไปอีกอึดใจหนึ่ง “โทวะซัง... งินเป็นเงือกนะครับ”

                “เออ ผมรู้”

                “เขาเป็นตัวผู้นะครับ”

                “เห็นล่ะน่า”

                “คุณชอบเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก อย่าไปชอบเขาเลยครับ”

                ผมนึกฉุน “คามิซาวะซัง ผมยังไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบกันแน่ เพราะผมไม่เคยมีประสบการณ์ชอบใครมาก่อน ผมเลยอยากจะถามคุณดูแค่นั้นเอง”

                ได้ยินเสียงคามิซาวะสูดหายใจลึก “งั้นคุณถามถูกคนแล้ว คุณไม่ได้ชอบงินแน่นอน ผมยืนยัน คนเรามันชอบใครภายในวันสองวันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ คุณอาจจะรู้สึกสับสน งินอาจจะดูแปลกจนคุณเผลอคิดว่าชอบเขา มันก็เหมือนเวลาคุณไปเดินห้าง เห็นเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วรู้สึกอยากได้ แต่พอคุณกลับมาจากห้าง ความอยากได้นั้นก็หายไปแล้ว มันเป็นแบบนั้นครับ”

                ผมนิ่งฟังเขา ก่อนจะพยักหน้า “อืม เข้าใจล่ะ”

                ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ “งั้นดีแล้วครับ เอ่อ... จริงสิครับ ผมเพิ่งเจอเอกสารชิ้นหนึ่งจำเป็นต้องให้คุณเซ็นอย่างด่วน ยังไงพรุ่งนี้ผมจะให้ยูมิโกะออกเรือจากเกาะเป็นพิเศษเที่ยวหนึ่ง เพื่อมาส่งคุณโดยเฉพาะ เอาแบบนี้ดีกว่านะครับ คุณเองจะได้กลับมาทำงานด้วย”

                ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “เอกสารสำคัญขนาดนั้น ทำไมคุณถึงไม่บอกผมตั้งแต่เมื่อเช้าล่ะ”

                “ผมเพิ่งเจอเมื่อตะกี้เองครับ เอาตามนี้แล้วกันนะครับ พรุ่งนี้ผมจะให้คนเอารถไปรับคุณที่ท่าเรือ ยูมิโกะอยู่ตรงนั้นรึเปล่าครับ ขอผมคุยกับเธอหน่อย”

                ผมเหลือบไปมองประตู ยูมิโกะยืนรอผมอยู่ด้านนอก ผมกรอกเสียงตอบกลับไป “เธออยู่ข้างนอก เดี๋ยวผมไปตามให้”

                “ครับ พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”

                ผมแขวนโทรศัพท์เอาไว้แล้วออกมาตามยูมิโกะ ก่อนจะพาตัวเองกลับไปที่บ้านพัก เหตุผลของคามิซาวะฟังดูน่าเชื่อถือ ผมคงเผลอสับสนไปหน่อย คิดแล้วก็น่าอายที่หลุดปากออกไปแบบนั้น

                เมื่อวานถ้าผมไม่พูดแบบนั้นกับงิน วันนี้ผมคงได้เจอเขา

                พอคิดว่าพรุ่งนี้ผมต้องกลับและคงไม่ได้เจอเขาอีก หัวใจของผมมันก็ห่อเหี่ยวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมบอกตัวเองว่ามันคงเป็นอาการอยากได้อะไรสักอย่างแล้วไม่ได้ เลยผิดหวัง ไม่น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น งินเป็นเงือก แถมเป็นผู้ชาย ส่วนผมเป็นมนุษย์ มีงานมีการต้องกลับไปสะสางอีกมาก ผมควรตั้งสติให้ดี สาเหตุที่ผมมาที่นี่คือเพื่อมาพักผ่อน ไม่ได้มาเพื่อชอบหรือพาใครกลับไปทั้งนั้น ถึงกระนั้น ระหว่างเดินกลับไปที่บ้านพัก ผมกลับเอาแต่นึกถึงเรื่องราวที่ได้เคยคุยกับงิน เรื่องที่จะพาเขาไปข้ามถนน เรื่องที่จะพาเขาไปฟังเปียโน เรื่องที่เขาสัญญากับผมว่าจะไปให้ได้ แต่... วันนี้เขาไม่ขึ้นมา เขาคงโกรธผม ผมผิดเองที่เผลอไปพูดจาอะไรแบบนั้นเข้า

                พอคิดว่าเขาคงจะไม่ไปฟังเปียโนตามที่สัญญาไว้ หัวใจผมก็ปวดแปลบ ภาพดวงตาสีหน้าของเขาตอนเกี่ยวก้อยสัญญาปรากฏชัดขึ้นมาในห้วงคำนึง

                ให้ตายเถอะ ผมไม่เคยรู้สึกปวดใจจากการพลาดหวังอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ผมไม่ได้ชอบเขาจริงๆ หรือ? ถ้าผมกลับไปแล้วผมจะเลิกคิดถึงเรื่องเขาได้จริงๆ หรือ?

                ผมกลับไปที่บ้านพัก ทิ้งตัวลงบนฟูกนอนโดยไม่แตะต้องอาหารที่วางอยู่ หวังว่าตัวเองจะนอนกลับไปสักงีบ แล้วตื่นมาพบว่าทั้งหมดก็แค่ความรู้สึกชั่วครู่ อาจจะเป็นเพียงความฝัน แต่จนแล้วจนรอดผมก็ข่มตาให้หลับไม่ลงเสียที

------------------------------------------------------------

                ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่หาดอีกครั้ง ท่ามกลางแสงตะวันยามสายที่แผดแรงจนแทบไหม้ผิว

                จะอะไรก็ช่างเถอะ ขอให้ผมได้เจอเขาอีกสักครั้งแล้วกัน ขอให้ผมได้มีโอกาสขอโทษเขา บอกเขาว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น เขาคงยอมให้อภัยผม อย่างน้อยๆ เวลาผมไปจากที่นี่ จะได้ไม่รู้สึกค้างคาใจว่ามีใครยังโกรธผมอยู่

                แต่ทว่า... ผมไม่เห็นอะไรบนผิวน้ำทะเล นอกจากระรอกคลื่นที่ซัดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีเงือกหนุ่มผมสีเงินตนนั้น ไม่มีใครหรืออะไรเลย มีเพียงผมที่ยืนมองฟองคลื่นอยู่เพียงคนเดียว

                หรือเขาจะไม่ยอมขึ้นมาเจอผมจริงๆ...

                “งิน!” ความรู้สึกอัดอั้นเหมือนจะระเบิดอยู่ในอก ผลักดันให้ผมตะโกนเรียกชื่อเขา หวังอยู่ลึกๆ ว่าเขาจะยอมมาให้เจอหน้า แต่ทว่าที่สะท้อนกลับมามีเพียงเสียงคลื่นและเสียงลมเท่านั้น หัวใจของผมปั่นป่วนแบบไม่เคยเป็นมาก่อน

                งิน...

                ผมรู้สึกตัวเองก้าวเท้าลงไปในทะเลแบบคนที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ คลื่นทะเลซัดกระแทกตัวผมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทว่าสมองกลับไม่นำพา สายตาของผมเพียงมองหาบางอย่างที่จะปรากฏขึ้นมาบนผิวน้ำ คาดหวังว่าจะได้เจอกับเงือกตนนั้น

                “โทวะซัง!” เสียงคุ้นหูเรียกชื่อผมจากด้านหลัง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้หันไปมอง คลื่นลูกหนึ่งก็ซัดม้วนเข้ามา ดึงตัวผมลงไปใต้น้ำ ตอนนั้นแหละ ผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเดินลงมาลึกแค่ไหน

                ผมตะกายมือเพื่อพาตัวเองขึ้นไปเหนือผิวน้ำ แต่คลื่นที่ซัดเข้ามาใหม่ม้วนตัวผมลงไปใต้น้ำอีกครั้ง ผมรู้สึกได้ถึงน้ำทะเลเค็มเฝื่อนที่ทะลักเข้ามาในจมูก แสบจนแทบจะประคองสติเอาไว้ไม่อยู่ วินาทีนั้นเองมือของใครบางคนก็ยื่นมาดึงแขนผมไว้ จากนั้นผมก็รู้สึกถึงริมฝีปากอ่อนโยนที่แนบชิดเข้ามา

                ผมรวบตัวเขาเข้ามากอดแน่น แทบจะลืมเรื่องที่กำลังจมน้ำเมื่อครู่ ในหัวใจเพียงสัมผัสได้ถึงสิ่งที่โหยหามากที่สุด ลิ้นของพวกเราเคล้ากันอยู่นาน จนเขาดึงตัวผมขึ้นมาบนฝั่ง

                “โทวะซัง?” งินเรียกชื่อผม ขณะที่ใบหน้าของเราแทบจะแนบชิดกัน ผมมองหน้าเขา มองดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้น จากนั้นก็ดึงตัวเขามากอดแน่น

                “โทวะ!” งินอุทานชื่อผม ระหว่างที่คลื่นซัดผ่านตัวพวกเราที่เกยอยู่บนหาด ผมกอดเขาแน่นกว่าเก่า ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นอื้ออึงอยู่ในอก

                ในที่สุดผมก็ได้เจอเขาเสียที... ในที่สุดเขาก็มาแล้ว

                ผมรู้สึกได้ถึงฝ่ามือของงินที่ค่อยๆ ทาบลงบนไหล่ผมอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ได้ยินเสียงของเขา

                “ไม่เป็นไรแล้วนะครับ... คุณไม่เป็นไรแล้ว”

                น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไปแล้วกันแน่ แค่เพียงได้ยินเสียง แค่เพียงรู้ว่าเขามา หัวใจของผมมันก็สั่นระรัวไปหมด ความรู้สึกของผมที่มีให้เขาเป็นเพียงแค่ความรู้สึกชั่ววูบอย่างที่คามิซาวะว่าจริงๆ หรือ ถ้าอย่างนั้นทำไมผมถึงได้เจ็บปวดตอนคิดว่าจะต้องจากเขา และรู้สึกตื้นตันเมื่อได้เจอเขาขนาดนี้

                “ร้องไห้หรือครับ?” งินถามผมหลังจากที่เรากอดกันอยู่พักใหญ่ ผมสั่นศีรษะโดยไม่ยอมให้เขาเห็นหน้า “เปล่า”

                “แต่ผมได้ยินเสียงนะ” เขาพูด แล้วดึงตัวผมออก ผมจึงต้องเผชิญหน้ากับเขาอย่างห้ามไม่ได้

                ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้นจ้องมายังผม จากนั้นเขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งมาเช็ดที่หางตา “ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องกลัว ผมเข้าใจว่าจมน้ำมันน่ากลัวสำหรับคุณมาก แต่ไม่เป็นไรแล้วครับ ไม่เป็นไร”

                ผมเบือนหน้าหนีมือของเขาไปอีกทาง ก่อนจะเค้นคำพูดออกมา “ฉันไม่ได้ตกใจเรื่องจมน้ำหรอก”

                “เอ๋? แล้วอย่างนั้น...”

                ผมหลับตาลง ก่อนจะตัดสินใจหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง จ้องลึกลงไปในดวงตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้น “ฉันแค่ดีใจที่ในที่สุดเธอก็มา”

                สีหน้าของงินดูแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นผมก็เห็นสองแก้มของเขาแดงเรื่อ “รอผมอยู่เหรอ?”

                “อือ...”

                “คุณ... ไม่ได้โกรธผมหรือ?”

                “ฉันจะโกรธเธอทำไมล่ะ?”

                “ก็เรื่องเมื่อวาน...” เขาลดเสียงลง ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นกว่าเดิม “ผมเอาปากประกบกับคุณตั้งหลายครั้ง... ผมเพิ่งรู้ว่ามันเสียมารยาทมาก”

                ผมอดยิ้มให้กับคำพูดและท่าทางของเขาไม่ได้ “ก็ไม่ได้เสียมารยาทอะไรขนาดนั้นหรอก”

                เขารีบเถียงผมกลับทันที “แต่พวกเราไม่ได้เป็นคนรักกันนี่ครับ”

                ผมมองเขาอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา “งิน... เธอเคยชอบใครรึเปล่า?”

                “ผมยังเด็ก...” เขาตอบไม่ตรงคำถาม ผมถอนหายใจอีกครั้ง “รู้มั้ย ตั้งแต่เมื่อเช้าฉันเอาแต่คิดถึงเรื่องเธอ ทำยังไงก็หยุดคิดไม่ได้เสียที”

                เขาก้มหน้านิ่ง พวกเราเงียบกันอยู่นาน ปล่อยให้เสียงคลื่นและสายลมพัดผ่านหูไป สักพักเขาก็เงยหน้าขึ้นมา “แล้ว...?”

                “เธอล่ะ คิดถึงเรื่องฉันบ้างรึเปล่า?”

                งินกะพริบตาปริบ จากนั้นก็เสไปมองทางอื่น “ไม่รู้สิครับ”

                “ไม่คิดถึงฉันสักนิดเลย?”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมเม้มริมฝีปาก “เมื่อเช้าผมก็คิดถึงคุณ แต่... พรุ่งนี้คุณจะไปแล้วนี่ครับ คุณไปแล้ว สักพักเดี๋ยวผมก็ลืม”

                “หืม?” ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “ใครบอกเธอ?”

                “ซุบารุซังครับ”

                ผมชะงักกึก “เจอคามิซาวะเมื่อไหร่?”

                “ก็... เมื่อกี้ผมไปหาคุณที่บ้านไม่เจอ เลยไปที่บ้านยูมิโกะซัง เธอกำลังคุยสายกับซุบารุซังอยู่พอดี เลยเรียกผมเข้าไปคุยด้วย”

                “เธอไปหาฉันที่บ้าน? เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อนนะ ฉันว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ” ผมรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างขึ้นมาได้อย่างชัดเจน ปกติคามิซาวะที่เอาแต่บอกผมว่าอย่าพูดถึงเรื่องงาน จู่ๆ ก็บอกผมว่ามีงานด่วนต้องให้ผมเซ็น จะให้ผมกลับพรุ่งนี้ให้ได้ ทั้งที่กำหนดกลับของผมมันอีกตั้งสามวัน ทำไมคนอย่างเขาถึงขุดเรื่องงานมาคุยกับผมได้ หรือเพราะผมคุยกับเขาเรื่องนั้น

                “งิน”

                “ครับ?”

                “เธอกับคามิซาวะ ไม่ได้เป็นอะไรกันใช่มั้ย?”

                งินทำท่าตกใจเมื่อได้ยินคำถาม พอเห็นหน้าเขาหัวใจผมก็หล่นวูบ “บอกสิ ว่าเธอกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมอ้าปากค้างอยู่เป็นนาน กว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ “ผม... ผม...”

                หัวใจของผมปวดแปลบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่ามันถูกใครบางคนทึ้งออกมา “ให้ตายเถอะงิน... ถ้าเธอกับคามิซาวะรักกันอยู่ล่ะก็... บอกฉันมาตรงๆ เลย อย่าทำท่าทางแบบนี้”

                “เห?!” งินร้องด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ก่อนจะรีบโพล่งออกมา “เดี๋ยวโทวะซัง... ผมกับซุบารุซังไม่ใช่คนรักกันนะครับ คุณคิดอะไรไปถึงไหนเนี่ย!”

                หา! อะไรนะ?!

                ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา “ก็เธอกับคามิซาวะ...”

                งินทำหน้าคิดหนัก “ผมกับซุบารุซังน่ะ... เอาว่าเราไม่ได้เป็นคนรักกันแน่นอนล้านเปอร์เซ็น คุณอย่าคิดอะไรแบบนั้นอีกนะครับ” พูดจบเขาก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งผ่านเรื่องสยองมาหมาดๆ เล่นเอาผมแทบเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน

                “แล้ว... ทำไมคามิซาวะถึงได้อยากแยกฉันออกจากเธอนัก”

                “เอ๋? เขาน่ะหรือครับอยากแยกผมกับคุณ”

                “อืม”

                งินทำหน้าแปลกใจ “จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไงครับ ก็ก่อนคุณมา เขาบอกผมเองว่าให้ช่วยดูแลคุณให้ดี บอกว่านี่เป็นแขกคนสำคัญที่สุด คุณเป็นคนสำคัญจะตาย”

                “งั้นเหรอ... เดี๋ยวนะ! งั้นที่เธอดีกับฉันทั้งหมดนี่ ก็เพราะคามิซาวะสั่งสินะ” ผมรู้สึกฉุนกึกขึ้นมาทันที งินมองผม ด้วยท่าทางเหมือนกำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่

                “โทวะซัง... คุณนี่มันจริงๆ เลยน้า” เขาพูด พลางถอนหายใจ “ต่อให้เป็นซุบารุซัง ก็สั่งผมให้มาทำดีกับคนแปลกหน้าที่จู่ๆ มาตีก้นผมไม่ได้หรอก คุณนี่ไม่รู้ตัวเลย”

                “หืม?!” ผมมองเขาอีกครั้ง “หมายความว่าไงน่ะ?!”

                “ก็หมายความอย่างที่ว่าแหละครับ” งินลอยหน้าลอยตาตอบผม “ถ้าคิดว่าการที่ผมทำดีกับคุณ เพราะถูกซุบารุซังสั่งล่ะก็ คุณคิดผิดแล้วล่ะ”

                “งั้น...” ผมขยับเข้าไปใกล้เขา รู้สึกหัวใจตัวเองเต้นตึกๆ “ที่ดีกับฉันเพราะอะไรล่ะ?”

                งินหันมาทำปากยื่นใส่ผม “ไม่รู้หรอกครับ ถ้าผมรู้ผมบอกคุณไปแล้ว”

                “อ๋อ... งั้นหรอกหรือ” ผมพูด ไม่รู้ทำไมถึงได้หัวเราะออกมา “ฉันเข้าใจล่ะ”

                “เข้าใจอะไรครับ?”

                “ไม่บอกหรอก”

                “อ้าว!” งินทำหน้าผิดหวัง “ทำไมไม่บอกล่ะครับ?”

                “เพราะบอกไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก” ผมตอบยิ้มๆ เขาทำปากยื่นใส่ผมอีก “รู้ได้ไงว่าผมจะไม่เข้าใจ”

                “เธอเคยชอบใครรึยังล่ะ?”

                “..........”

                “ไว้เธอรู้สึกตัวว่าชอบใคร แล้วเธอจะเข้าใจเอง”

                งินมองผมแล้วย้อนถามทันที “แล้วคุณล่ะครับ รู้สึกชอบใครขึ้นมาแล้วเหรอ?”

                “อืม” ผมพยักหน้า “ตอนนี้ฉันคิดว่าอย่างนั้นล่ะ แต่เพื่อความแน่ใจ... ฉันจะให้โอกาสตัวเองได้พิสูจน์ ว่าฉันชอบใครคนนั้นจริงๆ รึเปล่า?”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมกะพริบตาปริบๆ “ใช้เวลานานรึเปล่าครับ?”

                ผมหัวเราะหึๆ ในคอ “ก็จนกว่าเธอจะยอมไปฟังเปียโนที่ฉันเล่นนั่นล่ะ”

                ใบหน้าของงินเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนดวงอาทิตย์ยามเช้า “ขี้โกง!”

                “ตรงไหนล่ะ?”

                “ก็ถ้าคุณไม่ยอมชวนสักที แล้วผมจะได้ขึ้นไปฟังไหมล่ะ!” เขาพูดพลางทำหน้าแง่งอนใส่ผม ผมเห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้ม

                “รอไหวรึเปล่า? หรือจะกลับไปพร้อมกับฉันตอนนี้เลย”

                “ได้หรือครับ?!” เขาโพล่งออกมา ก่อนจะรีบสั่นศีรษะ “ไม่ได้ๆ ผมมีเรื่องต้องทำก่อน” พูดจบเขาก็หันมาจ้องหน้าผม “โทวะซัง ยังไงก็ต้องมาชวนผมนะ ผมจะต้องขึ้นไปฟังเปียโนของคุณให้ได้ แต่ก่อนหน้านั้น... อย่าลืมเรื่องซุบารุซังที่ผมบอกนะครับ”

                “หืม?”

                งินทำหน้าขัดใจ “คุณทำยังไงก็ได้ให้เขามาที่เกาะนี้ แล้วผมจะได้ไปฟังคุณเล่นเปียโน”

                ผมหัวเราะออกมา "ได้ ฉันยอมเอาคามิซาวะมาแลกตัวเธอ ขอแค่เธอก็พอแล้ว”

                งินรีบขยับมาเอามือปิดปากผมไว้ “อย่าพูดให้ซุบารุซังได้ยินเชียวนะครับ ไม่งั้นเขาได้เล่นงานผมกับคุณแน่”

                ผมหัวเราะอย่างมีความสุข ยกมือขึ้นมาดึงมือเขาข้างที่ยื่นมาปิดปากผมออก แล้วกุมเอาไว้ “อย่าลืมนะ ถ้าฉันชวนแล้ว เธอต้องมาให้ได้นะ”

                “อือ... คุณเองก็อย่าลืมชวนผมล่ะ ยังไงผมก็จะรอ”

                ผมมองหน้าเขา มองดวงตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้น ก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากของเขาเบาๆ “พอถึงตอนนั้น จำไว้ด้วยนะ ว่าเวลาที่ฉันสัมผัสกับตรงนี้ของเธอ มันจะไม่ใช่การขออากาศอีกต่อไป”

                งินถลึงตามองผม เลือดฝาดฉีดจากแก้มแผ่ไปจนถึงใบหู เขาสลัดมือ แล้วหนีลงน้ำไปอย่างรวดเร็ว ผมมองคลื่นน้ำที่ม้วนเกลียวเข้าหากัน ก่อนจะระบายยิ้มออกมา

-----------------------------------------------
** โอ๊ย บอกตรงๆ ค่ะ ดิฉันคิดว่าตัวเองเขียนเรื่องนี้ได้วนเวียนมากกกกกก แบบว่านิยายรักมุ้งมิ้งหาเรื่องฆาตกรรม เอ๊ย หาเรื่องวุ่ยวาย /ผิด นี่ไม่ใช่แนวเลยค่ะ

ปล. โทวะเป็นญาติกับคุณพนิตแน่เลยค่ะ ฮ่าๆ แบบว่ามโนแจ่มสุดใจมาก กร๊ากกก
 :hao7:
ปล.2 งินคะ... จริงๆ แล้วหนูรู้ใช่มั้ย หนูรู้ทุกอย่างใช่มั้ย คือหนู95แต่หนูแอ๊บเด็กใช่มั้ยคะ!!! :hao6:

ปล.3 คามิซาว้าาาาาาาาาาาาาาาา ฮ่าๆๆ โอ๊ยยย อยากตีก้นคามิซาว้าาาาา /โดนทสึกิยะลากลงน้ำไปฆ่า :a5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่7 P.4 (12/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 12-12-2015 13:31:29
 :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่7 P.4 (12/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 12-12-2015 13:41:46
ตาลุงแก่ๆกับลุงที่แก่กว่า  :m20:
ทำไมมันมุ้งมิ้งเยี่ยงเนนน้  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่7 P.4 (12/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 12-12-2015 13:43:29
อายม้วนต้วนลงน้ำไปเลย
มีลับลมคมในแน่นอน
โทวะซังกรุ้มกริ่มมาก. โอจิซังล่อลวงเด็กน้อยอายุ95ชัดๆ
รอค่ะ. 
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่7 P.4 (12/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-12-2015 14:38:15
ซุบารุซังกีดกันเต็มที่เลยเหรอเนี่ย
โทวะซังจะทำยังไงถึงจะพาซุบารุซังมาที่เกาะได้ล่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่7 P.4 (12/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-12-2015 15:02:02
เห็นเค้าลางความแสบของงินซะแล้ว คึคึ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่7 P.4 (12/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Maxshu ที่ 12-12-2015 17:57:11
แกพยายามจะแยกพวกเค้า โอ๊ยยยย ซึบารุ ชั้นอยากรุ้ทำไมนายต้องแยกพวกเค้าให้ตายเหอะ พวกเค้าอยู่ด้วยกันแล้วฟินออก
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่7 P.4 (12/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 12-12-2015 19:45:52
โอ๊ยยย เขินนนนนน  :-[
ละมุนมาก ชอบบบ
ทำไมคามิซาวะถึงไม่อยากให้งินคบกะโทวะล่ะ รึเปล่าว่าโทวะเป็นคน แล้วงินเป็นเงือก กลัวจะซ้ำรอยกะพ่อแม่ไรเงี้ยอ่ะเหรอ
รอน้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่7 P.4 (12/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 12-12-2015 19:59:55
บทนี้เราตีความได้ว่าเจ้าเงือกงินแก่แดดมากๆ
ปากบอกเป็นเด็กๆแต่ขี้อ่อยมากๆ
เจ้าซึบารุจ้าวแผนการดีนัก
อย่างนี้โทวะซังต้องรีบส่งตัวซึบารุมาให้เจ้าผมดำตีก้นลงโทษไวๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่7 P.4 (12/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 13-12-2015 09:44:48
เห็นลางของสายธารแห่งน้ำมาเริ่มหลั่งไหลแหะ  :try2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่7 P.4 (12/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 13-12-2015 12:10:27
อ่านแล้วรู้สึกญี่ปุ้นญี่ปุ่น เหมือนดูซีรีย์เลย
โทวะซังรีบพาคามิซาวะมาเกาะให้ได้นะคะ
งินๆ จะได้ไปฟังเปียโนสักที
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่7 P.4 (12/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-12-2015 18:23:38
มนุษย์หื่น
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่7 P.4 (12/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 14-12-2015 22:14:10
คามิซาวะจะขัดขวางความรักคนอื่นทำไมล่ะหนอ
งินเด็ก งินไม่รู้เรื่องจริงเหรอ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 21-12-2015 14:17:28


Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่8 ของสำคัญ

                เช้าวันรุ่งขึ้น ผมขึ้นเรือที่มียูมิโกะเป็นคนขับกลับขึ้นฟัง ตามคำขอร้องแกมบังคับของคามิซาวะ งินมาส่งผมแต่เช้าตรู่ ก่อนขึ้นเรือ เขาหยิบห่อผ้าห่อหนึ่งยัดใส่มือผม

                “ฝากนี่ให้ซุบารุซังด้วยนะครับ” งินพูดพลางส่งสายตาจริงจังให้ผม ผมพยักหน้า แต่ไม่ได้เปิดดูว่าในห่อนั้นคืออะไร งินมองผมอยู่พัก ก่อนจะหยิบอะไรอีกอย่างให้ผม “ส่วนนี่ ของคุณครับ”

                ที่เขาให้ผม เป็นไข่มุกเม็ดโตเท่าหัวแม่มือลูกหนึ่ง ผมเห็นแล้วก็อดพูดไม่ได้ “นี่... ฉันไม่ใส่มุกหรอก”

                เขาช้อนตามองผมอย่างผิดหวังนิดๆ “ไม่ชอบหรือครับ”

                พอเห็นเขาทำหน้าแบบนั้นพร้อมกับทำท่าจะชักมือกลับ ผมเลยรีบกำไข่มุกเม็ดนั้นไว้ “เปล่า งั้นฉันรับไว้แล้วกัน ขอบใจนะ แล้วเจอกัน”

                งินส่งยิ้มที่เหมือนแสงของพระอาทิตย์ยามเช้าให้ผม ก่อนจะพูดตอบ “ครับ แล้วเจอกัน อย่าลืมห่อผ้าของซุบารุซังนะครับ”

                ถ้าไม่ติดว่ารอยยิ้มของเขาสวยขนาดที่ทำให้ผมลืมหงุดหงิด ผมคงถามแล้วว่าคามิซาวะสำคัญยังไงกับเขากันแน่ แต่เอาเหอะ ถามไปคงไม่มีใครตอบ ผมทำในสิ่งที่ผมทำได้ดีกว่า

                ผมกลับถึงเมืองที่อยู่ในช่วงหัวค่ำ คามิซาวะมารับผมที่สถานีรถไฟ พอเห็นหน้าเขา ผมก็เอ่ยปากถามถึงเอกสารสำคัญที่ว่าทันที

                “อ๋อ อยู่นี่ครับ” เลขาหนุ่มวัยสามสิบเศษของผมพูดเร็วปรื๋อ พร้อมหยิบแฟ้มเอกสารมาให้ ระหว่างที่ผมก้าวขึ้นรถ ผมรับมาแล้วกวาดตามองวูบหนึ่ง “เรื่องนี้คุณทามุระตกลงแล้วหรือไง ถึงต้องรีบเซ็น กำหนดมันยังตั้งอีกสัปดาห์ไม่ใช่เหรอ?”

                คามิซาวะตอบผมหน้าตาเฉย “ครับ เขาเพิ่งตอบรับมาเมื่อวานนี้เอง”

                ผมหรี่ตามองเขา ก่อนจะจับปากกาเซ็นลงไป ระหว่างคืนแฟ้มให้เขา ผมก็พูดขึ้น “จริงสิ มีคนฝากของมาให้คุณ”

                “ใครครับ” คามิซาวะถามสวนก่อนที่ผมจะทันได้หยิบของขึ้นมาเสียอีก ผมมองเขาอีกครั้ง ก่อนจะดึงห่อผ้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “งิน คุณรู้จักเขาอยู่แล้วนี่”

                “อ๋อ” คามิซาวะพูดพลางทำหน้าเหมือนโล่งใจ แต่พอเขารับห่อผ้าไปแกะดูเท่านั้นแหละ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาเงยขึ้นมองผม ทำท่าเหมือนกำลังชั่งใจว่าจะถามผมดีหรือไม่ สุดท้ายก็อ้าปากพูดออกมา “ทาซากิซังครับ ตอนไปที่เกาะนั้น คุณเจอเงือกตนอื่นนอกจากงินด้วยรึเปล่าครับ?”

                ผมอึ้งไปอึดใจหนึ่ง ด้วยนึกไม่ถึงว่าจะถูกถามคำถามนี้ ยิ่งพอเห็นสีหน้าจริงจังของเขาแล้ว ผมก็รู้สึกขึ้นมาว่า นี่มันต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ๆ

                “ก็เจอ แต่ไม่ใช่อะไรที่น่าประทับใจนักหรอก”

                คามิซาวะทำหน้าเหมือนว่าคิดไว้อยู่แล้ว เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเก็บห่อผ้านั้นใส่กระเป๋า “ผมพอนึกภาพออกล่ะครับ เงือกที่คุณเจอผมสีแดง ตัวสีดำๆ มารยาทแย่ๆ หน่อยใช่ไหม?”

                “อือ” ผมพยักหน้า ก่อนจะถามต่อ “คุณรู้จักหรือ?”

                คามิซาวะไม่ตอบผม แต่พูดต่อ “โชคดีนะครับที่คุณกลับมาได้แบบไม่ประสบเหตุอะไร เอ้อ จริงสิครับ พรุ่งนี้มีนัดของคุณโฮคุโตะครับ”

                เขาเอาเรื่องงานมาดึงความสนใจผมไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีรถก็มาจอดที่บ้านพักของผม พร้อมด้วยตารางงานแน่นเอี๊ยดตลอดสัปดาห์ที่คามิซาวะอัดเข้ามา

                พอส่งผมเสร็จแล้ว เขาก็รีบลากลับทันที ผมเลยไม่ทันได้ถามถึงเรื่องราวของเขากับเกาะบ้านเกิด รวมถึงความสัมพันธ์กับเงือกพวกนั้น

                หลังจากอาบน้ำเก็บของเรียบร้อย ผมก็เตรียมตัวเข้านอน ก่อนนอนผมยังไม่วายหยิบไข่มุกลูกนั้นที่งินให้ มาลูบๆ คลำๆ เหมือนเป็นของวิเศษ ก่อนจะวางมันเอาไว้บนโต๊ะตรงหัวนอน พลางนึกว่าหากผมเอามุกลูกนี้ไปทำหัวแหวน จะมีใครว่าผมไหม เพราะส่วนใหญ่มุกมักจะเป็นผู้หญิงที่สวมกัน ผมอาจจะเป็นผู้ชายคนแรกที่สวมแหวนมุกก็ได้ เอาน่ะ ถ้าทำตัวเรือนดีๆ มันก็คงดูดีได้เหมือนกันแหละ

                แล้วผมก็ผล็อยหลับไปทั้งที่ยังคิดเรื่องตัวเรือนแหวนมุกอยู่นั่นเอง

------------------------------------

                ตารางงานทั้งสัปดาห์แน่นเหมือนจงใจแกล้ง ทั้งๆ ที่ปกติผมก็ทำงานรัดตัวอยู่แล้ว แต่คราวนี้ดูแน่นแบบรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ พอผมเอ่ยถามคามิซาวะตัวดี หมอนั่นก็ตอบหน้าตาเฉยว่า เป็นเพราะผมลาหยุดไปหลายวัน ตารางงานมันถึงได้แน่นอย่างนี้ ผมอดไม่ได้จริงๆ ต้องสวนเขาไป ว่าก็เพราะความคิดของเขานั่นแหละ ระหว่างที่เรากำลังเถียงกันถึงตารางนัดที่ทับซ้อนกัน ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้

                “นี่ คามิซาวะซัง ผมมีเรื่องจะไหว้วานคุณหน่อย”

                “อะไรอีกครับ ตอนนี้พวกเรายังมีเรื่องรัดตัวไม่พอหรือ?” เขาถามย้อนผม เล่นเอาผมคันปากยิกๆ “มันรัดตัวแค่ผม ส่วนคุณลอยตัวไม่ใช่หรือไง?”

                “ผมลอยตัวตรงไหนกันครับ” คามิซาวะสวนผมด้วยสีหน้าจริงจังจนน่าหมั่นไส้ ผมเลยชี้ให้ดูตารางงานผมที่แน่นเสียจนไม่มีที่กระดิกตัว ก่อนจะพูดต่อ “คุณเห็นตารางงานผมมั้ย แน่นจนสามทุ่ม ผมต้องนั่งคุยธุระกับตาลุงแก่ๆ หน้าดำหน้าแดง ขณะที่คุณนั่งเมาธ์กับสาวๆ อยู่นอกห้อง อย่างนี้ยังจะเรียกไม่ลอยตัวอีกหรือ?”

                “โธ่ ทาซากิซัง ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะเข้าไปนั่งฟังตาลุงพวกนั้นบ่นพร้อมคุณนั่นแหละครับ แต่พวกเขาไม่อนุญาตให้ผมเข้าฟังเองนี่ ทั้งๆ ที่ผมก็ทำงานกับคุณมาตั้งหลายปีแล้วแท้ๆ”

                ผมหรี่ตามอง พอเข้าใจตาลุงพวกนั้นอยู่บ้าง เพราะทุกครั้งที่คามิซาวะเข้าร่วมประชุม การพูดของเขามันเหมือนมีพลังบางอย่าง จนทำให้ผู้บริหารหลายคนจำต้องคล้อยตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังๆ มานี้ หลายบริษัทถึงขั้นห้ามผมพาคามิซาวะเข้าร่วมประชุมด้วย เพราะกลัวจะหลงคารมหมอนี่จนเผลอเซ็นสัญญาเสียเปรียบอีก ผมไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี ที่ได้เลขาเก่งกาจขนาดนี้

                “เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ แต่ยังไงงานนี้ผมต้องไหว้วานคุณ ไม่สิ ผมจะสั่ง ในฐานะเจ้านาย ผมมีของอย่างหนึ่งที่จะต้องฝากคุณเอาไปให้กับคนคนหนึ่งให้ถึงมือให้จงได้” ผมทำหน้าขึงขังบอกเขา พลางนึกในใจว่า ใช้คำว่า ‘คน’ กับเขาคนนั้น คงจะไม่ใช่อะไรที่ถูกต้องนัก

                “อะไรครับ?” คามิซาวะทำหน้าสงสัย ผมเลยพูดต่อ “อีกสองวันผมจะเอามาให้คุณ ยังไงคุณก็ต้องไปตามคำสั่งผม ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด เข้าใจนะ”

                คามิซาวะมองผมอยู่พักใหญ่ๆ ในที่สุดก็ยอมพยักหน้า “ก็ได้ครับ ว่าแต่งานในส่วนของผมจะให้ใครทำแทนครับ?”

                “ให้ทาคุโบะทำไป ผมใช้คุณไปแค่สองสามวัน ทาคุโบะคงพอทำแทนได้หรอก”

                คราวนี้คามิซาวะเลิกคิ้วขึ้นสูง “สองสามวัน? จะให้ผมไปต่างจังหวัดหรือครับ?”

                ผมหรี่ตามองเขา รู้ทันทีว่าเจ้าตัวคงนึกไม่ถึงแน่ จากนั้นก็พยักหน้าตอบเขาไป “ใช่ ไปต่างจังหวัด แค่สองสามวัน เตรียมตัวไว้ล่ะ คามิซาวะซัง”

----------------------------------------------

                ช่วงเย็นวันนั้น ผมหาช่องว่างปลีกตัวจากคามิซาวะ แอบมาโทรศัพท์ถึงเพื่อนที่เป็นช่างเครื่องประดับ นัดเขารอบดึกเพื่อคุยงานพิเศษบางอย่าง พอเลิกจากนัดกินข้าว ผมก็จับแท็กซี่ออกไปที่ร้านเขาทันที เพื่อนคนนั้นรอท่าอยู่แล้ว พอผมไปถึงเราก็คุยรายละเอียดเรื่องที่ผมต้องการกันจนเกือบเที่ยงคืน ผมถึงนั่งแท็กซี่กลับมาที่บ้านพัก

                คืนนั้นไม่มีไข่มุกเม็ดโตเท่านิ้วหัวแม่มือวางอยู่บนหัวเตียงผม แต่หัวใจผมกลับรู้สึกพอใจมากขึ้น เมื่อจินตนาการว่า อีกไม่กี่วันมันจะได้มาประดับอยู่บนนิ้วผม อยู่กับผมตลอดเวลา ไม่ต้องรอผมกลับมาหาทุกค่ำแบบนี้

-----------------------------------------

                “อะไรครับเนี่ย?” คามิซาวะถามผมทันทีที่เห็นห่อผ้าห่อใหญ่ ซึ่งด้านในบรรจุกล่องไม้เอาไว้อีกกล่องหนึ่ง ผมตอบเขาโดยเลียนแบบสีหน้าไม่รู้ทุกข์รู้ร้อนของเขานั่นแหละ “กระจก ผมสั่งทำมาอย่างดี คุณต้องพาไปส่งให้ถึงมือเขา ห้ามให้มีส่วนไหนบุบสลายเด็ดขาด”

                “ดะ... เดี๋ยวนะครับ” คามิซาวะขัดขึ้นมาทันที “นี่คุณคงไม่...”

                “ใช่” ผมพูดดักคอเขา “ผมจะให้คุณเอากระจกบานนี้ไปให้งิน เป็นของตอบแทนที่เขาให้ไข่มุกผมมาเม็ดหนึ่ง” ผมพูดพลางยื่นมือที่ตอนนี้มีแหวนไข่มุกเม็ดเขื่องสวมอยู่ให้เขา “หรือคุณจะให้ผมเอาของคนอื่นมาเฉยๆ ไม่ให้อะไรตอบแทนเลย”

                คามิซาวะทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้อมหอยเม่นเข้าไปทั้งตัว ผมชักนึกสงสัยว่า ทำไมเขาถึงทำท่าทางเหมือนไม่อยากไปที่เกาะนั้นเสียเต็มประดา

                “ว่าไงล่ะ คามิซาวะซัง”

                “เอ่อ... ก็ถูกของคุณล่ะครับ แต่เรื่องแค่นี้... ให้คนอื่นไปก็ได้นี่ครับ” เลขาหนุ่มของผมยังไม่วายบ่ายเบี่ยง ผมเลยพูดสืบต่อ “คนอื่นไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่ได้รู้จักเงือกเหมือนคุณนี่ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา คุณก็รู้ไม่ใช่หรือ?”

                คามิซาวะทำหน้ากล้ำกลืนฝืนทนสุดขีด ในที่สุดเขาก็ยอมพยักหน้า “ตกลงครับ ผมจะนำไปให้เขา แล้วจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”

                “อืม ให้เขาแล้วต้องให้เขาโทรมาหาผมด้วยล่ะ ผมจะได้แน่ใจว่าของถึงมือเขาจริงๆ ส่วนคุณ ถ้ารู้สึกคิดถึงบ้านเกิด จะอยู่ต่ออีกสักสองสามวันผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”

                สีหน้าของคามิซาวะกลายเป็นสีเขียวคล้ำอย่างกับถูกใครบีบกล่องดวงใจอย่างนั้นแหละ

------------------------------------------

                ผมไม่ได้ออกไปส่งคามิซาวะ เพราะกำหนดนัดรัดตัวแต่เช้า ถึงอย่างนั้นก็ไม่วายรอฟังโทรศัพท์ราวกับว่ามีธุระสำคัญ ทั้งที่รู้ว่ากว่าเขาจะไปถึงเกาะนั้น คงเป็นเวลาย่ำค่ำ งินคงไม่ขึ้นมาบนบกหรอก ส่วนแหวนมุกที่ผมสวม คนแรกที่ทักไม่ใช่ใครอื่น เป็นทาคุโบะ คนสนิทของผมที่เคยทำหน้าที่เป็นเลขาจำเป็นก่อนหน้าที่จะรับคามิซาวะเข้ามานั่นเอง

                “แหวนสวยนะครับ ทาซากิซัง ผมเกิดมายังไม่เคยเห็นไข่มุกเม็ดโตขนาดนี้มาก่อนเลย ได้มาจากเกาะที่คามิซาวะซังแนะนำหรือครับ”

                “ใช่” พยักหน้า พลางมองแหวนแล้วยิ้ม เพื่อนผมช่างรู้ใจ ทำตัวเรือนออกมารับกับมุกอย่างไม่ดูขัดเมื่อสวมลงบนนิ้วผู้ชายแบบผม ได้ยินเสียงทาคุโบะพูดต่อ “แสดงว่าบนเกาะนั้นมีไข่มุกเยอะจริงๆ วันหลังผมฝากคามิซาวะซังซื้อมาเผื่อภรรยาสักสองสามเม็ดดีกว่า เอาเม็ดเล็กๆ ก็พอ ผมคงสู้ราคาเม็ดเขื่องแบบคุณไม่ไหว”

                ผมหัวเราะ พลางพูดตอบเขาไป “ถ้างั้นผมจะโทรบอกคามิซาวะซังแล้วกัน เขาคงยินดีจะเป็นนายหน้าค้าไข่มุกให้คุณหรอก”

                ทาคุโบะฟังผมแล้วหัวเราะเขินๆ “แหม... ถ้าคามิซาวะซังผันตัวเองไปเป็นนายหน้าค้าไข่มุก สมาคมไข่มุกคงต้องเชิญเขาไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษล่ะครับ เอ้อ ทาซากิซัง นัดหมายของคุณคุโรซาวะ ต้องให้ผมเข้าไปด้วยมั้ยครับ?”

                “ต้องสิ” ผมว่า “ก็คุณยังไม่ได้ถูกแบนนี่ ไม่ใช่คามิซาวะซังสักหน่อย”

                จากนั้นพวกเราสองคนก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน

-----------------------------------------------

                เช้าวันรุ่งขึ้น งินโทรมาหาผมตอนสิบเอ็ดโมงพอดี คามิซาวะคงบอกเขาเรื่องตารางนัดของผม เขาถึงโทรมาได้พอเหมาะพอเจาะ ผมรีบรับโทรศัพท์ด้วยความตื่นต้น

                “สวัสดีครับโทวะซัง”

                น้ำเสียงของเขาเพราะเหมือนระฆังเงิน ผมฟังแล้วรู้สึกอุ่นวาบหัวใจเหมือนได้เดินอยู่ริมชายหาด จมูกก็พลอยได้กลิ่นน้ำทะเลขึ้นมา

                “สวัสดีงิน เป็นไงบ้าง ได้ของแล้วหรือยัง?”

                “ได้แล้วครับ สวยมากๆ เลย ขอบคุณนะครับ” น้ำเสียงเขาดูตื่นเต้นจากใจจริง เขาถามผมต่อ “บนบกมีกระจกแบบนี้เยอะมั้ยครับ? ผมจะได้บอกคนอื่นๆ”

                “กระจกน่ะมีเยอะ” ผมว่า “แต่แบบที่เธอถืออยู่น่ะ ฉันทำให้เธอแค่คนเดียว คนอื่นไม่ทำให้นะ”

                งินเงียบไปอึดใจหนึ่ง ผมจินตนาการว่าเขาคงกำลังหน้าแดงอยู่แน่ๆ “โทวะซังล่ะก็... ใจแคบอะไรนักครับ แค่กระจกเอง”

                ผมถอนหายใจ คิดขึ้นมาได้ว่าคงตีค่าตัวเองผิดไป เลยพูดขึ้นต่อ “ก็แค่กระจกนั่นแหละ แต่แบบนั้นฉันทำให้เธอแค่คนเดียว เพราะอะไรรู้มั้ย?”

                “อะไรครับ?”

                “เพราะเธอเป็นคนสำคัญของฉันน่ะสิ คนสำคัญมีแค่หนึ่งคน ของที่ให้คนสำคัญก็ต้องมีแค่หนึ่งเดียว เข้าใจมั้ย?”

                คราวนี้เขาเงียบไปพักใหญ่ๆ จนผมอดนึกเข้าข้างตัวเองไม่ได้ ขณะที่กำลังจินตนาการถึงสีหน้าของเขา ผมก็ได้ยินเสียงโวยวายเบาๆ จากนั้นเสียงคุ้นหูอีกเสียงก็แทรกเข้ามาแทนที่ “ทาซากิซัง ผมเอาของมาให้แล้วนะครับ ผมกลับเลยนะ”

                ให้ตายเหอะ ผมไม่อยากได้ยินเสียงของคามิซาวะตอนนี้เลย ผมกรอกเสียงตอบเขาไป “อืม ตามใจคุณเถอะ ขอสายผมคุยกับงินต่อหน่อยสิ”

                “ไม่ได้ครับ”

                “คามิซาวะซัง... ผมสั่งคุณนะ”

                คามิซาวะเงียบไปอึดใจใหญ่ๆ ในที่สุดก็ยอมส่งโทรศัพท์ให้งินเสียที

                “งิน”

                “ครับ?”

                “สัปดาห์หน้าฉันจะเหมาเรือสำราญเพื่อนัดกินข้าว พวกเราไปเจอกันที่นั่นมั้ย? ฉันจะบอกตำแหน่งกับลักษณะเรือให้เธอฟัง”

                “เห?!” งินทำเสียงตื่นเต้น ก่อนจะรีบพูดต่อ “ได้สิครับ คุณจะไปเรือลำไหนครับ”

                ผมบอกเขาไป ได้ยินเขารับคำเป็นระยะ จากนั้นก็ถูกแย่งสายไปอีก

                “ทาซากิซัง นัดทานข้าวอะไรบนเรือครับ นัดหมายของคุณแน่นขนาดนั้น จะมีนัดทานข้าวบนเรือได้ไง”

                “ก็มีตอนนี้แหละ เดี๋ยวผมให้ทาคุโบะจัดการให้ คุณเองถ้าจะรีบกลับก็รีบๆ ล่ะ มาช้าผมไม่ให้ขึ้นเรือนะ”

                ได้ยินเสียงคามิซาวะแค่นหายใจ “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ชอบลงเรือ”

                ผมผิวปากหวือ “งั้นหรือ งั้นหน้าที่เลขาก็คงต้องให้ทาคุโบะจัดการต่อสินะ คุณก็อยู่บนเกาะต่อไปแล้วกัน”

                “ทาซากิซัง...” คามิซาวะลากเสียง ผมจินตนาการได้เลยว่าเขาคงต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่แน่ๆ “เอาเถอะครับ ผมจะรีบกลับ ยังไงก็ดูแลตัวเองนะครับ อย่าทำอะไรเกินตัวนัก ผมไม่อยากจัดตารางงานใหม่ให้คุณหรอกนะ”

                ผมหัวเราะหึๆ ในคอ “รับทราบล่ะครับคุณเลขา ไว้เจอกันแล้วกัน”

                “ครับ สวัสดีครับ”

                พอวางสายโทรศัพท์ปุ๊บ ผมก็บอกทาคุโบะให้จัดการจองเรือสำราญตามลักษณะที่ผมแจ้งทันที ทาคุโบะทำหน้าเหวอ แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งผมแต่โดยดี ผิดกับคามิซาวะลิบลับ ที่ผมกล้าบอกลักษณะเรือสำราญให้งินก่อนจอง เพราะผมมั่นใจว่าเรือลำนี้จะต้องว่าง เพราะครั้งก่อนตอนไปสั่งทำกระจกกับแหวน ผมคุยกับเพื่อนถึงเรื่องเรือ เขาบอกว่ามีเพื่อนอีกคนหนึ่งทำธุรกิจเรือสำราญอยู่ เพิ่งได้เรือลำใหม่มา กำลังหาคนประเดิม ผมจึงตัดสินใจไปในตอนนั้นทันที ว่าจะต้องจัดดินเนอร์บนเรือให้ได้

                ไหนๆ ก็ประชุมธุรกิจกันบนบกนานแล้ว เปลี่ยนเป็นลงเรือบ้างจะเป็นไรไป

--------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 21-12-2015 14:31:21
นั่นแหวนหมั้นใช่ไหม ของแทนใจอะไรแบบนี้

เรือสำราญ น่าตื่นเต้นจังเลย
งินอย่าทำเป็นไม่รู้เรื่องนะ หยอกขนาดนี้แล้ว  :mew1: 
ขอบคุณมากๆค่ะ รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 21-12-2015 15:59:12
คามิซาวะซังนี่เป็นเคะสินะ  :hao6:


อยากเห็นคู่รองตีฝีปากกันแล้ว  :ling1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 21-12-2015 16:53:15
อรัผ้ย แหวนมุก
คามิซาว่าต้องเป็นคนเดียวกันกับ น้าของงินแน่ๆ
แต่เป็นเงือก ไม่ต้องอยู่ในน้ำก็ได้เหรอ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-12-2015 17:23:52
นึกภาพแหวนมุกสำหรับผู้ชายไม่ออกเลยแฮะ
ว่าแต่ ตอนหน้าจะได้เจอกันอีกแล้วสินะ หวังว่าคนที่มาเข้าร่วมประชุมคงไม่มาเห็นงินตอนเป็นเงือกนะไม่งั้นคงยุ่งน่าดู

ติดใจเรื่องนี้มากเลยค่ะ อยากให้ถึงตอนต่อไปเร็วๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 21-12-2015 18:37:35
เข้าใจผิดว่ากิ๊กคามิซาวะผมดำมาตลอดเลย งั้นเรียกเจ้าเงือกดำแล้วกันฮ่าๆๆๆ จำชื่อแบบญี่ปุ่นๆไม่ค่อยได้
คามิซาวะความลับเยอะจริงๆนะ ทำไมต้องไม่อยากพบเจ้าดำด้วย
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: allegiant1994 ที่ 21-12-2015 19:01:41
เราว่าน้องงินแกล้งไม่รู้ :hao3: :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-12-2015 23:04:21
เป็นคนมีสไตล ใส่แหวนไข่มุกเม็ดโต ฮ่าาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 21-12-2015 23:05:26
แลกของแทนใจกันด้วยยยยย

คามิซาวะต้องเป็นเงือกแน่ ๆ
แถมมีความสัมพันธ์กับเงือกดุร้ายเพราะโมโหหึงแน่ ๆ 

เดาทุกอย่าง ฮ่าฮ่าฮ่า  :m11:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 21-12-2015 23:18:51
ราศีเคะราชินีจับคามิซาวะซังมาก สัมผัสได้
ทำไมลุ้นกว่าคู่งินๆ กับโทวะซังอีกล่ะ
 :laugh:
เจอคำผิดค่ะ ฟัง > ฝั่ง 

หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-12-2015 23:34:45
คามิซาวะจะขัดขวางตอนนี้เห็นทีจะไม่ทันซะแล้ว
ตัวเองจัดให้โทวะซังไปที่เกาะนั่นเองนะ
นอกจากเขาจะแลกของกันแล้ว ตอนนี้จะไปนัดเจอกันด้วย
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-12-2015 05:51:55
เนี่ยยยยย!!
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Maxshu ที่ 22-12-2015 06:40:51
เราว่าแหวนมุกเหมาะกับงินน๊า ประมาณว่าหมั้นไปก่อนอะไรงี้อ่ะ อร๊ายยยยยย
คามิซาวะ! นายมีเหตุผลอะไรที่ไม่ให้ทั้งสองคนเค้าใกล้ชิดกันนนนน
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Autonomyz ที่ 22-12-2015 14:21:06
แหม่ ถ้าไม่บอกว่าตาลุงเนี่ยเป็นหนุ่มจากคันโต ฉันจะนึกเอาแล้วว่าพ่อเจ้าประคุณเป็นหนุ่มโอซาก้า
คารมณ์ดีสะเหลือเกิน! เกินหน้าเกินตาหนุ่มๆคนอื่นแถบนี้นะ 555555
หยอดเอ๊า หยอดเอา หลอกลวงเงือกน้อยชัดๆ
ระวังโอจิซังของเงือกเค้าจะเขมือบหัวเอานะ
ได้ข่าวว่าดุๆอยู่ใช่ไหม 5555555555555
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10 P.5 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-12-2015 06:37:18


Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่9 เรือสำราญ

                ตั้งแต่กลับมาจากเกาะนางเงือกบ้านเกิดของตัวเอง คามิซาวะไม่ยอมพูดอะไรเกี่ยวกับที่นั่นเลยแม้แต่นิดเดียว กระทั่งผมถามจี้ เขาก็ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่อยากพูดถึง เอาเหอะ อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ได้ขัดขวางผมเรื่องการจัดดินเนอร์บนเรือสำราญ แถมยังจัดการเชิญแขกซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทเครือพันธมิตรต่างๆ ให้เสร็จสรรพ ทำหน้าที่ได้ดีสมกับเป็นเลขาปากกาทองที่ผมจ่ายค่าจ้างแสนแพงจริงๆ

                วันหนึ่ง ขณะนั่งรถกลับ ผมได้ยินเสียงเขาฮัมเพลง เลยนึกอะไรขึ้นมาได้ “คามิซาวะซัง”

                “ครับ?” เขาหันหน้ามาหาผมด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือ?”

                ผมหันกลับไปมองเขา “ไปร้องคาราโอเกะกัน”

                คามิซาวะทำหน้าเหมือนจะสำลักน้ำ “วะ... ว่าไงนะครับ?!”

                “ผมบอกว่าไปร้องคาราโอเกะกัน” ผมพูดพลางจ้องตาเขาผ่านแว่นไม่มีเลนส์อันนั้น ก่อนจะหันไปบอกคนขับรถ “ชิรุ แวะร้านคาราโอเกะตรงหัวมุมนี้หน่อยสิ ผมอยากร้องเพลง”

                เลขาตัวดีของผมอ้าปากพะงาบๆ ด้วยพูดไม่ออก กว่าที่เขาจะเค้นเสียงออกมาได้ รถก็จอดหน้าร้านคาราโอเกะแล้ว ผมหันมองเขา ก่อนจะเปิดประตูรถ “เป็นอะไร ไม่ต้องกังวลหรอก มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”

                “ตะ... แต่...” คามิซาวะทำท่าจะปฏิเสธ แต่ถูกผมชิงพูดตัดหน้าเสียก่อน “หรือต้องให้ผมทำหนังสือเชิญคุณร้องคาราโอเกะล่ะ”

                นั่นแหละ เขาถึงยอมเดินตามผมเข้ามาในร้าน ผมให้ชิรุรออยู่ที่รถ เพราะตั้งใจจะแวะที่นี่ไม่นาน แค่อยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้นเอง

                ผมสั่งเปิดห้องคาราโอเกะแบบส่วนตัวห้องหนึ่ง ก่อนจะหยิบไมค์ส่งให้เลขาหนุ่ม “ร้องเพลงให้ผมฟังสักเพลงสิ ผมอยากฟัง”

                คามิซาวะรับไมค์อย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ร้องในทันที “ทำไมจู่ๆ นึกอยากฟังผมร้องเพลงล่ะครับ”

                “ก็ได้ยินมาว่าคุณร้องคาราโอเกะเก่ง ผมกำลังคิดว่าถ้าเสียงคุณเยี่ยม ผมจะให้คุณร้องเพลงกล่อมแขกบนเรือที่เราจัดเลี้ยง เผื่อหลายคนจะยอมตกลงอะไรได้ง่ายๆ บ้าง”

                ดวงตาของคามิซาวะเป็นประกายขึ้นมาทันที “อ๋อ เรื่องนี้เอง งั้นก็ไม่มีปัญหาครับ”

                “อืม... ร้องให้ผมฟังสักเพลงสิ เอาเพลงที่คุณฮัมตะกี้ก็ได้”

                คามิซาวะรีบปฏิเสธทันที “เพลงนั้นไม่มีทำนองหรอกครับ ผมฮัมมั่วๆ เอาเฉยๆ”

                “งั้นเหรอ ผมว่ามันฟังเพราะดีออก มั่วอีกทีไม่ได้หรือไง”

                “ไม่ได้ครับ” เขาตอบเสียงหนักแน่น ก่อนจะหยิบรีโมตขึ้นมา กดเลือกเพลง “เอาเพลงนี้แล้วกัน ผมว่าคุณต้องชอบแน่”

                เสียงไวโอลินทำนองเพลง Sekai ni Hitotsu Dake no Hana ของวง SMAP ดังขึ้น ขณะที่คามิซาวะถือไมค์ประหนึ่งว่าเป็นสมาชิกวงคนใดคนหนึ่งอย่างนั้น

                ‘Hanaya no misesakini naranda

                Iron na hana wo miteita

                Hitosorezorekonomi wa arukedo

                Doremo minna kirei dane

 

                ชั้นมองเห็นดอกไม้หลากสีหลายพันธุ์

                ตั้งเรียงรายอยู่ที่หน้าร้านขายดอกไม้

                ทุกคนต่างก็มีความชอบที่แตกต่างกัน

                แต่ว่าดอกไม้แต่ละดอกต่างก็งดงามทั้งนั้น

               

                Kono naka de dare ga ichiban da nante

                Arasou koto mo shinaide

                Bucket no naka hogorashigeni

                Jyanto mune wo hatteiru

 

                ดอกไม้เหล่านั้น ไม่มีการต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกัน

                ว่าใครเป็นดอกที่งดงามที่สุด

                แต่ละดอก แต่ละดอก ต่างก็ยืดอก

                ภาคภูมิใจในตัวเองอยู่ในตะกร้าใส่ดอกไม้ของตน

               

                Sorenanoni bokura ningen wa

                Doushite koumokurabetagaru?

                Hitori hitori chigaunoni sononakade

                Ichiban ni naritagaru?

 

                ทั้ง ๆ อย่างนั้นแท้ ๆ ทำไมมนุษย์อย่างพวกเรา

                ถึงได้ชอบประกวดประขันเปรียบเทียบกันอย่างนี้

                ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนก็แตกต่างกันอยู่แล้ว

                แต่ทำไมถึงยังได้อยากเป็นที่ 1 กันนัก?

 

                Sousa bokura wa

 

                Sekai ni hitotsu dake no hana

                Hitori hitori chigautane wo motsu

                Sonohana wo sakaserukotodakeni

                Isshougenmei ni narebaii

 

                ใช่แล้วล่ะ พวกเราน่ะ

 

                ต่างก็เป็นดอกไม้เพียงดอกเดียวในโลกนี้

                ทุกคนต่างมีเมล็ดพันธุ์ของตัวเอง

                จงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ดอกไม้นั้นเติบโตอย่างงดงาม

                พยายามเพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

 

                Komattayouni warainagara

                Zutto mayotteru hito ga iru

                Ganbattesaita hana wa doremo

                Kireidakara shikatanaine

 

                ชั้นเห็นคนคนนึง หัวเราะพลางทำท่าทางลำบากใจอยู่หน้าร้านขายดอกไม้

                ก็คงช่วยไม่ได้ล่ะนะ เพราะดอกไม้แต่ละดอกที่ต่างพยายามบานอย่างเต็มที่มันช่างงดงามจริง ๆ

 

                Yatto mise kara dete kita

                Sono hito ga kakaeteita

                Irotoridori no hanataba to

                Ureshisouna yokogao

 

                ในที่สุดเขาก็เดินออกมาจากร้านขายดอกไม้ซะที

                และสิ่งที่ในมือเขาคนนั้นโอบกอดเอาไว้

                ก็คือช่อดอกไม้หลากสีสัน

                รวมทั้งใบหน้าด้านข้างที่ยิ้มแย้มอย่างเต็มที่

 

                Namae mo shiranakattakeredo

                Anohi boku ni egao wo kureta

                Dare mo kitzukanaiyouna basho de

                Saiteta hana no youni

 

                ทั้งๆ ที่ชั้นไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของเขา

                แต่เพียงแค่นั้นเขาก็นำรอยยิ้มมาให้ชั้นได้ทั้งวันแล้ว

                เหมือนกับดอกไม้ที่บานอยู่ในที่ที่ไม่มีคนสนใจนั่นแหละ

 

                Sousa bokura mo

 

                Sekai ni hitotsu dake no hana

                Hitori hitori chigautane wo motsu

                Sonohana wo sakaserukoto dake ni

                Isshougenmei ni narebaii

 

                ใช่แล้วล่ะ พวกเราเองก็

 

                ต่างก็เป็นดอกไม้เพียงดอกเดียวในโลกนี้

                ทุกคนต่างมีเมล็ดพันธุ์ของตัวเอง

                จงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ดอกไม้นั้นเติบโตอย่างงดงามกันเถอะ

                พยายามเพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

 

                Chisaihana ya ookinahana

                Hitotsutoshite onajimono wa naikara

                NO.1 ni naranakutemo ii

                Moto moto tokubetsu na Only one

 

                ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ดอกเล็กหรือดอกใหญ่

                แต่ก็ไม่มีดอกไหนที่เป็นแบบเดียวกันหรอก

                ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นหมายเลข 1

                จงมาเป็นดอกไม้ที่พิเศษสุดเพียงดอกเดียวในโลกนี้กันเถอะ’ (* คำแปลโดยคุณ อ้วนเต้ย จากบล็อกแก๊ง http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=mypace&month=05-2007&date=15&group=6&gblog=94)

                ผมปรบมือให้เขาหลังเพลงจบ พลางพูดชม “เสียงคุณดีมาก มิน่า หลายคนในบริษัทถึงชอบไปร้องคาราโอเกะกับคุณ ไม่ลองไปสมัครเป็นนักร้องล่ะ?”

                คามิซาวะหัวเราะเขินๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก “แหม... ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมก็แค่ชอบร้องเพลงเป็นงานอดิเรกเฉยๆ ไม่ได้คิดจะเอาดีเอาเด่นอะไรด้านนี้หรอก”

                ผมกวาดตามองเขา ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วยกมือลูบคางอย่างครุ่นคิด “นี่ถ้าคุณไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่ แต่ขอผมกลับไปตั้งแต่หลังพระอาทิตย์ตก ผมต้องคิดว่าคุณเป็นเงือกแน่ๆ”

                คามิซาวะทำท่าเหมือนจะสำลักไมค์ เขาถลึงตาจ้องผมเหมือนเห็นของแปลก “วะ... ว่าไงนะครับ!”

                “เสียงคุณกับงินคล้ายกันมาก” ผมตั้งข้อสังเกตต่อ “ถ้าผมฟังแบบไม่ลำเอียง เสียงคุณยังดีกว่าเขาอีก ยังดีนะที่คุณมีขาเดินได้ปกติตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนคนทั่วไป”

                เลขาหนุ่มของผมมีสีหน้าเหมือนมีอะไรติดคอ เขาถลึงตาจ้องผมอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็แค่นเสียงตอบผมออกมาได้เสียที “ละ... ล้อเล่นหนักไปแล้วทาซากิซัง ผะ... ผมก็ยืนอยู่ตรงนี้ไงครับ”

                ผมหรี่ตามองเขาอยู่อีกครู่หนึ่ง คราวนี้คามิซาวะทำท่าเหมือนทำอะไรไม่ถูก เขาเริ่มมองซ้ายมองขวา ประหนึ่งว่ากำลังหาทางหนีจากผมอย่างไรอย่างนั้น

                “นี่ เป็นอะไรไป คามิซาวะซัง แค่ผมทักว่าเหมือนเงือก คุณถึงขั้นไปไม่เป็นเลยเหรอ? ถามจริงเถอะ คุณมีความเกี่ยวข้องยังไงกับเงือกกันแน่ มีบรรพบุรุษเป็นเงือก หรือว่าเป็นเงือกพันธุ์พิเศษยิ่งกว่างิน?”

                คามิซาวะรีบยกมือให้ผมหยุดพูด “ช้าก่อนครับ ทาซากิซัง คุณละลาบละล้วงเรื่องผมมากไปแล้ว”

                ผมเลิกคิ้วกับสำนวนการพูดของเขา ด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินสำนวนโบราณแบบนี้จากปากคนอายุสามสิบห้า “คามิซาวะ ผมแค่ถาม”

                “ถามก็ไม่ได้ครับ” เขาตอบผม และเปลี่ยนท่าทางมาเป็นเรียบเฉยเหมือนปกติอย่างรวดเร็ว “ห้ามพูดถึงเรื่องเงือกกับผมอีกนะครับ ไว้ถึงเวลา ผมจะเล่าให้คุณฟังเอง”

                พอถูกเขาใช้ดวงตาสีดำสนิทหลังแว่นไร้กรอบคันนั้นจ้อง ผมก็อ้าปากไม่ออกดื้อๆ ไม่รู้สึกมาก่อนเลยว่าคามิซาวะจะมีแววตาน่ากลัวขนาดนี้

                “อืม... ก็ได้”

                “ขอบคุณครับ... แล้ว เราจะกลับกันรึยังครับ ผมเรียกพนักงานมาปิดห้องเลยดีกว่า ยังไงคุณเองคงไม่คิดจะร้องคาราโอเกะอยู่แล้ว”

                “อืม...”

-------------------------------------------

                คามิซาวะมาส่งผมถึงบ้านเช่นเคย ก่อนกลับผมไม่วายบอกเขา “คามิซาวะซัง ยังไงวันงานบนเรือ คุณต้องขึ้นร้องเพลงนะ ผมตัดสินใจแล้ว เอาเพลงที่คุณร้องวันนี้แหละ ความหมายดีมาก”

                คามิซาวะมองผมแล้วยิ้ม “เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอกครับ ผมรู้ คุณชอบSMAP” เขาพูดพลางโค้งให้ผม ก่อนจะกลับขึ้นรถไป ผมมองไล่หลัง ก่อนจะถอนหายใจดังเฮือก

----------------------------------------

                วันเวลาอันวุ่นวายไหลผ่านผมไปอย่างรวดเร็วเหมือนสายน้ำ รู้ตัวอีกทีก็ถึงกำหนดดินเนอร์บนเรือสำราญแล้ว คามิซาวะและทาคุโบะช่วยกันตรวจรายชื่อแขกที่เชิญขึ้นเรือ ส่วนเรื่องอาหารและดนตรี ทางบริษัทให้เช่าเรือเป็นผู้จัดหา แม้จะยุ่งแสนยุ่ง แต่ผมไม่ลืมโน้ตไปในรายละเอียดว่า ให้เตรียมเปียโนให้ผมหลังหนึ่ง แต่ไม่ต้องวางในห้อง ให้วางเอาไว้ในร่ม ใกล้กับท้ายเรือ ในส่วนที่มีบันไดทอดลงไปได้ ส่วนเหตุผลว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้น ผมคงไม่สามารถอธิบายให้พวกเขาเข้าใจได้หรอก

                “ทาซากิซังครับ หล่อแล้วล่ะครับ ถ้าคุณยังดูกระจกต่ออีกสามนาที ผมว่าเราคงต้องยกเลิกนัด” คามิซาวะส่งเสียงเตือนผม ระหว่างที่ผมกำลังตรวจเช็กความเรียบร้อยของตัวเองก่อนนั่งรถไปยังท่าเรือ ให้ตายเหอะ ผมอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่ายังอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาจริง แต่ก็นั่นแหละ ผมใช้เวลาหน้ากระจกนานกว่าปกติอย่างที่ตัวเองไม่คิดว่าชีวิตนี้จะทำได้ พอเห็นเขาทำท่าจะเหน็บอีก ผมจึงต้องรีบย้ายตัวเองออกมา “ไปกันเถอะ”

                คามิซาวะกวาดตามองผม ก่อนจะหยุดที่แหวนมุกบนนิ้ว “ทาซากิซัง แหวนวงนี้น่ะ... ถอดไว้บ้านเถอะ”

                ผมหรี่ตามองเขาทันที “ทำไม คุณเห็นว่ามันไม่สวยหรือ?”

                คามิซาวะทำหน้าปั้นยาก “มันก็สวยดีหรอกครับ อันที่จริงผมก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าชีวิตนี้จะได้เห็นผู้ชายใส่แหวนมุกแล้วดูดีแบบคุณ แต่มันอาจจะดูไม่ดีเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น”

                ผมยักไหล่ “ถ้าคุณยังบอกว่าผมดูดี ต่อหน้าคนอื่นก็ช่างมันเถอะ”

                ได้ยินเสียงคามิซาวะจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ “ให้ตายเถอะทาซากิซัง ผมรู้นะว่าคุณจงใจใส่แหวนนั่นไปอวดงิน ไม่ต้องเลยนะครับ ถอดออกเลย”

                ผมชักรู้สึกรำคาญคามิซาวะขึ้นมา “ผมจะใส่ไปให้ใครดูมันก็เรื่องของผม คุณนี่อะไรนัก”

                เลขาตัวดีของผมทำท่าหงุดหงิด “ก็ได้ครับก็ได้ ครั้งนี้ถือว่าผมยอมให้ก่อนแล้วกัน”

                ผมเหลือบตามองเขา ก่อนจะเดินผ่านออกไปขึ้นรถ

---------------------------------------

หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่8 P.4 (21/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-12-2015 06:37:39
                กำหนดล่องเรือสำราญเริ่มตั้งแต่ห้าโมงเย็นจนถึงสามทุ่ม แต่ทว่าผมพาตัวเองมาถึงท่าเรือตั้งแต่บ่ายสอง โดยแจ้งจุดประสงค์ไปว่า ผมต้องการเช็กความเรียบร้อยและอยากใช้เวลาส่วนตัวสักชั่วโมงสองชั่วโมงบนเรือก่อน ซึ่งทางบริษัทเองก็ไม่ขัดข้อง มีแต่เจ้าคามิซาวะนี่แหละ ที่เอาแต่บ่นกระปอดกระแปดว่าเสียเวลาบ้างอะไรบ้าง นี่ยังไม่นับรวมการคัดค้านแบบไร้เหตุผลของเขาตอนที่รู้เรื่องด้วย

                “นี่ คามิซาวะซัง ถามจริงๆ เถอะ คุณจะบ่นอะไรนัก ผมแค่อยากใช้เวลาส่วนตัวบนเรือเฉยๆ” ผมอดไม่ได้ต้องถามเขาในตอนที่พวกเรากำลังจะเดินขึ้นเรือ โดยมีผม เขา ทาคุโบะ และเจ้าหน้าที่ประจำเรืออีกสองสามคน คามิซาวะตีหน้าเครียดตอบผม

                “ผมรู้นะว่าคุณมีจุดประสงค์อื่น”

                “จุดประสงค์อะไรล่ะ?” ผมย้อน เลขาหนุ่มของผมทำหน้าขัดใจ เขาเงียบไปสักพัก จึงเอ่ยปากต่อ “ผมรู้ว่าคุณนัดงินไว้... แต่เขายังเด็ก”

                “เขาอายุตั้งเก้าสิบห้าแล้วน่า ไม่เด็กแล้ว เป็นปู่ผมได้แล้วด้วยซ้ำ”

                “แต่สำหรับเงือกนั่นคือเด็กนะครับ!”

                ผมขมวดคิ้วมองคามิซาวะ “แล้วไง... ผมแค่นัดเจอเขา แค่นั้น ผมอยากให้เขามาฟังผมเล่นดนตรี แค่ฟังดนตรีก็ไม่ได้หรือ? นี่คุณเป็นผู้ปกครองเขาหรือไง?”

                “ผม!” คามิซาวะพูดได้แค่นั้นก็ต้องขบฟันกรอดๆ ผมมองแล้วไม่รู้ว่าควรจะนึกขำหรืออะไรดี พอเห็นเขาไม่ยอมพูดอะไรต่อ ได้แต่ทำท่าโมโหจนหน้าดำหน้าแดง ผมเลยพูดแซวออกไป

                “ไม่บอกผมล่ะ ว่าคุณเป็นโอจิซังของเขา ผมว่าด้วยท่าทางของคุณมันก็ให้อยู่นะ”

                คามิซาวะจ้องผมด้วยสายตาเหมือนกับจะแทงให้ทะลุ ก่อนจะเค้นเสียงออกมา “ทาซากิซังครับ ผมจะถือว่าคุณพูดแบบไม่เจตนาแล้วกัน”

                “อ้อ... ถ้าผมเจตนาล่ะ”

                คนถูกถามหลับตาอย่างอดทนอดกลั้น “ผมไม่ยอมรับว่าเป็นน้าของเงือกที่แก่รุ่นปู่คุณแน่นอน ผมยังไม่อยากแก่ขนาดนั้น”

                ผมหัวเราะออกมา “เอาน่า คามิซาวะซัง ผมเองก็ไม่คิดว่าคุณจะอายุเป็นร้อยสองร้อยปีหรอกนะ เพราะดูยังไงคุณก็หน้าตาแบบคนอายุสามสิบสี่สิบเท่านั้นเอง”

                คราวนี้คามิซาวะมองผมชนิดที่ว่าถ้าเขาอ้าปากกัดผมได้ คงทำไปแล้ว “ทาซากิซัง ปีนี้ผมเพิ่งอายุสามสิบห้าครับ!”

                “ครับๆ” ผมรับคำส่งเดช แล้วพยายามกลั้นหัวเราะแบบจนใจให้เขามองเห็น คามิซาวะเลยเอาแต่ทำหน้าดำคร่ำเครียดใส่ผมจนเรือออก ผมเลยสั่งให้เขาไปนั่งสงบสติอารมณ์ในห้องอาหารของเรือ ส่วนตัวเองออกมาเดินสูดอากาศด้านนอก

                ผมเดินเตร็ดเตร่ไปมาแถวกราบเรือ ชะเง้อมองไปบนผิวน้ำ เผื่อจะเห็นอะไรที่แปลกไปกว่าคลื่นบ้าง เวลาผ่านไปห้านาที สิบนาที สิบห้านาที... ในที่สุด ผมก็เห็นเขาแล้ว

                “ทาคุโบะ ผมจะไปทำธุระสำคัญที่ท้ายเรือ คุณกันอย่าให้ใครเข้าไปยุ่งตรงนั้นเข้าใจนะ” ผมสั่งความลูกน้องคนสนิท ก่อนจะรีบเดินฉับๆ ไปยังบันไดท้ายเรือ โดยที่สายตายังคงมองเงาสีเงินที่ส่องประกายอยู่ไกลๆ

                เขามาแล้ว

                “งิน” ผมเรียกชื่อเขาด้วยความรู้สึกเหมือนได้เจอคนที่รอคอยมานาน ในตอนที่เขาโผล่หน้าขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ก่อนจะหย่อนบันไดลงไป

                “โทวะซัง” งินเรียกชื่อผม ขณะปีนขึ้นมาบนเรือ ผมหยิบผ้าเช็ดตัวมาห่อตัวเขาไว้ ระหว่างที่รอให้ครีบหางเขาเปลี่ยนเป็นขา ระหว่างนั้นงินหันซ้ายหันขวา ก่อนจะหันมามองผม “ซุบารุซังล่ะครับ?”

                “นั่งอ่านหนังสืออยู่ล่ะมั้ง ช่างเขาเถอะ” ผมตอบ แล้วหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ส่งให้เขา งินเลิกคิ้วสูง ดูแปลกใจกับเสื้อเชิ้ต กับเวส และสแล็กสีขาวที่ผมเตรียมไว้

                “นี่เสื้อผมเหรอครับ?”

                “อือ” ผมพยักหน้า แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าขึงขัง “เวลาฟังเปียโนต้องแต่งตัวสุภาพรู้มั้ย แต่งตัวแบบตอนอยู่บนเกาะไม่ได้หรอก”

                “ทำไมล่ะครับ? แบบนั้นไม่สุภาพหรือ?” งินถามผมด้วยดวงตาใสซื่อ ให้ตายเหอะ ผมอยากจะบอกเขาจริงๆ ว่า อันที่จริงแล้วไอ้เรื่องไม่สุภาพน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าเกิดมีใครมาเห็นเขาใส่กางเกงขาสั้นแนบเนื้อกับเสื้อสีขาวตัวบางๆ ผมคงโมโหตาย

                คนบนเกาะน่ะไม่เป็นไร เพราะคงเห็นจนชินแล้ว แต่คนอื่นจะเชื่อได้ที่ไหน

                ถึงกระนั้น ให้บอกเขาแบบนี้ก็คงไม่เข้าใจ ผมเลยจำต้องบอกเขาด้วยเหตุผลอื่น “ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ไหนๆ เธออุตส่าห์มาหาฉันทั้งทีแล้ว ให้ฉันเตรียมเสื้อผ้าใหม่ให้เธอบ้างจะเป็นไรไป อีกอย่างจะได้เข้าคู่กับชุดที่ฉันใส่ด้วย”

                งินเบิ่งตาสีเขียวน้ำทะเลมองผม ก่อนจะรีบพยักหน้า “เข้าใจล่ะครับ”

                เขาเริ่มใส่เสื้อผ้าต่อหน้าผม อืม... ก่อนหน้านี้ผมก็เห็นเขาเปลือยต่อหน้ามาหลายครั้ง ถึงขนาดนั้นเดินแกว่งไปแกว่งมาให้ดูเลยก็มี แต่คราวนี้ไม่รู้เป็นอะไร พอเห็นร่างเปลือยๆ ของเขา หัวใจผมก็เต้นถี่ หลายส่วนในร่างกายก็เริ่มร้อนขึ้นมา

                แย่ล่ะ!

                “หืม? โทวะซังทำไมหันหน้าหนีอย่างนั้นล่ะครับ? ท่าทางใส่เสื้อของผมน่าเกลียดจนคุณทนดูไม่ได้เลยหรือ?”

                ผมรู้ว่าเขาถามด้วยความซื่อล้วนๆ แต่ให้ตายเถอะ ตอนนี้ผมชักรู้สึกว่าความซื่อแบบนี้ของเขามันช่างร้ายกาจจนยากจะทน

                “เปล่าหรอก” ผมตอบ พลางบอกตัวเองให้สงบจิตสงบใจไว้ ผมชวนเขาขึ้นมาฟังดนตรี อย่าเพิ่งทำให้บรรยากาศมันเสียด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้จะดีกว่า

                “คือฉันจะไปเช็กเปียโนหน่อยน่ะ” พูดจบผมก็รีบเดินตรงไปยังเปียโนที่วางอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ เปิดฝาครอบแป้นออก แล้วไล่นิ้วลงไปอย่างเอาจริงเอาจังประหนึ่งว่ากำลังจะลงประกวดเปียโนระดับประเทศก็ไม่ปาน

                “โทวะซัง ดูหน่อยสิครับ แบบนี้ผมใส่ถูกรึเปล่า?” เสียงของงินดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมจำต้องเปือนหน้าไปมองเขา

                โอ้ ให้ตายเหอะ!

                “โทวะซัง?” งินส่งเสียงเรียกผม พลางเอียงคอด้วยความสงสัย อืม... ผมคิดว่าเขาควรจะสงสัย เพราะผมก็สงสัยท่าทางของตัวเองตอนนี้เหมือนกัน

                บอกผมที ที่อยู่ตรงหน้าผมนี้คือเงือก ไม่ใช่เทวดาตกสวรรค์มาจากที่ไหน

                “โทวะ...”

                “อ้อ” ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมส่งเสียงออกมาได้เสียที ผมพยายามขยับลูกตาตัวเองที่เหมือนถูกดูดเอาไว้กับแม่เหล็ก กวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกออกมา สีหน้าของงินดูเจื่อนลงทันที พอเห็นแบบนั้นผมเลยต้องรีบพูดต่อ “ฉันกำลังจะบอกว่า ดูดีมากเลย”

                เงือกหนุ่มตนนั้นมองผมแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือครับ?”

                “อืม...” ผมพยักหน้า “ดูดีจนฉันพูดไม่ออกเลย”

                คิ้วได้รูปของงินขมวดเข้าหากัน “ล้อเล่นแบบนี้ผมไม่ขำนะครับ ดูไม่ดีก็บอกมาตรงๆ เลย”

                “ฉันยังไม่เห็นส่วนไหนของเธอที่ดูไม่ดีเลยนะ”

                “ก็ตะกี้คุณเพิ่งถอนหายใจ มันแสดงว่าคุณเห็นแล้วไม่พอใจไม่ใช่หรือครับ?”

                ผมล่ะอยากจะถอนหายใจซ้ำอีกครั้งจริงๆ “นี่... บางทีการถอนหายใจมันก็ไม่ได้หมายถึงไม่พอใจหรอกนะ มันอาจจะหมายถึงการโล่งใจก็ได้”

                “อ๋อ...” งินทำท่าเหมือนจะเข้าใจ แต่แล้วก็ทำหน้าสงสัยอีก “แต่คุณเอาแต่จ้องผมแล้วถอนหายใจ มันจะหมายถึงการโล่งใจได้ยังไงล่ะครับ แบบนั้นมันหมายถึงไม่ได้เรื่องไม่ใช่หรือไงครับ?”

                ผมสูดหายใจลึก พยายามลำดับความคิดว่าต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เขาเข้าใจอย่างไรดี “เอาล่ะ ฟังฉันนะงิน ที่ฉันถอนหายใจหมายถึงโล่งใจจริงๆ ที่ฉันโล่งใจเพราะในที่สุดฉันก็หยุดเอาแต่เงียบแล้วจ้องเธอได้เสียที แล้วทำไมฉันถึงต้องเงียบแล้วจ้องเธอรู้มั้ย เพราะเธอดูดีมาก ดูดีจนฉันสงสัยว่าเธอเป็นเทวดารึเปล่า?”

                งินมองผมตาปริบๆ “โทวะซัง... คุณตากแดดมากไปรึเปล่าครับ? ผมเป็นเงือกนะครับไม่ใช่เทวดา อีกอย่างเทวดาต้องลอยลงมาจากฟ้าสิครับ”

                ผมคิดว่าคงป่วยการจะสื่อเรื่องนี้ให้เขาเข้าใจ เลยตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง “มานั่งตรงนี้สิ”

                งินดูจะงงๆ กับการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็วของผม แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก ยอมมานั่งบนเก้าอี้ข้างผมแต่โดยดี

                “............”

                คราวนี้กลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมพูดอะไร งินเอาแต่นั่งเงียบจ้องเปียโนตรงหน้า ส่วนผมก็เอาแต่เหลือบมองเขาไม่หยุด บรรยากาศชักกระอักกระอ่วนเข้าไปทุกที ผมเลยตัดสินใจไล่นิ้วลงไปบนแป้นเปียโน กะว่าจะเล่นเพลงให้เขาฟังสักเพลงหนึ่ง ที่จริงผมเตรียมเพลงไว้แล้ว แต่เพราะตอนเริ่มไล่นิ้วสติของผมไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ ไปๆ มาๆ เพลงที่เล่นเลยกลายเป็นเพลง Sekai ni Hitotsu Dake no Hana ที่คามิซาวะร้องเมื่อวานไป

                ‘Hanaya no misesakini naranda

                Iron na hana wo miteita

                Hitosorezorekonomi wa arukedo

                Doremo minna kirei dane’

                ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองหูฝาด ไม่ก็คามิซาวะแอบมาร้องเพลงประกอบให้ผมอยู่ตรงส่วนไหนสักแห่ง แต่พอตั้งใจฟังดีๆ ถึงได้รู้ว่าคนที่ร้องเป็นคนที่นั่งอยู่ข้างผมนี่แหละ แม้จะแปลกใจระคนสงสัย แต่ผมไม่อยากถามคำถามหรือหยุดเล่นเปียโนเพื่อทำลายบรรยากาศอันดีนี้

                เสียงของงินสดใสเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้า พอประกอบกับเสียงเปียโนและเสียงคลื่นที่ซัดกราบเรือเบาๆ แล้ว ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบกอดท่ามกลางแสงตะวันอ่อนๆ

                ด้วยความลำเอียงล้วนๆ ผมขอตัดสินว่าเสียงของงินเพราะกว่าคามิซาวะเป็นไหนๆ

                เพราะอยากฟังเขาร้องเพลงนานๆ ผมถึงขั้นเล่นท่อนฮุกซ้ำเกินกว่าของเดิมถึงสองครั้ง แต่งินคงเข้าใจว่าเป็นท่อนที่ผมต้องเล่นคนเดียวล่ะมั้ง เลยเงียบเสียงไปตั้งแต่จบเพลงจริงๆ

                พอรู้ว่ายังไงเขาคงไม่ร้องต่อแน่ ผมจึงจำต้องจบเพลงลง แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เงือกหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างผมก็ชิงพูดขึ้นก่อน

                “โทวะซัง ผมชอบเปียโนที่คุณเล่นจัง มันเพราะมากเลยนะครับ”

                สีหน้าที่แสดงความชื่นชอบจากใจจริงของเขาทำเอาหัวใจผมพองโต ผมเอาแต่ยิ้ม เกือบจะลืมเรื่องที่จู่ๆ เขาก็ร้องเพลงนี้ด้วยซ้ำ ยังดีที่นึกขึ้นมาได้เสียก่อน

                “ขอบใจนะ เอ้อ... ฉันมีเรื่องอยากถาม ทำไมเธอถึงร้องเพลงนี้ได้ล่ะ?”

                “อ๋อ ทาคาระจังชอบฟังครับ เขาเป็นคนบนเกาะ แต่ออกไปหลายปีแล้ว เขาเคยเปิดเพลงนี้ช่วงหนึ่งเมื่อตอนที่ยังอยู่ เขาก็อายุรุ่นๆ คุณนี่แหละ” งินตอบผมเสียงใส ผมพยักหน้าหงึก เข้าใจเหตุผลเสียทีว่าทำไมเขาถึงร้องได้ SMAP นี่ดังจริงๆ ขนาดบนเกาะห่างไกลปานนั้นยังมีคนฟัง แต่พอนึกอีกที งินเรียกคนคนนั้นว่าทาคาระจัง แถมรุ่นเดียวกับผม แสดงว่าในสายตาเขา ผมเป็น...

                “โทวะซัง... ทำไมทำหน้าแบบนั้นครับ?”

                ผมหันมองเขา แค่นยิ้มตอบไป “อ๋อ ฉันกำลังคิดอยู่น่ะ... ว่าถ้าเธอบอกว่าตัวเองยังเด็กที่อายุเก้าสิบห้า แล้วฉันที่อายุแค่สามสิบกว่า จะเรียกว่าอะไรดี”

                งินทำตาโต ก่อนจะรีบสั่นศีรษะ ทำหน้าเหมือนผู้ใหญ่ปลอบเด็กๆ “คุณอย่าเอาอายุตัวเองมาเทียบกับอายุเงือกสิครับ มันเทียบกันไม่ได้หรอก สำหรับผมคุณถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วล่ะ คุณตัดสินใจทำอะไรเองได้แล้ว เดินทางเอง เลือกครอบครัวเอง มองยังไงก็เป็นผู้ใหญ่แหละครับ”

                “อ้อ... เข้าใจล่ะ” ผมพยักหน้า งินมองผมแล้วพูดต่อ “ที่จริงผมอิจฉาคุณนะ อายุไม่เท่าไหร่ก็ได้เป็นผู้ใหญ่แล้ว ดูอย่างผมสิ ปีนี้เก้าสิบห้าแล้วยังเป็นเด็กอยู่เลย”

                ผมยิ้มให้เขาอย่างเอ็นดู “เป็นเด็กก็ดีนี่ ใครๆ ก็อยากเป็นเด็กกันทั้งนั้น ตอนเด็กไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบให้วุ่นวาย พอเป็นผู้ใหญ่แล้ววุ่นวาย ใครๆ ก็อยากกลับเป็นเด็กทั้งนั้น”

                “ไว้ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะลองคิดอย่างที่คุณว่าอีกทีแล้วกันครับ” งินตอบผม ก่อนจะถอนหายใจ พลางกวาดตามองไปรอบๆ “ผมเพิ่งเคยขึ้นเรือครั้งแรกนี่แหละ เรือคุณเหรอครับ?”

                “เปล่าหรอก เช่ามา”

                “อ๋อ” เขาพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ “ซุบารุซังโวยวายน่าดู ตอนรู้ว่าคุณนัดเจอผม ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะจัดการล่มเรื่องนี้แล้วเสียอีก”

                ผมฟังแล้วก็หัวเราะ “เขาก็พยายามจะทำแบบนั้นแหละ ไม่รู้ว่าหวงอะไรนัก เป็นคนแนะนำฉันให้รู้จักกับเธอเองแท้ๆ”

                งินมองผมแล้วหัวเราะแหะๆ “เขาคงไม่คิดหรอกครับว่าพวกเราจะสนิทถึงขั้นนัดเจอกันแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะครับที่ผมนัดเจอกับคนอื่น”

                “รู้สึกยังไงบ้าง”

                “ตื่นเต้นน่าดูเลยครับ” งินพูด “เมื่อคืนผมแทบนอนไม่หลับแน่ะ กลัวว่าจะหาเรือคุณไม่เจอ”

                ผมรู้สึกหัวใจตัวเองเต้นตึกๆ ขึ้นมา “ฉันเองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน คิดไว้ตลอดเลยว่าอยากเจอเธอ”

                โดยไม่ได้ตั้งใจ จังหวะที่ผมหันไปพูด เขาก็หันมาพอดี สายตาสองคู่ของพวกเราเลยสบกันโดยบังเอิญ ราวกับมีแรงดึงดูด ผมไม่สามารถละสายตาจากเขาไปได้เลย กว่าจะรู้ตัวอีกที ริมฝีปากของพวกเราก็สัมผัสกันแล้ว

                  จูบละมุนเหมือนกินเวลาเนิ่นนานในความรู้สึก แต่ขณะเดียวกันก็คล้ายเป็นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง เมื่อผมผละริมฝีปากออก ก็เห็นว่าใบหน้าของงินแดงจัด

                “โทวะซัง...”

                ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ริมฝีปากน่ามองนั้นก็เป็นฝ่ายขยับเข้ามา ก่อนที่พวกเราจะถูกความรู้สึกของกันและกันดึงดูดผ่านทางปลายลิ้น จนลืมเรื่องรอบตัวไปหมดสิ้น สัมผัสได้เพียงความรู้สึกที่กำลังส่งถึงกัน

                สายลมทะเลยามบ่ายพัดผ่านร่าง ผมตระกองกอดงินเอาไว้ แนบจูบชิดลงกว่าเดิม รู้สึกถึงแขนของเขาที่เกี่ยวกระหวัดตัวผมอยู่ หัวใจผมเต้นระรัว ความรู้สึกอุ่นวาบในใจเอ่อท้นขึ้นมาจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้

                “งิน!”

                ลมหายใจของผมชะงักกึก ขณะที่ร่างน้อยๆ ในอ้อมกอดผมรีบผละออกร่าวรวดเร็ว พอหันไปมองตามต้นเสียงก็เห็นคามิซาวะยืนตีหน้าถมึงทึงอยู่ ที่ด้านหลังมีทาคุโบะที่ทำหน้าแบบมองก็รู้เลยว่าห้ามการเข้ามาของเขาไม่สำเร็จ

                “.......”

                ยังไม่ทันที่ใครจะทันได้พูดอะไร เขาก็เดินฉับๆ ตรงเข้ามาหาพวกเรา แล้วคว้าไหล่งินเอาไว้ “ไปกับฉันเลย”

                ผมรีบปัดมือเขาออกแล้วกอดงินเอาไว้แน่น คามิซาวะดูไม่พอใจอย่างมาก เขาหันมาถลึงตาใส่ผม “ทาซากิซัง รู้ใช่มั้ยครับว่าเขายังเด็ก”

                ผมไม่ได้พยักหน้ารับ แค่ส่งเสียงอืมในคอ คิ้วของคามิซาวะขมวดเข้าหากันมากขึ้น “ถ้าผมรู้ว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ผมไม่แนะนำให้คุณรู้จักกับงินแน่”

                “อ๋อ... เสียใจด้วยนะที่คุณไม่รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแบบนั้น” ผมพูด ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ “เรื่องนั้นน่ะช่างมันแล้วกัน เอาว่าต่อไปนี้พวกคุณสองคนห้ามเจอกันอีก ไม่ว่ายังไงก็ห้าม แล้วก็เอามือออกจากตัวงินเสียที”

หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-12-2015 06:39:04
                ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาดูมีอำนาจอะไรบางอย่างที่ผมจะต้องทำตาม แต่หัวใจของผมบอกให้อดทนไว้ กว่าผมจะได้เจองินไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันของเราก็มีจำกัดอยู่แล้ว

                “ทาซากิซัง...”

                ขณะที่ผมพยายามต่อสู้กับอำนาจเสียงที่เหนือธรรมชาติของคามิซาวะ งินก็ส่งเสียงขึ้นมา “ทสึกิยะซัง!!”

                แก้วตาของคามิซาวะหดวูบ แต่ก็ไม่ยอมละสายตาไปทางไหน ได้ยินเขาเค้นเสียงอีก “เรื่องนี้นายก็ห้ามยุ่ง ทสึกิยะ”

                “อ๋อ... ฉันก็ไม่ได้จะยุ่งเรื่องของงินหรอก” เสียงของใครอีกคนดังตอบขึ้นมา คราวนี้ผมเห็นคามิซาวะสะดุ้ง พอมองไปที่กราบเรือตรงที่มีบันได ก็เห็นเรือนผมสีแดงก่ำ และดวงตาสีเทาวาวกำลังจับจ้องมาพอดี บอกตรงๆ ด้วยสายตาและท่าทางของเขา แม้ผมเองจะเคยเห็นมาหลายครั้ง แต่ก็อดสะดุ้งไม่ได้เหมือนกัน

                “แต่พอดีฉันก็นัดเจอคนอื่นเอาไว้ แล้วคนคนนั้นก็ไม่ยอมโผล่มาเจอฉันเสียที”

                ผมเห็นคามิซาวะกัดฟันกรอดๆ ขณะเค้นเสียงพูดตอบเขาไป “อ๋อ แต่ฉันจำได้ว่าไม่เคยนัดเจอนายแน่นอน”

                เงือกที่มีผิวสีแทนตัดกับสีของดวงตาอย่างชัดเจนยักไหล่ ตอนนี้เขาพาตัวเองขึ้นมานั่งบนกราบเรือเป็นที่เรียบร้อย ผมเพิ่งสังเกตว่าครีบหางของเขาเป็นสีแดงมีเงี่ยงน่ากลัวยื่นยาวออกมา ให้ตายเหอะ ไม่ใช่ว่าหมอนี่ตั้งใจจะมาจมเรือหรอกนะ

                “นายนี่ดื้อจริงๆ ดูงินสิยังรู้จักอะไรๆ มากกว่านายตั้งเยอะ”

                “หุบปากไปเลย!”

                “ซุบารุ...” ไม่พูดเปล่า เจ้าเงือกตัวนั้นพลันพลิกตัวพุ่งเข้าใส่คามิซาวะประหนึ่งงูพิษฉกเหยื่อ แต่คามิซาวะเองก็ไหวตัวไวใช่ย่อย เขาหลบการโจมตีนั้นได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ ได้ยินเสียงทสึกิยะโพล่งออกมา

                “งิน!”

                งินที่นั่งนิ่งอยู่ข้างผมลุกพราดแล้วพุ่งเข้าไปหาคามิซาวะทันที ได้ยินเสียงคามิซาวะร้องลั่น “เฮ้ย!”

                “ขอโทษนะครับโอจิซัง!”

                สิ้นเสียง งินก็ใช้มือผลักอกของคามิซาวะอย่างแรง จนหงายหลังล้มลง เผอิญว่าโชคดีที่มีอีกคนรอรับอยู่

                “ขอบใจมาก” ทสึกิยะพูดพลางใช้ทั้งมือทั้งครีบหางสีแดงก่ำน่ากลัวรัดคามิซาวะเอาไว้ ขณะที่เจ้าตัวดิ้นขลุกขลักสุดแรงเกิด ทั้งต่อยทั้งถีบ ดูเรี่ยวแรงก็ไม่ใช่น้อยๆ

                “พวกนาย จำ..!” ยังไม่ทันที่คามิซาวะจะได้พูดอะไรต่อไปมากกว่านั้น เขาก็ถูกลากลงข้างกราบเรือไปเสียก่อน ภาพเหตุการณ์นั้นทำเอาผมต้องลุกพรวดขึ้นมา “คามิซาวะ!!”

                ทาคุโบะเองก็วิ่งพรวดเข้ามาเหมือนกัน พวกเราสองคนต่างรีบชะโงกไปดูด้านข้างเรือ แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากฟองคลื่น ผมนึกหวั่นใจขึ้นมา

                “รีบไปบอกให้คนเอาห่วงยางมาเร็ว มีคนตกเรือ” ผมโพล่ง แต่ก่อนที่ทาคุโบะจะทันได้ขยับ มือของงินก็ยื่นมาจับแขนเขาเอาไว้

                “เรื่องนั้นไม่ต้องหรอกครับ”

                ??!!

                พวกเราหันไปมองเขาเป็นตาเดียว งินหันมามองผม แล้วยิ้ม “ซุบารุซังเป็นเงือก เขาไม่จมน้ำตายแน่ เชื่อผมเถอะ”

                ผมอ้าปากค้าง ขณะที่ทาคุโบะเองก็ดูจะอึ้งไม่แพ้กัน คือ... ผมแค่ล้อเขาเล่นเพราะเห็นเขาดูหวงงินอย่างกับอะไร แต่ไม่ได้คิดจริงๆ หรอกว่าเขาจะเป็นเงือก จังหวะนั้นเองงินก็พูดขึ้นต่อ

                “โทวะซัง ยกมืออุดหูไว้สักประเดี๋ยวนะครับ”

                แม้จะยังงงๆ ที่จู่ๆ เขาก็บอกให้ผมทำอะไรแบบนั้น แต่มือทั้งสองข้างของผมก็ยังอุตส่าห์ยกขึ้นมาอุดหูเอาไว้เหมือนถูกยาสั่ง ตอนนั้นเองที่ผมเห็นงินอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง จากนั้นทาคุโบะก็ล้มฮวบลง

                “เฮ้ย!” ผมร้อง ยกมือที่ปิดหูออกทันที ขณะที่งินยื่นแขนไปรับร่างของคนสนิทผมเอาไว้

                “ใจเย็นๆ ไม่ต้องตกใจนะโทวะซัง เขาแค่หลับไปเฉยๆ ครับ” งินพูดพลางค่อยๆ วางร่างของทาคุโบะพิงไว้กับกราบเรือ “พอเขาตื่นขึ้นมาจะจำเรื่องที่เห็นเมื่อกี้ไม่ได้ คุณไม่ต้องกังวลไปนะครับ”

                ผมมองหน้างิน แล้วเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเสียงของเงือก ที่มีพลังประหลาด สามารถทำให้คนลุ่มหลง หรือสามารถทำให้คนทำตามคำสั่งได้ แม้กระทั่งทำให้ลืมเรื่องบางเรื่องไป

                “.............”

                เสียงลมพัดหวีดหวิวดังอยู่รอบตัว งินมองหน้าผม ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลของเขาสะท้อนแดดยามบ่ายแก่ๆ เป็นประกายสีอ่อน ได้ยินเสียงเขาพูดขึ้นต่อ “คุณคงเสียใจที่จูบผม”

                ผมชะงักกึก ก่อนจะรีบดึงตัวเขาเข้ามากอดแน่น “ไม่มีทาง!”

                งินซบหน้าลงกับอกผม ทิ้งความเงียบเอาไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “คุณไม่คิดเหรอครับว่าที่คุณรู้สึกทั้งหมด อาจจะเป็นเพราะเสียงของผม เสียงของเงือกมีผลต่อจิตใจของคน คุณไม่คิดหรือว่าผมอาจจะกำลังกล่อมคุณด้วยเสียงอยู่”

                ผมสั่นศีรษะ กอดเขาแน่นกว่าเดิม “ฉันไม่สนหรอกว่าจะถูกเธอกล่อมแบบไหน ขออย่างเดียว เธออย่าทำให้ฉันลืมเรื่องเธอก็พอ”

                ผมรู้สึกว่าไหล่ของเขาสั่นน้อยๆ “ทำไมล่ะครับ? การจำเรื่องผมได้มันดีต่อคุณหรือ? คุณมีความสุขหรือครับเวลาคิดถึงเรื่องผม?”

                “อืม”

                “แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างนั้นหรือ?”

                ผมลูบศีรษะเขาอย่างเบามือ แล้วจูบหน้าผากนั้นเบาๆ “ใช่”

                “คุณไม่ได้ชอบผมหรอกหรือ?”

                คราวนี้ผมจำต้องผละออกหน่อยหนึ่งเพื่อมองหน้าเขาให้ชัดๆ “ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ?”

                “ก็... ถ้าคุณชอบผม ก็ต้องอยากอยู่กับผมไม่ใช่หรือครับ เหมือนอย่างคนอื่นๆ ทำ”

                ผมถอนหายใจ แล้วใช้มือจับใบหน้าเขาไว้ “รู้อะไรมั้ย ตั้งแต่ได้เจอเธอ ฉันคิดอยู่ตลอด ว่าฉันชอบเธอหรือเปล่า หรือมันเป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบ ชีวิตนี้ฉันไม่เคยชอบใครมาก่อนเลย ไม่เคยรู้หรอกว่าการได้ชอบใครสักคนมันเป็นยังไง”

                “....”

                “จำเรื่องที่เธอไปช่วยฉันที่หาดได้มั้ย?”

                ร่างน้อยๆ ในอ้อมกอดผมพยักหน้า ผมจึงพูดต่อ “นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันคิดถึงใครคนหนึ่งจนลืมคิดถึงอย่างอื่น ฉันคิดถึงเธอ แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอเธออีก หัวใจฉันก็ปวดแปลบ ที่ฉันก้าวเท้าลงไปในน้ำ แค่เพราะอยากจะได้เจอเธออีกสักครั้ง ตอนที่เธอช่วยฉันเอาไว้ ฉันคิดขึ้นมาว่า ฉันคงชอบเธอจริงๆ”

                งินซบหน้าลงกับฝ่ามือของผม เหมือนเห็นน้ำใสๆ ซึมออกมาจากหัวตาของเขา “ตอนผมเห็นคุณวิ่งลงไปในน้ำ ผมตกใจมากเหมือนกัน สงสัยว่าเพราะอะไรทำไมคุณถึงทำแบบนั้น พอคุณบอกผมว่าคุณเอาแต่คิดถึงผมตลอดเวลา ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมา”

                ผมไม่ได้ถาม เพียงแต่ทิ้งเวลาเพื่อรอจังหวะให้เขาพูดต่อ ปล่อยให้สายลมยามบ่ายพัดผ่านพวกเราสองคนไป

                “ผมกลัวว่าพอคุณชอบผมแล้ว คุณก็จะเอาแต่คิดถึงผม จะไม่ทำอะไรอย่างอื่น ถ้าหากว่าคุณต้องตายไป หรือต้องเสียอนาคตไปเพราะความชอบที่มีต่อผม ผมคงไม่ให้อภัยตัวเอง”

                ผมขยับนิ้วขยี้แก้มเขาเบาๆ “ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังยอมนัดเจอฉัน ทำไมล่ะ? ไม่คิดหรือว่าเมื่อเจอกันอีกครั้ง ฉันอาจจะกระโดดลงทะเลตามเธอไปเลยก็ได้”

                “เพราะผมดีใจครับ” งินพูด หยดน้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาของเขา “ผมคิดว่าคุณจะลืมเรื่องผมแล้วตั้งแต่กลับไป ซุบารุซังบอกว่ามนุษย์ลืมง่าย ยิ่งเรื่องที่เคยบอกว่าชอบหรือรักใคร ยิ่งลืมง่ายใหญ่ บอกว่าถึงไม่ต้องใช้เสียงกล่อมคุณก็จะลืมของคุณไปเอง ผมก็อยากจะเชื่อเขา แต่ในใจลึกๆ ผมก็ยังหวังว่าคุณจะจำเรื่องของผมได้... เพราะผม... ผมเอาแต่คิดถึงเรื่องคุณ”

                “ชอบฉันใช่มั้ย?”

                งินไม่ได้ตอบผมตรงๆ เขาเพียงแค่หลับตาลง ปล่อยให้หยดน้ำใสๆ ไหลออกมาเรื่อยๆ “มันทรมาน โทวะซัง... ตอนคุณไม่ติดต่อมา ผมก็คิดว่าคุณคงลืมไปแล้ว คิดกับตัวเองว่าในเมื่อคุณยังลืมได้ สักวันผมก็ต้องลืมเรื่องของคุณได้เหมือนกัน ผมยังมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี ขณะที่อีกไม่นานคุณก็ต้องจากโลกนี้ไป การคิดถึงคุณแบบนั้นมีแต่จะทำให้ผมเจ็บปวด แต่พอคุณติดต่อมา พอผมเห็นกระจกที่คุณทำให้ พอผมได้ยินเสียงคุณ ผม...”

                น้ำใสๆ ไหลร่วงลงมาจากดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้น ผมจูบหน้าผากเขาเบาๆ ก่อนจะใช้มือเช็ดคราบน้ำพวกนั้นออก ร่างของงินสั่นสะท้านในอ้อมกอดผม ระหว่างที่เขาพูดความรู้สึกของตัวเองออกมา

                “ผมเฝ้ารอวันที่จะได้เจอคุณ แม้จะรู้ว่าการเจอกันครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย คุณคงชอบผมแล้ว ผมเองก็คงชอบคุณเหมือนกัน แต่พวกเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ คุณเป็นมนุษย์ ส่วนผมเป็นเงือก แม้ผมจะหลอกล่อให้คุณมาอยู่ด้วยในน้ำได้ แต่... แต่มันเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป คุณมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ มีเรื่องต้องทำ อีกอย่าง คุณต้องมีลูก ซึ่งเรื่องนั้นผมทำให้คุณไม่ได้”

                คราวนี้ผมจำต้องพูดแทรกเขา “งี่เง่า... ฉันเคยอยากมีลูกที่ไหนกัน... ถ้าไม่ใช่คนที่ชอบ ฉันก็ไม่อยากจะมีลูกด้วยหรอก ส่วนคนที่ฉันชอบจะมีลูกให้ฉันได้หรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว ขอแค่ฉันชอบคนคนนั้นก็พอ”

                “แต่ผมไม่ใช่พวกปกตินะ... ผมเป็นพวกแปลกเผ่านะครับ”

                “แล้วไงล่ะ?” ผมว่า “มันแปลกตั้งแต่เธอเป็นเงือกแล้ว ถ้าฉันถือคงไม่มาอยู่ตรงนี้ และไม่ว่าสังคมใต้น้ำของเธอจะว่ายังไง ฉันก็ไม่สนหรอก เพราะยังไงเธอก็เป็นดอกไม้ดอกเดียวในโลกนี้อยู่แล้ว และฉันก็ชอบเธอเอามากๆ ด้วย”

                “โทวะซัง...”

                ผมจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา “ชอบฉันรึเปล่า?”

                “ครับ...”

                “อยากให้ฉันไปอยู่กับเธอมั้ย?”

                “ครับ...”

                “งั้นก็ไปกันเถอะ ฉันพร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอ”

                งินรีบใช้มือยึดไหล่ผมเอาไว้ แล้วสั่นศีรษะ “ไม่ได้หรอกครับ คุณมีเรื่องต้องรับผิดชอบ”

                “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าวันนี้ฉันจมน้ำตายไป เรื่องที่บริษัทเดี๋ยวเขาก็หาคนมาทำแทนได้นั่นแหละ”

                งินเบิ่งตามองผม ก่อนจะพึมพำออกมา “ไหนซุบารุซังบอกว่าคุณบ้างานมาก”

                “ใช่... แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” ผมตอบเขา “มีอย่างอื่นให้ฉันบ้ามากกว่าแล้ว”

                งินหน้าแดงวาบ เขาเอาหน้าซุกอกผมอีก “พูดแบบนี้ผมอายนะครับ”

                ผมหัวเราะในคอ “เอาไงล่ะ พวกเราไปกันตอนนี้เลยมั้ย ไหนๆ เลขาส่วนตัวของฉันก็ถูกลากลงทะเลไปแล้ว ฉันลงไปอีกคนก็คงดี จะได้เปิดบริษัทใหม่ที่นั่นเสียเลย”

                งินเงยหน้ามองผม ก่อนจะยิ้มออกมา “คุณนี่เป็นคนตลกจริงๆ ด้วย” จากนั้นก็ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ “แต่ผมคงไม่ลากคุณลงไปอยู่ด้วยกันในน้ำตอนนี้หรอกครับ เพราะผมยังเด็ก”

                “อ๋อ...” ผมลากเสียง “รอจนเธอโต ฉันก็แก่งั่กพอดี จะเอาอย่างนั้นหรือ?”

                งินทำท่าคิดหนัก พอเห็นเขาทำหน้าแบบนั้น ผมเลยพูดต่อ “ลองคิดดูนะ อีกสามสิบปีฉันก็อายุหกสิบ ถึงตอนนั้นเธอเพิงอายุร้อยยี่สิบห้าปี ยังขาดอีกตั้งยี่สิบห้าปี ฉันคงอยู่ถึงอายุแปดสิบห้าไม่ไหวหรอก เอาแค่ตอนอายุหกสิบ เธอจะยังชอบฉันอยู่รึเปล่ายังน่าสงสัยเลย ฉันที่แก่หัวหงอกหมดแล้วน่ะ”

                งินหัวเราะออกมา “ผมนึกภาพคุณตอนนั้นออกด้วยล่ะ ว่าแต่... ตอนที่คุณอายุเท่านั้น คุณจะยังชอบผมอยู่หรือครับ? ถ้าคุณต้องรอนานขนาดนั้น คุณอาจจะไม่ชอบผมแล้วก็ได้”

                “งั้นเอาอย่างนี้มั้ยล่ะ?” ผมเสนอขึ้นมา “พวกเราจะรอกันจนถึงตอนนั้น รอจนฉันอายุหกสิบ ระหว่างนั้นเราจะเจอกันทุกปี ถ้าปีไหนฉันเกิดหายไปโดยไม่บอก ก็ให้ถือว่าฉันตายไปแล้ว เพราะฉันจะไม่ยอมให้เธอผิดหวังว่าฉันเปลี่ยนใจเด็ดขาด”

                งินรีบเอามือมาปิดปากผมไว้ “ถึงคุณเปลี่ยนใจผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ มันเป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ผมจะรอคุณทุกปี รอจนคุณอายุหก... ถึงตอนนั้นคุณคงหมดภาระบนนี้แล้ว”

                “อืม... ถึงตอนนั้นเธอจะอนุญาตให้ฉันลงไปอยู่กับเธอแล้วหรือยัง? หรือว่ายังต้องรอใครอนุญาตอีก”

                งินหน้าแดงวาบ “ถึงตอนนั้นผมอายุร้อยยี่สิบกว่า ถึงจะยังมีลูกไม่ได้ แต่ก็ตัดสินใจอะไรเองได้แล้วนะครับ ไม่ต้องรอใครอนุญาตหรอก”

                “งั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้” ผมว่า งินเบิ่งตามองผม “เอาจริงหรือครับ?”

                “เอาจริงสิ เห็นฉันล้อเล่นหรือไง?”

                “แต่ยี่สิบกว่าปีสำหรับคุณมันนานมากเลยนะ”

                “ขอแค่เธอไม่รู้สึกว่ามันนานจนน่าเบื่อก็พอแล้ว”

                งินมองผมครู่ใหญ่ ก่อนจะซบหน้าลงบนอกผมอีกครั้ง “ขอบคุณนะครับ โทวะซัง”

--------------------------------------------------

                คามิซาวะพาตัวเองที่เปียกมะลอกมะแลกขึ้นมาจากน้ำได้ทันก่อนเรือเทียบท่าพอดี ผมเห็นสภาพเขาที่ต้องเอาเสื้อมานุ่งปิดอุดจาดแล้วไม่รู้ว่าจะขำหรือสงสารดี

                “กางเกงมันขาดเสียตอนคุณกลายร่างเป็นเงือกหรือ?”

                คามิซาวะถลึงตาใส่ผมแล้วเดินงุดๆ หายเข้าไปในเรือ สักพักก็กลับออกมาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่

                “งินล่ะครับ?”

                “กลับแล้ว” ผมว่า “คุณนี่เตรียมพร้อมแฮะ อย่างกับรู้ตัวว่าจะต้องถูกลากลงน้ำเลย”

                คนถูกทักหรี่ตามองผมอย่างเอาเรื่อง แต่ผมก็ยังพูดต่อแบบไม่กลัวจะโดนเขาจิกกัดด้วยคำพูด “แล้วแว่นไปไหนเสียล่ะ? หล่นหายตอนลงน้ำหรือ? แต่ก็ดีเหมือนกันนะ ผมเองก็รู้สึกรำคาญเวลาเห็นคุณสวมแว่นไม่มีเลนส์ทุกที”

                คราวนี้คามิซาวะถลึงตามองผมอย่างกับจะจับกิน “หยุดสงสัยอะไรที่ไม่เกี่ยวกับตัวคุณบ้างก็ดีนะครับ”

                ผมหัวเราะ “เกี่ยวกับตัวผมผมจะสงสัยไปทำไมกันล่ะ คุณนี่ก็พูดแปลก ผมว่าคุณไปเป่าผมให้แห้งแล้วหวีให้เรียบร้อยก่อนดีกว่านะ อีกสักพักเราต้องรับแขกแล้ว”

                คามิซาวะกัดฟันกรอดๆ ไม่ยอมขยับไปไหนสักที

                “มีอะไรอีกล่ะ?”

                “งิน... เรื่องงินน่ะครับ”

                “ว่า?”

                “คุณจำเรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาได้บ้าง?”

                “อ๋อ ทุกเรื่องแหละ กระทั่งเรื่องที่เขาผลักคุณใส่เงือกตนนั้น ผมก็จำได้”

                คามิซาวะทำท่าเหมือนควันจะออกหูรอมร่อ ได้ยินเสียงเขาพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ ผมเลยพูดขึ้นต่อ “ไม่ต้องพยายามใช้เสียงอะไรมาลบความทรงจำผมเลยนะ ผมตกลงกับงินแล้ว”

                “?”

                “ว่าเราจะนัดเจอกันทุกปี ระหว่างนี้จะไม่ทำอะไรเกินเลยอย่างเด็ดขาด แต่จูบถือว่าทำได้แล้วกัน”

                คามิซาวะอ้าปากพะงาบๆ ผมว่ามีควันออกมาจากหูเขาจริงๆ นั่นแหละ พอเห็นเขาทำท่าว่าจะพ่นไฟ ผมเลยรีบพูดต่อทันที “เอาน่ะ... คุณอย่าไปมัวพะวงเรื่องคนอื่นนักเลย รอยช้ำตรงต้นคอน่ะ หาพลาสเตอร์ปิดซะด้วยล่ะ เดี๋ยวแขกเหรื่อเขาจะสงสัยว่าเกิดจากอะไร นะ... โอจิซัง”

                คามิซาวะถลึงตามองผมอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน ก่อนจะสะบัดหน้า กระแทกเท้าเดินออกไป

                เฮ้อ... ถ้าเขาลาออก ผมจะหาเลขาทรงคุณสมบัติขนาดนี้ได้จากไหนอีกเนี่ย

--------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-12-2015 06:50:04


Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่10 บทส่งท้าย

                “คามิซาวะซัง คุณอาล่ะครับ?” ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาคมสัน ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสำหรับหน้าร้อนเอ่ยปากทักชายที่มีใบหน้าเหมือนคนอายุประมาณสามสิบกว่าๆ แต่เป็นที่รู้กันว่าปีนี้เขาอายุหกสิบห้าเข้าไปแล้ว คนถูกทักโค้งเป็นเชิงให้ความเคารพ ก่อนจะพูดตอบ

                “ทาซากิซังอยู่ในห้องครับ เชิญ”

                ชายหนุ่มเดินตามหลังเขาไปยังห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งในบ้านพักหลังงามแถบชานเมือง พอเปิดประตูเข้าไป เสียงเปียโนก็ดังแว่วออกมา

                “สวัสดีครับคุณอา” ชายหนุ่มเอ่ยทักทายชายสูงวัยที่นั่งอยู่ในห้อง ระหว่างที่ประตูถูกปิดลง

                “สวัสดีทาเครุ นั่งก่อนสิ” ทาซากิ โทวะในวัยหกสิบผายมือให้หลานชายนั่งลงบนเก้าอี้ไม้บุหนังมีพนักที่วางอยู่ใกล้ๆ กับเปียโน

                “งานที่บริษัทเป็นไงบ้าง เธอนั่งตำแหน่งประธานมาปีนึงแล้ว คิดว่ายังไง?”

                “ก็หนักอยู่ครับ แต่ได้คามิซาวะซังช่วย เลยผ่านมาได้ด้วยดี”

                “อืม...” ชายชราพยักหน้ากับตัวเอง “รู้ใช่มั้ยว่าคามิซาวะยื่นใบลาออกแล้ว”

                “ครับ เห็นว่าจะกลับบ้านเกิด อันที่จริงสามเดือนมานี้เขาก็รามือจากงานบริษัทแล้ว”

                “พอสู้ไหวมั้ยล่ะ?”

                “ไหวครับ”

                โทวะมองหน้าหลานที่เขาโปรดปรานเป็นที่สุด แล้วยิ้มออกมา “ถึงอาจะไม่มีลูก แต่มีเธอเป็นหลานก็นับว่าเป็นโชคดีของอาแล้ว”

                “คุณอาอย่าพูดแบบนั้นเลยครับ ผมเสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายพูด ทั้งหมดนี่ก็เพราะได้คุณอาแท้ๆ เลย”

                ชายชรามองฝ่ายนั้นด้วยสายตาภูมิใจระคนชื่นชม ก่อนจะหยิบซองสีน้ำตาลซองหนึ่งยื่นส่งให้ คนเป็นหลานยื่นมือไปรับ แล้วเงยหน้ามองเป็นเชิงถามว่าเปิดได้มั้ย พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าก็ดึงเอกสารด้านในออกมา

                “นี่...” ชายหนุ่มชะงัก พลางเงยหน้ามองอาของตัวเองอีกครั้งด้วยท่าทางตื่นตะลึง อีกฝ่ายยิ้มให้เขา “อายกบริษัทให้เธอจัดการ รวมถึงบ้านนี้ด้วย จะเอาไปทำอะไรก็ตามสบายเถอะ”

                “ดะ... เดี๋ยวสิครับ ทำไมทำแบบนี้ล่ะครับ ผมยังไม่พร้อมจะรับอะไรแบบนี้หรอก”

                “เงินในมือไม่พอเสียภาษีหรือ?”

                “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ” สีหน้าของทาเครุดูสงสัยเสียมากกว่าหนักใจ “ทำไมจู่ๆ มาเซ็นยกให้ผมเสียตอนนี้ล่ะครับ คุณอาเองยังสุขภาพแข็งแรงดีอยู่เลย”

                “ต้องรอให้ฉันป่วยถึงจะเซ็นได้หรือไง”

                “ไม่ใช่แบบนั้นครับ...”

                โทวะมองหน้าหลาน แล้วถอนหายใจ “ที่จริงคือฉันจะไม่อยู่ที่นี่แล้วล่ะ”

                “เอ๋?”

                “ฉันจะไปพร้อมคามิซาวะ และคงไม่กลับมาอีก”

                “คุณอา!”

                โทวะยกมือห้าม “นี่เป็นเรื่องที่ฉันตัดสินใจไว้นานแล้ว ยังไงเสียก็จะไม่เปลี่ยนใจแล้วล่ะ...”

                “คุณอา...”

                “ก่อนไปฉันมีอีกอย่างจะให้เธอ”

                ทาเครุมีสีหน้าตื่นตะลึงกว่าเก่า เมื่อเห็นผู้เป็นอาถอดแหวนหัวมุกที่สวมอยู่เป็นประจำออกมา “เก็บนี่ไว้ เพราะฉันไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว”

                “ทะ... ทำไมกันครับ เกิดอะไรขึ้น?”

                โทวะยิ้มให้หลานตัวเองอีกครั้ง “เพราะฉันกำลังจะได้ไปเจอกับเจ้าของไข่มุกเม็ดนี้แล้วน่ะ”

---------------------------------------------

                สายลืมเอื่อยๆ พัดต้องใบหน้า ขณะที่ทาซากิ โทวะก้าวเท้าออกจากเรือ เวลาผ่านมาเนิ่นนาน แต่หมู่บ้านนี้แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย ร้านขายของชำที่เขาเคยได้มานั่งกินไดฟุกุเมื่อคราวมาครั้งแรกยังคงตั้งอยู่ที่เดิม แต่เจ้าของร้านเปลี่ยนไปแล้ว เช่นเดียวกับที่อื่นๆ แต่คนในหมู่บ้านยังคงทักทายเขาอย่างเป็นกันเองเหมือนทุกปี ผิดแต่ว่าปีนี้เขามาตัวเปล่าๆ ไม่ได้พากระเป๋าหรืออะไรมาด้วยเลย เช่นเดียวกับเลขาที่เดินตามมาด้านหลัง

                “ปีนี้ไม่ต้องใช้เงือกอายุเกือบสามร้อยปีช่วยยกกระเป๋า รู้สึกยังไงบ้าง” โทวะพูดขณะเดินทอดน่องไปยังชายหาด ได้ยินเสียงคนเดินตามหลังพูดตอบ “ก็ดีกว่าคุณล่ะครับ หกสิบนี่ยังเดินไหวรึเปล่า?”

                “ผมว่าตัวผมยังเดินคล่องปร๋อเลยนะ ให้วิ่งยังได้”

                คามิซาวะ ซุบารุใช้มือดึงไหล่คนข้างหน้าไว้ “เพลาๆ บ้างเถอะครับ ผมขี้เกียจไปอธิบายสาเหตุอาการบาดเจ็บขอบคุณให้งินฟัง”

                โทวะหัวเราะร่วน พลางเบือนสายตามองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า ในเกลียวคลื่นสีเขียวสดใส ร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา

                “โทวะซัง”

                คนถูกเรียกยิ้มให้คนที่เดินเข้ามาตรงหน้า ก่อนจะพูดตอบไป “งิน ฉันมาตามสัญญาแล้ว คราวนี้ไม่ใช่แค่ชอบ แต่ฉันรักเธอ”

                เรือนผมสีเงินชุ่มน้ำเป็นประกายท่ามกลางแสงแดด ดวงตาสีเขียวราวน้ำทะเลคู่นั้นหรี่ลงด้วยความยินดี “ผมก็รักคุณมาก รักคุณที่สุดเลย”

                ทั้งสองโผเข้ากอดกันท่ามกลางเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง ก่อนจะแนบจูบลึกซึ้งให้กันเป็นเวลานาน เมื่อผละจากกันอีกครั้ง ที่สะท้อนอยู่บนแก้วตาสีน้ำทะเล คือภาพของชายหนุ่มวัยสามสิบเศษที่เคยมาเยือนเกาะนี่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

---------------------------------------

                หลายวันหลังจากการหายไปของทาซากิ โทวะ คาเครุผู้เป็นหลาน ได้รับพัสดุกล่องหนึ่ง เมื่อเปิดดูด้านในพบว่าเป็นกระจกบานหนึ่งซึ่งทำขึ้นมาอย่างประณีต มีกระดาษโน้ตที่เขียนด้วยลายมือที่เขาคุ้นตาดี

                ‘ช่วยเก็บกระจกบานนี้ไว้กับแหวนที่อาให้ไว้เมื่อวันก่อน ถ้ามีใครถาม ก็ให้บอกว่าเป็นสัญลักษณ์แทนความรักที่ไม่มีใครเคยได้รู้ระหว่างคนกับเงือก ทาซากิ โทวะ”

                ที่ด้านหลังกระจก มีข้อความเล็กๆ สลักเอาไว้ ข้อความนั้นเขียนว่า

                ‘แด่ ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร’

 

-----------------------------------
จบ

****
แม่จ้าว นี่เป็นการเร่งเผานิยายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน (ครั้งสุดท้ายที่ดิฉันถ่างตาเขียนแบบโต้รุ่งคงเป็นสมัยเมื่อยังเด็กมาก แถมนั่นไม่ใช่นิยายด้วย แต่เป็นการ์ตูนช่อง!!) ที่จริงเรื่องนี้ตั้งใจให้เสร็จก่อนวันที่23 ธ.ค. 58 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในการเปิดจองหนังสือเล่มนี้ แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่ทัน (เนื่องจากป่วยบ้างอะไรบ้างเยอะแยะตาแป๊ะไปหมด :o12:)

เรื่องราวของงินกับโทวะนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่เบาสบายและมีเนื้อหาช่วงคอนฟิกที่เบามากเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นที่เคยเขียน (คือประเด็นคอนฟิกมันค่อนข้างแรงในความคิดดิฉัน แต่การนำเสนอมันเบาละมุนสมกับที่สมองของดิฉันบรรจุด้วยขี้เลื่อยมาก /โดนคนอ่านถีบปลิว :z6:)

สำหรับเนื้อหาทางอินเทอร์เน็ต ดิฉันถือว่าบทนี้เป็นบทจบที่ค่อนข้างสมบูรณ์แล้วสำหรับคู่นี้ ส่วนใครต้องการอ่านเนื้อหาภาคต่อ รวมถึงส่วนเก็บตกอื่นๆ ที่ดิฉันไม่สามารถที่จะแทรกเข้าไปในเนื้อหาหลักทั้ง10บทได้จริงๆ สามารถติดตามซื้อรวมเล่มได้ที่

(http://i45.photobucket.com/albums/f68/juonkung/cv-merman-ex_zpsvxsaru5v.jpg)

https://www.facebook.com/Hybrid.Publishing/

ดิฉันข้อแจ้งไว้เพื่อเป็นยันกันภัยตัวเอง(?) ว่า เรื่องนี้จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะบอกประกาศจองช้าขนาดนี้ แต่ตั้งใจเอาไว้แต่แรกแล้วว่า ถ้ายังเขียนไม่จบจะไม่ลงประกาศในนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการผิดจรรยาบรรและผิดกฏของทางเล้า แต่จนใจที่สุดท้ายก็มาจบเอาวันสุดท้ายจนได้

อธิบายเอาไว้เพื่อความเข้าใจค่ะ

รวมเล่มเรื่องนี้จะมีขายตามปกติเหมือนหนังสือเล่มอื่นๆ เพียงแต่หากจองในช่วงเวลาที่เปิดจอง จะได้หนังสือในราคาพิเศษ และได้รับของแถมเป็นตอนแถมเล่มเล็ก เหมือนหนังสือเล่มอื่นๆ ที่ดิฉันเคยออก แต่ทว่า ตอนแถมของเรื่องนี้มีความพิเศษ เพราะจะเป็นตอนแถมที่ถ้าพลาดแล้วจะเสียตับเสียไตมาก (ต่างจากเรื่องอื่นที่พลาดแล้วก็พลาดได้ เพราะไม่ใช่เนื้อหาพีคอะไร)

ดังนั้น อย่าหาว่าดิฉันบอกช้า เพราะดิฉันจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น :hao7:

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-12-2015 06:55:52
กรี้ด จบแล้วเหรอ   :ling1: สั้นจัง  แต่ตอนจบก็สมบูรณ์และเราพอใจกับมันค่ะ
ในดวงตาของงินในวัยเงือกเจริญพันธุ์(มั้ง) โทวะซังยังคมหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวสินะ
อยากอ่านชีวิตใต้น้ำอะ โทวะซังจะเอาสาหร่ายวากาเมะมาทำผ้าเตี่ยวไหมนะก็ไม่มีหางนี่นา

ขอเก็บตังแล้วจะไปสอยตอนขายปกตินะคะ   :กอด1:  ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-12-2015 07:33:21
โห จบเร็วจริง

 :pig4:  :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-12-2015 08:37:06
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-12-2015 10:47:09
จบแล้ววว โหวงๆ ไงไม่รู้
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 23-12-2015 11:53:23
โห จบแล้ววว
เหใือนอ่านเรื่องสั้นอยู่เลยล่ะ
สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 23-12-2015 12:51:26
กว่าจะได้อยู่ด้วยกันโทวะซังหง่อมพอดี
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Maxshu ที่ 23-12-2015 12:52:57
เราอยากใฟ้สารต่อเรื่องนี้ต่อจัง ขืนจะจบลงตัวแล้วก็เหอะ (ภาคต่อหลานก็ดีนะคะ 555555)
ชอบเรื่องนี้เลยค่ะ ความรักระหว่างมนุษย์กับเงือก เป็นอะไรดีมากค่ะ โทวะกับงิน สองคนนี้เหมาะกันมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-12-2015 14:10:30
น้ำตาซึมตอนที่งินเห็นโทวะอายุสามสิบกว่าแม้ความจริงจะ 60 แล้ว

รักหยุดเวลาจริง ๆ
รักทำให้เป็นนิรนดร์
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 23-12-2015 14:18:54
ในที่สุดก็ได้ฟังเปียโนแล้วงินๆ
คามิซาวะซังคืนดีกับหนุ่มเงือกยังอะ อยากรู้ 5555
สนุกมากขอบคุณคนเขียนค่ะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 23-12-2015 14:33:58
โธ่ แล้วจะอยู่ด้วยกันได้กี่ปี แก่ขนาดนี้แล้วอ่ะ แต่ก็ซึ้งดีค่ะเราชอบนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 23-12-2015 14:40:47

ห๊ะ.............

จบจริงดิ

ขอเพิ่มอีกนิดได้ไหมขอรับ

ยังอยากอ่านต่อ

แต่ก็......

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 23-12-2015 19:39:13
รอมา20กว่าปี รักกันจริงๆ คาดว่าลุงน่าจะะเหลือเวลาอยู่กับงินได้ราว20 ปี หลังจากนัั้นงินคงน่าสงสารมากๆ
คิดในแง่ดีว่าลุงได้กินเงือกแล้วอาจจะอายุยืนขึ้น
ปล.ลุงโทวะจะยังมีแรงตีก้นงินมั้ยละเนี่ย หรือลุงจะให้งินตีก้นแแทนดี  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Asakurayo ที่ 23-12-2015 20:40:52
จบแล้วอ่ะ อ่านไปยิ้มไปตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนสุดท้ายเลย  o13 o13 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 23-12-2015 22:45:34
ซึ้งอ่ะ เสียดายได้ครองคู่กันช้าไปหน่อย
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 23-12-2015 23:23:26
ชอบบบ แต่ขัดใจตรงที่พระเอกต้องแก่นี่ดิ -*- หมดแรงทำอะไรงินพอดี 555555
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-12-2015 09:49:36
จะมีตอนพิเศษมั้ยนี่
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-12-2015 22:12:56
แหม่ ถ้าไม่บอกว่าตาลุงเนี่ยเป็นหนุ่มจากคันโต ฉันจะนึกเอาแล้วว่าพ่อเจ้าประคุณเป็นหนุ่มโอซาก้า
คารมณ์ดีสะเหลือเกิน! เกินหน้าเกินตาหนุ่มๆคนอื่นแถบนี้นะ 555555
หยอดเอ๊า หยอดเอา หลอกลวงเงือกน้อยชัดๆ
ระวังโอจิซังของเงือกเค้าจะเขมือบหัวเอานะ
ได้ข่าวว่าดุๆอยู่ใช่ไหม 5555555555555


ที่จริงเขียนไปก็ชักรู้สึกว่าโทวะซังเป็นหนุ่มคันไซค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ แก้ดีมั้ยเนี่ย XD
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: yeelove ที่ 26-12-2015 16:47:08
ขอตอนพิเศษน่ะ
อยากเห็นงินมีลูก
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Fish129 ที่ 13-01-2016 06:56:22
จบเร็วจริงค่าา
แต่เรื่องนี้มุ้งมิ้งมากจริงๆ   มาตอนแรกก็มาตีก้นกีนละ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 13-01-2016 19:58:53
อีกไม่กี่ปีลุงก็ต้องตาย
แล้วหลังจากนั้นงินจะอยู่อย่างไร
หรือว่างินจะมีลูกไว้เป็นแรงใจ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 14-01-2016 15:32:33
ขอบคุณมากค่า นานๆจะได้เจอเรื่องเกี่ยวกับเงือกสักที  :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 14-01-2016 19:38:44
โธ่ จบซะแว้วอ๊า  :hao5:
กว่าทั้งคู่จะได้อยู่ด้วยกัน มันช่างยาวนานแต๊  o7
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 18-01-2016 13:38:00
จะเป็นไปได้ไกมถ้าอยากอ่านคู่โอจิซัง T_T
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Yร้าย ที่ 21-01-2016 12:49:50
อ่านทุกเรื่องชอบทุกเรื่อง......แต่เรื่องนี้เป็นตาแก่หลอกเด็กที่น่ารักมาก ๆ อิป้าชอบจริง ๆ เลิฟเลยนะนี่......ส่วนคุณน้าแสนดุกับพ่อเงือกหัวแดงจะเป็นไงหนอ......เอามาให้ตามติดและติดตามหน่อยได้ป่ะ......ขอร้อง...พลีสสสสสสสสสสสส....
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 21-01-2016 23:45:34
มาอ่านตอนที่จบไปแล้ว ฟินเนอะ  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Kitsune1st ที่ 23-01-2016 15:45:21
จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งงง
คือดี ใจจริงแอบอยากให้โทวะเคะ
อุอิ แต่งินน่ารักมาก >_< ดีแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: SWIM ที่ 23-01-2016 22:17:35
ขอบคุณจ้าา
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: AllTheWay ที่ 24-01-2016 17:28:38
 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: niightziiz ที่ 24-01-2016 19:29:51
สนุกมากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 28-05-2016 13:17:32
น่ารักดีค่ะ งินใสซื่อมาก ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน รอมาตั้งนานแหน่ะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Mitnai ที่ 28-05-2016 17:41:09
อยากอ่านชีวิตใต้น้ำจังค่า55555555
งงตอนสุดท้ายนิดหน่อยค่ะ คือในสายตาของงินแล้ว งินยังเห็นว่าลุงเป็นหนุ่มเอ๊าะๆอยู่
หรือว่างินช่วยให้ลุงมีชีวิตยืนยาวขึ้นคะ? สงสัยมาก เพราะค่อนข้างชอบประโยคนั้น5555555
จะรอตอนพิเศษนะคะ ขอบคุณค่ะ ♥
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 06-06-2016 22:38:32
เป็นการรอที่ยาวนานมากจิงๆ
โทวะจิอยู่ได้อีกกี่ปีเนี่ย หลังจากนั้นงินจะต้องอยู่คนเดียสตลอดไปอีก100ปีหลออ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 15-06-2016 18:42:49
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 15-06-2016 20:21:18
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 17-06-2016 16:25:07
 :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 19-06-2016 21:41:14
นี่มันรักแท้สินะ.  :mew4:
 :L2: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: vilaroly ที่ 19-06-2016 21:57:17
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:  สนุกมากกคะ ขอสารภาพว่าความจริงอ่านจบไปสองสามวันแล้ว ไม่ได้เม้น  :katai5:   :katai5:     :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:  จุฟฟฟฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 22-06-2016 01:22:21
ยังไม่อยากให้จบเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: dena ที่ 11-07-2016 18:15:43
ไม่รู้ทำไมเวลาอ่านนิยายซึ้งๆจบมันจะรู้สึกโหวงๆในใจ และเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น :hao5: :sad11: :m15: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: samsui ที่ 13-07-2016 05:49:39
 :katai2-1: ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคัพ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: karashi ที่ 13-07-2016 11:11:57
อ่านแล้วซึ้งกันความรักของทั้งสองคนมากเลยค่า รอยี่สิบกว่าปีเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: gasia ที่ 13-07-2016 23:45:51
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ
น่ารักมากทประทับใจมากกกกก  แต่เราร้องไห้เกือบทุกตอนเลย
อินหนักมาก แค่คิดว่าอีกไม่กี่ปีโทวะซังก็จะจากงินไป ทั้งๆที่พึ่งได้ใช้เวลาร่วมกันจริงๆแค่แปปเดียวเอง
สนุกมากค่ะ  ไม่รู้จะบอกอะไรเลยแต่นิยายดีมากๆค่ะ ชอบเรื่องเงือกอยู่แล้วสะดุดใจมากเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 25-07-2016 22:53:43
 :hao5: :hao5:ดีใจมากที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้คือตอนจบนี่น้ำตาไหลอ่ะซึ้งมากดีใจที่ในที่สุดเค้าก็ได้อยู่ด้วยกัน
แต่ใจเราแอบเสียใจนิดๆๆๆว่าอีกไม่นานโทวะซังก็จะจากงินไปเราะโทวะเป็นคนธรรมดา
เราอ่านนิยายมามากแต่เรื่องนี้ความรักมันงดงามมาก....ขอบคุณคนแต่งมากนิยายน่ารักมากหลงรักมากมาย :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: nano ที่ 21-08-2016 11:22:57
 ปรบมือรัวๆ
คนเขียนแต่งเก่งมาก จินตนาการสุดยอดมากก
เป็นรักที่มั่นคงสุดๆ อยากให้โทวะ เป็นอมตะจัง จะได้อยู่กับงินไปนานๆ   มันเป็นความรักที่ซึ้งมากๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ชอบมากเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 21-08-2016 21:57:04
อยากอ่านตอนพิเศษเพิ่มจัง
อย่างตอนโทวะวัย60อยู่ใต้น้ำ
ลุงแกอีกไม่กี่ปีก็ตายแล้ว
แล้วกินอยู่ยังไง
สำคัญเลยคือคู่โอจิซังเป็นไง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: darksnow ที่ 22-08-2016 13:35:08
ดีอ่ะสุดท้ายก็ได้อยู่ด้วยกัน ว่าแล้วคุณเลขาต้องเป็นโอจิแน่ ฮ่าา ดุใช่เล่นนะ สนุกดีค่ะ ซึ้ง ด้วย ชอบงินนนนน มาก o13 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 04-09-2016 18:24:28
สนุกมากกก ซึ้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 05-09-2016 20:11:56
อยากได้ตอนพิเศษษษษ
อยากรู้ด้วยค่ะว่าโอจิซังเป็นเงือกเหมือนกันทำไมเดินได้แม้อาทิตย์ตกดินไปแล้ว
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 05-10-2016 16:04:51
ฟิน งินน่ารัก :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 10-10-2016 15:43:30
น่ารักมากๆ เสียดายสั้นหน่อย ชอบโทวะกับงิามาก รักแบบบริสุทธิ์มาก
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 11-10-2016 16:49:16
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 04-03-2017 14:17:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 06-03-2017 17:47:51
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: pprtoy ที่ 16-04-2017 00:29:18
อ่านจบแล้ว น่ารักมากค่ะ ประทับใจ  :กอด1:
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 17-04-2017 17:29:22
กระดูก ยังแข็งแรงไหม เวลาว่ายน้ำแล้วเรากลัวเอวเคล็ดแทน :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: -Otto- ที่ 22-04-2017 13:23:13
ชอบมากกกน่ารักมาก  :mew1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: pleumfizzi ที่ 24-04-2017 19:09:56
ชอบมากๆเลยค่ะ ไม่มีเฟสบุ๊คเเฟนเพจให้ติดตามเลยหรอออ :mew6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Praykanok ที่ 31-07-2017 20:19:58
โอยยยย ชอบบบบบบบ กว่าจะได้อยุ่ด้วยกันนนนน
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 02-11-2017 03:16:19
งิน มีสามีอายุน้อยกว่าที่เหี่ยวขนาดนั้น...แล้วมันฟินหราาาาา

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: zysygy ที่ 11-01-2018 22:24:27
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 12-01-2018 22:13:17
ติดตามงานเขียนของคุณ juon ทุกเรื่องเลยนะคะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 08-04-2018 20:24:40
แง้ ชอบจังค่ะ :hao5: ละมุนละไม แต่ตอนสุดท้ายนี่มัน..  :o12:

รู้สึกเศร้ายังไงก็ไม่รู้ แต่เขาก็มีความสุขกัน  :sad4: ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: Maymon ที่ 17-08-2019 10:57:34
ขอบคุณมากๆนะคะ :bye2: