[เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)  (อ่าน 65250 ครั้ง)

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เย้ วันนี้ไม่ได้เป็นลมล่ะแค่สำลักน้ำเกือบตายเท่านั้นเอง
ฮ่าๆ ชอบดูพระเอกโดนแกล้ง
แน่ะ แอบมองอะไรน่ะ  :mew1:
เบื่อคำว่าเรื่องมันซับซ้อน ฮ่าๆ คงต้องอยู่นานๆนะจะได้สืบต่อไปเรื่อยๆ

ตำนานนางเงือกน่าสงสารจังเลยค่ะ ขอบคุณที่มาต่อนะคะ

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
"โชตะแบบโอจิค่อนประหลาดๆ" ---->  :laugh:
คุณเลขากับเงือกตนนั้นมีอะไรรรกันนน
ทาซากิซังมองงินเพลินเลยดิ เขาโป๊เดินไปเดินมาอ่ะ 555

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เอิ่ม กว่างินกับโทวะซังจะเข้าใจกัน คนอ่านก็...
รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
เจ้าผมดำต้องกิ๊กกับซุบารุแน่ๆ
ส่วนคุณโทวะคงอยากเป็นอมตะถึงได้ถามอย่างนั้น อยากกินเงือกงินก็บอกกก
งินน่ากินจริงๆ รู้จักกันแป๊บเดียวก็โชว์ก้นให้อิตาโชวะมองเป็นอาหารตาเสียแล้ว น่าตีก้นจริงเชียว ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ Maxshu

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อร๊ายยย สนุกมากกกก สงสัยต้องไปหาเรื่องสั้นมาอ่านละ

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
โฟกัสไปคู่รอง~

น่าสนใจคุ่นี้มากกว่าค่ะ คริๆ  :hao3:

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
เรื่องนี้สนุกมากค่ะ น่าติดตามมาก
ทำไมเราพึ่งเห็นนะ
รอติดตามนะคะ
รอตอนต่อไปค่ะ
 :impress3:

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ดตอนนี้แอบสนใจเรื่องซุบารุซังมากกว่าเงือกแล้วอ้ะ แลดูซับซ้อนมาก ๆ

ออฟไลน์ หลิว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เงือกมีขาแล้วตอนแก้ผ้าจะออกมาแบบใหนนะ อิอิ

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กรี๊ดดดด..... พี่จูออนมาลงเรื่องใหม่
ดีดดิ้นดีจาย :z2: :hao6:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
อูยยยย เห็นล่ะอยากตบก้นเงือกเลยครับ  :haun4:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
คุณเลขาคงเป็นแฟนกะเงือก เพราะถ้าเป็นเงือกจะออกจากเกาะนี้ได้เหรอ
แล้วถ้าคุณโทวะเป็นแฟนกะงิน ก็ต้องย้ายมาอยู่เกาะด้วยสิ
เอิ่ม...ชักจะเดามั่ว ให้พระเอกปิ๊ง ๆ เด็กเงือกนี้ก่อนเหอะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog

Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่4 จูบ

            อากาศวันนี้ไม่ดีเอาเสียเลย หลังจากมีเมฆครึ้มบังพระอาทิตย์ตอนเช้า พอตกสายๆ สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ผมกับงินเลยตัดสินใจวิ่งเข้าไปขอหลบฝนในร้านค้าเล็กๆ ที่มีอยู่ร้านเดียวภายในหมู่บ้าน เพราะไม่อยากจะกลับไปนั่งมองฝนที่บ้านพัก เจ้าของร้านที่เป็นชายสูงวัยต้อนรับขับสู้พวกเราเป็นอย่างดี เขาเชิญให้เราเข้าไปในร้าน ยกน้ำชากับอาหารว่างมาให้

                “ขอบคุณมากเลยครับ นางามิซัง” งินพูดพลางโค้งตัวให้เจ้าของร้านค้าชรา ผมเลยต้องรีบโค้งตามด้วย

                “ตามสบายเลยครับทั้งสองคน” นางามิพูด ก่อนจะขอตัวออกไปเลื่อนม่านบังฝนลง งินเลื่อนจานขนมมาให้ผม “ไดฟุกุของนางามิซังอร่อยนะครับ เขาเป็นคนที่ทำไดฟุกุอร่อยจนผมเองยังต้องขึ้นมากินบ่อยๆ เลย”

                ผมยิ้มให้งิน พลางนึกสงสัยว่าเขามีวัฒนธรรมร่วมกับมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่

                “ถามอะไรหน่อยสิ”

                “ครับ?” งินเงยหน้ามองผมทั้งที่ยังเคี้ยวไดฟุกุอยู่ในปาก ไม่รู้ทำไม ตอนมองสบกับนัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้น หัวใจผมก็เต้นดังขึ้นมา

                “เอ่อ... เธอขึ้นมาบนนี้นานหรือยัง?”

                “หมายถึงครั้งแรกที่ผมขึ้นมาบนบกหรือครับ?”

                “อือ”

                “อ๋อ นานแล้วครับ สักตอนผมอายุยี่สิบสามสิบเห็นจะได้ เอาจริงๆ ถ้านับเวลาตามอายุผมก็ไม่นานหรอก ตอนนั้นนางามิซังเกิดแล้วเนอะ?”

                ได้ยินเสียงนางามิตอบกลับมา “ตอนผมจำความได้ก็เห็นงินแล้วล่ะครับ”

                “อ้อ...” ผมเกือบยกมือเกาศีรษะเมื่อนึกถึงอายุของเขา “แล้ว... มีเงือกตนอื่นขึ้นมาอีกรึเปล่า หมายถึงว่ามีพวกที่มีขาเดินได้แบบเธออีกมั้ย?”

                “มีสิครับ ถ้าที่เกาะนี้ล่ะก็เคยมีอยู่ครับ แต่ว่าตอนนี้...” งินพูดค้าง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ที่ที่โทวะซังอยู่เป็นยังไงครับ ได้ยินว่ารถบนถนนน่ะน่ากลัวมากเลย จริงรึเปล่าครับ?”

                ผมนึกภาพเขาพยายามข้ามถนนทั้งที่มีขาเป็นหางปลาแล้วก็นึกขำขึ้นมา “ใช่ รับรองว่าเงือกอย่างเธอว่ายข้ามไม่ได้แน่ ยิ่งใช้ขาบางๆ แบบนั้นข้ามไม่ได้ใหญ่เลย”

                “กระโดดข้ามก็ไม่ได้เหรอครับ?” งินทำหน้าสงสัย “ผมกระโดดสูงอยู่นะ”

                ผมหัวเราะ “สูงขนาดไหนล่ะ?”

                ฝ่ายนั้นทำหน้าจริงจัง “ถ้าให้กระโดดแข่งกับชะชิ * (วาฬเพชฌฆาต) ผมกระโดดสูงกว่าหลายเท่าเลย”

                ผมไม่รู้หรอกว่าวาฬเพชฌฆาตกระโดดสูงขนาดไหน แต่พอได้ยินคำว่า ชะชิ** (鯱 – อ่านได้สองเสียง คือชะชิ กับชะชิโฮะโกะ) ก็อดแซวเขาไม่ได้ “แล้วถ้าเป็นชะชิโฮะโกะ*** (วารีพยัคฆ์ – สัตว์ในตำนานของญี่ปุ่น มีหัวเป็นเสือ ตัวเป็นปลาคาร์ฟ มีหนามแหลมมีพิษปกคลุมทั่วร่าง) ล่ะ?”

                งินทำหน้าตกใจ “กับชะชิโฮะโกะผมสู้ไม่ไหวหรอกครับ แต่ถ้าเป็นโอจิซัง**** (คุณน้า) ล่ะก็ไม่แน่ เขากระโดดเก่งมาก”

                ผมสวนด้วยความตกใจไม่แพ้กัน “เดี๋ยวนะ! มีชะชิโฮะโกะจริงเหรอ?”

                ฝ่ายที่ถูกถามเบิ่งตาสีเขียวน้ำทะเลจ้องผม ก่อนจะหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ โทวะซังนี่ตลกจริงๆ ด้วย ถ้าคุณนั่งคุยกับเงือกแบบผมได้ แล้วชะชิโฮะโกะจะไม่มีได้ยังไงล่ะ”

                “เคยเจอเหรอ?” ผมถามด้วยความตื่นเต้น งินมองผมยิ้มๆ “ไม่เคยเจอหรอกครับ ชะชิโฮะโกะอยู่ในบ่อน้ำ พวกผมอยู่ในทะเล จะเจอกันได้ไงล่ะครับ”

                ผมรู้สึกว่าวิธีการพูดของเขาคล้ายกับใครบางคน เสียแต่ที่คนคนนั้นชอบตีหน้าขึงขัง ส่วนเขาเอาแต่หัวเราะกับยิ้มนี่แหละ

                “แล้วสรุปว่ามีหรือไม่มีล่ะ?” ผมถาม ใจหนึ่งก็คาดหวังคำตอบ แต่อีกใจก็ปลอบตัวเองว่าอาจจะไม่ได้สาระอะไรเลยก็เป็นได้

                “มีสิครับ ถึงผมจะไม่เคยเห็น แต่ผมมั่นใจนะ มันเป็นสัญชาตญาณล่ะมั้ง” งินสรุป ผมมองหน้าเขาแล้วจำต้องเชื่อตาม

                ช่วยไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้ผมยังนั่งคุยกับเงือกได้ ชะชิโฮะโกะก็น่าจะอยู่ในบ่อน้ำวัดสักบ่อได้เหมือนกันนั่นล่ะน่า

                “แล้ว... พวกคุณทำยังไงเวลาจะข้ามถนนกันครับ?” งินถามต่อ ผมปั้นหน้าเครียดตอบเขาไป “พวกผมมุดดินเอาน่ะ”

                “เห?!”

                เห็นหน้าตกใจปนแปลกใจของเขาแล้ว ผมอดขำไม่ได้ “มีอะไรน่าตกใจหรือไง?”

                “พวกคุณมุดดินได้ด้วยเหรอ?”

                “ถ้าเธอยังเป็นเงือกได้ คนอย่างฉันมุดดินบ้างไม่ได้หรือไง”

                “ไม่ตลกนะโทวะซัง” งินทำหน้างอน “เอาดีๆ สิครับ ผมรู้มนุษย์มุดดินไม่ได้ แต่ถ้าถือพลั่วถือจอบขุดดินล่ะก็พอจะได้อยู่ อย่าบอกนะครับว่าเวลาจะข้ามถนนพวกคุณถือจอบแล้วขุดดินกัน”

                ผมจินตนาการตามที่เขาพูดแล้วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “บนถนนมีกฎอยู่น่ะ ถ้าไฟแดงเมื่อไหร่ล่ะก็... รถทุกคันต้องหยุด แล้วจะมีสัญญาณไฟให้เราเดินข้ามถนนไง”

                “ว้าว” เงือกหนุ่มตรงหน้าผมร้องด้วยความประหลาดใจ “งั้นก็ไม่ต้องกระโดดข้ามให้เหนื่อยสิครับ แบบนี้ผมก็ไม่ต้องกลัว”

                ผมมองเขายิ้มๆ “อยากไปดูถนนด้วยกันมั้ยล่ะ?”

                “ได้หรือครับ?!” งินพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นหงอยในอีกไม่กี่วินาที “ผมเป็นแบบนี้ไปไม่ได้หรอก”

                “หืม? ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เธอมีขาเหมือนคนปกติ ไม่เห็นจะต้องกลัวเลย ถ้าไม่ชินฉันจูงข้ามก็ได้”

                “คือ... ผมไม่ได้มีขาแบบนี้ตลอดเวลาหรอกนะ” งินพูด พอเห็นผมเลิกคิ้วทำท่าสงสัยเลยพูดต่อ “ผมมีขาเฉพาะเวลาที่ได้อาบแสงอาทิตย์เท่านั้นครับ พอพระอาทิตย์ตก ผมก็จะกลายเป็นเงือกเหมือนเดิม”

                “อา...” ผมนึกถึงภาพที่ได้เห็นครีบหางของเขากลายเป็นขาท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า แล้วจึงพยักหน้า “เข้าใจล่ะ เพราะงี้วันก่อนเธอถึงรีบกลับก่อนพระอาทิตย์ตกงั้นสิ”

                “ครับ”

                “ถ้าไม่ทันพระอาทิตย์ตกจะเป็นไง?”

                “ก็กลับยากสิครับ ต้องลำบากคนอื่นหามลงน้ำ” งินตอบ ผมนึกสภาพเขาถูกหามแล้วก็อดยิ้มไม่ได้

                “ขำอะไรน่ะครับ”

                “เปล่า ฉันแค่กำลังนึกภาพต้องแบกเธอที่เป็นเงือกข้ามถนนน่ะ”

                “โห...” งินร้องออกมา “คิดอะไรไปถึงไหนเนี่ยครับ โทวะซัง ผมไม่อยู่ให้คุณแบกข้ามถนนแน่”

                “อ้าว ทำไมล่ะ?”

                “กว่าคุณจะแบกผมข้ามถนนได้ ผมก็แห้งตายพอดี”

                “เอ๋?”

                “เงือกน่ะอยู่บนบกนานๆ ไม่ได้หรอกครับ อย่างผมนี่เฉพาะช่วงกลางวันเพราะเป็นพวกพิเศษ แต่ถ้าเป็นเงือกแล้ว ยังไงก็ต้องกลับลงน้ำครับ ไม่ลงน้ำนี่ผมได้ตายจริงแน่”

                “อ้อ...” ผมพยักหน้า แล้วไล่สายตามองเขาขึ้นลง

                “มีอะไรหรือครับ?”

                ผมไม่ตอบทันที ยังคงใช้สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จนเจ้าตัวขยับตัวด้วยความอึดอัด “โทวะซัง... ทำไมมองผมแบบนั้น”

                “ฉันกำลังคิดอยู่น่ะ ว่าต้องทำอ่างใหญ่ขนาดไหนให้เธอตอนข้ามถนนดี” ผมตอบหน้าเครียด ได้ยินเสียงงินร้องออกมา

                “โอ๊ย! โทวะซัง คุณนี่มันตลกร้ายเกินไปแล้ว ห้ามคิดจะเอาผมไปเลี้ยงแบบปลาทองในตู้เด็ดขาดเลยนะครับ”

                ผมตอบเขายิ้มๆ “ฉันไม่จ่ายเงินสร้างอ่างยักษ์ไว้เลี้ยงปลาทองหรอกน่า”

                “เลี้ยงผมก็ห้ามนะครับ”

                “ก็ไม่ได้บอกว่าจะเลี้ยงสักหน่อย”

                “แล้วจะเอาอ่างไปทำอะไรครับ”

                “ใส่เธอข้ามถนนไง เธอจะได้ลองข้ามดู”

                งินมองผม เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ “แหะ... ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกครับ แค่ฟังคุณเล่าผมก็สนุกแล้ว”

                ผมมองเขา แล้วนึกถึงเรื่องเมื่อตอนเช้าขึ้นมา “เล่าเรื่องของพวกเธอให้ฉันฟังบ้างสิ เรื่องของเงือกน่ะ”

                “เอ๋?”

                “อย่าง... เจ้าเงือกที่ฉันเจอเมื่อเช้าไง เขาเป็นใคร มาจากไหน เป็นเงือกอะไร เงือกนี่มีหลายชนิดใช่มั้ย?” ผมพยายามชวนคุยโดยไม่ทำให้เขาเห็นว่าผมยังขยายกับเรื่องเมื่อเช้าอยู่ งินมองผมแล้วนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบกลับมา

                “อืม... เงือกมีหลายชนิดมั้ย? ผมว่ามีหลายแบบมากกว่าครับ อาจจะเรียกว่าชนิดก็ได้ คุณอาจจะเข้าใจได้ง่ายกว่า อย่างทสึกิยะซังเนี่ย จัดว่าเป็นเงือกชนิดดุร้ายครับ เขาเป็นประเภทถ้าโมโหขึ้นมาล่ะ จมเรือเดินทะเลได้เลยนะครับ”

                “อย่างนั้นเลย” ผมผิวปากหวือ นึกถึงตอนโดนเขาฉุดลงน้ำ “แล้ว... เขาเกี่ยวข้องอะไรกับคามิซาวะล่ะ?”

                “เอ่อ...” งินชะงักไปทันที “ผมตอบคุณเรื่องนั้นไม่ได้หรอกครับ คุณต้องถามซุบารุซังเอง”

                อีกแล้ว ทำไมพอเป็นเรื่องของคามิซาวะแล้วต้องเป็นแบบนี้ทุกที

                “นี่ ผมถามจริงนะ คามิซาวะนี่คงไม่ได้สร้างวีรกรรมอะไรร้ายๆ เอาไว้จนต้องออกจากเกาะแล้วไม่อยากกลับมาอีกใช่มั้ย?”

                “ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอนครับ” คราวนี้งินตอบผมด้วยสีหน้าหนักแน่น “ซุบารุซังไม่เคยทำอะไรเสียหายเลย แต่เขาคงมีเหตุผล...”

                “บอกไม่ได้งั้นสิ”

                “ต้องถามเขาเองครับ เพราะผมก็ไม่รู้”

                ผมถอนหายใจเฮือก “เอาเถอะ ช่างคามิซาวะกับทสึกิยะอะไรนั่น แล้วเธอล่ะ เป็นเงือกแบบไหน?”

                “ผมเป็นพวกพิเศษครับ”

                “อันนั้นรู้แล้ว ฉันหมายถึง เธอเป็นประเภทดุร้าย หรือว่ายังไง”

                “ก็เป็นประเภทพิเศษน่ะครับ”

                “พิเศษที่ว่านี่คือมีขาเดินได้?”

                “ครับ”

                “แล้วดุมั้ย?”

                “คุณว่าผมดุรึเปล่าล่ะ?”

                ผมชักนึกสงสัยว่าตัวเองถามไม่ตรงคำตอบหรืออย่างไรกันแน่ เลยตัดสินใจขยายใจความของคำถาม “ก็... เธอเคยบอกว่าที่นี่เคยมีเงือกแบบพิเศษที่มีขาเหมือนเธอ แล้วเงือกตนนั้นดุมั้ย ฉันคิดว่าเงือกมีขาคงไม่ได้ดูสุภาพน่ารักแบบเธอหมดหรอก”

                งินมองผมตาปริบๆ “โทวะซังรู้อะไรหรือครับ?”

                “หืม?”

                “อ้อ...” เงือกหนุ่มตรงหน้าผมรีบพูดต่อทันที “จริงๆ แล้วพวกพิเศษแบบผมดุๆ ก็มีนะครับ โดยเฉพาะที่เป็นผู้หญิงเนี่ย ได้ยินว่าถ้าไม่ดุล่ะก็... มีหวังได้ออกลูกเป็นฝูง”

                ผมหลุดหัวเราะออกมาเพราะนึกภาพเงือกสาวแสนสวยถูกทั้งคนทั้งเงือกรุมล้อม อืม... ถ้าไม่ดุนี่อยู่ยากจริงด้วย

                “ไม่ขำนะครับ” งินพูดเสียงฉุนๆ “เงือกผู้หญิงแบบที่มีขาเวลาขึ้นบกอันตรายมาก พวกคุณน่ะน่ากลัวกว่าทสึกิยะซังรวมกันสิบคนซะอีก”

                ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “พวกฉันไม่ได้เลวร้ายแบบนั้นทั้งหมดหรอกน่า”

                “ก็รู้หรอกครับ แต่เวลาฟังพวกเธอมาเล่ามันก็อดคิดแบบนั้นไม่ได้นี่ครับ มนุษย์นี่ยังไง เห็นผู้หญิงสวยเป็นไม่ได้ ต้องรี่เข้าใส่ ผมว่าน่ากลัวมากนะ”

                “แล้วเวลาเธอเห็นเงือกสาวสวยๆ ไม่นึกอยากรี่เข้าใส่หรือไง?”

                งินมองผมแบบตำหนิ “ผมยังเด็กอยู่นะครับ จะไปรู้สึกแบบนั้นได้ไง”

                พอนึกถึงอายุของเขากับคำว่าเด็กที่เขาใช้ ผมก็รู้สึกแสลงขึ้นมา “เธออายุตั้งเก้าสิบห้าแล้ว ยังไม่เคยรู้สึกอะไรกับผู้หญิงอีกเหรอ?”

                “ก็ผมไม่ใช่มนุษย์แบบพวกคุณนี่” งินว่า “กว่าผมจะมีครอบครัวได้ ต้องรอถึงอายุร้อยห้าสิบปีโน่น ก่อนถึงเวลานั้นผมไปเที่ยวมีอะไรกับใครไม่ได้หรอก มีไปก็ไม่มีลูก”

                “ไม่เอาช่วงเวลาสืบพันธุ์สิ เอาแบบความรู้สึกน่ะ ไม่เคยนึกชอบใครหรือปิ๊งใครเลยหรือไง?”

                “ไม่ครับ ผมไม่อยากมีความรู้สึกแบบนั้นหรอก น่ากลัวจะตาย” งินว่าพลางทำหน้าแหยง ผมนึกสงสัยเลยถามต่อ “ทำไมต้องทำหน้ากลัวแบบนั้นด้วยล่ะ แค่ชอบหรือรักใครสักคนมันไม่น่ากลัวแบบนั้นหรอก”

                “พูดแบบนี้โทวะซังเคยชอบหรือรักใครแล้วหรือไงครับ”

                “ยังหรอก”

                “..............”

                “........................”

                “งั้นก็ห้ามมาสอนผมนะครับ ไว้คุณชอบใครเมื่อไหร่ ค่อยมาสอนผมอีกที” งินว่า แล้วทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมแบบเด็กๆ ทำเอาผมชักนึกสงสัยว่าเวลาเก้าสิบห้าปีของเขา มันหมดไปกับอะไรกันแน่

                “อืม” ผมส่งเสียงในคอ ก่อนจะถามเขาต่อ “แล้วพวกเธออยู่กันยังไง? เออ จริงสิ ได้ยินว่าเธอชอบกระจก ทำไมล่ะ?”

                “อ๋อ” เงือกหนุ่มตรงหน้าผมส่งเสียงด้วยดวงตาเป็นประกาย “เพราะกระจกสวยน่ะสิครับ ในทะเลไม่มีอะไรสะท้อนแสงแบบกระจกได้หรอก คุณไม่รู้สึกเหรอครับว่ามันสวย”

                ผมนึกถึงกระจกที่ใช้ส่องหน้าตัวเองอยู่ทุกวัน แล้วสั่นศีรษะ “ถ้าเป็นกระจกที่ตกแต่งลาย ฉันก็คิดว่ามันสวยดีหรอก แต่ถ้าเป็นกระจกก็เฉยๆ นะ”

                “ฮือ... ได้ยินคนเมืองแบบคุณพูดแบบนี้ แสดงว่าบนบกมีกระจกกันทุกหนทุกแห่งจนเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ ด้วย น่าอิจฉาจัง”

                ผมแย้งทันที “ไม่เห็นจะน่าอิจฉาตรงไหน ฉันว่าในทะเลน่าสนใจกว่าเยอะ บนบกน่ะไข่มุกแพงกว่ากระจกตั้งหลายเท่า”

                งินทำตาโต “นั่นสิครับ แล้ว... ที่ที่โทวะซังอยู่ มีกระจกสวยๆ เยอะไหมครับ ผมจะได้เอาไข่มุกมาแลก”

                ผมยิ้มให้เขาด้วยความเอ็นดู “ไม่ต้องเอาไข่มุกมาแลกหรอก ฉันขนมาให้เธอเอาไปแจกเพื่อนฝูงฟรีๆ เลยยังได้ อยากได้สักกี่อันล่ะ”

                งินทำท่าคิด ก่อนจะรีบโพล่งออกมา “ไม่ได้หรอกครับ ยังไงก็ต้องแลก เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเอาไข่มุกมาให้โทวะซังดู เผื่อว่าจะแลกกระจกได้สักหลายบาน”

                ผมหัวเราะ “นี่... ใจคอจะเอามาให้ดูแค่ไข่มุกเหรอ  ไหนๆ ฉันก็มีโอกาสได้เจอเงือกเป็นๆ แล้ว ไม่คิดจะพาฉันลงไปดูที่ที่เธออยู่หน่อยหรือไง?”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมทำหน้าตื่นเต้นกว่าเดิม เขารีบพูดด้วยท่าทางดีใจ “พูดจริงหรือครับโทวะซัง อยากลงไปดูที่ที่ผมอยู่จริงเหรอ?”

                “อือ แต่ว่าฉันคงต้องหาอุปกรณ์ดำน้ำก่อนน่ะนะ” ผมตอบไป แต่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เขาก็ฉุดมือผมให้ลุกขึ้น “งั้นไปกันเลยครับ”

--------------------------------------

                ฝนหยุดตกแล้ว ตอนที่ผมถูกงินลากตัวออกมานอกร้านขายของ แสงแดดหลังฝนที่สว่างสดใสทำให้ผมต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย “นี่ งิน ไม่ต้องรีบหรอก มีชุดประดาน้ำเตรียมเอาไว้ให้ฉันหรือไง?”

                “ของแบบนั้นไม่จำเป็นหรอกครับ” งินพูดพลางดึงมือผมเดินตรงไปที่ชายหาด ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ไม่จำเป็นได้ไงน่ะ ฉันอยากไปดูที่ที่เธออยู่จริงๆ นะ เธออยู่ใต้ทะเลไม่ใช่หรือไง?”

                “ใช่ครับ”

                “งั้นก็ต้องใช้ชุดประดาน้ำ”

                งินหันมามองผมแล้วหัวเราะ “โทวะซัง คุณคุยอยู่กับเงือกนะครับ ไปกับผมไม่ต้องใช้ชุดประดาน้ำหรอก”

                “?” ผมยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไร ก็ถูกงินดึงคอเสื้อเข้าไปหาเสียก่อน

                !!!??

                ผมเบิ่งตาค้าง เบิ่งตามองดวงตาสีเขียวตรงหน้า สัมผัสตรงริมฝีปากที่เพิ่งผ่านพ้นเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง ได้ยินเสียงเขาพูดขึ้นต่อ

                “น้ำลายเงือกทำให้หายใจในน้ำได้ ไม่เคยได้ยินเหรอครับโทวะซัง”

                ผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น นอกจากเสียงคลื่นและเสียงน้ำทะเล ในตอนที่เขาลากผมลงน้ำไป

------------------------------------------------------------               

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
โทวะซังโชคดีมากกกกกกกกกกกกกก

ออกมาแค่ 3 ตอนก็ได้ไปเมืองเงือกละ

 :ling1:

อยากให้งินไปอยู่ในเมืองจัง พาเที่ยว ^^

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :กอด1:  กอดคนเขียนค่ะ  อะไรกันคุยกันเรื่องข้ามถนนกันอยู่ได้ตั้งนานสองนาน จีบกันชัดๆ
ทำไมอิชั้นฟินกับจูบแบบนี้ จูบที่ไม่ใช่จูบ มันเป็นแค่การแลกน้ำลายกันเท่านั้น
เย้ ทีนี้ก็เตรียมไปเลือกไข่มุกกันเถอะ
ขอบคุณค่ะ สนุกมากๆ อยากไปเมืองเงือกแล้ว

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
แบบนี้มันน่าไปเมืองเงือกบ่อยๆสินะโทวะซัง จะได้ชิมน้ำลายเงือกบ่อยๆ  :haun4:
จุ๊บปากไม่เป็นไร แต่ตีก้นคือขอจึ๊กๆด้วยซะงั้น
ไม่เข้าใจคุณเงือกเขาจริงๆ

เงือกเด็กอย่างงินมันน่าจับตีก้นจริงเชียว

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
งินเป็นเงือกที่น่ารักมากจริงๆ  :mew1:

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
โอ๊ะะะ  โดนตบตูดโกรษแทบตาย แต่จูบนี่ทำเหมือนแค่จ้องตากันเลย 555

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
งินน่ารักดีอ่ะ ว่าแต่โทวะซังเออเร่อไปแล้วสินะ

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ดูท่างินจะไม่รู้ตัวว่านี่คือจูบ
ทำเอาพ่อพระเอกไปไม่ถูกเลย  :hao7: :hao6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อร๊างงงงงงง... น้ำลายเงือก ได้ยังไงหรอออออ....
สาธิตโหน่ยยยยยยยย...  :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
ชอบพล็อตจังง :impress2:
อยากอ่านเรื่องของซุบารุอะ อีกนานแน่เลย

ออฟไลน์ Maxshu

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ไปอ่านเรื่องสั้นมาแล้วน๊า สมควรที่จะเอามาต่อเป็นเรื่องยาวมากๆ
โทวะ แหม่ ได้จูบเฉยเลยนะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog

Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่5 ใต้ท้องทะเล

                “โทวะซัง?!”

                ผมดึงแขนคนที่อยู่ตรงหน้า พลางถลึงตาใส่เขาแล้วสั่นศีรษะแรงๆ งินดึงตัวผมเข้าไปใกล้ แล้วจับไหล่ผมไว้ “โทวะซัง ไม่ต้องตกใจนะครับ คุณไม่จมน้ำตายแน่”

                ผมสั่นศีรษะแรงกว่าเดิม บรรยากาศรอบตัวดูแปลกไปหมด ตาย ผมต้องตายแน่ๆ

                งินจ้องผมอยู่อึดใจ ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปใกล้อีก จากนั้นก็ประกบริมฝีปากเข้ามา

                “................” ผมจับไหล่เขาไว้แน่น รู้สึกได้ชัดเจนถึงเรียวลิ้นที่สอดเข้ามา สัมผัสนั้นอบอุ่นอ่อนโยน จนทำให้หัวใจของผมที่เต้นถี่รัวด้วยความตกใจ เงียบลงได้ในที่สุด

                “เป็นไงบ้างครับ”

                ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงได้รู้ตัวว่าหายใจในน้ำได้จริงๆ พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นดวงตาสีเขียวแบบเดียวกับน้ำทะเลกำลังจ้องผมด้วยความเป็นห่วง

                “อือ...” ผมส่งเสียงอย่างไม่รู้จะตอบเป็นคำพูดว่าอย่างไรดี ก่อนจะเงียบไปพักใหญ่

                “โทวะซัง...”

                “อือ...” หลังจากลองอ้าปากอยู่ครั้งสองครั้ง ผมถึงได้กล้าลองส่งเสียงออกมา “งิน”

                “ครับ” คนที่อยู่ตรงหน้าผมรับคำแล้วยิ้มให้ ผมเรียกเขาอีกครั้ง รู้สึกแปลกที่ได้ยินเสียงตัวเองตอนอยู่ในน้ำ “งิน”

                “คร้าบ...” งินส่งเสียงตอบอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นจับแก้มผมเอาไว้สองข้าง อย่างกับเล่นกับเด็กๆ “ไม่เป็นไรแล้วนะโทวะซัง ไม่ต้องตกใจนะครับ”

                ผมพยักหน้าช้าๆ พยายามบอกตัวเองว่าอาจจะกำลังฝันอยู่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้มันดูเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงเอาเสียเลย

                “ฉัน... เอ้อ...” ให้ตายเหอะ ไม่ชินกับเสียงตัวเองในน้ำแบบนี้เลย

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมยิ้มบางๆ “รู้สึกแปลกใช่ไหมล่ะครับ”

                ผมพยักหน้าแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ได้ยินเขาพูดต่อ “ไม่เป็นไรครับ ไม่นานเดี๋ยวก็ชิน เหมือนผมตอนขึ้นไปบนบกแหละ”

                ผมนึกถึงเรื่องที่คุยค้างไว้กับเขาออกจนได้ “แล้วไหนล่ะ? ที่ที่เธออยู่”

                “อยู่ลึกกว่านี้ครับ คุณไหวรึเปล่า?”

                ผมก้มลงมองผืนทรายด้านล่างที่อยู่ห่างออกไปจากปลายเท้าผมสักเมตรสองเมตร สลับกับมองหน้าเขา อึดใจใหญ่ๆ ก็พยักหน้าตอบ “อือ ฉันจะไม่ตายใช่มั้ย?”

                “ไม่ตายหรอกครับ ผมเอาตัวเองเป็นประกันเลย” งินพูดพลางยกมือตบอกแบบใครสักคนที่ผมเคยเห็น ผมเผลอหลุดยิ้มออกมา “งั้นก็ได้”

---------------------------------------------

                ที่ที่งินอยู่ อยู่ลึกลงไปในทะเล จะกี่เมตรผมคงกะประมาณไม่ได้ เอาว่าแสงอาทิตย์แทบจะส่องไม่ถึงแล้วกัน เขาจับมือผมเอาไว้ แล้วพาผมดำลึกลงไป ผ่านดงปะการังและฝูงสัตว์น้ำมากมาย ผมเอ่ยปากถามเขาระหว่างทาง

                “ปกติเธอกินอะไรน่ะ? อย่าบอกนะว่าขนมไดฟุกุ”

                งินหัวเราะเสียงแปลกผ่านสายน้ำเข้าหูผม “ก็กินปลาบ้าง หอยบ้างครับ เท่าที่พอจะหาแย่งแข่งกับปลาอื่นได้”

                “อ้อ...” ผมส่งเสียงในคอ แล้วเหลือบเห็นฉลามสี่ห้าตัวผ่านไป “ต้องแย่งกับฉลามพวกนั้นด้วยมั้ย?”

                “อ๋อ ไม่ครับ ปกติเราไม่ยุ่งกับพวกฉลาม ยกเว้นถ้าเราเจอฉลามตาย ซึ่งก็ยากมากๆ เราจะไปถอดเอาชุดฟันออกมาทำอาวุธกับเครื่องประดับครับ”

                ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความทึ่ง “อาวุธกับเครื่องประกับจากฟันฉลามเหรอ?”

                “ครับ” งินรับ แล้วพูดต่อ “เป็นของหายากเหมือนกันนะครับโทวะซัง เพราะปกติฉลามไม่ค่อยเหลือซากให้เก็บอะไรมากนักหรอกครับ เพราะจะกินกันเองเสียก่อน ผมน่ะยังอยากจะได้สร้อยคอฟันฉลามสักเส้นเลย”

                ผมนึกสภาพเขาใส่สร้อยคอพรรค์นั้นแล้วรีบพูดสวนไป “ฉันว่าไม่เหมาะนะ”

                “เอ๋?”

                “อย่างเธอน่าจะเหมาะกับสร้อยเปลือกหอยหรือไข่มุกมากกว่า”

                “ฮือ” งินครางเสียงเศร้า “ทำไมล่ะครับ ผมดูไม่มีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ?”

                ผมนึกขึ้นมาได้ว่าเปลือกหอยในทะเลอาจจะเป็นของไร้ค่า แต่ว่าไข่มุกล่ะ?

                “มุกก็สวยนะงิน ไม่เห็นจะไม่มีค่าตรงไหนเลย”

                “แต่มันธรรมดาไปนี่ครับ ผมอยากได้อะไรที่มันดูแล้วเข้มแข็งสมกับเป็นชายชาตรีหน่อย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนผมนึกขำ “เธอยังเด็กอยู่นะ”

                “แต่อีกไม่กี่ปีผมก็จะโตแล้วนะ ผมต้องหาเขี้ยวฉลามมาไว้ในครอบครองสักชุดให้ได้”

                ผมนึกถึงท่าทางตอนที่เขาทำใส่ผมเมื่อไม่นานมานี้ แล้วก็ต้องสั่นศีรษะ “ฉันว่าอีกนานแน่กว่าเธอจะโตแบบนั้น”

                “โทวะซังก็... อย่าเอาเวลาของคุณมาเทียบกับผมสิครับ ปีนี้ผมอายุเก้าสิบห้าแล้วนะ อีกแค่ห้าสิบห้าปีผมก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว”

                ผมนึกถึงอายุตัวเอง บวกกับตัวเลขเก้าสิบห้า แล้วก็ต้องถอนใจเฮือก “ถึงตอนนั้นฉันคงแก่เป็นคุณปู่ ไม่ก็ตายไปแล้วล่ะ ไม่ได้มาดูเธอโตเป็นผู้ใหญ่แน่”

                จู่ๆ งินก็หยุดว่ายน้ำเสียดื้อๆ ผมจึงถามด้วยความสงสัย “เป็นอะไรน่ะ?”

                เขาไม่ตอบผมในทันที แต่นิ่งไปพักใหญ่ๆ “ไม่มีอะไรหรอกครับ ไปกันต่อเถอะ”

----------------------------------------

                ยิ่งลงลึก แสงจากดวงอาทิตย์ด้านบนยิ่งจางลงทุกที ผืนน้ำตรงหน้าผมสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ ฝูงปลาสีสันแปลกๆ ที่เคยว่ายผ่านไปก็หายไปหมดแล้ว จนถึงตรงนี้ผมยังไม่เห็นเงือกตัวอื่นสักตัว

                “ใกล้ถึงหรือยัง?”

                “ใกล้แล้วครับ ข้างหน้านี้เอง” งินพูด จากนั้นไม่นาน ผมก็ได้เห็นเงาสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งพอเพ่งตามองให้ดี ก็เห็นว่าเป็นผาหินใหญ่ที่อยู่ใต้น้ำ งินพาผมว่ายเลียบขอบผาสูง แล้วชี้มือไปที่ถ้ำหลายแห่งที่อยู่ตรงหน้าผา

                “นั่นบ้านทสึกิยะซังครับ เลยไปอีกหน่อยก็บ้านของโอจิซัง... อ้าว?!”

                ผมมองตามมือที่เขาชี้ ถึงได้เห็นว่าหน้าถ้ำถ้ำหนึ่ง มีหินก้อนใหญ่วางปิดเอาไว้

                “ทสึกิยะซังเอาหินมาปิดหน้าบ้านโอจิซังอีกแล้ว อะไรนักหนานะ” เงือกหนุ่มที่จับมือผมอยู่บ่นอุบอิบ ผมนึกถึงเงือกที่ชื่อทสึกิยะ แล้วก็อดถามอออกไปไม่ได้

                “ทสึกิยะอะไรนี่ เป็นอะไรกับเธอน่ะ?”

                “ไม่ได้เป็นอะไรกับผมหรอกครับ เขาเป็นเพื่อนเก่าของโอจิซังน่ะ”

                “อ้อ...” ผมส่งเสียงในคอ “งั้นโอจิซังของเธอก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วสิ”

                “ครับ โอจิซังปีนี้ก็สองร้อยห้าสิบแล้ว”

                ผมผิวปากหวือ “น้าเธออยู่มาตั้งแต่สมัยเอะโดะเลยรึ?”

                งินหัวเราะออกมา “ครับ ผมมั่นใจเลยว่าคุณต้องนึกภาพโอจิซังรำคาบุกิไม่ออกแน่ เพราะผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน”

                ผมว่าผมนึกถึงตาลุงแก่ๆ รำคาบุกิออก แต่ว่ามันคงไม่ใช่สิ่งที่ผมควรพูดตอนนี้

                “แล้วเขาอยู่ไหนล่ะ?”

                “อ๋อ... โอจิซังตอนนี้ไม่อยู่ที่นี่แล้วครับ”

                “อ้อ... ย้ายไปอยู่ที่อื่นเหรอ?”

                “ครับ ทำนองนั้น”

                ผมนึกทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ผมรู้ว่าเขาเป็นเงือก “แล้วโอจิซังของเธอกับคามิซาวะรู้จักกันมั้ย”

                งินหันมามองผม กลอกตาเหมือนทำท่าคิดหนัก “ผมจะอธิบายยังไงดี... ฮือ... ก็สองคนนี้...”

                “เฮ้ย งิน!” ก่อนที่ผมจะได้ยินงินพูดอะไรต่อ เสียงใครอีกคนก็ดังขึ้น พอหันไปมองต้นเสียง ก็เห็นเงือกตัวใหญ่ที่มีผมสีแดงสยายว่ายออกมาจากถ้ำถ้ำหนึ่ง

                “ตายล่ะ ทสึกิยะซังทำไมตื่นป่านนี้” งินพูด พลางลากตัวผมว่ายหลบไปทันที ได้ยินเสียงเงือกตนนั้นตะโกนไล่หลัง “งิน พาใครมาน่ะ! เขาห้ามไม่ให้พามนุษย์ลงมา ไม่รู้หรือไง”

                แทบจะเร็วพอๆ กับเสียง เงือกตนนั้นว่ายไล่มาเทียบข้าง ก่อนจะยุดมือผมเอาไว้ข้างหนึ่ง งินรีบขยับมาขวางหน้าผมเอาไว้ทันที “อย่ายุ่งกับแขกผมน่า คุณกลับไปนอนเถอะ แล้วช่วยเอาหินออกจากบ้านน้าผมด้วย”

                “ไม่ได้” อีกฝ่ายพูดเสียงเข้ม ผมรู้สึกถึงแรงบีบที่ข้อมือ ให้ตายเหอะ เงือกตนนี้มันจะตามจองเวรจองกรรมผมไปถึงไหน

                “ห้ามพามนุษย์ลงมา โดยเฉพาะไอ้หมอนี่”

                ผมฟังเสียงเขียวๆ ของเขาแล้ว ก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าตัวเองไปสร้างความแค้นให้กับเงือกตั้งแต่ชาติปางไหน ได้ยินเสียงงินตอบกลับไป “ทสึกิยะซัง! ผมจะพาใครมามันก็เรื่องของผม ยังไงกฎของพวกคุณมันก็ใช้กับผมไม่ได้อยู่แล้ว คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจ”

                “งิน!”

                งินดึงมือที่จับผมเอาไว้ออก แล้วพูดต่อ “ผมจะไปที่บ้าน ห้ามมายุ่งกับผม ไม่งั้นเรื่องโอจิซังก็อย่างหวัง...”

                ผมเห็นทสึกิยะถลึงตาสีเทาวาวน่ากลัวมองงิน ก่อนจะล่าถอยออกไป “เห็นแก่โอจิซังของนาย... ฉันรามือไปก่อนก็ได้”

                “ไปเลย แบร่” งินทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เหมือนตอนที่ทำกับผม เห็นแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือว่าอะไรดี จากนั้นเขาก็พาผมว่ายอ้อมไปอีกทางหนึ่ง

                “ถึงแล้วครับ บ้านของผม” งินพูดพลางพาผมว่ายเข้าไปในถ้ำบนหน้าผาถ้ำหนึ่ง ปากถ้ำไม่กว้างมาก พอที่คนตัวโตๆ แบบผมสองคนจะว่ายเข้าไปได้ แต่ด้านในเป็นโพรงใหญ่พอดู

                “มืดนะ” ผมว่า เพราะพอเข้ามาในถ้ำ แสงสว่างทั้งหมดก็ดูจะหายไปทันที งินดึงมือผมแล้วพูดตอบ “โทษทีครับ ผมไม่นึกว่าคุณจะลงมา นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปหาตะเกียงมาให้”

                ยังไม่ทันได้ถามว่าเขาจะเอาตะเกียงแบบไหนมาจุดใต้น้ำ งินก็ว่ายออกไปทางปากถ้ำเสียก่อน ผมจึงได้แต่นั่งมองแสงเรืองๆ ที่ลอดออกมาจากหน้าถ้ำ

                เฮ้อ... ฝันประหลาดแบบนี้เล่าให้ใครฟังไม่มีทางเชื่อแน่ กระทั่งเจ้าคามิซาวะก็เถอะ เอ๊ะ... หรือหมอนั่นจะรู้อยู่แล้วว่าผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถึงได้ทำท่ามั่นอกมั่นใจนัก

                ขณะที่ผมกำลังนึกถึงเรื่องของคามิซาวะอยู่ เงาบางอย่างก็มาพาดอยู่ตรงหน้าปากถ้ำ ตอนแรกผมคิดว่างิน แต่พอเงยมองถึงรู้ว่าผิดสนิท

                “นาย!”

                มือแข็งแรงข้างหนึ่งยื่นมาปิดปากผมเอาไว้ ก่อนที่เจ้าของจะเค้นเสียงลอดไรฟัน “อย่าโวยวายน่า ฉันไม่ได้มาฆ่าแกงอะไรนาย แค่อยากมาคุยอะไรด้วยหน่อย”

                ผมส่งเสียงอู้อี้ในคออยู่พัก สุดท้ายก็จำต้องพยักหน้า เจ้าของมือข้างนั้นจึงลดมือลง

                “มาทำอะไรที่นี่”

                ให้ตายสิ ผมเกลียดเสียงแบบนี้ที่สุด ทำอย่างกับผมเป็นผู้ร้ายงั้นแหละ

                “งินชวนลงมา”

                “จริง?”

                “เออ”

                หมอนั่นจ้องหน้าผม แม้จะมองไม่ถนัด แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเขาต้องกำลังจ้องหน้าผมอยู่แน่ๆ ผมขยับตัวอย่างอึดอัด “นี่ ทสึกิยะซัง มีอะไรจะถามก็ถามๆ มาเหอะ แต่ให้รู้ไว้เลยนะ ว่าฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรทั้งนั้น ฉันแค่มาเที่ยวชมเฉยๆ”

                “เฮอะ” หมอนั่นส่งเสียงในคอ ก่อนจะพูดสืบต่อ “ซุบารุล่ะ? เป็นไงบ้าง สบายดีใช่มั้ย?”

                “อือ สบายดี หมอนั่นแข็งแรงไม่เคยป่วยเลยล่ะ”

                “งั้นเหรอ... แล้วเขา... พูดอะไรถึงฉันบ้างมั้ย?”

                ผมแน่ใจว่าคามิซาวะไม่เคยพูดถึงเรื่องเงือกให้ผมฟังเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะงั้นคงไม่ต้องเจาะลึกถึงเรื่องของเจ้าหมอนี่

                “ไม่ เขาไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับนายหรือเงือกหรอก”

                “อ้าว แล้วทำไมเขาแนะนำให้นายมาที่นี่”

                ผมนึกสงสัยว่าทำไมต้องมาอธิบายเรื่องการมาของตัวเองให้เจ้านี่ฟังด้วย แต่เอาเหอะ สภาพนี้ผมเลี่ยงได้ที่ไหน เลยจำต้องตอบคำถามไป “เขาบอกให้ฉันมาพักผ่อน บอกว่าจะต้องชอบเกาะนี้แน่”

                “หืม? เขาบอกว่านายจะต้องชอบเหรอ? แล้วเขาบอกว่าเขาชอบที่นี่รึเปล่า?”

                ผมนึกแว้บหนึ่ง “หมอนั่นไม่เคยบอกหรอก”

                ผมรู้สึกเหมือนสีหน้าของคนตรงหน้าหมองลงไปหน่อยหนึ่ง “งั้นเหรอ... เขาไม่พูดถึงอะไรเกี่ยวกับที่นี่เลยสินะ”

                “อืม...”

                จู่ๆ หมอนั่นก็เงียบไปเสียดื้อๆ บรรยากาศเลยยิ่งวังเวงเข้าไปอีก ผมเหลือบตาไปมองหน้าถ้ำก็ยังไม่เห็นใคร เลยแข็งใจถามออกไปบ้าง “แล้วเรื่องที่งินพาฉันมาที่นี่ จะทำให้เขาเดือดร้อนมั้ย?”

                “อ้อ... เรื่องนั้นน่ะ... สำหรับงินไม่เป็นอะไรหรอก” หมอนั่นตอบผม แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “งินนี่ก็จริงๆ เลย... นี่ นายชื่ออะไร โทวะใช่มั้ย? นี่ โทวะ... ฉันบอกไว้ก่อนนะ ว่าอย่าทำอะไรให้งินเสียใจเป็นอันขาด”

                “เห?”

                ทสึกิยะขยับเข้ามาใกล้ เหมือนกลัวว่าจะมีใครได้ยิน “งินเป็นเงือกลูกครึ่ง นายรู้ใช่มั้ย? แม่ของเขาเป็นเงือก แต่พ่อของเขาเป็นมนุษย์ งินเป็นลูกครึ่งระหว่างเงือกกับมนุษย์ ดังนั้นโอกาสที่เขาจะเป็นหมันมีสูงมาก ถ้านายอยากจะมีลูกกับเขา ฉันแนะนำว่าอย่า เพราะมันจะทำให้พวกนายเสียใจกันเปล่าๆ”

                ผมนึกอยากกระโดดถีบยอดอกเงือกตรงหน้าขึ้นมาตงิดๆ “นี่ ขอโทษเถอะทสึกิยะซัง ฉันน่ะไม่ได้คิดอะไรกับงินแบบนั้นเลยสักนิด ฉันเห็นหรอกว่าเขาเป็นผู้ชาย แล้วฉันก็เป็นผู้ชาย เพราะงั้นเรื่องจะให้เขามีลูกให้น่ะเลิกคิดไปได้เลย”

                ทสึกิยะส่งเสียงขึ้นจมูกแบบจงใจบอกว่าไม่เชื่อคำพูดผมเลยสักนิด ให้ตายเหอะ ผมสงสัยจริงๆ ว่าผมเคยไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจกันแน่

                “ทสึกิยะซัง!”

 

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
               แต่ก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากถามอะไร เสียงของงินก็ดังขึ้นเสียก่อน เขาว่ายรี่เข้ามาพร้อมกับอะไรบางอย่างที่ส่องแสงเรืองๆ ในมือ

                “มาทำอะไรที่นี่ครับ ออกไปเลยนะ บ้านผมไม่ต้อนรับคุณ”

                แสงสีเขียวประหลาดในมือเขาทำให้ผมเห็นสีหน้าของทสึกิยะเสียที ดวงหน้าของเขาดูน่ากลัวเข้าไปอีกภายใต้แสงนั้น เขาขยับตัวอย่างรำคาญ แล้วว่ายจากไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ งินรีบว่ายมาหาผม แล้วถามด้วยความเป็นห่วง

                “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ? แย่จริงเชียว ผมก็ลืมคิดไปเลยว่าเขาอาจจะตามมายุ่มย่ามกับคุณอีก”

                “ฉันไม่เป็นไรหรอก” ผมโบกมือบอกเขา “เขาแค่มาคุยเฉยๆ”

                “เห? แค่มาคุยเหรอครับ? อย่างทสึกิยะซังคนนั้นน่ะนะ?!”

                “อือ เขาแค่มาคุยเฉยๆ จริงๆ ไม่ได้ทำร้ายอะไรฉันหรอก” ผมยืนยัน งินมองผมอยู่พัก ก็ถอนหายใจออกมา “อย่างนั้นก็ดีแล้วครับ นี่ ผมได้ตะเกียงมาให้คุณแล้ว รับรองว่าคุณต้องชอบแน่”

                พูดจบเขาก็ยื่นอะไรบางอย่างให้ผม พอเพ่งตาดูถึงได้รู้ว่าเป็นปลาน้ำลึกชนิดหนึ่งซึ่งมีติ่งเนื้อยื่นออกมาจากบนหัว ปลายติ่งเนื้อเป็นก้อนเล็กๆ ที่เรืองแสงได้ เจ้าปลาตัวนั้นพอเห็นผมก็รีบว่ายหนี ติดแต่ที่หางของมันมีสาหร่ายผูกเอาไว้ เลยหนีไปไหนไม่รอด ได้แต่สะบัดหางไปมาอยู่อย่างนั้นเอง

                ผมมองหน้าเขาสลับกับปลา เป็นทำนองว่านี่จะให้ผมถือจริงๆ เหรอ งินมองหน้าผม จากนั้นก็พยักหน้า แล้วถึงค่อยเอาปลาตัวนั้นไปผูกไว้กับชะง่อนหินแง่งหนึ่งในถ้ำแทน

                เออ แบบนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย ให้ผมถือปลาว่ายไปว่ายมาก็ดูกระไร

                พอมีแสงสีเขียวเรืองๆ นั้น ผมถึงพอมองเห็นอะไรขึ้นสักหน่อย ถ้ำของงินกว้างขวางพอสมควร ผนังถ้ำถูกเจาะเอาไว้เป็นรูหลายขนาด คาดว่าเอาไว้ใส่ของ งินล้วงมือเข้าไปในรูรูหนึ่ง แล้วล้วงเอาไข่มุกหลายเม็ดออกมา

                “โทวะซัง แบบนี้แลกกระจกได้กี่บานครับ”

                ผมมองแล้วให้นึกขึ้นได้ “จริงสิงิน แล้วคนอื่นๆ ล่ะ? ฉันหมายถึง เงือกตนอื่นๆ ล่ะ? ไปไหนกันหมด ทำไมมีแต่ทสึกิยะมา”

                “อ๋อ” งินส่งเสียงพลางมองไข่มุกในมือ “พวกนั้นนอนอยู่ครับ เงือกนอนกลางวัน แล้วหากินตอนกลางคืนครับ พวกที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น”

                “อ้าว แล้วเธอล่ะ?”

                “ผมยกเว้น” เขาตอบ แล้วหัวเราะขวยๆ “ผมคงติดใจไดฟุกุของนางามิซังแล้วแน่ๆ”

                “เอาดีๆ สิ” ผมว่า “เธอบอกว่าเงือกนอนกลางวัน หากินกลางคืน แล้วเธอที่ตื่นกลางวัน นอนกลางคืน จะเอาเวลาตอนไหนไปหากินล่ะ?”

                “ก็บอกแล้วไงครับว่าผมเป็นพวกพิเศษ เรื่องหากินไม่ใช่ปัญหาหรอก”

                “งิน...”

                งินมองหน้าผมอยู่อึดใจหนึ่ง ในที่สุดก็ยอมอ้าปากเล่าได้เสียที “คือ... ผมก็ใช้กระจกนี่ล่ะครับ แลกของกินเอา อย่างวันไหนถ้าผมขึ้นไปข้างบนแล้วได้กระจกมา ใครอยากได้กระจกก็ต้องเอาของมาแลก ปลาบ้างหอยบ้าง ไข่มุกบ้าง แล้วแต่ว่าตอนนั้นผมอยากได้อะไรเป็นหลัก”

                ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที “ที่แท้เป็นพ่อค้านี่เอง”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมหัวเราะเขินๆ “เรียกแบบนั้นก็ได้ครับ”

                ผมมองหน้าของเขา ภายใต้แสงสีเขียวจากปลาตัวนั้น แล้วให้รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เลยเสไปมองทางอื่น จึงได้เห็นว่าในช่องที่เจาะไว้ข้างผนังอีกหลายช่องมีของหลายอย่างใส่อยู่

                “ตรงนั้นอะไรน่ะ?”

                “อ๋อ อันนั้นเป็นกระจกของแม่ผมครับ” งินพูด แล้วขยับไปหยิบของที่ใส่อยู่ในช่องเจาะมาให้ผมดู มันเป็นกระจกส่องหน้าแบบโบราณอันหนึ่ง ลักษณะเป็นโลหะทรงกลมมีด้ามจับ ด้านหลังกระจกสลักลายเป็นรูปชายคนหนึ่ง นั่งอยู่ริมน้ำใต้ต้นสน ในน้ำมีผู้หญิงคนหนึ่ง โผล่ขึ้นมาแค่ครึ่งตัว ด้านหลังผู้หญิงคนนั้นมีหางเหมือนปลาโผล่เหนือน้ำขึ้นมา ผมเงยหน้าขึ้นมองงิน

                “กระจกบานนี้...”

                “พ่อเป็นคนทำให้แม่ครับ แม่บอกผมแบบนั้น” งินตอบ ผมเลยถามต่อ “งั้นแสดงว่าพ่อเธอเป็นมนุษย์งั้นสิ”

                “ครับ”

                “แล้วตอนนี้ทั้งพ่อกับแม่ของเธอไปไหนแล้วล่ะ”

                “ตายหมดแล้วครับ”

                “งั้นเหรอ...” ผมนิ่งไปอึดใจหนึ่ง พลางมองดูกระจกเก่าๆ อันนั้น ตัวกระจกที่ทำจากโลหะเมื่ออยู่ในน้ำนานๆ ก็ทำปฏิกิริยากลายเป็นรอยด่างสีฟ้าหลายจุด  จนไม่สามารถใช้สะท้อนภาพอะไรได้แล้ว แต่ทว่าผมกลับรู้สึกได้ถึงความรักของคนกับเงือกที่สะท้อนอยู่บนลายสลักเบื้องหลัง

                “ทั้งสองคนคงรักกันมาก”

                “ครับ...”

                “เธอเคยเห็นพ่อตัวเองมั้ย?”

                งินสั่นศีรษะ “ไม่เคยหรอกครับ พ่อตายก่อนที่ผมจะเกิด”

                “อ้อ” ผมนึกขึ้นมาได้ “แม่เธอคงตั้งท้องนานมาก อายุคนกับเงือกมันต่างกันนี่นะ”

                “เปล่าหรอกครับ”

                “เอ๋?”

                “พ่อผมถูกฆ่าเพราะปกป้องแม่น่ะครับ”

                “?!” ผมมองหน้างิน จ้องเข้าไปในดวงตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้น “เรื่องมันเป็นยังไงน่ะ”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมเงียบไปอึดใจใหญ่ “จำเรื่องเกี่ยวกับการกินเนื้อเงือกที่ผมเล่าให้ฟังได้ไหมครับ?”

                “อืม”

                “พอมีคนรู้ว่าพ่อแอบเจอกับแม่ ก็วางแผนกันจะจับตัวแม่ครับ พ่อรู้แผนเลยพยายามขวางไว้จนแม่หนีมาได้ แต่ก็ต้องเสียพ่อไป”

                “อ้อ...” ผมนึกสลดกับเรื่องที่เกิดขึ้น “คนบนเกาะสินะ...”

                “ครับ”

                “แล้ว... เธอไม่นึกเกลียดพวกเขาเหรอ?”

                งินมองผม ยิ้มแล้วสั่นศีรษะ “ไม่หรอกครับ คนดีๆ บนเกาะมีอีกเยอะ อีกอย่างมันเป็นเรื่องก่อนผมเกิด ได้ยินว่าหลังจากนั้นโอจิซังก็ขึ้นไปจัดการกับคนที่ฆ่าพ่อผมจนไม่มีใครกล้าทำอะไรเงือกอีกเลย”

                ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “น้าเธอนี่ท่าทางดุน่าดูเลยนะ”

                คราวนี้งินหัวเราะออกมา “รับรองว่าคุณต้องนึกภาพไม่ออกแน่ สมัยก่อนเวลาผมมองหน้าน้าทีไร ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเขาจะดุได้ขนาดนั้น แต่ถ้าเขาไม่ดุ คงรับมือทสึกิยะซังไม่ได้แน่”

                ผมนึกถึงเจ้าเงือกจอมราวีตัวนั้นขึ้นมา “จริงสิ เจ้าทสึกิยะนั่นทำไมดูจองเวรจองกรรมฉันนัก ฉันไปทำอะไรให้เขาเมื่อไหร่กัน?”

                “อ๋อ เรื่องนั้น...” งินพูดค้างแล้วถอนใจ “ทสึกิยะซังเป็นพวกที่พูดกันด้วยเหตุผลไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ ลองถ้าปักใจเชื่ออะไรแล้ว พูดอะไรให้ตายก็ไม่ฟัง ยังไงผมจะระวังไม่ให้เขามายุ่งกับคุณอีก”

                ผมรู้สึกว่างินไม่ยอมตอบคำถามของผมตรงๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคามิซาวะด้วยรึเปล่า?”

                งินสั่นศีรษะ “ผมตอบไม่ได้หรอกครับ คุณต้องถามเขาเอง”

                ผมรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมา “เรื่องของคามิซาวะนี่มันลึกลับจริงๆ นะ”

                ดูเหมือนงินจะเข้าใจว่าผมไม่พอใจ เลยรีบพูดขึ้นต่อ “ใจเย็นๆ ครับโทวะซัง จริงๆ พวกผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณลำบากใจ แต่ผมตอบแทนเขาไม่ได้จริงๆ”

                “อืมๆ ช่างเหอะ เป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากจะฟังเรื่องของหมอนั่นนักหรอก เอาเรื่องของเธอดีกว่า”

                “เรื่องของผม?” งินพูดเชิงตั้งคำถาม ก่อนจะรีบพูดต่อเหมือนเพิ่งนึกได้ “ใช่แล้ว! คุณยังไม่ได้บอกผมเลย ว่าไข่มุกนี่แลกกระจกได้กี่อัน”

                พูดจบเขาก็ยื่นมือที่มีไข่มุกวางอยู่มาตรงหน้าผม ผมมองแล้วก็รีบกำมือเขาให้เก็บมันเอาไว้ “เก็บไว้เถอะ เธออยากได้แบบไหนกี่บานบอกฉัน แค่กระจกไม่คุ้มจะแลกไข่มุกพวกนี้หรอก”

                “ฮือ... ทำไมล่ะครับ น้อยไปเหรอ?”

                “เยอะไป”

                “....” งินเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากนิ่วคิ้วอยู่เป็นนาน เขาก็พูดออกมา “แล้วผมต้องเอาอะไรมาแลก”

                ผมมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดออกไป “ตัวเธอเป็นไง”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมสะดุ้งเฮือก “ละ... ล้อเล่นใช่ไหมครับ?”

                ผมรู้สึกว่าตัวเองปากพล่อยสิ้นดี เลยทำทีเป็นเออออหัวเราะผสมโรงไป “ใช่ ล้อเล่นน่ะ ฉันไม่อยากได้ปลาทองตัวใหญ่ๆ แบบเธอหรอก”

                “...........”

                “..............................”

                บรรยากาศรอบตัวดูวังเวงขึ้นมาทันที ผมเห็นงินเอาแต่ก้มหน้า ไม่ยอมพูดอะไร เลยรู้สึกขึ้นมาว่าอาจจะพูดอะไรผิดไป เลยพูดขึ้นต่อ “นี่... ไม่อยากได้กระจกแล้วเหรอ?”

                “อยากครับ... แต่...” งินพูดทั้งที่ยังก้มหน้างุด “แต่ผมไม่มีอะไรมาแลก”

                ผมถอนหายใจอีก “ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องหรอก แค่กระจกเอง”

                “............”

                “งิน...?”

                ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมองผม “คุณไม่ชอบผมเหรอ?”

                ผมรู้สึกสะท้านวาบขึ้นมาในอก เมื่อสบกับดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้น “ใครบอกล่ะว่าฉันไม่ชอบเธอ”

                “ก็... ก็คุณไม่ยอมแลกกระจกกับผม... คุณไม่อยากได้ผมด้วย”

                หัวใจของผมเต้นอึงอยู่ในอก แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันดังมาจากโลกอื่น ผมมองเงือกหนุ่มตรงหน้า มองดวงตาสีน้ำทะเลคู่กัน “ถ้าฉันอยากได้ เธอจะให้หรือ?”

                “...?!”

                พอเห็นสีหน้าตกใจของเขา ผมจึงต้องเค้นรอยยิ้มออกมา “เห็นไหม... ถึงฉันอยากได้ เธอก็ไม่ให้ฉันหรอก”

                งินมองหน้าผม แล้วก้มหน้างุดอีกครั้ง “คุณจะเอาผมไปทำอะไรครับ... ผมทำอะไรไม่ได้หรอก”

                ผมยื่นมือไปจับเบาๆ ที่คางของเขา ด้วยความรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่เรื่องจริง “งิน”

                “ครับ...?”

                “ที่ฉันอยากได้ตัวเธอ ไม่ใช่เพราะแค่แลกกับกระจกหรืออะไรทั้งนั้น ฉันอยากได้ตัวเธอ เพราะเธอทำให้ฉันรู้สึกอยากได้ เข้าใจรึเปล่า?”

                เงือกหนุ่มตรงหน้าผมสั่นศีรษะ แต่ใบหน้ากลับแดงเรื่อขึ้นมา ผมเชยคางของเขาให้เงยขึ้นมา แล้วขยับหน้าเข้าไปใกล้ “ฉันคิดว่าฉันคงเริ่มชอบใครสักคนขึ้นมาแล้วล่ะ?”

                “เอ๋...?”

                ผมยิ้มให้กับท่าทางไร้เดียงสาของเขา ก่อนจะแนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากคู่นั้น

----------------------------------------------
** อยากจะกรี๊ดให้กับโทวะซังสักสิบล้านรอบ :mc4: ไม่ใช่ดีใจที่ได้ไปเมืองเงือก แต่ดีใจที่ในที่สุดฮีก็เหมือนจะได้เป็นเมะสักที หลังจากที่ช่วงแรกๆ ของตอน ดิฉันเขียนไปถึงกับลังเลว่า จะให้ฮีเป็นเมะหรือเป็นเคะดี (วะ5555+ :laugh:)

เรื่องนี้เป็นอะไรที่มุ้งมิ้งสุดติ่งตับมากถึงมากที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา จนกระทั่งรู้สึกว่า เอ๊ะ นี่เราเขียนนิยายหลุดเองหรือเรื่องมันมุ้งมิ้งเกินไปฟะ? (ซึ่งตรงนี้คงต้องรบกวนท่านผู้อ่านทั้งหลายช่วยกันตรวจสอบ :mew1:)

และก็เป็นเรื่องที่ตอนแรก(?)น่าจะมีจำนวนหน้าในแต่ละตอนน้อยที่สุดในบรรดาเรื่องยาวที่เคยเขียนมา แต่พอมาถึงตอนนี้ ต้องบอกว่าทะลุโควตาที่5-6หน้ามาที่8หน้าเป็นที่เรียบร้อย หวังว่าอนาคตคงจะไม่ทะลุไปที่12-14หน้าดั่งเรื่องอื่นที่เคยเขียนมา (ไม่รู้จะขุดตัวอักษรจากไหนมาโปะไว้นักหนา)

แอบเอาปกร่างจากอีฟจังมาแปะเอาไว้ น้องงินน่ารักฝุดๆ ไปเลย



เรื่องนี้น่าจะมีกำหนดจบที่สิ้นปีนี้ค่ะ ยังไงก็จะพยายามเข็นออกมาให้ทันให้จงได้!!!

ปล. กดโพสไปครั้งแรกแล้วพบข้อความแจ้งกว่าเกิน20000ตัวอักษร /กรี๊ดดังๆ หนึ่งครั้ง แล้วอุทานว่า "แค่8หน้าเอ๊ง!!"  :a5:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
เราแอบหวังว่าทั้งสองจะได้อยู่ร่วมกัน อย่าจบดราม่าเลยนะคะ
ไม่อยากให้เรื่องของเงือกมีแต่ตำนานเรื่องเศร้า  :L2: 

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
เราแอบหวังว่าทั้งสองจะได้อยู่ร่วมกัน อย่าจบดราม่าเลยนะคะ
ไม่อยากให้เรื่องของเงือกมีแต่ตำนานเรื่องเศร้า  :L2:

+1


แหะๆ อยากให้งินมีความสุขด้วยอ่ะค่ะ :) พลีสสสส

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
ไม่ต้องรอโตแล้วงินเอ้ย เจ้าเงือกขี้อ่อย
โทวะจะเลี้ยงเจ้าเงือกเด็กนี่ยังไงดี
ฮาตรงเจ้าผมดำมาบอกว่างินเป็นหมันนี่แหละ คิดไกลกว่าใคร
คุณน้าของงินคือซึบารุ?

ออฟไลน์ blanchet

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
น่ารักก ชอบงินจัง55  อยากอ่่านเรื่องนี้ต่อเรื่อยๆ
ไม่ให้จบเลยยย โทวะซังอะไรอ่ะ มาขงมาขอเฉ๊ยย
รอตอนต่อไปนะะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด