บทที่ 2 ฝันที่เป็นจริง
ระหว่างทางกลับคฤหาสน์เซียวถิงฟงก็แวะเดินดูนู่นดูนี่อย่างสบายอารมณ์ ซึ่งกว่าจะถึงหน้าจวนก็เป็นอันครบหนึ่งชั่วยามพอดิบพอดี แต่ดูว่าขายังมิทันจะก้าวพ้นประตูอวี่จงก็โผล่พรวดมาขวางทางไว้ด้วยสีหน้าซีดเผือด สายตายังดูเบิกค้างราวกับพึ่งพบภูตผีก็ไม่ปาน
“คุณชาย ท่านไปไหนมา ข้าน้อยยืนรอท่านตั้งนาน” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“เจ้านั่นแหละ แอบไปอู้ที่ไหนมาแต่เช้า ข้าเรียกใช้กลับไม่พบแม้แต่เงาหัว ทีนี้มาทำรอข้า หรือคิดจะติดตามข้าไปทุกหนทุกแห่งอีก” เพียงแค่คิดก็ต้องนึกรำคาญใจขึ้นมาแล้ว
“คุณชายเกิดเรื่องแล้วที่สระ อื้อ” กล่าวมิทันจบประโยคมือใหญ่ก็อุดเข้าที่ปาก ร่างถูกฉุดกระชากออกไปจากประตูใหญ่ ทิ้งให้ข้ารับใช้ที่ยืนเฝ้ายามอยู่พากันมองทั้งสองอย่างอยากรู้อยากเห็น
เซียวถิงฟงฉุดร่างเล็กๆ เข้าไปยังมุมลับตาด้วยสภาพทุลักทุเล เมื่อวางใจว่าไม่มีคนผ่านมาจึงค่อยปล่อยมือออก ทำเอาอวี่จงทรุดฮวบลงกับพื้นหอบหายใจตัวโยนอยู่ข้างๆกาย
“ข้ามิได้บอกรึว่าห้ามพูดถึงเรื่องสระบัวนั่นอีก ไม่กลัวคนอื่นจะรู้รึไง ว่าข้าบุกรุกสระบัวเมื่อคืนนี้” เขากดเสียงพูดจนเบาแต่ยังคงเน้นหนักทุกพยางค์
ที่นี่คือคฤหาสน์ของตระกูลเซียว หากเขาหลุดความลับใดออกมามีรึเรื่องจะไม่รั่วไหล ในเมื่อคนที่นี่ล้วนเป็นคนของบิดาทั้งสิ้น จะมีก็แต่ข้ารับใช้หน้าตาซื่อบื้อดูไม่มีพิษมีภัย ที่ขอเพียงส่งสายตาขู่เข้าหน่อยก็เปิดปากพูดเช่นอวี่จงถูกส่งมาเป็นผู้ติดตามเขา
“ข้าน้อยขออภัย ข้าน้อยเพียงแค่ตกใจมากไปก็เลย...” เมื่อถูกคาดคั้นเอาผิด อวี่จงก็ตอบกลับด้วยตาคลอเบ้า
เซียวถิงฟงเห็นแล้วเริ่มรู้สึกหมดอารมณ์เอาเรื่อง “ช่างเถิด หากความจะแตก ท่านพ่อจะรู้ก็ต้องรู้เข้าสักวัน”
คุณชายเซียวกล่าวน้ำเสียงอ่อนลง เด็กหนุ่มถึงกับไม่เชื่อหู ตนมิได้เข้าใจผิดใช่ไหมว่าคุณชายกำลังปลอบใจตน ดูว่าครั้งหน้าต้องงัดน้ำตาขึ้นมาใช้บ่อยๆเสียแล้ว
“แต่กว่าท่านพ่อจะรู้ก็คงต้องหลังจากที่ข้าเผาสระบัวนั่นเสียก่อนนะ หึ หึ”
ยิ้มที่กำลังเผยอถึงกับหุบลงอย่างสิ้นหวัง นี่คุณชายกำลังปลอบใจแน่หรือ รึข้าเข้าใจผิดไปตั้งแต่ต้น ไฉนน้ำเสียงของคุณชายช่างเต็มไปด้วยความมั่นใจเหลือเกิน ใช่ ข้าเองก็มั่นใจ หากนายท่านทราบเรื่องว่าสระบัวในจวนถูกท่านทำมิดีมิร้ายเมื่อใด รับรองได้ว่าทั้งท่านกับข้าถึงคราวหายนะแน่
“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับสระบัว รึว่าถูกใครคนอื่นนอกจากข้าเผาไปแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เซียวถิงฟงพูดติดตลกวันนี้เขาอารมณ์ดีจริงๆนั่นแหละ
พอเห็นคุณชายหัวเราะไม่หยุด ข้ารับใช้หนุ่มก็ส่งยิ้มแหยคิดในใจ รอจนท่านเห็นสระบัวเสียก่อนเถอะ หึ หึ “เช่นนั้นคุณชายโปรดตามข้ามา” อวี่จงตัดสินใจพาอีกฝ่ายไปยังสระบัวเพื่อให้เห็นความจริงที่เกิดขึ้นแทน
......................
............
....
“เป็นไปไม่ได้”
ครั้นเมื่อมาถึงสระบัวเซียวถิงฟงก็ถึงกับอุทานขึ้นมาเป็นอย่างแรก ทั้งที่เมื่อคืนดอกบัวทั้งหลายต่างพากันเบ่งบานอวดโฉม ไฉนตอนนี้กลับกลายเป็นดอกบัวตูมที่เอาแต่หุบกลีบเสียแล้วล่ะ
“คุณชาย ข้าว่าสระบัวนี่คงมีปัญหาอย่างที่ท่านพูดแน่ๆ เมื่อคืนมันบานชัดๆแต่ตอนนี้กลับ...”
ร่างสูงได้แต่มองสระบัวที่เต็มไปด้วยความลึกลับ รึจะเกี่ยวข้องกับลูกแก้วประหลาด ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ารำคาญใจแต่แล้วก็จะฉุกคิดขึ้นได้อีก หากดอกบัวในสระบาน เขาย่อมจัดการลำบาก ท่านพ่อก็จะยิ่งปกป้องทะนุถนอมมันมากขึ้น ถึงครานั้นเห็นทีคงยากที่จะแตะต้อง
“หึ หึ ไม่บานสิดี สวรรค์เข้าข้างข้า สระบัวนี้เกิดมาเพื่อเป็นสนามลูกหนังโดยแท้”
หากแสร้งมองข้ามเหตุการณ์ประหลาดเมื่อคืนไปได้ก็เท่ากับว่าตนได้ทั้งลูกแก้วประหลาดอีกทั้งสนามลูกหนัง เรียกได้ว่าได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง ยังจะมีอะไรที่ต้องกังวลกันอีกเล่า
“แต่คุณชาย มันอาจเป็นคำสาปของภูติผีปีศาจอย่างที่ท่านว่าไว้ก็เป็นได้ หากปล่อยไว้อย่างนี้ เกรงว่าภายภาคหน้าอาจเกิดเหตุเภทภัย” อวี่จงคัดค้านด้วยรู้สึกไม่ดี แต่แล้วผู้เป็นนายกลับตวาดทำเอาตัวสะดุ้ง
“ใครมันพูดเรื่องภูติผีปีศาจกัน เหลวไหลทั้งเพ”
“แต่ว่า” ไม่ทันได้แย้งอีกสักประโยค ฝ่ามือใหญ่ก็ยกขึ้นปราม
“หยุดพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียที แล้วห้ามกล่าวให้ท่านพ่อข้าได้ยินเชียว ไม่อย่างนั้นข้าจะโยนเจ้าลงสระบัว ไม่แน่นะเจ้าอาจจะได้พบความจริงเกี่ยวกับคำสาปที่เจ้าเพ้ออยู่ก็เป็นได้” กล่าวจบเขาก็เดินดุ่มจากไปอย่างไร้เยื่อใย ทิ้งไว้ให้เด็กรับใช้ยืนเหงื่อตกกลืนน้ำลายอยู่ที่สระบัวเพียงลำพัง
สามวันผ่านไป เซียวถิงฟงลืมเลือนเรื่องราวของสระบัวไปจนหมดสิ้น อีกทั้งระยะนี้เขามักทำตัวผิดแผกด้วยสวมด้วยชุดผ้าเบาบางผิดฤดูกาล ทำเอาข้ารับใช้ในจวนต่างงงงัน โดยหาได้รู้ไม่ว่าเป็นเพราะเขาพกลูกแก้ววิเศษติดตัวอยู่เสมอจึงพลอยทำให้ร่างกายอบอุ่นไปโดยปริยาย
พอคล้อยตกค่ำเขาก็จะเก็บลูกแก้วไว้ข้างเตียง จมดิ่งไปในฝันที่มีมันรอคอยอยู่ ทว่าในวันนี้กลับเริ่มมีบางสิ่งที่แปลกไปซึ่งแม้แต่ตนเองก็มิได้สังเกต ยกเว้นเพียงถิงถิง
หลังจากที่กินอาหารเสร็จ ถิงถิงก็กระโดดขึ้นไปบนเตียงตรงดิ่งไปหยอกล้อลูกแก้วอย่างทุกที แต่แล้วจู่ๆลูกแก้วก็ร้อนลวกอีกทั้งบังเกิดสีแดงวูบวาบสะท้อนออกมา มันสะดุ้งตกใจรีบเขี่ยลูกแก้วไปให้ห่างทันที
“เมี้ยว เมี้ยว”
“เป็นอะไรไป ถิงถิง” เห็นมันส่งเสียงร้องดังก็ถามขึ้น แต่แล้วมันกลับขู่ใส่ลูกแก้วไม่หยุด ครั้นมองอยู่นานก็ไม่เข้าใจ สองมือจึงอุ้มแมวสาวลงไปที่พื้น “ข้าจะนอนแล้ว เจ้าก็ไปนอนเสียเถอะ” กล่าวจบก็หันกลับไปดับเทียนล้มตัวลงนอนหลับสนิท
ด้านถิงถิงก็ได้แต่ร้องเรียกจนเสียงอ่อน กระทั่งคนหลับลึกไปแล้วมันก็กระโดดขึ้นไปบนตะกร้านอนที่ริมหน้าต่าง จากนั้นดวงตาสีเหลืองก็ทอประกายในความมืดจับจ้องมองลูกแก้วที่อยู่ใกล้ๆตัวเจ้านายตลอดคืน
*******************************************************
“เอาเจ้าแมวออกไป”
โชคยังดีที่ลูกแก้วเริ่มก้าวหน้าพูดประโยคอื่นขึ้นบ้าง มิเช่นนั้นฝันในคืนนี้คงจะน่าเบื่อมิใช่น้อย เซียวถิงฟงคิดพลางนั่งเท้าคางฟังเสียงนุ่มทุ้มอย่างไม่ยี่หระ ปลายเท้าเคาะเข้ากับท้องเรือเป็นจังหวะ รอจนมันพูดจนเหนื่อยแล้วหยุดไป เขาก็ยิ้มเปลี่ยนเป็นนั่งยองๆก้มมองลูกแก้วที่ก้นสระแทน
“พูดจบแล้ว? เช่นนั้นถึงตาข้าบ้าง” พลันสูดหายใจลึก “ข้าถูกใจของวิเศษเช่นเจ้า คิดให้ข้าคืน ฝันไปเถอะ” หึ หึ ของวิเศษเช่นนี้ หากผู้ใดคืนก็โง่เต็มทีแล้ว
“........” จู่ๆก็เกิดระลอกคลื่นในสระส่งผลให้เรือโคลงขึ้น ปฏิกิริยาดังกล่าวคล้ายบ่งบอกถึงความโกรธแค้นของลูกแก้ว แต่เซียวถิงฟงกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้าน ทั้งยังทึกทักถือเอาว่าเป็นการตกลง
“อืม คงเข้าใจแล้วสินะว่าข้าเป็นเจ้าของข้า ดังนั้นเจ้าต้องฟังคำสั่งข้า” เขาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้ แต่ครานี้ลูกแก้วกลับเปล่งประกายสีแดงเข้มเป็นคำตอบพลอยทำให้ต้องผงะตัวรู้สึกผิดสังเกต ทั้งยังสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรบอกไม่ถูก
“อย่ามาโทษข้าก็แล้วกัน” เสียงนุ่มทุ้มที่ชินหูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงโกรธๆ
สิ้นสุดคำกล่าว ลูกแก้วก็พลันเปล่งประกายเจิดจ้าจนทำให้ต้องเบนสายตาหลบ ตามมาด้วยความรู้สึกเจ็บจุกที่อกซ้ายคล้ายมีบางอย่างพุ่งชนเข้าอย่างจัง ร่างกายร้อนลวกราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา เขากุมอกซ้ายก่อนทรุดลงบิดกายด้วยความทรมานจนหมดสติไป
ต่อเมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าตนยังคงอยู่บนเรือกลางสระบัว ว่าแล้วร่างสูงก็มองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง ครั้นไม่เห็นเงาของลูกแก้วก็ถอนหายใจล้มตัวนอนแผ่บนตัวเรือ ทว่าสักพักกลับรู้สึกคันยุบยิบที่อกซ้าย...
เซียวถิงฟงผุดลุกขึ้นนั่ง หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ มือทั้งสองจับเข้าที่ปกเสื้อก่อนตัดสินใจกระชากออกอย่างแรง สายตาก็ค่อยๆก้มไล่มองไป กระทั่งปะทะเข้ากับบางสิ่งที่ทำเอาดวงตาเขาแทบถลน ก็มิอาจห้ามเสียงแผดร้องของตัวเองได้อีกต่อไป
“ว๊ากกก”
“ก็เจ้าชอบข้าเองนี่นา” เสียงนุ่มทุ้มกล่าวออกมาเบาๆก่อนที่ความฝันจะจบลง
แสงรำไรที่ลอดผ่านหน้าต่างทำเอาดวงตาของเซียวถิงฟงลุกพรึบ ความฝันก่อนหน้านี้ช่างติดตรึงชวนให้คิดว่าเกิดขึ้นจริง
“ไม่หรอกก็แค่ความฝัน” เขายิ้มแหยแล้วโบกมือขึ้นปัดความคิดไร้สาระ แต่แล้วความอึดอัดระคายยุบยิบที่หน้าอกกลับบังเกิดขึ้นจริง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดโพลน
...รึว่ามันคือเรื่องจริง
ดวงตาสีดำเบิกกว้างอย่างหวาดๆ ทั้งยังค่อยๆขยับไล่ลงมองอย่างกล้าๆกลัวๆ กระทั่งเห็นถิงถิงนั่งทับที่หน้าอกก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่
นี่อาจเป็นสาเหตุของฝันร้ายกระมัง ชายหนุ่มคิดพลางขบขันตนเองที่คิดเป็นตุเป็นตะ แต่แล้วสายตากลับเหลือบไปเห็นถิงถิงที่เผยกรงเล็บขึ้น ชั่วขณะหนึ่งพลันรู้สึกราวกับว่ามันกำลังแสยะยิ้ม รอจังหวะหนึ่งเล็บคมก็ไม่รอช้าเลื่อนตะปบลงทันที
ร่างสูงถึงกับกระเด้งตัวลุกพรวดขึ้นนั่งอย่างว่องไว ยังผลให้ถิงถิงลื่นตกลงมายังหน้าตักของเขาแทน “จะทำอะไร ถิงถิง” ตวาดถามมันเสียงดัง หากช้ากว่านี้อีกนิดมีหวังเลือดตกยางออก
“เมี้ยว เมี้ยว” มันร้องประท้วงอย่างโกรธๆ จากนั้นก็ทะยานตัวออกไปทางหน้าต่างอย่างงอนๆ
เซียวถิงฟงได้แต่มองตามเจ้าแมวสาวอย่างไม่งุนงง ในใจก็เข็ดขยาดมิคิดนอนต่ออีกจึงตัดสินใจผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปฝึกวิทยายุทธ์ แต่พอเดินไปถึงหีบผ้าเท่านั้นตัวก็ต้องหยุดชะงักกึก
“ขนถิงถิงนี่ช่างระคายผิวยิ่ง คราหน้าต้องสั่งให้สาวใช้จับมันไปอาบน้ำบ้างเสียแล้ว” กล่าวไปมือก็ล้วงเข้าไปในสาบเสื้อแล้วเกาผิว แต่แล้วเล็บมือกลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง ทำเอาเหงื่อกาฬหลั่งไหลเย็นยะเยียบ สองเท้าปรี่มาที่หน้ากระจกทองเหลืองแล้วทำการกระชากเสื้ออย่างคลุ้มคลั่ง
...เป็นไปไม่ได้ ดวงตาสีดำแทบถลนออกจากเบ้า ภาพในกระจกย้ำเตือนเขาจนตะลึงงัน เป็นเพราะมันกำลังสะท้อนภาพลูกแก้วที่ฝังจมลึกบนผิวที่หน้าอก ดูแล้วก็อยากจะเป็นลมพับไปเสียอย่างนั้น ทว่าก่อนหน้านั้นก็ยังมิวายลืมแผดเสียงร้องโหยหวน
“อ๊ากกก”
“โอ๊ย แสบแก้วหู”
จู่ๆ ก็มีเสียงนุ่มทุ้มระคนรำคาญดังขึ้น ปากของเซียวถิงฟงพลันอ้าค้างอย่างตกใจ เขามั่นใจมากทีเดียวว่าหูมิได้ฝาดไป เรี่ยวแรงเริ่มหดหายจนต้องทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น สองมือกุมขมับพึมพำว่า “ไม่จริง”
**********************************************
ฝีเท้าอึกทึกของข้ารับใช้ราวห้าถึงหกคนต่างพร้อมใจวิ่งตรงมายังตำหนักพิรุณ หนึ่งในนั้นมีเด็กรับใช้ประจำตัวคุณชายเซียวที่รีบร้อนผลักประตูห้องออกโดยไม่แม้จะกล่าวขานบอกเจ้าของห้อง
“คุณชายเกิดอะไรขึ้น” เด็กหนุ่มร้องถามก่อนจะผงะตัวเมื่อสบเข้ากับร่างที่กำลังนั่งกอดเข่าหันหลังให้อยู่บนพื้น เส้นผมก็ปล่อยยาวยุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเผยให้เห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่า
“ออก ออกไป” เสียงนั้นแหบแห้งจนน่าใจหาย
“คุณชายท่านเป็นอะไร” อวี่จงก้าวเข้าไปใกล้คนที่เอาแต่นั่งไม่กระดุกกระดิก ข้ารับใช้คนอื่นๆ ต่างก็ยืนออกันที่หน้าประตูด้วยท่าทีสงสัย
“ยะ อย่าเข้ามา” น้ำเสียงของคุณชายเซียวยังคงสั่นเครือ ทว่าอวี่จงยังคงเดินเข้าไปใกล้
“ข้าบอกว่าอย่าเข้ามาไง ออกไป”
จู่ๆ น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด อวี่จงชะงักฝีเท้าตกใจไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก ส่วนข้ารับใช้ที่ด้านหลังต่างหน้าเสียกันเป็นแถบ สักพักจึงเห็นมือขาวซีดกระตุกดึงผ้านวมลงมาจากเตียง ก่อนจะนำมาห่อคลุมร่างไว้อย่างมิดชิด รังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาภายใต้เส้นผมที่ปรกใบหน้า อวี่จงเห็นท่าไม่ดีก็รีบถอยเท้าออกจากห้องโดยไว
“ไสหัวไปให้หมด ไม่เข้าใจหรืออย่างไร” ครานี้เซียวถิงฟงตวาดลั่นห้องแล้ว ทั้งยังยื่นมือที่โผล่พ้นจากผ้านวมทำการปิดประตูใส่หน้าคนทั้งหมด ทำเอาคนที่ด้านนอกห้องสะดุ้งตัวโหยงพากันแผ่นแนบไป
ร่างสูงหันมาทรุดนั่งที่พื้นกุมขมับเคร่งเครียดอีกครั้ง ดูว่ามันคงมิใช่ลูกแก้ววิเศษอย่างที่คิด หากแต่เป็นลูกแก้วปีศาจต่างหาก “ข้าจะทำอย่างไรดี” เขาได้แต่พึมพำอย่างวิตกทั้งยิ่งไม่กล้าบอกใครกับสิ่งที่เกิดขึ้น
...หากว่ากำจัดมันออกไปไม่ได้ แล้วเขาจะเป็นอย่างไรกันเล่า
สุดท้ายได้เซียวถิงฟงก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องทั้งวันไม่ไปไหนทั้งไม่คิดแตะต้องอาหารใดๆ แม้แต่ถิงถิงเองก็ยังไม่สามารถเข้าห้องได้
กระทั่งพ้นเข้าวันที่สอง อวี่จงที่เห็นสำรับที่มิได้รับการแตะต้องก็ทอดถอนใจอย่างเป็นห่วง “คุณชายสำรับเย็นข้าไว้วางที่หน้าประตูนะขอรับ” กล่าวจบก็เก็บสำรับกลางวันกลับไป ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าวเสียงคุณชายที่แทบจะไม่ได้ยินก็ดังออกมาจากภายในห้อง
“อวี่จง ที่ลู่หยางนี่มีหมอผีคนไหนเก่งๆ เชื่อถือได้รึเปล่า” เสียงดังกล่าวบอกชัดถึงความสับสน
“เอ ถ้าพูดถึงหมอผีคงต้องหมอผีซื่อที่อยู่ตรงท้ายซอยแยกที่สามกระมัง” อวี่จงพูดอย่างไม่แน่ใจแล้วจึงค่อยๆเกิดความฉงนสงสัย “คุณชาย หากท่านมีธุระกับท่านหมอผีซื่อ ข้าสามารถจัดแจงเป็นธุระแทนท่านได้นะขอรับ”
เด็กหนุ่มรีบเสนอตัวเผื่อจะได้ทราบระแคะระคายถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดของผู้เป็นนาย ทว่าอีกฝ่ายไม่ตอบกลับมา รอสักพักก็จำต้องเดินคอตกกลับไป
รอจนเสียงฝีเท้าลับไปแล้ว เซียวถิงฟงก็ค่อยๆแง้มประตูออกมาหยิบสำรับอาหารเข้ามาทานในห้องอย่างมูมมาม ทันทีที่ท้องอิ่มสติก็ล้มตัวนอนบนเตียง ดูว่ายามนี้ตัวเขาช่างดูหมดสภาพสิ้นดี ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อที่ใส่ก็เปิดกว้างจนเห็นสิ่งผิดปกติที่นูนออกมา
ตลอดสองวันมานี้เขาได้แต่ขบคิดหาวิธีนำลูกแก้วออกจากกาย แต่ไม่ว่างัดหรือแงะ แม้แต่กระทั่งข่มตาหลับนอน หวังเข้าไปเจรจากับเจ้าลูกแก้วในฝันก็นับเป็นความพยายามอันสูญเปล่า วันทั้งวันจึงเสียเวลาไปการครุ่นคิด แถมในแต่ละวันร่างกายกลับค่อยๆอ่อนล้าตัวร้อนดั่งคนเป็นไข้
ยิ่งไปกว่านั้นลูกแก้วเองก็เริ่มมีลักษณะผิดแผกไป จากที่เคยกึ่งใสกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงสดคล้ายโลหิต หากเป็นเช่นนั้นจริง นี่มิใช่ว่าลูกแก้วปีศาจกำลังสูบเลือดสูบเนื้อของเขาอยู่หรือ ดูว่าหากปล่อยไว้เนิ่นนานเกรงว่าตัวเขาคงไม่รอดจริงๆ เห็นทีต้องจ้างพวกมืออาชีพเสียแล้ว
**********************************************
เช้าวันต่อมาเซียวถิงฟงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยเน้นเลือกเสื้อผ้าสีทึบตามด้วยเสื้อคลุมหนาเพื่อปกปิดสีแดงเลือดที่สะท้อนจากลูกแก้วกลม เขาผลุนผลันไปยังคอกม้า ฝืนขี่ม้าออกไปแม้ว่าร่างกายจะร้อนดั่งไฟ ครั้นถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ก็เปลี่ยนเป็นเดินเท้าต่อ ซึ่งกว่าจะถึงบ้านหมอผีซื่อก็ปาไปครึ่งค่อนวัน
ร่างสูงมองไปยังเบื้องหน้าอย่างวิตก...นี่ถือเป็นความหวังสุดท้ายคิดจบสองเท้าก็ก้าวเข้าไปยังบ้านที่มีขนาดเล็กดูซอมซ่อ ดูไปที่นี่ทั้งเงียบสงบเสียจนวังเวงราวกับเป็นบ้านร้าง ทว่าขณะที่กำลังจะเปิดประตูกลับมีเสียงทักขึ้น
“พ่อหนุ่มมาที่นี่เพราะมีเรื่องทุกข์ใจบอกใครไม่ได้สินะ” เสียงของชายวัยกลางคนดังออกมาจากภายในบ้าน
“เกรงว่าคนที่เหยียบย่างมาที่นี่ก็คงมีแต่เรื่องที่ไม่สามารถบอกใครได้กระมัง” แม้สมองจะมึนงงแต่เซียวถิงฟงยังคงใช้ไหวพริบพูดหยั่งเชิง แต่แล้วคนในบ้านกลับหัวเราะเสียงดัง
“พ่อหนุ่มคงเป็นคุณชายสูงศักดิ์สิท่า อีกทั้งตอนนี้ท่านมีเรื่องกลุ้มใจมากๆอีกด้วย” เสียงมั่นใจดังลอดมาจากด้านหลังประตูที่ปิดสนิท
คนผู้นี้มิเคยพบเขามาก่อน ไฉนจึงรู้ได้ว่าเขามีฐานะสูงศักดิ์ “เช่นนั้นท่านช่วยบอกว่าข้ากลุ้มใจเรื่องอะไรกันแน่” เขายังคงมิเชื่อใจง่ายๆ
“คุณชายคงมีปัญหา...” หมอผีซื่อกล่าวอย่างแช่มช้าก่อนจะหยุดลงเล็กน้อย “ทางด้านร่างกายสินะ”
ประโยคดังกล่าวทำเอาเซียวถิงฟงตาลุกวาว พยายามเก็บเสียงแปลกใจไว้
“ร่างกายท่านร้อนรุ่มตลอดเวลา ร้อนจนกระทั่งทนไม่ไหว ต้องการจะปลดปล่อยสินะ หรือบางครั้งท่านก็เหนื่อยอ่อนด้วย”
ใช่แล้ว เขาเป็นเช่นนั้นจริง หรือนี่จะเป็นมืออาชีพจริงๆ เซียวถิงฟงมองเห็นความหวังอยู่ข้างหลังประตูนี่เอง เขาพลันตื่นเต้นดีใจจนแทบอยากจะกระโดดโลดเต้นอยู่รอมร่อ
“ข้าต้องทำอย่างไร ท่านหมอผีซื่อ โปรดแนะนำ” ไม่ว่าเงินเท่าใดตนก็ยอมจ่าย ขอเพียงกำจัดเจ้าลูกแก้วปีศาจออกไปให้พ้นได้เป็นพอ
“คุณชายอย่าใจร้อน การที่ท่านร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลา อยากที่จะปลดปล่อยนั่นเป็นเพราะ” น้ำเสียงของหมอผีซื่อคล้ายหนักใจก่อนที่จะเงียบเสียงลงไป ด้านชายหนุ่มก็ยิ่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ “คุณชายท่านอย่าตกใจไป ที่ท่านเป็นเช่นนี้เพราะท่านกำลังโดนนางปีศาจจิ้งจอกครอบงำจนร่างกายของท่านร้อนรุ่ม จนต้องการปลดปล่อยอยู่ตลอดเวลา” หมอผีซื่อพูดด้วยน้ำเสียงน่าเชื่อถือ
“........” คล้ายมีสายฟ้าฟาดกระหน่ำใส่เสียจนความหวังตรงหน้าแหลกสลายกลายเป็นผุยผง
“คุณชาย ท่านกำลังโดนสูบพลังชีวิตหลังจากการเสพสังวาส มิทราบว่าท่านได้รับสตรีใดเข้ามาในบ้านเมื่อไม่นานมานี้รึไม่” หมอผีซื่อยังคงพูดต่อโดยไม่ทราบว่าคนอีกฝั่งกำลังหน้าดำหน้าแดงแล้ว
น่าตายนัก ถึงกับหลงเชื่อคำพูดไร้สาระของพวกนักต้มตุ๋ม เสียทีที่เป็นถึงจอหงวนที่เก่งทั้งบุ๋นและบู้ วันนี้แหละข้าต้องจัดการเก็บศพเจ้านักต้มตุ๋นผู้นี้ให้ได้ ว่าแล้วเขาก็ตะโกนออกไป “เหลวไหลสิ้นดี”
ประจวบเหมาะกับที่มีเสียงกลุ่มคนก้าวย่างเข้ามาในบ้าน ร่างสูงหันไปมองแล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เป็นเพราะกลุ่มคนเหล่านี้คือทหารของเมืองลู่หยาง และย่อมต้องรู้จักเขาแน่ ทว่าคิดจะหลบก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
“ทหารจับกุมคนที่อยู่ข้างในเดี๋ยวนี้” สิ้นเสียงคำสั่งทหารหลายนายต่างก็ทยอยกรูกันเข้าไปจับตัวคนในบ้านออกมา
ชายที่โดนจับกุมนั้นแต่งกายด้วยชุดนักพรตสีเหลือง ในมือข้างหนึ่งถือกระบี่ไม้ที่ทำจากไม้ไผ่ หน้าตาดูเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกรูปร่างผอมสูง เอาแต่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายไม่หยุด เซียวถิงฟงได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงงงันจนกระทั่งทหารคุมนักต้มตุ๋นลับสายตาไป
“ท่านนี้คือท่านจอหงวนเซียวรึเปล่าขอรับ”
นายทหารผู้มีเคราเขียวครึ้ม รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ท่าทางเป็นหัวหน้ากล่าวทักทายเขาอย่างสุภาพ
“ข้าน้อยชื่อ หลิวซีฝู เคยพบท่านตอนการประลองฝีมือเชิงบู้ในการสอบในพระราชวังจึงทำให้เลื่อมใสในฝีมือของท่านมาก ข้าน้อยปรารถนาว่าสักวันจะได้มีโอกาสให้ท่านชี้แนะ” หลิวซีฝูพูดจ้อไม่หยุด ผิดกับเขาที่ได้แต่นิ่งเงียบ
“ว่าแต่ท่านมาทำอะไรที่นี่ ช่างบังเอิญจริงวันนี้ข้าน้อยพาทหารมาจับกุมนักต้มตุ๋นที่นี่พอดี ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านร้องเรียนมาว่ามีคนผู้หนึ่งชอบกล่าวอ้างถึงภูติผีปีศาจ ทั้งทำนายทายทักหลอกลวงโดยการปิดประตูไม่พบใคร แต่ยังคงทำนายได้ถูกต้องเหลือเชื่อ หากแต่ที่มันรู้เพราะมันนำด้ายขาวบางๆ กั้นที่หน้าประตูทางเข้า หากใครก้าวเข้ามาจะมีเสียงกระดิ่งเตือน เพื่อที่มันจะได้สังเกตคนที่เข้ามาโดยไม่ให้รู้ตัวแล้วพยายามจดจำสังเกตรูปร่างหน้าตา หากหลงกลมันคงต้องเสียเงินก้อนใหญ่ เอ๊ะ หรือท่าน” หลิวซีฝูพูดพล่ามไม่หยุด
เรื่องที่อยากรู้เขาก็คงไม่ต้องถามอีกต่อไป แต่ทำไมสุดท้ายถึงต้องสงสัยเขาด้วย ทำไมไม่รู้จักมองข้ามเสียบ้างเล่า “ข้าไม่ได้มาทำนายอะไรทั้งนั้นแหละ ข้า...ข้าเองก็ได้รับการแจ้งจึงมาเพื่อตรวจสอบก็เท่านั้น” เขาร้อนตัวพยายามพูดเถียงข้างๆคู
แต่แล้วหลิวซีฝูกลับเชื่ออย่างสนิทใจทั้งยังชื่นชม “อ่า ท่านช่างสมเป็นบุตรท่านอัครเสนาดีเซียวจริงๆ”
“ข้ารู้สึกไม่สบายตัว ขอลา”
“อ้ะ จริงสิท่านจอหงวนเซียวท่านดูไม่สบายมาก ข้าเห็นท่านหน้าแดงตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ท่านไม่สบายหนักหรือ ข้าว่าให้ข้าไปส่งท่านถึงที่จวนดีกว่า”
หลิวซีฝูมองด้วยสายตาเป็นห่วง แต่เซียวถิงฟงกลับรู้สึกรำคาญใจอย่างยิ่ง “มะ ไม่เป็นไร”
เขารีบสาวเท้าจากไป แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งช้าลง ในหัวก็เริ่มหมุน ไม่นานก็ได้ยินเสียงวิ่งมาจากทางด้านหลังก่อนที่ร่างก็ถูกรวบตัวลอยสูงจากพื้นโดยที่มิทันได้ตั้งตัว
“ข้าน้อยขออภัย ข้าน้อยจะไปส่งท่านถึงที่พำนักเอง” หลิวซีฝู กล่าวอย่างมีน้ำใจ ทำเอาเซียวถิงฟงอึ้งจนจุกพูดไม่ออก
ไม่อยากจะเชื่อเขากำลังโดนผู้ชายอุ้ม ไม่ใช่อุ้มแบบพาดบ่านะ แต่อุ้มแบบสตรี หากใครพบเห็นเข้า ข้าจะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหนหา ถึงอย่างไรข้าก็เป็นถึงจอหงวนบู้นะ ให้ข้าขี่หลังสิ มารดามันเถอะ ทำไมรอบตัวข้าถึงมีแต่คนซื่อบื้อนะ ว่าแล้วเขาก็ไม่มีแรงที่จะเถียงอีกจึงจำต้องปล่อยเลยตามเลยในที่สุด ไม่นานนักเขาก็สลบไป
กว่าที่ชายหนุ่มจะลืมตาตื่นอีกครั้งก็พบว่าอยู่ในจวนแล้ว อีกทั้งอวี่จงกำลังจะถอดเสื้อนอกเพื่อเช็ดตัวให้พอดี เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็สะดุ้งตกใจพลางออกปากไล่เด็กหนุ่มออกจากห้องไป แลหลังจากที่ได้อยู่เพียงลำพัง เขาก็ฝืนเดินไปที่อ่างอาบน้ำก่อนตัดสินใจกระโจนตัวลงสู่น้ำเย็น ทว่ารู้สึกดีได้ไม่นานน้ำในอ่างก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำร้อนควันลอยโขมง
“ใช่แล้ว เป็นเพราะเจ้า ข้าถึงมีสภาพเช่นนี้” เซียวถิงฟงได้แต่โทษลูกแก้วปีศาจ “ข้าต้องทำเช่นไรกัน ข้าต้องทำเช่นไรหา”
เมื่อหมดความอดทนหมัดหนักก็ทุบลงบนผิวน้ำด้วยความโกรธเกรี้ยว ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะมีเสียงดังขึ้นจากลูกแก้วอีกครั้ง
“พาข้าไป...พาข้าไปที่สระบัวที”
**********************************************
อ่านเเล้วติดขัดเเนะนำกันได้น้าาา