me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย End
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย End  (อ่าน 33163 ครั้ง)

ออฟไลน์ สิบสาม13

  • นามปากกา AkumaBK
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
    • ติดต่อได้ที่ บ้าน Yaoi , Boy'Love Akumabk

me die

12 : ความเจ็บปวดที่แสนยาวนาน I


‘ที่นี่ ที่ไหนกัน’   

เรียวเท้าเปลือยเปล่าเดินเหยียบย่ำไปบนกองหิมะสีขาวโพลน เสมองไปด้านไหนก็เจอแต่พื้นดินสีขาวสุดลูกหูลูกตา ไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกได้เลยว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากเขา ไม่มีเลย แม้แต่สายลมก็ยังไม่พัดผ่าน ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวนอกจากเขาเพียงผู้เดียว

‘หนาว หนาวเหลือเกิน ทำไมถึงรู้สึกหนาวขนาดนี้นะ’

เฟิร์สเอ่ยขึ้นขณะยังเดินไปเรื่อยๆเพื่อหาทางออก เขายกเเขนทั้งสองข้างกอดตัวเองเพื่อป้องกันความเย็นแม้จะแทบไม่ช่วยอะไรเลย เขายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปที่ใด

‘เอ๊ะ! นั่นอะไรน่ะ’
จู่ๆก็มีบางสิ่งเล็กๆเคลื่อนไหวอยู่ถัดไปจากตรงหน้าไม่ไกลนัก เฟิร์สเร่งฝีเท้าเดินตรงไปยังสิ่งนั้น เมื่อไปถึงก็ได้พบกับดอกไม้สีแดงเลือดดอกหนึ่งกำลังแตกยอดขึ้นมาจากพื้นน้ำแข็งสีขาว และเบ่งบานเป็นดอกไม้สีสดที่งดงามตัดกับสีขาวของน้ำแข็งช่างงดงามยิ่งนัก

‘สวยจัง’
เฟิร์สยิ้มออกมา พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มปริ่มจากดวงตาคู่งาม เมื่อแพขนตายาวกระพริบน้ำตาหนึ่งหยดก็ไหลรินลงสู่พื้น สองมือค่อยๆยื่นลงจะไปประคองดอกไม้สีแดงเลือดดอกนั้นอย่างทะนุถนอม

‘เฮือก!’
เเต่เมื่อสองมือนั้นแตะโดนดอกไม้แค่ปลายเล็บ ความรู้สึกเจ็บปวดก็แล่นริ้วไปทั่วทุกอณูของร่างกาย แต่ในความรู้สึกเจ็บปวดนั้นเขากลับรู้สึกมีความสุขและอบอุ่นอย่างประหลาดไปด้วย

ดอกไม้นั้นเเปรเปลี่ยนเป็นสีดำและมีกิ่งก้านที่มีหนามแหลมคมเลื้อยพันตั้งแต่แขนไปจนทั่วร่างกาย เจ็บและชาไปทั้งตัว จนร่างทั้งร่างของเฟิร์สนั้นล้มลงกับพื้น หนามแหลมทิ่มแทงเข้าไปในผิวกาย เลือดสีแดงฉานไหลนองไปทั่วบริเวณ น้ำตายังคงไหลไม่หยุดราวเขื่อนแตก แต่เขายังคงมีรอยยิ้มที่ดูมีความสุขประดับใบหน้าดังเดิม...เป็นดัง...ความเจ็บปวดที่งดงาม

“เฮือก!”
เฟิร์สสะดุ้งตื่น เบิกตาโพรง ใจเต้นรัว เหงื่อไหลท่วม ร่างกายสั่นไหวไปหมด ‘ฝันนั่น มันอะไรกัน’
เขาไม่เคยฝันแบบนั้นมาก่อน มันคืออะไร มันดู...สวยงาม แต่ก็...เศร้าสร้อย

“ตื่นสักทีนะ”
เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้นอีกด้านหนึ่งของเตียงนอน เฟิร์สหันควับไปมองด้วยความตกใจ คำว่าปีศาจดังเตือนเขา พร้อมกับภาพเหตุการณ์เลวร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นมากมาย

“ปีศาจ! อย่าทำอะไรกูอีกเลยนะ ปล่อยกูไปเถอะ”
เฟิร์สตาเหลือกด้วยความตกใจ ร่างกายขยับถอยห่างให้ได้มากที่สุด

“โอ๊ย!”

แต่เมื่อขยับแม้เพียงน้อยนิดความเจ็บปวดจากช่องทางด้านล่างที่ฉีกขาดก็ส่งผล แต่เฟิร์สก็ยังพยายามขยับหนีให้ห่างจากปีศาจตรงหน้ามากที่สุด ดวงตาสั่นไหวยังคงจ้องมองไปยังชายสวมหน้ากากตรงหน้าไม่ลดละ

“หึ! โง่!”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ลนลานและหวาดกลัวของอีกฝ่าย รีซก็เริ่มสนุกรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นภายใต้หน้ากาก รีซเดินเข้าไปหาเฟิร์สช้าๆ ดังเสือที่จ้องจะเขมือบลูกกวาง

“ยะ อย่าเข้ามา”

เมื่อเฟิร์สเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามา ก็เร่งฝืนขยับกายให้ถอยห่างมากยิ่งขึ้น ดวงตาที่สั่นไหวยังคงจ้องมองอีกฝ่าย ริมฝีปากที่กัดจนห้อเลือดเพื่อลดความเจ็บที่ช่วงล่าง มือดันที่นอนช่วยกันประคองไม่ให้ร่างกายล้มลง เรียวขาไหวสั่นอ่อนแรงค่อยๆขยับเคลื่อนตามไป

รีซขยับเคลื่อนกายเข้าหา มากขึ้น มากขึ้นและมากขึ้น เมื่อใกล้จะถึงเตียง รีซก็ทำท่ากระโจนขึ้นไปยังมุมหนึ่งของเตียงอย่างเร็ว เฟิร์สตกใจตาโตขยับกายถอยหนีอัตโนมัติด้วยความแรง

กึง!!

“โอ้ย! นี่มัน...โซ่?”
เมื่อขยับเร็วไปจนสุดขอบเตียงก็เกิดเสียงโซ่เหล็กดังขึ้นและมันก็กระชากคอของเฟิร์สกับอัตโนมัติเพื่อลดแรงตึงของมัน จนทำให้เฟิร์สเกือบหน้าทิ่มลงที่นอนรู้สึกเจ็บทั้งคอและช่วงล่างจนต้องร้องออกมา

หลังจากนั้นจึงก้มลงไปดูก็เห็นเป็นโซ่เหล็ก อีกทั้งร่างกายก็มีเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวยาวปกคลุมร่างกายเพียงตัวเดียว ทั้งเจ็บทั้งอายทั้งโมโหแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่ลุกยืน จึงได้แต่ส่งดวงตาโกรธเเค้นไปยังอีกคนแทน

“หึหึ ชอบไหมล่ะ ของขวัญ”

รีซเอ่ยขึ้นหลังขยับกายไปยืนข้างเตียงเเทน รอยยิ้มปรากฏขึ้นภายใต้หน้ากากอีกครั้ง ดวงตาสีแดงที่ไร้แววนั้นก็ขยับเย้ยไล่ไปตามร่างกายอีกฝ่ายจนน่าขนลุกชัน

“มะ มอง อะไร”
เฟิร์สขยับแขนทั้งสองข้างขึ้นปกปิดร่างกาย มือนึงดึงชายเสื้อยืดเพื่อให้ปกปิดส่วนนั้น อีกมือนึงก็กอดแขนของตนอีกข้าง ริมฝีปากโดนกัดไว้จนช้ำม่วงไปทั่ว ดวงตาสั่นไหวเหลือบมองอีกคนเขม็ง

“ตื่นก็ดี เสียเวลาไปตั้งเป็นวัน ฉันว่า...ฉันอยากสนุกกับร่างกายของนายอีก” รีซพูดอย่างอารมณ์ดี

“ไม่!!”
เฟิร์สตะโกนเสียงดัง ขยับกายหนีอีกครั้ง มือสองข้างก็กระชากโซ่ที่ล่ามคออย่างแรงหวังให้หลุดออก

รีซก้าวเท้าเข้าหาเฟิร์สรวดเดียวถึง มือแกร่งกระชากอีกร่างเข้าหาตนอย่างแรง เมื่อกายที่เริ่มร้อนจากไข้ที่กำลังก่อตัวปะทะเข้ากับร่างกายที่เย็นดุจน้ำเเข็งเฟิร์สใจเต้นกระหน่ำ ตกตะลึงตาเหลือกโต ฟันขาวขบกัดที่ริมฝีปากตนอีกครั้งฝืนขยับกายหนีขืนตัวออกสุดแรง

“หยุดดิ้น!”
เสียงตะคอกดังลั่น ดวงตาปีศาจข้างนั้นเริ่มเปล่งแสงสีแดงวาวโรจน์ด้วยความโกรธ บรรยากาศรอบตัวเย็นวาบ

“อึก! ป ปล่อย!”
เฟิร์สยังคงดิ้นหนี ไม่มีหยุด แม้จะสะดุ้งตกใจกับน้ำเสียงน่ากลัวนั่น

“กูบอกว่าอย่าดิ้น!”

“โอ๊ย!”

รีซรวบมือทั้งสองข้างของเฟิร์สขึ้นไว้เหนือหัวกดลงกับที่นอนด้วยแรงที่มหาศาล ถาโถมร่างกายเย็นเหยียบขึ้นทับอีกร่างไว้ไม่ให้ดิ้นหนี มืออีกข้างที่ว่างก็ปลดซิปกางเกงตัวเองลง ล้วงเอาแก่นกายตนเองออกมารูดขึ้นลงสองสามครั้ง ขาแข็งดันขาของอีกคนใต้ร่างให้อ้าออกกว้าง แล้วจ่อกายแกร่งของตนตรงช่องทางที่แดงช้ำแล้วกระแทกตัวลงอย่างเร็วและแรงทันที

“อ๊าาาาา!!! เจ็บ!!”

เฟิร์สกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส เกร็งตัวสั่นไหวไปทั่วทั้งร่าง กัดปากกลั้นความเจ็บปวดจนเลือดไหลซึม

“ปล่อยกูนะ ฮึก!”

น้ำตาไหลนองไปทั่วหน้า ช่องทางด้านล่างฉีกขาดเลือดไหลเยิ้มตามเรียวขาขาว ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มไปด้วยความเจ็บปวด

“อ่า ดี หน้าตามึงเจ็บปวดดีหนิ อืม”

รีซโถมฝังแก่นกายเข้าออกรุนแรง มือใหญ่นวดเฝ้นไปตามกายขาวจนขึ้นสีแดงเป็นรอยมือ

“อ๊ะ เจ็บ! อึก! ฮือออ เอาออกไป”

เฟิร์สร่างกายสั่นไหว่ตามแรงกระแทก เรี่ยวแรงต่อต้านเริ่มหมดไป ความรู้สึกแปลกๆทั้งเสียวทั้งเจ็บหมุนวนไปหมด ไร้หนทางจะหลีกหนี มีแต่น้ำตาและจิตใจที่แหลกสลายกำลังทำงานต่อไปจนสุดทาง

“อืม อ่า”
รีซกระแทกกายเข้าออกโดยไม่ได้สนใจร่างข้างใต้ ปลดปล่อยเข้าไปภายในตัวของเฟิร์ส

กิจกรรมดำเนินขึ้นอีกครั้ง รีซปล่อยมือทั้งสองของเฟิร์สเป็นอิสระ จับเรียวขาบางขึ้นชิดอก โน้มกายลงใกล้กัน ดันกายแกร่งออกช้าๆแล้วฝั่งกายกลับลงไปใหม่สุดแรง

“อ๊า! พอ มันเจ็บ อึก!”

ดวงตาคู่สวยที่ตอนนี้บวมช้ำน้ำตาท่วม จ้องมองไปยังหน้ากากตรงหน้า แวบหนึ่งที่เขาสงสัยว่าใบหน้าใต้หน้ากากนี้เป็นใคร ใช่คนที่อ้างตัวแล้วมาทำร้ายเขารึเปล่า ทำให้เฟิร์สค่อยๆยกแขนที่อ่อนแรงขึ้นหวังจะปลดหน้ากากนั้น

“หึ เลิกซนแล้วอยู่เฉยๆดีกว่านะ”

มือใหญ่ยกตัวของเฟิร์สขึ้นคร่อมตักแกร่ง รวบมือที่ซนทั้งสองข้างไขว้ไปไว้ด้านหลัง ทำให้ช่วงล่างของทั้งคู่เชื่อมติดกันมากขึ้น รีซใช้มือที่ว่างอีกข้างประคองแล้วกระแทกกายสวนขึ้นไปอย่างแรง

“ฮึก! อ๊า! ไม่! มันลึกเกินไป ไม่เอาท่านี้”

เฟิร์สได้แต่น้ำตานองหน้า กัดปากเเรงจนเลือดไหลซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างกายก็ได้แต่รองรับอารมณ์ของคนกายเย็นดุจน้ำแข็ง กิจกรรมที่ทำปกติจะเหงื่อท่วมแต่เขากลับเหน็บหนาวไปจนถึงขั้วหัวใจ

กิจกรรมยังคงดำเนินต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่อยๆ จนกระทั่งเฟิร์สสลบไปอีกครั้ง อีกฝ่ายถึงได้หยุดลงเมื่อเสร็จกิจกามรอบนั้น แล้วลุกจากไปทันที โดยให้อีกร่างที่สลบไปก่อนนั้นนอนอยู่บนที่นอนโดยไม่ได้ทำอะไรเลย

.
.
.

“หมอ เข้ามาที่ห้องหน่อย เอาอุปกรณ์มาด้วย”

[มีปัญหาอะไร ร่างกายของนายมีอะไรผิดปกติ?]

“เปล่า ไม่ใช่ฉัน”

[...อีกสักพักฉันจะเข้าไป]

เมื่อเช้าของอีกวันมาถึง รีซเดินเข้าไปหาอีกคนที่เขาทิ้งไว้เมื่อคืนบนเตียงนอนใหญ่ หวังจะเรียกให้ตื่น แต่พอจับโดนตัวอีกร่างที่นอนสลบไสลอยู่นั้น แม้เขาจะไม่รู้สึกถึงความร้อนที่ว่านั่นแล้วก็ตาม แต่เพราะเขาเรียกเท่าไหร่หมอนี้ก็ไม่ยอมตื่น แถมใบหน้ายังซีดเซียว ได้แต่เพ้ออะไรฟังไม่รู้เรื่อง จนเขาต้องตัดสินใจโทรไปตามหมอพอลมา

.
.
.

เมื่อหมอพอลมาถึงรีซก็เปิดประตูให้เข้ามาดูอาการทันที ตอนแรกก็ให้ตรวจแค่ด้านนอกธรรมดา แต่เจ้าหมอนี่มันบอกว่าไข้ขึ้นสูงแถมยังอ่อนเพลีย กลัวจะตายไปซะก่อนเลยบอกอีกเรื่องและให้ตรวจด้านล่างด้วย

“ไม่คิดว่าครั้งนี้มันเกินไปรึไงครับ”

หมอพอลถอนหายใจ แล้วพูดขึ้นขณะคีบสำลีชุบยาบรรจงทาลงบนร่างกายของเฟิร์สที่ตอนนี้ ดวงตาที่ปิดนั้นดูบวมช้ำจนหน้าสงสาร ริมฝีปากเเตกเลือดแห้งกรัง ลำตัวเป็นริ้วแดง ลำตัวยังเป็นขนาดนี้ไม่อยากจะคิดถึงช่วงล่างที่เขายังทำใจตรวจไม่ลง

“ฉันรู้หน่ะ ว่าทำอะไรอยู่ แค่อยากพิสูจน์อะไรนิดหน่อย”
รีซที่ยืนมองอยู่ตรงปลายเตียง พูดขึ้นแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่ก็ต้องชะงักเท้าไว้เมื่อหมอพอลพูดขึ้นอีกครั้ง

,,ผมไม่ยุ่งเรื่องของนายอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็ทำไป แต่ขอพูดอะไรหน่อยได้ไหมครับ ระวังนายจะตกหลุมตัวเองนะครับ”
หมอพอลพูดขึ้นทิ้งท้าย ยิ้มตาหยีตามแบบฉบับของตนส่งไปให้ แล้วพูดต่อช้าๆในใจ ‘...เพราะ ตอนนั้น คุณจะน่าสงสารจริงๆนะครับรีซ’

“ไม่มีทางหรอกหมอ เพราะผมน่ะ ...มันตายไปแล้ว” ว่าแล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้หมอทำหน้าที่ของตนต่อไป



….

1 คอมเม้น = 1 กำลังใจนะคะ

หายไปไหนกันหมดนะคนอ่านคนเม้น :sad4: :sad4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2016 21:54:04 โดย สิบสาม13 »

ออฟไลน์ สิบสาม13

  • นามปากกา AkumaBK
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
    • ติดต่อได้ที่ บ้าน Yaoi , Boy'Love Akumabk



me die

13 : แรงกดดัน กับข้อเสนอที่หมดอายุเร็ว


เช้าวันนี้เป็นเช้าที่สดใส ติวเตอร์ขับรถจากคอนโดกลับมาหาพ่อที่บ้านหลังจากเรียนช่วงเช้าจบ เพราะวันนี้เป็นวันเกิดพ่อของเขา หลังจากที่เศร้าเกือบสองเดือนที่ผ่านมาทั้งเรื่องแม่ทั้งเรื่องรีซเพื่อนรักที่เสียไปอยู่นานนับเดือน ติวเตอร์ก็ดีขึ้นบ้าง แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ ติวเตอร์จึงยิ้มแย้ม อารมณ์ดี สดใสตลอดตั้งแต่เช้า เขาหวังว่างันนี้คงจะเจอแต่เรื่องดีๆทั้งวัน เขาจะทำให้พ่อของเขามีความสุขแม้จะอยู่ฉลองกันเพียงสองคน

“พ่อครับ อยู่รึเปล่าครับ เตอร์กลับมาแล้ว” ติวเตอร์พูดเสียงดัังตั้งแต่เดินเข้าบ้าน

“อะ อ้าว คุณหนู วันนี้วันอังคารกลับมาค้างที่บ้านหรอคะ”เสียงสาวใช้ในบ้านดังทักขึ้น

“เปล่าหรอกครับพี่แมว พอดีวันนี้วันเกิดคุณพ่อน่ะ เตอร์ก็เลยอยากพาคุณพ่อไปเที่ยว วันนี้คุณพ่อหยุดงานพอดีด้วยครับ แล้วนี่คุณพ่ออยู่ที่ไหนหรอครับ”ติวเตอร์พูดไปยิ้มไป ชะง้อคอมองหาพ่อในตอนท้าย

“อ เอ่อ คือ อยู่ห้องทำงานค่ะ ต แต่ คุณท่านมีแขก”น้ำเสียงตะกุกตะกักแปลกๆจากพี่แมว แล้วไหนจะหลบสายตายิ่งทำให้สงสัย

“ปกติวันหยุดคุณพ่อไม่คุยเรื่องงานนี่ครับ มีเรื่องอะไรที่เตอร์ไม่รู้รึเปล่า”ติวเตอเอียงคอถามสาวใช้อย่างน่าเอ็นดู สงสัยเพราะปกติถ้าวันหยุดพ่อของเขาจะไม่การนัดพบใครที่บ้านถ้าเป็นธุระทางธุรกิจ ถ้าถามว่ารู้ได้ยังไงก็คงจะเป็นเพราะคุณพ่อใช้ห้องทำงานรับแขกทั้งๆที่ไม่เคยน่ะสิ

“อ เอ่อ...”สาวใช้บ่ายเบี่ยง ตาลุกลิกไปมาดูน่าสงสัย

“ถ้าพี่แมวไม่บอกผมจะขึ้นไปดูนะฮะ”ติวเตอร์ขมวดคิ้วทำหน้าง้ำงอ

“คุณหนูอย่างอนพี่แมวเลยนะคะ คุณหนูคะ อย่าค่ะ คุณท่านห้ามใครรบกวนนะคะคุณหนู อย่าเลยค่ะ”

ติวเตอร์เดินขึ้นไปที่ห้องทำงานของพ่อตนทันที สาวใช้ทำหน้าตาตื่นตกใจวิ่งตาม แต่โดนติวเตอร์ห้ามตามขึ้นไปจึงต้องหยุดแค่ชั้นล่าง ได้แต่ทำสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนจะร้องไห้ให้ได้


‘นายทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง’

‘เอาน่า นายจะเรื่องมากไปทำไม ตอนนี้นายทำได้แค่ทำตามที่ฉันบอกเท่านั้นแหละน่า ถ้านายไม่อยากล้มละลายน่ะ’

‘ไม่! นั่นลูกชายของฉัน ฉันจะไม่ให้ลูกชายฉันไปอยู่กับพวกเลวๆอย่างแกเเน่’

“คุณพ่อคุยกับใครอยู่เสียงดังออกมาข้างนอก แล้ว...ล้มละลาย?”ติวเตอร์ได้ยินเสียงดังแว่วออกมาจากห้องทำงานของพ่อเขา น้ำเสียงที่ฟังดูโกธรเกี้ยวทำให้ติวเตอร์เร่งฝีเท้าเดินตรงไปยังห้องทำงานของพ่อตนทันที

ก๊อก ก๊อก

“พ่อครับ นี่เตอร์เอง ขอเข้าไปได้ไหมครับ”อย่าหาว่าเขาเสียมารยาทเลย แต่คำว่าล้มละลายกับอีกหลายคำที่ได้ยิน ทำให้ไม่อาจทนฟังเฉยๆได้ มันต้องเกี่ยวกับบ้านเขาแน่นอย ไม่อย่างนั้น พ่อคงไม่โกรธหนักแน่ พ่อไม่ใช่คนที่จะตะคอกใครเด็ดขาด

“ไม่! ลูก! คือ เตอร์ครับ พ่อคุยธุระอยู่อย่าพึ่งเข้ามา”มือที่กำลังจะเอื้อมไปหมุนลูกบิดหยุดชะงัก คิ้วขมวดเข้าหากันอัตโนมัติ พ่อของเขาไม่เคยเสียงดังใส่เขาแบบนี้

“ฮ่าฮ่าฮ่า มาได้ถูกจังหวะพอดีเลยไอ้หนู ฉันว่านายควรให้ลูกชายสุดที่รักของนายมารับรู้นะว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านหลังนี้”

“อย่า!...”

แกร๊ก!

“เข้ามาสิไอ้หนู” เสียงของชายคนนั้นดังขึ้น ติงเตอร์ตกใจผงะถอยหลังไปเล็กน้อยเพราะชายใส่สูทสีดำที่ไม่คุ้นหน้าที่มาเปิดประตู

“พ่อครับ ...มันเกิดอะไรขึ้น”หลังจากที่ประตูเปิด ติวเตอร์ก็ต้องตาโตอย่างตกใจ เมื่อเห็นพ่อของตนกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าชายอีกคนที่เขาจำได้ไม่เคยลืม นาย พงพัฒน์ พ่อของทาม ที่เป็นคู่ค้าคู่เเข่งกับพ่อของตนมาตั้งนานแล้ว ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟา ข้างๆคือ ทาม และชายใส่สูทสวมแว่นดำอีกสองคนยืนอยู่ด้านหลัง

“ไง~~ เจอกันอีกแล้วนะที่รัก ^^”ทามทักทายขึ้นทันทีเมื่อเห็นหน้าติวเตอร์ แล้วทำท่าจะเดินเข้ามาหา

“หยุด! อย่ายุ่งกับลูกชายฉัน!”ผู้เป็นพ่อลุกขึ้นวิ่งมายืนขวางติวเตอร์กับทามไว้ทันที

“พ่อครับ...”เสียงของติวเตอร์ดังขึ้นอีกครั้ง ดวงหน้ายังคงตกใจทั้งงุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้าไม่หาย

“อธิบายให้ลูกของนายฟังสิ กิติศักดิ์ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ลูกชายของนายคงจะอยากรู้ว่าทำไมพ่อของตัวเองถึงต้องนั่งคุกเข่าให้ฉันด้วย”เสียงของพงพัทธ์ดังขึ้นช้าๆ พร้อมกับใบหน้าที่แย้มยิ้มแทบจะตลอดเวลา สีหน้าแววตายียวนเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก

เมื่อได้ยินดังนั้น ติวเตอร์ก็มองตามไปยังพ่อของตนอีกครั้ง รอคอยตำตอบจากพ่อดังนั้นเช่นกัน เขาก็อยากรู้มากๆเหมือนกัน ทั้งๆที่พ่อไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน

“อ เอ่อ คือ...คือลูกไม่น่าเข้ามาเลย คือ...เรื่องนี้พ่อจัดการเองได้”กิตติศักดิ์หลบสายตาติวเตอร์ที่มองมายังตน พูดตะกุกตะกัก สีหน้าบ่งบอกว่าลำบากใจที่จะพูด

“แล้วทำไมพ่อถึง...”

“บ้านนี้กำลังจะล้มละลาย พ่อของพี่เข้ามายื่นข้อเสนอให้ดีๆแต่พ่อของน้องติวเตอร์ไม่ยอมรับความช่วยเหลือน่ะสิ”

เมื่อเห็นว่าพ่อของติวเตอร์ไม่ยอมบอกแน่ๆจึงพูดให้ ด้วยใบหน้าที่แย้มยิ้มคล้ายๆจะสะใจไปด้วย สีหน้าของผู้ชนะ!

“อึก! ว ว่าไงนะ พ พ่อครับ ไม่จริงใช่ไหมครับ”หลังจากที่โดนเเทรกพูดไม่พอยังต้องตกใจหนักขึ้นเมื่อรู้ความจริง

“พ พ่อครับ”ติวเตอร์พูดด้วยเสียงสั่นคลอน น้ำตาเริ่มคลอในดวงตา

“พ่อจะจัดการเรื่องนี้เอง เตอร์ไม่ต้องห่วงนะลูก ขอพ่อจัดการเองนะครับ เตอร์ออกไปก่อนนะลูก”กิตติศักดิ์เองก็เริ่มดวงตาสั่นคลอน ได้แต่เก็บไว้แล้วพยายามดันหลังลูกชายออกจากห้อง

“น้องติวเตอร์ไม่อยากฟังข้อเสนอที่พ่อพี่ช่วยเหลือหรอครับ ครอบครัวของน้องติวเตอร์จะกลับมาอยู่สุขสบายเหมือนเดิมเลยนะ”

ติวเตอร์ที่กำลังจะเดินออกไปตามที่พ่อดันตนเองออกไป แต่เมื่อได้ฟังดังนั้น ขาก็หยุดชะงักทันที ติวเตอร์ค่อยๆเบนหน้าไปมองทาม

“ไม่ ติวเตอร์ เรื่องนี้พ่อจัดการเองได้จริงๆนะลูก”

“พ่อครับ เตอร์อยากฟัง...”

“ฉันจะรอคำตอบจากพวกนายละกัน ตอนนี้ฉันให้พวกนายสองพ่อลูกตัดสินใจกันเอาละกันนะ อ้อ อย่านานนักล่ะ ข้อเสนอของฉันมันทีหมดอายุ”ยังไม่ทันที่ทามจะอ้าปากบอก พงพัทธ์ก็ตัดบทพูดออกมาดื้อๆแล้วลุกขึ้นเดินนำออกไปคนแรก

“อ้าวกลับซะแล้ว งั้นไว้เจอกันนะครับ หวังว่าจะเลือกทางออกที่ดีนะที่รัก”ทามเดินผ่านแล้วก้มลงกระซิบข้างใบหูของติวเตอร์แล้วเดินตามพ่อของตนออกไป

“พ่อครับ ฮึก พ่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังได้ไหมครับ”หลังจากที่คนพวกนั้นเดินออกไปหมด ติวเตอร์น้ำตาไหลอย่างกลั้นไม่อยู่ สับสนงุนงงกับเรื่องทั้งหมด เอ่ยถามพ่อของตนทั้งน้ำตา พ่อของเขาก็ได้แต่โอบกอด แล้วค่อยๆเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาให้ลูกของตนฟัง

ติวเตอร์รู้ดีว่าที่ครอบครับเขาล้มละลาย ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับครอบครัวของทามแน่นอน

.
.
.

วันรุ่งขึ้นติวเตอร์กลับไปเรียนตามปกติ พ่อบอกให้เขาไม่ต้องห่วงเดี๋ยวจะจัดการเอง แต่ติวเตอร์ก็อดกังวลไปด้วยไม่ได้อยู่ดี

“เห้อ~ ถึงจะไม่ให้กังวลก็เถอะนะ แต่นี่มันก็จะ3วันแล้ว ในเวลาแบบนี้ ถ้า รีซ อยู่ด้วยก็คงดีสินะ”
ติวเตอร์นั่งถอนหายใจทิ้งมาทั้งวันตลอดตั้งแต่วันอังคารแล้ว เพื่อนๆในกลุ่มคอยพลัดกันอยู่ด้วยตลอดพยายามให้อยู่คนเดียวกระทั่งจะไปพักเป็นเพื่อนที่คอนโดด้วยซ้ำ แต่เพราะติวเตอร์บอกไม่เป็นไรจึงได้แต่ปล่อยไป ติวเตอร์เวลาเศร้าจะแสดงออกมาทางสีหน้าหมดแม้จะพยายามเก็บแค่ไหนก็ตาม

“ติวเตอร์จ๊ะ เห็นข่าวนี้รึยัง”
หญิงสาวเพื่อนในกลุ่มเดินเข้ามาหาแล้วนั่งลงข้างๆ ยื่นมือถือให้ติวเตอร์ดู

“!!” เมื่อเห็นหน้าข่าวธุรกิจก็ต้องตะลึง

[บริษัทธุรกิจพันล้าน...เตรียมเข้าสู่ขาลง นักร่วมทุนแห่ขายหุ้นบริษัท ลูกค้าถอดความไว้ใจเตรียมจ่อคิวอำลา กำไรหด ขาดทุนย่อยยับ จ่อแววล้มละลาย ...]

“เอ่อ มันเป็นข่าวลือน่ะ แต่เห็นว่าเตอร์น่าจะบอกให้พ่อจัดการคนปล่อยข่าวลือพวกนี้นะ แพรวาเห็นข่าวนี้จากคุณแม่ คุณแม่บอกว่าข่าวมันเริ่มกระจายจากงานประชุมบอร์ดบริหารเมื่อวาน เตอร์อย่าคิดมากนะ รีบจัดการคนปล่อยข่าวเดี๋ยวเรื่องมันก็ดีขึ้นเอง” เพื่อนสาวทำสีหน้าลำบากใจ หรือว่าบางทีเขาอาจจะไม่น่าเอามาให้ติวเตอร์อ่านกันนะ

“ติวเตอร์ โกรธแพรวารึเปล่า คือแพรวาขอโทษนะ” ยิ่งเห็นติวเตอร์นิ่งเท่าไหร่ หญิงสาวก็เริ่มทำตัวไม่ถูก สีหน้าบ่งบอกว่าจะร้องไห้ให้ได้

“อ๊ะ ไม่ ไม่โกรธหรอก เตอร์จะโกรธแพรวทำไม เตอร์ขอบคุณแพรวามากกว่านะที่มาบอกข่าว”

ติวเตอร์ตื่นจากภวังค์ตกใจ แล้วตอบหญิงสาวกลับ พยักหน้าตัดสินใจอะไรบางอย่างจึงเอ่ยปากออกไปอีก

“แพรวาช่วยเตอร์อีกอย่างได้ไหม”

“อะไรจ๊ะ ถ้าช่วยได้จะช่วยให้เต็มที่เลย” หญิงสาวแย้มยิ้มสดใส ใบหน้าแสดงอาการดีใจจนปิดไม่มิดด้วยหัวใจที่พองโต

“แพรวาช่วยบอกคุณแม่ให้ช่วยแก้ข่าวลือพวกนี้หน่อยนะ มันไม่ใช่เรื่องจริง ทางเตอร์เองก็จะจัดการจับคนร้ายให้ได้เลย” ติวเตอร์แย้มยิ้มเล็กน้อย จับมือหญิงสาวมากุมไว้เพื่อฝากความหวัง

“อ่ะ จ๊ะ แพรวาจะช่วยเต็มที่เลย แพรวาจะช่วยสืบนะว่าข่าวมาจากไหน ^///^” ใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อด้วยความเขินอาย เพื่อนสนิทคนนี้คิดมากกว่าเพื่อน แต่เธอก็พยายามปิดซ่อนความในใจเสมอมา

“ขอบคุณแพรวามากนะ เตอร์ก็จะทำให้เต็มที่เหมือนกัน” ว่าแล้วก็วางมือของหญิงสาวลง เธอก็ขอตัวเดินออกไป ติวเตอร์ยังคงนั่งนิ่ง เสมองออกไปด้านนอกอย่างไม่มั่นใจ แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว เขาก็ต้องลงมือทำ

‘เล่นกันแบบนี้ใช่ไหม ถ้าอยากได้ตัวผมนัก ผมจะจัดให้นายเอง ทาม”



1 คอมเม้น = 1 กำลังใจ นะคะ
 :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ สิบสาม13

  • นามปากกา AkumaBK
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
    • ติดต่อได้ที่ บ้าน Yaoi , Boy'Love Akumabk


Me Die


14 : ความเจ็บปวดที่แสนยาวนาน II



ท่ามกลางแสงแดดที่สาดแสงส่องสว่างยามเที่ยงวัน ที่คนธรรมดาทั่วไปเวลาแบบนี้ไม่อยากจะมีใครอยากโดนแสงแดดที่ร้อนแรงนั้นแผดเผาเป็นแน่

รีซ ชายหนุ่มลูกครึ่งผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย นั่งทอดกายอาบแสงแดดที่ร้อนแรงอยู่ที่ระเบียงห้อง ผิวสีขาวค่อนไปทางซีดสะท้อนแสงที่กระทบผิวหนังอย่างไม่รู้สึกถึงไอร้อนใดๆ ดวงหน้าเหม่อมองออกไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย

“แดดที่เคยร้อนมาก ทำไมเราถึงไม่รู้สึกถึงมันเลยนะ”

รีซยกแขนตนขึ้นมาดู พลิกซ้ายขวาไปมาช้าๆ แล้วยื่นมือออกไปไขว่คว้าแสงแดดตรงหน้า ใบหน้าเขาแสดงออกอย่างสิ้นหวัง แล้วค่อยๆลดมือลงวางในท่าเดิม

“ฉันกลายเป็นตัวอะไร...”

พูดออกมาช้าๆเสียงแผ่วเบา ดวงตาหม่นหมองไร้หนทางที่จะแก้ไขให้เป็นดังเดิม แล้วนั่งเหม่อมองออกไปด้านนอกโดยให้แสงอาทิตย์อันร้อนแรงแผดเผาให้เขารู้สึกได้บ้างเหมือนกับที่เคยเป็น เขาทำเช่นนี้ทุกวันด้วยความหวังที่ยากจะเป็นจริง


โครม!

“หึ! แต่ตอนนี้ฉันมีบางสิ่งที่ฉันรู้สึก สนุก ได้”

รีซยกยิ้มมุมปาก มือแกร่งหยิบหน้ากากสีขาวอันเดิมสวมใบหน้า แล้วลุกเดินย้ายกายตนเข้าไปในทันทีที่ได้ยินเสียง

.
.
.

ด้านเฟิร์ส

เมื่อลืมตาตื่น เปลือกตาที่หนักอึ้งทำให้อยากจะหลับลงไปอีกครั้ง แต่ไม่สามารถทำมันได้ เพราะเฟิร์สรู้ดีว่าเขายังอยู่ในที่ที่มีปีศาจอย่างมันอยู่ ไม่รู้ว่ามันผ่านมากี่วันกี่คืนที่เขาต้องอยู่ที่นี่ แต่เขาต้องหนี ต้องหนีเท่านั้น

เฟิร์สขยับกายลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก มือขาวลูบคลำบริเวณคอที่เคยมีโซ่เหล็กคล้องแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ใบหน้าฉายแววดีใจอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสาดส่องมองหาไอ้ปีศาจนั่นด้วยใจระทึก เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาก็เเทบอาการลิงโลด

“อึก!”

มือขาวดันตัวเองขึ้น ยื่นเท้าลงวางที่พื้นอย่างรวดเร็ว ช่องทางด้านหลังที่อักเสพยังคงส่งผลทำให้รู้จักเจ็บแปลบไปทั้งร่าง ทั้งยังเวียนหัวที่นอนบ้างไม่นอนบ้างบวกกับร้องไห้มากเกินไป ไหนจะข้าวที่ไม่มีตกถึงท้องเลย ทำให้ไม่มีแรงเซจวนจะล้มเพราะลุกเร็วเกินไป เฟิร์สกัดฟันฝืนกายตัวเอง แล้วก้าวเท้าออกเดินตรงไปยังประตู ดวงตาก็สอดส่องไปมา ใบหน้าหันซ้ายขวาไปมาคอยระแวงว่าตนจะเจอกับไอ้ปีศาจนั่น

‘ใกล้แล้ว หลังประตูนั่นฉันจะเป็นอิสระ อีกนิดเดียว อดทนไว้’

เสียงร้องเตือนตัวเองดังขึ้นภายในใจ มือบางอ่อนแรงเอื้อมตรงไปด้านหน้า หวังจะให้ถึงลูกบิดประตู


โครม!

แต่ก็ไม่สามารถเอื้อมถึง ร่างกายอันอ่อนแรงที่สั่นไหว หมดแรงล้มลงใส่ชั้นวางของก่อนถึงหน้าประตูนิดเดียว เขาพร่ำบอกตัวเองในใจให้อดทน ขยับมือหยิบยกของที่ล้มระเนระนาดใส่ตนเองเสียงดังโครมก่อนหน้าออก แล้วค่อยๆยันกายตนเองยืนขึ้นอีกครั้ง เลือดข้นสีแดงฉานไหลออกจากหางคิ้วกลิ่นคาวเลือดเริ่มส่งกลิ่น รู้สึกวิงเวียนจะเป็นลมล้มไปอีกครั้ง ทำให้ต้องใช้มือดันผนังช่วยประคองร่างกายอีกแรง

“อิ อิสระ”

เสียงพร่ำบอกเตือนสติตนเองอีกครั้ง ดวงตามองไปยังประตูตรงหน้าอย่างแน่วแน่ เขาต้องเดินอีกไม่กี่ก้าว อิสระอยู่ไม่ไกล ต้องอดทน แม้คิ้วจะแตก รู้สึกหมดแรงอยากล้มลงนอนเหลือเกิน แต่ก็ต้องกัดฟันอดทน ขาเรียวก้าวเท้าออกเดิน

“อยากได้มากหรออิสระ” เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้นด้านหลัง

“เฮือก!!”

เฟิร์สตกใจตาโต ขาเรียวชะงักค้าง กายสั่นไหวด้วยความกลัว ขนลุกชันโดยไม่ทราบสาเหตุ ค่อยๆหันใบหน้าซีดเซียวกลับมามองช้าๆ ดวงตาสั่นระริก น้ำใสๆเรื่มคลอเต็มหน่วยตา ความหวังของเขามันหมดลงแล้ว

“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ”

รีซเอื้อมมือดุจน่ำแข็งไปกระชากแขนเฟิร์สแล้วลากกลับมาไว้ที่เตียงนอนด้วยความเร็ว เฟิร์สที่ร่างกายอ่อนแรงไม่อาจปฏิเสธได้จึงได้แต่กัดปากอดทนให้เดินตามไปทัน ดวงหน้าฉายแววสิ้นหวังอีกครั้ง น้ำตาใสๆเริ่มหยดลง เฟิร์สใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งอย่างรวดเร็วไม่อยากให้ไอ้ปีศาจนี้มันดูถูกได้อีก

“คงจะไม่มีแรงสินะถึงไม่ต่อต้านอะไร ทั้งๆที่ปากเก่งมาตลอด หึ!”

เมื่อถึงห้องนอนรีซก็ผลักเฟิร์สไปด้านหน้า ร่างกายที่อ่อนแอหล่นไปกระทบกับที่นอนจึงไม่เจ็บเพิ่มมากมายนัก

เฟิร์สได้ยินดังนั้น ก็หันควับถลึ่งตาใส่อย่างไม่พอใจ แต่กลับเงียบไม่พูดอะไรออกมา

“ตอนนี้ฉันใจดี จะให้นายได้กินอะไรรองท้องละกัน...แต่ฉันคงต้องล่ามไว้เหมือนหมาสินะ นายถึงจะไม่หนี”

ใบหน้าเยาะเย้ยแสดงขึ้นภายใต้หน้ากาก ซึ่งนี่อาจจะดีสำหรับเฟิร์สเพราะมองไม่เห็นใบหน้าของรีซก็ได้ น้ำเสียงพอใจดังขึ้นช้าๆ ดวงตาสีแดงเสมองอย่างสะใจ มือแกร่งหยิบโซ่เหล็กขึ้นมาถือไว้ในมือ แต่โซ่ที่เตรียมไว้คราวนี้ยาวกว่าครั้งที่แล้วน่าจะถึงห้องน้ำได้

“ไม่ อย่าล่ามกู กูเป็นคนไม่ใช่หมูใช่หมา”
เสียงของโซ่เหล็กที่ก้องไปทั้งหัวหวนให้คิดถึงเหตุการณ์ที่เขาตกนรกทั้งเป็นก่อนที่สติจะดับวูบไป มันทรมานและยาวนานเกินจะทนรับไหวอีกแล้ว เฟิร์สยกมือขึ้นปฏิเสธพัลวัน ขยับกายถอยหนีอัตโนมัติ

“ก็เพราะเป็นคน โดยเฉพาะคนอย่างนาย หึหึ”

“ไม่!!”

