แต่ก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากถามอะไร เสียงของงินก็ดังขึ้นเสียก่อน เขาว่ายรี่เข้ามาพร้อมกับอะไรบางอย่างที่ส่องแสงเรืองๆ ในมือ
“มาทำอะไรที่นี่ครับ ออกไปเลยนะ บ้านผมไม่ต้อนรับคุณ”
แสงสีเขียวประหลาดในมือเขาทำให้ผมเห็นสีหน้าของทสึกิยะเสียที ดวงหน้าของเขาดูน่ากลัวเข้าไปอีกภายใต้แสงนั้น เขาขยับตัวอย่างรำคาญ แล้วว่ายจากไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ งินรีบว่ายมาหาผม แล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ? แย่จริงเชียว ผมก็ลืมคิดไปเลยว่าเขาอาจจะตามมายุ่มย่ามกับคุณอีก”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก” ผมโบกมือบอกเขา “เขาแค่มาคุยเฉยๆ”
“เห? แค่มาคุยเหรอครับ? อย่างทสึกิยะซังคนนั้นน่ะนะ?!”
“อือ เขาแค่มาคุยเฉยๆ จริงๆ ไม่ได้ทำร้ายอะไรฉันหรอก” ผมยืนยัน งินมองผมอยู่พัก ก็ถอนหายใจออกมา “อย่างนั้นก็ดีแล้วครับ นี่ ผมได้ตะเกียงมาให้คุณแล้ว รับรองว่าคุณต้องชอบแน่”
พูดจบเขาก็ยื่นอะไรบางอย่างให้ผม พอเพ่งตาดูถึงได้รู้ว่าเป็นปลาน้ำลึกชนิดหนึ่งซึ่งมีติ่งเนื้อยื่นออกมาจากบนหัว ปลายติ่งเนื้อเป็นก้อนเล็กๆ ที่เรืองแสงได้ เจ้าปลาตัวนั้นพอเห็นผมก็รีบว่ายหนี ติดแต่ที่หางของมันมีสาหร่ายผูกเอาไว้ เลยหนีไปไหนไม่รอด ได้แต่สะบัดหางไปมาอยู่อย่างนั้นเอง
ผมมองหน้าเขาสลับกับปลา เป็นทำนองว่านี่จะให้ผมถือจริงๆ เหรอ งินมองหน้าผม จากนั้นก็พยักหน้า แล้วถึงค่อยเอาปลาตัวนั้นไปผูกไว้กับชะง่อนหินแง่งหนึ่งในถ้ำแทน
เออ แบบนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย ให้ผมถือปลาว่ายไปว่ายมาก็ดูกระไร
พอมีแสงสีเขียวเรืองๆ นั้น ผมถึงพอมองเห็นอะไรขึ้นสักหน่อย ถ้ำของงินกว้างขวางพอสมควร ผนังถ้ำถูกเจาะเอาไว้เป็นรูหลายขนาด คาดว่าเอาไว้ใส่ของ งินล้วงมือเข้าไปในรูรูหนึ่ง แล้วล้วงเอาไข่มุกหลายเม็ดออกมา
“โทวะซัง แบบนี้แลกกระจกได้กี่บานครับ”
ผมมองแล้วให้นึกขึ้นได้ “จริงสิงิน แล้วคนอื่นๆ ล่ะ? ฉันหมายถึง เงือกตนอื่นๆ ล่ะ? ไปไหนกันหมด ทำไมมีแต่ทสึกิยะมา”
“อ๋อ” งินส่งเสียงพลางมองไข่มุกในมือ “พวกนั้นนอนอยู่ครับ เงือกนอนกลางวัน แล้วหากินตอนกลางคืนครับ พวกที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น”
“อ้าว แล้วเธอล่ะ?”
“ผมยกเว้น” เขาตอบ แล้วหัวเราะขวยๆ “ผมคงติดใจไดฟุกุของนางามิซังแล้วแน่ๆ”
“เอาดีๆ สิ” ผมว่า “เธอบอกว่าเงือกนอนกลางวัน หากินกลางคืน แล้วเธอที่ตื่นกลางวัน นอนกลางคืน จะเอาเวลาตอนไหนไปหากินล่ะ?”
“ก็บอกแล้วไงครับว่าผมเป็นพวกพิเศษ เรื่องหากินไม่ใช่ปัญหาหรอก”
“งิน...”
งินมองหน้าผมอยู่อึดใจหนึ่ง ในที่สุดก็ยอมอ้าปากเล่าได้เสียที “คือ... ผมก็ใช้กระจกนี่ล่ะครับ แลกของกินเอา อย่างวันไหนถ้าผมขึ้นไปข้างบนแล้วได้กระจกมา ใครอยากได้กระจกก็ต้องเอาของมาแลก ปลาบ้างหอยบ้าง ไข่มุกบ้าง แล้วแต่ว่าตอนนั้นผมอยากได้อะไรเป็นหลัก”
ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที “ที่แท้เป็นพ่อค้านี่เอง”
เงือกหนุ่มตรงหน้าผมหัวเราะเขินๆ “เรียกแบบนั้นก็ได้ครับ”
ผมมองหน้าของเขา ภายใต้แสงสีเขียวจากปลาตัวนั้น แล้วให้รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เลยเสไปมองทางอื่น จึงได้เห็นว่าในช่องที่เจาะไว้ข้างผนังอีกหลายช่องมีของหลายอย่างใส่อยู่
“ตรงนั้นอะไรน่ะ?”
“อ๋อ อันนั้นเป็นกระจกของแม่ผมครับ” งินพูด แล้วขยับไปหยิบของที่ใส่อยู่ในช่องเจาะมาให้ผมดู มันเป็นกระจกส่องหน้าแบบโบราณอันหนึ่ง ลักษณะเป็นโลหะทรงกลมมีด้ามจับ ด้านหลังกระจกสลักลายเป็นรูปชายคนหนึ่ง นั่งอยู่ริมน้ำใต้ต้นสน ในน้ำมีผู้หญิงคนหนึ่ง โผล่ขึ้นมาแค่ครึ่งตัว ด้านหลังผู้หญิงคนนั้นมีหางเหมือนปลาโผล่เหนือน้ำขึ้นมา ผมเงยหน้าขึ้นมองงิน
“กระจกบานนี้...”
“พ่อเป็นคนทำให้แม่ครับ แม่บอกผมแบบนั้น” งินตอบ ผมเลยถามต่อ “งั้นแสดงว่าพ่อเธอเป็นมนุษย์งั้นสิ”
“ครับ”
“แล้วตอนนี้ทั้งพ่อกับแม่ของเธอไปไหนแล้วล่ะ”
“ตายหมดแล้วครับ”
“งั้นเหรอ...” ผมนิ่งไปอึดใจหนึ่ง พลางมองดูกระจกเก่าๆ อันนั้น ตัวกระจกที่ทำจากโลหะเมื่ออยู่ในน้ำนานๆ ก็ทำปฏิกิริยากลายเป็นรอยด่างสีฟ้าหลายจุด จนไม่สามารถใช้สะท้อนภาพอะไรได้แล้ว แต่ทว่าผมกลับรู้สึกได้ถึงความรักของคนกับเงือกที่สะท้อนอยู่บนลายสลักเบื้องหลัง
“ทั้งสองคนคงรักกันมาก”
“ครับ...”
“เธอเคยเห็นพ่อตัวเองมั้ย?”
งินสั่นศีรษะ “ไม่เคยหรอกครับ พ่อตายก่อนที่ผมจะเกิด”
“อ้อ” ผมนึกขึ้นมาได้ “แม่เธอคงตั้งท้องนานมาก อายุคนกับเงือกมันต่างกันนี่นะ”
“เปล่าหรอกครับ”
“เอ๋?”
“พ่อผมถูกฆ่าเพราะปกป้องแม่น่ะครับ”
“?!” ผมมองหน้างิน จ้องเข้าไปในดวงตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้น “เรื่องมันเป็นยังไงน่ะ”
เงือกหนุ่มตรงหน้าผมเงียบไปอึดใจใหญ่ “จำเรื่องเกี่ยวกับการกินเนื้อเงือกที่ผมเล่าให้ฟังได้ไหมครับ?”
“อืม”
“พอมีคนรู้ว่าพ่อแอบเจอกับแม่ ก็วางแผนกันจะจับตัวแม่ครับ พ่อรู้แผนเลยพยายามขวางไว้จนแม่หนีมาได้ แต่ก็ต้องเสียพ่อไป”
“อ้อ...” ผมนึกสลดกับเรื่องที่เกิดขึ้น “คนบนเกาะสินะ...”
“ครับ”
“แล้ว... เธอไม่นึกเกลียดพวกเขาเหรอ?”
งินมองผม ยิ้มแล้วสั่นศีรษะ “ไม่หรอกครับ คนดีๆ บนเกาะมีอีกเยอะ อีกอย่างมันเป็นเรื่องก่อนผมเกิด ได้ยินว่าหลังจากนั้นโอจิซังก็ขึ้นไปจัดการกับคนที่ฆ่าพ่อผมจนไม่มีใครกล้าทำอะไรเงือกอีกเลย”
ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “น้าเธอนี่ท่าทางดุน่าดูเลยนะ”
คราวนี้งินหัวเราะออกมา “รับรองว่าคุณต้องนึกภาพไม่ออกแน่ สมัยก่อนเวลาผมมองหน้าน้าทีไร ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเขาจะดุได้ขนาดนั้น แต่ถ้าเขาไม่ดุ คงรับมือทสึกิยะซังไม่ได้แน่”
ผมนึกถึงเจ้าเงือกจอมราวีตัวนั้นขึ้นมา “จริงสิ เจ้าทสึกิยะนั่นทำไมดูจองเวรจองกรรมฉันนัก ฉันไปทำอะไรให้เขาเมื่อไหร่กัน?”
“อ๋อ เรื่องนั้น...” งินพูดค้างแล้วถอนใจ “ทสึกิยะซังเป็นพวกที่พูดกันด้วยเหตุผลไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ ลองถ้าปักใจเชื่ออะไรแล้ว พูดอะไรให้ตายก็ไม่ฟัง ยังไงผมจะระวังไม่ให้เขามายุ่งกับคุณอีก”
ผมรู้สึกว่างินไม่ยอมตอบคำถามของผมตรงๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคามิซาวะด้วยรึเปล่า?”
งินสั่นศีรษะ “ผมตอบไม่ได้หรอกครับ คุณต้องถามเขาเอง”
ผมรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมา “เรื่องของคามิซาวะนี่มันลึกลับจริงๆ นะ”
ดูเหมือนงินจะเข้าใจว่าผมไม่พอใจ เลยรีบพูดขึ้นต่อ “ใจเย็นๆ ครับโทวะซัง จริงๆ พวกผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณลำบากใจ แต่ผมตอบแทนเขาไม่ได้จริงๆ”
“อืมๆ ช่างเหอะ เป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากจะฟังเรื่องของหมอนั่นนักหรอก เอาเรื่องของเธอดีกว่า”
“เรื่องของผม?” งินพูดเชิงตั้งคำถาม ก่อนจะรีบพูดต่อเหมือนเพิ่งนึกได้ “ใช่แล้ว! คุณยังไม่ได้บอกผมเลย ว่าไข่มุกนี่แลกกระจกได้กี่อัน”
พูดจบเขาก็ยื่นมือที่มีไข่มุกวางอยู่มาตรงหน้าผม ผมมองแล้วก็รีบกำมือเขาให้เก็บมันเอาไว้ “เก็บไว้เถอะ เธออยากได้แบบไหนกี่บานบอกฉัน แค่กระจกไม่คุ้มจะแลกไข่มุกพวกนี้หรอก”
“ฮือ... ทำไมล่ะครับ น้อยไปเหรอ?”
“เยอะไป”
“....” งินเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากนิ่วคิ้วอยู่เป็นนาน เขาก็พูดออกมา “แล้วผมต้องเอาอะไรมาแลก”
ผมมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดออกไป “ตัวเธอเป็นไง”
เงือกหนุ่มตรงหน้าผมสะดุ้งเฮือก “ละ... ล้อเล่นใช่ไหมครับ?”
ผมรู้สึกว่าตัวเองปากพล่อยสิ้นดี เลยทำทีเป็นเออออหัวเราะผสมโรงไป “ใช่ ล้อเล่นน่ะ ฉันไม่อยากได้ปลาทองตัวใหญ่ๆ แบบเธอหรอก”
“...........”
“..............................”
บรรยากาศรอบตัวดูวังเวงขึ้นมาทันที ผมเห็นงินเอาแต่ก้มหน้า ไม่ยอมพูดอะไร เลยรู้สึกขึ้นมาว่าอาจจะพูดอะไรผิดไป เลยพูดขึ้นต่อ “นี่... ไม่อยากได้กระจกแล้วเหรอ?”
“อยากครับ... แต่...” งินพูดทั้งที่ยังก้มหน้างุด “แต่ผมไม่มีอะไรมาแลก”
ผมถอนหายใจอีก “ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องหรอก แค่กระจกเอง”
“............”
“งิน...?”
ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมองผม “คุณไม่ชอบผมเหรอ?”
ผมรู้สึกสะท้านวาบขึ้นมาในอก เมื่อสบกับดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้น “ใครบอกล่ะว่าฉันไม่ชอบเธอ”
“ก็... ก็คุณไม่ยอมแลกกระจกกับผม... คุณไม่อยากได้ผมด้วย”
หัวใจของผมเต้นอึงอยู่ในอก แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันดังมาจากโลกอื่น ผมมองเงือกหนุ่มตรงหน้า มองดวงตาสีน้ำทะเลคู่กัน “ถ้าฉันอยากได้ เธอจะให้หรือ?”
“...?!”
พอเห็นสีหน้าตกใจของเขา ผมจึงต้องเค้นรอยยิ้มออกมา “เห็นไหม... ถึงฉันอยากได้ เธอก็ไม่ให้ฉันหรอก”
งินมองหน้าผม แล้วก้มหน้างุดอีกครั้ง “คุณจะเอาผมไปทำอะไรครับ... ผมทำอะไรไม่ได้หรอก”
ผมยื่นมือไปจับเบาๆ ที่คางของเขา ด้วยความรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่เรื่องจริง “งิน”
“ครับ...?”
“ที่ฉันอยากได้ตัวเธอ ไม่ใช่เพราะแค่แลกกับกระจกหรืออะไรทั้งนั้น ฉันอยากได้ตัวเธอ เพราะเธอทำให้ฉันรู้สึกอยากได้ เข้าใจรึเปล่า?”
เงือกหนุ่มตรงหน้าผมสั่นศีรษะ แต่ใบหน้ากลับแดงเรื่อขึ้นมา ผมเชยคางของเขาให้เงยขึ้นมา แล้วขยับหน้าเข้าไปใกล้ “ฉันคิดว่าฉันคงเริ่มชอบใครสักคนขึ้นมาแล้วล่ะ?”
“เอ๋...?”
ผมยิ้มให้กับท่าทางไร้เดียงสาของเขา ก่อนจะแนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากคู่นั้น
----------------------------------------------
** อยากจะกรี๊ดให้กับโทวะซังสักสิบล้านรอบ

ไม่ใช่ดีใจที่ได้ไปเมืองเงือก แต่ดีใจที่ในที่สุดฮีก็เหมือนจะได้เป็นเมะสักที หลังจากที่ช่วงแรกๆ ของตอน ดิฉันเขียนไปถึงกับลังเลว่า จะให้ฮีเป็นเมะหรือเป็นเคะดี (วะ5555+

)
เรื่องนี้เป็นอะไรที่มุ้งมิ้งสุดติ่งตับมากถึงมากที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา จนกระทั่งรู้สึกว่า เอ๊ะ นี่เราเขียนนิยายหลุดเองหรือเรื่องมันมุ้งมิ้งเกินไปฟะ? (ซึ่งตรงนี้คงต้องรบกวนท่านผู้อ่านทั้งหลายช่วยกันตรวจสอบ

)
และก็เป็นเรื่องที่ตอนแรก(?)น่าจะมีจำนวนหน้าในแต่ละตอนน้อยที่สุดในบรรดาเรื่องยาวที่เคยเขียนมา แต่พอมาถึงตอนนี้ ต้องบอกว่าทะลุโควตาที่5-6หน้ามาที่8หน้าเป็นที่เรียบร้อย หวังว่าอนาคตคงจะไม่ทะลุไปที่12-14หน้าดั่งเรื่องอื่นที่เคยเขียนมา (ไม่รู้จะขุดตัวอักษรจากไหนมาโปะไว้นักหนา)
แอบเอาปกร่างจากอีฟจังมาแปะเอาไว้ น้องงินน่ารักฝุดๆ ไปเลย

เรื่องนี้น่าจะมีกำหนดจบที่สิ้นปีนี้ค่ะ ยังไงก็จะพยายามเข็นออกมาให้ทันให้จงได้!!!
ปล. กดโพสไปครั้งแรกแล้วพบข้อความแจ้งกว่าเกิน20000ตัวอักษร /กรี๊ดดังๆ หนึ่งครั้ง แล้วอุทานว่า "แค่8หน้าเอ๊ง!!"