มือแกร่งเอื้อมมือออกไปตรงหน้า เฟิร์สตาเหลือกโต ใช้มือปัดป่ายไปมา แต่สุดท้ายก็โดยล่ามไว้อีกครั้งอยู่ดี

เมื่อล่ามเสร็จรีซก็ถอยห่าง ลูกกุญแจถูกใส่สายยาวสวมคล้องคอตน ดวงตาเสมองเย้ยหยันในท่าทีที่หวาดกลัวของเฟิร์สแล้วเดินออกไป ส่วนเฟิร์สก็ได้ยกมือกอดตนเอง ความหวาดกลัวมันหนาวเหน็บจนทรมานไปหมด

เลือดสีแดงอุ่นยังคงไหลรินออกมาเรื่อยๆจากหางคิ้ว แม่ว่าแผลนั้นจะไม่ใหญ่มากนัก แต่สำหรับเฟิร์สแล้วมันเพิ่มความทรมานให้กับเขาอย่างมาก หลังจากนั่งกอดตัวเองมาสักพัก เขาก็คลายลง แต่ความเจ็บปวดทั้งหลายกับทวีขึ้น เฟิร์สรู้สึกวิงเวียนจนอยากจะหลับตาลงอีกครั้งให้ได้ แต่เขาหลับอีกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะพลาดโอกาสหนีอีกครั้ง

“คิดหนีอีกรึไง”

เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง ในมือถือถาดใส่อาหารโดยมีฝาครอบปิดอยู่ น้ำหนึ่งขวด และผ้าสีขาวผืนเล็ก

“มะ ไม่ใช่”

เฟิร์สขยับกายถอยห่างเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามา ใบหน้ายังคงสงสัยในท่าทีที่นิ่งผิดจากปกติและหวาดกลัวไม่รู้ว่าอีกคนจะมาไม้ไหน

“กินสิ หึหึ”

รีซเดินไปวางถาดอาหารไว้ข้างๆเฟิร์สที่นั่งอยู่บนที่นอน เขารู้สึกดีที่เห็นท่าทางหวาดกลัวนั่น แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ห่างจากเตียงนอนไปเพื่อรอเวลา

ดวงหน้ายังคงฉายแววไม่ไว้ใจ แต่ยังไงเขาก็ต้องกินเพื่อให้อยู่รอด มือเรียวเอื้อมออกไปตรงหน้า แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นอีกครั้ง

“เดี๋ยว ซับเลือดนั่นซะ เห็นแล้วฉันอยากจะทำอย่างอื่นมากกว่าให้นายกินข้าวธรรมดา ไม่รู้รึไง ว่านาย..ดู..ดี...เวลาที่มีเลือดอยู่บนตัว หึหึ” รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำไมเขารู้สึกสนุกจริงๆที่ได้เห็นท่าทางหวาดกลัวและเจ็บปวดเจียนตายจากมัน และที่พูดออกไปไม่ใช่แค่แกล้งแต่เขาอยากทำจริง แค่ยังไม่ใช่เวลานี้

“อ่ะ! โรคจิต!”

เฟิร์สรีบหมุนมือเปลี่ยนทิศทางไปคว้าผ้าสีขาวผืนเล็กนั่นมากดซับเลือดที่บาดแผล คิ้วขมวดชนกัน โมโหอย่างมากที่สุดที่ไม่สามารถตอบโต้ได้ แต่ก็ยังอดเบนสายตาไปมองอีกฝ่ายอย่างระแวงไม่ได้

“เสร็จแล้วก็กินซะ มื้อนี้ฉันอุตส่าห์แบ่งอาหารของฉันให้นายกินเลยนะ”
 
ดวงตาสีแดงจ้องมองมายังคนบนที่นอน ท่าทีนิ่งสงบผิดแปลกจากปกติที่โมโหร้ายเป็นประจำ

ดวงตายังคงมองสบกับอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง มือของเฟิร์สค่อยๆเอื้อมไปหยิบฝาครอบให้ค่อยๆเปิดออก

“นี่มัน ...เนื้อ ดิบ?” สีหน้างงงวยถูกส่งไปยังอีกคนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้

“ใช่ นี่แหละอาหาร กินซะสิ”

น้ำเสียงเริ่มแปรเปลี่ยน ทุ้มใหญ่ช้าและเนิบ น่ากลัว

“กินไม่ได้ งั้น...กูกินแต่น้ำก็พอ...ขอบใจสำหรับอาหาร”

มือเรียววางฝาครอบอาหารลง เลิกโต้เถียง วันนี้เขาก็คงไม่ได้กินอะไร คงถูกมันแกล้งให้หิวอีกซินะ แล้วยื่นแขนจะไปหยิบขวดน้ำมาดื่มแทน

ตุบ!

“อ๊ะ!”

กายใหญ่ลุกจากเก้าอี้ ก้าวขารวดเดียวถึงตัวเฟิร์ส ปัดขวดน้ำหล่นจากมือล่วงลงสู่พื้น หกราดพื้นเปียกไปทั่ว เฟิร์สได้สะดุ้งตกใจผงะถอยหลัง

“กูบอกให้มึงกิน!”

เสียงใหญ่น่ากลัว ตวาดลั่น ยืนจ้องหน้าของเฟิร์สนิ่งงัน

“ไม่ได้ เนื้อมันดิบ กูกินไม่ได้ นี่หรออาหารมึง อยากทรมานกูมากกว่าล่ะสิ!” เฟิร์สทำใจกล้าเถียงกลับไป

“ใช่! นี่อาหารกู! เพราะมึงทำให้กูต้องกินแบบนี้ กลายเป็นตัวเหี้ยอะไรไม่รู้! กูกินได้มึงก็ต้องกินได้!”

บรรยากาศรอบด้านเริ่มเย็น อุณหภูมิลดต่ำลง รู้สึกถึงไอเย็นที่แผ่กระจายออกมาจากร่างกายสูงใหญ่ตรงหน้า มือแกร่งบีบแขนอีกร่างที่เล็กกว่าอย่างแรง

“โอ๊ย! พูดเรื่องเหี้ยๆพวกนี้อยู่ได้ กูรำคาญ! หยุดซักที! ปล่อยกู! กูเจ็บ! ปล่อย!”

แรงบีบที่มหาศาลทำให้เฟิร์สเจ็บจนน้ำตาคลอ เขาหงุดหงิดรำคาญเขาสับสนไปหมด เขาทนไม่ไหวแล้ว จนระเบิดอารมณ์กับไป ก้มหน้าปิดตาส่ายหัวไปมาอย่างกับคนบ้าที่ไม่ต้องการจะฟังอะไรแล้ว แขนที่ถูกบีบแรงขึ้นๆจนแทบจะหัก

“งั้นก็ไม่ต้องกิน!!”

“ทำเหี้ยอะไร! ไม่!!”

รีซคว้าถาดอาหารเหวี่ยงลงพื้นอย่างไม่ใยดี มือใหญ่คลายออกแล้วคว้าตัวเฟิร์สขึ้นโยนไปกลางที่นอนตามไปคล่อมทับทันที

“ไม่! ไม่เอาแบบนี้! กูจะกินแล้ว กูจะกิน”

เฟิร์สได้แต่กรีดร้อง ดิ้นไปมา ร่างกายที่อ่อนแรงก็แทบจะขยับต่อต้านไม่ไหว มือปัดป่ายไปมา ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายปล่อยตนไป

“หึ มึงไม่คิดว่า ‘ทุกอย่าง’ มันสายไปรึไง!”

รีซตวาดลั่นด้วยความโมโห ดวงตาสีแดงของเขาเปล่งแสงน่ากลัวออกมา

แคว่ก!!

“ไม่! ป ปล่อยกู!”

มือใหญ่กระชากเสื้อยืดเพียงตัวเดียวที่เฟิร์สสวมใส่ขาดออก เอาผ้าที่ขาดหลุดออกมาไปผูกตาของเฟิร์สไว้แน่น จับกายคนใต้ร่างให้พลิกคว่ำ มือถอดหน้ากากที่ใบหน้าตัวเองออกโยนลงพื้นอย่างไม่ใยดี

“ชันเข่าขึ้นมา! แล้วอย่าได้คิดจะเอาผ้านั่นออก”

เสียงเข้มดังลั่นขึ้นข้างหลังอีกคน มือที่ว่างก็ปลดเสื้อผ้าตัวเองออกจากตัวจนเปลือยเปล่า

“ฮึก! ไม่!”

น้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาเปียกชุ่มผ้าที่ปิดตาเป็นวงกว้าง ร่างกายอ่อนแรงสั่นระริก

“อยากเจ็บตัวเพิ่มรึไง! ชันเข่าเดี๋ยวนี้!!” เสียงเข้มตวาดลั่นอีกครั้ง

“ฮึก! ฮือ!”

ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ มีเพียงแค่เสียงสะอื้นไห้ กับร่างกายที่สั่นเทาไม่หยุด

“ได้! มึงเลือกเองนะ!”

มือใหญ่ที่เย็นดุจน้ำแข็งคว้าหมับเข้าที่เอวยกขึ้นอย่างรวดเร็ว ขาแกร่งก็ดันขาเรียวให้ถ่างออก แต่อีกฝ่ายก็พยายามจะหุบขากลับ แล้วเอามือมาปกปิดดันเขาออกจากด้านหลัง มืออีกข้างที่ว่างอยู่ของรีซก็จับแขนบางทั้งสองข้างรวบไว้ที่หลังแล้วกดให้ช่วงบนลงติดกับพื้นที่นอน

“โอ๊ย! เจ็บ! มันเจ็บ! ปล่อยกูนะ ฮึก!”

มือแกร่งอีกข้างจับมั่นที่เอวบาง ขาถูกดันให้อ้ากว้างกว่าเดิม แล้วกระแทกแก่นกายที่แข็งขืนเข้าไปรวดเดียวจนมิดด้าม

“อ๊าาาาา!!!!  เจ็บ! เอาออกไป ฮือ”

ความเจ็บปวดที่เเล่นริ้วจากช่องทางด้านหลังบวมช่ำที่ถูกกระแทกลงไปอย่างแรง กลิ่นคาวเลือดเริ่มฟุ้งกระจายจากการฉีกขาดเพิ่มขึ้น ร่างกายชาไปทั้งร่าง น่ำตาไหลเปียกท่วมผ้าผูกตา น้ำใสๆไหลย้อยจากปากลงสู่ที่นอนเป็นทางยาว

“หึ!”

เมื่อสอดใส่เข้าไปก็ไม่รอช้า เริ่มขยับแก่นกายตัวเองเข้าออกทันที ทุกครั้งมันรุนแรงและป่าเถื่อน

“อะ อ๊ะ อือ ฮึก”

ร่างกายสั่นระริก น้ำตาไหลเปียกท่วมไปทั้งหัวใจ ผิวกายสีขาวเริ่มแดงจากมือใหญ่ที่คอยนวดเฟ้น

“อืม ดีหนิ”

มือใหญ่ปล่อยสองมือของคนใต้ร่างออก จับมั่นเข้าที่สะโพกมนแล้วกระแทกอย่างบ้าครั่ง

“จ เจ็บ อะ ฮือ”

ร่างกายที่ไม่อาจต่อต้านหรือหลีกหนี ได้แต่โอนอ่อนทำตามที่อีกคนต้องการ ทั้งกายสั่นสะเทือน ขยับไหวตามแรงกระแทกของคนด้านบนเจ็บปวดไปจนถึงขั้วหัวใจ ได้แต่ร้องครวญครางภาวนาให้เรื่องจบลงเร็วๆ

“อ๊ะ จะ จะเสร็จ อือ”

ร่างกายของเฟิร์สไหวสั่นต้องการจะปลดปล่อย

“หึหึ ยังก่อน”

มือแกร่งเอื้อมไปคว้าแก่นกายของเฟิร์สแล้วกำไว้ ไม่ให้ปลดปล่อย ร่างกายของเฟิร์สกระตุกเกร็งอย่างทรมาน

“อ้อนวอนกูสิ ขอร้องกู ถ้ามึงยากปลดปล่อยพูดออกมาซะ!”

รีซยกยิ้มมุมปากรู้สึกสนุกสนาน มือที่กำแก่นกายของเฟิร์สไว้ก็ขยับไหวอย่างกลั่นแกล้ง

“อ๊า ข ขอร้อง ให้กูปล่อย”

“ไม่ผ่าน พูดเพราะๆหน่อยสิ หึหึ”

น้ำเสียงที่ฟังดูสนุกสนาน ยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง กลั้นแกล้งคนใต้ร่างที่ต้องการหลุดพ้นจากความปรารถนาอันทรมาน

“อือ ฮึก ให้กู อึ้ก!”

ได้ยินคำที่ไม่ถูกใจตน มือใหญ่ก็บีบกดแก่นกายของเฟิร์สอย่างแรง จนขึ้นสีแดงระเรื่อไปหมด น้ำใสๆไหลย้อยจากมุมปาก ครางฮือด้วยความเสียวและเจ็บปวด

“ให้ผม ปล่อย เถอะครับ ขอร้อง”

“ก็ทำได้หนิ”

“อ๊าาาา!”

ร่างกายของเฟิร์สกระตุก ปลดปล่อยสายน้ำขาวขุ่นพวยพุ่งเต็มที่นอน ไม่หลงเหลือเรี่ยวเเรงต่อต้าน โอนอ่อนไปตามที่ถูกชักนำ ภายในใจได้แต่ร่ำร้องเจ็บปวด สร้างบาดแผลที่ไม่อาจลืมเลือนครั้งแล้วครั้งเล่า

“หึ ทำหน้าตาใช้ได้ ต่อไปตากูแล้วนะ”

“อ๊ะ!”

“จำไว้! ว่าตอนนี้กูเป็นเจ้าของชีวิตมึง”

เฟิร์สสลบไปในรอบที่สองเพราะร่างกายที่อ่อนแอจนรับอะไรไม่ไหว แต่กิจกรรมอันหนักหน่วงก็ดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ๆ กว่าจะสงบลง




....
เม้นๆกันบ้างสิตัวเอง คิดถึง :mew2: :mew2:


ออฟไลน์ rosetears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :mew6:นายเอกน่าสงสารมากค่าไรเตอร์
แนวเรื่องแปลกแหวกแนวแต่สนุกแล้วก็น่าติดตาม
#เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ สิบสาม13

  • นามปากกา AkumaBK
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
    • ติดต่อได้ที่ บ้าน Yaoi , Boy'Love Akumabk


me die

 

15 : ปีศาจกินฝัน

 

 

ภายในห้องนอนบนคอนโดชั้นสูงแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มร่างสูงผู้มีนัยตาสวยงาม ใบหน้าคมสันเกลี้ยงเกลา ผิวขาวซีด อุณหภูมิภายในที่ต่ำกว่าคนธรรมดา และอาจจะมีพละกำลังที่มากกว่าคนทั่วไป กำลังยืนนิ่งค้างอยู่ปลายเตียงมาเป็นเวลานานหลายชั่วโมงแล้ว

 

ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังอีกคนที่นอนหลับตาสนิท ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายเปลือยเปล่าที่บอบช้ำเป็นจ้ำแดงๆ บ้างก็ขึ้นสีเขียว หรือช้ำม่วงเลยก็มี ผ้าห่มผืนหนาที่ปกคลุมร่างกายแต่ก็โผล่พ้นออกมาให้เห็นเด่นชัดอยู่ดี ร่างบางสั่นสะท้าน เหงื่อไหลท่วมกาย แต่ปากยังคงละเมอว่าหนาวๆอยู่ตลอดเวลาดูน่าสงสารจับใจ ยกแขนสั่นๆกกกอดร่างกายตน กันความหนาวเย็นจากพิษไข้ตลอดเวลา

 

ไม่รู้ว่าชายร่างสูงนั้นยืนอยู่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่านานแค่ไหน เขาไม่รู้เท่านั้นเองว่าจะต้องทำอย่างไร สมองไตร่ตรองคิดไปมาสับสนว่าเขาควรปล่อยให้อีกคนที่นอนหลับไหลอยู่บนเตียงหายไปไหม หรือจะสงเคราะห์ไม่ทรมานมากไปกว่านี้

 

“อย่าให้ถึงตายนะครับ ถือว่าผมขอ ยังไงเขาก็เป็นคน ...คุณเองก็เคยเป็น น่าจะพอยังจำได้ ว่าคนข้างหลังที่เหลืออยู่เขาต้องเจ็บปวดแค่ไหน”

 

รอยยิ้มที่ประดับใบหน้าและน้ำเสียงเคร่งขรึมที่คล้ายๆจะสอนของหมอหนุ่มก่อนกลับออกไปในครั้งนั้น ยังคงดังขึ้นต่อเนื่องอยู่ภายในหัวเขาตอนนี้

 

“แล้ว...ฉันจะรู้ได้ไงวะหมอ ว่าตัวมันหายร้อนแล้ว...”

 

เขาพูดออกมาเบาๆกับตัวเองเท่านั้น ชายหนุ่มร่างสูงที่สูญเสียความรู้สึกทางกาย ไม่ว่าจะเกิดบาดแผลใดๆทางร่างกายเขาก็ไม่รู้สึกเช่นเดิมอีก ร่างกายของเขาเป็นเพียงก้อนน้ำเเข็งที่เดินได้เท่านั้น แต่มันก็พิเศษอยู่บ้างตรงที่เขาสั่งให้ทำอะไรมันก็ยังคงเคลื่อนไหวได้ดี ซึ่งอาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะชอบมัน เขาต้องการเพียงชีวิตที่สุขสงบเหมือนเดิมกับมาเท่านั้น

 

“...ช่างมันสิ ไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย”

 

ดวงตาจ้องมองไปยังอีกคนที่นอนอยู่อย่างสงบนิ่งสักพักใหญ่ แล้วจึงเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาออกจากปากอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังก้าวเท้าเดินออกจากห้องนอน

 

“...ฉัน...ไม่ได้ ตั้งใจ...อึก”

 

เสียงแหบสั่นบางเบาที่ดังขึ้นมาจากอีกร่างที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนที่นอน ทำให้ขายาวที่กำลังจะก้าวออกไปหยุดชะงัก ภายในหัวเริ่มตีกันอีกครั้ง เขารู้ว่าเขาอาจจะทำเกินไป แต่อีกนัยหนึ่ง เขายิ่งเห็นมันเจ็บปวดเขาก็ยิ่งมีความสุข ยิ่งเห็นน้ำตาเขายิ่งรู้สึกสนุก ตอนนี้ภายในหัวของเขากำลังตัดสินใจเลือกบางอย่างอยู่...เขายังให้อภัยไม่ได้

 

“หึ! ก็ได้ ฉันจะใจดีกับนายหน่อยแล้วกันนะ เดี๋ยวจะตายไปซะ”

 

ดวงตาเหล่มองไปยังคนบนที่นอน หัวเราะหึออกมา ยกยิ้มขึ้นมุมปาก เหมือนตัดสินใจได้ แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป

 

.

.

 

รีซเดินกลับเข้ามาภายในห้องอีกครั้งด้วยสภาพเปลือยเปล่าผ้าขนหนูพันขอบเอวหมิ่นเหม่ ในมือถือหน้ากากใบเดิมเข้ามาด้วย แล้ววามันลงไว้หัวเตียง สองมือใหญ่ยื่นลงไปปลดโซ่ที่คล้องคออีกคนออก แกะผ้าที่ปืดตา ถอดเสื้อยืดที่ขาดรุ่งริ่งทิ้งอย่างช้าๆ จนเฟิร์สเหลือแต่ร่างกายเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยแดงทั้งยังเขียวช้ำจากการถูกย่ำยี

 

“หึหึ ฉันรู้สึก สนุก จนหุบยิ้มไม่ได้แล้วสิ”

 

สองมือค่อยๆประคองร่างอีกคนอย่างเบามือเท่าที่เขาจะคิดว่ามันจะเบาได้ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาก่อนที่แผนเขาจะสำเร็จ แล้วช้อนตัวบางอุ้มขึ้นในท่าเจ้าหญิง เดินตรงไปยังห้องน้ำ

 

สองมือแกร่งค่อยๆบรรจงวางร่างกายเปลือยเปล่าที่บอบช้ำลงที่อ่างน้ำช้าๆ ยืนขึ้นเต็มความสูง แล้วเหลือบตาลงต่ำจ้องอีกคน มุมปากถูกยกยิ้มอย่างสนุกสนาน

 

“ดูดีจริงๆ นายต้องขอบคุณฉันนะที่ให้นายได้อาบน้ำ เวลาต่อจากนี้แค่นายต้องตื่นมาก่อน จะ จม น้ำ ตาย หึหึ”

 

.

.

.

 

[เฟิร์ส]

ดวงตาคู่สวยกระพริบตื่นขึ้น ท่วมกลางเมฆหมอกสีขาวที่อบอุ่น เหลือบมองซ้ายขวาอย่างช้าๆ ภายในห้องนี้เป็นสีขาว เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดล้วนเป็นดังปุยเมฆสวยงาม

 

“ที่นี่สวยจัง เอ๊ะ นั่น...”

 

ผมได้แต่จ้องมองไปยังตัวเองอีกคนที่นั่งเล่นอยู่บนเตียงนอนอย่างตะลึง กายบางสวมเสื้อเชิ้ตตัวยาวคลุมกายเพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่เขาคนนี้กับดูมีชีวิตชีวา สวยงามราวกับคนละคน เหมือนไม่ใช่ผม

 

ด้วยความแปลกใจผมจึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ๆอีกคน เอ่ยปากเรียกเบาๆ

 

“นี่นาย ฉันอีกคนน่ะ ได้ยินรึเปล่า ตอบฉันสิ”

 

จากเบาๆจนดังขึ้น ดังขึ้น เรียกอยู่นาน แต่ร่างนั้นก็ไม่ตอบโต้ใดๆ รอยยิ้มเศร้าพุดขึ้นบนใบหน้า ‘ที่นี่ ความฝันสินะ’ กับความคิดที่ดังขึ้นภายใน ความฝันที่เขาแค่เล่นตามบท ความฝันที่มีความสุขแต่เมื่อตื่นขึ้นเขาต้องเจอกับสิ่งเลวร้าย

 

 

ก๊อก ก๊อก

 

{ผมเข้าไปได้ไหมเฟิร์ส}

 

{เชิญครับ}

 

ผมยืนเหม่อจมอยู่กับความคิดตัวเองสักพักหนึ่งก็สะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงคนอื่นอีก ผมหันไปมองอีกคนที่ตอนนี้ ทันทีที่ได้ยินเสียง อีกคนที่อยู่บนที่นอนก็เอ่ยตอบรับไปความเคยชินพร้อมกับรอยยิ้มมีความสุข จนผมแปลกใจ แล้วค่อยๆขยับกายหย่อนตัวนั่งริมเตียงนอนเหมือนรอให้อีกฝ่ายเปิดประตูเข้ามาเองด้วยความเคยชิน ใบหน้าก็แสดงอาการดีใจจนปิดไม่มิด

 

“ใครกัน? ทำไมเราถึงดีใจขนาดนั้น”

 ด้วยความสงสัยผมจึงเบนสายตาจ้องมองไปยังประตูนั่นเขม็ง คิ้วเรียวขมวดนิดๆ

 

 

แอ๊ดดดด

 

เมื่อประตูถูกเปิดออกช้าๆ ก็ปรากฎชายหนุ่มร่างสูงคุ้นหน้า ผมรู้สึกแปลกใจหนักขึ้นไปอีกจนคิ้วขมวดกันเป็นปม จ้องเขม็งไปยังชายผู้มีรอยยิ้มประดับหน้า ดวงตาสองสีเปี่ยมเสน่ห์เด่นชัด กายใหญ่สวมผ้ากันเปื้ิอนน่ารัก เดินถือถาดอาหารหอมฟุ้งเข้ามาให้อีกคนที่นั่งรออยู่ริมเตียงนอน

 

“คุณ...ไมค์ หรอ ทำไม...ผมกับคุณถึง อะไรกัน...”

 

ผมยืนนิ่งค้างด้วยความตกตะลึงได้แต่มองดูทั้งคู่สนทนากันต่อไป

 

{ทำอะไรอยู่ครับคนเก่ง ผมทำอาหารมาให้}

 

รอยยิ้มดูมีความสุขถูกฉีกยิ้มกว้างขึ้น เอ่ยถาม ขณะวางถาดอาหารลงบนโต๊ะข้างเตียง

 

{ขอบคุณนะครับ}

 

รอยยิ้มหวานจากผมอีกคนยิ้มส่งกับไปอย่างเคย ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ตาเป็นประกายแวววาว

 

คนทั้งสองมองตากันหยาดเยิ้ม สายตาดึงดูดกันและกันให้เข้าใกล้ แล้วค่อยๆโน้มกายเข้าหากันช้าๆ ประทับรอยจูบแสนหวานลงบนริมฝีปากของกันและกันเนิ่นนาน และผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง ใบหน้าเปี่ยมสุขและเสียดายในรสจูบนั้นที่แสดงออกอย่างชัดเจน

 

ตอนนี้ผมทำได้แค่ตลึง อึ้ง และงุงงง จ้องมองทั้งคู่ตาค้าง “นี่คือความฝัน แต่...คุณไมค์ ทำไมผมกับคุณถึงดูรักกันขนาดนี้”

 

{ทำไมยังแต่งตัวเเบบนี้อยู่ล่ะครับ หรือว่าเฟิร์สยังไม่อยากกินข้าว อยากกินอย่างอื่นมากกว่า}

 

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากชายหนุ่มร่างสูงถูกส่งไปยังอีกฝ่ายที่เมื่อได้ยินคำเชิญชวนก็จงใจยิ้มให้อย่างยั่วๆ มือบางลูบไล้ต้นขาของตนขึ้นมาช้าๆจนมาหยุดอยู่ที่ชายเสื้อแล้วไล้ให้มันเปิดขึ้นอีกเผยให้เห็นต้นขาขาวเนียน

 

“เฮ้ย! ฉันไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด”

 

ผมอึ้งทันทีที่เห็นภาพนั่น จากที่ตกใจจนอึ้งก็พลันขนลุกเกรียว สะบัดหัวไปมาไล่ภาพน่าเกลียดออกไป “ทุกอย่างที่นี่ตอนนี้เป็นแค่ฝัน ถึงจะเหมือนเรื่องจริงก็เหอะ ฉันก็ไม่คิดจะทำแบบนั้นเด็ดขาด”

 

{หึหึ เข้าใจแล้วครับคนดี}

 

มือแกร่งของไมค์ลดผ้ากันเปื้อนตนลง ไล่ปลดกระดุมเสื้อตนช้าๆจนหมด สบัดออกจนเผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องเป็นรอนสวยงามตัดกับผิวขาวดูเซ็กซี่ ผมได้แต่ตะลึงงัน ตาโตเท่าไข่ห่านไปแล้ว

 

แต่ทว่าเท้าแกร่งที่ขยับออกมาด้านหน้ากับไม่ได้ตรงไปยังคนบนที่นอน แต่ตรงมายังผม! ผมที่เป็นผมตัวจริง!

 ดวงตาสองสีดังเปลวไฟที่ร้อนแรงและน้ำทะเลอันสงบสุขกำลังจ้องมองมายังผม พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นแสนยั่วเย้าที่ส่งมาทำให้ใจเต้นแรง

 

“เฮ้ยๆ ผิดคนแล้ว”

 

ผมได้แต่เบิกตาให้กว้างขึ้นอีก ขยับกายถอยหลัง เขาไม่เห็นผมไม่ใช่หรอ

 

{ไม่ผิดแน่นอน เฟิร์สของผมมีคนเดียวผมจำไม่ผิดหรอก แล้วก็เฟิร์สครับ จะหนีผมไปไหน เป็นคนยั่วเองแท้ๆนะ หึหึ”

 

ด้วยความตื่นตะลึง ผมจึงหันหลังและกำลังจะวิ่งหนี แต่โดนอีกฝ่ายจับได้ซะก่อน ไมค์จับผมขึ้นพาดบ่าแล้วก้าวตรงไปยังเตียงกว้าง ผมก็ได้แต่ร้องโวยวาย พอถึงเตียงผมก็ถูกโยนลงเตียงโดยอีกฝ่ายตามมาคร่อมทันที

 

ร่างสูงก้มลงซุกไซร้ซอกคอ ขบเม้มไล้วนแถวหน้าอก ผมได้แต่หลับตาปี๋ครางฮือในลำคอด้วยความสยิว

 

สองมือของผมถูกรวบขึ้นไปไว้ด้านบนโดยอีกฝ่ายใช้มือข้างเดียวกดทับไว้ ลิ้นเย็นๆของเขาลากไล้ผ่านทั่วลำคอ ไล่ลงมาด้านล่างช้าๆ จนมาหยุดอยู่ตรงตุ่มไตที่แข็งขืนสู้ ไล้วนไปมาพร้อมทั้งขบเม้มจนเกิดรอย มือก็ไล้วนผ่านลำตัว ทั้งเสียวทั้งเย็น สยิวจนผมหยุดครางไม่ได้

 

แต่...เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมไมค์ตัวเย็นเหมือนกับ...

 

“มะ มึง! ไอ้ปีศาจ!”

 

“ว่าไง กำลังสนุกเลยไม่ใช่หรอ หยุดครางทำไมล่ะ หึหึหึ”

 

“ป ปล่อย ทำไมเป็นมึง ไม่ใช่สิ ช่างมัน ปล่อยกูนะ”

 

“คิดจะหนีไปจากกูมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ ไม่ว่ามึงจะฝันสวยหรูแค่ไหนกูก็จะลากมึงออกมา แม้ว่ามึงจะตายกูก็จะตามไปฉุด และไม่ว่ามึงจะหนีไปไหนกูสาบาน! ไม่ว่าจะนานแค่ไหนกูจะตามล่ามึงให้เจอ เพราะกูบอกมึงแล้ว กูเป็นเจ้าของชีวิตมึง! ถ้ากูไม่อนุญาติให้มึงไปไหนมึงต้องอยู่กับกู! หึหึหึ”

 

“แล้ว คุณไมค์ล่ะ คุณไมค์!”

 

ผมสบัดตัวออกจากการถูกคร่อมจากปีศาจนั่น มันก็ปล่อยโดนดี ผมหวาดหวั่นถอยหนี ดวงตาสาดส่องซ้ายขวามองหาคุณไมค์

 

โครม!

 

“เลือด! เลือด!!”

 

ผมถอยหลังไปเรื่อยๆจนลื่นล้ม มองต่ำลงไปก็ต้องตกใจ มีกองเลือดไหลเจิ่งนองเต็มพื้น ใจผมสั่นระรัว ทำใจกล้าค่อยๆมองตามเลือดที่ไหลขึ้นไปยังที่มันไหลมาช้าๆ ช้าๆ

 

เฮือก!!

 

“คะ คุณ ไมค์”

 

ภาพของคุณไมค์นอนจมกองเลือด ดวงตาสองข้างมองมายังผม มือยื่นตรงมาหาผมช้าๆสั่นอย่างอ่อนแรง ปากพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีเสียง บริเวณคอถูกปาดขาดครึ่งเป็นทางยาวปากแผลเปิดกว้างเห็นด้านใน เลือดไหลทะลักราวเขื่อนแตก คุณไมค์พยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายเปล่งเสียงออกมา เลือดไหลออกจากหูปากและตาของคุณไมค์เป็นทางยาวดูน่ากลัว สายตาเป็นห่วงจับจ้องมาที่ผม แล้วสิ้นลมลงต่อหน้าต่อตาผมไป

 

“ห หนี ปะ”

 

เสียงของคุณไมค์ยังคงดังก้องในหัวของผม แต่ผมไม่มีสติพอที่จะทำอะไร นอกเสียจากยืนตะลึง

 

เคร้ง! (เสียงโซ่เหล็กกระทบพื้น)

 

“ได้เวลากลับไปที่ของเราแล้ว ทาสของฉัน หึหึหึ”

 

“ไม่!!!!”

 

[เฟิร์สจบ]

 

 

 

“อึก! O.O”

 

จ๋อม จ๋อม

 

เฟิร์สที่สะดุ้งตื่นจากฝัน ด้วยความที่มีน้ำอยู่เต็มอ่าง จากที่จะหายใจเอาอากาศเข้ากลายเป็นเอาน้ำเข้าปอดเต็มๆ จนต้องตะเกียดตะกายด้วยความกลัวตายขึ้นมาหายใจ

 

“เฮือก! แห่ก แห่ก”

 

เขาหอบหายใจโยน ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ มือไขว่คว้าออกไปด้านหน้าหาอิสรภาพอย่างโหยหา ตัวเซถลาเพราะร่างกายอ่อนแรง จนต้องเกาะขอบอ่างน้ำเอาไว้แน่นกันล้ม น้ำในอ่างไหลล้นออกมาจากอ่างลงสู่พื้นเจิ่งนองไปหมด

 

“อึก ฮึก ฮือ”

 

ร่างบางสำลักน้ำ หูตาแดงไปหมด หายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างแรงกลัวว่าจะไม่ได้หายใจอีก เขาขยับกายชิดขอบอ่าง หันหลังพิงอ่างอย่างหาที่พึ่งพิง สองมือค่อยๆปล่อยจากขอบอ่างมากอดตัวเองไว้ ร่างบางสั่นไหวไปทั้งร่าง ก้มหน้าร้องไห้ น้ำไหลปนไปกับน้ำอย่างน่าสงสาร


 

 







...

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เนื้อหามีความรุนแรง โปรดแยกแยะด้วย

เนื้อหาและตัวละครเป็นเพียงเรื่องที่เเต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น



...

1 คอมเม้น = 1 กำลังใจ



 เม้นๆบ้างนะคะ จะได้นำมาปรับปรุง




:mew6:นายเอกน่าสงสารมากค่าไรเตอร์
แนวเรื่องแปลกแหวกแนวแต่สนุกแล้วก็น่าติดตาม
#เป็นกำลังใจให้ค่ะ
จริงๆแล้วพระเอกเราไม่ได้ใจร้ายนะ เชื่อมั้ย

- ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ
เกือบถอดใจไม่ลงแล้วเชียว ^^
แอบน้อยใจ  :mew2:

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
รออ่านค่ะ
 :katai4:

ออฟไลน์ ปุกปิกกุกกิกไปตามสไต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นอนนี้ชักจะสงสารเฟิร์สเเล้วง่าไม่เเรงไปหน่อยหรอรีซ

ออฟไลน์ rosetears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มารอลุ้นนู๋เฟริส เราว่าคุณไมค์เนี้ยกับรีซเนี้ยต้ิองมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่นอน ลุ้นๆ
#ไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้แน่นอนค่ะ
#พระเอกนิยายเรื่องนี้ไม่โหดร้าย~ จาเชื่อดีไหมน๊า อิอิ แต่เราชอบพระเอกแนวนี้นะ ^____^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-03-2016 00:20:37 โดย rosetears »

ออฟไลน์ สิบสาม13

  • นามปากกา AkumaBK
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
    • ติดต่อได้ที่ บ้าน Yaoi , Boy'Love Akumabk


me die


16 : ใจดี?



“ฉันไม่ควรอ่อนแอ เลิกร้องไห้ได้แล้ว”

เฟิร์สพร่ำบอกกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา สักพักพอได้สติก็เลิกร้องไห้เงยหน้ามองไปรอบๆไม่เห็นใคร จึงรีบล้างตัวหลังจากไม่ได้อาบน้ำมานาน พอสติกับมาครบ บริเวณด้านล่างและแผลอื่นๆตามตัว แสบร้อนไปหมดเมื่อสัมผัสกับน้ำ

มือเรียวลูบไล้ไปตามร่างกายตัวเองเพื่อทำความสะอาดอย่างเร่งรีบ ยันกายขึ้นนั่งขอบอ่างช้าๆ บีบสบู่ถูบนเรือนร่างจนเกิดฟอง ไล้วนผ่านผิวกายขาวๆตั้งแต่ลำคอผ่านหน้าอกจนทั่วร่าง ใบหน้าเหยเกทุกครั้งเมื่อฟองสบู่บาดโดนแผลตามร่างกาย

สองมือที่ชุ่มฟองค่อยๆประคองร่างตนเองลงไปแช่น้ำในอ่างอีกครั้งเพื่อล้างตัว ซี๊ดปากกัดฟันทนทุกครั้งที่เเสบแผล เมื่อลงไปทั้งตัว สองมือก็ทำหน้าที่ล้างคาบไคลสบู่ออกจากกายอย่างเร่งรีบ เมื่อจัดการทุกส่วนเสร็จ เขาก็นั่งทำใจ ใบหน้าเป็นกังวลฉายชัดออกมา ดวงตามองต่ำลงด้านล่างอย่างลังเล

เฟิร์สขยับกายถอยชิดขอบอ่าง อ้าขาตนออกกว้าง มือบางค่อยๆหย่อนลงไปใต้น้ำ นิ้วเรียวค่อยๆขยับแทรกผ่านช่องทางบวมช้ำทีละน้อยๆ

“อ๊าา”

ขยับเข้าไปควานวนหาน้ำขาวขุ่นที่อีกฝ่ายปลดปล่อยในร่างกายตนออกมา ใบหน้าเหยเกกัดปากสกัดกั้นความเจ็บปวด ทุกๆครั้งที่นิ้วเรียวผ่านเข้าออกจะผสมความเจ็บปวดและน่าอับอายออกมาด้วย จนน่ำตาแห่งความอับอายไหลรินออกมาจากดวงตาอีกครั้ง

“ทำไมเป็นแบบนี้ ฮือ...ฉันไม่ควรอ่อนแอ ฮึก ฉันต้องเข็มแข็ง”

.
.
.

เฟิร์สลุกจากอ่างน้ำ โดยมีผ้าขนหนูห่อหุ้มกาย หยาดน้ำมากมายหยดเปียกเต็มพื้น มือเรียวสั่นไหวค่อยๆยื่นไปจับลูกบิดประตู ใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น

‘มันจะอยู่ไหม’ คำถามที่ถามตัวเองในใจก็ดังวนไปมา ค่อยๆหมุนบิดประตูแง้มดูเล็กน้อย ใช้สายตาสอดส่องไปมา เมื่อไม่เห็นอีกคนจึงเปิดกว้างขึ้น ยื่นหน้าออกไปมองหาอีกครั้ง ก็ยังไม่เห็น อีกมือกระชับผ้าเช็ดตัวที่ห่อหุ้มกายแน่นขึ้น หมุนจับประตูเปิดกว้างแทรกกายตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู ใจเต้นแรง สายตาก็กวาดไปทั่วหาอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา จนแน่ใจว่าไม่ได้อยู่บริเวณนี้ จึงเร่งสาวเท้าเดินตรงไปยังเตียงนอนทันที

“เอ๊ะ นั่นมัน ชุด? เตรียมให้ฉัน? ...ไม่ใช่หรอก”

บนเตียงนอนมีชุดๆหนึ่งวางปลายเตียง แต่เขาเลือกที่จะไม่หยิบใส่ เดินไปคว้าเสื้อยืดตัวเก่าที่ขาดรุ่งริ่งขึ้นมาดู

“เฮ้อ~ ก็ยังดีที่มันปิดส่วนนั้นได้”

เขาสวมเสื้อตัวเดิมกับเข้ากายอีกครั้ง ยืนมองตนเองในกระจก เสื้อยืดสีขาวที่ไม่ขาวอีกต่อไป ด้านหน้าขาดรุ่งริ่งเผยให้เห็นช่วงอกที่มันแต่รอยช้ำรอยบีบทั้งแดงทั้งเขียวไปหมด ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายผอมบางลงไป ดวงตาก็ช้ำจากการร้องไห้หนัก ปากก็แตก แผลเต็มตัวไปหมด โดยเฉพาะแผลรูปตัว R ที่แม้จะผ่านมานานแล้วแต่รอยแผลกับเด่นชัด ขาก็สั่นไหวยืนเเทบไม่อยู่ และขา...ถ่าง เดินแปลกๆ

“ฮึก ฮึก”

ดวงตายังคงจ้องมองไปที่กระจก น้ำใสๆเริ่มปริ่มขอบตา เฟิร์สกัดปากกลั้นความรู้สึกและน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา สั่งตัวเองให้เลิกร้องไห้ สมองเริ่มเบลออาการไข้กำเริบ วิงเวียนจนจะล้ม

.
.
.

สักพักผ่านไป เฟิร์สเลิกคร่ำครวญสงสารตัวเอง ใจเขาฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เขาจะมัวมาร้องไห้อยู่ไม่ได้ เขาต้องมีชีวิตอยู่ เขาต้องหนีมันไปให้ได้ ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม ขาเรียวก้ามออกมาจากห้องนอน ยื่นใบหน้าออกมาสาดส่องสำรวจไปทั่วก็ไม่เห็นใครแม้แต่เงา คิ้วเรียวได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย

ด้วยอาการวิงเวียนเฟิร์สจึงเดินจับผนังประคองร่างตนเองเดิน ดวงตาก็คอยมองหา เหงื่อกาฬไหลย้อย ใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น

“จะไปไหน?”

“เฮือก!”

โครม!

เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้้นด้านหลัง ทำให้เฟิร์สอ่อนแรง ขาสั่นๆประคองร่างตนไม่ไหว ล้มลงไปกองกับพื้น ค่อยๆหันหน้ากลับไปมอง ปีศาจร่างใหญ่สวมหน้ากากยืนอยู่ด้านหลังดูน่ากลัว

“อ่ะ เอ่อ”

เฟิร์สได้แต่อ้ำอึ้งพูดไม่ออก ใจหายวาบเมื่อเห็นสองมือใหญ่ยื่นลงมา หลับตาปี๋เกร็งจนตัวสั่นไปหมด

“ลุกขึ้นมา”

รีซเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางกลัวตนแบบนั้นก็ยกยิ้มมุมปาก หดมือตัวเองกลับ แล้วเอ่ยเสียงเย็นๆบอกอีกฝ่ายแทน

“อยากออกไปตายรึไง ถึงไม่ยอมกินอาหารที่ฉันเตรียมไว้ให้ก่อน”
รีซบอกตัวเองอยู่ในใจตลอดเวลาให้ใจเย็น เมื่อกี้เขาเกือบหลุดอยากกระชาก อยากตะคอกเหลือเกิน มันน่าโมโห เขาอุตส่าห์เตรียมชุดให้เปลี่ยนแต่ดันใส่ชุดเก่า แต่เก็บไว้ก่อน ค่อยชำระทีเดียว ถ้าตายไปฉันคงหมดสนุก

“ไม่ต้องมองฉันแบบนั้น เดินตามฉันมา”
อีกฝ่ายได้แต่พยักหน้าตกลง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ดูน่าสงสาร แต่สำหรับรีซมันเป็นใบหน้าที่ดูดีแต่จะให้ดีกว่านี้ถ้ามีน้ำตาสักหน่อย
เฟิร์สค่อยๆเดินตามหลังรีซ ทิ้งห่างพอสมควร ดวงตาก็หันไปมาเรื่อยๆระหว่างที่เดินกับประตูทางออกที่ห่างไกลกันเรื่อยๆ

“นั่งสิ”

เฟิร์สได้แต่เงียบพูดอะไรไม่ออก สีหน้ากังวน ในใจก็ว้าวุ่นตลอดเวลา ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหนอีก แต่ก็ได้แต่ทำตาม มือเรียวสั่นไหวค่อยๆเลื่อยเก้าอี้อออก เคลื่อนกายลงนั่ง ใบหน้าเหยเกเจ็บปวดช่องทางด้านหลัง อีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงข้ามของโต๊ะยาวก็มองเงียบๆรอยยิ้มมุมปากพุดขึ้นเรื่อยๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าเจ็บปวด

“กิน”

รีซเอ่ยเสียงเข้มสั่งอีกคน ที่เมื่อได้ยินกับสะดุ้งเฮือกจนตัวโยน เรียกรอยยิ้มโรคจิตจากเขาได้อีกครั้ง

ดวงตาของเฟิร์สได้มองไปยังอีกฝ่ายที่จ้องเขม็งมา จนต้องหลบสายตา มองต่ำลงไปที่จานเสต็กตรงหน้า จ้องมองมีดหั่นสเต็กค้างเหมือนคิดอะไรได้

“มีอะไรดีๆงั้นหรอ ทำหน้าเหมือนดีใจ”

“ป่ะ เปล่า แค่ดีใจ ที่นายให้ฉันกินอะไรบ้าง”

“แน่ใจ?”

“ช ใช่”

เฟิร์สหลบตา ไม่อยากพูดต่อบทสนทนา จึงใช้สองมือหยิบมีดและช้อนซ่อมขึ้นหั่นสเต็ก ใส่ปากตนทันที

อ้วก!

“มึงคายทิ้งทำไม!”

“มะ มัน ดิบ”

ทันทีที่เนื้อเข้าปาก เฟิร์สก็คายชิ้นเนื้อทิ้งทันที ทั้งยังอยากจะอ้วกเอาก่อนหน้านี้ออกมาด้วย แต่ติดที่ไม่มี น้ำตาปริ่มคลอเต็มหน่วยตา เสียงอีกฝ่ายก็ก้องกังวานฟังดูโมโหมาก จนเฟิร์สสั่นกลัว

ปัง!

“มึงอย่ามาโกหกกู! กินเข้าไป! อย่าเรื่องมาก!”

“อึก!”

รีซทุบโต๊ะระบายแรงโมโห เขาทำเองกับมือ ถึงมันจะสุกไม่หมดแต่มันก็ไม่เหมือนกับที่เขากินดิบๆ มันกินได้ เฟิร์สก็ได้แต่สะดุ้ง ทำหน้าหวาดหวั่นสั่นเป็นลูกนก

“น เนื้อ กูแพ้...เนื้อวัว แค่ก!”

เฟิร์สหน้าแดง ผื่นขึ้นเต็มตัว หายใจเริ่มติดขัด เกร็งจนสั่นไหวไปทั่วร่าง

“เฮ้ย!”

รีซรีบลุกวิ่งมาฝั่งตรงข้าม หยิบแก้วน้ำให้กินหวังช่วยบรรเทา

“พรวด!! แค่ก แค่ก อึก!”

ทันทีที่น้ำเข้าปากเฟิร์สก็พ่นออกมาอีก เพราะน้ำที่กินดันเป็นเลือดที่รีซจะเอาไว้แกล้งให้เฟิร์สตกใจเล่นในตอนท้าย

“โธ่เว้ย!”

“แค่ก แค่ก”

เฟิร์สเริ่มไอเเรงขึ้น หน้าแดงไปหมด จนล้มพับลงต่อหน้า รีซได้นิ่งงันแต่ทำอะไรไม่ถูก มือแกร่งข้างหนึ่งหยิบโทรศัพท์โทรเรียกหมอหนุ่มนาม พอล มาโดยด่วน

“หมอ! มาที่นี่เดี๋ยวนี้!”

(เขาเป็นอะไรครับ)

“มันแพ้อาหาร แล้วไม่ต้องใจเย็นอยู่ได้มั้ย รีบมาหน่อย”

(ผมกำลังไป คุณใจเย็นก่อน เขายังหายใจอยู่ใช่ไหม”

มือแกร่งอีกข้างอื่นไปอังที่จมูก เพราะเขาจับไม่รู้สึกทาบหน้าอกก็ไม่รู้สึกอะไร ตกใจคิ้วหนาขมวดมุ่น ถอดหน้ากากเขวี้ยงทิ้งไป

“ม ไม่รู้สึก หมอ!”

(รีซใจเย็นๆ ไปหากระจกหรือของจำพวกเนื้อแก้วมาอังดูใหม่”

รีซหันไปหันมา มือคว้าเอาแก้วน้ำใสขึ้นมา อังไปที่จมูกดูอีกครั้ง

“แล้วไงหมอ”

(ถ้ามีไอขึ้นที่แก้วแสดงว่าเขายังหายใจ เขาหายใจอยู่ใช่มั้ยครับ)

“อือ”

(ช่วยพาเขาไปที่เตียงทีนะครับ ผมใกล้ถึงแล้ว)

“ได้”

คิ้วหนาคลายตัว ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เขาเป็นบ้าอะไร เขาลืมตัวไปได้ยังไงกัน ทำอะไรลงไป เขารู้สึก...เป็นห่วง คิ้วหนาขมวดมุ่นอีกครั้ง สับสนในใจ ยื่นมือออกมามองนิ่งค้างอยู่นาน จึงอุ้มอีกร่างไปวางบนที่นอน ยืนจ้องสักพักก็หายออกจากห้องไป




[หมอพอล]

เมื่อมาถึงผมถึงกับตกตะลึงกับสภาพที่แปลกไปจากวันแรกที่ผมเจอมากมายนัก ผมมองหารีซไม่เจอ แต่เอาไว้ก่อน ผมจึงรีบไปตรวจคุณเฟิร์สทันที

ร่างกายคุณเฟิร์สซูบโทรมผิดจากวันนั้นอย่างมาก ซ้ำร้ายเหมือนจะมีไข้หนัก อาจจะเพราะร่างกายที่อ่อนแอ ไหนจะกิจกรรมที่ี่ร้อนแรงแต่หนาวเหน็บครั้งแล้วครั้งเล่า หรือจะเป็นเรื่องโรคจิตอื่นๆที่มันแปลกและน่ากลัวที่เขาที่่มีหัวใจเย็นชาตอนนี้จะคิดออกมาได้

ผมตรวจไปตามร่างกายที่ตอนนี้บอบช้ำมาก ราวกับว่าถ้าถูกจับต้อง ร่างกายนี้อาจจะบุบสลายไปต่อหน้าต่อตา ดวงตาไหวสั่นระริก ผมเจอคนไข้มาก็มาก แต่คนๆนี้น่าสงสารเหลือเกิน

‘นี่มัน...มากเกินไป ผมสงสารคุณแล้วสิ’

ความคิดนี้ดังขึ้นหลังจากที่ได้ตรวจและรักษาร่างกายให้กับเฟิร์ส สภาพร่างกายของคนๆนี้มันร้ายแรงมาก คนธรรมดาที่มารองรับอารมณ์คนที่มีเลือดของ...อยู่ คงจะไม่ไหวอีกแล้วล่ะ ถ้ามากกว่านี้อาจถึงตายได้ ยังไงก็เป็นหนึ่งในคนไข้ของเขาและเป็นน้องชายของไอ้บ้านั่นถึงเขาจะมีหน้าที่ดูแลและคอยช่วยเหลือรีซก็ตาม แต่ด้วยหัวใจของคนเป็นหมอทำให้เขาปล่อยไว้ไม่ได้อีกต่อไป

.
.
.

“รีซครับ พรุ่งนี้คุณต้องไปตรวจร่างกายกับดร.เขาอยากเห็นพัฒนาการด้านร่างกายของคุณด้วยตัวเอง” หมอพอลพูดยิ้มๆตามเเบบฉบับตน แต่ส่งสายตากดดันไปให้รีซที่เพิ่งเดินกลับเข้ามามองได้สักพัก

“แต่ฉันไม่ว่าง” รีซปฏิเสธทันที ไม่ได้สนใจแรงกดดันที่หมอพอลส่งมาให้แม้แต่น้อย ดวงตาจ้องมองไปยังอีกคนที่นอนอยู่บนเตียงนิ่ง

“ผมจะดูทางนี้ให้ ยังไงก็แค่ชั่วคราว คุณคงไม่อยากให้ดร.โกรธแล้วจับคุณกลับไปที่แลปอีกหรอกนะครับ คุณก็น่าจะจำได้ว่าจะโดนอะไรไปบ้างถ้าผมรายงานว่าคุณมีพัฒนาการขึ้นมาก ดร.คงทนไม่ไหวจับคุณใส่โหลแล้วตรวจคุณอย่างละเอียดแน่ๆ คุณคงรู้ว่าผมหมายถึงอะไร”

ดวงตาแน่วแน่ที่ฉายชัดออกมา แต่ถูกกลบเกลื่อนด้วยการยิ้มจนตาหยีปิดบังความจริงที่เขาต้องการ ตามแบบฉบับของตน

“ไม่ต้องมาขู่ ฉันไม่กลัวหรอกนะตอนนี้ ...แค่อยากเห็นด้วยตาเท่านั้นใช่มั้ย”

“ครับผม”

“...ฉันจะไปละกัน แต่ถ้าทางนี้ไม่เรียบร้อย อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะหมอ นายก็รู้ว่าผมพูดจริง” รีซพูดจบก็เดินออกไปทันที หมอพอลหุบยิ้มช้าๆแล้วหันไปมองร่างกายที่บอบช้ำของเฟิร์สนิ่ง


“ผมจะพยายามนะครับ”

สักพักก็ยกมือถือกดโทรออกไปยังปลายสายทันที

“ดร.ครับ R โปรเจค มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นมาก ดูเหมือนว่าเลือดนั่นเริ่มจะแสดงตัวตนแห่งเผ่าพันธุ์แล้วครับ ผมให้เขาเข้าไปที่แลปวันพรุ่งนี้ ส่วนเอกสารผมจะส่งไปให้ดูหลังจากนี้ครับ”

.
.
.

วันรุ่งขึ้น

“อ่ะ อือ คะ คุณเป็นใคร”

เสียงแหบๆแผ่วเบาถูกเอ่ยขึ้นจากร่างบางที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาบวมช้ำที่เปิดขึ้นปรือมองอย่างหวาดกลัว ร่างกายบางที่่สั่นไหวเหมือนจะขยับหนีแต่ไม่มีแรงได้แต่นอนมองอีกฝ่ายนิ่งงัน

“ผมเป็นหมอ คุณไม่ต้องกลัวนะครับ”

เสียงนุ่มจากปากหมอหนุ่มดังขึ้น รอยยิ้มประดับบนใบหน้าดูอบอุ่นน่ามอง

“อึก!! ผมอยู่ที่ไหน! แล้วคุณเป็นพวกเดียวกับมันรึเปล่า!”

ร่างบางเบิกตาโพรง ทำท่าจะลุกหนี แต่ร่างกายที่อ่อนเพลียทำให้หมอหนุ่มต้องเข้าไปประคอง

“คลีนิคครับ แล้วผมก็ไม่ได้เป็นพวกใครทั้งนั้น ผมบอกแล้วว่าผมเป็นหมอ”

เสียงนุ่มถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ค่อยๆประคองร่างบางให้นอนลงกับที่นอน

“ไม่! ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้! ผมต้องไป! ผมต้องหนีไปให้ไกลที่สุด!”

แต่อีกฝ่ายกลับสติแตกหนักกว่าเดิม ตาลุกวาวอย่างตกใจเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ หุนหันจะลงจากเตียง

“ใจเย็นๆครับ คุณปลอดภัยแล้ว”

จนหมอหนุ่มต้องจับร่างบางลงกับที่นอน แล้วฉีดยาสลบเข้าสายน้ำเกลือไป

“ไม่!! คุณไม่ เข้า ใจ”

ดวงตาสั่นไหวไล่สายตามองไปรอบๆ ด้านหนึ่งเขาเห็น ผนังห้องสีขาว ผ้าม่านที่พริ้วไหวไปมาช้าๆ อีกด้านมีเครื่องมือเเพทย์เต็มไปหมดซึ่งเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้าง หันมามองตนเองที่สวมใส่ชุดของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก และหมอหนุ่มตรงหน้าที่เขาไม่รู้จัก สวมชุดกราวด์สีขาวที่คอสวมหูฟังชีพจร ยืนส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เขา ถ้านี้เป็นความฝันอีกละก็ คงเป็นฝันที่ผมอยากได้มากที่สุด อิสรภาพ

“ขอบคุณ...ฮึก”

เสียงแผ่วเบาถูกเอ่ยออกไปอีกครั้ง ก่อนที่ดวงตาช้ำจะค่อยๆปิดลง ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ


“ยินดีครับ ถ้ามันจะยืดเวลาเจ็บปวดของคุณออกไป ผมยินดีจะช่วยคุณ ทั้งสองคน”

เสียงนุ่มถูกเอ่ยออกมาอีกครั้ง หมอหนุ่มพูดเสร็จแล้วเดินจากไป ทิ้งให้อีกคนได้นอนหลับอย่างสบาย





....
1 คอมเม้น = 1 กำลังใจน้าาาาา
พูดคุยกันได้นะทุกคน แนะนำติชมได้ทุกอย่างเลยยยย
....
รออ่านค่ะ
 :katai4:
ขอบคุณที่ติดตามผลงานน้า จะพยายามทำให้ดีที่สุดจ้า ^^
ตอนใหม่มาเสริฟแล้ว ถูกใจไหมเอ่ย

นอนนี้ชักจะสงสารเฟิร์สเเล้วง่าไม่เเรงไปหน่อยหรอรีซ
พระเอกเราใจดีน้า ไม่เชื่อดูตอนนี้สิ
ใจดีมากเลย ^^
ขอบคุณที่ติดตามน้า

มารอลุ้นนู๋เฟริส เราว่าคุณไมค์เนี้ยกับรีซเนี้ยต้ิองมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่นอน ลุ้นๆ
#ไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้แน่นอนค่ะ
#พระเอกนิยายเรื่องนี้ไม่โหดร้าย~ จาเชื่อดีไหมน๊า อิอิ แต่เราชอบพระเอกแนวนี้นะ ^____^
เอ๊ะๆจะเป็นยังไงต้องรอลุ้นต่อไปนะคะ ไม่บอกหรอกกก หุหุ ^^
#ขอบคุณมากนะคะที่ไม่ทิ้งกันไปไหนนนน
#ขอบคุณที่ชอบพระเอกเรานะ ส่วนใหญ่โดนหาว่าใจร้ายทั้งนั้นเลย

ออฟไลน์ rosetears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พระเอกของเราเริ่มเป็นห่วงนายเอกบ้างแแล้ว ฮิ้ว อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นนิดๆ

#เอ๊ะๆจะเป็นยังไงต้องรอลุ้นต่อไปนะคะ ไม่บอกหรอกกก หุหุ ^^ >> 555 แน่นอนค่า
#ขอบคุณมากนะคะที่ไม่ทิ้งกันไปไหนนนน
ขอบคุณที่ชอบพระเอกเรานะ ส่วนใหญ่โดนหาว่าใจร้ายทั้งนั้นเลย >> ด้วยความยินดีค่า ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ rosetears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พระเอกของเราเริ่มเป็นห่วงนายเอกบ้างแแล้ว ฮิ้ว อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นนิดๆ

#เอ๊ะๆจะเป็นยังไงต้องรอลุ้นต่อไปนะคะ ไม่บอกหรอกกก หุหุ ^^ >> 555 แน่นอนค่า
#ขอบคุณมากนะคะที่ไม่ทิ้งกันไปไหนนนน
ขอบคุณที่ชอบพระเอกเรานะ ส่วนใหญ่โดนหาว่าใจร้ายทั้งนั้นเลย >> ด้วยความยินดีค่า ^^
[/quote]

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
ลุ้นๆ เดาเรื่องไม่ถูกเลยจริงๆค่ะ  รีสกับไมค์เป็นคนๆ เดียวกัน แล้วตอนนี้ดูจากในฝัน เฟิร์สก็ชอบไมค์ แต่เกลียดรีส

ออฟไลน์ rosetears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คิดถึงนะคะไรท์เตอร์ ฮือๆ

ออฟไลน์ สิบสาม13

  • นามปากกา AkumaBK
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
    • ติดต่อได้ที่ บ้าน Yaoi , Boy'Love Akumabk


me die


17 : ห้อง ทดลอง


“อะไรกัน...ห่วง งั้นหรอ อย่ามาตลกน่ะ!”

รีส ออกรถมาจากคอนโดใจกลางเมืองของเขาหลังจากตกลงกับหมอหนุ่ม ด้วยความโมโหในตัวเขาเอง สมองก็ครุ่นคิดไปถึงเรื่องของใครอีกคน ตลอดทาง คิ้วหนาขมวดมุ่นข้องใจ มือขับรถ ขาก็เหยียบคันเร่งไปเรื่อยๆ จนรถเคลื่อนตัวห่างออกมาจากคอนโดไปไกล โดยที่ไม่รู้ว่าขับไปที่ใดเหมือนกัน

“...เห้อ”

เสียงถอนหายใจดังผ่านริมฝีปากหนา ดวงตามองตรงไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย เสมองสองข้างทางด้วยความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในจิตใจ

ความดำมืดของค่ำคืนที่หลายๆคนไม่ถูกชะตา แต่สำหรับเขากลางคืนคือเพื่อนแท้ที่คอยให้ที่พักพิงทางใจแก่เขา กลางคืนเท่านั้นที่เขารู้สึกว่าตัวเองยังคงเหมือนปกติ เขากายเย็นเพราะกลางคืนมันหนาว เขากายซีดเพราะต้องแสงจันทร์ ดวงตาเป็นสีแดงเพราะต้องแสงไฟ เขา...เหมือนคนปกติที่สุดก็เฉพาะตอนกลางคืน เขารัก กลางคืน...

ไม่ เขาเพียงแค่ต้องการหลอกตัวเองเท่านั้น !

รีส ชายหนุ่มผู้นี้ชอบแสงอาทิตย์ในยามเช้า เขาโหยหาความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ที่เคยสัมผัส เสียงนกร้องผสานกันเป็นเพลงปลุกให้เขาตื่นจากการหลับไหล แสงแดด...ที่ช่วยให้เหล่าต้นไม้สีเขียวขจีที่เขาชื่นชอบได้เติบโต แสง...ที่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตในวันใหม่ เพียงแต่...ตอนนี้มันไม่เป็นเช่นนั้นได้อีกต่อไป เขาไม่สามารถสัมผัสสิ่งเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตอนนี้ เขาแค่เลือกที่จะทิ้งมันไว้เพียงด้านหลัง...ก็เท่านั้น

.
.
.

“หรือว่าฉันจะ...ห่วง นายจริงๆ”

สุดท้ายความคิดที่ว้าวุ่นก็จบลงด้วยการที่ชายหนุ่มร่างสูงมายืนจ้องอีกคนที่นอนอยู่บนเตียงในความมืด ผิวกายขาวล้อเเสงจันทร์ขบให้ดูนวลเนียนน่าสัมผัสแม้จะเห็นรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำก็ตามที ใบหน้าใสขาวผ่อง ดวงตาดูช้ำบวม แขนข้างซ้ายที่มีเข็มน้ำเกลือเจาะห้อยระโยงระยางอยู่ข้างเตียง

ดวงตาสีแดงสวยมองจ้องไปยังอีกคนอยู่นานสองนาน แต่ภายในดวงตาที่ไร้แววกับไม่สื่ออารมณ์ใดๆออกมา ต่างจากสมองที่ครุ่นคิดไม่ตกกับเรื่องความรู้สึกที่เหมือนจะเกิดขึ้น

“...ไม่มีทาง”

จนแล้วจนรอดชายหนุ่มร่างสูงก็เลือกที่จะปัดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นทิ้ง เลือกเดินหันหลังไกลออกไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย

.
.
.

รุ่งเช้า

รีสเข้ามาภายในห้องทดลองลับ ขาแกร่งก้าวเดินตามการ์ด(ผู้ดูแลความปลอดภัยขององค์กร)คนหนึ่งที่สวมชุดดำหน้าตาเคร่งขึม ไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย ดวงตามองตรงไปด้านหน้า ใบหน้านิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ผ่านทางเดินเรียบ สองข้างเป็นพนังสีขาวโล่ง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามการ์ดไปก็เจอลิฟต์ลงมายังห้องอีกที่มีผู้ช่วยหญิงในชุดสีขาวยืนรออยู่ เธอจึงนำเขาไปต่ออีกที

ก๊อก ก๊อก

“ดร.คะ คุณรีสมาแล้วค่ะ”

“ขอบใจมาก มารีน”

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผู้ช่วยสาววัยสามสิบกว่าเดินนำหน้า รีซ เข้ามาภายในห้องส่วนตัวของดร. ให้รีสได้เข้าไป เธอจึงกล่าวลาและขอตัวออกไป

“นั่งคุยกันก่อนสิ”

ดร.หนุ่มใหญ่ผู้มีใบหน้าดูใจดีสวมแว่นตากรอบหนากับชุดทดลองสีขาวที่สวมทับเสื้อเชิ๊ตสีครีมดูสุภาพ ก้มหน้าลงอ่านเอกสารบนโต๊ะทำงานตนอีกครั้ง หลังเงยหน้าต้อนรับ ปากก็พูดเชิญชวนให้รีสนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับตน

“ผมมาตรวจร่างกายตามที่คุณขอ ไปที่เตียงเลยจะเร็วกว่านะครับดร.”

ด้วยความรีบร้อนอยากจะกลับ และความกังวลแปลกๆที่เกิดขึ้นข้างในทำให้เขาไม่สงบตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากคอนโด ส่งผลให้รีสไม่แม้แต่จะยอมนั่งตามคำเชิญชวน

“ความจริงเราน่าจะคุยกันก่อน แต่ในเมื่อเธอเองก็รีบร้อน งั้นฟังดีๆนะ ฉันต้องการตรวจร่างกายเธออย่างละเอียด เพราะฉะนั้น ฉันจะให้เวลาเธอเตรียมตัว 10 นาที เราจะได้เริ่มกัน”

ดร.เงยหน้าจากกองเอกสารการแพทย์ตรงหน้า มือขยับแว่นสายตาเล็กน้อย แล้วพูดช้าๆด้วยประโยคที่ยาวๆให้รีสฟัง

“ว่าไงนะ! ดร.หมายถึงให้ผม... ไหนคุณบอกแค่ตรวจไงเล่าดร. ทำไมผมต้องเข้าไปอยู่ในตู้เหมือนปลาอีกครั้งล่ะ ร่างกายผมปกติดี ไม่มีอะไรผิดปกติแน่นอน จะตรวจละเอียดไปทำไมกันครับ”

รีสหันขวับทันทีที่ได้ยินว่าต้องตรวจละเอียด คำๆนี้เขารู้ความหมายดีว่ามันเป็นอย่างไร มันไม่ได้ยินดีอะไรเลยสักนิด แถมยังน่ารำคาญสุดๆ

“ผมแค่ต้องการให้แน่ใจ”

ดร.วางเอกสารตรงหน้าไว้แบบนั้น กุมมือตนเองประสานกันไว้ ดวงตามองสบไปยังอีกฝ่าย ด้วยท่าทีที่นิ่งสงบ

“แน่ใจอะไรครับ ก็บอกว่าผมยังปกติ เหมือนเดิมทุกอย่าง”

ด้วยความคับข้องใจ และความกังวนที่เกิดขึ้นในใจ ทั้งยังความรู้สึกเกลียดที่เขาจะต้องเข้าตู้ทดลองแสนทรมานนั้นอีก ทำให้รีสไม่พอใจ คิ้วหนาขมวดมุ่นชนกันแน่น ไอเย็นเรื่มแผ่กระจายเป็นหมอกจางๆโดยไม่รู้ตัว เมื่อความโกรธได้เริ่มเกิดขึ้น

“ใจเย็นๆสิ ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอเหมือนเมื่อก่อนหรอกนะ ฉันแค่ต้องการรู้พัฒนาการเธอจริงๆ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทรมานแบบก่อนที่เธอตื่นแน่ๆ”

ดร.หนุ่มใหญ่ ยิ้มในใจที่เห็นท่าทีตามที่ได้รับข้อมูลมาจริงๆ แต่ยังคงรักษาภาพพจน์นิ่งเฉยไว้เป็นอย่างดี สนทนากลับอย่างใจเย็น ค่อยๆใช้มือกดเรียกการ์ดเข้ามาเบาๆโดนไม่ให้รีสสังเกตเห็น เมื่อเห็นท่าทีว่ารีสจะขัดขืน

“ผมไม่พร้อม! ขอวันอื่นละกัน”

คิ้วหนาของรีสขมวดมุ่น ไม่พอใจ หันหลังจะเดินกลับออกไปทันที เพราะปัญหาในใจที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่อยากจะอยู่ตรงนี้นานกว่านี้ อีกทั้งยังความกังวนบ้าๆถึงใครอีกคนที่คอนโด ทำให้เขาดูอารมณ์ร้อนมากกว่าปกติเป็นสองเท่า

ผลัก!

รีสเปิดประตูออกไปชนกับการ์ด2คนพอดี แต่สองคนนั้นกับเซถอยห่างออกไปแทนรีสที่แค่ดันตัวเองพ้นประตูมา

“ดร.คุณคิดจะทำอะไรครับ”

รีสหันกลับมามองดร.ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ดวงตาสีแดงเริ่มแวววาว บรรยากาศรอบด้านเริ่มกดดัน ความเย็นแผ่กระจายเป็นวงกว้าง จนการ์ดทั้งสองคนยืนสั่นมองหน้ากันเลิกลั่กด้วยความกลัวที่เกิดขึ้นรอบๆตัวอย่างไม่เคยเจอ

ยิ่งเห็นดังนั้นดร.ก็รอบยิ้มมุมปาก ดวงตาใต้กรอบแว่นวาวไปด้วยความอยากรู้อยากทดลอง กระแอมไอเล็กน้อย ยืนตัวตรงรักษาท่าที แล้วค่อยๆเอื้อมแขนไปหยิบอะไรขึ้นมา โยนมันลงบนโต๊ะจนเกิดเสียง

ปึก

“ถ้ายอม ฉันมีข้อมูลดีๆจะบอก ถ้าเธอต้องการมัน”

“อึก!! รู้เรื่องนี้ได้ยังไง ไปเอามาจากไหน”

เมื่อเห็นร่างบางคุ้นตาในรูป คิ้วหนาขมวดกันแน่นขึ้น เดินมาคว้ารูปขึ้นไปดูมือกำภาพแน่น ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองดร. ต้องการความจริง

“คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่าพวกเธอสองคนทำอะไรใต้จมูกฉัน! อึ่ม! เด็กนี่ชื่อ ติวเตอร์ สินะ เป็นคนที่เธอรักและตายแทนได้เลยใช่ไหมล่ะ หึหึ อยากรู้อะไรดีๆไหมล่ะ เด็กคนนี้กำลังจะแต่งงานกับเด็กเลวๆอีกคนเพราะเหตุผลบางอย่าง อยากช่วยไหมล่ะ ยอมร่วมมือกันดีๆซะ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนยึดทุกอย่างที่นายร้องขอกับฉันคืน อย่าขัดขืนอีก พาไปที่แลป!”

ดร.เอ่ยเสียงเข้มจนแทบตะโกนด้วยความไม่พอใจในคราแรก แต่ก็กระแอมไอให้ปกติเมื่อรู้ตัว นั่งสงบนิ่ง แล้ว พูดออกไปยาวเยียดด้วยแววตาไม่พอใจ สุดท้ายก็หันไปสั่งลูกน้องให้พารีสไปที่ห้องทดลองทันที

“เดี๋ยวก่อนครับ บอกผมหน่อยสาเหตุน่ะ”

เท้าแกร่งชะงักกึก ยืนนิ่งอิ้ง ปากค่อยๆเอ่ยถามคำถามช้าๆ

“ไว้ไปถามกันเอาเองดีกว่านะ”

รีสเถียงไม่ออก ได้แต่เดินตามแรงลากของการ์ดไปตามทางเดิน จนถึงห้องทดลอง เขาปฏิเสธไม่ได้หรอก ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวอย่างเดียว แต่ที่สุดแล้วดร.ก็ยังเป็นผู้มีพระคุณอยู่ดี

ในใจของรีสตอนนี้มีเพียง ติวเตอร์เท่านั้น เขาลืม! ลืมได้ยังไงกัน มัวแต่แก้แค้นจนลืมสิ่งที่ต้องการจะรักษาไว้จนมันเกือบจะสายไป ในใจได้แต่ร่ำร้อง

‘รอก่อนนะติวเตอร์ รอรีสก่อน อย่าพึ่งอ่อนแอ อย่าพึ่งยอมแพ้  อย่าพึ่งเป็นอะไรไป รอรีสก่อน รีสจะไปช่วยไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ตามสัญญาของเรา’

.
.
.

ภายใต้ห้องทดลองกว้างใหญ่ ภายในบรรจุไปด้วยเครื่องมือล้ำสมัยมากมายที่รู้จักและไม่รู้จัก รีสถูกพาเข้าไปด้านในสุดด้านในที่มีเพียงตู้กระจกหนาใสใหญ่โตเพียงตู้เดียวตั้งอยู่ ภายนอกถูกกั้นด้วยกระจกนิรภัยหนาอีกชั้น ซึ่งเป็นชั้นที่ดร.และคนอื่นๆยืนอยู่

รีส ที่บัดนี้ถูกปลดเปื้องเสื้อผ้าออกหมด เดินตามผู้ช่วยสวมชุดกราวด์สีขาวอีกสองคนเข้ามาด้านใน ผู้ช่วยหนึ่งในสองที่เข็นรถอุปกรณ์เข้ามา ให้เขายืนนิ่งๆแล้วทำการติดอุปกรณ์แผ่นบางๆตามจุดชีพจร อีกคนยกเข็มฉีดยาปลายแหลมยักษ์เจาะเข้าแขนของรีสดูดเอาเลือดออกไปทดสอบเต็มหลอด

“เชิญเข้าด้านในได้ครับ”

รีสพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินเข้าไปภายในตู้ทดลองช้าๆ ใบหน้านิ่งสงบราวกับไม่ได้ทุกข์ร้อน แต่ภายในใจกับร้อนรุ่มกับความกังวลที่เข้ามาเกาะกินหัวใจ

ประตูตู้ทดลองหนาเลื่อนปิด แล้วมีกระจกหนาใสด้านในอีกชั้นเลื่อนขึ้นรอบด้านมาจากด้านล่างเป็นเหมือนกระบอกขังรีสไว้ด้านใน วิทยาการลำยุคสมัยดำเนินงาน แผงวงจรต่างๆเรืองแสง ดร.ที่ยืนอยู่อีกด้านของห้องภายใต้กระจกกั้นดวงตาภายใต้กรอบแว่นแวววาว แต่ยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้อยู่ได้ เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่ต่อต้านของอีกฝ่ายก็ยิ้มมุมปากถูกใจ

“เอาล่ะ เรามาเริ่มทำการทดลองขั้นต่อไปกันดีกว่า”

“ครับ/ค่ะ”

ดร.หันไปเอ่ยกับผู้ช่วยทั้งหลาย เอื้อมมือช้าๆไปกดปุ่มเริ่มกระบวนการ ทุกๆคนมีดวงตาแวววาวที่เปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยากทดลองทดสอบ ถ้าโครงการนี้ได้ผลก็สามารถนำไปปรีบใช้ในการต่ออายุมวลมนุษยชาติได้ในอนาคต ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยก็สามารถมีความเป็นไปได้แน่นอน

{เริ่มกระบวนการทดสอบขั้นที่ 1}

สายยาวๆจากเข็มไฮเทคเริ่มเลื้อยลงจากด้านบนของหลอดแก้วทรงกระบอกยั๊วเยี๊ยะเต็มไปทั่ว ถอยห่างจากตัวรีสเล็กน้อย แล้วปักเจาะฝังปลายแหลมยาวเข้าตามจุดชีพจรที่ได้ติดแผ่นบางๆไว้ก่อนหน้าด้วยความเเรงจนตัวรีสเซไปด้านหน้าเล็กน้อยเป็นคู่ๆ ถ้าเป็นคนธรรมดาคงทนไม่ได้เป็นแน่ที่เข็มแหลมยาวๆเจาะเข้าร่างกายหลายๆจุดในเวลาเดียวกัน คงได้ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดลั่นเป็นแน่

รีส ทำได้เพียงยืนนิ่งๆเหมือนเดิม ใบหน้าสงบนิ่ง ดวงตาสวยงามจ้องมองไปยังทางออก ความกังวลภายในใจที่ยังไม่จางหาย ไหนจะเรื่องของติวเตอร์ที่ยังคงรอการกลับมาของเขาอีกครั้ง

{สารทดสอบตัวที่ 1 กำลังถูกฉีดเข้า}

เข็มยาวที่ปักเข้าร่างกายของรัสเริ่มทำหน้าที่ของมัน ในหนึ่งคู่ หนึ่งฉีดยาทดสอบแสนเจ็บปวดเข้าอีกหนึ่งรอคอยเวลาดูดเลือดออกมาเมื่อต้องการตัวอย่างเลือด เป็นความทรมานอีกหนึ่งที่มนุษย์ธรรมดาคงทนไม่ได้อีกเช่นกัน

“อึก!”

รีสร่างกระตุกเกร็งเมื่อตัวยาถูกฉีดเข้าไปภายในร่างกาย สารทดสอบสีฟ้าเข้มข้นไหลผ่านผิวหนังขาวซีดของรีสทีละเล็กละน้อยแล้วเริ่มแผ่กระจายเต็มร่างกาย ร่างกายของรีสแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าตามตัวยาเมื่อมันเริ่มแพร่กระจายเต็มร่างกาย กระตุกเกร็งจนเส้นเอ็นปูดโปน

{เริ่มเก็บตัวอย่างเลือดครั้งที่ 1}

สักพักร่างกายก็กลับเป็นปกติรวมทั้งสีของร่างกายก็กับไปเป็นผิดหนังขาวซีดเช่นเดิม

“ว๊าว... ร่างกายเขาน่าทึ่งมากเลยนะครับดร.”

“ใช่ ขอให้มันได้ผลทีเถอะ”

ดร.รอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงบรรดาผู้ช่วยและผู้ร่วมงานของเจาคุยกัน ดวงตาภายใต้กรอบแว่นยังคงจ้องมองไปยังอีกคนที่อยู่ในตู้ทดสอบอย่างตั้งใจ

“นั่นสิ งั้นเราควรทดสอบขั้นต่อไปเลยดีกว่า”

{เริ่มกระบวนการทดสอบขั้นที่ 2}

เมื่อเริ่มกระบวนการ มีน้ำที่ผสมสารทดสอบบางอย่างไหลเข้าจากด้านล่าง ระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆจนท่วมมิดร่างของรีส

สายยายาวที่เจาะฝังเข็มลงบนร่างกายของรีสถูกหดล่นขึ้นด้านบน แต่ยึดกับร่างกายรีสไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ทำให้ร่างทั้งร่างลอยอยู่ภายในทรงกระบอกแก้วใสที่บรรจุน้ำไว้เต็มเปี่ยม

“สารทดสอบตัวที่ 2 กำลังถูกฉีดเข้า}

สารทดสอบตัวที่สอง สีเขียวเข้มข้นถูกฉีดเข้าไปแทนที่ยาตัวแรก ยาตัวนี้มีความเข้มข้นของสารทดสอบมากกว่าตัวแรก ถ้ารีสเป็นคนธรรมดาเขาคงรู้สึกเหมือนกับหัวใจที่กำลังเต้นรัวแรงของเขาถูกบีบให้แหลกคามือของพระเจ้าที่ไม่ปราณีแก่เขาเลย

“อึก!!”

ร่างกายของเขากระตุกเกร็ง ดิ้นไปมาอยู่ภายใต้น่ำและยาทดสอบเข้มข้นที่ถูกฉีดเข้าร่างกายอย่างต่อเนื่อง

{เริ่มเก็บตัวอย่าเลือดครั้งที่ 2}

และกระบวนการทดสอบต่างๆยังคงดำเนินต่อไปอีกยาวนาน โดยที่รีสไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ร่างกายของเขายังคงถูกเข็มปักคาร่างกายและยังลอยเคว้งอยู่ในกระบอกแก้วใสที่บรรจุน้ำเต็มตู้ ปรับเปลี่ยนตัวยาทดสอบและเก็บตัวอย่างเลือดไปอีกมากมายหลายต่อหลายครั้ง

.
.
.

‘ติวเตอร์รอรีสก่อนนะ’

ความคิดดังขึ้นในสมองสั่งตัวเองให้คิดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ภายในลึกๆกับมีแต่ใบหน้าของอีกคน กังวนตลอดเวลาว่าอีกฝ่ายจะหนีตนเองไปไหม เขาจะจัดการกับความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้น แต่ จนแล้วจนรอดร่างกายที่ผ่านการทดสอบมากมายจนเผลอหลับไปเอง แต่การทดลองก็ยังคงไม่หยุด ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆไม่รู้ว่านานเเค่ไหน และตัวยามากมายอีกนับไม่ถ้วนที่ส่งผลทำให้ร่างกายของรีสเกิดอาการแปลกๆ ไม่รู้จักจบสิ้น



....
งานยังเคลียไม่เสร็จเลย แต่แอบเอามาลงให้ก่อน :katai4:
หวังว่าคงถูกใจกันนะ ขอโทษที่หายไปนะคะ


มีข่าวอะไรเค้าจะแจ้งไว้ที่แฟนเพจนะ
ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้เอามาเเปะไว้เรื่อยๆ
https://www.facebook.com/AkumaBK/


พระเอกของเราเริ่มเป็นห่วงนายเอกบ้างแแล้ว ฮิ้ว อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นนิดๆ

คิดถึงนะคะไรท์เตอร์ ฮือๆ

เค้ากลับมาแล้ว จริงๆแล้วแอบมาค่ะ งานยังท่วมอยู่เลย แต่แอบเเวะมาปันให้อ่านก่อน

ลุ้นๆ เดาเรื่องไม่ถูกเลยจริงๆค่ะ  รีสกับไมค์เป็นคนๆ เดียวกัน แล้วตอนนี้ดูจากในฝัน เฟิร์สก็ชอบไมค์ แต่เกลียดรีส
เรื่องอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้นะค้าาา ^^  ขอบคุณที่ติดตามกันนะ ตอนใหม่หวังว่าจะถูกใจนะคะ หายไปสักพักขอโทษด้วยนะคะ

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
พล็อตแปลกมากอ่ะค่ะ ตอนนี้รีสเริ่มชอบเฟิร์สแล้วสิ ไม่รู้ดร.จะทำอะไรกับร่างกายของรีสบาง รู้สึกสงสารค่ะ เหมือรีสเป็นหุ่นเชิด

ออฟไลน์ rosetears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไรต์เตอร์สู้ๆนะคะ ^^

ออฟไลน์ สิบสาม13

  • นามปากกา AkumaBK
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
    • ติดต่อได้ที่ บ้าน Yaoi , Boy'Love Akumabk
me die

 

18 : แฟน (ทาม x ติวเตอร์)


“เล่นกันแบบนี้ใช่ไหม ถ้านายต้องการตัวผมนัก ผมจะจัดให้นายเอง ทาม”

 

ห้าง z



“น้องติวเตอร์มีอะไรจะบอกพี่ทามหรอครับ ถึงได้นัดออกมาทานอาหารกันสองคนแบบนี้”



น้ำเสียงที่หยอกเย้าอีกฝ่ายดังออกจากปากทาม เมื่อติวเตอร์มาถึงร้านอาหารที่ตนเป็นคนนัดไว้ หน้าตายิ้มแย้มที่ดูเหมือนดีใจซะเว่อร์ ทำให้ติวเตอร์ถึงกับแบะปาก หันหน้าหนีด้วยความหมั่นไส้



“ผมมีเรื่องที่จะต้องตกลงกับนาย”



ติวเตอร์หันกับไปมองทาม ทำสีหน้าจริงจัง แล้วเอ่ยออกไป



“เรื่องอะไรครับ อ่อ เรื่องนั้นสินะ หวังว่าคำตอบคงจะเป็นที่น่าพอใจสำหรับพี่”



ทามอมยิ้ม ตาหนีพูดทีเล่นทีจริงตามเดิม



“ผม..ผมต้องการ ให้นายช่วย..”



“อ๊ะ ขอร้องพี่ดีๆสิครับ แล้วก็ช่วยเรียกพี่ว่า พี่ทาม ลงท้ายด้วยคำว่า ครับ ด้วยสิที่รัก พูดไม่เพราะระวังพี่ไม่ช่วยนะ ^^”



ติวเตอร์ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็โดนทามพูดแทรกขึ้นมา เมื่อฟังจบติวเตอร์โมโหจนหน้าแดงแต่ก็กัดฟันทนไว้ เบือนหน้าหนีไม่อยากมองใบหน้าที่ยิ้มยียวนกับท่าทางที่มีชัยเหนือตนเองนัก



“แหม่ หน้าแดงเชียว ไม่ต้องเขินพี่หรอกครับที่รัก คนกันเอง หึหึ”



ยิ่งเห็นติวเตอร์แสดงสีหน้าไม่พอใจตน ทามก็ยิ่งอยากแกล้งให้โมโหเข้าไปอีก เรียกใบหน้าแดงๆที่น่ารักมากกว่าน่ากลัวให้ยิ่งแดงมากขึ้น



“ผม..ต้องการ..ให้ พี่ เอ่อ พี่ทาม ช่วยเหลือ อึก ครอบครัวของผมฮะ”



ติวเตอร์พูดติดๆขัดๆ กัดฟันพูดแน่นจนปวดไปหมด หน้าแดงด้วยความโมโหและความอาย ที่จะต้องมาขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่ชอบขี้หน้าและทั้งๆที่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแบบนี้เองแท้ๆกลับมานั่งยิ้มสบายใจอยู่ตรงหน้านี่ได้



“หึหึ น้องติวเตอร์รู้รึเปล่าครับ ว่าเงื่อนไขคืออะไร”



รอยยิ้มมุมปากของทามพุดขึ้นแล้วเลือนหายไปแทนที่ด้วยใบหน้าและรอยยิ้มยียวนเหมือนเดิม เมื่อได้ยินอีกฝ่ายที่ยอมอ่อนข้อจนต้องยอมทำตามคำที่เขาบอกทุกอย่าง



“ระ รู้ฮะ”



ติวเตอร์พยักหน้าเข้าใจในความหมาย มือกุมกันแน่นเกร็งไปทั้งตัว ในใจอยากจะชกหน้าแล้วตาว่าให้หายโมโห แต่ก็ต้องได้แต่อดทน เขาคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยครอบครัวได้ แล้วถ้าจะถามว่าทำไมต้องยอมทำตามก็เพราะอำนาจทางสังคมของพวกมันบีบบังคับไม่ให้ใครช่วยเหลือครอบครัวของผมเพราะข่าววงในบ้าๆนั่น ทั้งยังซื้อคนของพ่อผมด้วยอำนาจเงินที่มากกว่าไปอีก ทางนี้คงเป็นทางเดียวที่ผมจะแก้แค้นได้ละมั้ง รวมถึงเรื่องที่ผมได้ยินมา ถ้าผมไม่ทำซะเอง พ่อของผมคงจะเดือดร้อนแน่ๆ ผมรักพ่อมาก เราเหลือกันอยู่แค่สองคน ผมจะข่วยเหลือพ่อบ้าง



“งั้นพี่่ทาม จะยอมช่วยนะครับ ถ้า น้องติวเตอร์ทำตัวเป็นแฟนที่ดีของพี่”



“แฟน!”



ติวเตอร์ตกใจตาโต ตะโกนเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง เมื่อรู้ตัวจึงหันไปก้มหน้าขอโทษขอโพยคนอื่นเป็นการใหญ่



“ใช่ครับ แฟน ไหนว่ารู้ข้อตกลง หึหึ แต่ต้องทำให้พี่เชื่อนะ แต่ถ้าพี่ไม่เชื่อ...คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น เอาล่ะ! ตอนนี้น้องติวเตอร์ช่วยไปดูหนังกับสักเรื่องก่อนละกัน”



“เดี๋ยว ผมอยากรู้เงื่อนไข”



“หึ ครับ งั้นฟังดีๆพี่จะบอกคร่าวๆละกันนะ น้องติวเตอร์จะต้องไปอยู่บ้านพี่เป็นเวลา 3 เดือน”



“ฐานะอะไร”



“นางบำเรอ!”



“อึก!”



“ไม่รู้แล้วยังจะมาขอ แล้วยังไง ยังเหมือนเดิมอยู่ไหมครับ”



“มะ เหมือนเดิม ผมยอมรับเงื่ิอนไขนั่น”



“งั้นก็ดีครับ ไปกันได้รึยัง”



ใบหน้าทามยังยิ้มดั่งผู้ชนะตลอดเวลาดวงตาแพรวพราวดูเจ้าเล่ห์ ต่างจากติวเตอร์ที่หน้าซีดเผือด ได้แต่ยอมรับ พยักหน้าตกลง แต่ในใจแค้นมากจึงได้แต่กัดฟันทนจนปวดไปหมด หน้าแดงก่ำด้วยความโมโหและอาย อยากจะลุกหนีไปแต่ทำไม่ได้ ว่าแล้วทามก็ลุกขึ้นยืน ยื่นมือออกไปหาติวเตอร์ รอให้อีกฝ่ายจับ



“มือครับที่รัก เราจะได้ไปกัน”



เมื่อติวเตอร์ไม่เข้าใจ ทามจึงเอ่ยออกไป พร้อมกับพยักหน้าด้วยสายตากึ่งบังคับ ติวเตอร์จึงจำเป็นต้องยื่นแขนของตนออกไปจับกับคนตัวสูงกว่ามากช้าๆ ทามจึงลากแขนติวเตอร์ออกนอกร้านไปทันทีที่ยอมจับมือ โดยที่ไม่ลืมวางเงินไม้บนโต๊ะก่อนออกไป



 

“เดี๋ยวสิ ผมยังพูดไม่จบนะ”



ระหว่างที่เดินไป ติวเตอร์ขืนตัวไว้ได้ในที่สุด แล้วรีบพูดอย่างรวดเร็ว เมื่อทามได้ยินจึงหยุดชะงักแล้วหันหน้ามาฟังติวเตอร์พูดอีกครั้ง ด้วยท่าทีสบายๆตามแบบตน ตาคมมองติวเตอร์นิ่งๆ รอฟังอีกคนพูด



“ผม มีเงื่อนไขอื่นอีก”



ติวเตอร์ที่มัวแต่อ้ำอึ้ง ทำสีหน้าลำบากใจที่จะพูด หลบสายตาเขาไปมาอย่างระแวงกลัวจะโดนดุ ทามยกยิ้มมุมปากพอใจและนึกขำกับท่าทางเด็กๆของอีกฝ่าย จึงพูดขึ้นเป็นเชิงอนุญาต แล้วก็ได้ผลติวเตอร์ดูผ่อนคลายขึ้น



“เอ่อ...ข้อแรก พี่ พี่ทามห้ามเรียกผมว่าที่รักและชมว่าน่ารักทั้งก่อนและหลังวันนั้น”



จู่ๆแก้มใสๆของติวเตอร์เปลี่ยนเป็นสีอมชมพูเมื่อตนพูดจบ หันใบหน้าหนีไปอีกข้าง ติวเตอร์ไม่เคยชอบพวกนี้เลย ไม่ว่าจะที่รักหรือน่ารักก็ตาม เพราะเขามักจะเขินอายเสมอ ทามได้มองอีกฝ่ายนิ่งๆอย่างตะลึงเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกครั้งจะมีแต่ทำหน้างอไม่ก็โมโหใส่เขาตลอดเวลา



“อ๊ะ ตะ ตกลงไหมฮะ พี่ ทาม”



เห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปจึงหันกลับมา สบตากับตาคมของทามพอดี จึงสะดุ้งแล้วตะโกนถามทามอีกครั้ง ซ่อนใบหน้าอมชมพูของตนด้วยใบหน้าหงิกไม่พอใจเช่นเดิม รอยยิ้มแสดงความพอใจถูกยกขึ้นมุมปากทาม แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มหล่อแบบเดิมแบบที่สาวๆมักเรียกว่ายิ้มใจละลาย มองคนตัวเล็กกว่าที่หลบสายตาไปมา



“อืม...ข้อนี้ พี่จะพยายามไม่เรียกน้องติวเตอร์ว่าที่รักอีก แต่ก่อนอื่นน้องติวเตอร์ต้องแทนตัวเองด้วยชื่อ รวมทั้งถ้าน้องติวเตอร์ลืมเรียกพี่ว่า พี่ทาม ลืมคำลงท้าย และหลุดคำหยาบที่ทำให้พี่หัวใจดวงน้อยๆของพี่สั่นกลัวออกมาละก็ พี่จะทำโทษน้องติวเตอร์ด้วยวิธีการของพี่ตกลงไหมครับ”



“เหอะ หัวใจดวงน้อยๆหรอ พูดออกมาได้นะตัวยังกับยักษ์ ถ้าเป็นเด็กตัวเล็กๆน่ารักๆก็ว่าไปอย่าง แล้วคนอย่างพี่หรอจะสั่นกลัวผม ไม่มีทาง”



ติวเตอร์ถึงกับเบะปากเมื่อฟังทามพูดจบ อดที่จะแขวะกับไปไม่ได้



“อ๊ะๆ ไม่ทันไร ก็ผิดคำพูดซะแล้ว พี่ทำโทษเลยดีไหมนะ”



ทามทำท่าโน้มใบหน้าหล่อที่มีรอยยิ้มกวนประสาทติวเตอร์ยิ่งนักลงมาใกล้ ใบหน้าที่อมชมพูของติวเตอร์หายไปแทนที่ด้วยการทำหน้างงๆปนไม่พอใจกับการกระทำของอีกฝ่าย ใบหน้าหล่อที่มีรอยยิ้มมัดใจสาวๆหนุ่มๆมานักต่อนักถูกก้มลงแทบชิดกับใบหน้าใสของติวเตอร์ ใกล้ขึ้นๆ จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของอีกฝ่าย ติวเตอร์ได้แต่ตาโต เกร็งไปทั้งตัว ทำอะไรไม่ถูก หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นตกใจ



ทามพ่นลมหายใจอุ่นๆของตนออกทางจมูกไล่ตั้งแต่จมูกเล็กๆไปยังแก้มใสโดยตั้งใจให้ติวเตอร์ตกใจตกใจเล่น แล้วเลื่อนใบหน้าตนไปกระซิบเบาๆที่ข้างหูของติวเตอร์



“เอาเป็นว่าครั้งนี้ปล่อยไปก่อนล่ะกันนะครับคนดี หึหึ”



“อ๊ะ ปล่อยผม! ไม่ หยุดอยู่นั้นนะ แค่จะพูดว่า ปะ ปล่อยเตอร์นะฮะ!”



พอตั้งสติได้จึงผลักทามให้ออกห่าง ใบหน้าใสขึ้นสีชมพูจางๆอีกครั้งที่ข้างแก้มโดยไม่รู้ตัว พูดผิดจนทามทำท่าจะเดินเข้ามาหาอีกครั้ง จึงรีบแก้ใหม่พร้อมถอยกายหนีทันที



“แค่นี้ใช่ไหม เราจะได้ไปดูหนังกันสักที”



“ยังฮะ ข้อ2 ช่วยพยายามห้ามถูกเนื้อต้องตัวผมจนกว่าจะถึงวันนั้น รวมทั้งแบบเมื่อกี้ด้วย”



ติวเตอร์เงยหน้าขึ้นมองสบตากับทามแล้วจึงหันหนีด้วยความอายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ได้แต่หันไปมองด้านอื่น



“พี่ว่าพี่จำเป็นต้องถูกเนื้อต้องตัวน้องติวเตอร์เพราะน้องติวเตอร์ต้องเป็นแฟนให้กับพี่ ดังนั้นพี่ไม่รับปาก พูดข้ออื่นมาได้เลย”



“แต่...”



“ไม่มีแต่ครับ เว้นแต่ว่าน้องติวเตอร์ไม่ต้องการความช่วยเหลือ”



ทามทำท่าสบายๆไม่สนใจท่าทีของติวเตอร์ที่ไม่พอใจ คิ้วที่ขมวดมุ่น ปากจู๋ยื่นออกมาเมื่อคนตัวเล็กชอบทำเมื่อถูกขัดใจอะไรสักอย่าง ทามจ้องมองปฏิกิริยาอีกฝ่ายนิ่งๆอย่างสนใจ



“งั้นข้อ3 เมื่อครบ3เดือนตามข้อตกลง ครอบครัวของเตอร์ต้องเหมือนเดิมทุกอย่าง และทั้งพี่ทั้งครอบครัวต้องเลิกยุ่งวุ่นวายกับเตอร์และครอบครัวของเตอร์อีกเด็ดขาด!”



“อืม..ข้อนี้พี่ทามตกลงแน่นอนครับ ไม่ต้องห่วงไป ระยะเวลาตั้ง3เดือนที่น้องติวเตอร์ต้องมารับใช้พี่ ร่างกายของติวเตอร์คง...”



ทามเหลือบตามองต่ำลงไปที่บั้นท้ายของติวเตอร์นิ่งๆ ติวเตอร์มองตามไปก็รู้ว่าอีกฝ่ายถึงอะไร ‘คงจะว่าเขาหลวมสินะ คนอย่างมันนี่น่าโมโหจริงๆ หยาบคายชะมัด’ แต่ก็ได้แค่คิดในใจไม่กล้าต่อว่าออกไป



“พี่ก็คงเบื่อแย่แล้วแหละ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวไป บางทีถ้าพี่เบื่อติวเตอร์เร็วมันก็คงจบเร็วไปด้วย ส่วนเรื่องธุรกิจของพ่อๆก็ปล่อยให้เขาไปเคลียร์กันเอาเองอีกทีละกันโดยไม่มีเรื่องของเราไปเกี่ยวอีก เงื่อนไขทั้งหมดตามนี้ถ้าไม่ตกลง พี่ไม่ช่วย”



“ได้ฮะ ตามนั้น”



“แต่ว่านะ กฎมันเยอะเกินไป บางทีข้อ2อาจจะต้องตัดทิ้งไปเลยนะ ถ้าน้องติวเตอร์อยากให้พี่รู้สึกว่าเราเป็นแฟนจริงๆละก็คงต้องยอมเปลืองตัวกันหน่อย”



ว่าจบทามก็หันหลังเดินนำไปก่อน มือล้วงกระเป๋าด้วยท่าทีสบายๆ อีกข้างยกขึ้นหยิบแว่นตาสีชามาสวม



“เท่ห์ตายแหละ บู่”



ติวเตอร์ทำปากจู๋ยื่นออกไปให้คนที่เดินนำไปก่อนอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ถอนหายใจเฮือกใหญ่



“เอาล่ะ ฮึบ สู้ๆติวเตอร์ ละครฉากใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”



มือบางกำยกขึ้นสูงระดับหน้าอก ให้กำลังใจตนเอง แล้วจึงวิ่งตามไปจนทัน สองมือบางของติวเตอร์คว้าหมับเข้าที่แขนแข็งแกร่งของทามแล้วเดินนวยนาดออกไปด้วยกัน



.

.

.

 

‘แตงโม นั่นพี่ทามของเธอรึเปล่า ไหนว่าคั่วกันอยู่ไง ทำไมมากับคนอื่นซะล่ะ’



‘นั่นสิยะ แล้วเด็กนั่นก็หน้าตาน่ารักซะด้วยสิ ถึงจะเป็นเด็กผู้ชายก็เถอะ’



‘ว่าไงนะ! พวกเธอพูดบ้าอะไร ทามกับฉันรักกันหวานชื่นจะตาย เมื่อวานนะเราทั้งคู่ยังขึ้นสวรรค์กันอยู่เลย’



‘นู้นไง/หันไปดูสิยะ’



กรี๊ดดดด

 

 

[Tuter part]

ตอนนี้เราทั้งคู่มาอยู่กันที่หน้าโรงภาพยนตร์แล้วครับ ผมก็เดินเกาะแขนไอ้พี่ทามมาตามเงื่อนไขทาสนั่น บทละครบทนี้ผมคงเหนื่อยเอามากๆแต่ก็คงได้แค่ทนรอให้มันจบๆไป ถ้าทำได้ดีแล้วพี่มันตกลง ผมก็ทนไปอีก3เดือน พ่อของผมก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้ ท่านเหนื่อยเพราะผมมาเยอะแล้ว เพราะฉะนั้น แค่นี้ผมทำได้ แค่ทำตัวให้สบายไม่ต้องคิดมาก เฉยไปซะพี่มันก็ไม่ค่อยแกล้งผมเท่าไหร่ คงแค่อยากเอาชนะมากกว่า



“อยากดูเรื่องอะไรครับติวเตอร์”



“พี่มีแนะนำไหม ผมไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ช่วงนี้”



“หนังผีไหมครับ”



“ทำไมต้องหนังผี พี่ชอบดูหรอ”



“ก็เปล่า แค่เวลามากับสาวๆพวกเธอชอบดูหนังผี เพราะเวลาตกใจก็ชอบมาซบไหล่พี่ สนใจไหมล่ะ พูดกันทั้งนั้นว่ามันอบอุ่นมาก”



“เชิญมโนไปคนเดียวเถอะฮะ ถ้าพี่ไม่เลือกผมเลือกที่ชอบนะ”



“เรื่องอะไรครับ”



“The Jungle Book 2016 ฮะ”



“เมาคลี?”



“ฮะ ทำไม ไม่ชอบหรอ”



“เปล่า พี่แค่แปลกใจ แต่ก็เหมาะดี”



นั่นเป็นอีกบทสนทนาที่ผมกับไอพี่ทามคุยกันอย่างปกติมากที่สุด พี่มันก็กวนประสาทผมไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือหน้าตาท่าทาง ไม่รู้ว่ามีความสุขมากนักรึไงก็ไม่รู้ ผมต้องทำตัวสบายเข้าไว้ เล่นละครให้สมบทบาทๆ

 

“พี่ทามฮะ รู้จักผู้หญิงคนนั้นรึเปล่า”



จู่ๆได้ยินเสียงคนกรีดร้องแว่วๆผมจึงหันไปมอง แต่ดันเจอผู้หญิงแต่งตัวเปรี้ยวหน้าตาสวยคนหนึ่ง เธอเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่บ่งบอกว่าไม่พอใจผมอย่างแรง เพราะอะไรน่ะหรอ ก็คงเพราะไอคนข้างตัวผมละมั้งเห็นพูดบ่อยๆว่าตัวเองกิ๊กเยอะ ให้ผมจัดการเอาเอง เหอะ ตาโตๆที่กรีดมาสคร่ามาซะเข้มของเธอจิกมาที่ผม ถ้าสายตาเธอเป็นมีดผมคงโดนเธอแทงเป็นรูพรุนไปทั้งร่างกายแล้วแหละ



“ไหนครับ อ่อ...คู่นอนคนล่าสุดของพี่เองครับ”



ไอพี่ทามพูดไปยิ้มไปหลังจากหันไปมองหน้าเธอคนนั้นแล้วหันกลับมาหาผม ถ้าไม่บีบให้ต้องขอร้อง ผมล่ะอยากกระทืบพี่มันตรงนี้จริงๆ แต่ผมก็ได้แค่คิดแหละ



“ทามคะ แตงโม กำลังจะโทรฯหาทามพอดีเลยค่ะ ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่ บังเอิญจัง เมื่อคืนแตงโมมีความสุขมากเลยนะคะ แล้ว..คืนนี้แตงโมว่างอีกแล้วนะคะ ถ้าทามสนใจ...”



เธอเดินเข้ามาแล้วคว้าหมับที่แขนไอพี่ทามอีกข้าง พูดไปออเซาะไปเบียดหน้าอกตูมๆสมกับชื่อเข้ากับแขนข้างนั้น ส่งสายตาหวานยาดเยิ้มให้กัน ผมว่าใจจริงเธอคงอยากเบียดผมให้ออกจากไอพี่ทามมากกว่าแต่ก็คงจะดูจงใจเกินไป ผมจึงปล่อยมือออกจากแขนพี่ทาม ทำหน้านิ่งๆเข้าไว้เดี๋ยวรู้กันหมดว่าผมรำคาญ แล้วหันหลังจะเดินหนีไปที่อื่นก่อนสักพัก



“ผมขอตัวสักครู่นะฮะ เชิญคุยกันตามสบาย”



“เดี๋ยวครับน้องติวเตอร์ จะรีบไปไหนครับ จัดการไล่เธอสิในฐานะแฟนของพี่”



พี่ทามคว้าแขนผมไว้ แล้วก้มลงกระซิบเบาๆที่หูในประโยคท้าย เลวจริงๆนั่นเป็นคำพูดที่ผมฟังแล้วถึงกับสะอึก เมื่อผมหมดประโยชน์ก็คงจะต้องโดนแบบเธอคนนี้สินะ



“ให้ผมไล่เธอเนี่ยนะ พี่นี่เลวจริงๆ ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงนะผมไม่ทำหรอก”



“ไม่ทำก็ตามใจ ยังไงพี่ก็ยังไม่ได้ตกลงจะช่วย พี่ไม่เดือดร้อนอยู่เเล้ว”



“หึ่ย! ก็ได้ ผมจะทำ”



“เดี๋ยว ครับ รู้ตัวหรือเปล่าครับว่าหลุดคำหยาบออกมา ไหนจะลืมแทนชื่อตัวเองอีก ไว้ค่อยว่ากันนะ”



ไอพี่ทามกระซิบที่ข้างหูของผม สีหน้ายิ้มแย้มนั่นคืออะไร เหอๆ ผมได้ยินขำกับตัวเองเบาๆ นี่ผมต้องเล่นบทร้ายสินะ แล้วไอพี่ทามก็เงยหน้าขึ้นหันไปยิ้มหวานให้กับเธอคนนั้น น่าหมั่นไส้ซะจริง



“มีอะไรกันรึเปล่าคะ แล้วนี่ใครหรอคะทาม น้องชายหรอ”



เธอทำหน้าสงสัยเอียงคอถามไอพี่ทามอย่างน่ารัก หันมามองทางผมแต่สายตาเสียดแทงซะเจ็บปวด ผมถึงกับสะอึก เอาก็เอา แปปเดียวเดี๋ยวมันก็จบ ผมจะเล่นละครตามที่พี่อยากเองไอพี่ทาม ผมเดินไปเกาะแขนพี่ทามเอาหัวเอนไปซบไหล่กว้างนั่น เอียงคอขึ้นมองพี่ทาม ส่งสายตาเศร้าๆไปบ้าง



“ทำไมกิ๊กพี่เยอะแบบนี้เนี่ย ผมเหนื่อยนะ”



ผมแกล้งทำหน้างอ ยกมือตีไปที่แขนพี่ทามแรงๆแกล้งงอนซะหน่อย ได้เอาคืนให้พี่มันเจ็บตัวก็ดีเหมือนกันนะ ผมยิ้มให้ตัวเองอย่างพอใจ แล้วก็เงยหน้ามองเธอที่ทำหน้าลุ้นซะ แล้วตัดสินใจเล่นบทต่อไป ในใจเธอคงกำลังสาปแช่งไม่ก็กำลังด่าไล่ผมทางสายตาแน่เลย ดุน่ากลัวซะมัดเลย



“ผมไม่ใช่น้องชายพี่ทามหรอกฮะพี่สาว แต่เป็นแฟนต่างหาก แล้วผมก็ไม่พอใจมากที่พี่สาวมาเกาะแกะแฟนผม พี่สาวก็สวยนะฮะ แต่ทำไมต้องมาแย่งของของคนอื่นด้วยล่ะฮะ พี่ทามเป็นของผม พี่สาวควรจะเลิกเข้ามาวุ่นวายได้แล้วนะฮะ ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ เราสองคนรักกันมากนะฮะ แต่ผมก็เข้าใจที่พี่ทามมีกิ๊กเพราะผมบอกเองแหละว่าผมยังไม่พร้อมเรื่องเซ็กส์  คงเข้าใจนะฮะว่าผมหมายถึงอะไร ยังไงผมก็ตัวจริง เข้าใจไว้ด้วยนะฮะ”



ผมพูดออกไปไม่ดังนัก ก็กลัวเธออายเหมือนกัน ยังไงก็ผู้หญิง อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะ แต่มันต้องม้วนเดียวจบ แค่นี้ผมก็เกร็งจะแย่แล้ว พูดไปมือจิกมือตัวเองไป ถึงจะทำใจกล้า ยืนเผชิญหน้ากับเธอแต่ข้างในมันสั่นไปหมดแล้ว ‘อยากให้รีสพาออกไปจากตรงนี้จัง’



“กรี๊ดดดดด อะไรกันทาม ทำไมไอเด็กนี่พูดจาร้ายกาจเเบบนี้คะ แล้วทำไมมันอ้างว่าเป็นแฟนของทามล่ะคะ เรามีความสุขกันมากนะคะทาม ไอเด็กบ้านี่มันเป็นผู้ชายนะคะ ทามคะ ตอบแตงโมมานะคะ!”



เธอที่ดูช็อกไป ทำตาโตเมื่อฟังผมพูดจบ ริมฝีปากสีแดงจัดกรีดร้องออกมาเสียงดังจนคนละแวกนี้หันมามองกันใหญ่ ปากเธอโวยวายลั่น ตาโตๆที่กรีดมาสคร่าเข้มมองจิกมาที่ผม แขนเธอก็เกาะแขนพี่ทามแน่นพร้อมเขย่าแรงๆไปด้วย หน้าเธอแดงไปด้วยความโกรธและอาย จนผมรู้สึกผิด ผมจึงปล่อยมือจากแขนพี่ทาม ก้มหน้าลงกัดปากล่างตัวเองจนเลือดซิบ



“ทามคะ! อย่าเงียบนะ บอกแตงโมมาเดี๋ยวนี้!”



“อย่างที่แฟนพี่พูดเลยครับแตงโม”



“กรี๊ดดดด ทำไมล่ะคะทาม เด็กบ้านี่มันดีตรงไหนคะ ไหนทามบอกว่าชอบแบบแตงโมไงคะ อกตูมๆแบบนี้สเปคทามไม่ใช่หรอคะ แต่นี่มันเด็กผู้ชายชัดๆนะคะไม่มีแม้แต่หน้าอก ทำไมทามถึงบอกว่าเป็นแฟนได้ ทั้งๆที่ทามไม่เคยคิดจะคบกับใครจริงจังเลยล่ะคะ”



ผมเงยหน้ามองเธออีกครั้ง หน้าเธอดูแดงไปหมดอย่างหน้าสงสาร ผม เล่นแรงไปรึเปล่านะ แต่ ผมถอยไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าใจอ่อนทั้งๆที่เพิ่งเริ่มต้นสิติวเตอร์ ละครเรื่องนี้ยังอีกยาวไกล



“พี่ทามฮะ เตอร์ไม่อยากดูหนังแล้ว”



“อ่า พี่ขอตัวนะครับแตงโม ไปกันเถอะครับน้องติวเตอร์”



ว่าจบผมก็เดินลากแขนไอพี่ทามออกมาจากตรงนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่ผมไม่ต้องเข้าไปนั่งดูหนังกับไอพี่ทามกันสองคน เธอก็ได้แต่กรีดร้องโวยวายเสียงดังลั่น จนคนรอบข้างหันมามองมากขึ้น ไอ้พี่ทามก็เอาแต่ยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูเดินลอยหน้าลอยตาไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร แตกต่างจากผมที่กัดริมฝีปากตัวเองแน่น ต้องจบเร็วๆ ต้องจบเร็วๆ



“เดี๋ยวสิคะทาม เรายังเคลียร์กันไม่จบเลยนะคะ ทามคะ!”



“อ่อ เดี๋ยวฮะพี่ทาม... พี่สาวฮะ เป็นไปได้อย่าติดต่อกับพี่ทามอีกเลยนะฮะ เพราะพี่ทามคงเบื่อพี่แล้ว อีกอย่างพี่ทามมีผมเป็นเเฟนอยู่แล้วคงไม่ต้องการพี่สาวอีก เรารักกันมากฮะ ขอโทษนะฮะพี่สาว”



เธอโวยวายเสียงดััง ทำท่าจะเดินตามมา ผมหยุดเท้าไว้แล้วหันกับไปมองพูดกับเธออีกครั้ง เพราะเรื่องมันต้องจบเร็วๆ กับคำพูดขอโทษในประโยคสุดท้ายที่ผมพูดออกไปจากใจ แต่เธอคงไม่เข้าใจ แล้วผมก็ตัดสินใจเดินควงไอพี่ทามเดินออกไปจากตรงนั้นทันที ผมคงไม่กล้ามาแถวนี้อีกนานเลย น่าอายชะมัด แถมรู้สึกผิดเอามากๆ



.

.

.



เดินออกมาได้สักพัก ผมก็สะบัดแขนพี่ทามทิ้งถูมือไปมาอย่างรังเกียจ เพราะพี่ทามคนเดียวผมถึงต้องทำร้ายจิตใจคนอื่นแบบนี้ พี่ทามก็หยุดเดินแล้วพูดออกมา หน้าตายิ้มแย้มมีความสุขเว่อร์จนน่าหมั่นไส้ พูดเเขวะผมออกมา



“หึหึ เล่นพี่อึ้งไปเลยนะครับเนี่ยที่น้องติวเตอร์เล่นได้ขนาดนี้ พี่เกือบเชื่อเลยนะครับว่าน้องติวเตอร์รักพี่จริง และหวงพี่มาก แล้วแบบนี้พี่ก็คงอดกินเธออีกเลย แตงโมเธอเด็ดซะด้วย”



“งั้้นหรอฮะ ก็ดี พี่จะได้ตกลงช่วยผมเร็วๆไง แล้วช่วยพูดถึงคนอื่นดีๆหน่อยได้ไหมครับ เธอเป็นผู้หญิงควรให้เกียรติเธอบ้างสิฮะ”



ผมยิ้มหวานส่งไปให้พร้อมคำพูดที่จงใจประชดประชัน



“เดี๋ยว! นี่หยุดนะ! พี่ทามจะลากผมไปไหน”



จู่ๆพี่ทามก็หยุด หันมามองหน้าผมนิ่งๆ แล้วคว้าหมับเข้าที่แขนข้างซ้ายผม ออกแรงกระชากให้ผมเดินตามไปจนเจ็บแขนไปหมด



“พี่ทามฮะ! ปล่อยผมนะ ผมเจ็บ! จะพาผมไปไหน”



“พี่ก็พาเด็กดื้อไปลงโทษไงครับ รู้ตัวรึเปล่าว่าทำผิดอะไรไว้ตั้งเยอะ”



“เดี๋ยวฮะ ผมทำผิดอะไรพี่ก็พูดมาสิ ทำไมต้องลากมาแบบนี้ด้วยเล่า มันเจ็บนะ เดี๋ยวสิ จะผลักผมเข้าไปทำไม!”



ปึง!!



พี่ทามลากผมมาถึงห้องน้ำ มือก็ผลักประตูหาห้องที่ว่าง เมื่อเจอก็เหวี่ยงผมเข้าไปด้านในห้องส้วมอย่างแรง จนตัวผมเซไปนั่งอยู่บนส้วม เจ็บชะมัด



แกร๊ก!!



“พี่จะเข้ามาทำอะไร แล้วทำไมต้องล็อคประตูด้วย ปล่อยผมออกไปนะ ถ้าอยากเข้าห้องน้ำก็เข้าไปคนเดียวสิ หลบ! ผมจะออก!”



เมื่อได้ยินเสียงล็อคประตูผมก็รีบหันไปมอง ดันตัวเองขึ้นก้าวขาจะออกไปด้านนอก มือก็ผลักพี่ทามออกให้พ้นทาง



พี่ทามคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของผมขณะที่ผมกำลังผลักพี่มันออก สายตาเจ้าเล่ห์กับรอยยิ้มแปลกๆนั่น ทำให้ผมทำตัวไม่ถูก ได้แต่ขมวดคิ้วแน่น พี่ทามดันตัวผมให้ชิดผนังห้องน้ำ โดยเอาตัวใหญ่ๆของตัวเองดันตามมาด้วย เพื่อกันให้ผมหลบออกไปได้ ตามด้วยใบหน้าของพี่แกที่ก้มลงมาอย่างจงใจ บดเบียดปากหนาลงกับปากผมอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่ตกตะลึงไม่คิดว่าพี่มันจะทำแบบนี้



“อื้อออออ อ่อย อ๋มนะ อ๋มเอ็บ” (ปล่อยผมนะ ผมเจ็บ)



พี่ทามถอนปากออกมองที่ริมฝีปากผม พูดขึ้นเบาๆ แล้วก้มหน้าลงมาใกล้ผมอีกครั้ง จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจ



“เเฮ่ก จะ จูบผมทำไม”



ใบหน้าผมตอนนี้ร้อนไปหมด คงจะแดงมากแน่ๆไม่รู้ว่าเพราะจะหมดอากาศหายใจเพราะโกรธหรือเพราะอายกันแน่ จูบแรกของผม ทำไมต้องเป็นคนแบบนี้นะ



“อ่า ไม่รู้ตัวหรอครับว่าทำผิดอะไร”



พี่ทามยังคงยิ้มแย้มจนหน้าหมั่นไส้เหมือนเดิม ใบหน้านั่นก็ยังคงก้มมาเรื่อยๆทำท่าจะจูบผมอีกครั้ง ผมจึงเบือนหน้าหนีตะโกนต่อว่าออกไป มือก็ผลักพี่ทามออกห่างจากตัว ดันตัวเองให้หลุดจากอ้อมแขนพี่ทาม



“อะไรเล่า! นี่! ปล่อยผมนะ”



“อื้อ อ่อยน้า”



ผลัก!



พี่ทามเบียดตัวเข้าหาผมมากขึ้น จนผมขยับไม่ได้แล้ว ผมจึงรวบรวมแรงแล้วผลักพี่ทามออกห่างจากตัวอีกครั้ง ดันตัวเองออกจากผนังสำเร็จ แต่อยู่คนละด้านกับประตู มือก็ยื่นดันพี่ทามเอาไว้ตลอดเพราะพี่ทามขยับเข้ามาหาผมตลอดเวลา



“พูดสิ บอกผมว่าผิดอะไร ทำไมต้องจูบผมด้วยเล่า”



“หึหึ น่ารักจังนะครับ”



นะ น่ารัก น่ารักอีกแล้ว ผมไม่ชอบคำนี้จริงๆนะ ผมว่าตอนนี้หน้าผมคงแดงขึ้นอีกแน่ๆ แย่ละสิ ต้องโมโห ติวเตอร์ข้อตกลง



“นี่! ข้อตกลงว่ายังไง บอกแล้วใช่ไหมฮะว่าอย่าพูดว่าผมน่ารักน่ะ”



“ครับ ข้อตกลงว่าไง พี่ก็บอกติวเตอร์แล้วใช่ไหม ว่าถ้าไม่เรียก พี่ทาม แทนตัวเองด้วยชื่อ พี่จะทำโทษเราในแบบของพี่ มาให้พี่ทำโทษดีๆดีกว่านะครับ พี่รับปากเลยว่าจะให้คำตอบว่าจะตกลงไหมภายในอาทิตย์นี้”



“ฮึ่ย! พี่พูดแล้วนะ อีก 6 วันผมต้องได้คำตอบ!”



ทำไมผมต้องยอมขนาดนี้นะ เปลืองตัวซะมัด แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนั้นละก็ ถ้าผมไม่ทำพ่อก็ต้องเดือดร้อน ผมต้องทำ



“อยู่นิ่งๆนะครับ แฟน ของพี่”



“อ้ะ มะ อื้มมมม”



พี่ทามเอื้อมมือขึ้นมาวงทาบไว้ที่แก้มของผม นิ้วโป้ไล้เบาๆที่แผลบนปากของผม ดวงตาเราประสานกันนิ่ง ใจผมเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้นบ้าๆ ใบหน้าพี่ทามก้มลงมาเรื่อยๆ จนจมูกโด่งชิดกับจมูกผมลมหายใจอุ่นร้อนเป่าลดเบาๆ แล้วค่อยๆทาบริมฝีปากหนาของพี่ทามลงที่ริมฝีปากของผมอีกครั้งอย่างช้าๆ ผมได้แต่หลับตาปี๋ เกร็งไปทั้งตัวและหัวใจที่เต้นระรัว พี่ทามไล้ชิมตั้งแต่ริมฝีปากล่าง ไล้วนตรงแผลที่ผมกัดปากตัวเองจนแตกอย่างเบาๆ ไล้ริมฝีปากบน ลิ้นร้อนค่อยๆดุนดันเข้าไปในปากผม ตวัดไล้ชิมทุกส่วนภายในปากผมอย่างเล่าร้อน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างนุ่มนวล หอมหวานเหมือนลูกกวาดรสอร่อย จนมีน้ำใสๆไหลเยิ้มมุมปากอย่างไม่ได้ตั้งใจ สมองผมขาวโพลนไปหมด จูบ...มันเป็นแบบนี้เองสินะ

 





...

สวัสดีค่า เอาคู่ พี่ทาม น้องติวเตอร์ มาลงให้อ่านกันไปพรางๆ น่ารักกันไหมคะ

จริงๆกลัวคนอ่านลืมTT แง

เม้นๆเค้าด้วยน้า ไว้จะมาอัพให้เรื่อยนะ ให้ผ่านช่วงมรสุมนี้ไปก่อน อย่าทิ้งเค้าน้า

ปลล.เรื่องแก้คำผิดต่างๆเอาไว้หลังๆค่อยแก้นะคะ ตอนแรกๆ
ปลลล.นิยายเรื่องนี้สดนะคะ ถ้ามีไรผิดพลาดก็ขออภัยด้วยค่ะ
แฟนเพจค่า
https://www.facebook.com/AkumaBK/

 
พล็อตแปลกมากอ่ะค่ะ ตอนนี้รีสเริ่มชอบเฟิร์สแล้วสิ ไม่รู้ดร.จะทำอะไรกับร่างกายของรีสบาง รู้สึกสงสารค่ะ เหมือรีสเป็นหุ่นเชิด
พล็อตอปลกยังไงหรอคะ แล้มมันดีหรือไม่ดี มีอะไรเม้นๆบอกกันได้เลยน้า อ่านพี่ทามน้องติวเตอร์ก่อนน้า ไว้คราวหน้ามาดูคู่หลักกันต่อ

ไรต์เตอร์สู้ๆนะคะ ^^
ขอบคุณนะคะ มีกำลังขึ้นมาเลย เข้ามาอ่านคอมเม้นทีไร ชื่นใจทุกที ต้องขอิภัยในความล่าช้าด้วยนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-04-2016 03:23:56 โดย สิบสาม13 »

ออฟไลน์ rosetears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ทามแอบร้ายนะนั่น555 ส่วนเตอร์ก็เด็ดเหมาะกันดีนะ
#ด้วยความยินดีค่าไรต์ ส่วนเรื่องล่าช้ารอได้ค่า ^^

ออฟไลน์ rosetears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :mew2: รอนะคะไรต์  :mew1:

ออฟไลน์ สิบสาม13

  • นามปากกา AkumaBK
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
    • ติดต่อได้ที่ บ้าน Yaoi , Boy'Love Akumabk


me die

19 : ความสุขแสนสั้น

แสงแดดอ่อนในยามเช้าไล้ไปตามชายคาบ้านเล็กๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้านในชนบท รอบๆตัวบ้านเป็นป่า จะมีก็แต่ด้านหน้าของบ้านหลังเล็กเท่านั้นที่เป็นทางเดินเชื่อมไปสู่ถนนเข้าหมู่บ้าน ถัดออกไปไม่ไกลจะมีน้ำตกเล็กๆที่มีน้ำตลอดปีไว้ให้ชาวบ้านได้ใช้งาน ยามเช้าจะได้ยินเสียงนกน้อยร้องเพลงขับกล่อมประสานไปกับเสียงป่าเขาลำเนาไพรเสนาะหู

ภายในบ้านหลังเล็กที่ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งอาศัยอยู่เป็นเวลากว่า5วันแล้ว ชีวิตประจำวันที่นี่ของเขาก็เหมือนเช่นช่วงแรกๆที่ยังปรับตัวให้คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมยังไม่ได้มาก เวลากลางคืนที่นอนหลับเป็นต้องผวาตื่นมาหลายๆรอบทุกครั้ง จากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเขานั่นเอง

“เช้านี้ก็สดชื่นเหมือนเดิมสินะ ที่นี่สวยและสงบมากเลย อยากอยู่ที่นี่นานกว่านี้จัง”

ดวงหน้าเรียวหลับตาพริ้มยืดตัวตรง กางเเขนสองข้างออกกว้างสูดอากาศบริสุทธิ์ อยู่หน้าบ้าน แล้วลืมตามองสำรวจรอบๆบ้านอย่างสดชื่น บรรยากาศที่นี่ทำให้เขาสงบลงมากในเวลาอันสั้น เวลาที่ได้เห็นธรรมชาติที่สวยงามมักทำให้เขาลืมหน้าปีศาจร้ายในความทรงจำได้ เขาเลยเลือกที่จะออกมายืนเช่นนี้ในทุกๆวันเป็นเวลานาน

“อ๊ะ สร้างรังยังไม่เสร็จหรอเจ้านกน้อย น่าอิจฉาจังที่ใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างอิสระ”

เขาเดินไปพูดคุยกับนกน้อยคู่หนึ่งที่มาสร้างรังอยู่ใกล้ๆอย่างชื่นชม และอิจฉาไปด้วย อิสระที่กำหนดชีวิตตัวเองได้ สามารถดำเนินทุกอย่างอย่างที่ใจอยากจะทำ ถึงปีกจะเล็กเพียงใดแต่ก็พยุงและพาตัวของมันไปได้ทุกแห่งหนดังใจนึก

“แต่ถึงจะอิสระเพียงใด ก็ย่อมมีหน้าที่ที่ต้องพึงกระทำ นกยังรู้ตัวเอง ฉันก็ควรรู้ตัวเองได้แล้วสินะ”

ดวงตาคู่งามหม่นลงเล็กน้อย เขาสูดลมหายใจเข้าปอด บอกตัวเองสู้!ในใจ แล้วจึงยิ้มน้อยๆให้กับนกคู่นั้น และเดินไปชมรอบๆบ้านสักพักจึงเข้าไปเตรียมอาหารเช้าอย่างเช่นทุกวัน

บางวันสายๆหน่อยก็จะเดินเข้าป่าไปน้ำตกพร้อมกับชาวบ้านคนอื่นๆ หรือไปนั่งเล่นกับเด็กๆในหมู่บ้าน พอตกเย็นก็จะกลับมาอยู่ในบ้าน และเตรียมเข้านอน


ชายหนุ่มที่ว่าก็คือ เฟิร์ส เขาได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านเล็กๆแห่งนี้โดยความช่วยเหลือของหมอพอลที่บอกว่าเจอเขาสลบอยู่หน้าคลีนิค ให้เขามาพักรักษาที่นี่โดยใช้วิธีธรรมชาติบำบัด ให้ธรรมชาติช่วยเหลือจิตใจที่ว้าวุ่นของเขาให้กลับมาปกติ เขาก็อยากจะอยู่ที่นี่ต่อ ชีวิตที่สงบสุขของคนที่นี่น่าอิจฉาเหลือเกิน แต่เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว เลยกำหนดเวลาที่พ่อให้ 7 วันมาแล้ว ไม่รู้ว่ากลับไปจะโดนลงโทษยังไงบ้าง และที่ผ่านมาเขายังไม่ได้เรียนรู้งานอะไรเลย แต่ยังไงก็ต้องกลับถ้าไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน โดยเฉพาะไอพี่บ้านั่นที่ยอมรับหลายๆอย่างแทนเขามามากเเล้ว

“สวัสดีครับ เฟิร์ส เช้านี้เป็นยังไงบ้างครับ”

“อ่า สวัสดีครับพี่หมอ ก็ปกติครับสดชื่นเหมือนเดิม”

หมอหนุ่มในชุดไปรเวทสบายๆเสื้อเชิ๊ตสีฟ้าอ่อนพับแขนกับกางเกงสามส่วนสีครีมดูสุภาพ เดินลงจากรถแล้วตรงมายังอีกคนที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นเลยเข่าขึ้นมาหน่อยสีน้ำเงินเข้มที่ได้รับจากคนที่เดินมาซื้อให้ระหว่างทางก่อนมาอยู่ที่นี่ หมอพอลยิ้มให้กับเฟิร์สจนตาหยีตามแบบฉบับหนุ่มหน้าตี๋ของตน แล้วนั่งลงข้างๆพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย

“วันนี้ดูแปลกตานะครับพี่หมอ ปกติเห็นแต่เสื้อกราวด์เต็มยศ”

“ครับผม วันนี้วันหยุดพี่น่ะครับ นานๆทีกว่าจะมี เฮ้อ เป็นหมอนี่เหนื่อยจริงๆ”

หมอพอลบ่นอุบ แต่ใบหน้ากับยิ้มแย้มดูภูมิใจ จนเฟิร์สอดแซวกับไม่ได้

“เหนื่อยแน่หรอครับ บ่นไปยิ้มไปแบบนี้ พี่หมอนี่เป็นคนยิ้มง่ายนะครับ ใจดีแถมยังสุภาพ เป็นคนดีสุดๆ ถ้าเป็นสมัยที่ผมยังเป็นโฮสต์อยู่ ผมคงจีบพี่ไปแล้ว”

“พี่ไม่ใช่คนดีหรอกครับ ถ้าเฟิร์สรู้บางเรื่องเฟิร์สอาจจะไม่อยากคุยกับพี่ก็ได้นะครับ ฮ่ะๆ ว่าแต่ เฟิร์สเคยเป็นโฮสต์ด้วยหรอครับ เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ”

“ได้เลย ตอนนั้นนะ ผม...”


ทั้งสองนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยไปสักพัก เฟิร์สดูอาการดีขึ้นมาก ดูสบายใจคิ้วไม่ขมวดตลอดเวลาแล้ว จะมีก็แต่บางครั้งที่หมอพอลสังเกตเห็นเองว่าเฟสคอยมองรอบๆอย่างหวาดระเเวงเสมอแต่จะยิ้มกลบเกลื่อนทุกครั้งไป

หลังจากวันนั้นที่หมอพอลพาเฟิร์สหนีออกมาจากคอนโดรีสได้ ก็พามาอยู่ที่นี่เพื่อให้สงบจิตใจ ซึ่งช่วยเฟิร์สได้อย่างมากทีเดียว ซึ่งที่นี่ไม่ได้ไกลจากคลีนิคมากนักเพียงแค่เฟิร์สไม่รู้ว่าคือที่ไหน หมอจะมาหาเขาทุกวันตอนเช้าก่อนเข้างาน และตอนเย็นบางวันที่มีเวลา จัดยาและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆมาให้เขา แรกๆก็อยู่พูดคุยกับเฟิร์สจนเฟิร์สรู้สึกดีขึ้น ทั้งตอนอยู่ในคลีนิคและตอนนี้ จึงได้เชื่อและยอมทำตามวิธีรักษาของหมอ จนใจสงบขึ้นไม่ฟุ้งซ่านและหวาดกลัวเหมือนวันแรกๆที่ยังอยู่ในคลีนิค ซึ่งตอนนั้นยังคงต้องฉีดยาระงับประสาทให้สงบลงหลายต่อหลายเข็ม และนานเลยทีเดียวกว่าจะยอมเปิดปากเล่าเรื่องน่ากลัวที่พบเจอมาให้ฟัง ถึงจะไม่หมดแต่หมอพอลก็รู้อยู่ดี

“แล้ว...เฟิร์สไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้วหรอครับ ทำไมถึงได้รีบอยากจะกลับจัง”

ใบหน้าของเฟิร์สหม่นลงเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำถาม ดวงตามองออกไปไกล เอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา

“มันถึงเวลาแล้วน่ะครับ ...ผมไม่อยากให้ใครเดือดร้อน ไม่รู้ว่าทุกคนจะเป็นยังไงกันบ้างแล้ว”

หมอพอลเงียบไปสักพัก รอดูปฏิกิริยาของเฟิร์ส ในเมื่อเห็นว่าแค่เศร้าหมองไม่ได้ร้ายแรงจึงพูดต่อ

“แล้วเรื่องนั้น...โอเคแล้วหรอครับ”

ดวงตาไหวสั่นเล็กน้อย ปากเม้มเข้ากัน มือเรียวเกร็งเหมือนจะยกขึ้นมากอดตัวเอง แต่ก็ฝืนวางลงที่เดิมได้ และค่อยๆคลายลงผ่อนลมหายใจไม่เกร็งจนเห็นได้ชัดเกินไป แล้วจึงเอ่ยตอบ

“...ถ้าไม่คิดถึงผมก็ไม่กลัวแล้วครับ...ที่นี่ช่วยผมได้มากทีเดียว ขอบคุณพี่หมอนะครับ ผมอยากกลับเลยเราไปลาคนในหมู่บ้านแล้วกลับกันเลยดีกว่านะครับพี่หมอ”

“ได้ครับ”

“ผมขอเข้าไปเอาของก่อนนะครับ”

ว่าจบเฟิร์สก็เดินเข้าไปในบ้านทันที ปฏิกิริยาตอบโต้เมื่อพูดถึงฝันร้ายนั้นดูสงบขึ้น หมอพอลได้ยิ้มพอใจ และดีใจที่ได้ช่วย ถ้ามีเวลามากกว่านี้ก็คงดี จะได้ดูแลใกล้ชิดแบบนี้ได้ หมอพอลได้แต่พึมพำกับตัวเอง

“ฝันร้ายมันจะตามหลอกหลอนไปตลอดเพราะมันฝังเข้าไปในจิตสำนึกแล้ว ไม่มีทางที่มันจะดีขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆได้หรอก พี่เป็นหมอนะเฟิร์ส ทำไมถึงได้หลอกหมอกันนะ แต่ดีขึ้นได้ขนาดนี้ก็เก่งมากแล้ว ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงดีว่าแท้ๆ”

...

“ไปกันเถอะครับ บางอย่างผมทิ้งไว้ที่นี่นะครับ เผื่อมีโอกาสกลับมาอีก”

“ครับ”

เฟิร์สเดินออกมาจากบ้าน คำพูดดูมีความสุข รอยยิ้มประดับหน้าเมื่อหันกลับไปมองบ้านเป็นครั้งสุดท้าย โดยที่ทุกอย่างอยู่ในสายตาของหมอหนุ่มตลอดเวลา และ ‘คงไม่มีโอกาสได้กลับมา’ ที่ดังในใจหมอหนุ่มแต่ไม่กล้าพูดออกไป

.
.
.

หมอขับรถออกมาจากหมู่บ้านและขับวนให้ดูไกล เพราะเฟิร์สไม่รู้ว่าจริงๆแล้วหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไหร่ เฟิร์สผู้ไม่รู้เส้นทางก็ได้แต่นั่งจนผล็อยหลับไปในที่สุด หมอพอลเหลือบมองเสี้ยวหน้าของเฟิร์สนิ่งพรางถอนหายใจ ไล่สายตาสำรวจ ใบหน้ายามหลับของเฟิร์สที่ดูทรมาน คิ้วที่ขมวดชนกัน เหมือนทุกครั้งในยามหลับ บางครั้งก็จะมีอาการเกร็ง มือยกกอดร่างกายที่กำลังสั่นไหว ลมหายใจที่บางครั้งก็ติดขัดเหมือนคนขาดอากาศ แล้วไหนจะเสียงละเมอพึมพำขอชีวิตขออิสระ ที่หมอเห็นจนบ่อย แต่ก็ไม่ชินสักที

“แม้แต่ยามหลับก็ยังดูทรมาน แล้วผมจะไม่สงสารได้ยังไงกัน”

หมอพอลได้แต่พึมพำ และคิดไปถึงวันแรกๆที่รักษาเฟิร์สที่คลินิก

...

[หมอพอล]
วันนั้นผมตัดสินใจพาเฟิร์สออกมาจากคอนโด ซึ่งผมไม่รู้ว่าคืดถูกหรือผิด แต่ก็ทำมันลงไปแล้ว ผมพาเฟิร์สมาที่คลินิคที่ผมเปิดไว้บังหน้าเวลามาทำงานหาข่าวข้างนอก ที่นี่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวมีผมและพยาบาลที่ไว้ใจได้อีกคน

พอมาถึงผมก็ให้พยาบาลปิดคลินิคทันที จัดการพาเขามานอนพักที่ห้องฉุกเฉิน ตรวจร่างกายเขาโดยละเอียดอีกครั้ง และจัดการให้น้ำเกลือ ที่เหลือก็รอให้เขาตื่นขึ้นมา ผมอยู่เฝ้าเฟิร์สที่คลินิคต่อและให้พยาบาลกลับบ้าน เธอไม่ถามถึงรายละเอียดสักคำ ได้แต่ยิ้มอ่อนๆให้ผมและจัดการทำหน้าที่ของตนอย่างขยัน จนกลับไป

ร่างกายของเฟิร์สอ่อนแอมาก อุณหภูมิร่างกายขึ้นสูงจนน่ากลัว ดูโทรมและซูบลงไปอย่างเห็นได้ชัด แม้ในเวลาไม่กี่วันเท่านั้น รอยบีบเค้นและจุดแดงๆบนผิวดูช้ำจนเป็นสีม่วง รอยบาดแผลฉีกขาดที่ช่องทางด้านหลังยังคงมีเลือดซึมออกมาตลอดเวลา ผมจึงให้เฟิร์สสวมชุดคนไข้แบบตัวยาวแทนที่จะเป็นกางเกงเพราะต้องคอยดูแลส่วนนั้นตลอดเวลา

“เห้อ น่าสงสารจริงๆ พักผ่อนไปก่อนนะครับคุณเฟิร์ส ผมขอตัวไปชงกาแฟสักครู่ แล้วจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนนะครับ”

ผมยืนมองคนไข้เคสพิเศษของผม ยื่นมือออกไปลูบหัวเบาๆด้วยความสงสาร แต่อีกคนกับสะดุ้งนิดๆเมื่อผมสัมผัสโดน ผมได้แต่ถอนหายใจยาว และเดินไปชงกาแฟ คืนนี้ผมคงไม่ได้นอนแน่ๆเลย

“อ๊ากกก! ปีศาจ! ปีศาจ! ปล่อย!”

เคร้ง!

“คุณเฟิร์ส! หรือว่ารีส...”

เสียงช้อนกาแฟหล่นกระทบพื้นดังลั่น มือวางกาแฟลงบนโต๊ะ ขาเก้านำไปข้างหน้าอัตโนมัติ

“คุณเฟิร์สครับ ไม่มีอะไร ไม่ใครทำอะไรคุณนะครับ ใจเย็นๆครับ”

ร่างกายของคุณเฟิร์สสั่นเทิ้มไปทั้งตัว มือเท้าเกร็งแน่น คิ้วขมวดกันเป็นปม แต่ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ได้แต่เกร็งหดตัวให้เล็กลง่กับที่นอน ผมจึงเอื้อมมือไปจับแขนทั้งสองข้างของคุณเพื่อให้สงบลง แต่ปฏิกิริยากับตรงกันข้าม

“ฮึก! ไม่นะ เจ็บ! เจ็บ! ปล่อยนะ!”

คุณเฟิร์สลืมตาขึ้นมามองตรงมายังผม พยายามดิ้นขัดขืนแต่ไม่แรงมากเหมือนกลัวว่าผมจะทำร้ายเขามากขึ้น น้ำตาใสเริ่มไหลเอ่อล้นออกมามากมายจากดวงตาช้ำบวม ร่างกายสั่นเทามากขึ้น ยกมือกกกอดตัวเองแทนที่จะป้องกัน

“คุณเฟิร์สครับ ใจเย็นๆ ผมเป็นหมอนะ หมอพอลไงครับ ไม่ใช่ปีศาจ ใจเย็นๆนะครับ”

ผมพยายามปลอบให้คุณเฟิร์สสงบลง ยิ่งจะเข้าไปสวมกอดเพื่อให้สงบ แต่ผลตรงกันข้ามหมด คุณเฟิร์สร้องไห้จนตาแดงช้ำบวมมากกว่าเดิม ปากก็พึมพำให้ปล่อยตนเอง ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ท่าทางน่าสงสารและเวทนาที่สุด คุณเฟิร์สในตอนนี้ไม่มีสติหลงเหลืออยู่เลย

“ฮือออ ขอร้อง อย่าทำกู ปล่อยกูไป เจ็บ ฮือ”

“คุณเฟิร์ส...”

ผมจึงปล่อยมือออกและถอยห่างออกมา หยิบยาระงับประสาทฉีดเข้าไปในสายน้ำเกลือ คุณเฟิร์สก็ได้ขยับกายหนีจนชิดหัวเตียง ยกมือปิดหูตัวเองก้มหน้าลงกับชันเข่าขึ้น ไม่รับรู้อะไรแล้ว ผมไม่รู้ว่าคุณเฟิร์สเห็นและได้ยินอะไรอยู่จนเป็นถึงขนาดนั้น้จนยาออกฤทธิ์คุณเฟิร์สถึงสงบลงและหลับไปในที่สุด คุณเฟิร์สเป็นแบบนี้อยู่ทุกคืนจนวันที่คุณเฟิร์สรู้สึกตัวในเช้าวันนั้นเอง

...

หมอพอลจอดรถเข้าที่เรียบร้อย มองหน้าเฟิร์สสักพัก จนตัดสินใจปลุกขึ้นมา เพราะเฟิร์สเหมือนจะเริ่มฝันร้ายอีก

“เฟิร์สครับ ตื่นเถอะครับ ถึงแล้ว”

“อ๊ะ! อืม..พี่หมอเองหรอครับ ผมหลับไปหรอเนี่ย ขอโทษนะครับ เรามาถึงคลีนิคพี่หมอแล้วหรอครับ”

เฟิร์สสะดุ้ง ปัดมือของหมอพอลที่เอื้อมมาเขย่าเบาๆเพื่อปลุกเขาออก แต่หมอพอลก็ยิ้มบางๆให้และพูดคุยด้วย น้ำเสียงของหมอยังนุ่มนวลน่าฟังเหมือนเดิม ในบางครั้งเสียงของหมอพอลก็ทำให้เฟิร์สหลับเร็วได้อย่างน่าประหลาด เป็นเสียงที่เพราะและเป็นเหมือนดังยากล่อมให้ฝันดีสำหรับเฟิร์สจริงๆและเขาก็เชื่อว่าถ้าเเรมป์มาเจอก็ต้องคิดแบบเดียวกับเขา ก็เพราะทั้งคู่มักชอบอะไรเหมือนๆกัน

“ไม่ใช่คลินิกหรอกครับ แต่เป็น...”

.
.
.

“สวนสนุก! ว้าว~ ผมไม่เคยมาเลยนะเนี่ย ดูน่าสนุกจัง น่าเล่นไปหมดเลย พี่หมอไปเร็วครับ”

เฟิร์สยิ้มกว้างดูตื่นเต้นมากๆกับการมาเที่ยวสวนสนุกในครั้งนี้ มองซ้ายมองขวาทุกอย่างดูแปลกใหม่ไปหมด ชี้เครื่องเล่นเครื่องต่างๆและจะจูงมือของหมอพอลไปทันที

“ใจเย็นๆครับเฟิร์ส ไหนบอกเคยเป็นโฮสต์ ทำไมดีใจเป็นเด็กๆไปได้ ไม่เห็นเหมือนเลยนะโฮสต์น่ะ ฮ่ะๆ”

หมอพอลเห็นดังนั้นก็ยิเมมีความสุขตามไปด้วย คืดในใจตลอดว่าตัดสินใจถูกที่พาเฟิร์สมา เพราะเฟิร์สดูผ่อนคลายมากๆ

แต่พอหมอพอลพูดออกไป เฟิร์สกับหุบยิ้มทันที ใบหน้าดูเจื่อนลง ก้มหน้าลงพูดเสียงเศร้าออกมาเบาๆ

“ขอโทษครับ ผมดีใจเกินไปหน่อย ก็ผม ไม่เคยได้มาเล่นสนุกกับเพื่อนๆข้างนอกบ้านเลย...นอกจากโรงเรียน พ่อของผมบอกว่ามันอันตราย พวกเราเลยอยู่แต่ในบ้าน”

“พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยครับ อย่าเศร้าสิ แล้วก็ไม่ต้องขอโทษด้วยนะ”

หมอพอลเห็นดังนั้นก็ยิ้มเอ็นดู พูดเสียงนุ่มออกมาปลอบประโลม ซึ่งก็ได้ผลดีเกินคาดที่เฟิร์สยิเมได้อีกครั้ง

“ผมไม่ได้เศร้าสักหน่อย แล้วก็พอผมอายุ18ปี ผมก็ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างจากพ่อที่เด็กคนอื่นไม่มีวันจะได้เห็น”...ก็ผมน่ะ เห็นคนตายต่อหน้าต่อตาเลยน่ะสิ แต่ก็ไม่สามารถช่วยได้เลย ทำได้แค่หนีออกจากความจริงตรงนั้นชั่วคราว ถึงมันจะกลายเป็นฝันร้ายในทุกๆครั้งก็ตาม แต่ใครจะไปบอกพี่หมอกัน พี่หมอเป็นคนดีเรื่องแบบนี้ไม่เหมาะหรอก
เฟิร์สได้แต่เก็บไว้ในใจไม่ได้เอ่ยออกมา เฟิร์สคิดมาตลอดว่าที่เขาเจ็บปวดเพราะเขาเองก็มีส่วนโดยเฉพาะเรื่องที่ปีศาจตามมาทวงเอาคืน

“ช่างมันเถอะครับ ตอนนี้ผมอยากเล่นมากกว่า ไปกันเลยมั้ยครับ ผมอยากเล่นแล้ว!”

เฟิร์สเก็บความข่มขื่นเข้าไปในใจ แล้วยิ้มออกมา เขาขอมีความสุขตรงนี้ก่อนดีกว่า

“ฮ่าๆๆ ครับๆ เราไปเล่นกันเถอะ วันนี้เล่นให้สุดเหวี่ยงไปเลย เดี๋ยวพี่จะเป็นไกด์ให้เอง”

แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในสวนสนุก เฟิร์สดูตื่นเต้นและสนุกไปหมดทุกอย่าง แตกต่างจากหมอพอลบอกว่าจะเป็นไกด์ให้ แต่เขาก็เคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียว แถมยังขี้กลัวเอามากๆเสียด้วย ดันกลายเป็นตัวเฟิร์สเองที่เดินนำไปเล่นเครื่องนู้นเครื่องนี่ ใบหน้าเปื้อนยิ้มมีความสุข จนหมอพอลยิ้มตามไปด้วยใจจริง

เฟิร์สเดินนำไปขึ้นรถไฟเหาะ หมอพอลก็ดูหน้าซีดๆแต่ก็เดินตามไป พอรถไฟเริ่มเคลื่อนตัว หมอพอลก็เกาะราวจับแน่น จนเฟิร์สแอบขำ พอรถเคลื่อนตัวลงตามรางที่ทอดยาวหมอพอลก็เอาแต่ร้องโวยวายไม่เหลือมาดนิ่งๆตอนเป็นคุณหมอเลยแม้แต่น้อย แตกต่างจากเฟิร์สที่ดูสนุกกับการแกล้งหมอพอลสุดๆ จนทั้งคู่ลงมาจากเครื่องเล่น เฟิร์สก็เริ่มพูดยอกล้อทันที

“ฮ่าๆๆ พี่หมอนี่ขี้กลัวจังเลย”

“โธ่ เฟิร์สครับ อย่าล้อพี่ได้มั้ย คนแก่ก็งี้แหละ หัวใจจะวาย”

หมอพอบพูไปมืออีกข้างก็จับราวไว้กันล้ม อีกมือก็เอายาดมที่ไม่รู้เอามาจากไหน ขึ้นมาดม

“พี่หมอก็พูดซะอายุห่างกับผมเป็น10ปี เราก็ใกล้ๆกันเอง ขี้กลัวก็ยอมรับมาเถอะครับ ฮ่าๆๆ”

“พี่แก่เเล้วจริงๆนี่นา”

หมอพอลยังคงไม่ยอมรับ จนเฟิร์สต้องท้าให้ไปขึ้นอีกรอบ

“งั้นเราไปเล่นกันอีกรอบ พิสูจน์ไปเลย”

“โอยยยย พี่ยอมแล้วครับ ขี้กลัวก็ขี้กลัว พี่ไม่ไหวแล้ว~”

“ฮ่าๆๆ หน้าพี่หมอตอนกลัวนี่น่ารักดีนะครับ แกล้งพี่หมอสนุกจัง งั้น..เราไปเล่นอันนั้นกัน”

“เดี๋ยว..พี่ขอพักก่อนนนนน”

“ผมล้อเล่น...งั้นไปนั่งตรงนั้นกัน ผมจะไปซื้อน้ำมาให้”

เฟิร์สจูงมือหมอพอลไปนั่งพัก แล้วแวะไปซื้อน้ำและพัดลมมาให้ หมอพอลกินน้ำไป ซับเหงื่อไป เฟิร์สก็ถือพัดลมให้ แล้วหัวเราะมีความสุขไปด้วย จนคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน สาวๆบางคนก็หยิบยกมือถือมาถ่ายรูปบ้างมองยิ้มๆบ้างบางคนถึงกับกรี๊ดออกมาเบาๆ

ด้วยความสูงและรูปร่างของทั้งคู่นั้นพอๆกัน แต่เพราะหน้าตี๋ๆตัวขาวๆของหมอเลยทำให้ดูน่ารักมากกว่าเฟิร์สที่ดูจะดุเพราะตาเรียวคมนั่น สาวๆทั้งหลายเลยพากันแอบอิจฉาหมอที่มีเเฟนหล่อและเทคแคร์ดีแบบนี้ ทั้งคู่เลยดูเหมือนคู่เเฟนที่มีความสุขมากๆคู่หนึ่ง

“พี่หมอเป็นยังไงบ้างครับ”

“ดีขึ้นแล้วครับ พี่ว่า...คนอื่นมองเราแปลกๆนะ”

หมอพอลตอบกลับไป และกระซิบถามเบาๆในประโยคหลัง โดยค่อยๆเหลือบสายตามองรอบๆ

“งั้นหรอครับ ผมว่าไม่เห็นมีอะไรเลยนะ”

เฟิร์สเห็นทุกอย่างมาตลอด ด้วยอาชีพเก่าเลยรู้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไรกันบ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี และหมอพอลก็ดูน่าเเกล้งมากๆ

“งั้นหรอ...สงสัยพี่จะคิดไปเอง”

ฟอด~

เฟิร์สก้มลงหอมแก้มหมอพอลเบาๆ หมอพอลที่โดนจู่โจมกระทันหันก็ได้แต่ใบ้กิน อ้าปากหวอ ยาดมที่ถืออยู่ล่วงหลุดจากมือ

///กรี๊ด แกพวกพี่เขาหอมกันด้วย,ลาตายค่ะ,ฉันฟิน~/// เสียงจากสาวๆที่อยู่รอบๆ

“ฮ่าๆๆ พี่หมอ หน้าอย่างเหวอเลย”

“หนอย~ โฮสต์เจ้าเล่ห์ อย่าหนีนะ ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด แล้วจะหนีงั้นหรอ มานี่เลย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า”


(ผม ขอมีความสุข ก่อนกลับไปเผชิญหน้ากับปัญหาอีกมากมายในอนาคต พี่หมอช่วยผมได้เยอะเลย ขอบคุณนะครับ...พี่ชาย ผมจะตอบแทนพี่แน่ๆไม่ทางใดก็ทางนึง ผมจะไม่ทำให้พี่เดือดร้อนเพราะผมแน่ๆครับ ถ้ามันกลับมา...ผมจะรับมือเอง แม้จะเจ็บปวดทรมานเพียงใดผมจะไม่หนีอีกแล้ว เพราะมาคิดดูแล้วทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะผมเป็นคนก่อเอง __เฟิร์ส)



...
มาแล้วจ้้าาาาาา ขอบคุณทุกคนที่รอ รีบปั่นเอามาลงเลยค่ะ จริงๆว่าจะให้2ตอนเลย แต่อีกตอนยังไม่เสร็จเลยเอามาลงก่อน  :katai4: :katai2-1:

ทามแอบร้ายนะนั่น555 ส่วนเตอร์ก็เด็ดเหมาะกันดีนะ
#ด้วยความยินดีค่าไรต์ ส่วนเรื่องล่าช้ารอได้ค่า ^^
ดีใจๆที่ชอบคู่รองบ้าง 555
ขอบโทษนะคะที่หายไปนานหน่อย

:mew2: รอนะคะไรต์  :mew1:
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ เม้นให้ทุกตอนเลย รักที่สุดเลยค่าแบบนี้  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ rosetears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ให้เฟริส์ของเราได้พักใจบ้างอะไรบ้างอิอิ
พี่หมอนี้ลุคอบอุ่นมาก มุ้งมิง
^^ด้วยความยินดีค่ะไรต์

ออฟไลน์ สิบสาม13

  • นามปากกา AkumaBK
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
    • ติดต่อได้ที่ บ้าน Yaoi , Boy'Love Akumabk


me die

20 : มาเฟียกับหมอ


หมอพอลขับรถออกมาจากสวนสนุกได้สักพัก เฟิร์สหลับไปเพราะเล่นจนเหนื่อยหมดแรงไปก่อน หมอที่หลังๆได้แต่นั่งดูเฟิร์สเล่นอย่างเดียวเพราะทนไม่ไหว และเพราะเฟิร์สไม่รู้เส้นทางด้วยจึงไม่ได้เป็นคนขับ

หมอพอลจึงขับรถดิ่งไปยังคลีนิคของเขา ที่วันนี้ปิดทำการ แต่เขานัดกับใครบางคนไว้

เฟิร์สไม่รู้เส้นทางนอกจากในตัวเมืองเลยเพราะตั้งแต่เด็กเพราะพ่อรักและหวงมากไม่ยอมให้ขับรถเองตั้งแต่เด็กจะมีคนขับรถส่วนตัวตลอด เมื่อโตมาถึงได้ตามใจซื้อรถให้ขับ แต่ก็ใจร้ายคอยบังคับทางเดินให้ตลอด ซึ่งจะแตกต่างจากผู้เป็นพี่ ที่ถึงจะให้รถให้ทุกอย่างเหมือนกันแต่ให้ความรักที่บิดเบือนไปมาก ถ้าถามว่าผมรู้ได้ยังไงก็คงเพราะไปอ่านประวัติของครอบครัวนี้มาบ้างตอนไปสืบเรื่องให้รีส บ้านที่มีธุรกิจใหญ่โตเงินทองมากมาย แต่มันก็เป็นประวัติขาวสะอาดที่สืบค้นได้ทั่วไปเท่านั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้สืบค้นเบื้องหลังอื่นๆอีกเพราะไม่ได้สนใจอะไร ก็แค่เรื่องบางเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กจนพ่อลูกไม่เข้าใจกันบางเรื่องเท่านั้นที่บังเอิญไปได้ยินมาเอง จนสนใจแฝดคู่นี้จนละสายตาไม่ได้ โดยเฉพาะแฝดพี่ ที่อดทนได้มากขนาดนั้นทั้งๆที่ยังเด็ก เพราะเจออะไรๆมาก่อนเฟิร์สมากมายนัก

“ฮ่ะๆ เรานี่น่าจะไปเป็นนักสืบจริงๆ คงช่วยงานตำรวจได้เยอะ ไม่น่าสนใจด้านวิจัยพวกนี้เลยเรา น่าจะเป็นแค่ หมอหนุ่มอัจฉริยะอายุน้อยที่ได้เกรียตินิยมอันดับหนึ่ง และเลือกทำงานโรงพยาบาลดังๆก็พอ คงจะมีความสุขมากกว่านี้ ฮ่ะๆๆ”

หมอพอลแอบขำกับการยอตัวเองเบาๆ เฟิร์สขยับตัวเล็กน้อยจึงหันไปมอง แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เอาตัวเข้ามาเกี่ยวเรื่องยุ่งยากอีกแล้วสินะ เห้อ แต่ก็อดไม่ได้ ไปๆมาๆก็ดันหยุดสนใจเรื่องของแฝดคู่นี้ไม่ได้ซะแล้ว และงานวิจัยของดร.ที่หยุดความอยากรู้อยากเห็นของคนที่ชอบวิทยาศาสตร์แบบเราไม่ได้สักที รู้ตัวอีกทีก็ถลำลึกไปหมดทุกเรื่องแล้ว”

หมอพึมพำพูดกับตัวเองมาตลอดทาง เที่ยวสวนสนุกกับเฟิร์สในครั้งนี้เขามีความสุขจริงๆและดูเฟิร์สก็ไม่ได้เสแสร้งด้วย หมอพอลจึงเหลือบมองไปยังเฟิร์สเล็กน้อยแล้วหันกลับมองตรงไปยังถนน คิดถึงใบหน้าของอีกคนที่กำลังถูกทดลองต่อเพราะไปแผลงฤทธิ์จะหนีออกมา จนดร.เห็นพัฒนาการมากมายจึงใช้อาวุธที่ทำขึ้นมาเฉพาะกับเขาจับเอาไว้ เสร็จธุระที่นี่ก็ต้องกลับเข้าไปที่องค์กรอีก ที่หมอออกมาหาเฟิร์สทำนู้นทำนี่ได้ทุกวันเพราะบอกว่าติดเครสพิเศษบ้างหมอไม่พอบ้างเพราะที่องค์กรก็มีอัจฉริยะแบบหมอพอลเองอยู่หลายคน แล้วดร.ก็ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ด้วย แค่หมอพอลทำงานให้ดร.เสร็จสิ้นก็พอ

“รีส...ถ้านายออกมาจากหองทดลองเมื่อไหร่ จะด่าจะว่าฉันก็ทำไป แต่อย่า...ทำร้ายเฟิร์สเลยอีกนะ”

หมอพอลนิ่งคิดไปเรื่อยๆ ภาพภายในดวงตาก็ยังคงมีเรื่องราวพวกนี้ผ่านเข้ามามากจากทั้งคนไข้คนอื่นๆหนือแม้กระทั่งที่ใกล้ตัวมากๆตอนนี้ จนหมอพอลพึมพำบางอย่างออกมาเองเบาๆ

“...พวกมนุษย์ น่าสงสารแบบนี้กันทุกคนเลยรึเปล่านะ...เอ๊ะ เราพูดไรออกไป ช่างเถอะ รีบไปดีกว่า”

.
.
.

เมื่อมาถึงที่หมายก็จอดรถ หมอพอลเหลือบมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ที่นอนหลไม่มีอาการหวาดกลัวละเมอออกมา คงเพราะเหนื่อยและสนุกจนลืมเรื่องร้ายไปชั่วขณะ บางครั้งก็เผลอยิ้มเล็กๆ จนหมอพอลแอบยิ้มตามไปด้วย

“สวัสดีครับ ผมมาถึงที่คลีนิคแล้ว คุณอยู่ที่ไหน ... ได้ เดี๋ยวเจอกัน งั้นผมเอาเขาเข้าไปพักผ่อนในคลีนิคก่อนละกัน”

...

“น้องผมอยู่ไหนหมอ”

“นอนหลับอยู่ในห้องนอนผมครับ แต่ตอนนี้กำลังหลับสบาย ผมเลยไม่อยากปลุก”

“ผมจะเข้าไปดูหน่อย”

แรมป์มาถึงคลินิกก็รีบพุ่งจะเข้าไปดูเฟิร์สทันที ด้วยความเป็นห่วงที่ไม่ยอมแม้แต่จะเอ่ยปากบอกออกไป ทั้งๆที่แรมป์รักเฟิร์สมากที่สุด เป็นพี่ชายแสนดีที่ยอมรับเรื่องราวมากมายเข้ามาแทนเพียงเพื่อน้องจะได้ไม่เจ็บปวด แต่ครั้งนี้เขากับไม่รู้เรื่องราวอะไร จนต้องพึ่งพาหมอคนนี้อีกครั้ง แรมป์ได้แต่เจ็บใจตัวเองอยู่ลึกๆที่ไม่สามารถปกป้องคนที่ตัวเองรักทุกคนได้

“อย่าเพิ่งเลยครับ คุณไม่รีบไปไหนไม่ใช่หรอ นานๆทีจะได้เห็นเขาหลับแบบสบายได้แบบนี้โดยที่ไม่ต้องเพิ่งยา ผมว่าควรให้เขาพักผ่อนอีกนะครับ”

“อืม”

หมอพอลช่วยห้ามไว้ได้ทัน ถึงจะรู้ว่าแรมป์นั้นรู้สึกยังไง สีหน้าของแรมป์ที่ดูจะนิ่งสงบไม่แสดงปฏิริยาความรู้สึกแต่ดวงตาที่เจ็บปวดลึกเข้าไปในใจนั้นไม่อาจรอดพ้นสายตาของหมอพอลไปได้ แต่เฟิร์สยังไม่พร้อม โดยเฉพาะเวลาที่มีความสุขแบบนี้ได้จึงอยากจะให้มันยาวออกไปสักนาทีก็ยังดี

“เชิญนั่งรอทางนี้ก่อนครับ เดี๋ยวผมเอากาแฟมาให้”

“ขอน้ำเปล่าก็พอครับ”

หมอพอลเชิญให้แรมป์นั่งลงที่โซฟาโซนรับแขกที่เป็นส่วนของห้องพักชั่วคราวเขา แรมป์ก็นั่งลงเงียบๆแต่แววตาที่เจ็บปวดนั้นแสดงออกมาอย่างกังวลตลอดเวลา ทุกกิริยาอยู่ในการสังเกตของหมอพอลตลอดเวลาตั้งแต่รู้เรื่องครั้งแรก จนตอนนี้ที่ดูจะกังวลมากกว่าเดิม

“อย่าเครียดไปเลยครับ ผมว่าน้องชายคุณก็ดีขึ้นมากแล้ว ไม่งั้นไม่ขอให้ผมพากลับมาเองหรอก”

“อืม”

หมอพอลพยักหน้าเข้าใจ เสร็จจึงเดินไปเอาน้ำเปล่ามาให้แรมป์ และกาแฟของตนอีกหนึ่งแก้ว

“น้ำครับ คุณแรมป์”

“...ขอบคุณครับ”

แรมป์ดูกังวลมากจนหมอพอลผิดสังเกต เพราะปกติเเรมป์เป็นคนมีสมาธิ จะระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อสักครู่ที่หมอพอลเดินมากลับไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งเสียงเรียกของหมอดังขึ้น แล้วแรมป์เหมือนจะดูตกใจ หมอพอลสังเกตุเอาจากดวงตาที่โตขึ้นเล็กน้อย จึงต้องพูดขึ้นเพื่อให้ผ่อนคลาย แต่เหมือนจะกลายเป็นหาเรื่องใส่ตัวเองมากกว่า

“คุณแรมป์รักน้องจังนะครับ^^ ถ้าเฟิร์สรู้เรื่องคง”

“อย่าพูดอะไรแบบนั้นอีกนะหมอ! ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน!”

“เสียงดุเชียวนะครับ ฮ่ะๆ”

แรมป์พูดเสียงดุและตวัดสายตาคมกริบที่ดูน่ากลัวกว่าของเฟิร์สเพราะกรีดขอบตาสีดำบางๆเพื่อให้ดูคม จนหมอพอลสะดุ้งจนต้องยกมือขึ้นสองข้างขึ้นมาป้องกันตนเองแบบยอมยกธงขาวให้ และยิ้มแห้งๆจนตาหยีตามแบบของตนส่งไปให้

“งั้นผมขอตัวไปเอาของว่างละกัน ดูแล้วน่าจะหลับอีกนาน”

แรมป์เงียบไปพักใหญ่ หมอก็เลยจะลุกไปเอาของว่างมาให้ระหว่างรอ และให้แรมป์อยู่กับความคิดตัวเอง แต่ยังไม่ทันลุกก็ต้องสะดุ้งกับคำถามและเสียงเย็นๆจากปากแรมป์ซะก่อน

“คุณหมอไม่รู้จริงๆหรอครับ ว่าคนที่ทำร้ายเฟิร์สเป็นใคร”

“อึก! ไม่รู้...หรอกครับ ก็อยากที่บอกทั้งคุณแรมป์ทั้งเฟิร์สไปว่าผมเจอเขาหน้าคลีนิค”

หมอพอลอึกอักเล็กน้อย แล้วจึงเรียบเรียงคำพูดบอกออกไป ไม่ให้น้ำเสียงผิดปกติ ดีที่แรมป์ยังคงนั่งเครียดไม่ได้สบตาหมอ เลยไม่ได้สังเกตุท่าทีที่ผิด ไม่เช่นนั้นหมอพอบก็คงโดนเค้นความจริงอีก

“อย่างนอยเขาก็ยังพาน้องคุณมารักษานะครับ”

“พูดเหมือนมันเป็นคนดี! อย่าพูดเข้าข้างมันให้ผมได้ยินหมอ! ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ผมจะลากมันลงนรกด้วยมือของผมเองแน่”

เสียงเข้มๆของแรมป์ดังขึ้น เสียงดังจนเกือบตวาด จนหมอพอลสะดุ้งเฮือก แรมป์จึงลดโทนเสียงลง แต่ก็ยังคงเสียงเข้มๆเย็นๆไว้เหมือนเดิม

“อย่าเลยครับ อาฆาตแค้นมันไม่ดีนะครับ แก้แค้นกันไปมา มีแต่เสียทั้งสองฝ่าย”...

เพราะเดี๋ยวคุณจะลงนรกไปแทนน่ะสิ คุณฆ่าเขาไม่ได้หรอกคุณแรมป์ เสียงเย็นๆของคุณถ้าพูดถึงคนอื่นผมก็คงจะเชื่อว่าอีกไม่นานมันได้หายไปจากโลกนี้แน่ แต่ไม่ใช่กับรีสแน่นอน

“พูดเหมือนรู้อะไรนะครับคุณหมอ”

แรมป์พูดเสียงเข้ม จ้องหน้าหมอพอลนิ่ง หมอพอลจึงเอาแต่ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วเบนไปพูดเรื่องอื่นเหมือนทุกที และครั้งนี้ก็ยังคงได้ผลเหมือนเดิม

“อย่าทำเสียงแบบนั้นเลยครับ มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องคืนนั้นที่ผับ”

“เรื่องคืนนั้น ...อ่อ เรื่องที่ผม...”

...

ผับ ccy

แรมป์ในชุดสูทแฟชั่นสีดำพับแขนถึงข้อศอกไม่ได้ติดกระดุมเสื้อสูท เสื้อด้านในเป็นเสื้อเชิ๊ตสีขาวที่ถูกปล่อยชายออกมาและปลดกระดุมสองเม็ดบนโชว์แผงอกดูเซ็กซี่ ต่างจากหมอพอลที่ยังอยู่ในชุดผ่าตัดสีฟ้า แค่สวมเสื้อโค้ตตัวยาวสีดำที่ติดรถของแรมป์เข้ามาเท่านั้น ที่ออกมาแบบนั้นเพราะแรมป์ดันไปรอรับเข้าหน้าห้องผ่าตัดไม่ยอมให้เปลี่ยนชุดแล้วลากออกมาเลย

“คุณคิดยังไงถึงได้ชวนผมมาดื่มครับ คุณแรมป์ เอ่อ...ผมว่าผมแต่งตัวไม่เหมาะเท่าไหร่”

หมอพอลเหลือบมองการแต่งตัวของแรมป์ และของเขาเทียบกันไปมา แล้วหน้าเสียคิ้วขมวดเดินตัวลีบตามหลังแรมป์เข้าไปด้านใน เพราะแรมป์ไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะไปที่ไหน ไม่คิดว่าจะมาในที่แบบนี้มันช่วงไม่เข้ากันเลย โดนแกล้งชัดๆเลย

“ผมก็แค่อยากจะตอบแทนที่คุณช่วยชีวิตผมไว้เท่านั้นแหละครับ ผมดีใจมากเลยนะครับที่ได้มีโอกาส ก็คุณหมอไม่ว่างสักที ผมเลยไปดักรอคุณ หรือคุณไม่ชอบที่นี่หรอครับ ผมเสียใจนะ”

แรมป์หยุดเดินกระทันหัน แล้วหมุนกลับมา โน้มหน้าก้มลงกระซิบข้างหูของหมอพอล ที่ได้แต่ยืนนิ่งงันทำตัวไม่ถูก

“อ่ะ เอ่อ คือผม” หมอพอลอึกอัก กลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก เมื่อแรมป์ขยับเข้าชิดมากขึ้น

“ครับ”

“ผมแค่แต่งตัวไม่ค่อยเหมาะน่ะครับ แต่ที่นี่ผมโอเคครับ เชิญคุณแรมป์นำต่อได้เลยครับ”

หมอพอลรีบรวบรัด ก้าวเท้าถอยหลังเล็กน้อย และผายมือเป็นเชิงให้แรมป์นำตนไปต่อ

ห้อง vip

“คุณไม่ดื่มเหล้าหรอครับ งั้นผมสั่งคอกเทลให้มั้ยครับ”

“ดื่มได้ครับ แต่ไม่ค่อยได้ดื่ม ปกติทำงานก็หมดเวลามาเที่ยวแล้วล่ะครับ เอาแบบคุณนี่แหละครับ ผมดื่มได้”

“ครับ”

แรมป์หันไปบอกให้บริกรออกไป จนกว่าจะเรียก เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว ก่อนจะออกก็ยังเสนอผู้หญิงสาวสวยหุ่นดีให้มารับเเขกแต่แรมป์ปฏิเสธเสียงเย็น จนบริกรรีบก้มหัวขอโทษ แล้วรีบวิ่งออกไป

“ว่าแต่ ทำไมถึงเลือกมาดื่มกันในห้องสองคนละครับ ไม่กลัวคนอื่นเข้าใจผิดว่าเราเป็นเกย์หรอครับ ฮ่ะๆ”

หมอพอลก็แค่แกล้งถามออกไปเพื่อความสะบายใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ที่บริกรหันมามองหน้าเขาแปลกๆตอนที่แรมป์บอกว่าไม่ต้องการผู้หญิงมาบริการ

“ผมไม่สนหรอกครับ จริงๆผมก็แค่เห็นว่าคุณเป็นหมอรู้เรื่องด้านจิตเวชด้วย ก็แค่อยากจะขอคำปรึกษา ผมเครียดๆจนจะบ้าเพราะงานอยู่แล้วน่ะครับ เผื่อหมอจะมีไอเดียดีๆแนะนำผมบ้าง”

“อ้อ เรื่องนี้เอง ได้เลยครับ”

แรมป์พูดด้วยท่าทีสบายๆ จัดการรินเหล้าใส่แก้ว เมื่อได้ยินดังนั้นหมอพอลก็รู้สึกโล่งอกดีใจนิดๆ จึงยิ้มจนตาหยีตามลุคของตน เตรียมให้คำปรึกษาแก่คนไข้เคสพิเศษนี้เต็มที่

แรมป์จึงเริ่มเล่าเรื่องงานที่บริษัทของตนให้ฟัง ตั้งแต่เรื่องลูกน้องจนถึงเรื่องผู้ถือหุ้นกับทัศนคติความคิดของตนที่ติดลบให้หมอพอลฟัง ซึ่งอีกฝ่ายก็ตั้งใจฟังเต็มที่ไม่ได้คิดเลยว่ามันเป็นเรื่องหรือแต่งเพราะมันมีความรู้สึกด้านลบจากความคิดแย่ๆของแรมป์ออกมาจริงๆ แรมป์เล่าไปดื่มไป ยิ่งเรื่องเหมือนจะหนักก็ยิ่งยกดื่มเอาๆ หมอก็กินบ้างตอนที่แรมป์ยกชนแก้ว จนตอนนี้แรมป์เริ่มเมามาย คอตก มือยกแก้วแทบไม่ขึ้น เอนหลังพิงโซฟาตัวหรูไว้เป็นที่พึ่งเดียว

“ไหวมั้ยครับคุณแรมป์”

จนหมออดเป็นห่วงหนักกว่าเดิมไม่ได้ จึงพยายามแย่งแก้วเพื่อไม่ให้แรมป์ดื่มเพิ่มอีก แต่ก็โดนแย่งกลับไปไม่ก็โดนแย่งแก้วของหมอไปรินดื่มแทน

“ไหวสิครับ ผมไหวอยู่แล้ว ผมไหวทุกเรื่อง ผมจัดการทุกอย่างได้ดีเสมอ แต่...กลับไม่เคยอยู่ในสายตา...”

“ในสายตาของใครหรอครับ”

ด้วยความสนใจ จึงรีบถามออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องกลับมานั่งรักษาท่าทีไว้ ดีที่แรมป์ไม่รับรู้อะไรแล้ว

“ก็ในสายตาของพ่...ทุกคนแหละครับ พวกเขาไม่ไว้ใจผม ทั้งๆที่ผมทำงานหนัก จัดการได้ดีทุกอย่าง แต่ดันจะสนับสนุนให้น้องชายผมขึ้นรับตำแหน่งแทน”

แรมป์ตอบออกมาเสียงยานๆ คอตกจนเกือบจะล้มใส่โต๊ะ เอนไปเอนมา แต่ในใจของหมอพอลตอนนี้กำลังดีใจจนเนื้อเต้นในที่สุดเขาก็จะถามเรื่องของเฟิร์สจากคนใกล้ตัวได้แล้ว จะได้รักษาให้ถูกต้อง

“อย่าหาว่าผมอยากรู้อยากเห็นเลยนะครับ แต่ผมช่วยรับฟังปัญหาได้นะครับ ผมยินดี”

แรมป์ขยับเข้าไปใกล้หมอช้าๆ เอื้อมมือออกไปจับมือหมอมากุมไว้พร้อมเขย่าเบาๆ ส่งยิ้มหวานไปให้ในแสงสลัวๆ

“คุณหมอใจดีจังเลยนะครับ อิจฉาแฟนของคุณหมอจริงๆนะครับที่มีคนดีแบบนี้คอยดูแล แตกต่างจากผมที่ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่ได้ดี”

“ผมไม่มีแฟนหรอกครับ ฮ่ะๆ เอ่อว่าแต่ น้องชายของคุณแรมป์เป็นคนแบบไหนหรอครับ”

แรมป์ปล่อยมือออก มือยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมด หมอพอลก็ได้แต่นั่งรอคำตอบเงียบๆไม่ได้ห้าม แรมป์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“น้องของผมมันก็เป็นแค่เด็กเอาแต่ใจ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เอาแต่ขอนู้นขอนี่ วันๆก็เอาแต่เที่ยว งานที่พ่อสั่งก็โยนมาให้ผมทำ แต่ก็ดันได้หน้าไปคนเดียว”

เมื่อพูดถึงน้องชายแรมป์ก็ทำเป็นเสียงดังไม่พอใจขึ้นมา แต่เพราะนิสัยต่างจากที่เจอมามากเกินไป หมอพอลเลยถามออกไปเพื่อความแน่ใจ

“เอ่อ น้องชายคุณแรมป์อายุเท่าไหร่หรอครับ คงเด็กน่าดูถึงได้เอาแต่เล่นแบบนนั้น”

“เราเป็นแฝดกันครับ เพราะหน้าเหมือนผมเลยโยนงานให้ผมทำได้โดยที่คนอื่นไม่สงสัย”

“เหมือนคนละคนเลยเเหะ...ไม่ค่อยอยากเชื่อเลย”
หมอพอลพึมพำเบาๆกับตัวเอง

“ว่าไงนะครับ”

“อ่อ เปล่าครับ ว่าแต่เขามีสิ่งที่กลัวจนต้องฝันร้ายมั้ยครับ”

“มี...สิครับ”

แรมป์ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีก ซึ่งคราวนี้หมดหมอพอลก็จัดการเทเติมให้เพียวๆเลยด้วย

“เขาชอบสัตว์ใช่มั้ยครับ โดยเฉพาะสุนัข แต่ไม่กล้าเข้าใกล้”

“ช่ายครับ คุณหมอนี่...เก่งงง จังนะครับ”

แรมป์เมาพูดเสียงยานฟังไม่รู้เรื่อง เขาทิ้งน้ำหนักตัวลงโซฟาเอนพิงอย่างคนที่พยุงตัวเองไม่ได้เต็มที คอตกชิดกับลำตัวมองไม่เห็นแม้แต่หน้า

“คุณแรมป์เมาแล้วนะครับ ยังจะดื่มอีกหรอครับ”

ปากถามแต่มือริมเหล้าใส่แก้วต่อไป แรมป์ก็ได้แต่โบกมือไปมาช้าๆปฏิเสธและยกแก้วดื่มใหม่ช้าๆ

“มันดูขัดๆกับที่นิสัยที่ผมเห็นมาจังเหะ ว่าแต่เขาฝันร้ายเพราะอะไรครับ ใช่...เรื่อง...ฆ่าคนตาย มารึเปล่าครับ อ๊ะ!”

หมับ!

แรมป์คว้าหมับที่ลำคอ ดันตัวเองยืนคร่อมหมอไว้ กดมือลงที่ลำคออย่างแรง ดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็ง ไม่มีท่าทีของอาการเมาเลยสักนิด

“กูว่าแล้วว่าแปลกๆ มึงเป็นใคร!”

“อ่ะ คะ คุณแรมป์ คุณไม่ได้เมาหรอครับ”

หมอพอลได้แต่ตกใจนิ่งงัน ขยับตัวตามที่อีกคนกระทำไร้ทางขัดขืน แม้แต่จะอ้าปากพูดยังพูดได้ไม่เต็มปาก

“มึงเป็นใคร ตอบมา! อย่าให้กูต้องพูดมากไปกว่านี้”

แรงกดที่ลำคอแรงขึ้นจนเริ่มหายใจไม่ออก ใบหน้าของหมอเริ่มแดง จึงยกมือขึ้นแกะมือแกร่งของอีกฝ่ายออก แต่ก็ไม่ได้อยู่ดี แรงต่างกันเกินไป

“ปะ ปล่อยผมก่อน อ่ะ อึก”

“หึ เลิกคร่ำครวญแล้วบอกมาได้แล้ว หรือมึงเป็นสายตำราจ ที่ช่วยชีวิตกูเพราะจุดประสงค์บางอย่างสินะ!”

“ม ไม่ใช่นะ ผ ผมเป็นหมอ ป ปล่อยก่อนสิ อึก! ผมหายใจไม่ออก”

หมอเริ่มหายใจติดขัดแรงขึ้น หน้าแดงก่ำเห็นได้ขัดแม้ในที่แสงน้อยแบบนี้ ดวงตาเริ่มคลอไปด้วยน้ำใสๆมองไปยังแรมป์ไร้การเสแสร้ง

“ก็บอกกูมาสิ ว่ามึงเป็นใคร!”

เสียงเย็นๆจากแรมป์ดังขึ้นอีกกับน้ำหนักมือที่เพิ่มแรงกดลงที่คอหมอพอล

“ผมช่วยชีวิต น้อง คุณ อึก!”

เมื่อได้ยินแรมป์จึงปล่อยมือออกจากลำคอ แต่ยังยื่นอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เพื่อรอคอยคำตอบที่ดีกว่านี้

“เฮือก แค่กๆ แค่กๆ”

หมอจับที่ลำคอของตน ไอแค่ก และต้องการอากาศหายใจ จึงได้แต่หอบโกยอากาศเข้าปอดเป็นการใหญ่

“เล่ามา!”

เสียงเข้มดังขึ้นอีกครั้ง หมอสะดุ้งเล็กน้อย มือรีบปัดป่ายบนไปหน้าไล่น้ำตาแบบไม่ให้อีกคนเห็น ทั้งๆที่ไม่ทัน ออกจากหน้า แล้วเก็บอาการทำเป็นสงบเหมือนเดิม รอยยิ้มกว้างกับตาหยีแบบฉบับของหมอกลับมาอีกครั้ง ทำสบายๆทั้งๆที่เมื่อกี้หลุดด้านอ่อนแอออกไปแล้ว

“ก็ได้ ผมจะเล่าให้ฟัง...”

...

“ผมไม่คิดจะฆ่าผู้มีพระคุณจริงๆหรอกครับ ก็แค่ขู่เท่านั้นแหละ คุณหมอไม่ต้องกลัวไป”

“...งั้นหรอครับ ผมก็ว่างั้น ฮ่ะๆๆ”

‘ถ้าผมตอบช้าไปนิดเดียว ผมก็คงตายไปแล้วสินะ คนพวกนี้น่ากลัวจริงๆ แล้วไหนจะตัวปัญหาหลักที่ดันแหย่มือเข้าไปยุ่ง ชีวิตผมสั่นลงอีกแล้วสิ’

หมอได้แต่คร่ำครวญแล้วร้องไห้อยู่ในใจ เพราะนิสัยชอบช่วยเหลือคนนู้นคนนี้ทั้งๆที่เขาไม่ได้ร้องขอมันมักจะย้อนกับมาหาเขาทุกที

แรมป์เงียบไป หมอพลก็เดอนไปเอาของว่างมา และนั่งคุยด้วยอีก

“ถามจริงเถอะครับ ถ้าวันนั้นผมไม่เล่าให้คุณฟัง คุณจะฆ่าผมรึเปล่าคุณแรมป์”

หมอพอลทำหน้าจริง มองไปยังแรมป์ที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นจิบ เมื่อได้ยินมือนั้นก็หยุดชะงัก ใบหน้านิ่งๆของแรมป์เบนไปมองใบหน้าของหมอที่กำลังจ้องมาอย่างสงบนิ่ง

“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ทำร้ายผู้มีพระคุณหรอก แต่ใช้คืนหมดแล้วก็ไม่แน่”

หมอพอลแอบกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอช้าๆ รู้สึกเย็นวายๆที่แผ่นหลังของตน แรมป์วางแก้วลงที่โต๊ะแล้วหันไปเต็มหน้า จ้องมองหน้าหมอนิ่งๆแล้วเอ่ยคำบางอย่างออกมา

“...อีกอย่าง ผมไม่ฆ่าคุณหรอก...”

ดวงตาที่คมเข้มของแรมป์จ้องลึกเข้าไปในตาตี่ๆของหมอนิ่งงัน จนหมอพอลต้องเบนหน้าหลบสายตานั้นเสียเอง

“ทำไมล่ะครับ”

หมอพอลเผลอจ้องกับไป ดวงตาของทั้งคู่ประสานกันนิ่งงัน

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่า ผมฆ่าคุณไม่ลงแน่ๆ”

“งะ งั้น..หรอครับ ผมโชคดีสินะ ฮ่ะๆ”

เสัยงเข้มที่ดังขึ้นช้าๆของแรมป์ดังก้องอยู่ในหัวของหมอพอล แล้วอาการหน้าร้อนแปลกๆที่เกิดขึ้น ทำให้หมอรู้สึกตัวเลิกจ้องตาแรมป์หันไปทางอื่นกระพริบตาปริบๆไล่สายตาให้เป็นปกติ แล้วถามเรื่องอื่นออกไป แต่ก็ไม่รู้ตัวเลยว่ามันก็ไม่ดีต่ออาการแปลกๆที่เกิดขึ้นเช่นกัน

“...ว่าแต่ ทำไมคุณถึงไว้ใจผม ให้ผมรักษาเฟิร์สแบบตัวต่อตัวล่ะ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกว่า ผมสามารถฝากน้องผมไม้ที่คุณได้”

‘มันหมายถึง เขาไว้ใจเรามากถึงได้ฝากสิ่งสำคัญที่สุดอย่างน้องของเขาไว้ที่เรางั้นหรอ’

หมอพอลเรียบเรียงคำพูดของแรมป์อยู่ในใจ แล้วก็เกิดอาการร้อนๆที่ใบหน้าขึ้นมาอีกครั้ง จึงได้แต่ยกยิ้มจนตาหนีส่งไปแทน มือก็ยกขึ้นเกาศรีษะแก้เก้อ

ไม่มีเสียงพูดคุยเกินขึ้นอีก ระหว่างสองคนนี้ แรมป์ยังคงใบหน้านิ่งสงบไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในแบบนั้น ส่วนหมอพอลก็ได้แต่ยิ้มจนตาหยี๋ปิดบังบรรยากาศแปลกๆที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า มันกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรืออาจจะตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเจอกัน




...
มาแล้วตามสัญญา เขียนเสร็จละลงเลยจ้าา

เม้นๆกันด้วยน้าาา   ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ

ปล.เรื่องแก้คำผิด จะมาตรวจสอบและแก้ไขอีกทีตอนเสร็จเรื่องเลยนะคะ


ให้เฟริส์ของเราได้พักใจบ้างอะไรบ้างอิอิ
พี่หมอนี้ลุคอบอุ่นมาก มุ้งมิง
^^ด้วยความยินดีค่ะไรต์
ใช่ม้า เราก็ชอบพี่หมอที่สุด 555 :mew1:

เย้ ลงปุปเม้นปัปเลย ขอบคุณที่ตามงานของเรานะคะ

ออฟไลน์ rosetears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แรมป์คู่กับพี่หมอพอลนะๆ 555
#ยินดีค่า ^^

ออฟไลน์ สิบสาม13

  • นามปากกา AkumaBK
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
    • ติดต่อได้ที่ บ้าน Yaoi , Boy'Love Akumabk
 

me die



21 : พี่ชาย



ในบ้านของเศรษฐีหลังหนึ่ง ได้มีเด็กแฝดที่มีชื่อว่า แรมป์และเฟิร์ส ถูกเลี้ยงดูอยู่ในกรอบและกฏเกณฑ์ของผู้เป็นบิดามาตลอด พวกเด็กคนอื่นๆไม่ว่าจะที่โรงเรียนหรือระแวกบ้านก็ไม่กล้าเข้ามาเล่นด้วย เอาแต่คอยรังแกเมื่อมีโอกาส ขับไล่ หรือกลัวจนไม่ยอมเป็นเพื่อนด้วย และถูกล้อเลียนอยู่เสมอว่าเป็นลูกมาเฟีย



วันนั้น เฟิร์ส น้องชายตัวเล็กผู้ขี้กลัวและขี้แยที่ไขว่คว้าอยากจะมีเพื่อนและเล่นสนุกไปด้วยกัน ดันมีความกล้าแอบหนีออกจากบ้าน ตรงมายังสวนสนุกที่ได้ยินเสียงของเด็กคนอื่นๆทั้งหญิงชายเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน เด็กชายตัวน้อยค่อยๆเดินเข้าไปหาอย่างกล้าๆกลัวๆ เอ่ยขอเป็นเพื่อนเล่นด้วย แต่เด็กพวกนั้นกลับทำหน้ากลัวและรังเกียจเขาจึงไล่เขาออกมา เด็กชายตัวน้อยเดินก้มหน้าร้องไห้เสียใจสะอึกสะอื้นยกมือเล็กๆขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลเปียกท่วมใบหน้าใสนั้น



“ฮือ ทำไมไม่ใครเล่นกับเฟิร์สเลยล่ะ เฟิร์สไม่ได้เป็นตัวประหลาดสักหน่อย ฮือ”

เด็กน้อยเดินร้องไห้ตรงกลับบ้านเรื่อยๆ แต่ดันโชคร้ายเจอกับเด็กเกเรที่ตัวโตกว่าเขา กำลังใช้ไม้ไล่ตีแมวน้อยอย่างสนุกสนาน



“ฮึก หยุดนะ! อย่าแกล้งน้องแมวนะ! พวกนิสัยไม่ดี!”

ด้วยความขี้สงสารเด็กน้อยจึงวิ่งเข้าไปนั่งโอบอุ้มแมวตัวนั้นไว้ในอ้อมอกโดยไม่ทันคิด หลบตาตะโกนร้องห้ามเสียงดัง ทั้งๆที่น้ำตาบนใบหน้ายังคงไม่แห้งเหือดไป



“หลบไปนะเว้ยไอ้ลูกมาเฟีย ชอบแย่งของคนอื่น แมวนั่นเป็นของพวกเรา เอามา!”

เด็กเกเรคนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจที่ถูกขัดขวางความสนุกของเขา

“อย่าแกล้งน้องแมวนะ!”



อ้อมแขนเล็กๆของเฟิร์สยังคงกระชับกอดแมวตัวน้อยที่แม้จะกำลังข่วนและกัดด้วยความกลัว น้ำตาและน้ำมูกใสๆยังคงไหลนอง ใบหน้าขาวๆแดงจากการร้องไห้ ดวงตาปูดบวม และกำลังสั่่นด้วยความกลัวเช่นเดียวกับแมวตัวน้อย แต่ก็ยังคงตะโกนร้องห้ามไม่หยุด



“ลูกพี่ไอ้นี่มันมาขวางพวกเรา ทำไงดี”

“ข้าว่าเราเปลี่ยนเป้าหมายกันดีกว่าว่ะ เอ็งดูหน้ามันสิวะ อย่างฮา พวกเรามาช่วยกันเอามันไปทิ้งขยะดีกว่า พวกมาเฟียน่ารังเกียจ”

“ได้เลยลูกพี่ ฮ่าๆๆ ทุกคนเร็ว!”



เสียงแหลมเล็กของลูกพี่ดังขึ้นสั่งลูกน้อง ที่เหลือก็ทำตาม และหัวเราะสนุกสนาน ทุกคนเดินดุ่มๆเข้ามาหาเฟิร์สที่นั่งอยู่พื้นด้วยสายตาหวาดระแวงและกลัวจนลนลาน



“อย่านะ ปล่อย! อย่าแกล้งเฟิร์สนะ ฮึก!”



เสียงเล็กๆของเฟิร์สดังขึ้น เด็กน้อยผวาเมื่อถูกยกลอยขึ้นจากพื้นที่นั่งอยู่ มือพยายามคว้าจับแต่ก็โดนปัดออก พยายามดิ้นให้หลุดแต่ก็สู้แรงของเด็กที่โตกว่าไม่ได้ จึงได้แต่ร้องไห้โวยวาย



“ปล่อยเฟิร์สนะ!”



ผลัก!



“โอ้ย มึงเป็นใครวะ”

แรมป์วิ่งถือท่อนไม้เล็กๆเข้ามาและฟาดเข้าไปขาของคนที่จับเฟิร์สอยู่ แต่ด้วยแรงอันน้อยนิดจึงเหมือนแค่ไปสะกิดเท่านั้น



“ฮีโร่หรอมึง เล่นแม่งทั้งคู่”

“อย่ายุ่งกับเฟิร์ส!”

ดวงตาแข็งกร้าวของแรมป์จ้องตรงไปยังชายโตกว่าอย่างไม่เกรงกลัวและท้าทายอีกฝ่าย

“ได้ รุมมัน!”



ตุบ! ผลัก! โอ๊ย! ปึก! อัก!



พวกนั้นจึงพากันรุมแกล้งเด็กน้อยทั้งสอง และทุบตีแรมป์จนได้รับบาดเจ็บ ตามตัวก็ช่ำไปหมด แล้วไหนจะตัวที่เหม็นกลิ่นขยะเพราะพวกเด็กนั่นจับทั้งคู่ลงถังขยะจริงๆ จนเมื่อพอใจแล้วจึงจากไป



แรมป์ ที่ตามใบหน้าและลำตัวเขียวช้ำ ปากแตกจนเลือดออก แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่น้อย เอาแต่กัดฟันทนแล้วเดินโอบน้องชายตัวน้อยที่กำลังร้องไห้ขวัญเสียกลับบ้านพร้อมกัน



“ไม่เป็นไรแล้วเฟิร์ส”

“ฮึก ฮึก พี่แรมป์ เฟิร์สเจ็บ ทำไมพวกนั้นต้องแกล้งพวกเราด้วย เฟิร์สแค่อยากช่วยน้องแมวเฉยๆ”

“เงียบได้แล้ว เดี๋ยวพ่อมาเห็นก็ถูกตีซ้ำอีกหรอก จะเข้าบ้านแล้วนะ”

“ฮือ ก็เฟิร์สเจ็บนี่นา เฟิร์สอยากสู้พวกมันได้ ฮึก พวกมันจะได้ไม่ต้องไปแกล้งใครอีก”

“อืม ก็ช่วยได้แล้วไม่ใช่หรอแมวน่ะ เลิกร้องเถอะ เดี๋ยวเราเข้าทางหลังบ้านพ่อจะได้ไม่เห็น”



“ฮึก พี่แรมป์ฮับ ขอบคุณมากนะฮับ ที่มาช่วยเฟิร์สทันทุกทีเลย พี่แรมป์เก่งจังเลย ไม่เคยร้องไห้เลยด้วย ฮึก ไม่เหมือนเฟิร์สที่ทำอะไรไม่เคยได้เลย คอยแต่สร้างปัญหา”



“พี่เคยบอกแล้วไง ว่าจะไม่ให้ใครมารังแกเฟิร์สได้ พี่จะปกป้องเฟิร์สเอง พี่จะไม่ให้เฟิร์สต้องเจ็บปวด พี่สัญญา”



“ฮือ เฟิร์สรักพี่แรมป์นะฮับ รักมากๆเลย”

“พี่ก็รักเฟิร์ส”



พี่ชายที่แสนดี ไม่เคยร้องไห้ออกมาแม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่สัญญาเอาไว้ว่าจะปกป้องดูแลคนเป็นน้อง แม้ว่าเรื่องนั้นจะหนักหนาขนาดไหนก็ตาม และวันนั้นแรมป์ก็ถูกพ่อลงโทษซ้ำเพราะยอมรับว่าเป็นคนมีเรื่องเองเพราะหนีออกไปเล่นข้างนอกเลยโดนพวกเกเรรังแกเอา เฟิร์สแค่ตามออกไปเท่านั้น ซึ่งเฟิร์สก็ได้แค่ยืนดูพี่ชายถูกทำโทษอีกครั้งถึงแม้จะยอมรับว่าตัวเองเป็นคนทำแต่พ่อก็ไม่เชื่อ และเด็กทั้งสองถูกกักบริเวณให้อยู่ในตัวบ้านไม่ให้ออกมาเล่นแม้สวนหลังบ้านไปหนึ่งอาทิตย์



...



“ทั้งๆที่สัญญาไว้ แต่ฉันกลับทำไม่ได้”



แรมป์นั่งมองเฟิร์สที่นอนหลับอยู่บนเตียงมาสักพัก แล้วจึงตัดสินใจปลุก คงรอให้ตื่นเองไม่ได้ เพราะมีเรื่องที่ต้องจัดการโดยด่วนที่สุด



“อืม พี่หมอ ผมหลับไปนานแค่ไหน”



เฟิร์สสลึมสลือเมื่อรับรู้ถึงแรงที่เขย่าเพื่อปลุกตนเบาๆเหมือนก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยออกไปก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาดู



“ฉันเอง แรมป์”



“อ๊ะ! แรมป์! มะ มาได้ไง”



เฟิร์สลืมตาโพรงอย่างตกใจ ลุกขึ้นนั่งอัตโนมัติ แล้วหันควับไปยังแรมป์ที่นั่งมองนิ่งๆอยู่ข้างเตียง เมื่อได้ยินชื่อและน้ำเสียงเข้มๆที่คุ้นเคย



“ไม่มีเวลาแล้ว กลับบ้าน”



“แล้วพี่หมออยู่ที่ไหน” เอ่ยถามถึงอีกคนที่พาเขามาที่นี่



“เตรียมตัวเสร็จแล้วออกมา ฉันจะรออยู่กับหมอข้างนอก”



เฟิร์สพยักหน้าเข้าใจ ก้าวขาลงจากเตียงได้ข้างแต่ก็ชงักไว้ เอ่ยถามถึงผู้เป็นบิดาที่รอเขาอยู่ที่บ้าน ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้าง



“เดี๋ยว แล้วพ่อ...”



“ฉันจะอธิบายทุกเรื่องทีหลัง”



แรมป์ว่าจบก็ลุกขึ้นเดินหันหลังออกไป รออยู่กับหมอพอลตรงโต๊ะที่คุยกันก่อนหน้านี้ เฟิร์สได้แต่ขมวดคื้วสงสัยแต่ก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ เพราะถ้าแรมป์พร้อมจะพูดเมื่อไหร่เขาจะได้รู้ทุกเรื่องเอง แต่ตอนนี้ที่เขาทำได้เพียงแค่เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดต่อไป



...



ระวางทางที่นั่งรถกลับมา ทั้งคู่แทบไม่พูดอะไรออกมาเลย แรมป์เอาแต่เงียบ เฟิร์สก็กังวลจนแสดงออกมาทางสีหน้าจนหมด เมื่อมาถึงบ้าน แรใป์ก็ให้เฟิร์สไปรอที่ห้องตัวเอง ส่วนเขาจะไปคุยกับพ่อให้เอง



“ไปตามมันมาคุยกับฉัน!” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นทันทีที่เห็นหน้าแรมป์แทนที่จะเป็นคนก่อเรื่อง



“ผมให้น้องพักผ่อนเองครับ ผมแค่มารายงานข่าว” แรมป์ได้นิ่งเฉยทนรับอารมณ์ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องชายเขามักจะอดทนได้มากกว่าปกติ



“พูดมา” เจ้าบ้านเอนหลังพิงเก้าอี้ แต่ดวงตาดุคมยังคงจ้องมองแรมป์ไม่วางตา



“เฟิร์สโดนจับตัวไป ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น เรื่องนี้มันเกี่ยวกับแก๊งอินทรีดำ” แรมป์รายงานออกไปด้วยท่าทีที่นิ่งสงบ ยังไงน้องชายเขาต้องรอด ก็แค่เสียหมากเล็กๆไป ไหนๆก็จ้องจะแทงข้างหลังอยู่แล้ว สู้เด็ดปีกมันทิ้งซะตั้งแต่ยังเด็กดีกว่า



ปึง!!



“พวกมันกล้าดียังไง! เป็นแค่นกตัวเล็กๆบังอาจมาเทียบพญาเสือ! หยามกันมากเกินไปแล้ว!”



เจ้าบ้านลุกขึ้นยืน มือตบลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่น ใบหน้านิ่งนั้นฉายแววโมโหออกมาชัดเจน เข้าทางแรมป์จนได้



“ผมขอจัดการเด็ดปีกมันเองครับ จะทำให้อินทรีไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่านให้ฟุ้งในอากาศ”



“จัดการให้เรียบร้อย ภายในคืนนี้”



“ครับ” แรมป์โค้งคำนับให้พ่อตนแล้วหมุนตัวเดินออกมา ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจพ่อของเขามักจะเชื่อสนิทใจเพราะศัตรูที่ก่อทำให้เขาไม่ใจใครแม้แต่ตัวเอง



....



ฝ่ายเฟิร์ส เมื่อเข้ามาในห้องก็นั่งได้ไม่ติดที่ เดินไปเดินมาด้วยความกังวน ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ซึ่งปกติเขาจะต้องถูกตามตัวไปพบ แต่ครั้งนี้กลับเงียบ จึงได้แต่แอบแง้มประตูดู แต่ก็ไม่มีใคร จึงได้แต่กังวนหนัก เพราะเขารู้ดี ว่าแรมป์ชอบรับแทนเขาเสมอ



“ทำไมนานแบบนี้” เฟิร์สได้แต่กังวนแล้วกังวนอีก หลังจากที่เดินไปเดินม ก็ไปนั่งเล่นนอนเล่น เดินไประเบียง ทำนู้นทำนี่ฆ่าเวลา แต่ก็ยังไม่มีใครมาตาม



จนเวลาผ่านไปพักใหญ่ รอนานๆเข้า ความง่วงก็ควบคุมร่างกายให้ปิดตาลงไปด้วยใบหน้าเป็นกังวน



....



ด้านแรมป์



ที่ตึกสูงหลังหนึ่ง ที่เป็นที่สุมหัวกันของพวกแก๊ง อินทรีดำ เกือบทั้งหมด พวกมันเป็นพวกใต้ดินระดับกลางที่ปีนขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วเพราะอาศัยบารมีเสือของบ้านแรมป์และอื่นๆบ้าง แต่พวกมันก็ยังคงจ้องแทงข้างหลังเสือเสมอเมื่อมีโอกาส ทั้งโกงเงินนายหน้า ทั้งรับของราคาถูกใส่ปนเอาของแท้ออกไปขายอีกที ทั้งทำเรื่องชั่วๆระรานคนอื่นแต่ดันอ้างบารมีเสือให้คุ้มกะลาหัว แต่เมื่อมีหน้ามีตาหรือคุยโว้กับแก๊งอื่นที่เป็นปรปักษ์กับเสือก็บอกว่าเป็นความดีความชอบตัวเองล้วนๆ



พวกแบบนี้เป็นเสี้ยนหนามที่สมควรกำจัดทิ้งนานแล้ว แต่ที่ยังเก็บไว้ไม่ใช่ว่าใจดี แต่พวกนกสองหัวแบบนี้ เลี้ยงเก็บไว้ดูเล่นมันก็เอาประโยชน์ของคู่แข่งมาเป็นประโยชน์อยู่ดี หรือจะเอาไว้ให้มันขยายฐานลูกค้า หรือรับหน้าตำรวจได้อย่างดี แล้วถ้าพวกมันถูกจับได้ก็แค่ตายสถานเดียวเท่านั้น



ฉึบ! ฉั๊ว!



“ถือว่าเป็นคราวซวยของพวกแกก็แล้วกัน ที่ฉันดันคิดถึงพวกแกเป็นชื่อแรกในหัว หึ”



แรมป์และคนสนิทอีกสองคนในชุดดำทั้งตัวปิดหน้าปิดตา แต่อาวุธครบมือ เดินย่องเงียบๆแฝงกายในความมืดไปตามทางเดิน แล้วจัดการปลิดชีพเหล่าสมาชิกอินทรีดำรายตัว



แรมป์ถูกพ่อของเขาฝึกมาให้เป็นนักฆ่าในคราบลูกชายนักธุรกิจ เขาถนัดในมีดสั้นและการกำจัดศัตรูเข้าจุดตายภายในครั้งเดียว เขาทั้งฝึกทรมานร่างกายตัวเองมานักต่อนัก ตั้งแต่5ขวบก็เริ่มจับปืน เขารับทุกอย่างและทำมันอย่างไม่ปริปากบ่นสักคำเพื่อที่น้องชายจะได้ไม่ต้องเจอแลบเดียวกัน แม้ว่าเขาจะเกือบตายในแทบทุกครั้ง แม้ว่าเขาจะแอบร้องไห้มากเพียงใด แต่เพื่อคนที่เขาอยากปกป้องเขาจึงต้องเข้มแข็ง



เขาฝึกหนักมากถึงมากที่สุด จนในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เขาฆ่าคนตายได้ตั้งแต่อายุ10ขวบ ภาพของคนที่เขากำลังจ่อปืนที่ขมับร้องไห้อ้อนวอนเขาแทบขาดใจน้ำหูน้ำตาท่วมยกมือกราบแทบเท้าแม้อายุจะมากกว่า แต่สุดท้ายร่างนั้นก็ได้แต่แน่นิ่งไป พร้อมกับเลือดที่กระเด็ดติดเสื้อและร่างกายที่สั่นเทากับหัวใจที่ตีบตันจนแทบอยากตายของแรมป์กำลังแหลกสลาย



ปึง! อัก!



“ขอโทษค่ะ!”



จู่ๆก็มีคนร้ายย่องเข้าทางด้านหลังลูกน้องของแรมป์เกือบพลาดท่า จนต้องต่อสู้กันเกิดเสียงดัง ทำให้ลูกน้องแรมป์อีกคนต้องฆ่าทิ้งก่อนที่จะเกิดเสียงดังมากกว่านี้ เธอจึงรีบก้มหัวขอโทษในความผิดพลาด



“อย่าให้มีอีก”



ลูกน้องที่มาด้วยคนหนึ่งเธอเป็นผู้หญิง ถนัดปืน เธอจึงต้องคอยตามหลัง จัดการในระยะไกลกว่า ถ้าต่อสู้ระยะปะชิดกับผู้ชายร่างยักษ์สรีระมันต่างกันมากเกินไปเลยยาก จนต้องให้อีกคนที่ถนัดระเบิดต้องใช้การต่อสู้มือเปล่าจัดการได้ทันการ เพราะงานคืนนี้แรมป์ต้องการให้เซอไพร์แก่แก็งค์อินทรีดำทุกตัว



แรมป์และอีก2คนขยับกายเป็นเงาดำ เก็บลูกน้องของแก็งค์ขึ้นมาสูงเรื่อยๆจนเกือบจะถึงบอส แต่กลับได้รับรายงานจากอีก1ในทีม มือสไนเปอร์ ว่าบอสมันไม่อยู่ที่นี่ เป็นตัวปลอมที่โดนเขาเก็บไปแล้ว จึงทำให้แรมป์หัวเสีย



วี๊~ ว่อ~ วิ๊~ ว่อ~



“ท่านครับ เราต้องไปแล้ว”

“หึ่ย!”



ด้วยความโมโห แรมป์จึงได้แต่วิ่งถอยกลับออกมา ผ่านกองศพนับร้อยที่มีแต่กองเลือดเต็มไปหมด กับเสียงไซเร็นรถตำรวจที่ไกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อหลบมาจุดปลอดภัยแล้ว มือแรมป์ก็จัดการกดปุ่มระเบิดที่ติดไว้ตามตัวอาคารตอนเข้าไป เกิดเสียงดังสนั่น โดยที่ไม่ได้สนใจว่าจะมีพวกตำรวจเข้าไปด้านในแล้วรึยัง



ตู้ม!!



“ขอโทษทีนะคุณตำตวจ ที่ทำหลักฐานคุณหายไปซะแล้ว” เสียงหนึ่งในทีมพูดขึ้นหลังจากมองดูดอกไม้ไฟที่กำลังลุกกระพรืออย่างสวยงาม

.

.

.

พอรุ่งเช้ามาถึง คนที่โดนตำรวจรวบตัวกับเป็นหัวหน้าแก๊งที่อินทรีดำซะเอง ทั้งๆที่เมื่อคืนมันหนีไปได้ แต่มีหรือว่าแรมป์จะปล่อยมันให้ลอยนวล อีก1ในทีมคนสุดท้ายของเขาคือ แฮกเกอร์ ทำงานอิสระแต่สังกัดเสืออย่างลับๆ คอยเก็บรวบรวมข่าวสารและแฮกเข้าระบบส่งหลักฐานทำชั่วแถมหาที่ซ่อนตัวเสิร์ฟให้ตำรวจถึงที่ แถมอาคารสถานที่เข้าและออกก็เป็นคนจัดการให้ รวมถึงกล้องวงจรปิดทุกตัว



ส่วนเรื่องตึกระเบิดก็จับมือใครดมไม่ได้ แจ้งแค่ว่าคนในแก๊งเข่นฆ่ากันเองและเกิดไฟฟ้าลัดวงจรจนถังแก๊สในตัวอาคารระเบิด เกิิดความเสียหายและเสียใจอย่างมาก กล้องวงจรปิดทั้งก่อนและหลังถูกทำลาย ที่นอกอาคารกล้องก็เสียพร้อมกันทุกตัวไม่มีใครสามารถรู้เห็นได้เลย



“ทำงานได้ดีตามเคย ฉันจะให้รางวัลเด็กๆแกทีหลัง”



“ขอบคุณครับ”



พอทำงานเสร็จทุกคนก็แยกย้าย กลับไปใช้ชีวิตปกติสุขอย่างคนทั่วไป ส่วนเงินรางวัลจะถูกโอนให้เมื่อเห็นผลงานเรียบร้อย



“เฟิร์สพร้อมทำงานเมื่อไหร่”



“อีก2วันครับ”



“งั้นแกก็คอยสอนงานในส่วนที่ไม่รู้ อีก2วันเอาไปทำงานในตำแหน่งสูงๆ ฉันจะได้ไม่ขายหน้าใคร"



“ครับ”



“ออกไปได้แล้ว”



แรมป์รับคำ แล้วโค้งให้ หมุนตัวเดินออกไปจากห้องทันที แล้วตรงไปยังห้องเฟิร์สเพื่อบอกให้เตรียมตัวไว้ ส่วนไหนไม่ได้จะได้ให้คนมาสอน



...



“แรมป์ ไม่บอกจริงๆหรอ ว่าคุยกับพ่อว่าอะไร”



“เรื่องที่แกควรสนใจคือเอกสารตรงหน้านั่น”



ตั้งแต่เฟิร์สเห็นแรมป์ในวันรุ่งขึ้นคืนนั้น เขาก็คอยถามเกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องนั้นในทุกครั้งที่มีโอกาส แต่แรมป์เลี่ยงไม่ตอบเขาในทุกครั้ง แถมยังส่งสายตาโหดๆมาให้ พร้อมกับเอกสารของบริษัทกองโตยิ่งเหมือนถามมากขึ้นเท่าไหร่งานก็เยอะขึ้นเท่านั้น เฟิร์สเลยเลี่ยงที่จะถามแล้ว



...



ตกเย็นเฟิร์สมีเวลาว่างจากการศึกษาเอกสาร ก็นั่งเช็คมือถือของตน หลังชาร์จไว้เพิ่งเปิดเครื่องใช้งานตอนนี้ เพราะก่อนหน้าที่ติดต่อกับหมอพอลใช้โทรศัพท์ชาวบ้านทั้งนั้น



“พอเช็คไล่ๆดูสายแรกๆก็เป็นของคุณไมค์ เพราะติดต่อเราไม่ได้ก่อนใครสินะ แต่หลังจากนั้นส่วนมากก็เป็นของเแรมป์ แล้วก็ที่บ้าน มีเพื่อนบ้างป่ะปาย แรมป์...คงเป็นห่วงผมมากสินะ พี่ชาย ผมรักพี่นะ แต่ทำไมพี่ไม่ยอมเล่าอะไรให้ผมฟังเลย เราไม่สนิทกันหรอ”



เฟิร์สนั่งมองจอโทรศัพท์แล้วคิดถึงใบหน้าพี่ชาย เขาไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่สนิทกันเท่าที่ควรทั้งๆที่อยู่ด้วยกันตลอด ทั้งๆที่เป็นแฝด



แต่ตั้งแต่เฟิร์สประสบอุบัติเหตุตอนอายุ10ขวบ หลังจากนั้นพอตื่นขึ้นมาก็จำเหตุการณ์อะไรก่อนหน้าไม่ได้ ต้องพักรักษาตัวและให้ทำความรู้จักกับทุกสิ่งรอบตัวใหม่ทั้งหมด จนเมื่ออายุ15ที่เขาได้รู้จักด้านมืดของธุรกิจของพ่อ ที่เขารับไม่ได้ แต่หลังจากนั้นพ่อก็ไม่ค่อยเรียกเขา แต่ถ้าจะเรียกก็เรียกไปฝึกปืนและฝึกต่อสู้ ตอนแรมป์ไม่อยู่ด้วย แต่เฟิร์สก็ไม่ค่อยสนใจ ส่วนใหญ่จะโดนลากไปดูซะมากกว่า ดูคนตายต่อหน้าบ้าง ดูคนโดนซ้อม ดูวิธีการทำงานต่างๆนาๆ แต่สุดท้ายเฟิร์สก็เครียดหนักจนอ้วกแทบทุกครั้ง หลังๆพ่อเลยไม่ค่อยเรียกเขานัก



“เห้อ...เหมือนทุกคนมีความลับกับฉันสักอย่าง ที่ฉันไม่อาจรู้ได้”

เมื่อคิดไปก็เครียดเปล่าๆ เฟิร์สเลยกลับมาสนใจมือถือตนอีกครั้ง



“คุณไมค์ โทรมาหลายสายเลย ข้อความอีกนับไม่ถ้วน ทุกวันตั้งแต่เราหายไป โทรกลับไปก็ดันไม่รับสายด้วย เราควรไปขอโทษด้วยตัวเองดีกว่าสินะ พรุ่งนี้แสะไปที่บริษัทละกัน”





รุ่งเช้า

เฟิร์สแวะไปหาไมค์ที่บริษัทตอน9โมงก่อนกลับไปดูเอกสารบริษัทตัวเองต่อ เมื่อมาถึงติดต่อเรขาส่วนตัวเพื่ิอนัดไม่ได้อีก จึงไปหาพี่หัวหน้าแผนกตามที่ได้รับแจ้ง



“สวัสดีครับพี่พลอย ผมเฟิร์สนะครับ จำได้ไหม”



“ได้สิคะ มีธุระอะไรให้พี่รับใช้รับเปล่าคะ”



“คือว่า พอดีผมติดต่อคุณไมค์ไม่ได้ครับ แล้วคุณเรขาก็ไม่อยู่ เขาเลยให้มาติดต่อที่พี่ คือว่าผมอยากจะขอเข้าพบคุณไมค์วันนี้สักหน่อย พอมีเวลาว่างไหมครับ”



“ตายจริง ทำไมไม่โทรฯเข้าบริษัทก่อนละคะ คือว่าคุณไมค์ไปดูงานที่ต่างประเทศค่ะ ติดต่อไม่ได้หรอกค่ะ งดๆ ประชุมกันทั้งวัน จะสั่งงานยังได้แค่ให้คุณเรขาสั่งให้เลยค่ะ”



“แย่เลยนะครับ”

คุยกันอีกสองสามประโยค แล้วก็บอกลากันแล้วเรียบร้อยแล้ว และในจังหวะที่ฝั่งนู้นมีสายเข้าพอดี เฟิร์สเลยผันตัวจะเดินกลับ แต่พี่หัวหน้าแผนกก็เรียกไว้อีกครั้ง



“เดี๋ยวค่ะๆ น้องเฟิร์สคะ เรขาคุณไมค์ติดต่อมาพอดี เชิญคุยได้เลยค่ะ พี่บอกให้แล้ว”



“ขอบคุณครับ”

เฟิร์สดีใจยิ้มแก้มปริ ตื่นเต้นนิดๆทั้งๆที่แค่คุยกับเรขาไม่ใช่ตัวจริงๆของไมค์



“สวัสดีครับ เฟิร์สพูดครับ”



“สวัสดีครับคุณเฟิร์ส ผมเป็นเรขาของท่านประธานนะครับ คุณอยากพบท่านใช่ไหมครับ แต่ทางเราไม่สะดวกจริงๆ ต้องขออภัยอีกครั้ง”



“ไม่เป็นครับ ผมต่างหากที่มาโดยไม่ได้แจ้งไว้ก่อน”



“ครับ กเดี๋ยวผมจะเรียนให้ท่านทราบนะครับ ว่าผมติดต่อคุณได้แล้ว และคุณสบายดีใช่มั้ยครับ”



“ครับ สบายดีครับ ฝากขอโทษคุณไมค์ด้วยนะครับที่ไม่ได้บอก และก็ช่วยนัดวันให้ผมด้วยนะครับ ผมอยากขอโทษอย่างเป็นทางการ”



“ได้ครับคุณเฟิร์ส ท่านเป็นห่วงคุณมากเลยนะครับ พยายามติดต่อคุณตลอดทุกทาง จนวันที่เราไปดูงานที่ต่างประเทศ ท่านก็ยังให้ผมเป็นคนคอยติดต่อคุณให้”



และก็คุยกันอีกสักพัก เฟิร์สยิ้มดีใจไปด้วยทุกครั้ง ที่รู้ว่าไมค์ห่วงเขามากขนาดนี้ ทั้งพยายามติดต่อเขาทุกทางด้วยตัวเอง แถมพอไม่ว่างยังให้เรขาจัดดารเรื่องเขาให้

.

.

.

“งานเสร็จแล้ว จ่ายผมเท่าไหร่”

“อ่ะ”

“ใบเดียวหรอ ขี้งกจังนะ”

“แค่งานคุยโทรศัพท์ใครๆก็ทำได้ 500นั่นเยอะเกินไปด้วยซ้ำ หรือจะไม่เอา”

“เอาสิครับ ใจร้อนจริง ไว้วันหลังมาใช้บริการผมได้ใหม่”

และบทสนทนาปริศนาพวกนี้ พวกเขาเป็นใคร แล้วต้องการอะไรกัน



...

มาแล้วค่ะ ขอโทษที่หายไปนานนะคะ



*ตอบเม้นเว้นไว้ก่อนนะ ไว้โน๊ตบุคใช้ได้แล้วจะตอบให้หน้าตอนนะ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2016 18:20:30 โดย สิบสาม13 »

ออฟไลน์ rosetears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่นู๋เฟริส์นี้โหดได้อยู่นะแต่ทำเพราะรักน้อง น่าสงสารพี่น้องคู่นี้  :mew6:

ออฟไลน์ สิบสาม13

  • นามปากกา AkumaBK
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
    • ติดต่อได้ที่ บ้าน Yaoi , Boy'Love Akumabk


me die

22 : I’m Back


ตึกสูงใจกลางเมือง ชั้นบนสุดของผู้บริหาร เฟิร์สนั่งดูเอกสาร หน้าตาเคร่งเครียดมาตั้งแต่เช้า โดยมีแลมป์นั่งเช็คเอกสารที่เหลืออยู่ข้างๆ
 
ครืด... ครืด...

เสียงโทรศัพท์ของเฟิร์สดังขึ้น มือเรียวหยิบขึ้นมาแนบหูโดยไม่ได้ดูเบอร์ที่โทรเข้า ดวงตาและคิ้วยังคงขมวดแน่นอยู่กับเอกสารตรงหน้าอย่างเดียว

“สวัสดีครับ เฟิร์สพูดครับ”

{สวัสดีครับเฟิร์ส}

“คุณไมค์! กลับมาแล้วหรอครับ”

{ครับ ผมอยากเจอเฟิร์ส มาพบกันหน่อยได้ไหมครับ ที่...}

“ได้เลยครับ ครับ ตอนนี้เลยใช่ไหมครับ ครับ เดี๋ยวผมออกไปเลย”

เฟิร์สรับโทรศัพท์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลังรู้ว่าสายที่โทรเข้ามาเป็นคนที่เขาอยากคุยมาตั้งแต่กลับมา ตอนนี้หลังจากหน้ามุ่ยมาทั้งวันตอนทำงาน แม้งานจะไม่ยากนัก แค่ไปไหนมาไหนกับแลมป์เพื่อดูงาน แต่เขาก็ไม่ค่อยถนัดนัก จึงได้แต่เบื่อๆ แต่เมื่อไมค์โทรมาก็ดีใจยกใหญ่ พูดล่ำลากับแลมป์แล้วออกไปเลย

“แลมป์ เดี๋ยวฉันมานะ”

“จะไปไหน ทำไมไม่รับผิดชอบแบบนี้”

“ขอโทษ แต่ขอเวลาแปปเดียวนะ ไปละ”

“เฟิร์ส! เฮ้อ...เป็นแบบเดิมมันก็ดีอยู่หรอก แต่อย่าให้มันบ่อยนัก ไอ้อยู่ๆก็หายไปแบบนี้ คนอื่นเขาลำบาก”

แลมป์ได้แต่ถอนหายใจไล่หลังน้องชายของเขาไป พูดกับตัวเองเบาๆอย่างอดไม่ได้ เขาหนักใจว่าถ้าพ่อรู้เข้าจะยังโอเคอยู่รึเปล่าที่เฟิร์สยังใช้ชีวิตตามใจตัวเองอยู่แบบนี้ แต่เขารู้ว่าไมค์เป็นเพียงคนเดียวที่ช่วยให้เฟิร์สดีขึ้นได้จึงปล่อยให้ไปอีกตามเคย

...

“ไมค์ รอนานไหมครับ”

“ไม่นานเท่าไหร่ครับ มายากไหมครับร้านนี้”

เฟิร์สเดินเข้ามาหาไมค์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ในร้านอาหารที่ไมค์นัดมา ไมค์สั่งอาหารไว้ก่อนแล้ว มุมโต๊ะของทั้งคู่เป็นมุมส่วนตัว ไมค์ในชุดสูทสีดำสนิทพร้อมถุงมือสีดำคู่เดิมผายมือเชิญให้เฟิร์สนั่ง เฟิร์สในชุดเสื้อโปโลสีครีมกางเกงสีดำจากที่ใส่ไปทำงานก็นั่งลงและพูดคุยกันตามปกติ

"เฟิร์สครับ เพื่อเป็นการไถ่โทษที่หายไปจนให้ผมเป็นห่วง ทานอาหารเสร็จแล้ว ช่วยไปที่ๆนึงกับผมได้ไหมครับ" ไมค์มองตรงไปยังอีกคนนิ่งและยิ้มนิดๆไปที่นั่งทานอาหารอยู่ตรงข้ามตน

"หืม ไปที่ไหนหรอครับ” เฟิร์สวางช้อนแล้วมองสบกับไมค์ เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

“ไปถึงก็รู้ครับ แต่ขอบอกว่าค้างคืนนะ” ไมค์ยิ้มกว้างขึ้น ดวงตายังคงมองจ้องไปสบกับเฟิร์สนิ่ง

“ได้เลยครับ ถือว่าแอบอู้งานเลยล่ะกัน ฮ่าๆๆ”    ทั้งคู่หัวเราะพร้อมกัน และยิ้มให้กันแทนคำตอบว่าใจตรงกัน ในใจเฟิร์สก็ได้แต่หวังเพียงแค่ว่าแลมป์จะเข้าใจที่เขาหนีงานอีกแล้ว

...

แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันสาดแสงสีเหลืองนวลดวงกลมสะท้อนกับผืนน้ำเป็นทางยาวมาสู่คนมอง แลเงาต้นไม้เป็นสีดำแต่กับแลดูสวยงามลึกลับ ลมริมชายหาดที่ยังคงพัดเอื่อยๆให้ผู้คนเย็นฉ่ำ กิ่งไม้โบกไหวไปมาตามแรงลม หาดทรายสีขาวที่บัดนี้กลายเป็นสีน้ำตาลน่าค้นหา

ทั้งสองเดินเล่นกันมาเรื่อยๆตามริมหาด และแวะนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันเงียบๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนอบอุ่นนี้ด้วยกัน

“ฮ้า... รู้สึกดีจังนะครับ นั่งดูพระอาทิตย์ตกดิน ดื่มด่ำบรรยากาศแบบนี้ ผมไม่มีโอกาสมาเที่ยวที่แบบนี้บ่อยๆ ขอบคุณที่พามานะครับไมค์”

เฟิร์สยื่นมือออกไปด้านหน้า คว้าจับดวงอาทิตย์ที่เหมือนกำลังจะตกลงมาสู่กำมือเขา แล้วยิ้มน้อยๆ

“...คงจะดีกว่านี้นะครับ ถ้าเรามาดูตอนพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน”

ไมค์พูดขึ้นเบาๆแล้วขยับเข้าไปใกล้เฟิร์ส ยื่นมือออกไปให้เงามือของเขาทั้งสองทาบทับกัน เหมือนกำลังกอบกุมพระอาทิตย์ดวงโตสีเหลืองนั้นไว้ภายใต้ฝ่ามือเดียวกัน

เฟิร์สก็ได้แต่นิ่งงันอยู่แบบนั้น จนไมค์ขยับมือเปลี่ยนจากเงามือที่ทาบทับเป็นฝ่ามือให้ชิดใกล้แล้วกอบกุมไว้ในมือเบาๆ แล้วค่อยๆดึงมือของเฟิร์สเข้าหาตัวไมค์ช้าๆ จนหน้าหันมาตรงกัน ดวงตาสีนิลและสีฟ้าเทาแวววาวมองสบกันนิ่ง

“...เฟิร์สครับ ช่วงที่เฟิร์สหายตัวไป เป็นข้อพิสูจน์ว่าผมห่วงเฟิร์สมากเกินกว่าเพื่อนคนนึง ผม..คิดถึง และคอยเฝ้าตามหาเฟิร์สไปทั่ว แต่ผมแทบไม่รู้จักเฟิร์สเลยมากกว่าที่เราคุยกัน ผมบอกได้เลยว่าผมรู้สึกดีๆกับเฟิร์สจริงๆนะครับ และผม...อยากจะขอโอกาสจากเฟิร์ส ...ขอให้ผม ได้รู้จักตัวตนของเฟิร์สมากขึ้นกว่านี้ได้ไหมครับ”

เฟิร์สอึ้งนิ่งไป ไม่คิดว่าไมค์จะสารภาพแบบนี้ และตัวเขาเองก็ยอมรับว่าก็รู้สึกดีๆกับไมค์เหมือนกัน เพราะเป็นเป็นคนที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ยิ่งเมื่อได้สบกับนัยน์ตาสองสีที่มีเสน่ห์ของไมค์ทำให้เขาเหมือนถูกดึงดูดให้ละสายตาไม่ได้

ไมค์ดึงมือที่กอบกุมไว้เข้ามาแนบอก โน้มใบหน้าเข้าหาเข้าหาเฟิร์สเรื่อยๆ ดวงตาทั้งสองคู่สบประสานกันนิ่ง เงาของทั้งคู่ทาบทับรวมกันท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า กับบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกและเป็นใจ 

แต่แล้วเฟิร์สก็ชะงักดึงออกมาจากการกอบกุมแล้วดันหน้าอกหยุดไมค์ไว้แค่นั้น เพราะดวงหน้าและร่างกายที่คุ้นเคยของปีศาจร้ายทับซ้อนขึ้นมา

“…เอ่อ ผม ผมขอคิดดูก่อนนะครับ” (ขอเวลาผมหน่อย ให้ผมลืมปีศาจใจร้ายบางตนที่ยังคงฝังลึกอยู่ในใจผมตลอดมา)  เฟิร์สสับสน ดวงตาไหวสั่น ไม่เข้าใจทำไมเขาถึงต้องคิดถึงสัมผัสและคำพูดที่ผูกมัดเขาไว้ของปีศาจร้ายนั้น ทั้งๆที่ใจเขาและไมค์ตรงกัน

“ครับ ผมขอโทษด้วยนะครับ ที่ผมรีบร้อนเกินไป” ไมค์ยอมถอนกายห่างออกมา ยิ่งมองใบหน้าของเฟิร์สที่สับสนเขาก็เลยเลือกที่จะเป็นฝ่ายรอ ดวงตาสองสีจึงเสมองไปยังผืนน้ำทะเลที่บัดนี้ดำสนิท

“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ” เมื่อเห็นไมค์เงียบไป เฟิร์สเลยเงยหน้ามอง เห็นอีกฝ่ายนิ่งๆเมื่อรู้ตัวว่าเฟิร์สมองอยู่ก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆส่งกลับมาแทน แต่เพราะความมืดของผืนฟ้าที่ลาลับไปแล้วทำให้เฟิร์สรู้ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่สับสนและขอเวลาลืมปีศาจร้ายบางตนเท่านั้นเอง

22.30 น.

หลังจากเฟิร์สกับไมค์ออกไปทานอาหารและซื้อเสื้อผ้าของใช้จำเป็นกันเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายกันกลับเข้าห้อง ทั้งสองเปิดห้องพักกันคนละห้องข้างๆกัน เฟิร์สเข้าไปอาบน้ำ เมื่อเสร็จแล้วก็ออกไปยืนรับลมที่ริมระเบียง พรางถอนหายใจด้วยความสับสนและเหนื่อยใจ

“เฮ้อ…ทำไมเราต้องไปคิดถึงฝันร้ายนั่นด้วย ปีศาจร้ายตนนั้น เราก็หนีมันมาได้สักพักแล้วนะ ทำไมถึงได้เห็นหน้าปีศาจนั่นทับซ้อนกลับไมค์ตลอดเวลา ...นั่น ไม่ใช่คนเดียวกันสักหน่อย”

เฟิร์สมักจะคิดถึงสัมผัสและคำพูดที่ผูกมัดตัวตนของเขาไว้กับปีศาจนั่นเสมอ ยามหลับก็ฝันถึง ยามตื่นก็ยังคงหวาดกลัว แต่หลายๆอย่างเหมือนจะดีขึ้น แต่จิตสำนึกภายในจิตใจของเขาก็มักร้องเตือนบางอย่างเสมอ

ทุกๆครั้งที่เขาอยู่ใกล้ไมค์เขาก็มักจะรู้สึกอบอุ่นไว้ใจวางใจไมค์ได้เสมอ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็มักจะเห็นภาพของปีศาจร้ายดวงตาสีแดงภายใต้หน้ากากขาวทับซ้อนด้านหลังไมค์เสมอ ทั้งอบอุ่นและหนาวเหน็บทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ แต่เขามักจะเลือกบอกตัวเองซ้ำๆว่าไม่ใช่คนๆเดียวกัน และมองข้ามมันไปให้เห็นตัวตนของไมค์เสมอ

“คืนนี้ อากาศหนาวๆจัง” เฟิร์สยกมือลูบแขนตัวเองไปมา เมื่อลมเบาๆเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นลมเย็นทำให้รู้สึกหนาวไปถึงใจแปลกๆ เฟิร์สเลยเลือกที่จะกลับเข้าไปภายในห้องนอน

วูบ...

ลมเย็นพาดพัดผ้าม่านที่หน้าต่างห้องนอนไหวปลิววูบหนึ่ง ทั้งๆที่เฟิร์สปิดประตูกับมือตอนที่เข้ามาภายในห้อง

“อึก”

เฟิร์สขมวดคิ้ว กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ค่อยๆก้าวเดินไปยังม่านเพื่อเช็คดูอีกครั้ง มือเรียวเอื้อมออกไปจับผ้าม่านผืนหนานั้นขึ้นช้าๆ แต่ปรากฏว่าเขาเพียงแค่ปิดประตูไม่สนิท จนมันแง้มอ้าออกให้ลมเล็ดรอดเข้ามาภายในได้ จึงจัดการล็อคประตูลงกลอนอีกครั้ง และให้เหตุผลกับตัวเองว่าตนลืมล็อคมัน 

พรึบ!

“เฮือก! อะ อะไรวะ”

ไฟในห้องที่จู่ๆก็ดับลง ภายในห้องมืดและเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของเฟิร์สที่กำลังเข้าออกอย่างเร็วด้วยความตื่นเต้น เฟิร์สได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่กับที่ ใจเริ่มเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม เมื่อสัมผัสกับบรรยากาศที่แสนจะคุ้นเคยอีกครั้ง บรรยากาศรอบตัวที่จู่ๆก็หนาวเย็น กลิ่นคาวจากเลือดฟุ้งขึ้นใกล้จมูกจางๆ ขาเฟิร์สเริ่มอ่อนแรงจนร่างกายรับน้ำหนักไม่ไหวค่อยๆไหลลงสู่พื้นดิน ยกมือขึ้นปิดปากตนเองกลั้นเสียง สั่นไปหมด เมื่อความกลัวเริ่มครอบงำจิตใจของเขาอีกครั้ง

พรึบ!

“อึก! อือ”

แต่แล้วจู่ๆไฟก็กับมาปกติ สว่างไสวไปทั่วทั้งห้องเช่นเดิม ขณะที่เฟิร์สกำลังจะสติแตก จึงได้แต่นั่งเอามือปิดปากนิ่งกายสั่นไหว น้ำตาคลอเบ้าด้วยความกลัว

แต่แล้วสายตาก็มองเห็นบางสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะในระดับสายตาของเฟิร์ส ที่เป็นที่มาของกลิ่นคาวของเลือดที่ได้กลิ่นตอนไฟดับ จึงรวบรวมสติและความกล้าค่อยๆย้ายกายเข้าไปใกล้สิ่งๆนั้น แต่ยิ่งใกล้จนเห็นสิ่งๆนั้น หัวใจก็เต้นโครมครามไม่หยุด น้ำตาคลอจนจะไหลออกมา

ไพ่การ์ดสีดำ ที่มีตัว R อยู่ด้านหลัง

มือเรียวที่สั่นไม่หยุดค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบการ์ดใบนั้นขึ้นมา พลิกอีกด้านขึ้นมาอ่านข้อความ การ์ดใบนั้นล่วงล่นจากมือเฟิร์ส น้ำตาไหลหยดลงพื้น หน้าซีดขาวไร้สี ร่างกายไร้เรี่ยวแรงล้มลงกองอยู่ที่พื้นห้องเย็นเฉียบ พร้อมกับคำในข้อความที่ดังก้องซ้ำไปมาอยู่ในหัว และกลิ่นเลือดที่ประทับมาบนการ์ดยังคงติดจมูกไม่จางหายไป

‘ฉันกลับมาแล้ว’

...


ด้วยความหวาดกลัวเฟิร์สจึงหนีออกจากห้องไปตั้งแต่คืนนั้นโดยไม่ได้บอกไมค์ ไปเปิดห้องที่โรงแรม4ดาวแห่งหนึ่งแถบชานเมืองใกล้กรุงเทพ เพราะไม่อยากให้ไมค์มาเห็นตัวเองสภาพนี้ และกลัวจะรู้ความจริงเข้า เฟิร์สกังวลมากและหวาดระแวงไปหมด ปิดประตูหน้าต่างผ้าม่านแน่นแถมยังสั่นห้ามรบกวนอีก

“จริงสิ พี่หมอ”

ตู๊ด... ตู๊ด...

เฟิร์สตัดสินใจโทรหาหมอพอล เพราะคิดถึงครั้งนั้นที่หมอช่วยดูแลเขาและให้ขอความช่วยเหลือได้ พ่อเป็นคนสุดท้ายในโลกที่เขาจะขอความช่วยเหลือเพราะถ้าเป็นพ่ออาจจะต้องมีการสูญเสียชีวิตเกิดขึ้นอีก

“สวัสดีครับ ผมเฟิร์สนะ พี่หมอพอลอยู่ไหมครับ” เฟิร์สยิ้มออกเมื่ออีกฝ่ายรับสาย

“คุณหมอไม่อยู่ค่ะคุณเฟิร์ส คุณหมอได้แจ้งฉันไว้ว่าทางโรงพยาบาลให้ไปทำวิจัยที่ต่างประเทศ ไม่รู้กำหนดกลับค่ะ จนกว่างานจะเสร็จเรียบร้อย”

“ขอบคุณมากครับคุณพยาบาล” 

เฟิร์สทรุดตัวนั่งกลับพื้นอย่างอ่อนแรง ดวงตามองจ้องโทรศัพท์นิ่งงัน ในใจเพียงแค่คิดว่าทำไมคนที่พอจะพึ่งพาได้กลับหายไปกันหมด เพราะแลมป์พี่ชายของตนก็ส่งความมาบอกตั้งแต่เมื่อวานว่าพ่อสั่งให้ไปต่างจังหวัดเหมือนกัน

“ทำยังไงดี...ฮือ”

เฟิร์สจึงเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ไม่ออกไปไหน ข้าวปลาก็ไม่ยอมสั่งขึ้นมากิน กินแต่ยาระงับระสารทที่ตัวเองซื้อไว้ติดกระเป๋าให้หายกังวล นอนก็ไม่ยอมนอนเพราะกลัวว่าจะตื่นขึ้นมาเจอกับปีศาจนั่น เฟิร์สได้แต่ประสาทหลอน ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังก็ปิดเสียงแล้วปาทิ้งไปให้ไกลตัว ได้แต่ยกแขนอ่อนแรงกอดตัวเองอยู่มุมห้องอย่างน่าสงสาร จนนานเข้าก็หลับไปในห้องนั้น

รุ่งเช้า

ไมค์ออกจากห้องตน มาเรียกเฟิร์สไปทานอาหารเช้า เพราะโทรหาตั้งแต่เมื่อคืนไม่ยอมรับสายเลย ออกมาดูด้วยความเป็นห่วงแต่ที่ห้องก็ดันแขวนป้ายห้ามรบกวนไว้ เขาจึงล้มความคิดแล้วกลับเข้าห้องไป

แต่เพราะเฟิร์สไม่ใช่คนตื่นสายขนาดนี้ และทั้งๆที่สัญญากันไว้ว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน แต่กลับหายเงียบไปเลย ไมค์ก็ได้แต่คิดว่าเฟิร์สยังไม่พร้อมจึงไม่อยากเร่งรัดมากเกินไป แต่จนแล้วจนรอดก็ยังคงเงียบ จึงต้องมาเคาะเรียก

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เฟิร์สครับ อยู่รึเปล่าครับ เปิดประตูให้ผมหน่อย”

ก๊อก ก๊อก ปึง! ปึง!

“เฟิร์สครับ ผมไมค์เอง เฟิร์สอยู่ไหม! เฟิร์ส! เปิดประตูให้ผมหน่อย!”

เมื่อเห็นว่าเฟิร์สยังคงเงียบ ก็เปลี่ยนจากเคาะมาทุบประตูดังลั่น จนห้องๆข้างๆออกมาโวยวายแต่ไมค์ก็ยังคงทุบต่อไป แต่จนแล้วจนรอดเฟิร์สก็ยังคงเงียบ ไมค์ได้แต่ขมวดคิ้วแน่น มือกำลูกบิดหมุนไปหมุนมาให้มันหลุดออกตามแรงอารมณ์ จนมันหักคามือ แล้วจึงผลักประตูเข้าไปภายในห้อง

“เฟิร์ส! คุณอยู่ที่ไหน”   

ไมค์วิ่งเข้าห้องนอนตะโกนลั่นทันที ทั้งห่วงทั้งกังวล แต่เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงา แถมที่นอนยังคงเรียบตึงเหมือนไม่เคยถูกใช้งาน จึงวิ่งดูตามห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ก็ยังไม่มี จึงย้อนกลับไปเปิดตู้ดูก็พบว่ากระเป๋าเสื้อผ้าได้หายไปด้วย จึงได้แต่หัวเสีย สบถคำหยาบคายออกมา

“เหี้ย! หายไปไหนอีกแล้ววะ!”

ไมค์หันรีหันขวาง โวยวายและสบถหยาบคายออกมาอีกหลายครั้ง แต่แล้วก็เหลือบสายตามองไปยังกระจกที่สะท้อนโทรศัพท์ภายในห้องให้เห็น

“หึ! จริงสิ GPS คราวนี้ไม่ว่าจะที่ไหนก็เจอแน่นอน ยังไงก็ต้องเจอ ก็บอกไว้แล้วว่า หนีกูไปไหนไม่พ้นหรอก กูจะตามไปทุกที่ เฟิร์ส! หึหึหึ”

เมื่อคิดได้ดังนั้น ไมค์ก็ยิ้มออก รอยยิ้มร้ายถูกยกขึ้นมุมปาก แล้ววิ่งออกไปเพื่อตามหาทันที

ไม่รู้ว่าเพราะความเป็นห่วงจนทำให้เขาเผยด้านร้ายๆพูดหยาบคายออกมา หรือเพราะอะไรกันแน่



“เฮือก!”

เย็นของอีกวันเฟิร์สสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายแบบเดิมๆที่ตามหลอกหลอนเขาทุกครั้งยากคิดถึงชายใส่หน้ากากคนนั้น เขาหลับไปนานจากฤทธิ์ยากล่อมประสาทนี่ก็เกือบเย็นของวันหนึ่งแล้ว ท่ามกลางความมืดมิดของห้องพักยามกลางดึกที่มีเพียงแสงไฟจากด้านนอกลอดช่องใต้ประตูเข้ามาเล็กน้อยเท่านั้น ภายในห้องดูสงบเงียบแต่ก็วังเวง  อุณหภูมิห้องเริ่มเย็นขึ้นจนเขาต้องขยับกายขดตัวใต้ผ้าห่มทั้งๆที่เหงื่อจากฝันร้ายยังคงไหลริน  เฟิร์สมองหารีโมทแอร์แต่อุณหภูมิในนั้นเพียง25องศาเท่านั้น กายเฟิร์สเย็นเชียบจนเสียวสันหลังวาบขนลุกเกรียว เขายกมือขึ้นลูบแขนตัวเองไปมาและเลื่อนผ้าห่มคลุมกายและขดกายอยู่ใต้ผ้าห่มมากขึ้นพยายามข่มตาให้หลับลงหนีความจริงไปอีกครั้ง

แต่อากาศก็เย็นลงมากขึ้นๆ คิ้วของเฟิร์สขมวดอีกเมื่อมองที่รีโมทแอร์ก็ยังคงเท่าเดิม หน้าต่างก็ไม่ได้เปิด ไม่มีลมพัดเข้ามาเลยสักน้อย แต่จู่ๆก็ได้เสียงลมพัดอื้ออึงจากด้านนอกทั้งที่ท้องฟ้ายามกลางคืนจากหน้าต่างอีกบานที่ไม่ได้ปิดม่านยังคงนิ่งสงบ แต่แล้วจู่ๆภาพของปีศาจนั่นลอยขึ้นมาในหัวของเฟิร์ส กายแข็งทื่อแล้วสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ใจเต้นโครมครามด้วยความวิตกกังวล มือเรียวเลื่อนผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายขยำมันไว้แน่นเป็นเครื่องป้องกัน

ซ่า!!!

“เฮือก!”

แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไร ทีวีในห้องก็ถูกเปิดขึ้นทั้งๆที่เฟิร์สนอนอยู่บนเตียง เสียงซ่าไร้สัญญาณของทีวีดังขึ้นไม่หยุด เฟิร์สได้แต่หันรีหันขวางหาทางหนี ลุกลี้ลุกลน แต่ร่างกายที่สั่นไหวอ่อนแรงกับใจที่เต้นรัวกับทำให้คิดอะไรไม่ออก สัญญาณทีวีกับมาชัดปกติ แล้วก็ซ่าไร้สัญญาณสลับกันไปมา และจู่ๆภาพก็กลายเป็นสีขาวเสียงซ่าหายไป

แต๊ก แต๊ก    แต๊ก แต๊ก
ภายในห้องเงียบสงัด แล้วในหน้าจอก็มีตัวหนังสือถูกพิมพ์ขึ้นมาให้อ่านทีละตัวอักษร เสียงพิมพ์แต่ละตัวดังก้องทั่วทั้งห้องเหมือนกดพิมพ์ดีด เฟิร์สใจหายวาบตาโตอย่างตกใจ  ยกมือกุมหน้าอกเอาไว้เพราะกลัวว่าหัวใจที่เต้นรัวเร็วจะหลุดออกมา ทันทีที่ข้อความทั้งหมดถูกพิมพ์จนหมดเสียงนั้นก็หายไป เมื่อจับใจความได้ทั้งหมด เฟิร์สก็หน้าซีดเผือด ตาเหลือกตกใจ มือกำผ้าห่มแน่น ทั้งร่างกายเกร็งไปหมด ‘มันเข้ามาได้ยังไง’ คิดไม่ตกกับข้อความที่ขึ้นหลาอยู่ในจอ จนละสายตาไปไหนไม่ได้ ลมหายใจขาดช่วงหายใจไม่ทั่วท้อง เขาจะมีทางไหนให้หนีจากมันได้บ้างไหม

“มึงหนีกูไปไหนไม่พ้นหรอก กูบอกมึงแล้วว่าจะตามมึงไปทุกที กูกลับมาแล้ว เตรียมตัวดีๆ      …R”

เฟิร์สจึงถูกความกลัวเข้าครอบงำอีกครั้ง จึงรีบเก็บข้าวของลงไปเช็คเอ้าท์ เมื่อโทรเรียกแท็กซี่มาไว้แล้วรีบแอบย่องออกทางด้านหลังโรงแรมเตรียมหนีทันที
“คุณเฟิร์สที่โทรเรียกใช่ไหม จะไปไหนครับ”

“ไปที่โรงแรมUZ”

เมื่อแท็กซี่สีเหลืองมาจอดเทียบ ก็สอบถามกันเรียบร้อย เฟิร์สกำลังจะก้าวขาขึ้นรถ จู่ๆก็มีรถตู้สีดำขับมาเทียบข้างๆ แล้วชายชุดดำสวมไอ้โม่งปิดหน้า2คนก็เดินเข้ามาหาเฟิร์สพร้อมกระชากออกจากรถ

เอี๊ยด!! ปึ้ง!

“จะไปไหน ไปกับพวกเราเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” ชายร่างใหญ่เข้ามาทางด้านหลัง และจับล็อคแขนเฟิร์สไขว้หลังไว้ทั้งสองข้าง

“เฮ้ย ไรวะ” เฟิร์สตกใจ ข้าวของที่หอบมาด้วยล่วงหล่น รู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขน พยายามขืนตัวออก แต่ขนาดตัวที่ต่างกันจึงต้องรอจังหวะ

“จะทำอะไรกัน ปล่อยคุณคนนี้เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะแจ้งตำรวจ” คนขับแท็กซี่เห็นก็ตกใจ ลุกพรวดพลาดออกจากรถมาตะโกนไล่พวกคนชุดดำ และยกโทรศัพท์จะกดหาตำรวจ เฟิร์สเห็นดังนั้นก็เตรียมยกขาถีบ โดยอาศัยแรงจากคนด้านหลังให้รับน้ำหนักตน แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อชายชุดดำตรงหน้า หยิบปืนสั้นสีดำเงาออกมาจ่อตรงหน้า

“อย่าฤทธิ์เยอะนะมึง แล้วก็มึง ไม่ต้องเสือก ถ้าไม่อยากตาย ไปซะ!” มันหันมาพูดกับเฟิร์ส แล้วหันไปตะคอกคนขับแท็กซี่พลเมืองดีคนนั้น โดนปืนก็เลื่อนมาจ่อที่ขมับเฟิร์ส

“คุณครับ ผมขอโทษนะ” เมื่อแท็กซี่เห็นปืนก็รีบก้มหลบในรถ แล้วยิ่งได้ยินคำขู่ก็กลัวหนักไปอีก แต่ถึงจะอยากช่วยขนาดไหนเขาก็ยังมีลูกเมียต้องดูแลจึงได้แต่ตะโกนบอกเฟิร์สเสียงสั่นแล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว

บรื้นนนน!!

“พวกมึงเป็นใคร” เฟิร์สพยายามมีสติ พูดกับพวกมันเสียงแข็ง

“ไปถามพ่อมึงสิ ว่าส่งคนไปถล่มแก๊งไหนไว้ ถ้ามึงรอดไปได้นะ” ไอ้คนที่ถือปืนเอาปืนจี้ลงที่ขมับซ้ำๆแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เครียดแค้น แล้วยกด้ามปืนสั้นตบลงไปที่ปากเฟิร์สเมื่อเฟิร์สถ่มน้ำลายใส่มัน

“อย่ามัวพูดมาก โป๊ะยามัน แล้วลากขึ้นรถซะ” อีกคนที่นั่งอยู่ในรถด้านหน้าชะโงกหน้าที่มีโม่งดำออกมาตะคอก2คนที่อยู่ข้างล่าง ชายคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็เก็บปืนเหน็บที่เอว แล้วคว้าเอาผ้าสีขาวออกมาแล้วโบ๊ะเข้าที่จมูกเฟิร์สทันที

“อื้ออออ อ่อยนะเอ้ย อ่อย...อึก” เฟิร์สออกแรงดิ้นหนี ผ้าสีขาวที่ปิดลงมาที่จมูกแน่น แต่เขาก็กลั้นหายใจไว้ แล้วดิ้นต่อไป แต่ก็ไม่สามารถหลุดออกจากชายร่างใหญ่คนที่ล็อคแขนเขาไว้เลย จนแล้วจนรอดก็ทนไม่ไหวจนต้องสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอด จนสูดยาสลบที่ใส่มาในผ้าเข้าไปเต็มแรง ภาพรอบๆเริ่มเบลอ ร่างกายอ่อนแรง จนในที่สุดเขาก็ไม่รับรู้อะไร 


...

กลับมาแล้ว ไม่มีคำแก้ตัวใดๆค่ะ
ขอโทษคนที่ติดตามนะคะ
แต่สัญญาจะแต่งให้จบแน่นอน


...
แรมป์คู่กับพี่หมอพอลนะๆ 555
#ยินดีค่า ^^
คู่นี้ ไม่แน่ใจว่าจะเขียนรึเปล่านะคะ แต่ก็แอบแทรกมาเรื่อยๆทุกที

พี่นู๋เฟริส์นี้โหดได้อยู่นะแต่ทำเพราะรักน้อง น่าสงสารพี่น้องคู่นี้  :mew6:
เขียนไปเขียนมา เริ่มรู้สึกสงสารแล้วล่ะค่ะ ชีวิตจะรวยแต่รันทดขนาดนี้

ขอบคุณที่ติดตามตลอดนะคะ ไม่ทิ้งกันไปไหน คอมเม้นให้ตลอดเลยด้วย

ออฟไลน์ สิบสาม13

  • นามปากกา AkumaBK
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
    • ติดต่อได้ที่ บ้าน Yaoi , Boy'Love Akumabk

Me die

23 : ความจริง



ย้อนกลับไปวันที่รีสโดนทดลองอยู่ที่องค์กรลับ ภายใต้การดูแลของดร.

‘ฉันเป็นใคร... ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่…’

ความสำนึกคิดเริ่มดังในหัวสมองของ รีส ที่ตอนนี้เพิ่งฟื้นคืนสติจากการถูกยาหลากหลายชนิดที่ฉีดเข้าสู่ร่างกาย ทำให้สติเขาเลือนลางจนไม่รับรู้อะไรไป เขาคิดว่ามันเป็นเพียงครู่หนึ่งแต่จริงๆแล้วผ่านมาหลายวัน

‘เฟิร์ส...ชื่อใครกัน...อึก! ฉันต้องออกไปจากตรงนี้’

บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง

เมื่อสติกลับมาเต็มร้อย จดจำทุกเรื่องราวได้ครบถ้วน ร่างกายที่ถูกจองจำในโหลแก้วบรรจุยาน้ำขนาดยักษ์ก็ดิ้นพ่าน มือหนาปัดป่ายที่ผนังแก้ว อีกข้างก็ดึงรั้งสายยากับเข็มยักษ์ให้หลุดออกจากร่างกาย สายที่ถูกดึงจนหลุดออกยาในหลอดทะลักออกมาทำให้สีสันในน้ำเริ่มเปลี่ยน ไหนจะเลือดสีแดงฉานที่ไหลออกตามผิวหนัง

รีสหันรีหันขวาง มือแหวกว่ายยาน้ำในถังแก้ว เมื่อเห็นไม่มีใครอยู่ เท้าก็ถีบส่งแรงของตนเข้าหาผนัง กระแทกลำตัวเข้าหาโหลแก้ว

เพล้ง!!

ซ่า!

กระจกใสของโหลแก้วแตกกระจายเป็นชิ้น น้ำในโหลแก้วไหลออกพาลำตัวเปลือยเปล่าของรีสหล่นออกมาด้วย รีสชันเข่าขึ้นจากน้ำ จะลุกออกจากห้อง แต่ก็ต้องล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมอ้วกเอายาที่ร่างกายต่อต้านออกมาเต็มไปหมด

“อ้วกกกก อ้วกกกก”

สายตาของรีสพร่าเลือนไปชั่วครู่ แต่เมื่ออ้วกเอายาออกมาหมดก็ดีขึ้น ร่างกายกำยำเปลือยเปล่า ลุกขึ้นยืน ใบหน้าแน่นิ่ง เรี่ยวแรงกลับมาครบถ้วน บาดแผลจากรอยเจาะของเข็มก็หายไป เหมือนเมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้น ขายาวก้าวออกจากกองยาน้ำสีต่างๆ ตรงไปหยิบผ้าม่านสีขาวที่ขึงกั้นระหว่างโหลแก้วยักษ์กับอุปกรณ์ทดสอบย่อย มาพันไว้รอบเอวแล้วเดินตรงออกไปยังประตู

วื้ด! วื้ด! มีผู้ทดลองหลบหนี! มีผู้ทดลองหลบหนี!

กรี๊ดดดดดด!!!      อ้ากกกก!!!

รีสเดินนิ่งตรงดิ่งออกมา จนเกือบถึงประตูทางออก สวมเสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงสีดำที่ยึดมาจากเหล่าผู้รักษาความปลอดภัยขององค์กรที่เข้ามารุมจับเขา ไหนจะผ่านทั้งพวกคนใส่ชุดกราวด์และผู้ช่วยทั้งหลาย แต่ก็ไม่มีใครจับเขาได้ ได้แต่นอนสลบไม่ก็เจ็บตัวอยู่ด้านหลังมากมาย เสียงสัญญาณเตือนภัยยังคงดังไม่หยุด พวกผู้รักษาความปลอดภัยที่มีอาวุธก็ยังคงวิ่งตามเขาไม่หยุดหย่อน

บื้นนน!!

รีสขยับกาย ขึ้นบนรถ หลังออกมาได้ถึงลานจอดรถ แล้วขับออกไปทันที เมื่อไปถึงประตูด้านนอก ชายชุดดำพวกผู้รักษาความปลอดภัยที่พกอาวุธก็กั้นประตูไม่ให้เขาออก สอบถามข้อมูลอยู่นาน เพราะได้ยินเสียสัญญาณเตือนภัยเมื่อครู่ที่ตอนนี้ดับไปแล้ว รีสก็ยังคงนิ่ง ดวงตามองตรงไปข้างนอกอย่างเดียว จนเมื่อพวกชายชุดดำรับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง มันก็เปิดที่กั้นประตูและปล่อยให้รีสขับรถออกไป

...

ขณะเดียวกัน

“ปล่อยมันออกไป”

ดร.ยกหูโทรศัพท์ภายในสั่งผู้รักษาความปลอดภัยที่ประตู ขณะดวงตาภายใต้กรอบแว่นจ้องนิ่งมองกล้องวงจรปิดที่กำลังฉายเหตุการณ์ที่รีสกำลังนั่งนิ่งอยู่ในรถคนนั้น รอยยิ้มชื่นชมและตื่นเต้นของดร.แสดงออกมาชัดเจน ที่ตัวทดลองของเขานั้นมาไกลมาก เขาดีใจที่ได้ศึกษา ‘ปีศาจ’ สายเลือดบริสุทธิ์ขนาดนี้ เผ่าพันธุ์หายากที่หายสาบสูญของปีศาจในตำนาน อยู่ในมือของเขาจริงๆ และเขาเป็นคนแรกที่ได้ศึกษาหลังจากเฝ้าติดตามเรื่องนี้มาหลายชั่วอายุคน เขาเป็นคนแรกและคนเดียวในตอนนี้! ไม่ผิดหวังที่เขาเจอชายคนนี้

...


รีสขับรถกลับมาที่คอนโด หวังจะเจอใครบางคนที่เขาเอามาทรมาน คนที่ฆ่าเขา แต่ก็เป็นคนที่ทำให้ร่างกายเขารู้สึกขึ้นมาบ้างเวลาได้สัมผัส คนที่เขาแค้น คนที่เขาอยากฆ่าและทิ้งขว้างให้เหมือนกับที่เขาโดน แต่ก็เป็นคนที่มีเรื่องวนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอดเวลา แม้กระทั่งยาที่ได้รับไปทำให้เขาพร่าเลือน แต่ยังจำชื่อของคนๆนี้ได้เสมอ คนที่เขา...คิดถึงสัมผัสจากร่างกายที่เนียนนุ่ม รอยยิ้ม และมุมอ่อนโยนที่เขาอีกคนได้สัมผัสมา

ปึง!

“ไม่มี! นี่ก็ไม่มี! มึงหายไปไหนวะ! เฟิร์ส!”

แต่ตอนนี้รีสได้แต่หัวเสีย เขาวิ่งวนไปรอบห้อง ไม่เห็นแม้แต่เงาใครสักคน สภาพห้องทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมก่อนที่เขาจะออกไป ข้าวของที่อีกคนล้มใส่ยังคงระเนระนาดไม่ได้เก็บ น้ำในอ่างน้ำที่ยังคงเต็ม แม้แต่รอยยับย่นและรอยเลือดแห้งกรังบนที่นอนก็ยังคงเดิม แต่ที่ต่างออกไปก็คือตอนนี้มีแค่เขาคนเดียวในห้อง ส่วนอีกคนไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ

“มึงหนีกูไปไหน! ชีวิตมึงเป็นของกูแล้ว! กูไม่อนุญาต มึงออกจากได้ยังไงกัน! เหี้ยเอ้ย!”

รีสนั่งลงบนที่นอน ถอยหายใจเพื่อลดอารมณ์ที่รุนแรงของตนลง เริ่มมองหาเบาะแส เผื่อว่าอีกคนจะออกไปไม่ไกล หรือจะแค่ลงไปหาอะไรกิน เพราะคิดว่าเชื่อฟังคำสั่งตนจากที่โดนลงโทษไปเยอะพอสมควร มือหนาลูบไล้บนที่นอนเย็นเฉียบเพื่อหาความอบอุ่นจากร่างกายอีกคนที่เคยนอนอนอยู่ตรงนี้แต่ก็ไม่รู้สึกอะไร

“คิดบ้าอะไร!” รีสสะบัดความคิดไร้สาระของตนทิ้งไป สงสัยเพราะอิทธิพลจากการที่รู้จักเฟิร์สจากอีกตัวตนหนึ่งทำให้เขาเริ่มมีความคิดแปลกๆ เช่น คิดถึง

คิ้วหนาเริ่มขมวดคิ้วคิดไม่ตก เมื่อลองประติดประต่อเรื่องราว มันอาจจะเป็นไปได้ที่หมอพอลจะช่วยเปิดทางให้มันหนีไป และถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆล่ะก็ ต้องได้เห็นดีกัน ยิ่งคิดทบทวนทุกอย่าง อารมณ์โมโหร้ายก็เพิ่มพูน เขาได้แต่ทำหน้านิ่งๆ แผ่ไอเย็นจางๆรอบตัว มือหนาจึงยกโทรศัพท์ของตนโทรเรียกหมอพอลมาที่ห้องนี้โดยด่วน

ตู๊ดดด ตู๊ดดดด

[หมอพอล]

‘รีส! หมอนั่นกลับออกมาตอนไหน ทำไมดร.ไม่บอกเรา’

หมอพอลใจหายวาบ เมื่อเห็นเบอร์ของรีสโทรเข้า มือของหมอพอลสั่นไหว เขากดรับสายแล้วยกแนบหูช้าๆ ใจเต้นโครมคราม กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากลำบาก

“...รีส นั่นนายหรอ” เมื่ออีกฝ่ายเงียบไป หมอพอลจึงเอ่ยออกมาเบาๆก่อน
 
“ใช่ แล้วตอนนี้หมอรู้ไหมว่าผมอยู่ที่ไหน คอนโดไง ผมอยากให้หมอมาอธิบายเดี๋ยวนี้!” หมอพอลใจหายวาบ ตอนที่รีสตะคอกใส่เขาตอนประโยคสุดท้าย

“อึก เรื่องอะไร ถ้าหมายถึง เฟิร์ส ผมอธิบาย” ใจของพอลเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น พูดติดๆขัดๆพยายามจะอธิบาย แต่อีกฝ่ายดันตัดสายซะก่อน

ติ๊ด!

“ถึงเวลาแล้วสินะ ที่ผมจะต้องโดนความร้ายกาจนั่นบ้าง เฟิร์สผมอาจจะช่วยคุณหนีไม่ได้อีกแล้ว”

เขาพูดกับตัวเองเบาๆ คิดถึงหน้าเฟิร์สที่เป็นเหมือนน้องชาย ใบหน้าเนียนๆ รอยยิ้มคงจะจากหายไป อาจจะต้องเห็นแต่น้ำตาอีกแล้วสินะ น่าสงสารจับใจ แต่คงทำอะไรไม่ได้แล้ว แล้วรีบเก็บข้าวของเดินออกจากคลีนิคไปยังคอนโดเพื่อรับผลที่ตัวเองยื่นมือเข้าไปยุ่ง รีสคงกำลังโมโหร้ายน่าดู

...

“เอาล่ะ” เมื่อมาถึงคอนโด หมอพอลยืนทำใจอยู่หน้าประตูสักพัก ก่อนยื่นมือไปกดกริ่งหน้าห้อง

ดิ๊งด่อง ดิ๊งด่อง

“อ๊ะ เร็วจังนะ” ไม่ต้องรอนานอย่างที่คาดเอาไว้ รีสเปิดประตูออกอย่างรวดเร็ว เร็วซะจนประตูแทบจะหลุดติดมือเขาไปด้วย หมอพอลสะดุ้งตกใจ ก่อนรักษาภาพพจน์กับมายิ้มแย้มเหมือนทุกครั้งที่รีสเจอหน้า

รีสไม่พูดอะไร ไม่แสดงออกทางสีหน้าว่ารำคาญเขา ไม่ขมวดคิ้วในความหมั่นไส้เหมือนทุกครั้งเมื่อเจอหน้าและเห็นขายิ้ม รีสวันนี้น่ากลัวมากในความคิดหมอพอล เหมือนวันแรกที่เขาตื่นขึ้นมา น่าขนหัวลุก ได้แต่เดินนำเข้าไปในห้องที่อากาศเย็นเหมือนห้องดับจิตในหัวของหมอพอล

“รีส นายออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไร เดินตรงไปยืนนิ่งอยู่กลางห้องเย็น

“หมอน่าจะรู้ ว่านี่ ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะถามตอนนี้”

รีสหันหน้ามาสบตากับหมอพอล แล้วเอ่ยช้าๆชัดๆ เสียงที่น่าขนลุกเวลาโมโหมากๆของรีสที่เขาเคยได้ยินตอนพูดถึงเฟิร์สแรกๆแต่ตอนนี้รีสกำลังพูดกับเขา แล้วไหนจะไอเย็นที่แผ่กระจายออกมาจากตัวรีสมากขึ้น แต่หมอพอลก็เลือกที่จะหุบยิ้มเพียงแค่นั้น แล้วยื่นนิ่งทนความหนาวเย็น ตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง

“งั้นก็ได้ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ผม...เป็นคนช่วยเฟิร์สออกไปเอง อึก!” หมอพอลยังพูดไม่ทันจบ แต่แค่ได้ยินว่าหมอพอล ที่เขาคิดว่าไว้ใจได้หักหลังแถมยังเป็นคนพาเฟิร์สออกไปเอง ตาปีศาจสีแดงวาบขึ้นจ้องเขม็งตรงไป มือหนายื่นไปบีบคอของหมออย่างเร็ว แต่หมอพอลก็ยังคงอธิบายต่อไป

“ผม ผมทนไม่ได้ที่เห็นคนไข้ของผมในสภาพแบบนั้น อึก! ผมเตือนคุณแล้วว่าอย่าทำแบบนั้น มันรุนแรงเกินไป ทำไมคุณไม่คิดถึงใจของเขาบ้าง อะ ฮึก!” แรงบีบจากมือของรีสเพิ่มแรงขึ้น มืออีกข้างดันหน้าอกแล้วดันหมอพอลเข้าชิดกับกำแพง ออกแรงบีบมากขึ้นจนหายใจติดขัด มือที่ดันหน้าอกเลื่อนมาจับที่หัวไหล่แล้วจิกลงอย่างแรง

“กูคิดว่ามึงไว้ใจมึงได้... หึ! ไม่คิดว่าจะสงสารมันง่ายไปหน่อยรึไง ลืมไปแล้วหรอ ว่ามึงเป็นคนหาข้อมูลมันมาให้กู วันแรกมึงก็เป็นคนช่วยกูทำร้ายจิตใจมัน แล้วก็เป็นมึงอีก ที่ช่วยกูจับมันมา ให้กูทรมานในห้องนี้ มึงลืมรึไง! แล้วจะมาใจดีอะไรตอนนี้วะ! มึงจะพามันหนีไปจากกูทำไม!” รีสพูดออกมาเสียงเบาในประโยคแรก แล้วก็ตะคอกออกมาอีกในคำต่อมา รีสโมโหขึ้นอีกเท่าตัว

ดวงตาปีศาจสีแดงข้างหนึ่งแวววาวจ้องเขม็ง ไอเย็นจากตัวรีสแผ่กระจายตามความโมโห มือที่จิกไหล่เริ่มลงแรงมากขึ้นจนเลือดซึม ไหลออกมาตาเล็บที่จิกแรงลง มืออีกข้างที่บีบคออยู่ ความเย็นบาดผิวอ่อนๆตรงลำคอจนขึ้นเป็นรอยนิ้วมือแดงช้ำและกัดผิวจนเป็นแผล ถ้าดึงออกคงหลุดติดนิ้วของรีสมาดูน่าสยองแน่

“ไม่มีทาง อึก! ที่ผมจะลืม ว่าผมช่วยคุณทำร้ายเขา แต่ผมก็อยากช่วยคุณทั้งสองคน ไม่อยากให้ทำร้ายจิตใจของแต่ละคนมากไปกว่านี้ อือ อึก! การที่ปลอมตัวไปเป็นอีกคน ก็น่าจะรู้จักตัวตนของเฟิร์สบ้างแล้ว ว่าเขาใจดีจนคุณก็เริ่มเห็นใจแล้วนี่” หมอพอลหน้าแดงก่ำ พยายามหายใจเอาอากาศเข้าปลอดอย่างอยากลำบาก เลือดก็ไหลมากขึ้นๆ แต่ก็ไม่ห้าม ไม่ปัดออกเอาแต่พูดอย่างเดียว

“อึก! อึก! เอือก!” หมอพอลตาเหลือกมองขึ้นบน หน้าแดงจนเริ่มขาวซีด ขอบตาแดงน้ำตาไหลริน อ้าปากค้าง สะอึกสำลักน้ำลายตัวเอง ทนพิษบาดแผลไม่ไหว มือสั่นๆของหมอพอลขยับมาจับมือของรีสให้ปล่อยออก ดวงตาแดงก่ำจ้องมองให้รีสเมตตาแต่ไม่ยอมพูดขอร้อง เพราะรู้ว่าตัวเองผิด จนดวงตาของหมอพอลเริ่มปิดลง เรี่ยวแรงที่มีหดหาย มือที่จับอยู่ล่วงหล่นลงพร้อมกับร่างกายที่ต้านทานไม่ได้ สลบไปทั้งๆท่ยืนอยู่
 
“…ไม่ว่าใคร ถ้าพามันหนีไปจากกู กูก็ไม่ให้อภัยแน่ แม้แต่หมอก็ไม่เว้น” รีสปล่อยมือออกจาคอและไหล่ของหมอพอล ปล่อยให้ร่างนั้นล่วงหล่นลงสู้พื้น

รีสยังคงยืนนิ่ง มองต่ำลงไปที่หมอพอลที่สลบอยู่ข้างล่าง ยกมือตัวเองดูเห็นเลือดที่เล็บ และผิวเนื้อลำคอติดตามมือมาด้วย แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อ ได้แต่เดินออกไปจากห้อง เพราะถ้าอยู่ต่อแล้วยังคงคุยอีก คงได้ฆ่าหมอพอลไปจริงๆแน่ ยังคุยกันไม่รู้เรื่องแท้ๆดันสลบไป แถมไม่รู้ว่าสองคนนี้มีอะไรกันมากกว่าหมอกับคนไข้รึเปล่า ถึงได้ห่วงใยออกรับแทนขนาดนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จึงได้แต่เร่งฝีเท้าออกจากห้อง ไปหาที่อยู่ใหม่ ไม่ให้องค์กรจับได้ แถมยังต้องตามหาเฟิร์สกลับมา แต่เรื่องตามตัวไม่ได้อยากอะไร แค่เป็นอีกคน ก็คงตอบตกลงมาเจอกันง่ายๆอยู่แล้ว

...

บนคอนโดรีส หลังจากรีสเดินออกไปแล้วสักพัก

ครืดดดด   ครืดดดด    ติ๊ด!

“โทรมาได้จังหวะเลยนะครับคุณแลมป์ ได้เวลาที่คุณต้องตอบแทนผมบ้างแล้วล่ะ”

“งั้นหรอครับ นี่ครั้งแรกเลยนะที่คุณขอให้ผมช่วย หลังจากช่วยชีวิตผมไว้ตั้งหลายครั้ง”

“ครับ หักกับครั้งแรกละกัน ช่วยมารับผมที่คอนโด..ทีนะครับ”

“รอผมอีกแค่ 5 นาที”

มือของหมอพอลอ่อนแรง ปล่อยทิ้งลงสู่พื้นอีกครั้ง หลังจากยกมือรับโทรศัพท์ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า แล้วหลับตาลงสลบไปจริงๆเมื่อคนที่เขากำลังคิดถึงใบหน้าโทรมาพอดี แถมยังไม่ถามมากความและมาช่วยเขาทันที


     

...

สั้นไปหน่อยนะคะตอนนี้

+เป็ดให้บ้างนะจ้ะ เม้นๆกันด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2016 23:52:04 โดย สิบสาม13 »

ออฟไลน์ daboo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 444
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
รอติดตามต่อครับ

ออฟไลน์ สิบสาม13

  • นามปากกา AkumaBK
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
    • ติดต่อได้ที่ บ้าน Yaoi , Boy'Love Akumabk


Me die

24 : ช่วยเหลือ



รีสวางแผนจะพาเฟิร์สกลับมาอย่างใจเย็น เล่นสงครามประสาทให้เฟิร์สหวาดวิตกเช่นเคย โดยการปลอมตัวเพื่อเรียกให้อีกคนออกมา และก็สำเร็จเมื่อเฟิร์สยอมมาเที่ยวทะเลกับไมค์ เมื่อเฟิร์สแยกเขาห้องไปนอนแล้ว รีสอาศัยจังหวะที่เฟิร์สเข้าอาบน้ำ ไขเข้าห้องเฟิร์สที่ตนเอากุญแจสำรองมา ทำตามแผนจนเฟิร์สถูกความกลัวครอบงำอีกครั้ง

แต่เมื่อตื่นเช้ามา เฟิร์สกับหนีออกไปจากห้องพัก จนเขาได้แต่โมโหทั้งที่ใจเย็นขนาดนี้แต่ยังหนีหายไป จึงได้แต่ตามสัญญาณGPSไปถึงโรงแรม4ดาวนั่น ที่ระบบรักษาความปลอดภัยหละหลวมอย่างมาก เขาจึงทำให้เฟิร์สหวาดวิตกได้อีกครั้ง

เมื่อเฟิร์สกำลังตกหลุมตามแผนที่วางไว้ จนเรียกแท็กซี่มา รีสกำลังจะเข้าไปลากตัวออกมา ก็มีรถตู้ปริศนาและชายชุดดำลงมาตัดหน้าเขาไป

“เห้ย พวกมึง รีบๆลากตัวมันขึ้นรถได้แล้ว ลูกพี่รออยู่” คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าโผล่หัวออกจากรถมาเรียก2คนด้านล่างที่กำลังพากันอุ้มเฟิร์สขึ้นรถ ชายร่างยักษ์จัดการอุ้มเฟิร์สจากพื้นแล้วโยนตัวเฟิร์สตามอีกคนเข้าไก่อนจะตามขึ้นไปประกบ แล้วปิดประตูเสียงดัง

ปึง!!

“ออกรถเลย!!” ชายคนข้างหน้าเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงรีบตะโดนบอกคนขับรถให้รีบออกรถโดยด่วน

บรื้น!!!

เสียงพวกชายชุดดำบอกกล่าวกันก่อนจะรีบลากเฟิร์สขึ้นรถตู้ แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว รีสเดินออกมาจากเสาข้างๆ โมโหยิ่งนัก ที่มีคนอื่นมาตัดหน้าไปต่อหน้าต่อตาเขา แถมเฟิร์สยังไม่ขัดขืนพวกนั้นกว่านี้ เหมือนเต็มใจโดนจับตัวไปมากกว่า ยิ่งคิดยิ่งอารมณ์เสีย จึงหันหลังกลับไป เอารถของตัวเองขับออกตามรถตึคันนั้นไปเงียบๆ

พวกมันขับรถไปแถบชานเมือง ไปตามเส้นทางที่สองข้างทางรกร้างไร้ผู้คนสันจร ตรงไปยังเป้าหมาย แต่คนขับรถกับสังเกตเห็นว่ามีรถอีกคันกำลังขับตาม ด้วยความชำนาญในพื้นที่ จึงต้องการทดสอบว่ารถดังกล่าวตามมาจริงไหม จึงได้เลี้ยวเข้าอีกซอยที่ทางแยกหลายทางแล้วขับวนไปรอดูว่าจะตามมาได้อีกรึเปล่า แต่รถของรีสก็ติดกับขับวนอยู่ในนั้นหาทางออกมาไม่เจอ

...

โกดังร้าง ที่กบดานเก่าของแก๊งอินทรีดำ

เฟิร์สถูกชายตัวใหญ่ที่ลงไปจับมาแบกพาดบ่าเดินตามหลังอีกสองคนที่ไปด้วยกัน พวกมันถอดหน้ากากออก พร้อมกับวางเฟิร์สแทบเท้าชายอีกคนที่นั่งไขว้ห้างรออยู่ก่อนแล้ว ซึ่งก็คือมือขวาและลูกสมุนที่เหลือรอดจากการทลายแก๊งครั้งนั้น ทำให้พวกมันคับแค้นที่หัวหน้าและคนอื่นๆโดนจับไป จึงหาทางแก้แค้น และเฟิร์สก็บังเอิญอยู่คนเดียวพอดี จึงได้โอกาสพวกมันจะลงมือ

“ลูกพี่ พวกผมพาลูกไอ้วิรัชน์มาแล้วครับ” ลูกน้องที่ก่อนหน้านั่งอยู่ในรถ เอ่ยบอกลูกพี่ตนทันทีที่ชายร่างยักษ์วางเฟิร์สลงตรงหน้า

“ดีมาก จับมัดแก้ผ้าแล้วไปมันไว้ที่เสานั่น เตรียมกล้องให้พร้อม ได้เวลาพวกเราแก้แค้นให้หัวหน้าเราแล้ว”

หลังชายที่เป็นลูกพี่ตอนนี้สั่ง ชายร่างยักษ์คนเดิมก็มาจัดการอุ้มเฟิร์สขึ้นจากพื้น พร้อมกับชายอีก2-3คนมาช่วยกับจับเฟิร์สแก้ผ้าออกจนเหลือแต่ชั้นในสีขาว ผิวขาวเนียนที่เคยถูกสัมผัสจากผู้ชายมาก่อน ดูมีเสน่ห์น่าดึงดูด ทำให้เฟิร์สถูกมือหยาบๆลูบไล้และสายตาหลายคู่ที่คอยแทะโลมตลอดเวลา   

“กล้องพร้อมรึยังวะ ถ้าพร้อมแล้วก็ปลุกมันสักที” ลูกพี่ของพวกมันถามขึ้นอีกครั้ง

ทุกคนสวมหมวกไอ้โม่งสีดำปิดบังใบหน้าพร้อมกันทุกคน ลูกน้องคนที่ถือกล้องวิดีโอเตรียมถ่ายก็กดปุ่มเริ่มทำงานทันที อีกคนก็เตรียมถังน้ำไว้ พร้อมกับออกแรงเหวี่ยงเตรียมแรง สาดน้ำใส่เฟิร์สที่ถูกมัดเอวมัดมือไขว้หลังไว้กับเสาในท่ายืนจนเปียกไปทั้งตัว

ซ่า!!!

“แค่ก แค่ก”

เฟิร์สสำลักน้ำที่เข้าจมูกเต็มๆ ค่อยๆลืมตาฟื้นจากฤทธิ์ยาสลบ น้ำที่สาดมาเข้าตาจมูกจนแดงไปหมด จะยกมือขึ้นเช็ดแต่ก็ทำไม่ได้ จึงเงยหน้ามองสำรวจรอบๆตัว เห็นชายชุดดำสวมหมวกไอ้โม่งหลายคนยืนอยู่รอบๆตัว แต่ก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่จึงได้แต่สะบัดหัวไล่ความมึนงง

ใบหน้าขาวๆของเฟิร์สที่บัดนี้ขึ้นสีแดงจากการสำลักน้ำ ขนตาขนคิ้วเปียกชื้น ผมด้านหน้าที่ถูกน้ำเปียกลู่ลงมาแนบใบหน้า หยดน้ำไหลหยดลงพื้นเรื่อยๆ ริมฝีปากบางสีชมพูที่ขยับไอและหายใจตลอดเวลา เรียกสายตาหลายคู่ให้คิดอยากฉกชิม ร่างกายขาวที่ไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อกับหัวนมสีชมพูที่มีหยดน้ำเกาะพราวทั่วร่างกาย น่าสัมผัสลูบไล้และขยำให้ขึ้นรอยมือ ไหนจะชั้นในสีขาวที่เปียกแนบกับเนื้อดูเซ็กซี่น่าฉุดกระชากให้หลุดออกดูด้านใน

ชายชุดดำทั้งหลายได้แต่ยืนกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอส่งสายตมองเฟิร์สอย่างหื่นหระหาย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่าคำสั่ง ถึงหลายคนจะไม่นิยมผู้ชายด้วยกันแต่ร่างกายของเฟิร์สกลับดึงดูดสายตาและน่าสัมผัส

“...พวกแก เป็นใคร” เฟิร์สที่ยังไม่รู้ว่าตนถูกปลดเสื้อผ้าออก เห็นพวกชายชุดดำพวกนี้ยืนกันนิ่ง จึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามออกไปเอง

“อึ่ม! ...เป็นคำถามที่ดี แกรู้จักแก๊งอินทรีย์ดำรึเปล่า แต่ถึงแกจะไม่รู้จักก็ตาม แกก็ต้องรับผิดแทนไอ้วิรัชน์พ่อของแกที่ส่งคนมาทลายแก๊งของเรา จนหัวหน้าต้องถูกพวกตำรวจเฮงซวยนั่นรวบเข้าตาราง” ชายที่เป็นลูกพี่กระแอมเรียกสติ แล้วตอบกลับไปอย่างยืดยาว

“ไม่ใช่ว่าพวกแกหักหลังพ่อของฉันอยู่รึไง พ่อฉันไม่เก็บพวกทรยศไว้อยู่แล้ว” เฟิร์สพูดขึ้น เพราะรู้นิสับพ่อตนเอง ว่าจะไม่เก็บพวกทรยศและหมดประโยชน์ไว้แน่ๆ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ยังไงพวกนี้มันต้องทำอะไรผิดมาแน่ๆ ไม่อย่างนั้น พ่อคงไม่ถล่มฐานมันซะย่อยยับไม่เหลือแม้แต่ชื่อแก๊งแบบนี้ รู้แค่ว่าเรื่องคงร้ายแรงมาก

“ปากดีนัก แก๊งพวกเราทำประโยชน์ให้ขนาดไหน ทั้งรับหน้าแทน ทั้งปล่อยของให้ ยังจะมาหาว่าทรยศ แล้วถล่มฐานเราซะราบ พวกเราจัดการซัดมัน”

ลูกกระจ๊อกที่ยืนอยู่ข้างหลังลูกพี่ พูดขึ้นแทนอย่างเดือดดาน เอ่ยปากบอกแล้วกวักมือเรียกคนที่อยู่ด้านหลังเดินเข้ามาหาเฟิร์สพร้อมกัน ลูกพี่ก็ไม่ได้ห้ามปรามเพราะถือว่าได้โอกาสสั่งสอนซะเลย ได้แต่กระชับคนที่ถือกล้องวิดีโอถ่ายไว้ดีๆให้ครบทุกช็อค

ตุบ! ตับ! ผว๊ะ!

เฟิร์สโดนพวกนั้นเข้ามารุมทำร้าย เฟิร์สยกขาที่ไม่ได้ถูกมัดถีบพวกมันแต่ก็ดันถูกจับไว้โดนไม้หน้าสามฟาดเข้าที่ขาข้างซ้ายจนยกไม่ขึ้น ถูกต่อยเข้าที่ท้องเต็มแรงหลายครั้งจนจุกไปหมด ได้แต่งอตัวมองร่างกายตัวเอง เมื่อเห็นก็ผงะที่ตนเปลือยเหลือแต่ชั้นในตัวเดียว แต่พอเงยหน้าจะอ้าปากถามออกไปก็โดนหมัดหนักๆสวนเข้ามาที่มุมปากเต็มแรงจนเลือดออก รู้สึกชาไปครึ่งหน้า

“ไงล่ะมึง พูดไม่ออกเลยดิ” พวกนั้นรุมทำร้ายจนพอใจเพราะเฟิร์สแทบไม่มีแรงต่อต้านแล้ว ได้แต่ยืนพยุงร่างกายตัวเองด้วยขาข้างเดียว

“ถุย!”

เฟิร์สถุยน้ำลายใส่หน้าคนพูด เพราะเขาไม่ได้อ่อนแอ เมื่อยู่ต่อหน้าคนพวกนี้เฟิร์สไม่เคยเกิดความกลัวเลย ยกเว้นต่อหน้าปีศาจนั่นคนเดียว และเรื่องนี้เขาแน่ใจว่าเขาไม่ผิด ถ้าหลุดออกไปได้ พวกมันต่างหากล่ะที่จะเจ็บหนักกว่าเขา

“มึง!”

คนที่ถูกถุยน้ำลายใส่ พูดด้วยความโมโห ถึงจะใส่หมวกไอ้โม่งอยู่แต่น้ำลายก็กระเด็นเปื้อนไปยังตาของมัน มันเลยเดือดอย่างมาก มือคว้าไม้หน้าสามจากคนที่ยืนข้างๆง้างฟาดเข้าที่หัวเฟิร์สเต็มแรง จนเลือดไหลอาบ กำลังจะย้ำอีกครั้ง แต่ลูกพี่ก็พูดห้ามไว้ก่อน มันเลยได้แต่ฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วถอยหลังเดินออกไปยืนห่างๆ โยนหน้าสามทิ้งไปตามคำสั่ง มองหน้าเฟิร์สที่กำลังยิ้มเยาะอย่างโมโห

“หยุด! พวกมึงไม่คิดว่า เราจะทำอย่างอื่นกับมันแทนหรอวะ ในเมื่ออัดมันไปก็ไม่ได้เจ็บอะไร ...พวกมึงต้องการอะไรกันทำไมกูจะไม่รู้ ร่างกายขาวๆเซ็กซี่ของมัน แม่งยั่วฉิบหาย ขนาดกูมีเมียเป็นผู้หญิงเห็นแล้วยังเสียว” แต่แล้วจากใบหน้าที่โมโหร้ายกลับกลายเป็นหื่นกระหายทันทีที่ลูกพี่มันพูดต่อ สายตาหลายคู่จ้องมองมายังเฟิร์สอย่างลวนลาม

“ผมขอก่อนได้ไหมพี่ อยากจะอัดแม่งให้ร้องไม่ออก จะได้ไม่ใช้ปากถุยน้ำลายใส่กูอีก แต่เปลี่ยนเสียงครางกับอมอย่างอื่นแทน หึ”

“ก็เอาดิวะ พวกเราอินทรีย์ดำมีอะไรก็แบ่งกันอยู่แล้ว ส่วนมึงอ่ะถ่ายให้ครบให้ชัดนะมึง ไม่งั้นมึงจะโดนแบบนี้บ้าง เอ้า! รอไรวะ จัดการดิ กูจะนั่งดู”

คนที่โดนเฟิร์สถุยน้ำลายใส่ย่างสามขุมเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า เปิดโม่งออกครึ่งใบหน้าค้างไว้ที่จมูก ยกมือขึ้นมาหักนิ้วมือเสียงดังขู่ ยกยิ้มชั่วร้ายมองใบหน้าเฟิร์สอย่างโลมเลีย

“พวกมึงจะทำเหี้ยอะไร!” เฟิร์สที่แทบไม่มีแรงต่อต้านเหลือ ได้แต่ตะโกนลั่น ด่านทอพวกมันอีกหลายหน แต่พวกมันก็ไม่ฟัง หลายคนที่เดินเข้ามาหาเขา แต่อีกหลายคนก็เอาแต่ยืนมองเฉยๆเช่นกัน

“อื้อ! อ่อย! อวกเอี้ย อ่อยอู!” (อื้อ ปล่อย พวกเหี้ย ปล่อยกู)

ชายคนนั้นพยักหน้าให้ชายชุดดำที่พากันกรูเข้ามา4-5คนช่วยกันจับกดไม่ให้เขาต่อต้าน มันเอามือหยาบหนาปิดปากเฟิร์สไว้ แลบลิ้นเลียเลือดที่ไหลข้างใบหน้าเฟิร์สช้าๆ เฟิร์สได้แต่รังเกียจสัมผัสนั้นและพยายามจะต่อต้าน สองคนกดไหล่ซ้ายขวากันไม่ให้เขาดิ้นมือที่ว่างก็ลูบไล้ผิวขาวๆบริเวณหัวไหล่แล้วเริ่มไล้เข้าหาหน้าอกมากขึ้นๆ มือก็โดนมัดไขว้ไว้ข้างหลัง ได้แต่สะบัดต่อต้านยามมันสัมผัสโดน อีกคนจับล็อคขาเฟิร์สไว้กับขามันมือก็ลูบไล้บริเวณหน้าท้องและล้วงเข้าไปใต้ชั้นในสีขาวของเฟิร์สช้าๆ อีกจับขาข้างที่ถูกตีจนยืนไม่ไหวยกขึ้นพาดบ่าตนที่นั่งย่องๆอยู่ลากลิ้นไล้เลียตั้งแต่โคนขาเข้าเข้าหาจุดสำคัญ

เฟิร์สได้แต่ดิ้นรนขัดขืนกับสัมผัสที่น่าขยะแขยงของพวกมันอย่างเต็มที่ แต่ทำอะไรแทบไม่ได้ ในเวลาแบบนี้ เขาดันคิดถึงปีศาจใจร้ายบางคนที่บอกกับเขาว่าจะไม่ปล่อยเขา ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหนจะตามไปเอาตัวกลับมา ในเวลาแบบนี้เขาอยากให้ปีศาจร้ายนั่นมาเอาตัวเขาออกไปจากตรงนี้ คิดถึงสัมผัสเย็นเฉียบที่สัมผัสเขาคนเดียวแทนที่จะเป็นร้อนแต่น่าขยะแขยงแบบนี้ คิดถึง...ตนน้ำตาไหลออกมานาบแก้มทั้งสองข้างช้าๆ

เผล้ง!!

“อะไรวะ! กูบอกให้มึงถือกล้องดีๆ แล้วโยนมาทำเหี้ยอะไร เหวอ...อ้ากกกก”

จู่ๆกล้องเพียงตัวเดียวที่กำลังบันทึกภาพกระเด็นลงพื้นถลามาตรงหน้าลูกพี่ที่กำลังนั่งมองการกระทำของลูกน้องตาไม่กระพริบ เป็นต้องหยุดมอง หันมาอามรณ์เสียใส่ลูกน้องที่ถือกล้อง เมื่อหันไปตะคอก แต่ตนกับต้องชะตาขาดซะเอง เมื่อเจอกับบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัว

ชายรูปร่างสูใหญ่กับหน้ากากสีขาวดวงตาสีแดงวาวโรจน์กับไอเย็นที่แผ่กระจายเป็นหมอกควันสีขาวจางๆ กำลังใช้มือกำลังจับเศษซากของลูกน้องเขาโยนให้ห่างจากตัวเอง ลูกน้องอีกคนของเขาที่ถูกจับไว้อีกมือลำคอถูกหักห้อยต่องแต่งจนไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องขอชีวิตก็ตายอย่างไม่รู้ตัว แต่ชายสูงใหญ่คนนี้กับไม่พอใจกำลังฉีกทึ้งร่างกายลูกน้องเขาออกเป็นเสี่ยงๆจนตามตัวถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉาน ไม้เว้นแม้แต่หน้ากาก ทุกๆส่วนกำลังแดงไปด้วยเลือดของลูกน้องเขา พื้นก็ถูกย้อมให้แดงไปทั่วทั้งบริเวณ

“อย่านะเว้ย อย่าเข้ามา พวกมึงมาช่วยกูด้วย!”

เมื่อรีสได้ยินเสียงลูกพี่ตะโกนก็หยุดการกระทำนั้น แล้วหันมาหาเป้าหมายใหม่ทันที ค่อยๆเดินเข้าหาช้าๆ อีกฝ่ายก็กระถดกายถอยหนีอย่างรวดเร็ว ปากตะโกนเรียกพวกที่เหลือให้มาช่วยตน พวกที่กำลังรุมเฟิร์สก็หยุดการกระทำและมองลูกพี่ตน เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง จึงได้แต่นิ่งอึ้ง และได้สติวิ่งป่าราบตามลูกพี่ของตนที่วิ่งเข้าหา แต่สุดท้ายทุกคนก็หนีไปไหนไม่รอด ได้แต่นอนตายจมกองเลือดหาชิ้นส่วนมาต่อใหม่ไม่เจอ

“รีส...”

เฟิร์สที่ได้มองดูภาพเหตุการณ์ทุกอย่างเบลอๆจากบาดแผลที่ถูกตีที่หัวเริ่มออกอาการ ภาพที่เห็นนั้นติดๆดับๆ กลิ่นคาวเลือดที่ฟุ้งขึ้นจมูกก็ชินไป ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือฝัน แต่เขาก็รู้ว่าชายคนนี้เป็นใคร จึงได้แต่เอ่ยปากเรียกไปเบาๆ ในใจเขารู้สึกดีใจที่ปีศาจร้ายของเขามาช่วยจริงๆแต่อีกใจก็ดันเสียใจมากๆที่หนีปีศาจร้ายนี้ไม่พ้นจริงๆ สุดท้ายเขาก็วนอยู่กับฝันร้ายที่ไม่เคยได้ตื่นอีกแล้ว แล้วภาพทุกอย่างก็ดับวูบไปอีกครั้ง เฟิร์สไม่รับรู้อะไรอีก

รีสไม่พูดอะไร ดวงตาสีแดงยังคงวาว ไม่ยอใสงบลง ไอเย็นจากร่างกายยังคงแผ่ไอบางๆออกมา เขาแค่เดินไปกระชากเชือกที่มัดเฟิร์สออก แล้วอ้าแขนรับร่างกายของเฟิร์สที่สะบักสะบอมล้มลงมาสู่แขน อุ้มขึ้นในท่าเจ้าสาว ก้าวเท้าเดินหันหลังออกไป เอาเฟิร์สขึ้นไปวางบนรถ แล้วเดินกลับเข้าไปด้านในจัดการจุดไฟเผาทำลายหลักฐานทิ้งทั้งโกดัง

...

รีสพาเฟิร์สกลับมาอยู่บ้านหลังเก่าของตนที่ทิ้งว่างไว้ ก่อนจะเข้าไปเรียน แล้วเกิดเรืองขึ้นก็ยังไม่ได้กลับมา เป็นบ้านหลังแรกและหลังเดียวตั้งแต่ออกมาจากบ้านเด็กกำพร้า แต่ก็ไม่มีคนรู้จักบ้านนี้ แม้กระทั่งติวเตอร์เองก็ตาม บ้านถูกทำความสะอาดใหม่หมด แต่ก็เป็นเพียงบ้านโล่งๆชั้นเดียว มีห้องนอน ห้องน้ำ และพื้นที่นั่งเล่นไว้ทำครัวเล็กๆ

ร่างกายของเฟิร์สถูกวางไว้บนที่นอนอย่างเบามือ รีสจัดการเข้าไปล้างมือของตัวเองและออกมาทำแผลที่หัวให้เฟิร์สทันที เขาใช้เครื่องมือทำแผลที่มักจะใช้ทำตัวเองสมัยตอนเรียนที่ต้องคอยไปชกต่อยเพื่อให้เรื่องราวจบ บ้างก็ป้องกันคนที่ไม่หวังดีต่อติวเตอร์ แม้เจ้าตัวจะไม่รู้

มือใหญ่ที่ไร้ความรู้สึกจับสำลีด้วยความเคยชิน บรรจงเช็ดเลือดที่ไหลย้อยตามใบหน้าเท่าที่คิดว่าจะเบามือได้ จัดการฆ่าเชื้อทำความสะอาดเรียบร้อย จากนั้นก็เย็บแผลที่เปิดกว้างเป็นทางยาวคอยซับเลือดที่ไหลจากแผลสดๆนั่นตลอดเวลา  จากนั้นก็ความสะอาดส่วนอื่นให้เฟิร์สต่อ เขาจัดการชุบน้ำเช็ดใบหน้าให้เฟิร์สเบาๆ เน้นย้ำตรงจุดที่โดนไอ้หมอนั่นมันไล้เลียใบหน้าขาวนี่ เช็ดไปตามลำคอม ไล้ผ่านหน้าอก ไปจนทั่วลำตัว ถูย้ำๆวนๆทุกที่ที่โดนคนอื่นสัมผัส รีสขมวดคิ้วแน่นไม่พอใจทุกครั้งที่คิดถึงตอนที่เห็นเฟิร์สโดนลวนลาม

แค่เขาขับรถตามพวกมันไปไม่ทันเพราะเลี้ยวผิดซอย กว่าจะตามมาเจออีกทีก็ตอนเห็นรถพวกมันที่โกดังร้างจึงรีบตามเข้าไป แต่สุดท้ายพอเห็นที่พวกมันกำลังทำ กำลังสัมผัสของๆเขา ก็เลือดขึ้นหน้ารู้สึกเหมือนหัวใจโดนบีบทั้งๆที่มันไม่เต้นแล้ว แค่คิดว่าถ้ามาช้ากว่านี้ของชิ้นนี้จะเป็นยังไง เขาจึงทำทุกอย่างลงไปเองอย่างไม่รู้ตัว

รีสจัดการนำเสื้อผ้าของเขาที่คิดว่าตัวเล็กที่สุดออกมาสวมใส่ให้เฟิร์ส หยิบผ้าห่มคลุมมิดคอ เมื่อจัดการเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เฟิร์สเสร็จเรียบร้อย ตัวเขาเองก็เข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง รีสยืนมองตัวเองในกระจก แล้วภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าก็ฉายชัดขึ้นมา เป็นฉากๆ ไม่ว่าจะที่เขาฆ่าคนตาย ไหนจะฉีกทึ้งร่างกายพวกนั้นอย่างง่ายดายเหมือนไม่ใช่คน

ดวงตาเขาไล่มองเสื้อผ้าที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉาน มือใหญ่รีบปลดเสื้อผ้าออกจากกายจนเปลือยเปล่า ดวงตาของรีสเผยสบกับตัวเองในกระจกอีกครั้ง เห็นดวงตาสีแดงที่วาวทุกครั้งที่ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าชัดขึ้นมา

“เรากลายเป็น ปีศาจ ไปแล้วใช่ไหม”

รีสได้แต่สะบัดหัวไล่ความคิดตนออกไป แล้วเข้าจัดการตัวเอง อาบน้ำล้างตัวเองทั้งฟอกสบู่ทั้งขัดหลายรอบแม้จะไม่รู้ว่าจะสะอาดพอรึเปล่า ได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำชำระล้างอยู่นาน ถ้ายังเป็นคนปกติน้ำตาลูกผู้ชายของเขาคงจะไหลออกมาท่วมแล้ว แต่ตอนนี้แม้สักหยดก็ไม่เคยไหล

หลังอาบน้ำเสร็จ รีสก็พันผ้าเช็ดตัวที่ขอบเอว ปล่อยให้น้ำยังคงเกาะตามร่างกายที่สมบูรณ์แบบของเขา ไม่ได้เช็ดออก รีบจัดการเอาเสื้อผ้าเปื้อนเลือดไปจัดการไปเผาทิ้ง แต่เสื้อผ้านั้นกลับเปียกชุ่มไปด้วยเลือด รีสจึงเอาน้ำมันก๊าดมาเทใส่ แล้วยืนดูไฟลุกเสื้อผ้าสีแดงเลือดนั่นไปอบ่างช้าๆ ดวงตาเฉยชาไม่แสดงออกมาว่าคิดอะไรอยู่ ทั้งๆที่ในใจของเขากำลังเศร้าใจอย่างมาก

รีสไปยืนมองเฟิร์สที่ข้างเตียง ความคิดหลายๆอย่างเขาสับสน การที่ได้รู้จักคนๆนี้ในหลายตัวตนทำให้เขายิ่งสับสน วันนี้ก็เป็นเหมือนข้อพิสูจน์เหมือนเขานั้นจะเป็นห่วง... รีสหยุดคิดเพียงแค่นั้น แล้วพูดย้ำเจตนารมณ์ของตนเองใหม่

“ไม่หรอก ...แค่ร่างกายของคนๆนี้ต้องเป็นของเราคนเดียว เราถึงได้โมโห แล้วทำแบบนั้นลงไป...แค่นั้น”

หลังจากนั้นรีสเอาหน้ากากไปล้างและใส่กล่องยัดไว้ใต้เตียง คอนแทคเลนส์สีฟ้าถูกหยิบขึ้นมาใส่แต่เมื่อมองมันก็กลายเป็นสีเทา เขาจะกลายเป็นอีกคนเพื่อดูแลเฟิร์สก่อน แล้วค่อยเจอกันในฐานะรีสในสงครามประสาทครั้งหน้าใหม่




...
มาแล้วจ้าาาา ตอนนี้เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย

แล้วตกลงรีสปลอมตัวเป็นใครรู้กันรึยังเอ่ย



ขอบคุณทุกๆแรงใจนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ




....

รอติดตามต่อครับ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ดีใจมากเลยค่าาา

ออฟไลน์ daboo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 444
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
เต็มอิ่มเลยครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด