♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558  (อ่าน 56450 ครั้ง)

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (ftp://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


♧♣หทัยเทพสวรรค์♣♧
By RyuKi




บทนำ ก้อนหิน


"ตัวตนของท่านมีครบทุกอย่าง หากแต่ขาดอยู่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนพึงมีแต่ท่านไม่มี"
ชายที่คุกเข่าอย่างไร้ซึ่งอิสรภาพกล่าวโพล่งขึ้น
แม้แววตาจะอ่อนแสงหากแต่ลึกลงไปกลับฉายให้เห็นถึงแววดื้อดึง


“ข้ามีทุกอย่างที่มนุษย์พึงมี มีทุกอย่างเฉกเช่นเดียวกับเจ้า จะมีสิ่งใดในโลกหล้าที่ข้าไม่มี"

“ท่านกล่าวถูกทุกอย่าง ท่านมีทุกอย่างเหมือนกับข้า เหมือนกับผู้อื่น
แต่ที่ท่านขาดคือ หัวใจ
ท่านไม่เคยรักใคร ไม่เคยโศกเศร้า หรืออาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งใดในโลกหล้าอย่างสุดซึ้ง
ท่านเปรียบเสมือน...ก้อนหิน"

คำตัดพ้อดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ยังผลให้ลมหายใจเขาสะดุดลง

"ข้าเพียงปรารถนาให้ท่านมีหัวใจ เฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป...เพียงแค่นั้น"

คนผู้นี้กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ดวงตาที่จ้องลึกเข้ามา
คล้ายกับต้องการบางสิ่ง...ความหวังกระนั้นหรือ
“ข้า...เป็นเพียงก้อนหิน ก้อนหินจะมีหัวใจเฉกเช่นมนุษย์ได้เยี่ยงไร"

คำตอบถูกเอ่ยออกมาด้วยเหตุผลสั้นๆ ทำให้ดวงตาที่โชนแสงมอดไหม้ลงไปในพริบตาแทนที่ด้วยความผิดหวังระคนหมองเศร้า
 
“พาเขาไปเถอะ”

สิ้นเสียงร่างที่ถูกโซ่ตรวนลุกขึ้นขัดขืนอย่างสุดกำลัง แต่กระนั้นก็ยังถูกลากออกไป จวบจนวินาทีสุดท้ายก็ยังคงจับจ้องร่างสีขาวไม่วางตา

คนไปแล้วแต่กลับทิ้งสายตาดุจดั่งคมมีดที่คอยทิ่มแทงให้เจ็บปวด
แผ่นหลังเอนพิงต้นไม้อย่างอ่อนล้า
“ใช่แล้ว ไม่เคยมีก้อนหินก้อนใดที่มีหัวใจ แล้วข้าล่ะ
ข้าไม่มีหัวใจจริงๆน่ะหรือ”

ในอกพลันปวดร้าวแปลกๆ คล้ายมีบางสิ่งที่ถูกกรีดลึก
เช่นนี้หรือเปล่าคือ ความรู้สึก...หัวใจ
“มันใช่หรือเปล่า ใช่รึเปล่า”
เสียงนุ่มทุ้มพึมพำไปมาก่อนจะแผ่วเบาเรื่อยๆ ดวงตาที่เคยเปล่งประกายพลันอ่อนแสงลง กระทั่งเปลือกตาบางปิดลงในที่สุด

“ก้อนหินอย่างข้าจะมีหัวใจได้บ้างรึเปล่า”


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2015 20:26:12 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 1 สระบัวที่หลับใหล


                กลางดึกสงัดในคืนที่ไร้ดวงดาว ลมหนาวพัดผ่านภายในเมืองลู่หยาง ต้นไม้ใบหญ้าไม่เพียงไม่เขียวชอุ่ม แม้แต่ดอกไม้ก็ยังแห้งเหี่ยวขาดซึ่งความงาม เช่นเดียวกับสระบัวกว้างที่ถูกจำกัดไว้ในคฤหาสน์ตระกูลเซียว สระบัวที่มิเคยเบ่งบานมาก่อนราวกับว่าพวกมันกำลังรอคอยบุคคลผู้หนึ่งมานานแสนนาน

                "คุณชาย คุณชาย" เด็กรับใช้ร้องเรียกก่อนจะวิ่งตาลีตาเหลือกถือเสื้อคลุมตัวใหญ่เข้ามาในสภาพทุลักทุเล

                "เพ้ย ดึกขนาดนี้แล้วยังอุตส่าห์ตามมาอีกรึ" เสียงน่าเกรงขามปนรำคาญดังขึ้น

                อวี่จงฟังแล้วก็ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาพลางยื่นเสื้อคลุมให้คุณชายเซียวถิงฟงหรือบุตรชายโทนของตระกูลเซียว ผู้มีดวงตาสีดำสนิท จมูกโด่ง ริมฝีปากน่าหลงใหล รูปร่างสูงใหญ่กำยำ กล่าวได้ว่าเพียบพร้อมไปทุกด้าน ผิดแต่ขึ้นชื่อว่าเป็นเสือยิ้มยาก พร้อมจะโมโหได้ทุกเพลา ดังนั้นไม่ว่าสาวๆในเมืองจะคอยส่งยิ้มหยาดเยิ้มมาเพียงใดก็ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น

                ตระกูลเซียวแห่งเมืองลู่หยางถือเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ที่คนทุกรุ่นต่างมีอำนาจในราชสำนัก ซึ่งเมื่อถึงรุ่นของเซียวถิงหลี่บิดาของเซียวถิงฟงก็ได้ดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย ทำหน้าเป็นดั่งที่ปรึกษาให้กับซวนหยวนฮ่องเต้ ทว่าผู้เป็นบุตรเองก็มิใช่ย่อย เพราะนอกจากจะเก่งด้วยวิชาบุ๋นแล้ว ก็ยังเป็นถึงจอหงวนบู้ที่มีอายุเพียงแค่ยี่สิบสาม รอเพียงได้รับการพระราชทานตำแหน่งอย่างเป็นทางการเท่านั้น

                “หากข้าไม่ตามมาเร็วปานนี้ คุณชายคงได้เผาสระบัวเป็นจุณไปแล้ว" อวี่จงตอบด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เนื่องด้วยรู้ดีว่าผู้เป็นนายคาดหวังที่จะขจัดสระบัวแห่งนี้เพียงเพื่อเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสนามลูกหนังขนาดใหญ่เมื่อมีโอกาส

                “เหอะ ช่างรู้ทันเสียจริง เอาเถอะ เจ้าไปเอาเรือออก ข้าจะได้สำรวจสระบัวว่ามันจะกว้างสักเท่าใด" เซียวถิงฟงพูดขึ้นพร้อมยกยิ้มที่มุมปาก ในใจก็วาดฝันถึงสนามลูกหนังอันกว้างใหญ่ในอนาคตอันใกล้

                ทว่าเด็กรับใช้กลับพูดแย้งอย่างไม่เข้าใจ “แต่คุณชาย นี่มันก็ดึกมากแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่ออกสำรวจในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้แทนล่ะ"

                “ซื่อบื้อ หากทำเช่นนั้นบิดาข้าก็รู้สิว่าข้ายังไม่ล้มเลิกความคิด” เขาตวาดใส่เสียจนอวี่จงหน้าตาตื่น รีบจ้ำอ้าวไปปลดเชือกที่คล้องไว้กับท่าเรือ ครั้นเมื่อเหลือบมองสระบัวอีกครั้งก็อดไม่ได้ที่จะบ่นอีกสักประโยค “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าจะเก็บสระบัวเน่าๆนี้ไปทำไมกัน"

                ย้อนกลับไปในความทรงจำวัยเด็ก ในช่วงย่างเข้าฤดูหนาวของทุกปี บิดามักทึกทักอยู่เสมอว่าปีนี้ดอกบัวในสระต้องเบ่งบานงดงาม ฟังแล้วเขาก็ได้แต่อดตาหลับขับตานอนเฝ้ารออยู่ทุกคืน แต่ดูว่ามันไม่เคยไยดีต่อความคาดหวังของผู้ใด กลีบสีขาวยังคงหุบไม่แยแส จนวันหนึ่งข้ารับใช้เก่าแก่ก็เผลอหลุดปากเข้า บอกว่าสระบัวแห่งนี้มิเคยเบ่งบานตั้งแต่สมัยปู่หรือทวด ความจริงข้อนี้ทำให้เขาต้องตัวสั่นไปด้วยความโกรธ เป็นบิดาที่หลอกให้เขาตากน้ำค้างจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ

                ครั้นแปดขวบ เขาก็ถูกส่งตัวไปศึกษาในเมืองหลวง ทั้งยังถูกวางตัวให้เป็นพระสหายขององค์รัชทายาทที่อยู่ในวัยเดียวกัน นับตั้งแต่นั้นเขาก็ลืมเลือนสระบัวแห่งนี้ไป กระทั่งเมื่อได้กลับมายังบ้านเกิดก็พานพบเข้ากับสระบัวร้างอีก เพียงแค่ชำเลืองมองก็เกิดความคิดปรับปรุงพื้นที่ แต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยการทะเลาะกับบิดาถึงสามคืนเต็มๆ

                “สระบัวนี้เปรียบเสมือนฮวงจุ้ยของบ้านเรา มันจะนำพาแต่สิ่งดีๆ มาให้...เพราะฉะนั้นห้ามแตะ นี่เป็นคำสั่ง" เซียวถิงหลี่ร่ายประโยคแรกราวกับท่องจำมา แต่ทว่าท้ายประโยคกลับใช้น้ำเสียงกร้าว

                นึกถึงตรงนี้เซียวถิงฟงก็ต้องทำสีหน้าเอือมระอา ดูยังไงภาพตรงหน้าก็เป็นแค่สระบัวเน่าๆ ย้ำสระบัวเน่าๆเท่านั้น หึ หากคิดว่าข้าจะยอมล่ะก็คิดผิดถนัด ท่านพ่อยังไม่รู้จักข้าดีพอ ขอเพียงสักคืน...สักคืนเท่านั้น ข้าจะเผามันให้วอดวาย เดี๋ยวเดียวก็จบ หึ หึ หึ~

                “คุณชาย พายมาแค่นี้ไกลพอแล้วนะขอรับ” อวี่จงกล่าวขัดจังหวะขึ้น ทำให้ร่างสูงที่นั่งยิ้มกริ่มเพียงลำพังตื่นขึ้นจากภวังค์

                “ไกลกว่านี้อีกซิ นี่ยังใกล้ฝั่งอยู่เลย” เขาออกคำสั่ง อวี่จงที่ยืนพายเรืออยู่ที่ด้านหลังจึงได้แต่ส่ายหน้าทอดถอนใจเงียบๆ ก่อนจะขยับฝีพายให้เรือออกไปไกลจากฝั่งมากกว่าเดิม

                “ดอกบัวเน่าๆพวกนี้ช่างรกหูรกตาข้าเสียจริง ฮวงจุ้ยดีๆอย่างนั้นรึ ไม่เบ่งบานเช่นนี้จะเรียกให้ถูก ต้องเป็นสระบัวต้องคำสาปเสียมากกว่า ฮ่าๆ” น้ำเสียงหัวเราะสะใจยังคงกล่าวพล่ามต่อไม่หยุดปาก “น่ากลัวว่าจะมีวิญญาณแค้นโผล่ขึ้นมาแทน หึ ดอกบัวที่ไม่มีวันเบ่งบานก็เปรียบเสมือนกับใบไม้แห้งที่มีแต่ต้องเอาไปฟืนไฟ จึงจะมีประโยชน์จริงไหม อวี่จง"

                เด็กรับใช้ฟังแล้วได้แต่กรอกตาไปมา ช่วยอย่าเหมาเอาข้าไปเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทำลายสระบัวของท่านด้วยสิ มันอยู่ของมันดีๆ ไม่ได้มีขาเดินไปเตะเข้าตาท่านสักหน่อย นี่เรียกว่าบังคับขู่เข็ญเผด็จการชัดๆ นายท่านเซียวบุตรชายท่านบังคับข้านะ ข้าไม่เกี่ยวจริงๆ เอ...แต่ถ้าเกิดมันมีอะไรโผล่ขึ้นมาจริงๆล่ะ ไม่ๆ เผาดีกว่า เอ๊ะ ยังไงกันนี่ โอ๊ย น่าปวดหัวจริง

 
**********************************************

 
                เรือลำเล็กถูกพายออกไปถึงกลางสระ ด้วยความมืดจึงทำให้สังเกตเห็นความตื้นลึกได้ไม่มากนัก ดอกบัวตูมที่ลอยอยู่ให้ความรู้สึกถึงคำว่ามืดมนไร้ซึ่งชีวิตชีวา มิได้ใกล้เคียงกับคำว่าสวยงามเลยสักนิด

                “คุณชาย ข้าว่าเรากลับกันเถอะ นี่มันก็ดึกแล้วแถมยัง น่ะ...หนาวยะเยือก” ใช่แล้วทัศนียภาพแบบนี้ ทั้งมืดทั้งหนาวเช่นนี้ ช่างทำให้หัวใจเต้นระรัวจริงๆ คุณชายเซียวไม่น่าพูดถึงภูตผีปีศาจอะไรนั่นเลย อวี่จงร้องครางในใจพลางปรารถนาให้ผู้เป็นนายสั่งหันหัวเรือกลับเสียตั้งแต่ตอนนี้

                "ไม่ บรรยากาศออกจะดี” เซียวถิงฟงยิ้มกว้าง

                เช่นนี้เรียกว่าดี? คุณชาย ท่านยังประสาทดีรึเปล่า ความรู้สึกออกจะทื่อด้านไปหน่อยกระมัง อวี่จงถลึงตาใส่คนที่ดูอารมณ์ดีอย่างไม่เชื่อ

                “ทำไม บรรยากาศไม่ดีหรืออย่างไร ที่นี่เงียบสงบ อากาศก็เย็นสบาย เจ้าเริ่มกลัวแล้วสิท่า คงคิดว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาจริงๆใช่รึไม่ เฮอะ ผีเผอน่ะมีจริงซะที่ไหน เรื่องแบบนี้เหลวไหลทั้ง...”

                เฟี้ยว ยังมิทันกล่าวจบก็ปรากฏวัตถุหนึ่งพุ่งเฉียดเข้าที่ขมับซ้ายคนกล่าวด้วยความเร็วสูง

                เหตุการณ์แม้เกิดขึ้นกะทันหัน แต่เพียงชั่วพริบตาชายหนุ่มกลับเบี่ยงศีรษะหลบออกไปได้ทันท่วงที วัตถุแปลกประหลาดจึงพุ่งตกลงไปในสระบัว เกิดเป็นเสียงดังตูมใหญ่ ตามมาด้วยน้ำในสระที่ทะยานตัวขึ้นโปรยปรายดั่งเช่นสายฝน กระแสน้ำถูกก่อกวนกลายเป็นคลื่นปั่นป่วน คนบนเรือต่างพยุงตัวกันจ้าละหวั่น เสื้อผ้าหน้าผมต่างเปียกปอนจนหมดสิ้น

                รอจนน้ำในสระสงบนิ่งอวี่จงที่หน้าซีดหลับตาปี๋ก้มตัวหมอบก็ร้องโอดครวญน้ำเสียงสั่น “ไหนคุณชายบอกว่าจะไม่มีอะไรโผล่ออกจริงๆไง โฮ” มาคิดดูแล้วคุณชายเซียวพูดขัดแย้งไปมาตั้งแต่ต้น เดี๋ยวก็บอกว่า ผีบ้างล่ะ คำสาปบ้างล่ะ แล้วจู่ๆก็บอกว่าเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ เป็นไงล่ะเฉียดไปทักทายกับท่านยมบาลเลยเห็นไหม

                “เมื่อครู่นี้มันอะไรกัน อะไรพุ่งลงไปในสระบัวนรก” คล้ายเห็นบางสิ่งที่พุ่งตกลงไปใกล้ๆ ว่าแล้วเซียวถิงฟงก็รีบก้มตัวชะโงกหน้ามองจนใบหน้าแทบจะจุ่มลงในสระ

                แน่ะ ยังจะเรียกสระบัวนรกอีก นอกจากคุณชายจะโรคจิต เจ้าเล่ห์ ขี้โมโห ปากก็มิวายเสียอีกด้วย เห็นว่าอีกฝ่ายมิได้ใส่ใจในสวัสดิภาพของตน อวี่จงก็ก่นด่าในใจ

                “ฮึ่ย มองไม่เห็นอะไรเลย” ไม่ได้ดั่งใจจริงๆ เป็นเพราะน้ำในสระมืดเกินไปทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด ทว่าสวรรค์เองก็ดูเหมือนรับฟังเสียงบ่นเพราะกล่าวจบได้ไม่นานก็บังเกิดเป็นแสงสว่างสีทองอ่อนขึ้นภายใต้สระ ดูว่าแสงนั้นค่อยๆแผ่ขยายลามไปทั่วจนทั้งสองต้องนิ่งตะลึงกันไปพักใหญ่

                นี่มันแสงอะไรกัน เขาครุ่นคิดสงสัย ขณะเดียวกันอวี่จงก็ตะลึงลานผงะหงายหลัง นิ้วมือชี้ตรงไปที่ทิศหนึ่งพลางกล่าวน้ำเสียงติดอ่าง “อ้ะ ดะ ดะ ดอกบัว”

                ดวงตาสีดำมองไปตามทิศทางนั้น และแล้วความประหลาดใจก็พาดผ่านในแววตาแทบในทันที ราวกับว่ากำลังฝันไป ดอกบัวที่ไม่เคยเบ่งบานมานานหลายทศวรรษมาครานี้กลับค่อยๆอวดโฉมแล้ว กลีบสีขาวละเอียดอ่อนคลี่ออกอย่างงดงาม ยังไม่นับแสงสีทองภายใต้สระที่ขับดันให้ดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์เหล่านี้เปล่งประกายสวยงามจนมิอาจเปรียบเปรยได้ เซียวถิงฟงตะลึงมองภาพที่สวยงามนี้อยู่สักพักจึงเริ่มกวาดสายตาไปรอบๆ กระทั่งเห็นความผิดปกติที่ใต้ท้องเรือ

                “คุณชาย ท่านมองหาอะไรอยู่” ยังมิทันได้คำตอบ หัวใจน้อยๆของอวี่จงก็แทบจะวายไปอีกรอบเมื่อเห็นคุณชายกระโดดลงน้ำไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

                มาตรว่าน้ำในสระไม่ลึก แต่ก็ต้องเผชิญกับความหนาวที่เสียดแทงกระดูก เซียวถิงฟงรีบกวาดตาหาที่มาของแสงประหลาด ก่อนจะสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งที่ใสจนแทบจะกลมกลืนไปกับผิวน้ำ
 
                คล้ายดั่งมีมนตร์สะกดดึงดูดให้เข้าไปใกล้ กว่าจะรู้ตัวมือก็ยื่นออกไปแล้ว พริบตาที่ปลายนิ้วสัมผัสพลังไร้ที่มาขุมหนึ่งก็แล่นปราดไปทั่วตัว ร่างกายที่หนาวแทบตายพลันเปลี่ยนเป็นอุ่นร้อน สีหน้าคมเข้มถึงกับขมวดคิ้วฉงน ก่อนจะตัดสินใจยัดมันไว้ในอกเสื้อแล้วทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว

                “คุณชาย ท่านบ้าไปแล้ว กระโดดลงไปในน้ำช่วงอากาศแบบนี้ ท่านมีสิทธิ์แข็งตายได้นะ ไม่ได้การแล้วต้องรีบกลับไปที่ตำหนักโดยเร็ว” อวี่จงยื่นมือไปดึงคนเปียกปอนขึ้นมาบนเรือ แต่แล้วก็เกิดงงงันวูบ...ทำไมตัวถึงได้อุ่นนักล่ะ

                “ยังจะมองหาอันใด รีบไปพายเรือสิ” เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องเซียวถิงฟงก็ทำเสียงดุ

                อ่า จริงสิคุณชายของเราเป็นพวกหนังหนา ความรู้สึกด้านช้า มิแปลกที่จะรู้สึกหนาวช้ากว่าชาวบ้านปกติ อวี่จงได้แต่ประชดประชัดในใจ ก่อนจะหันกลับไปพายเรือต่อ

                จวบจนเรือถูกพายเข้าถึงฝั่ง ทั้งสองก็จ้ำอ้าวกลับเข้าตำหนักไปกันอย่างรีบร้อน โดยไม่มีใครคิดจะเหลียวแลสระบัวที่ตอนนี้ทยอยกันหุบกลีบดั่งเช่นที่เคยเป็นมา แสงที่เคยสว่างไสวก็พลันดับลงราวกับว่าสถานที่นี้ไม่เคยเกิดเหตุพิสดารอะไรขึ้นมาก่อน
 

**********************************************


                ชายหนุ่มรีบเร่งกลับตำหนักที่พักโดยมีอวี่จงคอยถือโคมไฟนำอยู่ตลอดทาง ในใจก็เริ่มฉุกคิดสงสัย ร่างที่เปียกโชกจนอาภรณ์ที่สวมใส่แนบสนิทจนเห็นรูปกาย อีกทั้งยังมีลมที่พัดมาเป็นระลอกๆ เหตุไฉนตนจึงไม่รู้ร้อนรู้หนาวสักนิด

                ครั้นเมื่อถึงเรือนนอนอวี่จงก็ขอตัวไปเตรียมน้ำอุ่น ร่างสูงพยักหน้าโดยไม่กล่าววาจา รอจนเสียงฝีเท้าเงียบหายไปก็รีบเดินไปจุดเชิงเทียน แล้วหยิบของที่เก็บซ่อนไว้ออกมา วัตถุกลมคล้ายลูกแก้วขนาดเท่าอุ้งมือถูกนำออกมาจากสาบเสื้อ ความโดดเด่นของมันอยู่ที่ความใสบริสุทธิ์ที่ทอประกายงดงามจนยากที่จะละสายตา พาลให้เขายืนชมดูอย่างเลื่อนลอย      

                “คุณชาย โชคดีมากที่น้ำร้อนมีเพียงพอ มิต้องเสียเวลาต้มอีก รีบเข้าไปแช่เถอะขอรับ”

                การมาอย่างกะทันหันยังผลให้เซียวถิงฟงสะดุ้งตกใจ ดีที่ปฏิกิริยาว่องไวจึงซ่อนลูกแก้วไว้ที่ด้านหลังได้อย่างทันท่วงที เขาเก็บงำสีหน้าไว้ก่อนใช้น้ำเสียงเข้มกล่าว “หมดหน้าที่ของเจ้ากลับไปได้แล้ว”

                “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัว” อวี่จงยิ้มกว้างทว่ากลับลอบคิด ฮึ่ม ใช้ข้าไปทำเรื่องแปลก จนเจอเรื่องประหลาดๆ เสร็จแล้วก็ไล่ข้าเลยนะ แล้วคืนนี้ข้าจะนอนหลับสนิทได้อย่างไร น่าขนลุกจริงๆพรุ่งนี้ทุกคนต้องตกใจกับสภาพสระบัวเป็นแน่ เด็กหนุ่มคิดพร้อมกับค่อยๆแง้มปิดประตูลง

                “เดี๋ยว เรื่องในวันนี้ปิดปากเจ้าให้สนิท นี่เป็นคำสั่ง”

                ประตูยังมิทันปิดสนิทเสียงคำสั่งก็ลอยทะลุผ่านช่องว่างที่เหลือเพียงแค่ไม่กี่หุน อวี่จงเห็นสีหน้ายักษ์ผ่านทางช่องประตูเล็กๆแล้วมีหรือที่จะไม่ตอบออกไป “ขอรับ”

                ต่อเมื่อได้อยู่ลำพัง ร่างสูงก็ตรงไปยังห้องอาบน้ำโดยมิวายพกวัตถุประหลาดไป ผลักมู่ลี่ออกตามความเคยชินจนเผยให้เห็นอ่างแร่หินตรงกลางห้อง สองมือก็เริ่มปลดเสื้อผ้าทั้งหมดลงจนร่างกำยำสมส่วนเปลือยเปล่าสัมผัสกับอากาศ ลูกแก้วถูกวางไว้บนเสื้อถูกถอดกอง ก่อนจะกระโจนลงอ่างด้วยนึกอบอุ่นผ่อนคลาย ทว่า...สองตาลืมพรึบ

                “อ๊าก นี่มันน้ำเย็นนี่” เขาดีดตัวทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากอ่างแทบในทันทีที่ผิวกายสัมผัสกับน้ำ ควันน้ำในอ่างปรากฏลอยอบอวลไปทั่วห้อง แม้จะดูเหมือนไอร้อน หากแต่ว่ามันเป็นไอเย็น

                “หนอย อวี่จง เจ้าคิดจะให้ข้าอบอุ่นร่างกายหรือจะแช่แข็งข้ากันแน่ รอถึงพรุ่งนี้ก่อนเถิด ข้าจะให้เจ้าลองแช่ดู ดูสิว่าจะทนไปได้สักกี่น้ำ” ได้แต่ตัดสินใจกลับห้องไปอย่างหัวเสีย หันไปคว้าหยิบเสื้อก็ต้องอุทานขึ้น เมื่อสิ่งที่ควรอยู่กลับไม่อยู่แล้ว เขารีบกวาดตามองหากระทั่งสะดุดตาที่ก้นอ่าง

                “บ้าจริง นี่ข้าต้องลงไปในอ่างอีกแล้วรึ”

                ยืนทำใจครู่หนึ่งก็กลั้นใจหย่อนตัวกลับลงไปในน้ำเย็นอีกครั้ง มือก็รีบควานคว้าลูกแก้วตัวดีแล้วจับให้มั่น ทว่าเมื่อโผล่ศีรษะพ้นเหนือน้ำ สีหน้าก็พลันแดงระเรื่อ ร่างกายก็เต็มไปความอบอุ่น ควันที่เคยกลายเป็นไอเย็นกลับกลายเป็นไอร้อนลอยโขมงอยู่เหนือศีรษะ

                เซียวถิงฟงถึงกับงงงันวูบ “รึจะเป็นเพราะลูกแก้ว” จำได้ว่าครั้งที่อยู่ในสระที่เยียบเย็นเพียงแค่แตะมันก็อบอุ่นขึ้น เขาเลิกตาโตทั้งยังรีบยกลูกแก้วขึ้นมองอย่างละเอียด แต่แล้วก็มิได้ข้อสรุปอะไรเพิ่มเติม รอจนผ่านไปครึ่งชั่วยามก็ตัดสินใจกลับห้องแล้วล้มตัวนอนแผ่อยู่บนเตียง จากนั้นจึงเข้าสู่นิมิตราตรีโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าลูกแก้วยังคงอยู่ในมือ

 
**********************************************

 
                ค่ำคืนนี้เซียวถิงฟงฝันแปลกประหลาด ในฝันนั้นเขานั่งอยู่บนเรือที่ลอยเคว้งคว้างกลางสระบัวในสภาพอากาศที่มีแต่หมอกควัน กระทั่งมีเสียงนุ่มทุ้มไพเราะที่แยกแยะมิออกว่าเป็นน้ำเสียงของบุรุษหรือของสตรีภายใต้สระน้ำที่ส่องประกายสีทอง

                “พาข้ากลับไปที่เดิม” เสียงนุ่มทุ้มกล่าวซ้ำไปซ้ำมาออกแกมคำสั่ง

                เดิมทีด้วยไม่ชอบให้ใครมาสั่งกอปรว่าในใจลึกๆก็ไม่คิดกระทำตาม เขาพลันตะโกนตอบลูกแก้วประหลาดไป “ไม่มีทาง ข้าอุตส่าห์ลำบากลำบนดำลงไปเก็บเจ้า ฉะนั้นเจ้าต้องเป็นของข้า” เซียวถิงฟงชี้นิ้วสั่ง

                แต่กระนั้นเสียงดังกล่าวกลับดูไม่มีทีท่าเข้าใจ ทั้งยังคงพึมพำประโยคเดิมๆด้วยเสียงดังกังวานหนวกหู “พาข้ากลับไปที่เดิม

                “ไม่มีทาง เจ้ายอมแพ้ซะเถอะ” เขายกขึ้นสองมือป้องหูพลางตะโกนกลับไปสุดเสียง

                สิ้นสุดเสียงดังกล่าวสองตาก็ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพมึนงง ทว่าเรื่องราวในฝันนั้นกลับยังคงตราตรึงแจ่มชัด แต่ขี้คร้านใครจะไปใส่ใจกับเพียงแค่ความฝัน ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงพลางหาวหวอดบิดขี้เกียจสองสามครั้ง จากนั้นจึงล้างหน้าพลางเปลี่ยนเป็นชุดใหม่

                อีกด้านหนึ่งกลับมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆเดินนวยนาดเข้ามา เป็นแมวสาวที่มีขนสีดำเงางาม ที่รอบจมูกปากหน้าท้องรวมถึงอุ้งเท้าล้วนเป็นสีขาวสะอาด มันเดินยืดคอมองชายหนุ่มก่อนจะสบเข้าที่ลูกแก้วใสบนเตียง จากนั้นจึงแสยะยิ้มกระโดดขึ้นไปบนเตียง

                “ถิงถิง อย่าเล่นนะ เดี๋ยวเป็นรอย” เห็นเจ้าแมวตัวโปรดใช้ขากลิ้งลูกแก้วหลุนๆ เขาก็พูดขัดจังหวะจนมันร้องประท้วง
 
               "เอาเป็นว่าข้าจะซื้อของกินมาฝากเจ้าแทนนะ” พูดพลางเอื้อมมือไปยื้อดึงลูกแก้วออกจากตัวมันก่อนจะมุ่งหน้าไปที่แห่งหนึ่ง

                ครั้นออกจากจวนจนถึงใจกลางเมืองลู่หยาง เซียวถิงฟงก็เข้าไปในร้านขายวัตถุโบราณที่เก่าแก่ ที่ด้านในร้านวางไว้ด้วยแจกันเก่าที่มีฝุ่นจับหนาเป็นชั้นบางๆ บนฝาผนังแขวนไว้ด้วยภาพวาดของนักเขียนชื่อดังที่ดูมิออกว่าเป็นของจริงหรือปลอม กระทั่งเดินสำรวจร้านอย่างเบื่อหน่ายสักพัก เจ้าของร้านก็รีบแจ้นตรงเข้ามาประจบทักทาย

                “โอ้ ช่างเป็นเกียรติแก่ร้านเราที่คุณชายเซียวมาเยี่ยมเยือน หากคุณชายสนใจสินค้าชิ้นไหน ข้าน้อยจะคิดให้ในราคาพิเศษเลย” เถ้าแก่ร้านขายของเก่าอายุประมาณสี่สิบเศษ รูปร่างอ้วนท้วมพูดพลางขยิบตาเมื่อถึงประโยคสุดท้าย
 
                แต่แล้วเสียงกระแอมไอที่ดังตอบกลับก็ทำให้สีหน้าเถ้าแก่พลันเปลี่ยนเป็นแดงก่อนจะรีบปรับเปลี่ยนบุคลิกให้ดูน่าเชื่อถือแทน ทว่าในสายตาของเซียวถิงฟงกลับรู้สึกขบขันกับท่าทีเปลี่ยนไวของเถ้าแก่ร้านไม่น้อย

                “ข้ามีสิ่งหนึ่งต้องการให้เจ้าช่วยวิเคราะห์สักหน่อยว่ามันทำจากวัสดุอะไร” กล่าวจบเขาก็ถูกพาไปยังห้องรับแขกด้านใน จากนั้นตนก็วางถุงผ้าลายฉลุลงบนโต๊ะพลางยื่นส่งไปให้อีกฝ่าย

                สองมืออวบรับถุงผ้าเสร็จก็หยิบเอาของในถุงออกมา จากนั้นล้วงเครื่องมือชิ้นหนึ่งขึ้นส่องไปยังลูกแก้วใส เพ่งมองอยู่ครู่ใหญ่กระทั่งเหงื่อเริ่มออกก็ลอบมองคุณชายเซียวที่นั่งนิ่งรอฟังอย่างสงบ เเต่กลับแฝงไว้ด้วยพลังกดดันมหาศาล

                “คุณชายเซียว มิทราบว่าท่านได้สิ่งนี้มาจากที่ใด” เถ้าแก่เจ้าของร้านตัดสินใจทำลายความเงียบงันในที่สุด

                “เรื่องบางเรื่องจงรู้ให้น้อยเสียดีกว่า มิเช่นนั้น หึ หึ ข้าคงไม่ต้องกล่าวต่อแล้ว” คำตอบของเขาทำให้เถ้าแก่ร้านหน้าซีดเป็นไก่ต้มได้แต่พยักหน้าหงึกหงักก่อนก้มลงตรวจลูกแก้วอีกครั้ง

                “คุณชาย ท่านจะอนุญาตไหม หากท่านจะทิ้งสิ่งนี้ไว้ที่นี้สักสองสามวัน เอ่อ...คือข้าน้อยต้องการตรวจให้ละเอียดถี่ถ้วน” เถ้าแก่ร้านถามอย่างกล้าๆกลัว แต่ในแววตากลับปรากฏแววละโมบ

                “เฮอะ หากไม่สามารถตอบข้าได้ ข้าจะไปร้านอื่น” เขาแค่นเสียงกล่าวพลางเอื้อมมือไปหยิบของกลับ แต่แล้วเถ้าแก่ร้านกลับชักมือหนี

                “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ลูกแก้วนี้เป็นลูกแก้วหิน แต่ก็มิใช่หินทั่วไป มันทำขึ้นจากหินอุกกาบาตที่มีอายุนานหลายพันปีหรืออาจจะมากกว่านั้น” พูดพลางเช็ดเหงื่อทั้งมองลูกแก้วในมืออย่างชื่นชม “แต่ข้าน้อยไม่สามารถรู้ได้ว่ามันถูกเจียระไนให้อยู่ในรูปลักษณ์กึ่งใสนี้ได้อย่างไร คลับคล้ายว่าเป็นลูกแก้วแต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ช่างที่ทำคงมีฝีมือเข้าขั้นชั้นเซียนเลยทีเดียว สมบูรณ์ไร้ที่ติแท้ๆ” เขาพูดจ้อไม่หยุดจนแทบจะมิได้หายใจด้วยซ้ำ “คุณชาย ท่านสามารถขายให้ข้าได้หรือไม่ เรื่องราคาข้าน้อยไม่เกี่ยงแน่นอนแน่ขอรับ” เถ้าแก่อ้อนวอนด้วยความหวังอันล้นปรี่ กระนั้นเซียวถิงฟงก็ยังคงตอบด้วยเสียงเน้นหนักอย่างไร้เยื่อใย

                “ไม่ มี ทาง”

                มือคว้าลูกแก้วจากมืออวบอ้วน จัดการยัดมันลงไปในห่อผ้าท่ามกลางสายตาเป็นมันของเถ้าแก่ร้าน ทว่าก่อนจากไปก็มิลืมที่จะโยนเงินจำนวนสองตำลึงทองลงบนโต๊ะ เเม้ว่าเถ้าแก่ร้านจะพลาดสิ่งที่ปรารถนา แต่ก็มิวายตะครุบก้อนเงินนั้นทันที เซียวถิงฟงเดินออกจากร้านด้วยสีหน้าอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในใจก็อดปิติมิได้ที่ได้ครอบครองลูกแก้ววิเศษที่มิอาจประเมินค่าได้

                “หึ หึ ของดีเช่นนี้ตกอยู่ในมือข้า ช่างโชคดียิ่ง”



**********************************************


พึ่งอัพครั้งเเรกค่ะ ผิดพลาดประการใด หรือหากมีข้อคำเเนะนำ ต้องขออภัยเเละขอบคุณล่วงหน้าด้วยจ้า
หากเจอเรื่องนี้ที่อื่นคือยังrewriteไม่เสร็จนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-10-2015 22:48:29 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 2 ฝันที่เป็นจริง


               ระหว่างทางกลับคฤหาสน์เซียวถิงฟงก็แวะเดินดูนู่นดูนี่อย่างสบายอารมณ์ ซึ่งกว่าจะถึงหน้าจวนก็เป็นอันครบหนึ่งชั่วยามพอดิบพอดี แต่ดูว่าขายังมิทันจะก้าวพ้นประตูอวี่จงก็โผล่พรวดมาขวางทางไว้ด้วยสีหน้าซีดเผือด สายตายังดูเบิกค้างราวกับพึ่งพบภูตผีก็ไม่ปาน

               “คุณชาย ท่านไปไหนมา ข้าน้อยยืนรอท่านตั้งนาน” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
               “เจ้านั่นแหละ แอบไปอู้ที่ไหนมาแต่เช้า ข้าเรียกใช้กลับไม่พบแม้แต่เงาหัว ทีนี้มาทำรอข้า หรือคิดจะติดตามข้าไปทุกหนทุกแห่งอีก” เพียงแค่คิดก็ต้องนึกรำคาญใจขึ้นมาแล้ว

               “คุณชายเกิดเรื่องแล้วที่สระ อื้อ” กล่าวมิทันจบประโยคมือใหญ่ก็อุดเข้าที่ปาก ร่างถูกฉุดกระชากออกไปจากประตูใหญ่ ทิ้งให้ข้ารับใช้ที่ยืนเฝ้ายามอยู่พากันมองทั้งสองอย่างอยากรู้อยากเห็น

               เซียวถิงฟงฉุดร่างเล็กๆ เข้าไปยังมุมลับตาด้วยสภาพทุลักทุเล เมื่อวางใจว่าไม่มีคนผ่านมาจึงค่อยปล่อยมือออก ทำเอาอวี่จงทรุดฮวบลงกับพื้นหอบหายใจตัวโยนอยู่ข้างๆกาย

               “ข้ามิได้บอกรึว่าห้ามพูดถึงเรื่องสระบัวนั่นอีก ไม่กลัวคนอื่นจะรู้รึไง ว่าข้าบุกรุกสระบัวเมื่อคืนนี้” เขากดเสียงพูดจนเบาแต่ยังคงเน้นหนักทุกพยางค์

               ที่นี่คือคฤหาสน์ของตระกูลเซียว หากเขาหลุดความลับใดออกมามีรึเรื่องจะไม่รั่วไหล ในเมื่อคนที่นี่ล้วนเป็นคนของบิดาทั้งสิ้น จะมีก็แต่ข้ารับใช้หน้าตาซื่อบื้อดูไม่มีพิษมีภัย ที่ขอเพียงส่งสายตาขู่เข้าหน่อยก็เปิดปากพูดเช่นอวี่จงถูกส่งมาเป็นผู้ติดตามเขา

               “ข้าน้อยขออภัย ข้าน้อยเพียงแค่ตกใจมากไปก็เลย...” เมื่อถูกคาดคั้นเอาผิด อวี่จงก็ตอบกลับด้วยตาคลอเบ้า
เซียวถิงฟงเห็นแล้วเริ่มรู้สึกหมดอารมณ์เอาเรื่อง “ช่างเถิด หากความจะแตก ท่านพ่อจะรู้ก็ต้องรู้เข้าสักวัน”

               คุณชายเซียวกล่าวน้ำเสียงอ่อนลง เด็กหนุ่มถึงกับไม่เชื่อหู ตนมิได้เข้าใจผิดใช่ไหมว่าคุณชายกำลังปลอบใจตน ดูว่าครั้งหน้าต้องงัดน้ำตาขึ้นมาใช้บ่อยๆเสียแล้ว

               “แต่กว่าท่านพ่อจะรู้ก็คงต้องหลังจากที่ข้าเผาสระบัวนั่นเสียก่อนนะ หึ หึ”

               ยิ้มที่กำลังเผยอถึงกับหุบลงอย่างสิ้นหวัง นี่คุณชายกำลังปลอบใจแน่หรือ รึข้าเข้าใจผิดไปตั้งแต่ต้น ไฉนน้ำเสียงของคุณชายช่างเต็มไปด้วยความมั่นใจเหลือเกิน ใช่ ข้าเองก็มั่นใจ หากนายท่านทราบเรื่องว่าสระบัวในจวนถูกท่านทำมิดีมิร้ายเมื่อใด รับรองได้ว่าทั้งท่านกับข้าถึงคราวหายนะแน่

               “ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับสระบัว รึว่าถูกใครคนอื่นนอกจากข้าเผาไปแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เซียวถิงฟงพูดติดตลกวันนี้เขาอารมณ์ดีจริงๆนั่นแหละ

               พอเห็นคุณชายหัวเราะไม่หยุด ข้ารับใช้หนุ่มก็ส่งยิ้มแหยคิดในใจ รอจนท่านเห็นสระบัวเสียก่อนเถอะ หึ หึ “เช่นนั้นคุณชายโปรดตามข้ามา” อวี่จงตัดสินใจพาอีกฝ่ายไปยังสระบัวเพื่อให้เห็นความจริงที่เกิดขึ้นแทน

               ......................
               ............
               ....

               “เป็นไปไม่ได้”

               ครั้นเมื่อมาถึงสระบัวเซียวถิงฟงก็ถึงกับอุทานขึ้นมาเป็นอย่างแรก ทั้งที่เมื่อคืนดอกบัวทั้งหลายต่างพากันเบ่งบานอวดโฉม ไฉนตอนนี้กลับกลายเป็นดอกบัวตูมที่เอาแต่หุบกลีบเสียแล้วล่ะ

               “คุณชาย ข้าว่าสระบัวนี่คงมีปัญหาอย่างที่ท่านพูดแน่ๆ เมื่อคืนมันบานชัดๆแต่ตอนนี้กลับ...” 

               ร่างสูงได้แต่มองสระบัวที่เต็มไปด้วยความลึกลับ รึจะเกี่ยวข้องกับลูกแก้วประหลาด ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ารำคาญใจแต่แล้วก็จะฉุกคิดขึ้นได้อีก หากดอกบัวในสระบาน เขาย่อมจัดการลำบาก ท่านพ่อก็จะยิ่งปกป้องทะนุถนอมมันมากขึ้น ถึงครานั้นเห็นทีคงยากที่จะแตะต้อง

               “หึ หึ ไม่บานสิดี สวรรค์เข้าข้างข้า สระบัวนี้เกิดมาเพื่อเป็นสนามลูกหนังโดยแท้”

               หากแสร้งมองข้ามเหตุการณ์ประหลาดเมื่อคืนไปได้ก็เท่ากับว่าตนได้ทั้งลูกแก้วประหลาดอีกทั้งสนามลูกหนัง เรียกได้ว่าได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง ยังจะมีอะไรที่ต้องกังวลกันอีกเล่า

               “แต่คุณชาย มันอาจเป็นคำสาปของภูติผีปีศาจอย่างที่ท่านว่าไว้ก็เป็นได้ หากปล่อยไว้อย่างนี้ เกรงว่าภายภาคหน้าอาจเกิดเหตุเภทภัย” อวี่จงคัดค้านด้วยรู้สึกไม่ดี แต่แล้วผู้เป็นนายกลับตวาดทำเอาตัวสะดุ้ง

               “ใครมันพูดเรื่องภูติผีปีศาจกัน เหลวไหลทั้งเพ”

               “แต่ว่า” ไม่ทันได้แย้งอีกสักประโยค ฝ่ามือใหญ่ก็ยกขึ้นปราม

               “หยุดพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียที แล้วห้ามกล่าวให้ท่านพ่อข้าได้ยินเชียว ไม่อย่างนั้นข้าจะโยนเจ้าลงสระบัว ไม่แน่นะเจ้าอาจจะได้พบความจริงเกี่ยวกับคำสาปที่เจ้าเพ้ออยู่ก็เป็นได้” กล่าวจบเขาก็เดินดุ่มจากไปอย่างไร้เยื่อใย ทิ้งไว้ให้เด็กรับใช้ยืนเหงื่อตกกลืนน้ำลายอยู่ที่สระบัวเพียงลำพัง

               สามวันผ่านไป เซียวถิงฟงลืมเลือนเรื่องราวของสระบัวไปจนหมดสิ้น อีกทั้งระยะนี้เขามักทำตัวผิดแผกด้วยสวมด้วยชุดผ้าเบาบางผิดฤดูกาล ทำเอาข้ารับใช้ในจวนต่างงงงัน โดยหาได้รู้ไม่ว่าเป็นเพราะเขาพกลูกแก้ววิเศษติดตัวอยู่เสมอจึงพลอยทำให้ร่างกายอบอุ่นไปโดยปริยาย
 
               พอคล้อยตกค่ำเขาก็จะเก็บลูกแก้วไว้ข้างเตียง จมดิ่งไปในฝันที่มีมันรอคอยอยู่ ทว่าในวันนี้กลับเริ่มมีบางสิ่งที่แปลกไปซึ่งแม้แต่ตนเองก็มิได้สังเกต ยกเว้นเพียงถิงถิง

               หลังจากที่กินอาหารเสร็จ ถิงถิงก็กระโดดขึ้นไปบนเตียงตรงดิ่งไปหยอกล้อลูกแก้วอย่างทุกที แต่แล้วจู่ๆลูกแก้วก็ร้อนลวกอีกทั้งบังเกิดสีแดงวูบวาบสะท้อนออกมา มันสะดุ้งตกใจรีบเขี่ยลูกแก้วไปให้ห่างทันที
“เมี้ยว เมี้ยว”

               “เป็นอะไรไป ถิงถิง” เห็นมันส่งเสียงร้องดังก็ถามขึ้น แต่แล้วมันกลับขู่ใส่ลูกแก้วไม่หยุด ครั้นมองอยู่นานก็ไม่เข้าใจ สองมือจึงอุ้มแมวสาวลงไปที่พื้น “ข้าจะนอนแล้ว เจ้าก็ไปนอนเสียเถอะ” กล่าวจบก็หันกลับไปดับเทียนล้มตัวลงนอนหลับสนิท

               ด้านถิงถิงก็ได้แต่ร้องเรียกจนเสียงอ่อน กระทั่งคนหลับลึกไปแล้วมันก็กระโดดขึ้นไปบนตะกร้านอนที่ริมหน้าต่าง จากนั้นดวงตาสีเหลืองก็ทอประกายในความมืดจับจ้องมองลูกแก้วที่อยู่ใกล้ๆตัวเจ้านายตลอดคืน


*******************************************************


               “เอาเจ้าแมวออกไป”

               โชคยังดีที่ลูกแก้วเริ่มก้าวหน้าพูดประโยคอื่นขึ้นบ้าง มิเช่นนั้นฝันในคืนนี้คงจะน่าเบื่อมิใช่น้อย เซียวถิงฟงคิดพลางนั่งเท้าคางฟังเสียงนุ่มทุ้มอย่างไม่ยี่หระ ปลายเท้าเคาะเข้ากับท้องเรือเป็นจังหวะ รอจนมันพูดจนเหนื่อยแล้วหยุดไป เขาก็ยิ้มเปลี่ยนเป็นนั่งยองๆก้มมองลูกแก้วที่ก้นสระแทน

               “พูดจบแล้ว? เช่นนั้นถึงตาข้าบ้าง” พลันสูดหายใจลึก “ข้าถูกใจของวิเศษเช่นเจ้า คิดให้ข้าคืน ฝันไปเถอะ” หึ หึ ของวิเศษเช่นนี้ หากผู้ใดคืนก็โง่เต็มทีแล้ว

               “........” จู่ๆก็เกิดระลอกคลื่นในสระส่งผลให้เรือโคลงขึ้น ปฏิกิริยาดังกล่าวคล้ายบ่งบอกถึงความโกรธแค้นของลูกแก้ว แต่เซียวถิงฟงกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้าน ทั้งยังทึกทักถือเอาว่าเป็นการตกลง

               “อืม คงเข้าใจแล้วสินะว่าข้าเป็นเจ้าของข้า ดังนั้นเจ้าต้องฟังคำสั่งข้า” เขาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้ แต่ครานี้ลูกแก้วกลับเปล่งประกายสีแดงเข้มเป็นคำตอบพลอยทำให้ต้องผงะตัวรู้สึกผิดสังเกต ทั้งยังสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรบอกไม่ถูก

               “อย่ามาโทษข้าก็แล้วกัน” เสียงนุ่มทุ้มที่ชินหูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงโกรธๆ

               สิ้นสุดคำกล่าว ลูกแก้วก็พลันเปล่งประกายเจิดจ้าจนทำให้ต้องเบนสายตาหลบ ตามมาด้วยความรู้สึกเจ็บจุกที่อกซ้ายคล้ายมีบางอย่างพุ่งชนเข้าอย่างจัง ร่างกายร้อนลวกราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา เขากุมอกซ้ายก่อนทรุดลงบิดกายด้วยความทรมานจนหมดสติไป

               ต่อเมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าตนยังคงอยู่บนเรือกลางสระบัว ว่าแล้วร่างสูงก็มองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง ครั้นไม่เห็นเงาของลูกแก้วก็ถอนหายใจล้มตัวนอนแผ่บนตัวเรือ ทว่าสักพักกลับรู้สึกคันยุบยิบที่อกซ้าย...

               เซียวถิงฟงผุดลุกขึ้นนั่ง หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ มือทั้งสองจับเข้าที่ปกเสื้อก่อนตัดสินใจกระชากออกอย่างแรง สายตาก็ค่อยๆก้มไล่มองไป กระทั่งปะทะเข้ากับบางสิ่งที่ทำเอาดวงตาเขาแทบถลน ก็มิอาจห้ามเสียงแผดร้องของตัวเองได้อีกต่อไป
               “ว๊ากกก”

               “ก็เจ้าชอบข้าเองนี่นา” เสียงนุ่มทุ้มกล่าวออกมาเบาๆก่อนที่ความฝันจะจบลง

               แสงรำไรที่ลอดผ่านหน้าต่างทำเอาดวงตาของเซียวถิงฟงลุกพรึบ ความฝันก่อนหน้านี้ช่างติดตรึงชวนให้คิดว่าเกิดขึ้นจริง
               
               “ไม่หรอกก็แค่ความฝัน” เขายิ้มแหยแล้วโบกมือขึ้นปัดความคิดไร้สาระ แต่แล้วความอึดอัดระคายยุบยิบที่หน้าอกกลับบังเกิดขึ้นจริง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดโพลน

               ...รึว่ามันคือเรื่องจริง

               ดวงตาสีดำเบิกกว้างอย่างหวาดๆ ทั้งยังค่อยๆขยับไล่ลงมองอย่างกล้าๆกลัวๆ กระทั่งเห็นถิงถิงนั่งทับที่หน้าอกก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

               นี่อาจเป็นสาเหตุของฝันร้ายกระมัง ชายหนุ่มคิดพลางขบขันตนเองที่คิดเป็นตุเป็นตะ แต่แล้วสายตากลับเหลือบไปเห็นถิงถิงที่เผยกรงเล็บขึ้น ชั่วขณะหนึ่งพลันรู้สึกราวกับว่ามันกำลังแสยะยิ้ม รอจังหวะหนึ่งเล็บคมก็ไม่รอช้าเลื่อนตะปบลงทันที
 
               ร่างสูงถึงกับกระเด้งตัวลุกพรวดขึ้นนั่งอย่างว่องไว ยังผลให้ถิงถิงลื่นตกลงมายังหน้าตักของเขาแทน “จะทำอะไร ถิงถิง” ตวาดถามมันเสียงดัง หากช้ากว่านี้อีกนิดมีหวังเลือดตกยางออก
 
               “เมี้ยว เมี้ยว” มันร้องประท้วงอย่างโกรธๆ จากนั้นก็ทะยานตัวออกไปทางหน้าต่างอย่างงอนๆ

               เซียวถิงฟงได้แต่มองตามเจ้าแมวสาวอย่างไม่งุนงง ในใจก็เข็ดขยาดมิคิดนอนต่ออีกจึงตัดสินใจผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปฝึกวิทยายุทธ์ แต่พอเดินไปถึงหีบผ้าเท่านั้นตัวก็ต้องหยุดชะงักกึก

               “ขนถิงถิงนี่ช่างระคายผิวยิ่ง คราหน้าต้องสั่งให้สาวใช้จับมันไปอาบน้ำบ้างเสียแล้ว” กล่าวไปมือก็ล้วงเข้าไปในสาบเสื้อแล้วเกาผิว แต่แล้วเล็บมือกลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง ทำเอาเหงื่อกาฬหลั่งไหลเย็นยะเยียบ สองเท้าปรี่มาที่หน้ากระจกทองเหลืองแล้วทำการกระชากเสื้ออย่างคลุ้มคลั่ง

               ...เป็นไปไม่ได้ ดวงตาสีดำแทบถลนออกจากเบ้า ภาพในกระจกย้ำเตือนเขาจนตะลึงงัน เป็นเพราะมันกำลังสะท้อนภาพลูกแก้วที่ฝังจมลึกบนผิวที่หน้าอก ดูแล้วก็อยากจะเป็นลมพับไปเสียอย่างนั้น ทว่าก่อนหน้านั้นก็ยังมิวายลืมแผดเสียงร้องโหยหวน

               “อ๊ากกก”

               “โอ๊ย แสบแก้วหู”

               จู่ๆ ก็มีเสียงนุ่มทุ้มระคนรำคาญดังขึ้น ปากของเซียวถิงฟงพลันอ้าค้างอย่างตกใจ เขามั่นใจมากทีเดียวว่าหูมิได้ฝาดไป เรี่ยวแรงเริ่มหดหายจนต้องทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น สองมือกุมขมับพึมพำว่า “ไม่จริง”

 
**********************************************


               ฝีเท้าอึกทึกของข้ารับใช้ราวห้าถึงหกคนต่างพร้อมใจวิ่งตรงมายังตำหนักพิรุณ หนึ่งในนั้นมีเด็กรับใช้ประจำตัวคุณชายเซียวที่รีบร้อนผลักประตูห้องออกโดยไม่แม้จะกล่าวขานบอกเจ้าของห้อง

               “คุณชายเกิดอะไรขึ้น” เด็กหนุ่มร้องถามก่อนจะผงะตัวเมื่อสบเข้ากับร่างที่กำลังนั่งกอดเข่าหันหลังให้อยู่บนพื้น เส้นผมก็ปล่อยยาวยุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเผยให้เห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่า

               “ออก ออกไป” เสียงนั้นแหบแห้งจนน่าใจหาย

               “คุณชายท่านเป็นอะไร” อวี่จงก้าวเข้าไปใกล้คนที่เอาแต่นั่งไม่กระดุกกระดิก ข้ารับใช้คนอื่นๆ ต่างก็ยืนออกันที่หน้าประตูด้วยท่าทีสงสัย

               “ยะ อย่าเข้ามา” น้ำเสียงของคุณชายเซียวยังคงสั่นเครือ ทว่าอวี่จงยังคงเดินเข้าไปใกล้

               “ข้าบอกว่าอย่าเข้ามาไง ออกไป”

               จู่ๆ น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด อวี่จงชะงักฝีเท้าตกใจไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก ส่วนข้ารับใช้ที่ด้านหลังต่างหน้าเสียกันเป็นแถบ สักพักจึงเห็นมือขาวซีดกระตุกดึงผ้านวมลงมาจากเตียง ก่อนจะนำมาห่อคลุมร่างไว้อย่างมิดชิด รังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาภายใต้เส้นผมที่ปรกใบหน้า อวี่จงเห็นท่าไม่ดีก็รีบถอยเท้าออกจากห้องโดยไว

               “ไสหัวไปให้หมด ไม่เข้าใจหรืออย่างไร” ครานี้เซียวถิงฟงตวาดลั่นห้องแล้ว ทั้งยังยื่นมือที่โผล่พ้นจากผ้านวมทำการปิดประตูใส่หน้าคนทั้งหมด ทำเอาคนที่ด้านนอกห้องสะดุ้งตัวโหยงพากันแผ่นแนบไป

               ร่างสูงหันมาทรุดนั่งที่พื้นกุมขมับเคร่งเครียดอีกครั้ง ดูว่ามันคงมิใช่ลูกแก้ววิเศษอย่างที่คิด หากแต่เป็นลูกแก้วปีศาจต่างหาก “ข้าจะทำอย่างไรดี” เขาได้แต่พึมพำอย่างวิตกทั้งยิ่งไม่กล้าบอกใครกับสิ่งที่เกิดขึ้น
 
               ...หากว่ากำจัดมันออกไปไม่ได้ แล้วเขาจะเป็นอย่างไรกันเล่า

               สุดท้ายได้เซียวถิงฟงก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องทั้งวันไม่ไปไหนทั้งไม่คิดแตะต้องอาหารใดๆ แม้แต่ถิงถิงเองก็ยังไม่สามารถเข้าห้องได้

               กระทั่งพ้นเข้าวันที่สอง อวี่จงที่เห็นสำรับที่มิได้รับการแตะต้องก็ทอดถอนใจอย่างเป็นห่วง “คุณชายสำรับเย็นข้าไว้วางที่หน้าประตูนะขอรับ” กล่าวจบก็เก็บสำรับกลางวันกลับไป ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าวเสียงคุณชายที่แทบจะไม่ได้ยินก็ดังออกมาจากภายในห้อง

               “อวี่จง ที่ลู่หยางนี่มีหมอผีคนไหนเก่งๆ เชื่อถือได้รึเปล่า” เสียงดังกล่าวบอกชัดถึงความสับสน

               “เอ ถ้าพูดถึงหมอผีคงต้องหมอผีซื่อที่อยู่ตรงท้ายซอยแยกที่สามกระมัง” อวี่จงพูดอย่างไม่แน่ใจแล้วจึงค่อยๆเกิดความฉงนสงสัย “คุณชาย หากท่านมีธุระกับท่านหมอผีซื่อ ข้าสามารถจัดแจงเป็นธุระแทนท่านได้นะขอรับ”

               เด็กหนุ่มรีบเสนอตัวเผื่อจะได้ทราบระแคะระคายถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดของผู้เป็นนาย ทว่าอีกฝ่ายไม่ตอบกลับมา รอสักพักก็จำต้องเดินคอตกกลับไป

               รอจนเสียงฝีเท้าลับไปแล้ว เซียวถิงฟงก็ค่อยๆแง้มประตูออกมาหยิบสำรับอาหารเข้ามาทานในห้องอย่างมูมมาม ทันทีที่ท้องอิ่มสติก็ล้มตัวนอนบนเตียง ดูว่ายามนี้ตัวเขาช่างดูหมดสภาพสิ้นดี ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อที่ใส่ก็เปิดกว้างจนเห็นสิ่งผิดปกติที่นูนออกมา

               ตลอดสองวันมานี้เขาได้แต่ขบคิดหาวิธีนำลูกแก้วออกจากกาย แต่ไม่ว่างัดหรือแงะ แม้แต่กระทั่งข่มตาหลับนอน หวังเข้าไปเจรจากับเจ้าลูกแก้วในฝันก็นับเป็นความพยายามอันสูญเปล่า วันทั้งวันจึงเสียเวลาไปการครุ่นคิด แถมในแต่ละวันร่างกายกลับค่อยๆอ่อนล้าตัวร้อนดั่งคนเป็นไข้

               ยิ่งไปกว่านั้นลูกแก้วเองก็เริ่มมีลักษณะผิดแผกไป จากที่เคยกึ่งใสกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงสดคล้ายโลหิต หากเป็นเช่นนั้นจริง นี่มิใช่ว่าลูกแก้วปีศาจกำลังสูบเลือดสูบเนื้อของเขาอยู่หรือ ดูว่าหากปล่อยไว้เนิ่นนานเกรงว่าตัวเขาคงไม่รอดจริงๆ เห็นทีต้องจ้างพวกมืออาชีพเสียแล้ว
 

**********************************************


               เช้าวันต่อมาเซียวถิงฟงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยเน้นเลือกเสื้อผ้าสีทึบตามด้วยเสื้อคลุมหนาเพื่อปกปิดสีแดงเลือดที่สะท้อนจากลูกแก้วกลม เขาผลุนผลันไปยังคอกม้า ฝืนขี่ม้าออกไปแม้ว่าร่างกายจะร้อนดั่งไฟ ครั้นถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ก็เปลี่ยนเป็นเดินเท้าต่อ ซึ่งกว่าจะถึงบ้านหมอผีซื่อก็ปาไปครึ่งค่อนวัน

               ร่างสูงมองไปยังเบื้องหน้าอย่างวิตก...นี่ถือเป็นความหวังสุดท้ายคิดจบสองเท้าก็ก้าวเข้าไปยังบ้านที่มีขนาดเล็กดูซอมซ่อ ดูไปที่นี่ทั้งเงียบสงบเสียจนวังเวงราวกับเป็นบ้านร้าง ทว่าขณะที่กำลังจะเปิดประตูกลับมีเสียงทักขึ้น

               “พ่อหนุ่มมาที่นี่เพราะมีเรื่องทุกข์ใจบอกใครไม่ได้สินะ” เสียงของชายวัยกลางคนดังออกมาจากภายในบ้าน

               “เกรงว่าคนที่เหยียบย่างมาที่นี่ก็คงมีแต่เรื่องที่ไม่สามารถบอกใครได้กระมัง” แม้สมองจะมึนงงแต่เซียวถิงฟงยังคงใช้ไหวพริบพูดหยั่งเชิง แต่แล้วคนในบ้านกลับหัวเราะเสียงดัง

               “พ่อหนุ่มคงเป็นคุณชายสูงศักดิ์สิท่า อีกทั้งตอนนี้ท่านมีเรื่องกลุ้มใจมากๆอีกด้วย” เสียงมั่นใจดังลอดมาจากด้านหลังประตูที่ปิดสนิท

               คนผู้นี้มิเคยพบเขามาก่อน ไฉนจึงรู้ได้ว่าเขามีฐานะสูงศักดิ์ “เช่นนั้นท่านช่วยบอกว่าข้ากลุ้มใจเรื่องอะไรกันแน่” เขายังคงมิเชื่อใจง่ายๆ

               “คุณชายคงมีปัญหา...” หมอผีซื่อกล่าวอย่างแช่มช้าก่อนจะหยุดลงเล็กน้อย “ทางด้านร่างกายสินะ”
ประโยคดังกล่าวทำเอาเซียวถิงฟงตาลุกวาว พยายามเก็บเสียงแปลกใจไว้

               “ร่างกายท่านร้อนรุ่มตลอดเวลา ร้อนจนกระทั่งทนไม่ไหว ต้องการจะปลดปล่อยสินะ หรือบางครั้งท่านก็เหนื่อยอ่อนด้วย” 

               ใช่แล้ว เขาเป็นเช่นนั้นจริง หรือนี่จะเป็นมืออาชีพจริงๆ เซียวถิงฟงมองเห็นความหวังอยู่ข้างหลังประตูนี่เอง เขาพลันตื่นเต้นดีใจจนแทบอยากจะกระโดดโลดเต้นอยู่รอมร่อ

               “ข้าต้องทำอย่างไร ท่านหมอผีซื่อ โปรดแนะนำ” ไม่ว่าเงินเท่าใดตนก็ยอมจ่าย ขอเพียงกำจัดเจ้าลูกแก้วปีศาจออกไปให้พ้นได้เป็นพอ

               “คุณชายอย่าใจร้อน การที่ท่านร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลา อยากที่จะปลดปล่อยนั่นเป็นเพราะ” น้ำเสียงของหมอผีซื่อคล้ายหนักใจก่อนที่จะเงียบเสียงลงไป ด้านชายหนุ่มก็ยิ่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ “คุณชายท่านอย่าตกใจไป ที่ท่านเป็นเช่นนี้เพราะท่านกำลังโดนนางปีศาจจิ้งจอกครอบงำจนร่างกายของท่านร้อนรุ่ม จนต้องการปลดปล่อยอยู่ตลอดเวลา” หมอผีซื่อพูดด้วยน้ำเสียงน่าเชื่อถือ

               “........” คล้ายมีสายฟ้าฟาดกระหน่ำใส่เสียจนความหวังตรงหน้าแหลกสลายกลายเป็นผุยผง

               “คุณชาย ท่านกำลังโดนสูบพลังชีวิตหลังจากการเสพสังวาส มิทราบว่าท่านได้รับสตรีใดเข้ามาในบ้านเมื่อไม่นานมานี้รึไม่” หมอผีซื่อยังคงพูดต่อโดยไม่ทราบว่าคนอีกฝั่งกำลังหน้าดำหน้าแดงแล้ว

               น่าตายนัก ถึงกับหลงเชื่อคำพูดไร้สาระของพวกนักต้มตุ๋ม เสียทีที่เป็นถึงจอหงวนที่เก่งทั้งบุ๋นและบู้ วันนี้แหละข้าต้องจัดการเก็บศพเจ้านักต้มตุ๋นผู้นี้ให้ได้ ว่าแล้วเขาก็ตะโกนออกไป “เหลวไหลสิ้นดี”

               ประจวบเหมาะกับที่มีเสียงกลุ่มคนก้าวย่างเข้ามาในบ้าน ร่างสูงหันไปมองแล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เป็นเพราะกลุ่มคนเหล่านี้คือทหารของเมืองลู่หยาง และย่อมต้องรู้จักเขาแน่ ทว่าคิดจะหลบก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว

               “ทหารจับกุมคนที่อยู่ข้างในเดี๋ยวนี้” สิ้นเสียงคำสั่งทหารหลายนายต่างก็ทยอยกรูกันเข้าไปจับตัวคนในบ้านออกมา
ชายที่โดนจับกุมนั้นแต่งกายด้วยชุดนักพรตสีเหลือง ในมือข้างหนึ่งถือกระบี่ไม้ที่ทำจากไม้ไผ่ หน้าตาดูเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกรูปร่างผอมสูง เอาแต่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายไม่หยุด เซียวถิงฟงได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงงงันจนกระทั่งทหารคุมนักต้มตุ๋นลับสายตาไป

               “ท่านนี้คือท่านจอหงวนเซียวรึเปล่าขอรับ”

               นายทหารผู้มีเคราเขียวครึ้ม รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ท่าทางเป็นหัวหน้ากล่าวทักทายเขาอย่างสุภาพ

               “ข้าน้อยชื่อ หลิวซีฝู เคยพบท่านตอนการประลองฝีมือเชิงบู้ในการสอบในพระราชวังจึงทำให้เลื่อมใสในฝีมือของท่านมาก ข้าน้อยปรารถนาว่าสักวันจะได้มีโอกาสให้ท่านชี้แนะ” หลิวซีฝูพูดจ้อไม่หยุด ผิดกับเขาที่ได้แต่นิ่งเงียบ

               “ว่าแต่ท่านมาทำอะไรที่นี่ ช่างบังเอิญจริงวันนี้ข้าน้อยพาทหารมาจับกุมนักต้มตุ๋นที่นี่พอดี ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านร้องเรียนมาว่ามีคนผู้หนึ่งชอบกล่าวอ้างถึงภูติผีปีศาจ ทั้งทำนายทายทักหลอกลวงโดยการปิดประตูไม่พบใคร แต่ยังคงทำนายได้ถูกต้องเหลือเชื่อ หากแต่ที่มันรู้เพราะมันนำด้ายขาวบางๆ กั้นที่หน้าประตูทางเข้า หากใครก้าวเข้ามาจะมีเสียงกระดิ่งเตือน เพื่อที่มันจะได้สังเกตคนที่เข้ามาโดยไม่ให้รู้ตัวแล้วพยายามจดจำสังเกตรูปร่างหน้าตา หากหลงกลมันคงต้องเสียเงินก้อนใหญ่ เอ๊ะ หรือท่าน” หลิวซีฝูพูดพล่ามไม่หยุด

               เรื่องที่อยากรู้เขาก็คงไม่ต้องถามอีกต่อไป แต่ทำไมสุดท้ายถึงต้องสงสัยเขาด้วย ทำไมไม่รู้จักมองข้ามเสียบ้างเล่า “ข้าไม่ได้มาทำนายอะไรทั้งนั้นแหละ ข้า...ข้าเองก็ได้รับการแจ้งจึงมาเพื่อตรวจสอบก็เท่านั้น” เขาร้อนตัวพยายามพูดเถียงข้างๆคู

               แต่แล้วหลิวซีฝูกลับเชื่ออย่างสนิทใจทั้งยังชื่นชม “อ่า ท่านช่างสมเป็นบุตรท่านอัครเสนาดีเซียวจริงๆ”

               “ข้ารู้สึกไม่สบายตัว ขอลา”

               “อ้ะ จริงสิท่านจอหงวนเซียวท่านดูไม่สบายมาก ข้าเห็นท่านหน้าแดงตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ท่านไม่สบายหนักหรือ ข้าว่าให้ข้าไปส่งท่านถึงที่จวนดีกว่า”

               หลิวซีฝูมองด้วยสายตาเป็นห่วง แต่เซียวถิงฟงกลับรู้สึกรำคาญใจอย่างยิ่ง “มะ ไม่เป็นไร”

               เขารีบสาวเท้าจากไป แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งช้าลง ในหัวก็เริ่มหมุน ไม่นานก็ได้ยินเสียงวิ่งมาจากทางด้านหลังก่อนที่ร่างก็ถูกรวบตัวลอยสูงจากพื้นโดยที่มิทันได้ตั้งตัว

               “ข้าน้อยขออภัย ข้าน้อยจะไปส่งท่านถึงที่พำนักเอง” หลิวซีฝู กล่าวอย่างมีน้ำใจ ทำเอาเซียวถิงฟงอึ้งจนจุกพูดไม่ออก

               ไม่อยากจะเชื่อเขากำลังโดนผู้ชายอุ้ม ไม่ใช่อุ้มแบบพาดบ่านะ แต่อุ้มแบบสตรี หากใครพบเห็นเข้า ข้าจะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหนหา ถึงอย่างไรข้าก็เป็นถึงจอหงวนบู้นะ ให้ข้าขี่หลังสิ มารดามันเถอะ ทำไมรอบตัวข้าถึงมีแต่คนซื่อบื้อนะ ว่าแล้วเขาก็ไม่มีแรงที่จะเถียงอีกจึงจำต้องปล่อยเลยตามเลยในที่สุด ไม่นานนักเขาก็สลบไป

               กว่าที่ชายหนุ่มจะลืมตาตื่นอีกครั้งก็พบว่าอยู่ในจวนแล้ว อีกทั้งอวี่จงกำลังจะถอดเสื้อนอกเพื่อเช็ดตัวให้พอดี เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็สะดุ้งตกใจพลางออกปากไล่เด็กหนุ่มออกจากห้องไป แลหลังจากที่ได้อยู่เพียงลำพัง เขาก็ฝืนเดินไปที่อ่างอาบน้ำก่อนตัดสินใจกระโจนตัวลงสู่น้ำเย็น ทว่ารู้สึกดีได้ไม่นานน้ำในอ่างก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำร้อนควันลอยโขมง

               “ใช่แล้ว เป็นเพราะเจ้า ข้าถึงมีสภาพเช่นนี้” เซียวถิงฟงได้แต่โทษลูกแก้วปีศาจ “ข้าต้องทำเช่นไรกัน ข้าต้องทำเช่นไรหา”

               เมื่อหมดความอดทนหมัดหนักก็ทุบลงบนผิวน้ำด้วยความโกรธเกรี้ยว ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะมีเสียงดังขึ้นจากลูกแก้วอีกครั้ง

               “พาข้าไป...พาข้าไปที่สระบัวที”


 
**********************************************

อ่านเเล้วติดขัดเเนะนำกันได้น้าาา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-10-2015 22:53:27 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2

ออฟไลน์ magic-moon

  • mgKapleGD
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Pretty Girls from your city for night
สนุกดีค่ะ ติดตามต่อไป ใครเป็นพระเอกน้า

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
ที่สระบัวนั้นมีอะไรกันแน่หนอ

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ลูกแก้วนี่หน้ากลัวแฮะ   สนุกดีค่ะ  รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
นั่นไง...ลูกแก้วแผลงฤทธ์

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 3.1 แดนสวรรค์สู่พิภพ


               “พาข้าไป...สระบัว”

               เหงื่อเย็นยะเยียบหลั่งชโลมแนบหน้าผาก เรือนกายเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งเหล็กร้อน ร่างสูงลากสังขารออกจากห้อง มือหนึ่งเกาะกุมที่อก อีกข้างใช้ยันกำแพงนำพาตนเองไปสู่สระบัว

               แม้จะพยายามรีบเร่งฝีเท้า แต่ทุกย่างก้าวกลับไร้เรี่ยวแรงจนน่าใจหาย ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความผิดปกติขึ้นเนืองๆ คล้ายมีบางสิ่งก่อตัวขึ้น สิ่งนั้นกำลังเต้นตุบๆ ซ้ำยังเต้นอย่างบ้าคลั่ง ราวกับจะประกาศให้รู้ว่ามันกำลังถือกำเนิดขึ้น มาตรว่าลูกแก้วจะฝังอยู่ตัวตรงตำแหน่งหัวใจ กระนั้นชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่กำลังเต้นอยู่นี้ มิใช่หัวใจตนเองอย่างแน่นอน

               เซียวถิงฟงฝืนกายจนถึงริมสระ ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ยังคงไร้แสงดาว เขาไม่รอช้ารีบก้าวลงเรือเล็กแล้วพายออกไปด้วยพละกำลังที่มีอยู่ แม้ไม่รู้ว่าทำไมต้องมาที่นี่ อีกทั้งไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป แต่ตนก็ไม่มีทางเลือกได้แต่ทำตามสิ่งที่ลูกแก้วบอก ถือเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้าย 

               เรือพายออกมาจนถึงกลางสระก็รู้สึกได้ว่าร่างกายจวนเจียนจะระเบิดอยู่รอมร่อ ครั้นชะโงกมองผืนน้ำมืดมน สิ่งที่สะท้อนให้เห็นก็มีแต่เพียงใบหน้าของตนเองเท่านั้น

               “ข้า พาเจ้ามาที่เดิมแล้วนี่ไง ออกไปจากตัวข้าเสียที” เซียวถิงฟงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ใจก็ภาวนาขอให้เรื่องพิลึกพิลั่นจบลงเสียที กระนั้นบรรยากาศโดยรอบยังคงความเงียบสงบอย่างน่าใจหาย ริมฝีปากจึงเริ่มกระตุกไปด้วยความโกรธ

               “เจ้าปีศาจจะเอายังไงกันแน่หา ออกไปเดี๋ยวนี้นะ แค่กๆ” เขาใช้แรงเฮือกใหญ่ตะโกนออกมาจนสำลักไอไม่หยุด ความเจ็บแสบตีวนในช่องอกพร้อมๆกับภาพตรงหน้าที่เริ่มเลือนราง และแล้วร่างก็โอนเอนร่วงลงสู่สระบัวในที่สุด

               ทันทีที่สัมผัสถึงสายน้ำเย็นสติก็พลันแจ่มชัดขึ้น ชายหนุ่มพยายามตะเกียกตะกายตัวไปที่เรือเล็ก แต่ด้วยสภาพที่ไร้เรี่ยวแรงจึงไม่ว่าจะทะยานตัวมากแค่ไหน ร่างก็มีแต่จมลึกลงไปใต้ก้นสระบัวเท่านั้น

               ขณะที่อากาศกำลังจะหมดไป จู่ๆความทรงจำครั้งวัยเยาว์ก็ผุดขึ้นมา ภาพของเด็กน้อยผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนตักนุ่มๆ ของมารดาผู้มีใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

               แม้ว่าตอนนี้เซียวหลิงหลันจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดสักแค่ไหน แต่ในสายตาของบุตรชายกลับรู้สึกชมชอบยิ่ง นี่เป็นผลจากการที่เขาแสร้งตกจากต้นไม้ในสวนจนเกิดเป็นแผลที่หัวเข่า ครั้นถูกพาไปทำแผลเสร็จตนก็ถูกมารดาว่าเสียยกใหญ่ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ยังคงนั่งฟังเสียงบ่นด้วยแก้มที่ปริบาน ท้ายที่สุดก็ไม่พ้นหลุดหัวเราะคิกคัก

               “เจ้าลูกตัวดี แกล้งปั่นหัวแม่ใช่ไหม” เซียวหลิงหลันค้อนขวับแต่ไม่นานก็ต้องปลงตก “แม่ก็ว่าอยู่ว่ามีเด็กคนไหนตกต้นไม้หกล้มจนหัวเข่าแตกขนาดนี้ยังยิ้มร่าได้อยู่อีก เฮ้อ~ พ่อลูกนี้เจ้าเล่ห์เหมือนกันจริงๆ”

               ถิงฟงน้อยรับฟังแล้วก็ถึงกับทำหน้าหงิก “ข้าไม่ได้เจ้าเล่ห์อย่างท่านพ่อสักหน่อย อย่างน้อยข้าก็ทำได้แนบเนียนกว่าท่านพ่อล่ะกัน” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ มือเล็กข้างหนึ่งก็ทุบอกที่ยืดขึ้นมาเล็กน้อย
 
               เซียวหลิงหลันถึงกับระเบิดหัวเราะออกมา ลืมความโกรธไปจนหมดสิ้น “พ่อลูกพูดเหมือนกันเปี๊ยบ” เสียงไพเราะดังกังวานไปทั่วสวน ทว่าบุตรชายกลับยิ่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “อีกหน่อยคงจะเหมือนกันอย่างกับแกะ” นางยิ้มพลางลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู

               “ไม่เหมือนซะหน่อย ข้าหน้าเหมือนท่านแม่จะตาย” เด็กน้อยเบ้ปากไม่พอใจ แต่ลึกๆก็รู้ดีว่าใบหน้าของตนแทบถอดแบบจากบิดาทุกกระเบียดนิ้ว เว้นเพียงดวงตาสีดำสนิทเฉกเช่นเดียวกับมารดา

               ภาพสมัยเด็กที่น่าจดจำหยุดลงเพียงเท่านี้ก่อนฉายความทรงจำครั้งต่อมา เซียวหลิงหลันในหนึ่งปีต่อมากลับซีดเซียวผ่ายผอมได้แต่นอนซมอยู่แต่บนเตียงมิได้ไปไหน ดวงตาสีดำที่เคยเปล่งประกายก็หลงเหลือเพียงความอ่อนล้าจากอาการป่วยเรื้อรังเท่านั้น

               “ท่านแม่วันนี้ข้าจะอ่านกวีของชีหยวนให้ท่านฟังดีรึไม่”

               เห็นบุตรชายที่มานั่งเฝ้าไม่ห่างชวนคุยจ้อไม่หยุด เซียวหลิงหลันก็ยิ้ม นับตั้งแต่ตนป่วยเด็กคนนี้ก็ไม่เคยมีน้ำตาให้เห็นเลยสักหน แต่นางรู้ดีว่าเด็กน้อยกำลังฝืนด้วยไม่อยากให้ตนต้องรู้สึกหดหู่ นางจึงนั่งฟังบุตรชายโคลงหัวท่องกวีอย่างมิได้กล่าวอะไร

               จนกระทั่งเซียวถิงหลี่ประคองถ้วยยาที่เคี่ยวมากับมือเข้ามาในห้อง เซียวถิงฟงจึงหยุดท่องกวีแล้วหันไปให้ความสนใจกับใบหน้าที่เปราะไปด้วยเขม่าควันของบิดา

               “หลิงหลัน เจ้าดื่มยาเสียหน่อยเถิด”

               “ท่านนี่จริงๆเลย ยาข้าให้คนอื่นต้มก็ได้ ดูสิมือพองเลยเห็นไหม” เซียวหลิงหลันดุใส่จนเซียวถิงหลี่หัวเราะยกใหญ่ นางมองค้อนสามีทีหนึ่งก็รับถ้วยยาขึ้นดื่ม ทว่าดื่มเพียงคำหนึ่งนางก็ต้องกุมปาก ก่อนอาเจียนออกมาเป็นเลือด

               เซียวถิงหลี่หุบยิ้มโดยพลัน สีหน้านั้นมิอาจปกปิดความโศกเศร้าในใจได้ เมื่อเห็นดังนั้นเซียวถิงฟงก็ได้แต่เฝ้าบอกตัวเองว่าต้องเข้มแข็งทั้งห้ามร้องไห้เด็ดขาด

               ต่อเมื่อวันหนึ่งที่เซียวหลิงหลันพยายามไล่สามีที่ทำหน้าเศร้าให้เข้าประชุมเช้าในวังได้สำเร็จ นางก็ไอออกมาไม่หยุด เหล่าข้ารับใช้พากันวิ่งวุ่นวายไปตามหมอ บ้างก็รีบไปต้มยา เหลือเพียงเด็กน้อยที่ลนลานไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงได้แต่กอดตัวมารดาไว้แน่น

               “ถิงฟงสัญญากับแม่นะ หากแม่ไม่อยู่เจ้าต้องเชื่อฟังท่านพ่อให้มากอย่าได้ดื้อรั้น ยามเจ้าโตขึ้นต้องคอยดูแลท่านพ่อแทนแม่ด้วยนะ” นางกอดเด็กน้อยแนบแน่นราวกับเป็นอ้อมกอดครั้งสุดท้าย

               “ท่านแม่พูดอะไร ข้าไม่เคยดื้อรั้นกับท่านพ่อสักหน่อย อีกอย่างข้าเป็นลูกกตัญญูต้องคอยดูแลท่านพ่อกับท่านแม่อยู่แล้ว ท่านแม่ต่างหากที่ต้องสัญญาว่าจะไม่ทิ้งพวกเราไปไหน”

               “อืม แม่จะอยู่กับเรากับท่านพ่อไปตลอดนะ” หางเสียงกลับแผ่วลงจนน่าใจหาย ครานี้หัวใจดวงน้อยพลันตกวูบ เซียวถิงฟงตระหนักได้ถึงความสูญเสียเป็นครั้งแรกแล้ว

               พอดีกับที่เซียวถิงหลี่ย้อนกลับมาอีกครั้ง บิดาก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีโซเซ ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาสั่นระริกราวกับมิยอมรับ สองขาทรุดลงนั่งที่ข้างเตียง สองมือที่สั่นเทิ้มค่อยๆกอบกุมมืออันเยียบเย็นมาแนบไว้ที่ข้างแก้ม สายตาโศกเศร้าหยุดลงมองเซียวหลิงหลันที่พึ่งจากไปแต่เพียงผู้เดียว คล้ายว่าเวลาของท่านพ่อก็หยุดลงแล้วเช่นกัน

               หลังจากงานศพผ่านไป เซียวถิงหลี่ยังคงโศกเศร้ามิจางหาย เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ยอมแตะต้องข้าวปลาอาหาร เหล่าข้ารับใช้เองก็เริ่มซุบซิบนินทา เห็นทีว่าบิดาเขาอาจจะตรอมใจจากไปในไม่ช้า ฟังแล้วเขาก็ตื่นตกใจรีบกระวีกระวาดยกสำรับอาหารออกจากห้องครัวไปอย่างรวดเร็ว

               “ท่านพ่อ ข้านำสำรับอาหารมาให้” ถิงฟงน้อยตะโกนเรียกที่หน้าห้อง หากแต่ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมาจึงเรียกอีกครั้ง
 
               “ท่านพ่อ กินข้าวได้แล้ว”

               “......”

               “ข้าอยากกินข้าวกับท่านพ่อ” เขายังไม่ละความพยายามทว่าน้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นสั่นกลัวแล้ว

               “.....”

                “อย่า...อย่าทิ้งข้าไป โฮ” ในที่สุดเมื่อถึงขีดจำกัดเขาก็ตะเบ็งเสียงร้องไห้โฮออกมา ตอนนี้มารดาไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว กระทั่งบิดาเองก็คิดจากเขาไป

               ประตูค่อยๆเปิดออกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกได้ถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของบิดา สภาพของเจ้าตัวยังคงใส่ชุดผ้าเดิมในงานศพ เส้นผมถูกปล่อยสยาย หนวดเคราขึ้นเต็มไปหมด สีหน้าดูหมองคล้ำ

               “ถิงฟง อย่าร้องนะ อย่าร้อง พ่อมาแล้วนะ พ่อไม่มีทางทิ้งเจ้าไปไหนหรอก” เซียวถิงหลี่ปลอบลูกน้อยพลางตบหลังเขาอย่างอ่อนโยน

               “ขะ ข้าว ฮือ ฮือ” เขายังคงร้องไห้ไม่หยุดราวกับจะชดเชยส่วนที่เคยอยากร้องมาตลอด

               “เห็นไหมพ่อกำลังกินข้าวอยู่ ถิงฟง อย่าร้องนะ” เซียวถิงหลี่นั่งกินข้าวอยู่หน้าห้องทั้งที่ยังมีบุตรชายกอดไม่ปล่อย สักพักจึงกล่าวกระซิบที่ข้างหูน้อย “ถิงฟง เจ้าก็ห้ามจากข้าไปก่อนนะ”

               น้ำตาหยดหนึ่งพลันร่วงหล่นกระทบข้างแก้ม ดูว่าครานี้เขาคงต้องปลอบโยนท่านพ่อบ้างแล้ว ว่าแล้วมือน้อยของถิงฟงก็ลูบหลังบิดาเบาๆ

               ถึงตอนนี้ดวงตาสีดำเบิกกว้างอย่างไม่ยอมแพ้ คำสัญญาดังกล่าวผลักดันให้เขาฮึดสู้อีกครั้ง...ข้ายังตายไม่ได้ ข้ายังจากท่านพ่อไปตอนนี้ไม่ได้ ชายหนุ่มเริ่มตื่นตัวอีกครั้งทั้งยังฝืนตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำ

               มือใกล้เอื้อมแตะขอบเรือ แต่กำลังในกายกลับถูกใช้ออกจนหมดสิ้น ทำให้ร่างค่อยๆจมลงอีกครั้ง เปลือกตาหนักอึ้งทว่าก่อนที่มันจะปิดลงชั่วนิรันดร์ก็บังเกิดเป็นแสงสว่างสีทองส่องประกายอยู่ใต้น้ำ หากแต่เขาไม่รู้เลยว่าแสงที่ถูกส่องสะท้อนอยู่นั้นเป็นแสงสว่างที่ออกมาจากตัวเขาเอง

               เวลาเพียงชั่วเสี้ยว เขาคล้ายเห็นดอกบัวเริ่มแย้มกลีบภายใต้สระ ยังมีกลุ่มทรายสีทองจำนวนหนึ่งพากันลอยละล่องอยู่ตรงหน้า จากนั้นก่อตัวขึ้นจนมีลักษณะรูปร่างเหมือนคน ผิวของเขางดงามเช่นดอกบัวบริสุทธิ์ รูปเค้าใบหน้าก็ดูคมคายแฝงไว้ซึ่งความอ่อนโยน เส้นผมยาวสีน้ำตาลสละสลวย

               คนผู้นี้เข้าขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หลังจากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลที่ติดตรึงอยู่ที่ริมฝีปาก สายตาเลื่อนลอยได้ปิดลงแล้ว ภายในอกเกิดเป็นขุมพลังเย็น มันแล่นปราดไปทั่วทั้งสรรพางค์กายบรรเทาความร้อนรุ่มเจ็บปวดที่มีมาทั้งหมดให้มลายหายไปจนหมดสิ้น
 

*****************************************************


               เรือเล็กลำหนึ่งลอยเหนือผิวน้ำท่ามกลางดอกบัวสีขาวที่เบ่งบาน ใต้น้ำยังมีประกายแสงสีทองสาดส่องไปทั่วขับดันให้เกิดความงดงามที่มิอาจบรรยายได้ แต่แล้วจู่ๆมือสีขาวนวลข้างหนึ่งก็โผล่พรวดขึ้นจากสระ ทำลายบรรยากาศที่เคยเงียบลงในอึดใจ มือนั้นชูค้างสักพักก็ควานจับไปที่ขอบเรือ สายน้ำกระเพื่อมไหว แลไม่นานนักใบหน้าและลำตัวก็ปรากฏขึ้น อีกมือหนึ่งยังฉุดรั้งคนที่นอนไม่ได้สติขึ้นมาด้วย

               “นะ...หนัก” เจ้าของมือนั้นดุนดันร่างใหญ่ให้เข้าไปในตัวเรือก่อนนำพำตัวเองเข้าไปด้วยอย่างทุลักทุเล เหนื่อยหอบสักพักก็คิดหยัดยืนขึ้น แต่ด้วยผมยาวที่พัวพันระเกะระกะเป็นเหตุให้สะดุดล้ม พริบตาหนึ่งยังเตะไปโดนสีข้างชายที่นอนไม่ได้สติโดยแรง

               แฮะ แฮะ...ยังดีที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัวสักนิด
 
               ล้มลุกคลุกคลานอยู่สักพักก็เผยให้เห็นใบหน้าขาวอมชมพูเช่นดอกบัว ดวงตากลมโตทอประกายแสงสีทองก่อนจะอ่อนแสงลงกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน ริมฝีปากเรียวงามเอ่ยขึ้น “ร่างข้าสั่นไม่หยุดเลย รึว่านี่คือความหนาว” พูดพลางกอดตนเองที่เริ่มสั่น ดูไปแล้วตนไม่มีเสื้อผ้าติดอยู่เลยสักชิ้น นอกจากต่างหูมุกเม็ดเล็กที่ริมใบหู

               “เจ้าพวกบ้า ส่งข้ามาแล้วทำไมไม่เสกเสื้อผ้าให้ข้ามาด้วยเล่า” เขาแหงนคอขึ้นว่ากล่าวไปบนฟ้า เมื่อไม่มีเสียงตอบรับก็จำต้องหันไปสนใจชายหนุ่มแทน ขาเปลือยเปล่าหยุดลงก่อนจะโน้มตัวลงก้มมองคนที่นอนหลับตาพริ้มไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร 

              “หวังว่าคงยังไม่ตายนะ”

               ทั้งๆที่ก็ถ่ายทอดพลังเซียนไปแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงยังไม่ฟื้นเล่า “รึ เป็นเพราะข้าถ่ายพลังไม่เพียงพอ” ว่าแล้วก็ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้อีก

               เสมือนมีเส้นไหมลากผ่านตัวไปมาจนรู้สึกคันยุบยิบ เปลือกตาที่หลับอยู่จึงค่อยๆเลิกขึ้นก่อนจะสบเข้าที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนในระยะประชิด

               “ว๊ากกก”

               “โอ๊ย”

               ร่างสูงลุกพรวดขึ้นนั่งโดยไม่บอกกล่าวทำเอาศีรษะโขกเข้ากับอีกร่างหนึ่งอย่างจัง ด้านเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลก็ล้มผงะหงายไปที่ด้านหลัง จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็พากันถอยห่างไปอยู่คนละฝั่งมุมเรือ

               “เจ้าเป็นคะ...” เซียวถิงฟงตั้งหลักได้ก็ตะโกนถามแต่เสียงก็มีอันหายไป ดวงตาสีดำเบิกกว้างยิ่งกว่าไข่ห่าน เรือนร่างเปลือยเปล่าตรงหน้าช่างขาวนวลเนียนเสียจริง ยังมีเส้นผมยาวที่ปกปิดกายในส่วนเย้ายวน

               บังเกิดเป็นเสียงคำรามร้องในใจ หัวใจพลันเต้นระรัวเร็ว ใบหน้าร้อนฉ่าอย่างห้ามไม่อยู่ ความรู้สึกร้อนผ่าวแล่นมาถึงในโพรงจมูก ในไม่ช้าของเหลวสีแดงก็พุ่งกระฉูดออกมาอย่างแรง

               “อ๊ากกก” ร่างขาวนวลผงะร้องตกใจ ทั้งเขยิบถอยหลังหนีมาให้ห่างจากตัวชายหนุ่ม

               “ทำไมเจ้าถึง...” ไม่ใส่อะไรเลย เขาอยากจะพูดให้จบแต่เป็นเพราะเสียเลือดกะทันหันทำให้รู้สึกวิงเวียนหน้ามืด เป็นอันต้องล้มลงไปกองกับพื้นเรืออีกรอบ

               เมื่อคนแน่นิ่งไปอีกครั้ง ร่างน้อยก็ขยับเข้าไปสำรวจอย่างกล้าๆกลัวๆ “เอ รึว่าข้าถ่ายทอดพลังผิดไป แต่ข้าก็ถ่ายทอดพลังไอเย็นไปแล้วนี่ เหตุใดโลหิตจึงโคจรไหลย้อนกลับกันเล่า”
 
               ความจริงเขาเพียงแค่หยิบยืมพลังธาตุของคนตรงหน้ามาใช้ฟื้นคืนรูปกายเพียงนิดหน่อย จากนั้นก็ถ่ายทอดพลังเซียนส่วนหนึ่งให้เพื่อใช้รักษาชีวิตของเจ้าตัวไว้ เช่นนี้แล้วยังผิดพลาดประการใดกัน?

               “รึเป็นเพราะพลังที่ข้าสังเคราะห์จากร่างมนุษย์นั้นไม่บริสุทธิ์ จึงใช้ไม่ได้ผลเช่นพลังธรรมชาติ พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร” ร่างขาวนวลถามขึ้นลอยๆ ทั้งๆที่รอบข้างมีแต่คนสิ้นสติเท่านั้น

               “ท่านมหาเทพ เหตุใดท่านต้องช่วยชายผู้นี้ เขาเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านต้องสูญเสียพลังอันน้อยนิดไป อีกทั้งเวลาฟื้นฟูพลังจำต้องยืดเยื้อออกไปอีก ทั้งๆที่ตอนนี้สามโลกกำลังวิกฤตแท้ๆ” เสียงของชายมีอายุคนหนึ่งกล่าวขึ้น

               “นั่นสิ แทนที่ท่านจะได้ฟื้นฟูพลังธาตุจากธรรมชาติได้อย่างบริสุทธิ์เต็มเปี่ยม แต่นี่กลับ...เฮ้อ” ชายสูงอายุคนที่สองกล่าวอย่างหนักใจ

               “มิใช่เป็นเพราะพลังของท่านไม่ประสบผล มิใช่โลหิตไหลย้อนกลับแต่เป็นเลือดกำเดาต่างหาก สรุปได้ว่าเจ้าหมอนี่คิดอกุศลต่างหาก ท่านมหาเทพ”

               “ถูกต้อง” สิ้นเสียงมั่นใจของชายสูงอายุคนที่สาม น้ำเสียงเห็นพ้องต้องกันที่แฝงไว้ด้วยความเดือดดาลก็ประสานกันอย่างพร้อมเพรียง

               “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้ารู้เพียงแต่ต้องช่วยเขา” เขาตอบคนทั้งสามผ่านทางต่างหูมุก “แล้วข้าควรทำเช่นไรกับเขาดี” มหาเทพอย่างเขาก็ใช่ว่าจะรู้ไปเสียทุกเรื่อง อีกอย่างเขาเพิ่งตื่นจากการหลับใหลไปตั้งพันกว่าปี

               “ท่านมหาเทพโปรดรอสักครู่ สักประเดี๋ยวเจ้าโรคจิตก็คงฟื้นขึ้นเอง” หนึ่งในผู้อาวุโสแนะนำกลับมา

               “เช่นนั้นข้าจะรอ อย่างไรตอนนี้พลังข้าก็ไม่เสถียรต้องรอคอยเช่นกัน”

               เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายทั้งสามก็พากันถอนใจกันเงียบๆ อย่างน้อยก็ผ่านขั้นแรกมาแล้ว แม้จะมีผิดพลาดไปบ้างก็เถอะ บางทีพวกเขาอาจตัดสินใจผิดที่ยอมส่งท่านมหาเทพลงมาบนโลกมนุษย์ ในเมื่อท่านเองก็ได้หลับใหลมานานกว่าพันปี ครั้นตื่นขึ้นก็ต้องลงมาสู่แดนพิภพเสียแล้ว

               โลกมนุษย์เปลี่ยนไปมากจริงๆนะท่านมหาเทพ กลัวแต่ท่านจะโดนมนุษย์หลอกเข้าให้ ดูอย่างเจ้าหนุ่มที่สลบเหมือดไปแล้วนี่สิ ฮึ่ม!

               “ว่าแต่ทำไมพวกเจ้าถึงลืมเสกเสื้อผ้าให้ข้ากันเล่า” จู่ๆเสียงของคนน่าเป็นห่วงก็ดังขึ้นเล่นเอาเทพเซียนทั้งสามต่างมองตากันเลิกลั่ก

               “เอ่อ ท่านมหาเทพทุกสรรพสิ่งล้วนเริ่มต้นจากความว่างเปล่า หากจะย้อนสู่ต้นกำเนิดย่อมต้องเริ่มจากความว่างเปล่า”
 
               “งั้นรึ ข้าลืมนึกถึงข้อไปนี้เสียสนิท เช่นนั้นก็ช่างเถิด ข้าจะลองฟื้นพลังดูก่อน” กล่าวจบเขาก็นั่งขัดสมาธิอย่างเงียบๆ


*******************************************************

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-10-2015 20:40:51 โดย ryusaki_yp »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 3.2 แดนสวรรค์สู่พิภพ


               ทางด้านพิภพสวรรค์ เทพอาวุโสคนหนึ่งรูปร่างผอมสูง คิ้วและเส้นผมต่างมีสีเทา นามว่าเทียนสีกล่าวขึ้นอย่างสงสัย “ท่านหวางจื้อถ้อยคำที่ท่านกล่าวกับท่านมหาเทพเป็นจริงรึ”

               “มันเป็นความจริง แต่ในความเป็นจริงอีกข้อ เราก็สามารถเสกเสื้อผ้าส่งไปพร้อมกันได้แต่...ข้านึกว่าเจ้าเป็นคนเสก” อาวุโสเทพหวางจื้อตอบ เขาเป็นเทพผู้มีเส้นผมขาวสนิท ไว้หนวดเครายาวถึงอก ดีที่เขาหาข้ออ้างเฉไฉได้ทันท่วงที แม้แต่เหงื่อตอนนี้ก็ยังแห้งไม่สนิทเลยดูสิ

               “อ้าว ข้าก็นึกว่าท่านเทพเจิ้งผิงเป็นคนเสกเสียอีก” อาวุโสเทพเทียนสีหันไปบุ้ยใบ้ให้อีกคน ทั้งสองจึงต่างมองไปทางอาวุโสเทพเจิ้งผิง

               “แต่ข้าก็คิดว่าท่านเทพหวางจื้อเป็นคนจัดการนี่นา” เทพอาวุโสเจิ้งผิง ผู้มีรูปร่างอ้วนท้วมพอเหมาะ เส้นผมสีดำประปรายขาวกล่าวแย้ง

               ครานี้บังเกิดเป็นความเงียบขึ้น เทพทั้งสามได้แต่มองหน้ากันอย่างนกรู้ จากนั้นเสียงหัวเราะประสานกันเบาๆก็ดังขึ้น “ฮี่ ฮี่ ฮี่”

               “ความจริงพวกท่านตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นแต่แรกต่างหาก” นางฟ้ารูปงามอ่อนช้อยตนหนึ่งกล่าวขัดจังหวะทำเอาเสียงหัวเราะจบลงสั้นๆ นางรู้ดีว่าเทพทั้งสามหากมีโอกาสย่อมหาทางแกล้งท่านมหาเทพเป็นแน่ ก็ในเมื่อท่านมหาเทพซื่อบื้อขนานแท้แล้วยังเที่ยวยิ้มโปรยเสน่ห์ไปเกลื่อนโดยไม่รู้ตัวสักนิด

               “นางฟ้าชิงเซียงอย่าเข้าใจผิดไป พวกเราต่างก็เข้าใจผิดกันไปเองทั้งนั้น” ไม่รู้ว่านางฟ้าประจำตัวท่านมหาเทพมาตั้งแต่เมื่อใด ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าใจเช่นนั้น อาวุโสเทพเจิ้งผิงก็รีบแก้ตัวขึ้นเสียก่อน ยังมีเทพอาวุโสหวางจื้อและเทียนสีต่างพยักหน้าดูน่าสงสารอยู่ข้างๆด้วย

               ทว่านางฟ้าชิงเซียงกลับใช้สายตาระอาใจมองพวกเขา “อ่อ แต่ข้าเองก็อยากจะกล่าวอะไรกับพวกท่านสักสองสามประโยค เพลานี้แดนสวรรค์ถูกปิดกั้นตัดขาด แม้พวกท่านอยากจะส่องมดสักตัวบนพิภพมนุษย์มากสักแค่ไหน การกระทำของพวกท่านก็ล้วนแต่เปล่าประโยชน์” พูดจบนางก็จากไป เล่นเอาดวงตาสามคู่ตื่นตะลึงวูบทั้งยังยืนอ้าปากเหวอใส่กัน

               ใช่แล้ว พวกเขาลืมไปเสียสนิท แดนสวรรค์ถูกปิดกั้นทำให้มิอาจเห็นความเป็นไปของโลกมนุษย์

               ทั้งที่ความจริงก็แค่อยากจะเห็นท่านมหาเทพในแบบเย้ายวนบ้างก็เท่านั้น แล้วนี่ เพ้ย!หมดกัน เจ้าหนุ่มผู้นั้นมันเป็นใคร รับรองว่าพวกข้าจะส่งเคราะห์ดีๆ ไปทักทายสักหนสองหนเป็นแน่

 
*******************************************************
           

               ย้อนกลับไปครั้งยุคเริ่มต้น มีบุคคลซึ่งถูกกล่าวขานกันว่ามหาเทพ ได้ทำการบุกเบิกแบ่งแยกพิภพออกเป็นสามส่วน

               โดยส่วนแรก พิภพสวรรค์ อยู่บนส่วนสูงสุดของโลก ทั้งยังเป็นที่พำนักของเทพเซียน บ้างก่อเกิดจากธรรมชาติ บ้างได้รับประทานพลังวิเศษจากมหาเทพ ทำหน้าที่คอยช่วยเหลือชี้นำมนุษย์ ดูแลผืนพิภพ ตลอดจนออกกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้เกิดความสงบสุข

               ส่วนที่สอง พิภพมนุษย์ เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ทั่วไป โดยใช้ชีวิตหมุนเวียนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตามวัฏจักรสงสาร

               ส่วนที่สาม พิภพยมโลก เป็นดินแดนเซียนอีกรูปแบบหนึ่งที่ปกครองวิญญาณของมนุษย์ มีอำนาจตัดสินความถูกผิด ตลอดจนการลงโทษรวมถึงรับภาระในการส่งวิญญาณสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง

               ซึ่งพิภพทั้งสามต่างสัมพันธ์กัน หากพิภพหนึ่งใดถูกทำลายลงย่อมส่งผลต่อพิภพอื่นด้วย ดังนั้นเมื่อเจ็ดแปดวันก่อนที่สวรรค์จะถูกปิดกั้น มหาเทพอย่างเขาจึงตื่นขึ้นจากการหลับใหลที่นานนับพันปี
 
               เมื่อสัมผัสได้ถึงลางร้ายที่เกี่ยวพันถึงความเป็นไปของทั้งสามโลกถึงขั้นดับสูญ ฝีเท้าจึงรีบมุ่งหน้าตรงไปยังที่ประชุมของเหล่าเทพเซียน ครั้นเปิดประตูเข้าไปก็พบเข้ากับกองทหารเทพในชุดเกราะเงินพร้อมอาวุธยืนเป็นแถวซ้ายขวาดูไกลสุดลูกหูลูกตา

               ร่างในชุดสีขาวปักด้วยดิ้นทองรูปดอกบัวบานมองดูสักครู่ก็ตรงเข้าไปหาผู้อาวุโสเทพผู้นำขบวนทั้งสามอย่างองอาจ สีหน้าราบเรียบแฝงไว้ด้วยความสงบเยือกเย็น สองมือไขว้ที่กลางหลัง เส้นผมถูกปล่อยสยายยาวระพื้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเปล่งประกายสีทองเป็นระยะๆ เหล่าทหารเซียนต่างก็พากันย่อกายคำนับลงเป็นแถวๆ

               “อรุณสวัสดิ์ ท่านทั้งหลาย” เขายิ้มนุ่มนวล ชิงตัดหน้ากล่าวคำทักทายไม่รอให้เทพเซียนที่ทำหน้าตาแปลกใจเอ่ยคำขึ้นก่อน

               “ท่านมหาเทพ มิทราบว่ามีสิ่งใดรบกวนการพักผ่อนของท่าน กาลนี้ยังมิถึงเวลาอันสมควรสำหรับการตื่น หากแต่เหลือเวลาอีกยาวนาน” หวางจื้อหนึ่งในสามเทพนักปราชญ์อาวุโสกล่าวด้วยความเป็นห่วง

               “ข้าก็แค่เบื่อการนอนเสียแล้ว” เขากล่าวตอบสั้นๆ

               “หากท่านมหาเทพมีเหตุจำเป็นต่อการตื่นก่อนเวลาอันควร รบกวนชี้แนะพวกเราด้วย” ท่านอาวุโสเทพเทียนสีค้อมตัวอย่างนอบน้อม

               “พวกท่านกำลังจัดขบวนทัพไปไยกัน” เขาบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำทั้งยังเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามเสียแทน

               ท่านอาวุโสเทพเจิ้งผิงจึงกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “เอ่อ เป็นความผิดของพวกเราที่มิอาจปกปักษ์รักษาความสงบสุขของแดนสวรรค์ได้ ณ ตอนนี้เหล่าแดนปีศาจได้ยื่นสาสน์ท้ารบถึงพวกเราเรียบร้อยแล้ว”

                “เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ปลุกข้า” เขาเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ มุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม

               “ศึกครั้งนี้พวกเราเหล่าเซียนล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าควรรับผิดชอบกันเอง มิบังอาจรบกวนการพักผ่อนของท่านมหาเทพ” เทพอาวุโสหวางจื้อกล่าว

               “นอกจากนี้ในศึกครั้งก่อนท่านมหาเทพได้สูญเสียพลังส่วนมากเพื่อปิดผนึกช่องว่างมิติจากผลของสงครามครั้งกระนั้น พวกเราจึงหวังมิให้เรื่องเหล่านี้รบกวนท่าน อีกทั้งกำลังพลของเราเตรียมพร้อมสมบูรณ์กว่าศึกครั้งกาลก่อน” เทพอาวุโสเทียนสีก็ช่วยกล่าวเสริม

               “แต่เกรงว่าเรื่องออกจะยุ่งยาก และไม่เป็นไปอย่างที่พวกท่านคิด”กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของเทพอาวุโสทั้งสามต่างบ่งบอกถึงความฉงน

               “ท่านมหาเทพ ท่านหมายความว่าเช่นไร”

               “ศึกครั้งนี้เกี่ยวพันถึงชะตาของพิภพสวรรค์ และอาจจะส่งผลกระทบไปสู่พิภพอื่น แม้ข้ายังมิอาจสัมผัสเห็นได้ถึงนิมิตอันแน่นอน แต่นับเป็นลางหายนะแน่แท้” แม้จะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแต่ใบหน้าเขาก็ยังคงเปื้อนรอยยิ้ม ด้านเทพทั้งสามตอนนี้ต่างพากันทำหน้าเครียดไม่มีใครกล้ากล่าววาจาอันใด เขาจึงต้องเอ่ยปากทำลายความสงบ “ท่านอาวุโสทั้งสาม ผู้นำแดนปีศาจที่ส่งสาสน์ท้ารบในครั้งนี้เป็นใคร”

               สิ้นคำถามทุกคนต่างมีท่าทีอึกอัก เขาพลันสาดสายตาวูบหนึ่งเข้าใส่ ท่านเทพอาวุโสหวางจื้อจึงเป็นฝ่ายตอบกลับมา
“เป็นจอมมารเฟยหลง อดีตเทพนักรบเกราะทอง ท่านมหาเทพ”

               ครานี้รอยยิ้มที่ไม่เคยห่างหายพลันหุบลงแล้ว สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดวงตาจากที่อ่อนโยนกลับกลายเป็นว่างเปล่า

               “ท่านมหาเทพ ศึกเมื่อพันปีก่อนเราได้กุมตัวจอมมารเฟยหลงไปคุมขังไว้ที่ใต้ธรณีน้ำแข็งนานนับหลายร้อยปี แต่เมื่อร้อยกว่าปีมานี้กลับมีชนเผ่าปีศาจที่คอยให้ความช่วยเหลือจอมมารจนสามารถหลบหนีได้สำเร็จ และในตอนนี้สาสน์ท้ารบถูกส่งมาแล้ว ฉะนั้นได้โปรดบัญชาให้พวกเราสู้ศึกครั้งนี้ด้วยเถิด” เทพอาวุโสเจิ้งผิง แม้จะเป็นเทพนักปราชญ์ แต่ก็ยังเป็นเทพนักรบที่มีฝีมือด้วย ครั้นเมื่อกล่าวจบก็คุกเข่าลงเป็นเหตุให้เทพเซียนอื่นๆ พากันคุกเข่าไปตามๆกันลง

               ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองเหล่าเทพเซียนที่เบื้องหน้า สักพักจึงหมุนตัวหันหลังให้ด้วยมิต้องการให้ใครได้สังเกตเห็นสีหน้าวิตก “ศึกครั้งนี้ข้าจะจบลงด้วยตัวเอง เพียงคนเดียว เท่านั้น” เขาย้ำอย่างชัดเจน

               “แต่พลังของท่านมหาเทพยังไม่ฟื้นตัวดี” นางฟ้าชิงเซียงที่นิ่งฟังอยู่ด้านข้างมานานก็แย้งขึ้น

               “นางฟ้าชิงเซียงกล่าวได้ถูกต้อง ท่านมหาเทพจำต้องฟื้นฟูพลังอย่างเร่งด่วน มิอาจต่อสู้ในขณะนี้” เทพอาวุโสเทียนสีกล่าวเสริม

               “พวกเจ้ามิต้องห่วงไป เรื่องนี้แท้จริงแล้วเกิดเนื่องจากตัวข้า ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง” เขากล่าวน้ำเสียงอ่อน

               “แต่...” นางฟ้าชิงเซียงคิดออกเสียงค้าน แต่เขากลับยกมือทัดทานพลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้ จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับเทพอาวุโสทั้งสาม

               “พวกเจ้าฟังข้าให้ดี นับจากนี้ไปข้าจะใช้พลังที่เหลือทำการปิดกั้นสวรรค์ ไม่ว่าใครก็มิอาจเข้าออกได้ ถือเป็นการตัดขาดอย่างแท้จริง ส่วนข้าก็จะลงสู่โลกมนุษย์ทำการฟื้นฟูพลังจากต้นกำเนิด หากเป็นที่นั่นข้าสามารถฟื้นฟูพลังได้เร็วกว่าที่นี่ อีกประการหากศึกครั้งนี้เกิดที่แดนสวรรค์ ข้าเกรงว่าสมดุลจะถูกทำลาย เป็นเหตุให้ช่องว่างมิติที่ผนึกไว้ปั่นป่วนอีกครั้ง ในศึกครั้งก่อนช่องว่างมิติดูดกลืนแดนสวรรค์และแดนมนุษย์เสียหายไปไม่น้อย ดังนั้นข้าจะปิดกั้นสวรรค์มิให้สมดุลที่นี่มีผลกระทบต่อพิภพอื่นๆ แต่วิธีนี้ทำได้เพียงชั่วคราว และข้าก็จะพยายามจัดการอย่างไม่ให้เกิดการทำลายล้างขึ้นแน่นอน” ประโยคสุดท้ายพูดก็ไปยิ้มกริ่มไปโดยไม่รู้ตัว

               เทพเซียนทั้งหลายต่างสะดุ้งเฮือกในใจ ศึกครั้งก่อนมิใช่เพราะท่านมหาเทพโมโหรึ ทั้งแดนสวรรค์และพิภพต่างๆกว่าค่อนถูกทำลายล้างเรียบ ทำเอาแดนยมโลกทำงานกันตัวเป็นเกลียว น้ำแกงยายเมิ่งขาดตลาดเนื่องจากผลิตใช้ไม่ทัน แม้แต่ต้นไม้ยังไม่เหลือแม้แต่ตอ ท่านมหาเทพช่างเป็นผู้สร้างและทำลายอย่างแท้จริง

               “ส่วนท่านเทพอาวุโสทั้งสาม ข้าจำต้องขอความร่วมมือจากพวกท่าน หากข้าใช้พลังปิดกั้นสวรรค์แล้ว ข้ามิอาจมีพลังเหลือพอที่จะหวนคืนสู่ร่างต้นกำเนิดและกลับไปยังสถานที่แห่งนั้น พวกท่านจำต้องร่ายมนตร์ส่งข้าไปก่อนที่มนตร์ปิดกั้นสวรรค์จะสำเร็จ”

               “ท่านมหาเทพ ขอพวกเราตรึกตรองสักสองสามวันก่อนได้หรือไม่ เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล่นๆ พวกเรามิอาจปล่อยให้ท่านสู้ศึกเพียงลำพัง อีกอย่างโลกมนุษย์ตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปมากจนท่านคาดไม่ถึง ข้าเกรงว่า”

               “ท่านเทพอาวุโสหวางจื้อ ตอนนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้ว ทางฝั่งแดนปีศาจคงมิคาดถึงว่าพวกเราจะดำเนินการปิดกั้นสวรรค์อย่างรวดเร็วเช่นนี้ แม้อาจจะต้องโดนดูถูกไปบ้างก็เถอะ แต่ถึงคราที่เราจำต้องสงบก่อนเคลื่อนไหวแล้ว” เขาพูดตัดบท เทพอาวุโสทั้งสามจึงได้แต่ถอนใจมองหน้ากันด้วยความวิตกกังวล

               “ก่อนท่านจะไปได้โปรดติดสิ่งนี้ไว้แม้พวกเราไม่อาจเห็นท่านมหาเทพ แต่ยังคงใช้ติดต่อกันได้” เทพอาวุโสเทียนสียื่นต่างหูมุกสีขาวให้ เขาจึงรับมันมาสวมใส่ก่อนที่จะอำลาทุกคน

               “แล้วเจอกัน” เขาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นเคย

               มนตร์ถูกเอ่ยขึ้น ฉับพลันนั้นก็เกิดเป็นแสงสีทองโอบรอบดินแดนสวรรค์ เกราะกำบังที่หนาทนทานยิ่งกว่าหินใต้พิภพค่อยๆก่อตัวขึ้น ทว่าก่อนที่มันจะปิดกั้นอย่างเต็มที่นั้น ร่างของเขาก็สลายกลายเป็นทรายทองก่อนจับตัวเป็นกลุ่มก้อนดั่งลูกแก้วสีใส จากนั้นก็ถูกส่งลงมายังพื้นพิภพ ไปยังสถานที่ต้นกำเนิด

 
*******************************************************
           

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 4.1 มหาเทพยาจก


 
            เรือลำน้อยยังคงลอยอย่างสงบนิ่งอยู่บนผิวน้ำ ลมหนาวยังคงพัดผ่านมาเป็นระลอก เขาที่ลองนั่งรวบรวมฟื้นฟูพลังได้ไม่นานก็ต้องถูกความหนาวช่วงชิงสมาธิ

            “นะ หนาว กึก กึก” หนาว หนาวจนฟันสั่นกระทบกันไม่หยุด ทำไมถึงหนาวได้ปานนี้ ปกติแล้วเทพเซียนต่างสามารถสร้างสมดุลทางกายได้อยู่เสมอ แต่ไฉนตอนนี้จึงได้มีความรู้สึกเช่นเดียวกับมนุษย์เล่า เขานึกใคร่ครวญอยู่นานก็ได้ข้อสรุป “พลังข้าอ่อนตัวลงมากจนทำให้สมดุลในร่างปั่นป่วนสินะ”

            ว่าแล้วสายตาก็พลันสะดุดลงบนเสื้อที่ประปรายไปด้วยเลือดเป็นจุดดวงๆ “ถ้ายังไงขอยืมเสื้อเจ้ามนุษย์ผู้นี้เอาก่อนล่ะกัน” ร่างน้อยยิ้มทั้งพูดเองเออเอง จากนั้นก็เขยิบตัวเข้าใกล้ชายหนุ่ม แต่แล้วมือกลับชะงักค้าง

            เอ ว่าเเต่ถอดยังไงล่ะ มหาเทพอย่างข้าเคยใส่เสื้อเองที่ไหนกันเล่า ที่แล้วมาเพียงเสกเสื้ออุ่นๆก็สวมทับบนตัวเรียบร้อยแล้ว สีหน้าพลันอยากจะร้องไห้สุดท้ายจึงได้แต่ลองดึงๆเสื้อ แต่มันก็ดูมิได้ต่างกับการเขย่าตัวคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแม้แต่น้อย
           
            ดึงอยู่นานจนเหนื่อยก็เริ่มตัดใจ จนกระทั่งหันไปสังเกตเห็นกางเกงตัวใหญ่ เขายิ้มกริ่ม “กางเกงต้องอุ่น ต้องถอดง่ายกว่าเสื้อแน่ๆ” น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความหวังดวงตาก็ทอเป็นประกาย มือไม่รอช้าพุ่งเข้าที่กางเกงของชายหนุ่มทันที แต่ทว่าก็ต้องรู้สึกผิดหวังเพราะว่ามันกลับดึงไม่ออก
 
            “รึเพราะอากาศหนาวจัด มือจึงยังแข็งแกะไม่สะดวก” เขานึกฉงนหากแต่ยังไม่ละความพยายามพลางรวบรวมสมาธิเพ่งไปที่กางเกงเจ้าปัญหา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้ากางเกงรอข้าก่อนนะ วันนี้เจ้าต้องเป็นของข้าแน่ๆ”

            ทางด้านเซียวถิงฟงหลังจากที่เสียเลือดกะทันหัน ไม่นานใบหูก็แว่วเสียงนุ่มทุ้มที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก จวบจนสายตาเลิกขึ้นอีกครั้งก็แลเห็นเด็กหนุ่มผมยาวสีน้ำตาลกำลังนั่งยองๆที่ข้างลำตัว ทั้งเนื้อตัวกลับไม่มีเสื้อผ้าอยู่เลยสักชิ้น สายตาก็มุ่งมั่นจ้องเขม็งที่ช่วงล่างเขาไม่หยุด ยังไม่พอสองมือยังพยายามยื้อยุดกระชากปมกางเกงออกราวกับคิดจะทำมิดีมิร้าย จู่ๆสมองก็พลันวูบวาบนึกถึงคำที่แว่วได้ยินมา

            วันนี้เจ้าต้องเป็นของข้าแน่ๆ...วันนี้เจ้าต้องเป็นของข้าแน่ๆ

            “ว๊ากกก” เซียวถิงฟงร้องลั่นเป็นคำรบที่สอง ทั้งยังผุดลุกขึ้นนั่งพรวดพราดขึ้นผลักเด็กหนุ่มให้กระเด็นถอยห่างออกไป

            “โอ๊ย”

            “เจ้าคิดจะทำอะไรกัน” เขาถามด้วยน้ำเสียงตกใจ สองมือก็กุมปกป้องปมกางเกงไว้ ด้านเด็กหนุ่มเมื่อล้มนั่งไปกับพื้นก็เงยหน้าขึ้นมอง แต่กลับไม่ได้มองที่ตัวเขา สายตานั้นยังคงจับจ้องมองที่ช่วงล่างเขาอย่างไม่วางตา ทำเอาเสียวสันหลังวาบ
“กางเกง...หนาว” ในที่สุดน้ำเสียงนุ่มก็เอ่ยออกมา

            มองคนตรงหน้านั่งกอดเข่าสั่นกึกกึกอย่างน่าสงสาร เซียวถิงฟงก็เริ่มเข้าใจในความหมาย แต่ถึงเป็นเช่นนั้นทำไมเขาถึงต้องสละกางเกงให้กับคนน่าสงสัยด้วยล่ะ ครั้นมองเห็นร่างที่สั่นเทิ้มหนักสีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นยุ่งยากใจ

            หึ ช่วยไม่ได้ เขาตัดสินใจถอดเสื้อออกแล้วโยนไปเบื้องหน้าของร่างเล็กแต่สายตายังคงระแวดระวัง

            เสื้อที่ประปรายเลือดเป็นวงตกลงอยู่ตรงหน้า มหาเทพอย่าเขามองมันด้วยสายตาไร้เดียงสาอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปกล่าวกับร่างสูง รอยยิ้มผุดออกมานิดหน่อย “ข้า ขอกางเกงแทนได้ไหม”

            ช่างเป็นคำต่อรองที่ทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขึ้นมา “ถ้าเจ้าไม่อยากได้ ก็ไม่ต้องเอา” เซียวถิงฟงก้มตัวเอื้อมมือไปจับชายเสื้อพร้อมที่จะดึงกลับ แต่แล้วมือเรียวบางกลับฉวยดึงมันไปก่อนจัดแจงคลุมร่างของตนเองอย่างรวดเร็ว

            พอดีกับที่มีลมหนาวพัดมาระลอกใหญ่ เซียวถิงฟงจำต้องกอดตัวเองไว้ถึงค่อยรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ ดวงตาเขาเลิกขึ้นประหลาดใจพลันก้มมองที่อกซ้าย พริบตานั้นความปลื้มปิติแทบจะปรี่ล้นออกมาจากอก “วิเศษ วิเศษยิ่ง” เขากู่ร้องออกมาอย่างดีใจ ลูกแก้วปีศาจ มันหายไปแล้ว

            “เจ้าดีใจเพราะสิ่งนี้รึ” ร่างที่นั่งจ้องการกระทำของเซียวถิงฟงอยู่ตลอดกล่าวถามขึ้นพร้อมโยนของบางสิ่งในมือเล่น
เซียวถิงฟงถึงกับหลุดออกจากภวังค์ นึกขึ้นได้ว่าตนมิได้อยู่ตามลำพัง ตอนนี้เด็กหนุ่มส่งยิ้มกริ่มน่าชมดูให้ ทว่าในมือยังถือบางสิ่งบางอย่างที่คุ้นตาจนทำให้เขาต้องผงะ

            บางสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บเจียนตาย บางสิ่งที่ทำให้เขาพบเจอแต่เหตุการณ์ประหลาด มันดูคล้ายกับลูกแก้วที่ตอนนี้เป็นสีใสเฉกเช่นเดียวกับคราแรกที่เห็น

            “มันไปอยู่ที่เจ้าได้อย่างไร” สัญชาตญาณสัมผัสได้ถึงอันตราย สองขาจึงก้าวถอยออกไปก้าวหนึ่ง

            “เป็นข้าที่ออกมาจากเจ้าเอง”

            “หืม” ร่างสูงได้แต่นิ่งงันก่อนกล่าวทบทวนประโยคที่ได้ยินสักครู่ “หมายถึงลูกแก้วออกมาจากตัวข้า แล้วเจ้าก็ออกมาจากลูกแก้ว”

            “ใช่ๆ เป็นเช่นที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมด เป็นข้าที่คือลูกแก้ว และเป็นข้าที่ออกมาจากตัวเจ้าเอง” ใบหน้าที่กล่าวยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ดีที่อีกฝ่ายเข้าใจอะไรๆ ได้ง่ายยิ่ง

            ราวกับมีสายฟ้าฟาดกระหน่ำมาที่ตัวเซียวถิงฟง เขาที่เป็นคนระแวดระวังตัวอยู่เสมอ ไม่เคยเผยช่องโหว่ใดๆ ให้กับศัตรู ยกเว้นก็แต่เจ้าแมวรักถิงถิง ชายหนุ่มไม่รอช้าสำรวจรอบตัวอย่างรวดเร็ว เห็นฝีพายอยู่ที่ด้านหลังก็รีบฉวยยกขึ้นชี้ปลายด้ามไปที่ร่างน้อย

            “เจ้าคือลูกแก้วปีศาจ เจ้าปีศาจกลับสู่นรกภูมิซะเถอะ” เขาตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แต่ทว่าเด็กหนุ่มเพียงยิ้มแล้วยื่นมือเรียวยาวข้างหนึ่งออกมาอย่างแช่มช้า

            เซียวถิงฟงผงะไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ชักฝีพายกลับไป สายตาจับจ้องการกระทำของเด็กหนุ่มร่างบาง แต่ทว่ามือข้างที่นวลเนียนกลับยื่นออกมาแล้วพลันใช้นิ้วเขี่ยปลายฝีพายเล่น ยิ่งทำให้เขาเดือดดาลขึ้นกว่าเดิม
 
            ...รึจะใช้ฝีพายเขี่ยตกเรือไปเลยดี

            “ข้ามิใช่ปีศาจ เจ้าเห็นส่วนไหนของข้าเป็นปีศาจกัน” มหาเทพอย่างเขาเอียงคอถามอย่างฉงน

            “โกหก หลายวันมานี้ปีศาจอย่างเจ้าสูบเลือดข้าไปเจียนตายเลยใช่ไหมล่ะ”

            “แต่นั้นเป็นเพราะเจ้าไม่ฟังคำเตือนข้าเองนี่ และแม้เจ้าจะพูดถูกส่วนหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงข้ามิได้สูบเลือดของเจ้า ข้าก็แค่ดึงพลังธาตุไอเย็นของเจ้ามาใช้นิดหน่อยต่างหาก”

            ฟังแล้วเซียวถิงฟงก็หวนนึกถึงเสียงที่คอยพูดกับเขาตลอดในความฝัน เอ จะว่าไปแล้วรอยยิ้มของคนตรงหน้าในตอนนี้มันช่างกวนโมโหสิ้นดี แค่ดึงไปใช้นิดหน่อยรึ เจ้าบ้า แล้วตรงไหนที่เหมือนปีศาจน่ะหรือ ก็ตรงรอยยิ้มนี่ไง พูดเรื่องเป็นตายด้วยรอยยิ้มไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ นี่มันปีศาจชัดๆ เขาก่นด่าในใจก่อนโต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้

            “อีกทั้งวันนี้ เจ้ายังทำให้ข้าเฉียดไปยมโลกอีก”

            “แต่หากข้าไม่ได้ใช้พลังเซียนส่วนหนึ่งถ่ายทอดให้เจ้า ไม่แน่ว่าตอนนี้เจ้าอาจตายไปแล้วก็ได้”

            “หา พลังเซียนช่วยข้า” เซียวถิงฟงร้องเสียงสูง งงงันในสิ่งที่ได้ยินดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าตนไม่เข้าใจจึงลุกขึ้นเดินมาตรงเบื้องหน้าเขา
           
            “ข้าถ่ายทอดพลังเซียนส่วนหนึ่งของข้าให้แก่เจ้าแบบนี้” กล่าวจบร่างน้อยก็เขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตทันที

            ร่างสูงถึงกับตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ความนุ่มนวลติดตรึงที่ริมฝีปาก มันทั้งอบอวลและหอมหวาน เสียงหัวใจพลันดังขึ้นอย่างชัดเจน สมองผุดถึงความทรงจำตอนที่ตกลงในสระบัว ในตอนนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความหอมหวานแบบนี้เช่นกัน

            “เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม”

            เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น เซียวถิงฟงไม่รู้เลยว่าความหอมหวานนั้นจบลงตั้งแต่เมื่อไหร่ จะมีก็แต่เขาที่ยืนหลับตาอยู่อย่างโง่งัน ใบหน้าเขาพลันแดงฉ่า ขาเริ่มทรุดลงนั่งกับพื้นเรือ นี่เขาจูบกับผู้ชายหรือ แถมยังใจเต้นอีก

            ว๊ากก เซียวถิงฟงกู่ร้องในใจ ในหัวสับสนวุ่นวายไปหมด

            ครั้นแลเห็นเซียวถิงฟงทำหน้ายุ่งยากจึงได้แต่เกาหัวแกรกๆ ร่างขาวนวลย่อตัวนั่งลงข้างๆ “เจ้ายังไม่เข้าใจรึ หรือเจ้าจะลองอีกที” พูดจบก็ยื่นใบหน้ามาใกล้ชายหนุ่มด้วยแววตาจริงจัง

            กลายเป็นว่าเซียวถิงฟงยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่ เขาผลักตัวเด็กหนุ่มออกเบาๆ “ข้าไม่เข้าใจและไม่อยากเข้าใจด้วย ทั้งๆ ที่เจ้าเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่ยังกล้า...กับผู้ชาย วิปริตแท้” 

            “หือ หมายความว่าถ้าเป็นผู้หญิงเจ้าถึงจะเข้าใจรึ” กล่าวจบร่างของเด็กผู้หญิงก็ปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา หน้าอกนูนออกมาจากเสื้อ ดีนะที่ตนยังเหลือพลังนิดหน่อย

            เซียวถิงฟงถึงกับอ้าปากค้างตะลึงลานอีกรอบ จู่ๆที่หน้าอกของเด็กหนุ่มรูปงามก็ปูดโปนออกมาจนเผยให้เห็นเนินอกขาวๆ แม้รูปหน้าจะเหมือนดังเดิมแต่เค้าโครงใบหน้ากลับดูอ่อนหวานยิ่งขึ้น และในขณะนี้นางกำลังเขยิบมาใกล้ๆ สายตาหยาดเยิ้มจ้องอยู่ที่ริมฝีปากของเขา เขาเองก็จ้องริมฝีปากเรียวงามที่เพิ่งได้ลิ้มรสความนุ่มนวลหวานหอมเช่นกัน

            ฝืนกลืนน้ำลายไปหนึ่งอึกแล้ว “ว๊ากกก เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ เมื่อกี้ยังเป็นบุรุษอยู่เลย” เขารีบเขยิบถอยหลังหนี

            “เห็นอย่างนี้ข้าไม่เหมือนเช่นมนุษย์หรอกนะ ข้าเป็นบุรุษก็จริงแต่ข้าก็ยังสามารถแปลงเป็นสตรีได้เช่นกัน แต่เอาจริงๆข้าชมชอบร่างชายที่เป็นต้นกำเนิดข้ามากกว่า ร่างหญิงออกจะยุ่งยากไปสักหน่อยเวลาจะเหาะเหิน นางฟ้าชิงเซียงยังเคยกล่าวว่าร่างหญิงของข้ากระโดกกระเดกยิ่ง แต่เมื่อกี้เจ้าก็บอกข้าว่าเป็นหญิงเจ้าจึงจะเข้าใจ” นางมองคนที่ทำหน้าตะลึงด้วยท่าทีไร้เดียงสา

            หมายความอย่างนั้นจริงรึ เป็นได้ทั้งบุรุษและสตรี บ้าไปใหญ่แล้ว เซียวถิงฟงได้แต่จ้องหน้านางอย่างทำตัวไม่ถูก กระทั่งสายตาเผลอมองที่หน้าอกเลื่อนลงไล่ไปถึงขาเปลือยเปล่าที่เรียวงาม ครานี้ก็ทำให้เขาก้มหน้างุดไม่กล้าเงยขึ้นมาอีกเลย ถึงอย่างไรข้างในก็เป็นบุรุษ

            “จะ เจ้าใส่เสื้อให้มันดีๆ หน่อยสิ” เขาพูดตะกุกตะกักใบหน้ายังคงแดงระเรื่อ

            “ใส่ยังไงล่ะ เจ้าใส่ให้ข้าหน่อยสิ”    

            นางเดินเข้ามาใกล้ยื่นส่วนหน้าอกมาให้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นร่างสูงก็เผลอเงยหน้าขึ้นมา วินาทีนั้นเซียวถิงฟงก็แทบจะลมใส่ เขาละลักละล่ำบอก “จะ เจ้าควรจะเปลี่ยนกลับเป็นบุรุษก่อนสิ”

            “เอ๋ แต่เจ้าเข้าใจแล้ว?” นางกล่าวพร้อมเดินเข้ามาใกล้ ทำเอาชายหนุ่มร้องลั่น

            “เข้าใจ ข้าเข้าใจแล้ว ถอยออกไปก่อนนน”

            สุดท้ายแม้จะงงงันแต่นางก็ยอมเปลี่ยนกลับเป็นบุรุษดังเดิม หน้าอกแบนราบเรียบเหมือนแต่ก่อน เซียวถิงฟงยื่นมือออกไปผูกปมเสื้ออย่างเงอะงะ ในใจก็ภาวนาว่าอย่าให้เจ้าตัวประหลาดแปลงกลับเป็นสตรีอีกเลย มิเช่นนั้นเขาคงลมจับไปอีกรอบแน่ๆ
           
            ร่างสูงจัดแจงสวมเสื้อให้ร่างน้อยอย่างใกล้ชิด ยังผลให้สามารถสังเกตเห็นอีกฝ่ายได้ละเอียดยิ่งขึ้น เขาปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ ว่าร่างที่กลับเป็นบุรุษนั้นก็มีเสน่ห์เย้ายวนไม่แพ้กับร่างสตรี หรืออาจจะมีมากกว่า แต่แล้วเซียวถิงฟงก็สะดุ้งตัว

            นี่ข้ากำลังคิดอะไรอยู่ เขาสะบัดหน้าโยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งแล้วเลือกที่จะถามถึงในสิ่งที่ตนสงสัย “สรุป เจ้าบอกข้าว่าเจ้ามิใช่ปีศาจ เจ้าใช้พลังเซียนช่วยข้า และเจ้าก็เป็นบุรุษที่แปลงเป็นสตรีได้ สรุปว่าตัวเจ้าเป็นอะไรกันแน่”

            ครานี้ใบหน้านวลก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นเผยรอยยิ้มสดใส “ข้าคือมหาเทพ ผู้นำสูงสุดของแดนสวรรค์”

            “......” ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นี่มันบ้าไปแล้ว จะมีมหาเทพที่ไหนดูงี่เง่าทึ่มแบบนี้กันเล่า มหาเทพน่ะรึ เซียวถิงฟงจับจ้องประเมินมองคนตรงหน้าอย่างละเอียด ดูยังไงก็ปลายแถว แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่มีใส่สักชิ้น ทั้งยังต้องบากหน้ามายืมมนุษย์เดินดินใส่ มหาเทพผู้นำสูงสุดของแดนสวรรค์น่ะรึ เพ้อเจ้อชัดๆ มหาเทพยาจกล่ะสิไม่ว่า
           
            สีหน้าของชายหนุ่มดูไม่เชื่อสุดฤทธิ์ ร่างน้อยรับรู้ได้ก็รีบกล่าวเสริม “จริงๆนะ ที่เห็นข้าเป็นเช่นนี้ นั่นก็เพราะข้าใช้พลังช่วยเจ้าไปเกือบหมดต่างหาก”

            “งั้นมหาเทพอย่างเจ้าไยจึงลงมาที่โลกมนุษย์กันเล่า” เขาถามต่อให้คนตรงหน้าจนมุม

            “เรื่องนั้น...ข้ายังบอกไม่ได้” เด็กหนุ่มหลุบตามองพื้น

            พิรุธชัดๆ เซียวถิงฟงคิด ไม่แน่อาจจะไม่ใช่แม้แต่เทพเซียนอะไรนั่น แต่อาจเป็นปีศาจก็เป็นได้ แต่ก่อนอื่น “เจ้ามีนามว่ากระไร” ถามจบคนตรงหน้าก็มองเขาตาแป๋ว

            “ข้าไม่มีชื่อ ไม่เคยมีใครกล่าวนามข้า เทพเซียนทั้งหลายต่างเรียกข้าว่า มหาเทพ”

            หึ หึ บังเกิดเสียงแค่นหัวเราะขึ้นดังในสมอง “เอ งั้นเจ้าจะให้ข้าเรียกเจ้าว่ากระไรดี เจ้าลูกแก้วดีไหม หรือเรียกว่าต้าเซียนดีไหมล่ะ” เขากล่าวน้ำเสียงประชดประชัด

            ‘ต้า’ ในที่นี้หมายถึงยิ่งใหญ่ ส่วน ‘เซียน’ หมายถึงผู้เป็นอมตะหรือก็คือเทพนั่นเอง เมื่อรวมกันแล้วจึงเหมือนกับเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความนัยเหมือนกับคำว่า มหาเทพ

            “เจ้าตั้งชื่อให้ข้างั้นรึ”

            ทว่าคนถูกประชดกลับมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มที่ชอบยกมุมปากนิดๆ มาตอนนี้กลับยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาด ทำเอาเซียวถิงฟงชมดูอย่างเพลินตาโดยไม่รู้ตัว

            เห็นชายหนุ่มมิได้ทัดทานอะไร เขาก็ร่ำร้องด้วยน้ำเสียงเบิกบานใจ “ตั้งแต่นี้ไปข้าจะมีนามว่า ต้าเซียน” เขาเงยหน้าบนท้องฟ้า ปากพร่ำกล่าวตะโกนอย่างดีใจ “พวกเจ้าได้ยินไหมข้ามีนามว่า ต้าเซียน”

            ร่างน้อยตะโกนชื่อขึ้นฟ้าจนน้ำเสียงแหบแห้งก็หยุดลง เซียวถิงฟงเองก็รู้สึกตัวว่าควรจะกลับไปที่ตำหนักเสียก่อนที่จะมีคนรู้ว่าเรือหายไป แต่ปัญหาคือ คนตรงหน้านี่สิ บางทีพอขึ้นฝั่งก็คงลาขาดไปเลยกระมังเขาคิดแต่ก็มิวายที่จะหยั่งเชิง “หลังจากนี้เจ้า...จะไปไหนต่อ”

            “ข้าก็ต้องอยู่ที่นี่ไง” ต้าเซียนตอบพร้อมรอยยิ้ม มิอาจรู้ได้เลยว่าคำตอบดังกล่าวกลับทำให้เซียวถิงฟงต้องร้องหาในใจดังๆ “บ่อเกิดพลังข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องอยู่ที่นี่สิ” เขากล่าวเสริม

            เซียวถิงฟงรับฟังโดยไม่เถียง ทว่าในใจกลับคิดแผนการรับมืออย่างรวดเร็ว คนบ้าผู้นี้ดูไม่ค่อยมีพิษสงอะไร น่าจะวางใจได้ หึ หึ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ข้าจะหานักพรตเก่งๆ มาหลอกเจ้าไปขังในเจดีย์บนยอดเขาซูซาน หรือไม่ก็เจดีย์ในวัดเส้าหลินล่ะกัน เขาคิดอย่างเจ้าเล่ห์ แต่ก็ต้องนึกขึ้นได้ว่าถ้าหากเด็กหนุ่มนี่กลับเข้ามาฝังบนหน้าอกเขาอีกล่ะ

            “เอ่อ แล้วเจ้าน่ะ จะต้องสูบพลังข้าอีกไหม” เขาพูดอย่างหวาดระแวงสองมือยกกอดปิดหน้าอกแน่น

            “ไม่หรอก ข้าไม่สามารถกลับเข้าสู่ตัวเจ้าได้อีก เนื่องจากพลังข้าไม่เพียงพอ อีกอย่างตอนนี้บ่อเกิดพลังข้าอยู่ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังธาตุจากเจ้าอีกแล้ว”

            ได้ฟังเช่นนั้นเซียวถิงฟงก็โล่งใจ หมายความว่าบ่อเกิดพลังของเจ้าปีศาจลูกแก้วอยู่ที่สระบัว หากสระบัวถูกทำลายก็หมายความว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าเผยช่องโหว่เองนะ เจ้าทึ่มต้าเซียน

            “ฉะนั้นข้ารบกวนเจ้าด้วยล่ะ”

            “หือ อะไร” เซียวถิงฟงถึงกับงงงันวูบ

            “ข้าจำต้องพักกับเจ้าชั่วคราวน่ะสิ” ต้าเซียนอธิบายเพิ่มเติม

            “ให้ตายสิไหนเจ้าบอกว่าบ่อเกิดพลังอยู่ที่สระบัว เจ้าก็อยู่ไปสิ จะมาอยู่กับข้าทำไม” เซียวถิงฟงพูดอย่างหัวเสีย แต่ต้าเซียนกลับส่ายหน้าอย่างเดียว ทำให้เขารู้สึกไม่มีทางเลือก “หวังว่าเจ้าคงกลายร่างกลับเป็นลูกแก้วอีกได้สินะ” เขาลองถาม แค่คิดว่าเขาต้องพาเด็กหนุ่มแปลกหน้าไม่มีที่มาเข้าบ้าน หูเขาคงจะต้องชาไปนานนับปีเพราะคำพร่ำบ่นของบิดา

            “ตอนนี้พลังไม่ข้าไม่เพียงพอที่จะกลับไปอยู่ในลูกแก้ว หากข้าฟื้นฟูพลังได้หลายส่วนเมื่อนั้นข้าก็สามารถกลับไปอยู่ในลูกแก้วได้ แต่ถึงตอนนั้นข้าคงไม่คิดจะเข้าไปอยู่ในลูกแก้วอีกหรอกนะ”

            ความหวังของเซียวถิงฟงสลายไปในพริบตา เขาตัดสินใจนำเรือกลับเข้าท่า หากเป็นเรื่องหลังจากนี้ค่อยๆ ว่ากันใหม่ รึจะแอบเก็บเจ้านี่ไว้ในห้องดี ขังไว้ไม่ให้ใครเห็น แต่ถ้าเกิดมีคนรู้ล่ะ คงไม่ดีแน่เขาอาจกลายเป็นจอหงวนบู้คนแรกที่มีรสนิยมเพี้ยนๆ ชอบเลี้ยงเด็กหนุ่มรูปงามไว้ในห้องส่วนตัวก็เป็นได้ แค่คิดก็แทบคลั่งแล้ว ตอนนี้ได้แต่รีบพายเรือกลับไม่สนใจเรื่องอื่นอีกต่อไป
           
            “แล้วเจ้ามีนามกระไร” ระหว่างทางต้าเซียนก็พลันเอ่ยปากทำลายความสงบ
           
            “ข้าเซียวถิงฟง หรือจะเรียกข้าว่าถิงฟงก็ได้” เซียวถิงฟงที่หันหลังพายเรือพลางตอบโดยไม่หันมากลับมามอง แวบหนึ่งก็นึกฉงนว่าทำไมจึงให้เจ้าคนแปลกหน้าเรียกชื่อตนเองได้อย่างสนิทสนมด้วยนะ ปกติไม่ค่อยมีใครกล้าเรียกเขาตรงๆเท่าใดนัก ยกเว้นคนสนิทหรือคนที่เชื่อใจเท่านั้น


******************************************************



ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 4.2 มหาเทพยาจก


 
           
            เมื่อพายเรือจวนจะถึงท่าแล้วทั้งสองก็เห็นคบไฟที่ส่องสว่างอยู่ตรงข้ามอีกฝั่งหนึ่ง เซียวถิงฟงรับรู้ได้ถึงความยุ่งยากที่กำลังจะเกิดขึ้น หวังเพียงว่าอีกฟากของสระบัวจะมีเพียงแต่ข้ารับใช้เท่านั้นนะ เขาได้แต่ภาวนาในใจ ครั้นเมื่อเรือจอดเทียบท่าอวี่จงก็วิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

            “คุณชาย ทำไมถึงพายเรือออกไปกลางดึกเช่นนี้เล่า แล้วนี่ท่านยังไม่สบายอยู่นะ มาเปลือยท่อนบนอย่างนี้ได้ที่ไหนกัน” อวี่จงบ่นอุบอิบอย่างเป็นห่วง แต่แล้วก็ต้องชะงักงันเสมือนมีใครอีกคนยืนหลบที่ด้านหลัง สายตาจึงพลันมองอย่างสอดรู้สอดเห็น แล้วจึงเห็นเป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่มีรูปร่างส่วนสูงพอๆกับตนเอง และดูว่าอีกฝ่ายก็มองเขาด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้เช่นกัน
           
            “อ้ะ” อวี่จงอุทาน คล้ายมองข้ามบางสิ่งที่สำคัญไป เขาไล่มองอีกครั้งก่อนจะสะดุดเข้าที่เสื้อที่เด็กหนุ่มใส่ ถ้าจำไม่ผิดนี่เป็นเสื้อของคุณชายนี่นา ครานี้ได้แต่มองหน้าผู้เป็นนายสลับกับหน้าของเด็กหนุ่มไปมาด้วยความรู้สึกยากที่จะกล่าว

            ด้านต้าเซียนเห็นคนตาโตจ้องมองตนมิวางตาก็ส่งยิ้มหวานไปให้ ทำเอาอีกฝ่ายหน้าแดงฉ่า

            “พะ พวกท่าน ทำอะไรกัน” อวี่จงตะกุกตะกักถาม

            “ก็ไม่มีอะไรนี่ ข้าจะกลับเรือน รีบไปเตรียมชุดหนาๆให้เขาด้วย” เซียวถิงฟงขี้คร้านจะอธิบายรีบตัดบทกลับที่พัก

            “ตะ แต่นายท่านอยู่”

            “ถิงฟง”

            ไม่ทันที่อวี่จงจะกล่าวเตือน น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของผู้นำตระกูลเซียวก็ดังขึ้น ชายรูปร่างสูงใหญ่อายุราวสี่สิบก้าวเข้ามาในชุดขุนนางเต็มยศ ใบหน้ามีรอยแห่งกาลเวลาประดับใกล้ดวงตา อีกทั้งรูปหน้ายังคล้ายคลึงกับเซียวถิงฟงหลายส่วน ที่ด้านหลังยังตามมาด้วยพ่อบ้านประจำตระกูลผู้มีรูปร่างผอมสูง
           
            “ท่านพ่อ”

            “เจ้าคิดจะทำอะไรมิทราบ ข้าสั่งมิให้เจ้าเฉียดกายเข้าใกล้สระบัวแล้วมิใช่รึ” เซียวถิงหลี่ว่ากล่าวด้วยความโมโห มิได้ทันสังเกตเห็นคนที่อยู่ด้านหลังบุตรชายแม้แต่น้อย กระทั่งพ่อบ้านที่ยืนเยื้องออกไปทำการสะกิดดึงที่ไหล่เป็นการใหญ่จึงได้หยุดเสียงลง

            เมื่อสายตาสบเข้ากับเด็กหนุ่มก็ถึงกับผงะขยี้ตาอยู่หลายครั้ง สภาพของตรงหน้าแทบทำให้เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ร่างนวลขาวงดงามถูกห่อหุ้มไปด้วยเสื้อเพียงตัวเดียวซ้ำยังมีรอยเลือดเปราะเปื้อนเป็นจุดๆ ขาเรียวเปลือยเปล่าเปิดโล่งสู่สายตา อีกทั้งสายตาที่ดูไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราวคู่นั้น เขาหันกลับไปมองบุตรชายตัวดีที่ตอนนี้ยืนเปลือยอกอยู่ทนโท่ มิหนำซ้ำกางเกงที่สวมยังเข้าชุดเดียวกับที่อีกฝ่ายใส่

            ครั้นมองหน้าบุตรชายสลับไปมากับหน้าเด็กหนุ่มรูปงาม ในใจบังเกิดความรู้สึกยากที่จะบรรยาย จนในที่สุดก็หน้ามืดผงะถอยหลังไป ทำเอาพ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้ามาช่วยพยุงเป็นการใหญ่

            “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรรึเปล่า”

            “จะไม่เป็นอะไรได้ไงเล่า ไอ้ตัวเลวร้าย คิดเล่นอุตริอะไรอยู่หา” เซียวถิงหลี่ตะคอกเสียงสูง ด้านเซียวถิงฟงก็สวนทันควัน

            “เล่นอุตริอะไรที่ไหน ไม่มีสักหน่อย”
           
            “เห็นอยู่ทนโท่ เจ้ากล้าบ่ายเบี่ยงรึ รึเจ้าจะบอกว่าเจ้ากับเด็กหนุ่มคนนี้ แค่ออกไปพายเรือชมสระบัวที่เพิ่งเบ่งบานของข้ามาด้วยสภาพ...อ่ะ แฮ่ม วาบหวิว” ประโยคสุดท้ายเซียวถิงหลี่กระแอมกระไออย่างกระดากปาก

            “เป็นเช่นนั้น เช่นที่ท่านกล่าว” ได้แต่ตอบว่าใช่ เรื่องที่เกิดขึ้นอธิบายไปใครจะเชื่อ มีแต่คนจะว่าเขาบ้าเท่านั้น

            “เหลวไหล เหลวไหลสิ้นดี เหตุผลแบบนี้ใครที่ไหนจะไปเชื่อลง” เซียวถิงหลี่พูดพลางส่ายหน้า

            “อ้าว ก็ท่านเป็นคนพูดเองนี่นา ตาแก่ขี้ลืมเอ้ย”

            “จบกันตระกูลข้า ข้าเพียงแค่อยากจะออกมาชมความงามของสระบัว แต่นี่กลับต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้ ข้ามิเคยสักครั้งที่จะสั่งสอนให้เจ้าล่อลวงใคร อีกทั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม” เซียวถิงหลี่พูดพร้อมกับทอดถอนใจจนพ่อบ้านและอวี่จงได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ด้วยสีหน้าสลดๆ

            “ตาแก่ ท่านฟังให้ดี ข้ามิเคยแม้แต่จะล่อลวงใคร ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายหน้าไหนทั้งนั้น” เซียวถิงฟงพูดอย่างเน้นชัดๆ

            “ดูสิหลิงหลัน ดูลูกของเราตอนนี้สิ เหลวไหลสิ้นดี ข้าขอโทษที่ไม่ได้สั่งสอนเขาให้ดี เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะหลิงหลัน” บิดาเขาพูดน้ำเสียงสลดขอบตามีน้ำตาปริ่ม แต่เซียวถิงฟงรู้ทัน
           
            “ตาแก่ อย่ามาทำเป็นฟ้องนะ ท่านแม่รู้ดีว่าข้ามิได้ล่อลวงใครมาทั้งสิ้น” 

            “งั้น เด็กหนุ่มรูปงามที่มากับเจ้าคนนี้เป็นใครกัน เจ้าแค่เชิญเขามาเป็นแขกบ้านเรากระนั้นรึ” 

            ด้านต้าเซียนก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้จะพยายามฟังสิ่งที่ทั้งสองพูด แต่ก็มิอาจเข้าใจได้แม้แต่น้อย ล่อลวงอะไร ดูๆแล้วพวกเขาช่างเหมือนกันมากทีเดียว แม้แต่ท่าทางตอนโมโห สงสัยจริงเชียวว่าสองพ่อลูกคู่นี้ไปกินรังแตนที่ไหนมา ทำไมขี้โมโหกันจัง

            “เจ้าไม่ต้องกลัวกล่าวมาเถอะว่าบุตรชายข้าล่อลวงเจ้ามา”

            สายตาจริงจังของเซียวถิงหลี่รวมถึงสายตาของทุกคนต่างเพ่งกดดันมาที่เขา ต้าเซียนกวาดสายตาอย่างงงๆแล้วตอบออกไป “ล่อลวง” บอกให้กล่าวตนก็กล่าวตามนั้น ทั้งยังมิลืมส่งยิ้มเป็นการจบประโยค

            ทว่าคำตอบดังกล่าวทำเอาเซียวถิงฟงถึงกับอ้าปากค้างจ้องมองคนที่ยืนยิ้มบื้อตาไม่กะพริบ บิดาเองก็หันมาถลึงตาใส่เขา จากนั้นจึงหันไปสั่งอวี่จงให้จัดห้องให้แขก ก่อนจากไปยังมิวายทำเสียงฮึดฮัด โดยมีพ่อบ้านเดินตามไปติดๆ

            “สวรรค์ ข้าไปล่อลวงเจ้าตอนไหนกันหา” เมื่อคนเริ่มแยกย้ายเขาก็หันมาระบายอารมณ์อย่างเดือดดาล

            “อ้าว ล่อลวงไม่ดีหรือ ข้าควรตอบเช่นไรกัน” ต้าเซียนถามอย่างไร้เดียงสา ทำเอาเซียวถิงฟงรู้สึกไร้เรี่ยวแรงได้แต่นั่งกุมขมับ

            “เจ้า ไม่รู้จักคำว่าล่อลวงรึ” เขาถามอย่างเหนื่อยล้า

            “ไม่รู้” ต้าเซียนฉีกยิ้มตอบ
           
            “ไม่รู้แล้วจะตอบทำบ้าอะไร”

            “แล้วมันหมายความว่าอะไรกันรึ ถิงฟง”

            คิดจะว่ากล่าวอีกสักประโยคทว่านามที่ถูกเรียกกลับมา ทำให้ความดุเดือดในใจอ่อนยวบลงไปกะทันหัน น้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังทำให้เขารู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า แล้วเขาจะอธิบายยังไงดีล่ะ

            “เอ่อ ก็คล้ายกับหนีตามกันไป พ่อข้าเข้าใจว่าข้าหลอกเจ้ามา อีกทั้งสภาพเราทั้งสองคนเป็นเช่นนี้ทำให้พวกเขาปักใจเชื่อเช่นนั้น”

            ต้าเซียนเงียบฟังคำอธิบายไปสักพักก็ต้องร้องอ้อออกมา จากนั้นจึงใช้แววตาฉายความจริงจังกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว เห็นไหมถ้าเจ้ายอมให้กางเกงข้าแต่แรก เรื่องคงไม่เป็นเช่นนี้หรอก”
           
            จากอารมณ์ที่เริ่มสงบพลันแปรเปลี่ยนดังเช่นคลื่นระลอกใหญ่ในมหาสมุทร ดวงตาของเขาเกิดเป็นเส้นเลือดแตกฝอยมากมาย ความจริงเจ้าเข้าใจอะไรกันแน่ ตั้งแต่ต้นจนจบมีแต่เจ้าที่ล่อลวงข้าต่างหาก เจ็บตัวไม่เท่าไหร่ยังถูกคนเข้าใจผิดเสียอีก หากกลับกันอย่างที่เจ้าพูด เจ้าใส่กางกาง ส่วนข้าใส่แต่เสื้อ มิกลายเป็นว่าข้าเสียเชิงชายรึ ส่วนคนอื่นๆคงจะว่าเข้าใจว่าข้าถูกเจ้า...

            นี่มันมหาเทพอะไรกัน จะมีมหาเทพที่ไหนที่ทั้งทึ่มทั้งยังเป็นยาจกเช่นเจ้า หากมีโลกคงถึงกาลวิบัติเสียแล้ว

            “เจ้าเป็นตัวโง่งมที่สุด”

            เซียวถิงฟงมองค้อนต้าเซียนทีหนึ่งก่อนลุกขึ้นเดินจากไปปล่อยให้ต้าเซียนยืนงงไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดอะไร แต่พอเห็นชายหนุ่มเดินห่างไกลออกไป ร่างน้อยก็รีบเดินตามไปติดๆ

            จะว่าไปหากตอนที่ท่านพ่อเห็นตอนที่เป็นเด็กสาวไม่ใช่เด็กหนุ่มล่ะจะเป็นเช่นไร เซียวถิงฟงอดคิดไม่ได้ แต่จะอย่างไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นถ้าเป็นเช่นนั้น เพราะบิดาเขาคงได้จัดงานแต่งทันทีแน่นอน จะอย่างไรเขาก็ไม่อยากแต่งงานกับตัวประหลาดหรือปีศาจแบบนี้แน่นอน
 

******************************************************


ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
จิ้ม
ติดตามนะค้า

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 5.1 ทำลายล้าง


           ต้าเซียนตามเซียวถิงฟงไปไม่นานก็มาถึงหน้าตำหนักพิรุณ เห็นชายหนุ่มเดินดุ่มเข้าไปก็รีบสาวเท้าตามไปบ้าง แต่แล้วอวี่จงกลับก้าวเข้ามาขวางทางไว้พลางผายมือไปยังอีกทางหนึ่ง

           “อ่ะ แฮ่ม ท่านตามข้ามาทางนี้” อวี่จงกระแอมไอกล่าวน้ำเสียงขึงขัง แต่คนตรงหน้ากลับยืนลังเลมองร่างสูงไม่ไหวติง จึงได้แต่ดึงชายเสื้อบางแล้วพาไปยังตำหนักหลังเล็กที่อยู่ข้างๆแทน ครั้นพอถึงตัวเรือนก็จัดการดันร่างแขกเข้าไปในห้องแล้วหันไปกล่าวกับสาวใช้ผู้ดูแลเรือนเล็ก

           ต้าเซียนพอถูกทิ้งไว้ก็ยืนอย่างงุนงง รอนานเข้าก็ถือโอกาสสำรวจมองรอบๆห้อง ด้านในของตำหนักหลังนี้ต่างเป็นห้องเรียบไม่หวือหวา ดูสงบเงียบเหมาะแก่การฟื้นฟูพลังชั่วคราว

           “นี่ชุดของท่าน รีบเปลี่ยนเถิด หากท่านอยากชำระล้างกาย ฮัวหลงเตรียมน้ำอุ่นไว้ที่ห้องข้างๆแล้ว และหากยังต้องการอะไรเพิ่มเติมให้แจ้งแก่นางได้เลย” เด็กรับใช้กล่าวพลางยัดเสื้อผ้าเนื้อนุ่มสีชมพูอ่อนใส่ในมือแขก ปุบปับก็จากไปทิ้งต้าเซียนให้ยืนงุนงงเป็นรอบที่สอง

           รอจนเช้าตรู่ของวันต่อมาอวี่จงก็กลับมาตำหนักเล็กอีก ใจก็นึกว่าเพลานี้แขกของคุณชายเซียวน่าจะกำลังหลับอยู่บนเตียงนุ่ม เขาจึงเปิดปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ แต่แล้วเมื่อหันหลังกลับไปหัวใจก็แทบกระดอนออกจากอก

           “ว๊ากก พ่อแก้วแม่แก้ว ข้ามิเคยทำชั่ว เหตุใดจึงต้องพานพบภูติผีเช่นนี้ด้วย” อวี่จงสะดุ้งตัวโหยงพลางกระโดดถอยหลังจนแนบชิดติดประตู

           ที่เบื้องหน้าเขากลับปรากฏเป็นเงาดำตะคุ่มๆ รูปร่างของมันคล้ายกับคน ทว่าผิวขาวราวกระดาษ ผมยาวรกรุงรังปิดบังใบหน้าจนหมดสิ้น เหลือเพียงดวงตาที่ส่องสะท้อนท่ามกลางห้องมืดสลัว

           “ไหน ภูตผีอยู่ตรงไหน” เห็นอวี่จงตกใจจนร้องเสียงหลง ต้าเซียนก็ตื่นตัวสอดส่องมองหาภูติผีบ้าง

           เสียงที่ตอบกลับมาทำให้อวี่จงหรี่ตาขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ พอพบว่าเงาร่างที่เห็นเป็นเพียงแขกของคุณชายเซียวมิใช่ภูตผีอันใดก็อดที่จะเก้อเขินมิได้ “ทะ ท่าน ยืนตรงนี้ตลอดเลยรึ” เขาจ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ เห็นใบหน้าน้อยพยักให้ก็รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “แล้วทำไมท่านจึงไม่ยังเปลี่ยนชุด หากห้องนี้ไม่มีเตาผิงท่านมิจับไข้หรอกรึ”

           ต้าเซียนทำหน้านิ่งไปพักหนึ่งก็ตอบเสียงเบา “ข้า...ใส่ไม่เป็น”

           อวี่จงรับฟังจนอ้าปากค้าง คนตรงหน้าอายุก็มิใช่น้อยแต่เหตุไฉนเสื้อผ้ายังใส่เองไม่เป็น ต่อให้เป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ มีข้าหลวงนางกำนัลคอยสวมใส่ฉลองพระองค์ให้ แต่ก็ใช่ว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าเองไม่เป็นเลย

           “เจ้าสอนข้าหน่อยละกัน” ต้าเซียนยิ้มกล่าว รอยยิ้มนั้นทำเอาอวี่จงหน้าแดงระเรื่อก่อนจะพยักหน้าตกลง
ในระหว่างการสอนเพื่อมิให้กระอักกระอ่วนจนเกินไปอวี่จงจึงพยายามชวนอีกฝ่ายคุยไปเรื่อยเปื่อย โดยเริ่มจากคำถามง่ายๆก่อน
           
           “ท่านมีนามว่าอะไรหรือ”

           “ถิงฟงตั้งชื่อข้าว่า ต้าเซียน ดังนั้นข้าจึงมีนามว่า ต้าเซียน” เขากล่าวอย่างร่าเริง น้ำเสียงยังบ่งบอกถึงความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

           อวี่จงถึงกับงงงันวูบ กระทั่งนามก็เป็นคุณชายเซียวตั้งให้? เขายกมือขึ้นเกาศีรษะเป็นการใหญ่ก่อนกล่าวทั้งที่ยังมึนงง “ข้าน้อยนาม อวี่จง เป็นข้ารับใช้ประจำตัวของคุณชายเซียว ส่วนนายท่านใหญ่ ท่านติดงานราชการอีกสามวันถึงจะกลับจากวังหลวง นายท่านจึงฝากข้อความแก่ท่านว่าให้ทำตัวตามสบายมิต้องเกรงใจ”

           ต้าเซียนฟังแล้วก็ยิ้มรับ ผ่านไปสักระยะบทเรียนก็เป็นอันจบลง ดูว่าผมยาวนุ่มสลวยที่ระพื้นของเขาค่อนข้างจะเป็นอุปสรรคต่อการแต่งตัวไม่น้อย เพราะเล่นเอาคนสอนถึงกับปาดเหงื่อเป็นพักๆ

           หลังจากนั้นเขาก็ถูกทิ้งไว้ให้กับสาวใช้นางหนึ่ง นางเชิญเขาไปที่ห้องอาหาร เมื่อไปถึงที่นั่นก็มีสำรับอาหารจัดวางไว้อยู่แล้ว ข้างๆยังมีสาวใช้อีกคนยืนยิ้มให้

           “นายท่าน เชิญรับประทานตอนร้อนๆเถิด” เหม่ยอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

           ต้าเซียนมองสำรับอาหารที่มีควันฉุยอยู่นานก็ต้องเงยหน้าที่นิ่งสนิทขึ้น “แต่มหาเทพอย่างข้ามิเคยกินอาหารเช่นมนุษย์มาก่อน”

           ประโยคดังกล่าวทำเอาสาวใช้ทั้งสองต่างมองหน้ากันงงเป็นไก่ตาแตก จนในที่สุดฮัวหลงก็ถือวิสาสะยื่นตะเกียบยัดใส่มือคนงาม

           เขาถือตะเกียบไม้อย่างงงงัน กระทั่งเผลอสูดกลิ่นหอมอบอวลก็ต้องรู้สึกปั่นป่วนขึ้น คล้ายว่าท้องของเขามันกำลังโหยหวนสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นเขาก็ได้ลิ้มลองอาหารของมนุษย์เป็นครั้งแรก อืม ไม่เลวทีเดียว ร่างน้อยคิดพลางเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ

           ผ่านไปสามวัน ต้าเซียนก็พอจะใช้เวลากลางคืนฟื้นฟูพลังได้บ้าง ทว่าเวลากลางวันกลับต้องคอยหลบฮัวหลงกับเหม่ยอิงที่ชมชอบการละเล่นจับเขาสวมชุดนู่นชุดนี้อยู่ตลอด ซึ่งแม้จะคอยหลบได้สำเร็จ แต่เมื่อตกเย็นเขาก็ไม่เคยรอดพ้นจากการถูกพาไปสระผมเลยสักครั้ง มีคราหนึ่งพวกนางถึงกับเอ่ยปากจะตัดผมเขา เล่นเอามหาเทพอย่างเขาวิ่งแตกตื่นออกมาทั้งๆที่ผมยังสระไม่เสร็จเลยทีเดียว


******************************************************


           ในช่วงเพลาตะวันคล้อย ต้าเซียนที่เอาแต่นั่งๆนอนๆในเรือนก็เกิดอาการเบื่อหน่ายจึงตัดสินใจออกไปเดินเลียบกำแพงเตี้ยของจวนที่พักไปเรื่อยๆ กระทั่งบังเอิญได้ยินเสียงร้องหนึ่ง ใบหน้าเขาก็พลันแสยะยิ้มพลางเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้ จวบจนเข้าใกล้เป้าหมายก็ซุ่มซ่อนตัวอยู่ห่างๆ

           แมวขนสีดำเงางามตัวหนึ่งกำลังนั่งฝนเล็บเข้ากับต้นไม้ต้นประจำอยู่บนกำแพง ต้าเซียนเห็นว่ามันมิได้ระวังก็ย่องเบาจากทางด้านหลัง มือก็ยื่นกะขนาดของมันอย่างเงียบเชียบ ในใจนึกถึงช่วงเวลาอันน่าอดสู มันกลิ้งเขาที่เป็นลูกแก้วอยู่ทุกวันจนสมองมึนงงไปหมด

           วันนี้ข้าจะเอาคืนเจ้าเสียให้เข็ด ต้าเซียนเผยรอยยิ้มชั่วร้ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่แล้วจังหวะหนึ่งกลับเหยียบเข้าที่ใบไม้แห้งกองใหญ่ เขาลอบร่ำร้องว่าผิดท่าในใจ แต่กระนั้นก็มิอาจห้ามเสียงดังกรอบแกรบที่ใต้ฝ่าเท้าได้ ถิงถิงจึงชะงักตัวหันกลับมาสบตาที่มาดร้ายพอดิบพอดี มันรีบโก่งตัวขึ้นสูงพลางขู่ใส่

           “เจ้าไม่รอดแน่” กล่าวจบต้าเซียนก็ถลาเข้าไปคิดรวบตัวมันไว้ ส่วนถิงถิงที่ปราดเปรียวก็รีบกระโดดลงไปยังอีกฟากหนึ่งของกำแพงเสียก่อน ต้าเซียนเห็นดังนั้นก็เหยียบเข้าที่ก้อนหินใหญ่ข้างต้นไม้ ก่อนจะยกขาขึ้นปีนป่ายขึ้นไปบนกำแพงติดตามไปทันที

           เมื่อลงสู่พื้นดินสำเร็จ แมวสาวก็หันไปชำเลืองมองคนที่กำลังปีนป่ายกำแพงอย่างทุลักทุเล รออยู่นานสักพักก็หาวหวอดขี้เกียจใส่ยังผลให้ร่างน้อยรู้สึกโมโหขึ้น

           “ข้าเป็นถึงมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ คิดเหยียดหยามข้า เจ้าต้องอยู่ไม่สุขแน่” เขาลั่นวาจาพร้อมทั้งหยัดยืนทรงตัวอย่างมาดมั่นบนกำแพง “คอยดูเถอะข้าจะไปปรากฏตัวข้างกายเจ้า โดยที่เจ้ายังไม่มีเวลาแม้แต่จะกะพริบตาเลยเชียว” ว่าแล้วก็ก้าวเท้าออกไปข้างหน้าทันที ทว่าเมื่อลงน้ำหนักที่ปลายเท้ากลับสัมผัสได้แต่ความวูบโหวง

           เอ ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้ว ตอนนี้พลังในกายยังคงไม่สมบูรณ์ อย่าว่าแต่จะเหาะเหินเลย แม้แต่พลังจะเสกมดยังยากยิ่งกว่าฝนทั่งให้เป็นเข็มเสียอีก

           มาตรว่าคิดได้แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ร่างพลันเอนล้มไปด้านหน้า แต่โชคยังนับว่าเข้าข้างเมื่อสองมือยื่นคว้าจับกิ่งไม้ที่ด้านบนได้อย่างทันท่วงที ร่างน้อยถึงกับถอนใจโล่งอก ทว่าลมหายใจยังพรูออกมาไม่หมด กิ่งไม้กลับเอนลงจนเกิดเป็นเสียงแตกหัก

           เปรี๊ยะ

           “อ๊าก” เขาร้องลั่นอย่างหมดมาดมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ใบหน้าคะมำไปกับพื้นดิน เสื้อผ้าคลุกฝุ่น เศษใบไม้ร่วงปลิวว่อนติดตามเสื้อผ้า ล้มนอนนิ่งบนพื้นครู่หนึ่งก็แหงนหน้าขึ้นมอง

           ถิงถิงยังคงนั่งอยู่ไม่ไกลทั้งจับจ้องมองคนจับกบตาไม่กะพริบ แววตาของมันเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน จึงบังเกิดเป็นไฟลุกโชนขึ้นในใจต้าเซียนพลันถลาพุ่งตัวตะปบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

           “เมี้ยว” เสียงแมวร้องลั่น แม้มันจะกระโดดหลบ ทว่าหางของมันกลับหลบไม่พ้น ต้าเซียนกระหยิ่มยิ้มย่องก่อนจัดการลากหางเจ้าแมวตัวดีเข้ามาใกล้ๆ ถิงถิงที่ถูกดึงมาก็ตื่นตระหนกรีบขืนตัวกางเล็บจิกลึกลงบนพื้นดิน

           ร่างน้อยออกแรงดึงยิ่งขึ้น แต่มิไยว่าจะดึงเท่าไหร่มันก็ยังคงมิตกอยู่ในกำมือสักที มหาเทพกับแมวตะลุมบอนกันได้ไม่นาน ผ้าคาดเอวของเขาก็ถูกจับหมับ ก่อนที่ร่างจะถูกยกขึ้นสูงจนตัวลอยคว้างท่ามกลางอากาศ

           “เจ้าทำอะไรกับแมวของคนอื่นมิทราบ”

           เสียงทรงพลังกล่าวขึ้นที่เหนือศีรษะ แหงนหน้ามองก็พบคนที่มิได้เห็นหน้าคาดตานับสามวันเต็ม และดูว่าสีหน้าของชายหนุ่มตอนนี้ช่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่กระตุกบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ

           “จะจับไปถึงเมื่อไหร่มิทราบ เจ้ามหาเทพยาจก” เซียวถิงฟงกล่าวประชดประชัน สายตาก็มองดูมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่คลุกฝุ่นจนเปราะเปื้อนสกปรกอย่างเวทนา
           “......” ต้าเซียนไม่ตอบยังคงมุ่งมั่นหันกลับไปดึงหางแมวต่อ

           ร่างสูงเห็นอีกฝ่ายไม่สนใจก็รู้สึกขัดเคือง มือจึงรั้งร่างที่เคว้งคว้าง ขึ้นสูงอีก ยังผลหางของถิงถิงลื่นหลุดจากมือเรียวไปในที่สุด ถิงถิงเป็นอิสระได้ก็แสยะยิ้มให้ก่อนวิ่งจากไป ต้าเซียนยิ่งคับแค้นใจจึงดิ้นรนอย่างหนัก ทว่าก็ทำได้เพียงแค่เตะใส่อากาศไปมาอย่างไร้ประโยชน์

           “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” รอจนเจ้าตัวค่อยๆหมดแรงลงก็จัดการพลิกตัวต้าเซียนขึ้นประจันหน้า สองมือสอดอยู่ใต้วงแขนเรียวทั้งสอง

           “ปล่อยข้า” ต้าเซียนที่ถูกจับห้อยต่องแต่งราวกับตุ๊กตาก็ต้องร้องอย่างไม่พอใจ

           “ไม่ปล่อย หากอยากเป็นอิสระนักก็ใช้พลังเซียนของเจ้าเสียสิ” เขาเหยียดยิ้มกล่าวยั่ว สามวันที่ผ่านมานี้เขาสืบความเป็นไปของอีกฝ่ายอยู่ห่างๆมาตลอด และก็ไม่เห็นว่าคนตรงหน้าจะไม่มีอิทธิฤทธิ์ตรงไหน ยิ่งคงไม่ใช่มหาเทพตามที่เจ้าตัวกล่าวอ้างอย่างแน่นอน

           ต้าเซียนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกถูกสบประมาท เขาเป็นถึงมหาเทพ ไยเล่าต้องทนต่อการดูหมิ่น ร่างน้อยคิดพลางดิ้นรนอีกครั้ง ทว่าร่างสูงกลับมิสะทกสะท้านทั้งยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “เจ้ากล้าลบหลู่ข้ารึ”

           “มิใช่ว่าเจ้าเป็นฝ่ายริเริ่มก่อนรึ มิใช่ว่าเจ้าทารุณสัตว์เลี้ยงข้าก่อนรึ” เซียวถิงฟงย้อนถาม

           “หากเจ้ายังไม่หยุดอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ” เขาถลึงตาขู่

           ดวงตาสีดำเปี่ยมด้วยความขบขำ อยากจะหัวร่อนัก “มหาเทพไร้ฤทธิ์อย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้ บอกซิ” กล่าวจบได้ไม่นานใบหน้าของเซียวถิงฟงก็พลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวใครจะคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้ายกเท้าถีบใส่ที่หน้าแท้งเขา...น่าตายนัก ว่าแล้วมือก็พลันปละปล่อยร่างในมือ จากนั้นหันไปกระโดดเหยงๆ เป็นกระต่ายขาเดียว

           ร่างน้อยหล่นตุบลงบนพื้นอีกครั้ง แต่ก็มิวายกวาดสายตาไปอีกทางหนึ่ง เฮอะ เขาแค่นเสียงในใจ มันมิได้จากไปไกลอย่างที่คิด ถิงถิงยังคงซ่อนตัวอยู่ที่พุ่มไม้ต้นหนึ่ง รอดูเขารับโทษจากเซียวถิงฟง ว่าแล้วร่างคลุกฝุ่นก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้น

           เซียวถิงฟงแลเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจความคิดอีกฝ่าย จึงถลาตัวล้มทับใส่ทันที ทว่าต้าเซียนกลับไม่ยอมแพ้ใช้มือคืบคลานไปข้างหน้าอย่างยากเย็น ด้านถิงถิงก็ได้แต่มองคนทั้งคู่อย่างสนุกตา เมื่อยื้อยุดไม่ประสบผล อยู่นานร่างสูงก็ตัดสินใจกอดเอวบางไว้แล้วพากลิ้งตัวออกไปให้ห่าง

           “อ้าาา...” ต้าเซียนร้องเมื่อถูกพลิกตัวหงายบนกายชายหนุ่ม ทว่ายังมิทันจะหายตกใจดี ร่างก็ถูกพลิกกลับมาอยู่ด้านล่างอีกครั้ง

           ทั้งสองต่างกลิ้งไปมาหลายตลบโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงได้ง่ายๆ จนกระทั่งเสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่น เส้นผมหลุดสยายไม่เป็นทรง ร่างของทั้งสองก็ชนเข้ากับบางสิ่งแล้วพลันหยุดนิ่งลง

           ต้าเซียนที่ถูกนอนขนาบกับพื้นเอียงหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง แต่แล้วใบหน้าของเจ้าตัวกลับอยู่ใกล้กว่าที่คิด ทำเอาปลายจมูกชนกันอย่างมิตั้งใจ พวกเขาต่างชะงักงันจ้องตากันไม่กะพริบ

           นับเป็นครั้งแรกที่กายของเซียวถิงฟงแนบชิดกับใครได้มากถึงเพียงนี้ เขาเผลอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน รู้สึกยิ่งจ้องก็ยิ่งตกอยู่ในวังวนของความมีเสน่ห์นั้น จนมิอาจผละออกจากสายตาคู่อ่อนโยนนั้นได้

           “ไอ้ตัวเลวร้าย กล้าทำบัดสีบัดเถลิงกลางวันแสกๆ เชียวรึ”

           น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้น ทำเอาเซียวถิงฟงสะดุ้งตื่นขึ้นจากภวังค์บังเกิดเป็นความยุ่งยากจนน่าปวดหัว เป็นเขาเองที่ชนเข้ากับขาของบิดา ว่าแล้วก็รีบผละตัวออกจากร่างน้อย

           “ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะใจกล้าถึงเพียงนี้” เซียวถิงหลี่มองหน้าบุตรชายอย่างไม่เชื่อสายตา มือกุมอกคล้ายหัวใจจะวายอยู่รอมร่อ

           “ขะ ข้า ทำอะไรกัน”

           “เจ้ายังจะกล้าถามอีกรึ เห็นอยู่ชัดๆว่าเจ้ากำลัง...จับกดเขา” ประโยคสุดท้ายเซียวถิงหลี่ชี้หน้ากัดฟันพูดอย่างยากเย็น

           “ข้าไม่ได้จับกดเขาเสียหน่อย เป็นเพราะเขารังแกถิงถิงของข้าต่างหาก” เซียวถิงฟงพยายามอธิบายทั้งชี้นิ้วไปที่ถิงถิงซึ่งหลบอยู่ตรงพุ่มไม้ ทุกสายตากลับพุ่งตรงไปที่แมวตัวดำ ทว่าในตอนนี้มันกลับทำท่าเกาหูอย่างรำคาญใจ ดูไม่มีทีท่าว่าถูกรังแกแม้แต่น้อย

           “ยังมีหน้ามาโกหกพกลม งดอาหารเย็น คัดคำว่าศีลธรรมมาหนึ่งร้อยแผ่น” พูดตัดบทไม่ใส่ใจบุตรชายอีก เซียวถิงหลี่หันไปพยุงตัวร่างน้อยก่อนจะพาออกไป ทิ้งไว้ให้เซียวถิงฟงยืนอ้าปากค้างอย่างอับจนปัญญา

 
******************************************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-10-2015 20:09:22 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 5.2 ทำลายล้าง



           ต้าเซียนถูกพาตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้นก็เข้าร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้าบ้าน เซียวถิงหลี่สนทนาถึงที่มาของเขาสักพัก แม้มิได้คำตอบที่แน่ชัดก็ยังปล่อยตัวเขาออกมาทั้งพุงป่องๆ

           ระหว่างที่กลับเรือนที่พำนัก เขาก็แลเห็นแสงริบหรี่มาจากด้านในตำหนักพิรุณ มิรู้ว่าเจ้าของตำหนักจะเป็นอย่างไรบ้าง ว่าแล้วต้าเซียนก็แอบแลซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็ลอบเข้าไปในตำหนักดังกล่าว

           ตำหนักพิรุณถือว่ากว้างกว่าตำหนักที่เขาพักอยู่มาก ห้องหับทั้งหลายต่างจัดตกแต่งดูดีอย่างมีเอกลักษณ์ เขาชมดูสักพักก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของชายหนุ่มที่ห้องตรงข้าม คิดจะก้าวเข้าไปทว่าบังเกิดลังเลขึ้น

           ...บุกรุกเช่นนี้ไม่ดีกระมัง ครั้นคิดจะเดินกลับแต่ก็มิอาจห้ามความอยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่าเซียวถิงฟงกำลังทำอะไรอยู่ แม้รู้ว่าพลังยังไม่เพียงพอ แต่หากไม่ลองจะรู้หรือ สองตาน้อยหลับลงสักพักก็ลืมขึ้น บังเกิดเป็นประกายตาสีทองสาด

           ที่ด้านหลังประตูปรากฏร่างสูงที่นั่งกอดอกหลับตานิ่งอยู่บนโต๊ะหนังสือ สองขาไขว้กันวางพาดอยู่บนโต๊ะที่มีกระดาษวางเกลื่อนกลาดเขียนคำว่าศีลธรรม อีกทั้งยังมีกองกระดาษถูกขยำทิ้งอยู่บนพื้นมากมาย

           “พลังข้าฟื้นฟูขึ้นมาแล้วรึ” ต้าเซียนพึมพำอย่างดีใจจึงคิดรีบกลับไปฟื้นฟูพลังที่ห้อง ทว่ากลับมีเสียงของชายหนุ่มทักขึ้นเสียก่อน

           “เมื่อมาแล้ว เหตุใดไม่เข้ามาก่อน ทำตัวลับๆ ล่อๆไร้ซุ้มไร้เสียง ราวกับแมวขโมย” แม้ว่าตนจะหลับตามาตลอด แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้าใกล้ห้องหนังสือตั้งแต่ต้น ฟังดูแล้วมันนุ่มนวลราวกับเหาะเหิน ไม่หนักอึกทึกอย่างอวี่จงหรือข้ารับใช้คนอื่น คาดเดาดูแล้วไม่น่าจะใช่ใครอื่นอีก

           น้ำเสียงนั้นฟังดูอวดดี ต้าเซียนลอบยิ้ม ในเมื่อกล้าเชิญ ข้าก็จะเข้าไป รับรองเพียงแค่เจ้าได้เห็นประกายพลังที่ทอออกจากกายมหาเทพอย่างข้า เจ้าจะต้องคุกเข่าศิโรราบแทบมิทัน หึ หึ ดวงหน้าเชิดขึ้น สองมือประสานเก็บไว้ที่ด้านหลัง ก้าวฝีเท้าเดินตรงไปข้างหน้าอย่างองอาจ

           ตึง

           “โอ๊ย”

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงขบขันแทบในทันที เซียวถิงฟงหัวเราะอย่างสะใจ เจ้ามหาเทพยาจกนั่น เจ้าต้าเซียนนั่น เดินชนประตูโครมใหญ่ ทั้งยังชนจังๆ เสียด้วย จะมีใครทึ่มได้เท่านี้อีก

           เป็นเพราะลืมไปว่าตอนนี้ตนกำลังใช้เนตรทิพย์ แม้เบื้องหน้ามีประตู แต่ก็มิอาจเห็นประตูได้ ยังผลให้เขาเดินชนประตูเข้าอย่างจัง สุดท้ายต้องหงายหลังก้นจ้ำเบ้าอยู่ที่พื้น ร่างน้อยได้แต่กุมหน้าผากน้ำตาคลอเบ้า เสียงหัวเราะเยาะหยันก็ไม่มีทีท่าว่าจะลง ปากก็เบ้ด้วยความเจ็บใจ

           “เปิด” ครานี้ต้าเซียนถลึงตามองประตูอย่างดุดันทั้งใช้น้ำเสียงกราดเกรี้ยว บังเกิดเป็นพลังที่มองไม่เห็นเข้ากดดันที่ประตูห้องหนังสือ มันกระแทกเปิดอย่างแรงจนเกิดเป็นเสียงดังตูม

           เศษไม้ผุพังต่างร่วงลงไปกองกับพื้น มันเร็วเสียจนกะพริบตามิทันอันที่จริงนี่ไม่เรียกว่าเปิดประตู เรียกให้ถูกคือทลายลงเลยมากกว่า เซียวถิงฟงในตอนนี้หัวเราะไม่ออกอีกต่อไปแล้ว เขาเริ่มหยัดตัวยืนมองคนร่างเล็กที่นั่งกองกับพื้น

           “พูดกันดีๆ ก็ได้ ไยต้องทำลายข้าวของ” กล่าวไปเหงื่อเย็นก็ไหลซึมแนบแก้มไป

           “เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าเข้ามาเองนี่นา” ต้าเซียนเถียงกลับ

           “แต่ข้าไม่ได้บอกให้พังประตูเข้ามาเสียหน่อย”

           “เจ้าไม่เห็นรึว่าข้านั่งอยู่ตรงนี้ แล้วข้าจะไปทำลายประตูห้องของเจ้าได้อย่างไร”

           “แต่เจ้าเป็นคนใช้อิทธิฤทธิ์พังมันมิใช่รึไง” เซียวถิงฟงย้อนถาม

           “เช่นนั้นเจ้ายอมรับว่าข้าเป็นมหาเทพจริงอย่างที่ข้ากล่าวแล้วใช่รึไม่” มุมปากของประดับต้าเซียนด้วยรอยยิ้ม

           เฮอะ ถือว่าข้าหลงกลเจ้า เซียวถิงฟงลอบแค่นเสียงกล่าวกับตนเองในใจ ดูว่าหากไม่ยอมรับตอนนี้มิใช่ว่าเขารนหาเรื่องหรือ อิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายกลับมาแล้ว ฉะนั้นได้แต่เออออไปก่อน น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง รอแต่ให้น้ำสงบก่อนเถอะ หึ หึ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางลุกขึ้นเดินไปทางร่างน้อยก่อนจะแสร้งทำมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มแล้วยื่นมือไปให้

           ต้าเซียนมองอยู่ครู่หนึ่งก็ยื่นมือออกไปจับ ดูว่าเซียวถิงฟงใช้แรงไม่มากก็สามารถรั้งตัวเขาไว้ในอ้อมอก แต่แล้วชายหนุ่มก็ผละตัวออกแทบในทันที “เจ้าไม่สบายรึ ทำไมจึงหน้าแดง” เขาถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อกี้ยังเห็นดีดีอยู่เลยนี่

           “มิเป็นไร” เซียวถิงฟงหันหลังให้พลางก้าวเดินไปยังที่โต๊ะเขียนหนังสือ เขาปัดฝุ่นซากประตูที่กระเด็นมาบางส่วนเพื่อกลบเกลื่อนอาการเก้อเขิน “เจ้าจะอยู่ที่นี่จนถึงเมื่อไหร่”

           “ก็จนกว่าพลังของข้าจะฟื้นฟูได้สามในสี่ส่วน”

           “เช่นนั้นเจ้าจะทำร้ายคนในบ้านข้ารึไม่” เซียวถิงฟงหันกลับไปถามด้วยสายตาเฉียบคม

           ต้าเซียนจ้องตาลึกเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้น “ข้าให้สัญญากับเจ้า ข้าจะไม่มีวันทำร้ายคนในบ้านเจ้าเด็ดขาด อีกทั้งข้าไม่เคยทำร้ายมนุษย์” สายตาพลันเปล่งประกายอบอุ่น แม้เซียวถิงฟงปากจะร้ายเพียงใดแต่ก็ยังคงกตัญญูรักใคร่ครอบครัวยิ่งนัก

           “บอกได้รึไม่ว่า เจ้ายังต้องใช้เวลาฟื้นฟูพลังอีกนานแค่ไหน”

           “อืม เวลานี้ข้ายังมิอาจบอกได้ มีหลายเรื่องที่ข้าที่ยังไม่เข้าใจดีนัก จำเป็นต้องรู้ให้แน่ชัดกระจ่างจึงจะฟื้นฟูได้ครบ”
เซียวถิงฟงมิได้กล่าวอันใดอีก บังเกิดเป็นความเงียบงันระหว่างทั้งสอง พอเห็นต้าเซียนเขยิบเข้ามาช่วยเขาปัดฝุ่นบนโต๊ะหนังสือด้วยท่าทางเงอะงะ เขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากทำลายเงียบ “หลังจากที่เจ้าฟื้นฟูพลังแล้ว เจ้าจะทำอะไรต่อ”

           “ข้าจะออกตามหาบุคคลผู้หนึ่ง”

           “ถ้าหากหาไม่เจอล่ะ” เซียวถิงฟงสงสัย

           ต้าเซียนเองก็ถึงกับชะงักมือที่ปัดฝุ่น เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เงียบไปนานก็ตอบกลับเสียงเบา “ข้าไม่รู้”
เมื่อสังเกตเห็นถึงดวงตาว่างเปล่าระคนเศร้า เซียวถิงฟงก็เจ็บหนึบในอกขึ้นมาแปลกๆ จะอย่างไรคนตรงหน้าก็ดูอ่อนต่อโลก เซ่อซ่า ไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ดูอ่อนแอบอบบางไร้ซึ่งพิษสง อิทธิฤทธิ์ก็คงกระจ้อยร้อย หากต้องอยู่ตามลำพังแล้ว...

           “หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะมาอยู่กับข้าก็ได้” เซียวถิงฟงหลุดปากด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาคมหลุบตามองโต๊ะ ทว่ากล่าวจบก็ลอบก่นด่าตัวเองในใจไม่หยุด ทำไมถึงหลุดคำพูดน่าอายพวกนี้ออกมานะ ทว่าผ่านไปนานก็มิได้ยินเสียงตอบรับใด เซียวถิงฟงเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัยแล้วถึงกับต้องสบถออกมา “น่าตายนัก”

           ต้าเซียนในตอนนี้คล้ายกับนกอินทรีที่กำลังออกล่าเหยื่อ ดูท่าว่าเจ้ามหาเทพยาจกนี่คงไม่ได้ฟังเขาพูดสักกะผีกสินะ ปล่อยให้เขาพล่ามเป็นคนบ้าอยู่ได้ เซียวถิงฟงพยายามหายสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังจะเดือดพล่าน

           โดยในระหว่างที่สนทนากันนั้น ต้าเซียนพลันเห็นแมวตัวหนึ่งที่กระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่าง มันจะเดินนวยนาดเข้ามาโดยมิได้สังเกตเห็นคนในห้อง เขาจึงรีบซ่อนกลิ่นอายเอาไว้ ทั้งยังรวบรวมพลังไว้ที่ปลายนิ้ว

           ด้านถิงถิงเมื่อก้าวเข้าห้องได้สักพักก็เหลือบไปเห็นคู่อริ มันสะดุ้งตัวเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก ทว่าเมื่อประเมินมองแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายช่างอ่อนแอ มันก็นั่งสะบัดหางยั่วเย้าเป็นการใหญ่ มิได้สังเกตเห็นสภาพห้องที่เต็มไปด้วยเศษไม้ผุพัง

           ต้าเซียนเห็นดังนั้นก็ยกมือขึ้นปลายนิ้วทั้งสองเล็งไปที่แมวสาว คิ้วขมวดเพ่งสมาธิ ฉับพลันนั้นประกายตาแปรเปลี่ยนเป็นสีทองก่อนบังเกิดเป็นเสียง

           เปรี้ยง

           โชคดีที่พลังสีทองขุมหนึ่งพุ่งเฉียดผ่านลำตัวถิงถิงไป หากแต่พลังนั้นกลับกระทบผ่านจิ้งจกโชคร้ายตัวหนึ่งที่เกาะอยู่ริมของกระถางต้นไม้ แลไม่นานมันก็ขยายตัวขึ้น สองมือแปรเปลี่ยนเป็นปีก สองขากลับกลายเป็นกรงเล็บ เมื่อไม่มีแรงยึดเกาะมันก็พลันร่วงหล่นลงพื้นกลายเป็นอีกาขนดำตัวหนึ่ง ทว่าตัวมันเองคล้ายยังไม่รู้เรื่องราว มันหยัดยืนขึ้นพลางตวัดจงอยปากกินแมลงวันที่บินโฉบผ่านหน้าไปอย่างเอร็ดอร่อย ยังผลให้ทั้งแมวทั้งคนต่างยืนอ้าปากค้างตกตะลึงเหงื่อไหลโชก
         
           “หึ เล็งพลาดไปนิด แต่ไม่เป็นไรครั้งหน้าไม่พลาดแน่” พูดจบสายตาสีทองก็แผ่รังสีพิฆาตไปยังเจ้าแมวน้อย

           ครั้นเมื่อถิงถิงสบสายตาเข้ากับต้าเซียนก็พลันเห็นชะตากรรมอันเลวร้ายในไม่ช้า ไม่รอให้ชี้นิ้วมา มันก็กระโจนมาไปเกาะที่หน้าอกของร่างสูง “เมี้ยว” มันร้องด้วยความหวาดกลัวระคนขอความช่วยเหลือ แต่ไม่นานนักเสียงร้องของเจ้านายก็ดังตามขึ้นมา

           “ว๊าก” นายบ่าวต่างร้องเสียงหลง เซียวถิงฟงปราดมองจิ้งจกที่แปรสภาพกลายเป็นอีกาดำ ปราดมองประตูที่ตอนนี้หลงเหลือเพียงแค่เศษไม้ เพียงแค่นี้สมองก็สั่งการให้ดึงถิงถิงออกจากตัว แต่ใครจะคิดว่ายิ่งดึงกงเล็บกลับยิ่งขยุ้มลึก

           ด้านต้าเซียนได้แต่มองหนึ่งคนหนึ่งแมวด้วยความหงุดหงิดใจ “ถิงฟง เจ้าจับมันดีๆหน่อยสิ เดี๋ยวข้าก็เล็งพลาดอีกหรอก”

           พลาดแน่ พลาดแน่ๆ เซียวถิงฟงมั่นใจอย่างที่ไม่เคยมั่นใจได้เท่านี้มาก่อนในชีวิต ราวกับชีวิตแขวนบนเส้นด้าย หากโดนพลังนั่นสักครั้ง อย่างเบาคงกลายเป็นแบบเจ้าอีกานั่น หากอย่างหนักคงเป็นแบบซากประตู

           ว่าแล้วก็ตัดสินใจรวบรวมลมปราณไว้ที่ฝ่ามือก่อนฉุดดึงตัวถิงถิงออกจากอก จนบังเกิดเป็นเสียงดังแควก เสื้อผ้าปรากฏเป็นรอยข่วนยาว มือก็โยนถิงถิงไปอีกทางทันที

           เปรี้ยง พลังพุ่งเฉียดผ่านตัวพวกเขาไปอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด ครานี้กลายเป็นหนังสือบนหิ้งฉีกขาดกระจุย เศษกระดาษเป็นรอยไหม้ปลิวว่อนไปทั่วห้อง

           แลในตอนนี้ถิงถิงถึงกับวิ่งพล่านไปทั่วโดยมีพลังสีทองที่ไล่อยู่ตามหลัง มีบางคราที่มันกระโดดข้ามหัวเขา ส่วนตัวเขาลอดผ่านตัวมันไปยังอีกฝากฝั่ง ทั้งคนทั้งแมวต่างกระโดดไปมาทั่วห้อง ชุลมุนหาที่หลบกันไม่หยุดหย่อน จะหนีออกจากห้องก็ไม่ได้ เนื่องเพราะต้าเซียนยืนปิดกั้นทางออกไม่ขยับไปไหน  ภายในห้องจึงเกิดเป็นแสงสีทองวูบวาบพร้อมกับเสียงดังสนั่นไม่หยุดหย่อน

           ตูม เสียงเก้าอี้ระเบิดเป็นจุณ

           เพล้ง แจกันสุดที่รักของข้า

           บรึ้ม ตำราพิชัยยุทธ์สุดหายากของข้า

           “เมี้ยว”

           “ว๊าก แมวรักของข้า” เซียวถิงฟงร้องลั่น หลบชุลมุนไปมาคราวนี้เจ้าถิงถิงไม่รอดแล้ว มันโดนพลังสีทองในขณะที่กำลังกระโจนหนีออกทางหน้าต่างก่อนจะตกลงมานอนปิดตานิ่งสนิท ทั้งเซียวถิงฟงและต้าเซียนต่างใจเต้นระทึกยืนมองถิงถิงตาไม่กะพริบ

           ร่างของถิงถิงเริ่มขยายใหญ่ก่อนแปรเปลี่ยนรูปร่างดั่งเช่นมนุษย์ ผมสีดำเงางามมัดเป็นมวยอยู่สองข้าง ขนของมันแปรสภาพเป็นเสื้อผ้าสีดำ จากนั้นมันก็ลืมตาสีเขียวมรกตขึ้นมองต้าเซียนอย่างหวาดกลัว

           “พลาดรึเนี่ย” ต้าเซียนกล่าวจบก็ยกปลายนิ้วขึ้นชี้ไปที่ถิงถิงอีกครั้ง ดวงตาทอประกายเป็นแสงสีทอง

           เซียวถิงฟงเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งถลาเข้าไปกดตัวร่างน้อยลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ ทำให้เจ้าตัวตกใจเผลอปล่อยพลังขึ้นศีรษะ แต่ว่าครานี้กลับไม่มีเสียงดังสนั่นขึ้นอีก

           “พลังหมดรึ” ต้าเซียนพึมพำด้วยความเสียดาย เซียวถิงฟงถึงกับถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็เอนกายพิงทับร่างข้างใต้อย่างเหน็ดเหนื่อย

           “คุณชายเซียวท่านทำอะไรอยู่ เสียงดังไปถึงด้านนอก เฮือก” เนื่องเพราะได้ยินเสียงดังแปลกๆ อวี่จงจึงคิดมาดู ทว่าเมื่อก้าวเข้าห้องก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ

           สภาพห้องหนังสือตอนนี้ต่างเต็มไปฝุ่นละออง เศษกระดาษที่ปลิวว่อนต่างมีรอยไหม้ ประตูหลงเหลือเพียงเศษไม้ผุๆ เก้าอี้หักไม่สมประกอบ แจกันที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตู้หนังสือที่ควรมีก็ไม่อยู่แล้ว อีกาสีดำสนิทที่ยืนเกาะตอต้นไม้ในกระถางดูแปลกๆ อีกทั้งคุณชายเซียวที่เสื้อขาดเป็นรอยข่วนกำลังจับกดเด็กหนุ่มนามต้าเซียนลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ อ๊ากกก...

           “ขะ ข้าน้อยไม่รบกวนคุณชายแล้ว” อวี่จงหน้าแดงพูดตะกุกตะกัก “เอ่อ อีกอย่าง ข้าว่าอย่าให้หนักมือไปก็คงจะดี” พูดจบก็หันกายวิ่งออกไปโดยมิได้ฟังเสียงคุณชายที่ตะโกนไล่หลังมาเลยสักนิด

           “หนักมืออะไร เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” เซียวถิงฟงตะโกนบอก แต่อวี่จงแผ่นแนบไปเสียแล้ว ครั้นหันกลับมามองสภาพห้องก็พบว่าถิงถิงหายตัวไปแล้ว อีกฝั่งของห้องยังมีต้าเซียนที่ยืนทำท่าทางสงบนิ่งพลางส่งยิ้มแห้งๆมาให้ ทำเอาเส้นเลือดที่หน้าผากเขาก็ถึงกับปูดโปนขึ้นมา

           “ไสหัวเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้นะ” เขาตะโกนดังลั่นจนต้าเซียนต้องวิ่งเผ่นแนบตามอวี่จงไปอีกคน ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะสงสารคนแบบนั้นถึงขนาดออกปากชวนให้มาอยู่ด้วยได้
           
           “ห้องข้า ห้องของข้า” สุดท้ายเขาก็ได้แต่แผดเสียงร้องโอดครวญอีกครั้ง โดยมีเสียงอีการ้องทัก จุ๊ จุ๊ จุ๊ เป็นเชิงปลอบใจอยู่ข้างๆ


******************************************************


คอมเม้นท์ให้คำเเนะนำหรือติชมกันได้นะจ้ะ

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
มาให้กำลังใจจ้า

เป็นแนวที่ชอบ

สู้ๆ

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 6.1 สายสัมพันธ์


           หลังผ่านค่ำคืนแห่งความชุลมุน เช้าวันต่อมาเซียวถิงฟงก็ดูหงุดหงิดงุ่นง่านไม่น้อย ต้าเซียนที่แอบลอบมองอยู่ห่างๆจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนักได้แต่คิดอยู่ในใจ

           อันที่จริงนับตั้งแต่เขาลงมายังบนโลกมนุษย์ จนถึงตอนนี้ก็สามารถฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้นิดหน่อย ทว่ามันน่าแปลกที่บางครั้งเขากลับรับรู้ถึงความรู้สึกแรงกล้าของชายหนุ่มได้ คล้ายว่าระหว่างพวกเขามีสายสัมพันธ์ร่วมกันบางอย่างโดยที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

           จวบจนเห็นร่างสูงเข้าไปในโรงม้า ต้าเซียนก็ค่อยๆย่องตามไปหลบอยู่ข้างหลังต้นไม้พลางจับจ้องอิริยาบถของอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา

           ผ่านไปไม่นานเซียวถิงฟงก็จูงม้าดีตัวหนึ่งออกมา เขาจัดแจงขยับอานม้าวางให้เรียบร้อย ม้าที่เลือกเป็นม้าพันธุ์ดีสีขาวดูสง่างามสมกับผู้เป็นเจ้าของ แต่แล้วเขากลับทอดถอนใจก่อนตะเบ็งเสียง “ออกมาจะจ้องไปถึงเมื่อไหร่” ปากกล่าวทว่าสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ม้า

           “เจ้ารู้ได้อย่างไร” ต้าเซียนเกาหัวแกรกๆ

           “ข้ารู้ว่าเจ้าตามข้ามาตลอด” ครานี้เขาหันถลึงตาใส่

           “เจ้ายังโกรธข้าหรือ”

           “เรื่องนั้นแน่นอน ใครใช้ให้เจ้าทำร้ายแมวของข้า”

           “ข้ามิได้ทำร้ายมัน ข้าเพียงแค่จะสั่งสอนมัน” ต้าเซียนรีบอธิบาย

           “สั่งสอนงั้นรึ แต่ที่ข้าเห็นไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น แถมเมื่อคืนข้าเกือบตาย” เซียวถิงฟงสวนตอบ

           ต้าเซียนเมื่อเห็นท่าไม่ดีก็เปลี่ยนเรื่องพูด“แล้วเจ้าจะไปไหนหรือ” เขาถามพลางยิ้มหวาน เผื่อคนตรงหน้าจะหายโกรธ

           “เฮอะ ข้าจะไปไหนทำไมต้องรายงานเจ้าด้วย” ชายหนุ่มแค่นเสียงพลางจูงม้าผ่านไปไม่สนใจอีก
 
           “ข้าก็แค่อยากออกไปข้างนอกบ้าง...ก็เท่านั้น” ต้าเซียนโพล่งออกมาทั้งยังทำตาปริบๆ ตั้งแต่ลงมายังโลกมนุษย์ตนก็มิเคยได้ออกไปไหนเพียงอยู่แต่คฤหาสน์ตระกูลเซียว ทำให้เพลานี้เขาเบื่อแทบตายแล้ว

           เซียวถิงฟงหยุดม้านิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก็ลอบชำเลืองไปทางต้าเซียน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าของเจ้าตัว ชั่วขณะหนึ่งก็พลันรู้สึกใจอ่อน แต่พอภาพเหตุการณ์เมื่อคืนวนเวียนในสมอง ความรู้สึกขุ่นเคืองก็ยังคงไม่จางหาย
 
           เมื่อเห็นว่าไม่มีหวังต้าเซียนก็ได้แต่ยืนคอตกอย่างหงอยเหงา ดูราวกับโลกไม่ยุติธรรม เซียวถิงฟงเห็นดังนั้นก็ต้องสบถในใจ...บ้าจริง

           “หากเจ้าสามารถขี่มันได้อย่างปลอดภัย ข้าก็จะอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้” เขาให้โอกาส หากแต่เป็นโอกาสอันน้อยนิดเพราะม้าหนุ่มสีขาวพันธุ์ดีตัวนี้มักจะพยศกับคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของ

           “พูดแล้วห้ามกลับคำนะ” ร่างน้อยกล่าวอย่างร่าเริงแล้วรีบปราดไปที่ด้านหน้าของม้าหนุ่ม เขาไม่รอช้าวางมือหนึ่งไว้ที่บริเวณสันจมูก จากนั้นจึงลูบมันอย่างอ่อนโยน ตอนแรกมันมีท่าทีฮึดฮัดต่อต้าน จวบจนมันแลเห็นประกายตาสีทองในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน เจ้าม้าหนุ่มก็หยุดพยศกลางคันพลางยื่นหัวลงให้ลูบไล้อย่างเชื่องๆแทน

           “เจ้าทำอะไรกับม้าของข้า” เซียวถิงฟงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติทันที ทว่าอีกฝ่ายเพียงส่งรอยยิ้มให้แล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอย่างนุ่มนวล

           “เจ้าสัญญาแล้วนะ” ต้าเซียนกล่าวอย่างอารมณ์ดี เซียวถิงฟงจึงได้แต่ส่ายหน้าพลางปีนขึ้นไปนั่งทางด้านหลังก่อนจะควบม้าออกไปช้าๆ

           ทั้งสองขี่ม้าไปตามถนน ระหว่างทางก็ผ่านตลาดร้านรวงมากมาย ชาวบ้านทั้งหลายต่างเดินจับจ่ายซื้อของอย่างพลุกพล่านให้ความรู้สึกครึกครื้น ต้าเซียนมองเหลียวซ้ายแลขวาเป็นการใหญ่ ในใจรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

           “ที่นี่คือที่ใด ไฉนคนจึงพลุกพล่านยิ่งนักทั้งยังมีแผงวางของมากมาย”

           “ที่นี่คือตลาด เป็นที่ซึ่งชาวบ้านมาหาซื้อของจับจ่ายใช้สอย”

           “แล้วนั้นคืออะไร” เห็นเด็กๆพากันรุมไปที่ชายผู้หนึ่งที่ถือไม้เสียบลูกกลมๆสีแดงแล้วอดสงสัยขึ้นมามิได้

           “พุทราเชื่อม”

           “แล้วอร่อยไหม” เอี้ยวตัวถามชายหนุ่ม ปลายนิ้วจับไปที่ริมฝีปากของตน ราวกับว่าจะมีน้ำลายจะไหลออกมา

           เซียวถิงฟงมองดูแล้วก็รู้สึกขบขัน จึงขี่ม้าเข้าไปใกล้คนขาย จ่ายเงินซื้อพุทราเชื่อมสักสองสามไม้แล้วยื่นส่งไปให้ต้าเซียน ร่างน้อยเองก็รับพุทราเชื่อมด้วยรอยยิ้มร่า ทำให้เขารู้สึกเอ็นดูกับความไร้เดียงสาของเจ้าตัว

           “ถิงฟง เจ้าก็กินบ้างสิ”

           จู่ๆต้าเซียนก็หันพยักพเยิดพุทราเชื่อมมาให้ เขาเองก็ไม่คิดปฏิเสธจึงใช้ปากกัดเอาพุทราเชื่อมไปหนึ่งคำ เพลานั้นราวกับมีสายตานับสิบยี่สิบคู่พุ่งมาที่เขาทันที เป็นบรรดาชาวบ้านทั้งหญิงชายต่างพากันจับจ้องมองพวกเขา ด้านแม่นางน้อยทั้งหลายก็ถึงกับตาค้างก่อนพากันปิดหน้าพลางสะอึกสะอื้น ความปั่นป่วนเริ่มบังเกิดขึ้น เซียวถิงฟงเห็นท่าไม่ดีก็รีบควบม้าจากไปเป็นการด่วน

           “เอ๋ เจ้าจะรีบไปไหนข้ายังชมดูไม่ครบถ้วนเลย” ต้าเซียนรู้สึกขัดใจ ปากยังคงเคี้ยวพุทราเชื่อมไม่หยุด

           “ไว้วันหลัง”

           ระหว่างควบม้ามายังแถบชานเมืองร่างน้อยก็พูดเจื้อยแจ้วถามนู่นถามนี้ไม่หยุด น่าแปลกที่เขาไม่นึกรำคาญทั้งยังตอบคำถามอยู่ตลอด ตรงไหนที่เจ้าตัวไม่เข้าใจก็ค่อยๆอธิบายให้ฟังอีกครั้ง

           ครั้นผ่านมาถึงร้านบะหมี่ เขาก็หยุดม้าแวะสั่งอาหาร รอไม่นานเสี่ยวเอ้อก็นำชามบะหมี่ที่ส่งกลิ่นเย้ายวนมาให้ ต้าเซียนมองแล้วตาก็เป็นประกาย ไม่รอช้าก็รีบขยับตะเกียบคีบเส้นขึ้นทันที แต่ใครจะคิดว่าเส้นบะหมี่กลับลื่นหลุดตกลงในชามยังผลน้ำซุปกระเด็นไปทั่วใบหน้า

           เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวยังคงใช้ตะเกียบได้ไม่ถนัดมือ เซียวถิงฟงลอบชมดูยิ้มๆ ซึ่งสุดท้ายร่างน้อยที่คีบอยู่นานก็มิได้กินสักคำก็เกิดอารมณ์เสีย หันไปใช้ปากงับเข้าที่เส้นบะหมี่กินก่อนที่มันจะตกไปในชาม ท่าทางราวกับลูกหมาตัวน้อยก็แทบทำเอาเขาหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
 
           “ข้าขอโทษ ข้าไม่หัวเราะเจ้าแล้ว อย่าร้องนะ” พอเหลือบไปเห็นดวงตาสีน้ำตาลเรื่อแดงขึ้น เขาก็กล่าวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

           ต้าเซียนถึงกับงุนงงวูบ เขาหมายถึงข้าจะร้องไห้หรือ ก้อนหินอย่างข้าจะมีน้ำตาเฉกเช่นมนุษย์ได้อย่างไร
คนตรงหน้านิ่งเงียบไปถนัดตา อีกทั้งสายตายังทอแววเศร้าสร้อย เซียวถิงฟงจึงเปลี่ยนเรื่อง “รีบไปตามหาถิงถิงเถอะ ตกดึกพวกเราจะได้ไปเดินเที่ยวตลาดอีกรอบ”
 
           “อืม” ได้ยินว่าจะได้เดินตลาดต้าเซียนพลันยิ้มสดใสขึ้นอีกครั้ง


********************************************************


           ม้าหนุ่มถูกฝากไว้ที่ร้านบะหมี่ จากนั้นพวกเขาก็พากันเดินเข้าป่าในเขตชานเมือง ตอนแรกเซียวถิงฟงไม่เห็นด้วยที่ต้าเซียนคิดติดตามไปด้วยเนื่องเพราะภายในป่ามีโพรงล่าสัตว์มากมาย มิอาจเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปง่ายๆ หากแต่ต้าเซียนยังคงเซ้าซี้บอกว่าตนสามารถรับสัมผัสของสัตว์ได้ดี ย่อมเป็นประโยชน์แก่เขา เขาจึงลังเลใจยินยอมอนุญาตในที่สุด

           “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเจ้าแมวนั่นถึงมาอยู่ในป่านี้ล่ะ”

           “เจ้าแมวนั่นที่เจ้าเรียกนั้นชื่อ ถิงถิง เรียกใหม่ซะด้วย” เซียวถิงฟงกล่าวอย่างขัดเคือง

           “ก็ได้ เอาใหม่ ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเจ้าแมว เอ่อ ถิงถิงถึงอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยโพรงล่าสัตว์ล่ะ” ต้าเซียนกล่าวใหม่

           “ถิงถิงเป็นแมวฉลาด ในยามอันตรายย่อมมาที่ๆไม่คาดฝัน อีกทั้งที่นี้ไม่ค่อยมีคนเข้ามาเท่าไรนัก” จะว่าไปเขาควรหาแมวดี รึดรุณีดี คิดแล้วจึงเปลี่ยนจากสอดส่องร้องเรียกเสริมด้วยดีกว่า “ถิงถิง พ่อมาแล้วลูก”

           พรืด ต้าเซียนถึงกับหลุดหัวเราะ เซียวถิงฟงจึงตวัดสายตาเขียวใส่ ทำเอาเขาต้องรีบกลืนเสียงหัวเราะลงท้องไป
ผ่านไปไม่นานต้าเซียนก็พอจะจับกลิ่นอายของสัตว์ได้ ทว่าเมื่อไปถึงกลับพบซากกระต่ายป่าที่ติดกับดับอันแหลมคมของนายพรายจนถึงแก่ชีวิต เห็นแบบนี้แล้วก็พลอยฉุกคิดถึงสัตว์เลี้ยงของตนที่เคยช่วยชีวิตไว้ จะว่าไปเขาก็ไม่ได้เห็นหน้ามันหลังจากตื่นขึ้นนี่นา

           “คิดอะไรอยู่ไปได้แล้ว” เซียวถิงฟงกล่าวขัดจังหวะความคิด ต้าเซียนจึงหลุดออกจากภวังค์แล้วก็รีบเดินตามร่างสูงไปทันที

           หลังจากที่ตามหากันอยู่หลายชั่วยามก็พบร่องรอยชายเสื้อสีดำแบบเดียวกับถิงถิงในร่างมนุษย์ เซียวถิงฟงคาดเดาถูก มันมาที่นี่จริงๆ แต่แทนที่จะหาต่อชายหนุ่มกลับหยุดที่จะตามหาและเอ่ยปากกลับแทน
 
           “นี่ก็ตะวันจะตกดินแล้ว ยามเข้าฤดูหนาวฟ้าจะมืดเร็วกว่าปกติ หากยังรั้งหาอยู่ถึงยามดึกดื่นอาจเกิดอันตรายได้” เซียวถิงฟงกล่าวพลางรีบนำทางลัดเลาะไปตามแมกไม้ 

           ร่างน้อยเดินตามอยู่สักพัก หูก็พลันแว่วสะอื้นไห้อย่างเงียบเหงา เขาหยุดชะงักตัวลงก่อนจะมุ่งตรงไปที่แมกไม้หนึ่ง แหวกต้นหญ้าออกก็พบเป็นกระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวหนึ่งที่ถูกกับดักอันแหลมคมทิ่มแทงจนเลือดออก กระทั่งมันเห็นผู้มาใหม่มันก็ต้องตกใจ ตะเกียกกายหนีอย่างหวาดกลัว

           ต้าเซียนเห็นแล้วก็ก้มนั่งยองๆพลางมองมันด้วยประกายตาสีทอง กระต่ายป่าเห็นปุ๊บก็หยุดดิ้น แล้วปล่อยให้เขาปลดปล่อยมันจากกับดักอย่างว่าง่าย รอจนรักษามันจนหายดีก็เข้ามาออดอ้อน เขายิ้มลูบขนกระต่ายป่าอย่างนุ่มนวล แต่แล้วสักพักดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจึงเบิกกว้างอย่างตกใจ หมุนตัวไปรอบก็มีแต่ความว่างเปล่า ให้ตายเถอะ ไฉนจึงลืมเซียวถิงฟงไปได้

           “ถิงฟง” ร้องเรียกอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีวี่แววชายหนุ่ม ต้าเซียนร้อนรนย้อนกลับไปทางที่เพิ่งผ่านมา ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าวดินก็อ่อนยวบยังผลให้เขาผลัดตกลงไปในโพรงลึกสูง

           ดีที่พื้นดินข้างล่างไม่แข็งมากนักจึงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ผิดกับในใจที่ว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก “ถิงฟง เจ้าจะย้อนกลับมาหาเขารึเปล่า” ต้าเซียนพึมพำอย่างเซื่องซึม สัมผัสไม่ได้ถึงความห่วงใยจากชายหนุ่มแม้แต่น้อย เป็นไปได้ว่าเขาอาจถูกทิ้ง

           ร่างน้อยทรุดนั่งกอดเข่าตนเองอย่างเงียบงัน กระทั่งหิมะเริ่มโปรยปราย ก็เห็นกระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวนั้นยืนอยู่ที่เหนือโพรง มันทำท่าสูดดมอยู่ครู่หนึ่งก็จากไป แต่เขาเข้าใจมัน มันพยายามจะหาทางช่วยเขา จะว่าไปแล้วหากแม้แต่สัตว์ตัวเล็กๆยังมีความหวัง แล้วเขาล่ะ

           “ถิงฟงต้องมาช่วยอย่างแน่นอน” ต้าเซียนพูดอย่างมั่นใจ มาตรว่าอีกฝ่ายเป็นพวกปากร้าย ทว่าในใจกลับอ่อนโยนยิ่งนัก คิดแล้วก็หลุดยิ้มออกมา แต่จะว่าไปหากหิมะต้องหนักกว่านี้เขาคงจะแย่แน่

           ทางด้านเซียวถิงฟงเมื่อเดินทะลุผ่านแมกไม้ได้สำเร็จก็เห็นถนนที่ตัดเข้าสู่ตัวเมืองลู่หยาง ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ด้านหน้าเป็นร้านบะหมี่ที่พึ่งนั่งรับประทานเมื่อยามตะวันคล้อย เขาเดินตรงออกไป แต่แล้วกลับรู้สึกผิดปกติ คล้ายไม่มีเสียงฝีเท้าเบาๆคู่นั้น เขาถึงกับหันขวับแล้วจึงพบเห็นเงาร่างของคนซื่อบื้อนั้นหายไปแล้ว

           คลาดกันงั้นรึ ให้ตายสิ เซียวถิงฟงสบถอย่างหัวเสียก่อนจะก้าวกลับเข้าป่าอีกครั้งแต่แล้วก็ต้องชะงักตัว จะว่าไปหากไม่มีต้าเซียนตัวเขาคงไม่ผิดใจกลับบิดา ไม่ถูกคนทั้งคฤหาสน์เข้าใจผิด ห้องหนังสือ แจกัน ตำราพิชัยยุทธ์สุดโปรด รวมถึงถิงถิงก็คงไม่เป็นเช่นนี้

           นี่อาจถือเป็นโอกาสดีที่จะได้สลัดปัญหาทิ้งก็ได้ เฮอะ เขายิ้มพลางเดินไปที่คอกม้าเตรียมปลดเชือกที่คล้อง แต่น่าแปลกนักทั้งที่จู่ๆใบหน้ายิ้มแย้มของต้าเซียนก็ผุดขึ้นมาในใจ

           “หิมะตกแล้ว” พอดีกับเสียงคนที่มานั่งกินบะหมี่พูดขึ้น เขาพลันเงยหน้าขึ้นฟ้ามองหิมะที่โปรยปรายลงมา
ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ทั่วทั้งเมืองลู่หยางอาจเต็มไปด้วยหิมะ แล้วต้าเซียนล่ะจะทนอยู่ในป่าที่มีหิมะตกได้รึเปล่า สายตาหันกลับไปยังป่าลึกอีกครั้ง เจ้านั่นยิ่งเซ่อซ่าอยู่หากติดกับดักเข้าล่ะ ในอกบังเกิดเป็นความว้าวุ่นสับสน ซึ่งกว่าจะรู้ตัวตนก็ใช้กำลังภายในเร่งฝีเท้าเข้าไปในป่าแล้ว
 
           “เขาเป็นห่วงข้า ข้ารู้สึกได้” ต้าเซียนร้องตะโกนอย่างดีใจก่อนจะกลับมานั่งตัวสั่นงันงกท่ามกลางกองหิมะ สักพักดวงตาก็เริ่มคล้อยปิดลง เขาพยายามใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่หยิบเอาลูกแก้วออกจากอกเสื้อ ลำแสงสีทองอ่อนค่อยๆกระจายตัวอยู่โดยรอบมิให้ตัวเขาต้องจมอยู่ในความมืดมิด

 
*******************************************************

 
            “ต้าเซียน เจ้าอยู่ที่ไหน”

           หิมะเริ่มตกหนักจนพาลรู้สึกใจคอไม่ดี แม้เซียวถิงฟงจะพยายามโก่งคอตะโกนสักแค่ไหนก็ยังคงได้ยินแต่เสียงร้องระงมของจักจั่น “เจ้าอยู่ที่ไหน ตอบข้าสิ ต้าเซียน”

           บังเกิดเป็นเสียงแหวกหญ้าใกล้ๆ “ต้าเซียน” เขารีบหันหลังกลับไปทันที ทว่าเบื้องหน้ากลับเป็นเพียงกระต่ายป่าฝูงหนึ่งเท่านั้น เขาถอนใจอย่างผิดหวัง แต่แล้วกระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวหนึ่งกลับกระโดดเข้ามาใช้ปากงับเข้าที่ชายเสื้อ ทั้งออกแรงดึงบุ้ยใบ้ให้ไปอีกทาง

           “รึว่า ต้าเซียน” เซียวถิงฟงเข้าใจได้ในทันที กระต่ายป่ามักไม่เข้าใกล้ผู้คน แต่หากเป็นต้าเซียนล่ะก็ มันก็ไม่แน่นัก เพราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ม้าขาวจอมพยศเชื่องให้ต้าเซียนขึ้นขี่ง่ายๆ ผิดกับเขาที่ต้องยังใช้เวลาหลายชั่วยามกว่ามันจะยอมจำนนก็ทำให้เกิดความเชื่อมั่นขึ้น

           ร่างสูงตัดสินใจเดินตามกระต่ายป่า แลไม่นานนักก็พลันเห็นแสงสีทองอ่อนสลัวๆอยู่ภายใต้โพรงดิน ในนั้นปรากฏคนที่หลับตาพริ้ม ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ร่างทั้งร่างนอนจมอยู่ใต้กองหิมะไปครึ่งตัว ในมือยังถือลูกแก้วที่ส่องสว่างสลัวๆ หากแต่ดูริบหรี่ราวกับเป็นแสงแห่งชีวิต หัวใจเขาคล้ายตกลงไปที่ตาตุ่ม

           “ต้าเซียน” เขากระโดดลงไปในโพลงดินพลางเร่งขุดตัวต้าเซียนขึ้นจากกองหิมะ

           “เป็นครั้งแรกที่เจ้าเรียกชื่อข้า ถิงฟง” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้น

           เซียวถิงฟงเงยหน้ามองคนตรงหน้าด้วยรู้สึกเจ็บใจ เจ็บใจตัวเอง“ข้าขอโทษ หากข้ามาเร็วกว่านี้ หากมาเร็วกว่านี้”

           “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมา ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมา” ต้าเซียนพึมพำอย่างดีใจ

           “เจ้าบ้าหากข้าไม่มาเล่า แล้วเจ้าเป็นมหาเทพประสาอะไรกัน ทำไมร่างกายถึงเปราะบางเช่นนี้” เซียวถิงฟงตะโกนใส่คนตรงหน้า

           “ฮ่า ฮ่า ข้าง่วงแล้วขอนอนเลยนะ” ต้าเซียนฝืนหัวเราะใส่ เมื่อกล่าวราตรีสวัสดิ์เสร็จก็ปิดเปลือกตาลง แสงสีทองสลัวในมือพลันดับวูบทั่วทั้งโพรงดินตกอยู่ในความมืด มีเพียงแสงจันทร์ที่ให้แสงรางเลือน

           เซียวถิงฟงรู้สึกใจหาย มือจึงเขย่าตัวปลุกต้าเซียน “อย่าหลับ ห้ามหลับนะ ได้ยินที่ข้าพูดไหม” เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเขาก็จับชีพจรที่ข้อมือเรียว

           ดูว่าตอนนี้มันเต้นบางเบาผะแผ่ว เขารีบขุดตัวต้าเซียนขึ้น มิสนว่าหิมะจะกัดมือรึไม่ จากนั้นจึงอุ้มร่างน้อยกระโดดตัวขึ้นสูง เกร็งกำลังที่ปลายเท้าพุ่งตัวทะยานออกจากป่าอย่างรวดเร็ว

           เมื่อถึงคฤหาสน์ตระกูลเซียว เขาก็รีบอุ้มตัวต้าเซียนตรงรี่เข้าประตูบ้านอย่างไม่รอช้า อวี่จงที่รอคอยอยู่ก็วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น

           “เกิดอะไรขึ้นคุณชายเซียว ตอนเช้ายังดีๆอยู่เลย”

           “ไปเตรียมน้ำอุ่นมา เร็ว”

           อวี่จงฟังแล้วก็สับสน เซียวถิงฟงจึงตะโกนขึ้นอย่างร้อนรนอีกครั้ง “ข้าบอกให้ไปเตรียมน้ำร้อนไงเล่า”

           “น้ำอุ่น น้ำอุ่นเตรียมพร้อมรออยู่แล้วขอรับ” อวี่จงรีบบอกพร้อมทั้งยังวิ่งเร็วจี๋ไปเปิดประตูห้องอาบน้ำให้คนทั้งสอง

           พอมาถึงที่อ่างอาบน้ำ เซียวถิงฟงก็ไม่รอช้าหย่อนตัวเองพร้อมกับร่างในอ้อมกอดลงในน้ำอุ่น แขนโอบศีรษะเล็กแนบเข้าที่หน้าอก สองมือก็คอยจับถูไถมือเรียวให้เกิดความอบอุ่น แต่กระนั้นร่างของต้าเซียนกลับยังคงเย็นยะเยียบอย่างน่าตกใจ

           “เติมน้ำร้อนกว่านี้”

           “แต่ว่าถ้าร้อนกว่านี้ จะลวกผิวแล้วนะขอรับ อีกเดี๋ยวท่านหมอจะมาแล้วด้วย” อวี่จงเตือนด้วยความเป็นห่วง
           
           “ข้าไม่สน เร็วเข้า” เซียวถิงฟงตวาด จนอวี่จงสะดุ้งโหยงรีบออกไปนำน้ำร้อนที่เพิ่งต้มมาเติมในอ่างหนึ่งถัง

           “ไม่พอ ไปเอามาอีกสองถัง”

           “หา” อวี่จงตกใจแต่ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ทำตามคำสั่ง จำใจเติมน้ำร้อนไปอีกสองถัง

           “ต้าเซียน ห้ามจากข้าไปแบบนี้นะ” เขาก้มหน้าหลับตาพึมพำ เสมือนว่ามีน้ำอุ่นๆ ไหลรินออกมาจากตาข้างหนึ่ง เขาไม่อยากให้ใครจากเขาไปต่อหน้าต่อตาเช่นมารดาของตนอีกแล้ว ไม่มีทาง เขาดึงตัวต้าเซียนเข้ามากอดไว้แน่น

           พอดีกับที่ต้าเซียนสะลึมสะลือลืมตาที่พร่ามัวขึ้นมองชายหนุ่ม ร่างเขาถูกกอดจนขยับมิได้ แต่น่าแปลกนักที่รู้สึกราวกับถูกเติมเต็มจนอบอุ่น ในอกคล้ายมีบางสิ่งเต้นระรัวเร็วไม่หยุด

           “อะ แฮ่ม ท่านหมอมาแล้วขอรับ คุณชาย” เสียงกระดากอายของอวี่จงดังขึ้น

           เซียวถิงฟงพลันได้สติตอบกลับไป “เข้าใจแล้ว” สองมืออุ้มร่างน้อยอย่างเบามือแล้วตรงไปยังห้องที่มีหมอรออยู่

           กว่าที่ต้าเซียนจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตนนอนอยู่ข้างกายเซียวถิงฟงที่ตัวแดงอย่างกับพุทราเชื่อมแล้ว ครั้นพอมองหน้าเจ้าตัวอยู่เนิ่นนานก็ต้องผุดรอยยิ้มสดใสขึ้น หน้าอกพลันมีบางสิ่งเต้นระรัวอีกครั้ง ต้าเซียนงุนงงอยู่บ้าง หากแต่เพราะความเหนื่อยเกินไปจึงทำให้ผล็อยหลับลงไปอีกครั้ง


********************************************************

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2015 21:50:36 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 6.2 สายสัมพันธ์


           
            “ต้าเซียน เจ้าอยู่ที่ไหน”

           หิมะเริ่มตกหนักจนพาลรู้สึกใจคอไม่ดี แม้เซียวถิงฟงจะพยายามโก่งคอตะโกนสักแค่ไหนก็ยังคงได้ยินแต่เสียงร้องระงมของจักจั่น “เจ้าอยู่ที่ไหน ตอบข้าสิ ต้าเซียน”

           บังเกิดเป็นเสียงแหวกหญ้าใกล้ๆ “ต้าเซียน” เขารีบหันหลังกลับไปทันที ทว่าเบื้องหน้ากลับเป็นเพียงกระต่ายป่าฝูงหนึ่งเท่านั้น เขาถอนใจอย่างผิดหวัง แต่แล้วกระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวหนึ่งกลับกระโดดเข้ามาใช้ปากงับเข้าที่ชายเสื้อ ทั้งออกแรงดึงบุ้ยใบ้ให้ไปอีกทาง

           “รึว่า ต้าเซียน” เซียวถิงฟงเข้าใจได้ในทันที กระต่ายป่ามักไม่เข้าใกล้ผู้คน แต่หากเป็นต้าเซียนล่ะก็ มันก็ไม่แน่นัก เพราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ม้าขาวจอมพยศเชื่องให้ต้าเซียนขึ้นขี่ง่ายๆ ผิดกับเขาที่ต้องยังใช้เวลาหลายชั่วยามกว่ามันจะยอมจำนนก็ทำให้เกิดความเชื่อมั่นขึ้น

           ร่างสูงตัดสินใจเดินตามกระต่ายป่า แลไม่นานนักก็พลันเห็นแสงสีทองอ่อนสลัวๆอยู่ภายใต้โพรงดิน ในนั้นปรากฏคนที่หลับตาพริ้ม ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ร่างทั้งร่างนอนจมอยู่ใต้กองหิมะไปครึ่งตัว ในมือยังถือลูกแก้วที่ส่องสว่างสลัวๆ หากแต่ดูริบหรี่ราวกับเป็นแสงแห่งชีวิต หัวใจเขาคล้ายตกลงไปที่ตาตุ่ม

           “ต้าเซียน” เขากระโดดลงไปในโพลงดินพลางเร่งขุดตัวต้าเซียนขึ้นจากกองหิมะ

           “เป็นครั้งแรกที่เจ้าเรียกชื่อข้า ถิงฟง” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้น

           เซียวถิงฟงเงยหน้ามองคนตรงหน้าด้วยรู้สึกเจ็บใจ เจ็บใจตัวเอง“ข้าขอโทษ หากข้ามาเร็วกว่านี้ หากมาเร็วกว่านี้”

           “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมา ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมา” ต้าเซียนพึมพำอย่างดีใจ

           “เจ้าบ้าหากข้าไม่มาเล่า แล้วเจ้าเป็นมหาเทพประสาอะไรกัน ทำไมร่างกายถึงเปราะบางเช่นนี้” เซียวถิงฟงตะโกนใส่คนตรงหน้า

           “ฮ่า ฮ่า ข้าง่วงแล้วขอนอนเลยนะ” ต้าเซียนฝืนหัวเราะใส่ เมื่อกล่าวราตรีสวัสดิ์เสร็จก็ปิดเปลือกตาลง แสงสีทองสลัวในมือพลันดับวูบทั่วทั้งโพรงดินตกอยู่ในความมืด มีเพียงแสงจันทร์ที่ให้แสงรางเลือน

           เซียวถิงฟงรู้สึกใจหาย มือจึงเขย่าตัวปลุกต้าเซียน “อย่าหลับ ห้ามหลับนะ ได้ยินที่ข้าพูดไหม” เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเขาก็จับชีพจรที่ข้อมือเรียว

           ดูว่าตอนนี้มันเต้นบางเบาผะแผ่ว เขารีบขุดตัวต้าเซียนขึ้น มิสนว่าหิมะจะกัดมือรึไม่ จากนั้นจึงอุ้มร่างน้อยกระโดดตัวขึ้นสูง เกร็งกำลังที่ปลายเท้าพุ่งตัวทะยานออกจากป่าอย่างรวดเร็ว

           เมื่อถึงคฤหาสน์ตระกูลเซียว เขาก็รีบอุ้มตัวต้าเซียนตรงรี่เข้าประตูบ้านอย่างไม่รอช้า อวี่จงที่รอคอยอยู่ก็วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น

           “เกิดอะไรขึ้นคุณชายเซียว ตอนเช้ายังดีๆอยู่เลย”

           “ไปเตรียมน้ำอุ่นมา เร็ว”

           อวี่จงฟังแล้วก็สับสน เซียวถิงฟงจึงตะโกนขึ้นอย่างร้อนรนอีกครั้ง “ข้าบอกให้ไปเตรียมน้ำร้อนไงเล่า”

           “น้ำอุ่น น้ำอุ่นเตรียมพร้อมรออยู่แล้วขอรับ” อวี่จงรีบบอกพร้อมทั้งยังวิ่งเร็วจี๋ไปเปิดประตูห้องอาบน้ำให้คนทั้งสอง

           พอมาถึงที่อ่างอาบน้ำ เซียวถิงฟงก็ไม่รอช้าหย่อนตัวเองพร้อมกับร่างในอ้อมกอดลงในน้ำอุ่น แขนโอบศีรษะเล็กแนบเข้าที่หน้าอก สองมือก็คอยจับถูไถมือเรียวให้เกิดความอบอุ่น แต่กระนั้นร่างของต้าเซียนกลับยังคงเย็นยะเยียบอย่างน่าตกใจ

           “เติมน้ำร้อนกว่านี้”

           “แต่ว่าถ้าร้อนกว่านี้ จะลวกผิวแล้วนะขอรับ อีกเดี๋ยวท่านหมอจะมาแล้วด้วย” อวี่จงเตือนด้วยความเป็นห่วง
           
           “ข้าไม่สน เร็วเข้า” เซียวถิงฟงตวาด จนอวี่จงสะดุ้งโหยงรีบออกไปนำน้ำร้อนที่เพิ่งต้มมาเติมในอ่างหนึ่งถัง

           “ไม่พอ ไปเอามาอีกสองถัง”

           “หา” อวี่จงตกใจแต่ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ทำตามคำสั่ง จำใจเติมน้ำร้อนไปอีกสองถัง

           “ต้าเซียน ห้ามจากข้าไปแบบนี้นะ” เขาก้มหน้าหลับตาพึมพำ เสมือนว่ามีน้ำอุ่นๆ ไหลรินออกมาจากตาข้างหนึ่ง เขาไม่อยากให้ใครจากเขาไปต่อหน้าต่อตาเช่นมารดาของตนอีกแล้ว ไม่มีทาง เขาดึงตัวต้าเซียนเข้ามากอดไว้แน่น

           พอดีกับที่ต้าเซียนสะลึมสะลือลืมตาที่พร่ามัวขึ้นมองชายหนุ่ม ร่างเขาถูกกอดจนขยับมิได้ แต่น่าแปลกนักที่รู้สึกราวกับถูกเติมเต็มจนอบอุ่น ในอกคล้ายมีบางสิ่งเต้นระรัวเร็วไม่หยุด

           “อะ แฮ่ม ท่านหมอมาแล้วขอรับ คุณชาย” เสียงกระดากอายของอวี่จงดังขึ้น

           เซียวถิงฟงพลันได้สติตอบกลับไป “เข้าใจแล้ว” สองมืออุ้มร่างน้อยอย่างเบามือแล้วตรงไปยังห้องที่มีหมอรออยู่

           กว่าที่ต้าเซียนจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตนนอนอยู่ข้างกายเซียวถิงฟงที่ตัวแดงอย่างกับพุทราเชื่อมแล้ว ครั้นพอมองหน้าเจ้าตัวอยู่เนิ่นนานก็ต้องผุดรอยยิ้มสดใสขึ้น หน้าอกพลันมีบางสิ่งเต้นระรัวอีกครั้ง ต้าเซียนงุนงงอยู่บ้าง หากแต่เพราะความเหนื่อยเกินไปจึงทำให้ผล็อยหลับลงไปอีกครั้ง


********************************************************


           ยามสายของเช้าวันต่อมา ต้าเซียนพลันขมวดคิ้วอย่างรำคาญใจเมื่อมีเสียงร้องราวกับถูกเชือดดังขึ้นที่ข้างหู

           “จ๊าก” เซียวถิงฟงร้องลั่นก่อนจะไถลตัวตกเตียงนอนไป

           “เกิดอะไรขึ้น” ต้าเซียนงัวเงียพลางขยี้ตาถาม

           “จะ เจ้าทำไมกลายเป็นผู้หญิง”

           ต้าเซียนก้มลงมองตัวเอง ที่หน้าอกปรากฏเนื้อนูนขึ้นจากใต้เสื้อผ้าเล็กน้อย เขายกมือขึ้นจับหน้าอกของตนพลางตอบเซียวถิงฟงด้วยสีหน้าที่ใสซื่อว่า “อ่อ สงสัยพลังข้าแปรปรวนอีกแล้ว”

           “ปะ เปลี่ยนกลับเป็นผู้ชายสิ” เซียวถิงฟงหน้าแดงก่ำ เมื่อคืนเขานอนร่วมห้องกลับสตรีรึเนี่ย แค่คิดก็ต้องอายแล้ว

           “อ่า เปลี่ยนยังไม่ได้พลังไม่สมดุล”

           “แล้วจะทำยังไง” ในใจของเซียวถิงฟงพลันปรากฏเสียงร้องโหยหวนขึ้น

           “เอ เจ้าไม่ชอบที่ข้าเป็นผู้หญิงรึหรือเจ้าชอบผู้ชาย” ต้าเซียนถามอย่างสงสัย ทำไมเขากลายเป็นผู้หญิงแล้ว เซียวถิงฟงต้องทำอย่างกับเขาเป็นตัวประหลาดด้วยล่ะ หน้าก็เหมือนเดิมแท้ๆ

           “เจ้าบ้า ข้ามิใช่คนวิปริต อีกอย่างหากคนในบ้านข้าเห็นเจ้าที่เป็นผู้ชายมาตลอด แล้วกลายเป็นผู้หญิงเพียงข้ามคืน พวกเขาจะไม่คิดว่าเจ้าเป็นปีศาจหรือไง” เซียวถิงฟงรีบแก้ตัว

           คล้ายเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ ที่ด้านนอกประตูกลับมีสาวใช้เตรียมยกอ่างล้างหน้ารออยู่เรียบร้อยแล้ว

           “ไม่ทันการแล้ว” เซียวถิงฟงรีบถลาไปหยิบเสื้อโยนไปให้ทางต้าเซียน เมื่อเห็นต้าเซียนยืนถือเสื้อมองตนแน่นิ่งก็ออกคำสั่ง “รีบใส่ซะ” กล่าวไปเขาก็สวมเสื้ออย่างรีบร้อนไปพลาง ต้าเซียนเห็นดังนั้นก็รีบร้อนใส่บ้าง

           “มะ มันอึดอัดหน้าอก” สวมสักพักต้าเซียนก็ร้องออกมา

           “บ้าจริง” เซียวถิงฟงกรอกตาไปมารอบหนึ่งก็ถลาไปยังหีบเสื้อ ค้นเอาเสื้อคลุมขนสัตว์จิ้งจอกตัวหนึ่งออกมาโยนให้
ต้าเซียนรับมาคลุมตัวจ้าละหวั่น ยังดีที่เสื้อคลุมหนาพอที่จะปกปิดส่วนหน้าอกได้ ทว่าพอสวมลงไปเท่านั้นก็เกิดเป็นเสียงดัง พรึ่บ ทำเอาเซียวถิงฟงมองจนเส้นเลือดเต้นกระตุบที่หน้าผาก

           “ข้าบอกแล้วว่าพลังข้าไม่สมดุล” ต้าเซียนกล่าวอย่างอับจนปัญญา บทจะเปลี่ยนกลับก็เปลี่ยนกลับเสียง่ายๆ

           “เจ้าปั่นหัวข้า” ชายหนุ่มกดเสียงต่ำคล้ายกำลังจะระเบิดอารมณ์

           “แต่ข้าก็ทำอย่างที่เจ้าต้องการแล้วไง” ต้าเซียนบอกพร้อมทำหน้าเหรอหรา ก็เขาเปลี่ยนเป็นผู้ชายตามที่ชายหนุ่มต้องการแล้วนี่

           “ถอดเสื้อออกมาเดี๋ยวนี้” พูดจบเซียวถิงฟงก็เข้าไปดึงเสื้อคลุมขนจิ้งจอกอันแสนแพงของตนให้หลุดออกจากร่างของต้าเซียน แต่ร่างน้อยกลับดิ้นแล้วยื้อเสื้อที่เหลือไว้ครึ่งหนึ่ง

           “อะไร เมื่อกี้เจ้าให้ข้าใส่เองนะ เจ้าจะให้ข้าถอดอีกทำไมกัน” ต้าเซียนเถียงพร้อมออกแรงยื้อเสื้อที่ยังคงอยู่บนตัวเพียงครึ่งหนึ่งให้กลับมา

           “หนอย ถอดออกมาเดี๋ยวนี้นะ” เซียวถิงฟงสบถอย่างขัดใจทั้งออกแรงยื้อให้มากกว่าเดิม

           ต่างคนต่างยื้อกันไปยื้อกันมาจนกระทั่งเหงื่อตก จากที่ยืนยื้อเปลี่ยนเป็นนั่งยื้อ สายตาต่างจ้องกันไม่กะพริบราวกับคอยคุมเชิงอีกฝ่าย จวบจนกระทั่งเรี่ยวแรงของต้าเซียนหมดลง เซียวถิงฟงก็แสยะยิ้มพลางดึงเสื้อมาที่ฝั่งตน ต้าเซียนเบะปากไม่พอใจหันมาใช้ท่าเด็ด ยกเท้าขึ้นยันที่หน้าท้องของชายหนุ่มไว้ เซียวถิงฟงถึงกับปากกระตุกด้วยความโกรธเกรี้ยว จนคราวนี้พวกเขาต้องเปลี่ยนมานอนยื้อเสื้อบนพื้นห้องแทน

           “เจ้ากล้าต่อต้านข้างั้นเรอะ เจ้าได้เห็นดีแน่” พูดจบเซียวถิงฟงก็ใช้พละกำลังเกือบทั้งหมดกระชากเอาเสื้อคืนมา ต้าเซียนสู้แรงไม่ได้ตัวจึงหมุนติ้วไปกับพื้น เสื้อคลุมขนจิ้งจอกหลุดออกจากตัว

           “อ๊ากก” เสียงร้องที่ไม่ใช่เสียงของต้าเซียนดังขึ้น ทำเอาทั้งเซียวถิงฟงและต้าเซียนต่างมองไปที่ผู้มาใหม่อย่างตกใจ

           “คะ คุณชาย คือ ข้าว่าตอนนี้ยังเช้าไป อีกอย่างนายท่านกำลังรอพวกท่านที่ห้องอาหารด้วย เรื่องแบบนี้ไว้ทำตอนกลางคืนจะดีกว่า” อวี่พูดเสียงตะกุกตะกัก

           ไม่นึกเลยว่าเลยว่าเขาจะดวงซวยเจอฉากแบบนี้ตลอด ครั้งนี้คุณชายเซียวร้อนแรงถึงกับกระชากเสื้อของเด็กหนุ่มออกเพื่อกระทำ...ชำเรา อวี่จงคิดแล้วเหงื่อตกรีบเผ่นแนบออกไปทันที

           “อะไร ทำไมต้องทำตอนกลางคืน ทำตอนนี้ไม่ได้รึไง” เขาตะโกนไล่หลังอวี่จงอย่างสงสัย ก็แค่จะเอาเสื้อคืน เซียวถิงฟงพึมพำในใจ

           ด้านสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ถึงกับหน้าแดงก่ำ หัวใจแทบจะกระดอนตกลงมาแทบเท้า ความจริงพวกนางหน้าได้ยินบทสนทนาที่คุณชายบังคับถอดเสื้อเด็กหนุ่มอีกคนในห้องมาตั้งแต่ต้นแล้ว

           ท้ายที่สุดพวกเขาต่างก็ออกจากห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง เซียวถิงฟงต้องยอมสละยกเสื้อคลุมขนจิ้งจอกให้กับต้าเซียนไป เนื่องด้วยกลัวว่าพวกสาวใช้จะมองว่าเขารังแกอีกฝ่าย และถ้าหากบิดารู้เรื่องนี้ เขาไม่พ้นต้องกุมขมับอีกเป็นแน่ ต่อเมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ อารมณ์ของต้าเซียนก็เปลี่ยนมาดีขึ้นทั้งยังรบเร้าให้เขาพาไปยังตลาดอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ตอบรับปากแม้ไม่คิดอยากไป ก็เล่นรบเร้าต่อหน้าบิดาเขา เขามีรึจะกล้าปฏิเสธ

           ต้าเซียนได้ออกมาชมดูตลาดอีกครั้งก็ดีใจ ร่างเล็กเดินกระโดดไปมาราวกับเด็กน้อยที่กำลังซุกซน ระหว่างทางที่เดินตลาดก็มีแต่คนจ้องมองพวกเขา แต่สำหรับต้าเซียนถือว่าค่อนข้างจะชินแล้ว มหาเทพอย่างเขาไปไหนต่างก็มีแต่สายตาจับจ้อง ผิดกับเซียวถิงฟงที่กลับหยิบพัดขึ้นมาคลี่ยกขึ้นปิดบังสีหน้ายุ่งยากของตนไปมา

           เซียวถิงฟงเดินตามต้าเซียนมาตลอด สักพักก็รู้สึกได้ถึงฝีเท้าที่เฝ้าติดตาม เขาจึงตัดสินใจให้ต้าเซียนนั่งกินขนมรออยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ทั้งยังกำชับอีกครั้งว่าให้รอเขากลับมา

           เมื่อออกมาจากโรงเตี๊ยมเพียงลำพัง ตนก็รีบเร่งฝีเท้าไปยังซอยเล็กแคบที่ด้านข้าง ไม่ช้าก็ปรากฏร่างบุรุษสวมหมวกคลุมใบหน้าสีดำ สะพายกระบี่ที่ด้านหลัง ตัวสูงใหญ่ ฝีเท้าหนักแน่นดูท่าทางมีวรยุทธ์ไม่เบา รอจนในซอยเปลี่ยวร้างเขาก็หยุดฝีเท้าหันไปประจันหน้ากับชายชุดดำ

           “ตามพอแล้วกระมังหลิวซีฝู” เซียวถิงฟงรวบพัดไว้ในมืออีกข้าง ใบหน้าคลี่ยิ้มเยือกเย็น ชายที่คลุมหน้าสะดุ้งเฮือกทีหนึ่งจึงกล่าวตอบ   “ท่านจอหงวนบู้ช่างสมกับคำร่ำลือ ทั้งที่ข้าปิดบังโฉมไว้แท้ๆ” หลิวซีฝูพูดพลางปลดหมวกที่ติดผ้าบางดำออกเผยให้เห็นใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง

           “ต้องโทษที่เจ้าตัวสูงใหญ่ ฝีเท้าหนักแน่นกว่าผู้อื่น” เขากล่าวแล้วหัวเราะน้อยๆ

           “ท่านเพียงแค่พบข้าครั้งเดียวกลับจดจำถึงเพียงนี้ ข้าน้อยนับถือๆ” หลิวซีฝูค้อมตัวคำนับเล็กน้อย

           “ไม่ต้องกล่าวมากความ เจ้าต้องการอะไร หากไม่บอก ข้าลงมือ” เซียวถิงฟงกล่าวจบก็พุ่งฝ่ามือเข้าหาหลิวซีฝูทันที ทว่าหลิวซีฝูเบี่ยงกายหลบได้ทันอย่างฉิวเฉียด

           ตูม พลังฝ่ามือขวาของเซียวถิงฟงพลาดทะลุเข้าที่กำแพง

           หลิวซีฝูหันมาชักดาบพุ่งเข้าใส่ เซียวถิงฟงใช้พัดในมือซ้ายปัดวิถีกระบี่ออกพลางดึงมือออกจากกำแพง จากนั้นหมุนตัวกลับพร้อมพุ่งกรงเล็บมุ่งไปที่ลำคอของอีกฝ่าย

           ด้านหลิวซีฝูก็วาดกระบี่กลับมาอย่ารวดเร็ว กระนั้นเซียวถิงฟงกลับเร็วกว่า เขาคลี่พัดในมือซ้ายออกตรงหน้า เบี่ยงศีรษะออกเล็กน้อย รอจนดาบเสียบทะลุร่องพัดก็จัดการรวบพัดเก็บลงไปทั้งอย่างนั้น เกร็งกำลังหักข้อมือก่อนจะสะบัดพัดขึ้นอย่างแรง กระบี่หลุดลอยออกจากมือของอีกฝ่าย หลิวซีฝูยังไม่ทันรับกระบี่กลับก็ถูกกรงเล็บจ่ออยู่ที่หัวใจ

           “นับถือ นับถือ ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว” หลิวซีฝูชมเชย เขาแพ้หมดรูป อีกทั้งไม่กี่กระบวนท่า

           “พูด” เซียวถิงฟงเค้นกล่าวด้วยวาจาที่เปี่ยมไปด้วยความกดดัน

           “สาสน์จากองค์รัชทายาท ขอรับ” กล่าวจบหลิวซีฝูก็ล้วงเอาสาสน์ออกจากอกเสื้อแล้วส่งให้ เซียวถิงฟงรับมาโดยที่มือขวายังจ่อที่หัวใจอีกฝ่าย จากนั้นสะบัดสาสน์เล็กๆออกอ่านข้อความในใจ
 
พบกันอีกสามวัน มีเรื่องบอกกล่าว สิ่งที่หาอยู่ที่นี่ จักนำหญิงสาวบังหน้ามานางหนึ่ง

                                                                                                                                               ซวนหยวนหมิงไท่                   
 
           เมื่อเห็นลายพระหัตถ์ที่คุ้นเคยเขาก็ลดมือที่จ่อหัวใจหลิวซีฝูลงพลางครุ่นคิด สิ่งที่หางั้นหรือ คงเป็นถิงถิง แต่หญิงสาวนี่สิ...
           
            “ข้าน้อยขอลา” เมื่อหมดหน้าที่หลิวซีฝูก็กล่าวสั้นๆ จากนั้นจึงจากไปอย่างเงียบๆ
           
           ทางด้านต้าเซียนเมื่อรอเซียวถิงฟงอยู่นานก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย สายตาก็สอดส่องมองหาชายหนุ่มที่หน้าร้านเป็นพักๆ กระทั่งเห็นคนจำนวนมากส่งเสียงจอแจมุงกันอยู่ที่ตรงป้ายประกาศทางการตรงข้ามร้าน ก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
           
           “สระบัวถูกเผาอีกแล้ว”
         
           “คราวนี้เป็นสระบัวในวังน่ะสิเรื่องใหญ่เลย” ท่านลุงอีกคนตอบกลับ
           
           “เฮ้อ เดี๋ยวนี้เกิดเหตุเภทภัยอะไรขึ้นกันแน่ สระบัวในเมืองก็ถูกเผาวอดวายไปหมด นี่ยังในวังอีกเหรอเนี่ย” ท่านยายคนหนึ่งกล่าว
           
           “ท่านยายยังไม่รู้อะไร เมืองอื่นก็เป็นเช่นเมืองเราทั้งนั้นแหละ”
           
           “ทางการถึงขนาดติดป้ายประกาศหาคนร้าย แสดงว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ”
ต้าเซียนฟังอย่างสงบ ใบหน้าราบเรียบไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ สายตาจับจ้องไปทางประกาศอย่างเย็นชา สระบัวถูกเผาจนหมด หากแต่ยังเหลือเพียงที่เดียว ที่เดียวเท่านั้น

           “เริ่มเคลื่อนไหวแล้วงั้นรึ เฟยหลง” น้ำเสียงเยียบเย็นดังออกมา


*******************************************************

เมื่อวานเหนื่อยมากค่ะเลยไม่ได้อัพ ขออภัยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
สนุกมากเลยค่ะ ชอบมาก ตามหาแนวนี้มานาน ฮามากกกกก 555555 มาเป็นกำลังใจให้นะคะ :hao7: :mew1:

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 7.1 เรือนไม้พฤกษา


           ภายใต้ท้องฟ้าสีแดงฉาน ฝูงเหยี่ยวแร้งต่างพากันร้องดังพลางบินวนเวียนเหนือหุบเหวแห่งหนึ่ง ที่ด้านล่างนั้นปรากฏเป็นซากศพปีศาจที่มีรูปร่างไม่สมประกอบ บ้างมีเพียงศีรษะ บ้างเหลือเพียงแค่แขนขา ชิ้นส่วนเหล่านี้พากันทยอยเน่าเปื่อยกองทับถมจนส่งกลิ่นคาวเลือดน่าขยะแขยง

           ซากเหล่านี้ต่างถูกเหยี่ยวแร้งจิกกินจนแยกไม่ออกว่าส่วนใดเป็นส่วนใด เลือดสีเขียวเนืองนองไปทั่วก่อนจะซึมลึกลงสู่พื้นดิน ต้นไม้ใบหญ้าต่างก็ดูดซึมซากสารอาหารเหล่านี้ไว้จนกลายเป็นเหี่ยวเฉา ทว่ายังคงมีบางต้นที่เติบโตได้ดีจนเปลี่ยนเป็นกล้าแข็ง สามารถต้านลมฝนพายุร้อนหนาวอย่างมิหวาดหวั่น อีกทั้งยังมีทีท่ายินดีที่ได้เติบโตอยู่ในสภาวะเช่นนี้

           ชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงเนินบันไดหินที่ทอดยาว ที่ด้านหลังวางไว้ด้วยบัลลังก์สีทองใหญ่ตั้งตระหง่าน แสงจากคบไฟส่องประกายโชติช่วงทอดสะท้อนให้เห็นสีหน้าที่เรียบเฉย สายตาดุจพญาอินทรีจับจ้องดอกไม้ที่ชูช่อสีแดงท่ามกลางเลือดสีเขียวตาไม่กะพริบ รอยยิ้มเหยียดค่อยๆผุดขึ้นเป็นเหตุให้บรรยากาศที่หดหู่พลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยียบน่าขนลุก 

           ปีศาจชั้นปลายแถวตนหนึ่งยืนตัวสั่นระริก มองชายในชุดเกราะสีทองอร่ามนั่งกุมดาบใหญ่ในมืออย่างหวาดหวั่น แม้หน้ากากสีทองจะปกปิดใบหน้าครึ่งเสี้ยวไว้ แต่มันกลับยิ่งขับดันให้ดูทรงพลังน่าเกรงขาม ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่หยักขึ้น ดูผิวเผินคล้ายสบายอารมณ์แต่กลับกดดันจนมันมิอาจกล่าววาจาใด รอจนรวบรวมความกล้าได้จึงเอ่ยขึ้น

           “ท่านจอมมารเฟยหลง เราส่งคนไปเผาทำลายสระบัวทั่วพิภพมนุษย์แล้ว หากแต่ยังไม่พบลูกแก้วเช่นที่ท่านจอมมารตามหา” ปีศาจชั้นปลายแถวรายงาน สายตาลอบจับจ้องไปยังความเคลื่อนไหว ทว่าอีกฝ่ายแทบมิขยับไหวติง สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

           “มั่นใจแล้ว? ว่าทำลายทั่วพิภพมนุษย์” เสียงเข้มกังวานที่เต็มไปด้วยพลังทำให้ปีศาจชั้นปลายแถวสะดุ้ง

           “มะ มั่นใจขอรับ”

           “เช่นนั้นทำไมจึงยังไม่พบ” น้ำเสียงที่ดังเริ่มแฝงไว้ซึ่งความไม่พอใจ

           “ล่ะ ล่าสุด มีปีศาจหมาป่าหายตัวไปขณะที่พวกเรากำลังเผาสระบัวในวังหลวง จิ้งจอกเหม่ยซินกำลังตามหาเบาะแสอยู่ ท่านจอมมาร” มันกล่าวถึงเบาะแสล่าสุดออกไป ครานี้ชายในชุดเกราะทองกลับนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นจึงเปลี่ยนอิริยาบถเดินมายังเบื้องหน้ามัน

           “แจ้งแก่จิ้งจอกเหม่ยซิน อีกไม่กี่วันข้างหน้า ข้าจะไปที่นั่นด้วยตนเอง” กล่าวจบก็ทอดสายตาไปยังที่เดิมอีกครั้ง ปีศาจชั้นปลายแถวรีบรับคำสั่งก่อนจะผลุนผลันออกไปโดยไม่คิดอยู่ต่ออีกแม้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม

           ครั้นเมื่อเงียบสงบลง ร่างสีทองก็เขย่งฝีเท้าพาตัวเองลอยอยู่บนอากาศ เหาะเหินผ่านซากศพใต้หุบเหวไปโดยที่มิได้สัมผัสถึงสิ่งสกปรกนั้น ครั้นถึงจุดหนึ่งก็ก้มตัวลงเด็ดดอกไม้สีแดงดั่งเลือดขึ้นมา มองความสวยงามบิดเบี้ยวตรงหน้าพลางกล่าวพึมพำ

           “ท่านอยู่ที่ใดกันแน่ ท่านมหาเทพ” กลีบดอกไม้พลันเกิดเป็นประกายไฟสีน้ำเงิน มันค่อยๆลุกลามไปทั่ว หลงเหลือเพียงแค่ผุยผงที่โปรยปรายลงบนซากศพ

 
****************************************

 
           หลังจากที่หลิวซีฝูแยกตัวออกไป เซียวถิงฟงยืนอ่านสาสน์จากองค์รัชทายาทครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าต้าเซียนยังคงรออยู่ เขารีบเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยม ทว่าเมื่อมาถึงคนกลับไม่อยู่แล้ว
           
           เขารีบกวาดตามองหาไปรอบบริเวณอย่างร้อนรน ในที่สุดก็พบร่างที่นั่งกอดเข่าใกล้กับป้ายประกาศ บริเวณใกล้ๆยังเต็มไปด้วยชาวบ้านที่มุงดูประกาศแล้วจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเรื่องหนึ่ง

           “มันมิใช่เรื่องธรรมดา นายพรานแถวบ้านข้าเล่าให้ฟังว่าคืนก่อน สระบัวแถวชานเมืองถูกเผาต่อหน้าต่อตาเลย” ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้น

           “แล้วเจ้านั่นเห็นรึเปล่าว่าใครเป็นคนเผา”

           “ไม่มี ไม่มีคนเผา เขาบอกข้าว่าคืนนั้นเงียบสงัดไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลยสักคน แต่จู่ๆไฟก็ลุกพรึ่บขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย” ชายคนนั้นเล่าอย่างออกรส พอเห็นชาวบ้านหน้าถอดสีเหงื่อตกก็รีบกล่าวต่อ “แต่ที่สำคัญก็คือ ไฟที่ลุกกลับเป็นประกายไฟสีน้ำเงิน มันมอดไม้ดอกบัวจนไม่เหลือและก็ดับลงไปเอง”

           “ปีศาจ ปีศาจแน่ๆ” เริ่มมีคนตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ชาวบ้านทั้งหลายจึงพากันโต้คารมเสียงดังอื้ออึง เซียวถิงฟงเดินมาถึงตัวคนที่นั่งก้มหน้า ยังมิได้เอ่ยปากขึ้นต้าเซียนก็เอ่ยขึ้นมาก่อน

           “กลับกันเถิด”

           แม้สายตาจะจับจ้องอยู่ที่พื้นแต่ทว่ากลับดูเหมือนอยู่ในที่ๆแสนไกล เซียวถิงฟงไม่กล้าขัดจึงพยักหน้ารับ มิกล้าถามอันใด อาจเพราะคนตรงหน้าเงียบงันเกินไป กระทั่งใบหน้าที่เคยสดใสกลับแฝงแววเย็นชาส่วนหนึ่ง

           เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลเซียว ต้าเซียนก็แยกตัวกลับไปที่พำนักอย่างเงียบๆ รอจนมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ในเรือน น้ำเสียงอันเย็นเยียบก็เอ่ยขึ้น “อีกฝ่ายเคลื่อนไหวแล้ว ท่านอาวุโสเทพ”

           “อีกฝ่ายรู้เบาะแสของท่านมหาเทพแล้วหรือไม่” เสียงอาวุโสเทพหวางจื้อดังขึ้นจากต่างหูมุกข้างขวา

           “ไม่ พวกเขายังมิได้รู้ว่าต้นกำเนิดพลังของข้าอยู่ที่ใด แต่อีกหน่อยก็ไม่แน่นัก” 

           “ท่านมหาเทพหรือเราจะเปลี่ยนแผน ทำลายมนตร์ปิดกั้นสวรรค์ ส่งกองทัพเทพไปโจมตีศัตรูเพื่อถ่วงเวลาไว้ก่อน ส่วนท่านฟื้นฟูพลังโดยเร็ว” อาวุโสเทพเจิ้งผิงกล่าวน้ำเสียงวิตก

           “ท่านอาวุโสเทพเจิ้งผิง หากทำเช่นท่านกล่าวกลับทำให้เทพทั้งหลายอ่อนกำลังลง สูญเสียพลังทำลายมนตร์ปิดกั้นสวรรค์เป็นเหตุให้เพลี่ยงพล้ำเปิดทางชนะให้ศัตรู” ต้าเซียนกล่าว

           “ท่านมหาเทพ ท่านพอจะคาดเดาได้ไหมว่า อีกฝ่ายจะดำเนินการเช่นไรต่อไป” อาวุโสเทพเทียนสีถาม

           “ข้ายังมิอาจคาดเดาได้ หากข้าได้เห็นสถานที่เกิดเหตุ อาจพบเบาะแสกำลังของเฟยหลงก็เป็นได้”

           “เสี่ยงเกินไปมิควรทำเช่นนั้น” อาวุโสเทพเทียนสีรีบกล่าวปราม

           “ข้าเห็นด้วยกับท่านเทพเทียนสี ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ท่านมหาเทพจะเผชิญหน้ากับจอมมารเฟยหลง” เทพอาวุโสหวางจื้อกล่าวเสริม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

           “พวกท่านวางใจเถิด ทำเช่นนี้ยังมีผลดีกว่าผลเสียๆอีก ข้ามิต้องเปลืองแรงหา แต่อีกฝ่ายกลับเสนอหน้ามาก่อน แม้ข้าต้องปะทะกับเฟยหลงตอนนี้ ข้าย่อมมีวิธีถ่วงเวลามิให้เขาลงมือก่อน” ต้าเซียนกล่าว แม้ในใจไม่อยากให้เป็นอย่างที่คาดคิด

           “เช่นนั้นพวกเราไม่รบกวนท่านมหาเทพ โปรดรักษาตัว” เมื่อรู้ว่ามิอาจห้ามปรามได้ เทพอาวุโสทั้งสามจึงกล่าวอำลาอย่างรู้ความ ในห้องพักจึงกลับมาเงียบสนิทอีกครั้ง ไม่นานนักก็มีเสียงพึมพำเบาๆ

           “เฟยหลง เจ้าจะคิดจะทำอย่างไรต่อไปกันแน่” ว่าแล้วสองตาก็หลับลงเพื่อเร่งฟื้นฟูพลังต่อ

           เวลาล่วงเลยไปอีกหนึ่งวัน แต่เซียวถิงฟงก็ยังไม่สามารถเฟ้นหาสตรีมาร่วมเดินทางได้เลย ในใจก็ไม่นึกอยากจะใช้ตัวเลือกสุดท้ายเท่าไร ทว่านั่งปวดหัวอยู่นานก็พลันตะโกนขึ้น “บุรุษเช่นข้ากล้าได้กล้าเสีย”

           หวังว่าทางเลือกนี้จะไม่ก่อปัญหาให้เขา ซึ่งมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ เซียวถิงฟงคิดก่อนจะให้อวี่จงไปแจ้งต้าเซียนว่าให้เตรียมตัวเดินทางไปยังวังหลวง ครั้นอวี่จงรับคำสั่งเสร็จก็ทำสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ทั้งยังรีรอไม่จากไปเสียที เขาจึงพูดต่อ “อ้อ เจ้าอย่าลืมเตรียมรถม้าสำหรับพรุ่งนี้ให้เรียบร้อยเสียด้วยล่ะ” 

           “ขอรับ คุณชายเซียว” อวี่จงยิ้มค้างตอบกลับเสียงอ่อย ความหวังที่จะได้ไปเปิดหูเปิดตาที่เมืองหลวงจบลงอย่างสั้นๆ

           หลังจากที่อวี่จงแจ้งข่าว ต้าเซียนก็ถึงกับเงียบไป นึกไม่ถึงว่าโอกาสจะมาถึงเร็วเพียงนี้ หากติดตามเซียวถิงฟงไป ไม่แน่ว่าอาจได้พบสระบัวที่ถูกเผารวมถึงเบาะแสของเฟยหลงก็เป็นได้

           “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก” ต้าเซียนตอบรับยิ้มๆ อวี่จงรับฟังจบก็ไม่ลืมที่จะส่งสายตาอิจฉาไปให้ก่อนจะปิดประตูห้องลง


****************************************


           ครั้นก่อนถึงเพลาออกเดินทาง เซียวถิงฟงกลับยื่นขอเสนอว่าหากต้องการเปิดหูเปิดตาที่วังหลวง จำต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเล็กน้อย โดยเขาจะต้องปลอมตัวเป็นสตรีในระหว่างที่อยู่ในฉางอัน ต้าเซียนฟังแล้วก็ไม่มีปัญหาจึงตอบรับออกไป ดังนั้นก่อนที่จะถึงเวลาเดินทางชายหนุ่มจึงพาเขาออกไปหาซื้อชุดสตรี

           “เจ้าให้ข้าปลอมเป็นสตรี แต่ทำไมไม่ให้ข้าใช้กายเช่นสตรีไปเลยเล่า” ต้าเซียนอดไม่ได้ที่จะสงสัยจะทำให้ยุ่งยากไปทำไม

           ทว่าเซียวถิงฟงก็ตอบตัวเองมิได้ รู้เพียงแต่ว่าชอบต้าเซียนที่เป็นเช่นนี้ แม้ดวงหน้าชายหญิงจะไม่แตกต่าง แต่อย่างไรร่างชายก็มิได้ให้ความรู้สึกชดช้อยเช่นร่างหญิง ดังนั้นย่อมต้องไม่มีคนมาติดพัน ถือเสียว่าเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม

           “ข้าบอกให้ทำอะไรก็ทำไปซี่ นู้นไปเลือกชุดในร้านนู้นไปเลย ข้าจะรออยู่นี่” เขาขึ้นเสียงสูงพร้อมยัดกระดาษเงินปึกหนึ่งให้กับเจ้าของร้านขายเสื้อ ด้านต้าเซียนก็ได้แต่มองชายหนุ่มอย่างงงๆก่อนจะเดินเข้าไปเลือกชุดตามคำแนะนำของเจ้าของร้าน

           หลังจากบังคับให้ร่างน้อยเข้าร้านขายเสื้อไปได้สำเร็จ เขาก็เข้าไปสั่งอาหารกินที่โรงเตี๊ยมข้างๆอย่างอิ่มหนำ ผ่านไปสักพักเขาก็ยกชาขึ้นดื่มพลางชมดูบรรยากาศรอบๆ แลไม่นานนักสายตากลับเหลือบไปเห็นร่างที่กำลังเดินเข้ามา

           พรวด น้ำชาที่พึ่งดื่มเข้าไปสำลักออกมาจากปากพร้อมกับสองตาที่เบิกกว้างอย่างตกตะลึง

           “อ๊ากก” โชคดีที่ต้าเซียนเบี่ยงกายหลบตัวได้ทันก่อนที่จะถูกลอบทำร้ายได้สำเร็จ เขามองค้อนเจ้าตัวจนอีกฝ่ายต้องกระแอมไอกลบเกลื่อนแล้วลุกขึ้นพาเขาไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่โดยไม่พูดอะไรเลย

           หลังจากออกเดินทางไปหลายชั่วยาม ต้าเซียนก็สังเกตเห็นได้ว่าอีกฝ่ายเอาแต่หลบหน้าอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็มิได้ใส่ใจกับคนนิสัยประหลาดอย่างเซียวถิงฟงมากนัก เพราะตอนนี้ทิวทัศน์ด้านนอกมันน่าตื่นตาตื่นใจกว่ากันเยอะ

           “เมื่อไหร่เจ้าจะอยู่นิ่งๆ เสียที” เซียวถิงฟงที่นั่งหลับตาตีสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น

           “งั้นเจ้าก็ลืมตาขึ้นมาสิ” ต้าเซียนต่อรอง จ้องหน้าคนที่เอาแต่นั่งกอดอกในรถม้ามาหลายชั่วยาม

           “ไม่” เซียวถิงฟงตอบทันควัน มือเริ่มกุมขมับบีบนวด

           “เฮอะ ประหลาดคน” ต้าเซียนบ่นเสร็จก็ยื่นศีรษะจนโผล่พ้นนอกหน้าต่างรถม้า จากนั้นก็วิ่งไปทำแบบเดียวกันกับหน้าต่างของอีกฝั่ง แม้รถม้าจะโขยกเขยกเพียงใดก็มิได้เป็นอุปสรรคกับเขาเลยสักนิด        
               
           “ข้าบอกให้เจ้าหยุดนิ่งอยู่กับที่เสียที แล้วก็เลิกโผล่ศีรษะออกไปนอกรถม้าด้วย” ความอึกทึกในรถม้ายังผลให้เซียวถิงฟงที่กุมขมับพูดขึ้นด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง
               
           “ข้าก็บอกให้เจ้าลืมตาขึ้นมาเสียที ไม่เข้าใจรึ” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงยานคาง ดวงตาจับจ้องไปยังโคมแดงที่แขวนตามร้านค้าในเมืองฉางอัน มองดูบัณฑิตที่กำลังโต้กลอนขับกวีกันอย่างออกรส มองคนที่กำลังเลือกซื้อของก็ยิ่งทำให้เพลิดเพลินใจยิ่งนัก

           ครั้นเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมทำตาม เซียวถิงฟงจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปฉุดต้นแขนนุ่มเข้ามา ประจวบเหมาะกับที่ต้าเซียนไม่ทันตั้งตัว ส่งผลให้คางชนเข้ากับที่ขอบหน้าต่างก่อนจะล้มตัวเข้าไปในรถ ร่างน้อยร้องเสียงหลงพลางลูบคางตัวเองป้อยๆ สายตาตวัดมองอย่างเอาเรื่อง
               
           “ข้าบอกให้เจ้านั่งดีๆ ก็ไม่เชื่อ” เซียวถิงฟงยังคงนั่งหลับตา คิ้วทั้งสองขมวดมุ่นเล็กน้อยแต่มุมปากปรากฏรอยยิ้ม
               
           “เจ้าเป็นอะไรของเจ้า จะแลข้าสักนิดก็ไม่มี”

           ครานี้เซียวถิงฟงลืมตาขึ้นมาแล้ว แต่ก็มิได้ลืมอย่างเต็มที่ เขาหยีตามองขึ้นลง “เจ้ามิน่ามองจริงๆ ดูสิ เสื้อผ้าอะไรกัน ดูไม่เข้ากับเจ้าสักนิด แล้วยังใบหน้านี่อีกซีดอย่างกับไข่ต้ม เจ้ายังคิดที่จะให้ข้าทนมองอีกรึ” พูดจบก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะพลางส่ายหน้าอย่างทนดูมิได้ ความจริงแล้วต้าเซียนในตอนนี้ดูเปล่งประกายมีเสน่ห์เสียจนเขาอดที่จะใจเต้นระทึกมิได้ต่างหาก

           “ข้าไม่น่าดูอย่างนั้นเชียวรึ” ต้าเซียนก้มมองดูเสื้อผ้าของตนเองบ้าง ชุดที่สวมใส่เป็นแบบทะมัดทะแมงที่ดูมิคล้ายชายมิคล้ายหญิง

           “หึ แล้วผมเจ้านี่สระบ้างรึเปล่า” ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นดึงผมของอีกฝ่ายมากำไว้ จ่อใกล้จมูกทำท่าสูดดมพลางเบ้ปาก กลิ่นที่ลอยมาเป็นกลิ่นหอมของดอกบัวอ่อนๆ ทำให้อดที่จะปล่อยเส้นผมเหล่านี้ให้หลุดมือไปมิได้ ซ้ำยังแอบสูดดมเข้าลึกๆอยู่หลายครั้ง

           ต้าเซียนเองก็ดึงเส้นผมตนเองมากระจุกหนึ่งเช่นกันก่อนก้มหน้าสูดดมพลางย่นจมูกเบ้ปากบ้าง “ข้าว่าแล้วเชียว ฮัวหลงกับเหม่ยอิงไม่ได้สระผมให้ข้ามาเกือบสองวัน มันจึงเริ่มส่งกลิ่นเสียแล้ว เฮ้อ”

           ได้ยินเช่นนั้นปากของเซียวถิงฟงก็ถึงกับปากกระตุก รีบปล่อยมือจากเส้นผมนุ่มพลางนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือทันที

           “ส่วนเรื่องชุดเจ้าเป็นคนบอกให้ข้าเลือกเองนี่” ต้าเซียนค้อนใส่ ข้าไม่ผิดเสียหน่อย เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าเลือกซื้อตามสบายเองนี่นา ส่วนตัวเองก็กลับไปนั่งกินข้าวเพลิดเพลินอยู่คนเดียว

           “ก็ ก็ชุดที่เจ้าเลือกมันเชยไปนี่” ปากเถียงแต่ใจกลับคิดอีกอย่าง เป็นเพราะต้าเซียนดูดีเกินไปต่างหาก นึกแล้วหัวใจก็เต้นระรัวอย่างหยุดไม่อยู่ เซียวถิงฟงจึงได้แต่พยายามหลับตาสงบจิตสงบใจ

           รถม้าเดินทางเป็นเวลาวันกว่าๆ ก็หยุดลง ไม่รู้ว่าตนผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เซียวถิงฟงที่ลืมตาขึ้นช้าๆ พลันรู้สึกเมื่อยล้ายิ่ง โดยเฉพาะที่ไหล่ซ้าย ครั้นเบนสายตาลงมองก็ถึงกับตะลึง

           ตอนนี้ที่ไหล่ซ้ายเขากลับถูกศีรษะน้อยยึดครองไป กลิ่นหอมอ่อนๆของเส้นผมชวนให้สูดดม เซียวถิงฟงลอบมองใบหน้าที่กำลังหลับตาพริ้ม หากดูผิวเผินคนตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาสักนิด ดูไร้เดียงสา ดื้อดึง ดีแต่ก่อเรื่องไม่หยุดหย่อน แถมยังซื่อบื้อโง่งมอีกด้วย ต่างกันเพียงแค่มีอิทธิฤทธิ์วิเศษ จะเป็นเซียนหรือปีศาจเขาก็ยังตีความได้ไม่แน่ชัด ส่วนอีกเรื่อง...

           เซียวถิงฟงถึงกับสะดุ้ง เขาลืมนึกไปอย่างไรว่าคนที่นอนซบไหล่เขาผู้นี้เป็นผู้ชาย เซียวถิงฟงเหงื่อตก...รึ รึว่าข้าวิปริตไปแล้ว ใบหน้าพลันแดงก่ำ ไม่กล้าขยับไหล่ได้แต่นั่งนิ่งๆอยู่อย่างนั้น พอคิดจะยื่นมือไปปลุก ฝ่ามือก็กลับหยุดชะงักก่อนจะหักใจเปลี่ยนเป็นลูบศีรษะเล็กนั้นแทน

           “หัวใจเจ้าเต้นแรงมาก เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงที่คาดคิดว่าหลับกลับดังขึ้น เซียวถิงฟงถึงกับตกใจร้อนตัวจนใช้ฝ่ามือผลักศีรษะเล็กออกในทันที เป็นเหตุให้ต้าเซียนที่นั่งอยู่เสียหลักกลิ้งตกจากเก้าอี้

           “ว๊าก” ต้าเซียนร้องลั่น พอดีกับที่ม่านหน้ารถม้าเปิดขึ้น ข้ารับใช้ถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นคนตัวเล็กล้มกลิ้งไปยังพื้นรถม้า
           
           “เอ่อ คุณชายถึงที่หมายแล้วขอรับ” ข้ารับใช้แจ้งคนในรถอย่างกระอักกระอ่วน ทั้งแสร้งทำเป็นไม่เห็นเหตุการณ์บนรถม้า เซียวถิงฟงเองก็แสร้งเป็นบึ้งตึงเดินข้ามตัวคนที่เสียหลักนั่งจมอยู่กับพื้นรถโดยไม่เหลียวแล ปล่อยให้ต้าเซียนมองตามออกไปด้วยสายตาคาดโทษ
           
           “ทำไมอยู่กับเจ้า มหาเทพเช่นข้าถึงได้เจ็บตัวอยู่เรื่อยเลย” ต้าเซียนบ่นอุบอิบ จากนั้นจึงยันตัวลุกขึ้นย่ำเท้าลงจากรถม้าตามไป

           รถม้าจอดลงที่หน้ากำแพงสูงที่ตั้งตระหง่าน ประตูทางเข้าที่ควรจะมีเพียงหนึ่งเดียวกลับมีถึงห้าประตู เหนือประตูทั้งห้ายังมีตำหนักสีแดงที่เปรียบเสมือนเป็นป้อมปราการ ต้าเซียนเดินตามชายหนุ่มจนหยุดที่หน้าประตูใหญ่ นายทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาหา จากนั้นไม่นานเซียวถิงฟงก็ยื่นป้ายประจำตระกูลขึ้นมาอีกทั้งยังชี้นิ้วมายังเขา ทหารยามมองเพียงแวบเดียวก็คำนับโบกมือให้ผ่านเข้าไปได้

           หลังจากที่ผ่านเข้าสู่ประตูวังเรียบร้อยแล้วก็ปรากฏเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ ห่างไปไกลยังมีตำหนักหรูหราขนาดใหญ่ที่มีบันไดทอดยาวตระการตา

           “ที่นั่นเป็นท้องพระโรงที่ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ซวนหยวนใช้ออกว่าราชการกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่” เซียวถิงฟงกล่าวอธิบายเมื่อเห็นต้าเซียนจ้องตาไม่กะพริบ

           “ข้ามิยักรู้ว่ามนุษย์จะสามารถปลูกสร้างสถานที่ที่ยิ่งใหญ่มิแพ้แดนสวรรค์ ข้าหลับไปนานมากจริง” ต้าเซียนพูดลอยๆขึ้น เมื่อได้เห็นสถานที่ที่คลับคล้ายกับแดนสวรรค์ก็อดจะวางท่ามาดมั่นมิได้ เขาเดินตรงไปข้างหน้า ก้าวเท้าอย่างหนักแน่นเฉกเช่นมหาเทพผู้สูงศักดิ์

           “เจ้าบ้า ไม่ใช่ทางนี้”

           เดินไปไม่กี่ก้าวก็ต้องถูกจับหมับที่ปกคอเสื้อแล้วพลิกตัวกลับมา ต้าเซียนได้แต่ลอบคิดอย่างเศร้าใจ หมดกันความน่าเกรงขามของข้า

           เซียวถิงฟงเดินนำไปยังด้านหลังล่วงผ่านไปทางอุทยานหลวงขนาดใหญ่ ระหว่างทางมีสตรีที่แต่งกายสวยงามคล้ายๆกันพากันคารวะให้ชายหนุ่มไม่หยุดหย่อน ทว่าเจ้าตัวกลับมิสนใจจะทักทาย บางคราก็เห็นสตรีจับกลุ่มพากันซุบซิบป้องปากหัวเราะคิกคัก

           “นั่นคือ ท่านจอหงวนบู้คนใหม่ใช่รึไม่ ช่างสง่างามยิ่งนัก” ท่านหญิงทั้งหลายพากันกระซิบกระซาบ บ้างก็ส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มมาให้ ทำเอาต้าเซียนเดินชมดูอย่างละลานตา ผิดกับเซียวถิงฟงพึมพำขึ้นอย่างหงุดหงิดใจ
               
           “น่าตายนัก” ดูว่าทหารที่เดินสวนมาต่างพากันจับจ้องต้าเซียนตาไม่กะพริบ บางคนถึงกับอ้าปากค้างลูกตาแทบถลน ยังมีบุตรชายขุนนางบางคนที่พยายามเล่นหูเล่นตาส่งมาให้ เห็นแล้วมันน่านัก
           
           “พวกเจ้าจะมองอะไรกันนักหนา” เมื่อหมดความอดทนเซียวถิงฟงก็ตวาดก้องไปทั่วบริเวณ ทำเอาต้าเซียนถึงกับสะดุ้งตัวน้อยๆ ไม่เว้นแม้แต่ท่านหญิงที่ตกใจจนหน้าซีด ทหารบางคนรีบสะกิดพรรคพวกให้เดินจากไป คุณชายที่ยืนเล่นหูเล่นตาก็แสร้งทำเป็นชมนกชมไม้ต่อ แต่ก็ยังมิวายหลิ่วตาให้ต้าเซียนอยู่ดี เขาจึงคว้าที่ข้อมือของร่างน้อยแล้วพาเดินเคียงคู่จากไป

           ร่างน้อยถูกพาลัดเลาะเข้าลึกสู่ดงไผ่ด้านหลังอุทยาน ยิ่งเข้ามาลึกเพียงใดหนทางก็ยิ่งลำบากมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งเมื่อพ้นดงไผ่ก็เผยให้เห็นเรือนไม้พฤกษาหลังหนึ่งซึ่งไม่ใหญ่นัก ในเรือนหลังนี้จะมีเพียงมหาดเล็กกองพฤกษาที่จะคอยเฝ้าดูแลทุกๆวัน หากแต่บางวันที่นี่จะถูกปิดตายห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออกเช่นเดียวกับวันนี้

           เมื่อองครักษ์นายหนึ่งค้อมศีรษะให้ เซียวถิงฟงก็พาต้าเซียนเข้าไปด้วยความที่เขาไม่กล้าปล่อยให้ร่างน้อยห่างไกลจากสายตา แต่ก็มิกล้าปล่อยให้เข้าไปในตัวเรือนพฤกษาต้องห้ามนี้เช่นกัน สุดท้ายจึงได้แต่จำใจปล่อยให้ร่างน้อยนั่งรออยู่ที่ศาลาริมน้ำเล็กๆใกล้ตัวเรือนแทน
           
           ต้าเซียนนั่งรอที่ศาลาริมน้ำเพียงลำพัง ในใจก็นึกถึงแต่สระบัวที่มอดไหม้ ทว่าวังหลวงแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่จนเกินไป อีกทั้งพลังเขายังมิอาจเล็ดรอดไปที่นั่นได้โดยที่ไม่มีใครพบ ขบคิดอยู่ไม่นานฉับพลันนั้นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังมหาศาล มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เขาจำมันได้เป็นอย่างดีพลังที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดเช่นนี้ แม้จะทรงพลังหากแต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าพลังที่ถ่ายทอดนี้แฝงไปด้วยความเจ็บปวดสักแค่ไหน

           ต้องไป ต้องไปพบ ต้าเซียนคิด ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นประกายสีทองคมกล้า สองขาเดินตรงไปยังเบื้องหน้าองครักษ์ที่ยืนเฝ้าปากทางอยู่ ในขณะที่องครักษ์นายนั้นมองเขาด้วยสายตาฉงน
 

************************************************

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2015 15:48:02 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 7.2 เรือนไม้พฤกษา


 
           “มาแล้วรึ” น้ำเสียงนุ่มแฝงไปด้วยบารมี ริมฝีปากแย้มยิ้มเล็กน้อย

           บุรุษผู้นี้ยืนหันข้างให้กับเขาใกล้กับกระถางดอกไม้ใหญ่ที่มีช่อดอกเบญจมาศเล็กๆเติบโตอยู่ ในมือยังถือกระบวยเล็กยกขึ้นรดน้ำ “ท่านกล่าวทักทายสหายเพียงแค่นี้เองหรือ” เซียวถิงฟงถามกลับพลางมองไปรอบๆ เรือนพฤกษา

           “จากไปเพียงสองเดือน โบตั๋นต้นนี้กลับเติบโตงดงามเพียงนี้เชียวหรือ” เซียวถิงฟงพูดพลางจับกลีบดอกโบตั๋นที่มีอยู่น้อยนิดในอีกฟากฝั่งอย่างเบามือ

           ชายในชุดสีขาวปักดิ้นทองถึงกับชะงักมือแล้ววางกระบวยน้ำลงในถังข้างกาย ใบหน้าที่ดูสว่างไสว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่แฝงไปด้วยความหลักแหลมหันมาประจันหน้ากับผู้มาเป็นแขกอย่างประเมินมอง

           “มิคาดว่าเจ้าจะชอบดอกโบตั๋นเพียงนี้ ทั้งยังมิคาดว่าเจ้าจะสามารถทำข้อความสุดท้ายให้เป็นจริงได้”

           “ข้ามิได้ชื่นชอบดอกโบตั๋นเป็นพิเศษ อีกทั้งคำสั่งขององค์รัชทายาท ข้าย่อมกระทำตาม” เซียวถิงฟงค้อมคำนับชายเบื้องหน้า

           “วิเศษ ข้าเกลียดดอกโบตั๋นเป็นที่สุด ทั้งยังเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง เซียวถิงฟง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวอย่างปิติยินดี

           “แต่ข้ายังคงมิเข้าใจว่าทำไมท่านจึงต้องออกคำสั่งเช่นนี้” เซียวถิงฟงถามอย่างสงสัย เหตุผลที่ไม่อาจหาคำตอบได้ ย่อมเฉลยในไม่ช้านี้

           “นางและตระกูลเซิงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว หากชักช้ากว่านี้อีกเห็นท่าไม่ดีแน่ นอกจากตำแหน่งจอหงวนบู้แล้ว เจ้าอาจจะได้ตำแหน่งราชบุตรเขยมาครองด้วยก็เป็นได้ ข้าจำต้องลงมือก่อน ป่านนี้คงได้ข่าวแล้วล่ะ ว่าเจ้าพาสตรีนางหนึ่งตามติดสอยห้อยตามมาด้วย” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบอย่างสบายอารมณ์

           เซียวถิงฟงได้แต่มองดอกโบตั๋นเงียบๆ นางผู้นั้นเป็นหญิงสูงศักดิ์ซึ่งชื่นชอบดอกโบตั๋นเป็นที่สุด องค์หญิงหย่าเหลียน ซวนหยวนหย่าเหลียน

           “ข้าอาจทำผิดต่อเจ้า แต่เจ้าก็รู้ดีถึงสถานะของข้า การที่ข้าต้องทำเช่นนี้เนื่องจากข้าคือ องค์รัชทายาท ตัวข้าเป็นโอรสของฮองเฮาองค์ก่อน ส่วนนางเป็นธิดาคนสุดท้องของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ซ้ำพี่ชายนางยังอายุเท่ากับข้า เส้นสายอำนาจที่คอยสนับสนุนก็มีอยู่มากเช่นกัน การจะล้มคนเหล่านั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งพวกเขายังคอยจ้องหาโอกาสลดทอนกำลังคนของข้า โดยเฉพาะเจ้าเซียวถิงฟง เจ้าเป็นที่หมายตาของนาง แม้ข้าจะเป็นถึงองค์รัชทายาทที่ถูกแต่งตั้งจากองค์ฮ่องเต้ แต่ก็มิได้หมายความว่า เสด็จพ่อจะทรงสนับสนุนฐานอำนาจของข้า ฐานอำนาจของข้าย่อมต้องสร้างด้วยกำลังของตนเอง หากข้ายอมให้เจ้าเป็นราชบุตรเขย ข้ามิใช่ต้องเสียมือขวาไปรึ” องค์รัชทายาทกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น นึกถึงความทรงจำที่ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด

           “ข้ามิได้โทษท่านแต่อย่างใด แม้ข้าจะสนิทสนมกับองค์หญิงหย่าเหลียนเป็นพิเศษ แต่มิได้คิดกับนางเช่นนั้นและข้ายินดีที่จะเป็นมือขวาของท่านเช่นกัน” พูดจบก็ส่งยิ้มให้องค์รัชทายาท เขารู้สึกสงสารคนตรงหน้าที่ต้องขวนขวายดิ้นรนเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในนรกแห่งนี้ นรกที่เรียกว่าวังหลวง แต่ถึงอย่างไรเขาก็อดที่จะสงสัยมิได้ สำหรับองค์รัชทายาทแม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังดอกโบตั๋น แต่ในเรือนพฤกษาแห่งนี้ก็ยังมีดอกโบตั๋นวางอยู่ในมุมเล็กๆที่ไม่สะดุดตาเช่นดอกไม้อื่นๆ

           “นี่แหละ สหายรักของข้า” ซวนหยวนหมิงไท่มองเซียวถิงฟงอยู่ครู่หนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้พลางกอดคออย่างสนิทสนม
 
           “ว่าแต่ถิงถิงของข้าล่ะ” เซียวถิงฟงกล่าวโดยมิได้ใช้คำนอบน้อมเท่าไร

           “เจ้า” ซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นเสียงก่อนกล่าวประชดเล็กๆ “มิเป็นห่วงข้าเลยหรือ มามิทันไรก็กล่าวถึงถิงถิง เจ้ารู้ตัวบ้างไหมว่าเจ้าค่อนข้างจะติดมันเกินไปแล้ว”

           “ข้าเพียงแต่รู้สึกผิดต่อมัน เนื่องจาก” กล่าวถึงตรงนี้เขาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

           “เนื่องจากว่า มันโดนปีศาจลูกแก้วทำร้าย อีกทั้งยังถูกสาปให้กลายเป็นมนุษย์ใช่รึไม่”

           “ท่านรู้ได้อย่างไร” เซียวถิงฟงเลิกตาโตถามด้วยความตกใจ

           “ถิงถิงเป็นคนบอกข้าเอง ทั้งยังบอกว่าเจ้าโดนปีศาจทำร้าย ซ้ำในตอนหลังเจ้ายังคงเข้าข้างเจ้าปีศาจตนนั้นอีกด้วย แต่เจ้ามิต้องห่วง นางอยู่แถวๆนี้แหละ นางมิยินยอมออกมา เป็นเพราะนางยังเคืองเจ้าอยู่” ซวนหยวนหมิงไท่พูดจบก็ส่ายหน้าน้อยๆ

           “ท่านก็เชื่อเรื่องแบบนี้ลงด้วยรึ”

           “หากข้าเล่าเรื่องหนึ่งที่แปลกประหลาดมากเจ้าจะเชื่อข้าไหมล่ะ” องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ทำหน้าสีหน้าจริงจัง

           “เกิดอะไรขึ้นกับท่านรึ” เซียวถิงฟงถาม

           “เจ้าได้ยินข่าวที่สระบัวในวังหลวงถูกเผาอย่างไม่มีที่มาแล้วใช่รึไม่” เซียวถิงฟงพยักหน้าเล็กน้อย ซวนหยวนหมิงไท่จึงเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้น

           ในช่วงเวลาประมาณยามสามคืนเดียวกับที่สระบัวถูกเผา คืนนั้น ซวนหยวนหมิงไท่ที่ได้เข้าบรรทมไปเรียบร้อยแล้วกลับรู้สึกอึกอัดจนต้องลืมตาตื่นขึ้น แล้วจึงพบเงาดำที่มีรูปร่างเช่นหมาป่าตัวใหญ่กำลังลอยอยู่เหนือตัวเขา

           กลิ่นอายของมันเหม็นสาบจนน่าคลื่นไส้ มันจ้องหน้าเขาอย่างกระหายเหือดหิว ตัวเขาตอนนั้นตกใจมากจึงพยายามส่งเสียงร้อง แต่กลับมิมีเสียงใดเล็ดลอดออกไป เขาหันไปมองมีดสั้นเล่มหนึ่งที่วางไว้ด้านข้างเตียง คิดจะนำมาฟาดฟันปีศาจข้างหน้า แต่ทว่าร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงทำได้แต่กัดฟัดส่งเสียงเจ็บใจ ปีศาจหมาป่าตัวนั้นก็เห่าหอนก่อนจะแสยะยิ้มกล่าว

           “ปราณมังกรในร่างของเจ้าช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจบารมี รับรองตบะของข้าต้องก้าวหน้าอย่างมากแน่นอน” มันพูดจบก็แยกเขี้ยวหมายจะขย้ำที่ลำคอ รอยฟันของมันแยกจนเห็นเขี้ยวแหลมเปื้อนเลือด เขาหลับตาลงทันที แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกสิ่งที่เย็นยะเยียบตรงข้อมือข้างขวา

           จำได้ว่าที่ข้อมือข้างขวานั้นสวมใส่ไว้ด้วยกำไลหินรูปงู และเสมือนว่างูนั้นกำลังมีชีวิต มันเลื้อยรัดแขนของเขาไม่นานก็เลื้อยขึ้นมาบนหน้าอก เขาเบิกตาขึ้นอย่างตะลึงงันเมื่อแลเห็นงูเผือกตัวหนึ่งอย่างเต็มตา มันอ้าปากกว้างส่งเสียงขู่ฟ่อๆใส่ปีศาจหมาป่า ส่วนปีศาจหมาป่าก็หอนดังขึ้นจนแสบแก้วหู ฉับพลันนั้นงูเผือกกลับพุ่งฉกเข้าใส่ ปีศาจหมาป่าตนนั้นถึงกับร้องโหยหวนก่อนจะถูกงูเผือกตัวจ้อยเขมือบเข้าทางปาก จวบจนร่างของมันจมหายไปในปากของงูเผือกแล้ว เสียงโหยหวนจึงหมดไป

           “ไร้รสชาติสิ้นดี”

           รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ตกตะลึงอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว ดูเหมือนว่าดังมาจากงูเผือก กระทั่งมันเลื้อยมาบนหน้าอกเขาพลางขู่ฟ่อๆใส่ เขาก็จ้องมองงูเผือกอย่างไม่ลดละ มันเองก็ร้องขู่เขาสักสองสามทีก็ไม่สนใจนอนแนบกับหน้าอกของเขาหลับไปด้วยท้องอันป่อง จากนั้นเขาเองก็รู้สึกง่วงงุนจึงผล็อยหลับไป

           ครั้นเมื่อเขาตื่นขึ้นมามันก็กลับกลายเป็นกำไลหินรูปงูดุจเดิมแล้ว หากแต่ยังมีข้อสงสัยอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือส่วนท้องของมันกลับมีลักษณะป่องนูนขึ้น อันเป็นสิ่งยืนยันว่าเขามิได้ฝันไป อีกทั้งในกรณีเรื่องราวของสระบัวที่ถูกเผาโดยไร้ที่มาที่ไปนั้นกลับสร้างความค้างคาใจว่ามันอาจเกี่ยวข้องกันก็เป็นได้ จนกระทั่งได้พบหญิงสาวที่หลบซ่อนในเรือนพฤกษาแห่งนี้

           “ถิงถิง” เซียวถิงฟงพูดขึ้น นอกจากองค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ เขาและแมวสาวถิงถิงเท่านั้นที่เข้ามาที่แห่งนี้ได้

           “ถูกต้อง” ซวนหยวนหมิงไท่พูดเสริม พลางเปิดแขนเสื้อสีขาวออก เผยให้เห็นกำไลหินรูปงูสีเงิน ที่ตาของมันประดับด้วยพลอยสีเขียวน้ำทะเล ลักษณะกำไลเป็นวงคล้ายเลื้อยรัดอยู่ที่ข้อมือ
           
           “กำไลนี้เป็นของที่เสด็จแม่มอบให้ข้ากับมือเอง ทั้งยังตรัสว่าสิ่งนี้เป็นของตกทอดของราชวงศ์ซวนหยวนที่สืบทอดมากว่าห้าร้อยปี แต่เสด็จเเม่กลับมิเคยมีใครกล่าวถึงอิทธิฤทธิ์ของกำไลนี้เลย”
           
           “ฟังจากที่ท่านเล่ามันคือ กำไลกำจัดปีศาจใช่หรือไม่”

           “อาจเป็นเช่นนั้น ว่าแต่ปีศาจลูกแก้วตอนนี้ยังคงอยู่กับเจ้าหรือไม่ หากใช้กำไลนี่ เจ้าอาจจะกำจัดมันได้”

           “เอ่อ” เซียวถิงฟงลังเลที่จะบอกต่อ จะให้บอกว่าต้าเซียนเป็นปีศาจ เขาก็รู้สึกว่ามิใช่ หรือจะให้บอกว่าเป็นเทพเซียนหรือเป็นมหาเทพ เขาก็ยังเชื่อไม่หมดใจอยู่ดี

           “เมี้ยว”

           “ใคร”


****************************************


ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 8.1 พานพบมิคาดฝัน


           “ใคร”

           คนในห้องต่างอุทานขึ้นพร้อมกัน ด้านนอกมีทั้งเสียงของถิงถิง รวมถึงเสียงฝีเท้าที่เบาราวกับเหาะเหิน สำหรับเซียวถิงฟงแล้วเดาได้ไม่ยากเลยว่านั่นเป็นเสียงฝีเท้าของใคร

           พวกเขาต่างพุ่งตัวไปยังประตูเรือนพฤกษา ครั้นประตูเปิดออกก็พบร่างที่นอนไม่ได้สติของเหล่าองครักษ์ ที่เบื้องหน้ายังปรากฏแผ่นหลังที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดี

           “องค์รัชทายาท ปีศาจตนนั้นอยู่ที่นี่” สตรีในชุดดำผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มระคนหยิ่งผยองโก่งคอร้องบอก สองขาเกาะเกี่ยวบนต้นไผ่ เล็บคมยาวก็ชี้ไปที่ยังคนที่กำลังกุมปกคอเสื้อขององครักษ์นายหนึ่ง

           “เจ้าจะทำอะไร ต้าเซียน” เขาไม่รอช้ารีบถลาเข้าไปจับเรียวไว้ ยังผลให้องครักษ์ที่อยู่ในมือเรียวร่วงลงไปนอนกองกับพื้นอีกราย

           “ปล่อยข้า ข้าต้องไปที่นั่น” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงกร้าวพร้อมทั้งจับจ้องไปยังทิศหนึ่งด้วยสายตาสับสน

           “เจ้าจะไปที่ใดกัน” เห็นแววตาเช่นนั้นในอกของเขาก็ร้อนรนขึ้น

           “ข้ารู้สึกได้ เขา เขาอยู่ที่นั่น ที่สระบัว”

           “อะไร ใคร” ไม่เข้าใจ เหตุใดต้องเป็นสระบัว แล้วคนผู้นั้นเป็นใคร สมองเซียวถิงฟงถึงกับงุนงง จังหวะนั้นต้าเซียนก็เริ่มสะบัดมือเขาทิ้งทำให้เขาต้องเกาะกุมแน่นขึ้น

           ...กลิ่นอายพลังที่คุ้นเคยเริ่มห่างหายออกไป จะช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว ต้าเซียนคิดพลางสาดสายตาสีทองเข้าใส่จนร่างสูงตะลึงงันไปชั่วขณะ

           องค์รัชทายาทรู้สึกถึงบรรยากาศฟาดฟันก็รีบแทรกตัวเข้าไปประจันหน้า วาดฝ่ามือเข้าใส่เด็กหนุ่มอย่างไม่ลังเล ทว่าฝ่ามือยังมิทันประสบผล เซียวถิงฟงที่กลัวว่าต้าเซียนจะบาดเจ็บก็ตัดสินใจผลักเจ้าตัวให้ถอยห่างออกไป แต่คนที่เซออกกลับตั้งหลักเพียงชั่วลัดนิ้วมือก่อนจะทะยานตัวเข้ารุกไล่ผู้ลงมือก่อนอย่างรวดเร็ว

           กระบวนท่าที่ใช้ออกรวดเร็วเฉกเช่นสายลม ทั้งสูงส่งแปลกตาจนซวนหยวนหมิงไท่มิอาจตั้งรับได้ทัน เมื่อเห็นท่าไม่ดีเซียวถิงฟงก็กระโดดเข้ามาใช้กรงเล็บตะครุบเข้าที่ไหล่บาง กระนั้นร่างน้อยเพียงบิดไหล่ทีหนึ่งก็หลุดออกพร้อมทั้งพลิกตัวหลบ หากแต่ซวนหยวนหมิงไท่กลับรอจังหวะนี้อยู่แล้ว

           ฝ่ามือหนึ่งซัดเข้ามาในระยะประชิด ต้าเซียนได้แต่ต้านรับอย่างฉุกละหุก ฝ่าเท้าถึงไถลไปกับพื้น แลฉับพลันที่ช่องว่างปรากฏขึ้นเซียวถิงฟงก็เร่งฝีเท้าเข้ารวบตัวเขาจากทางด้านหลัง ด้านองค์รัชทายาทก็ปราดเข้ามาหมายจะสกัดจุดที่ด้านหน้า
           
           “ปล่อย หากมิปล่อยอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” เขากล่าวน้ำเสียงเด็ดขาดก่อนจะถองศอกเข้าใส่อย่างแรง ทำเอาเซียวถิงฟงต้องผงะถอยหลังออก

           ครานี้ประกายตาสีทองพลันเปล่งประกายแสงแล้ว ยังมิทันถึงตัวซวนหยวนหมิงไท่ที่ถลาเข้ามาก็กระแทกเข้ากับกำแพงอากาศเข้าอย่างจัง ร่างพลันเสียหลักกระเด็นไปไกลราวสิบก้าว ดีที่ถิงถิงปราดเปรียววิ่งเข้ามารับตัวได้ทันก่อนที่จะล้มไปกับพื้น
         
           “องค์รัชทายาท” เซียวถิงฟงร้องตกใจพร้อมวิ่งเข้าหา
           
           “ข้ามิเป็นไร” แม้จะชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น แต่ซวนหยวนหมิงไท่ก็มิได้บาดเจ็บที่ใด เพียงแค่รู้สึกว่าเหมือนโดนผลักออกมาก็เท่านั้น

           แม้จะได้ยินเช่นนั้นแต่เซียวถิงฟงก็เดือดดาลแล้ว เขาก้าวย่างเข้าไปหาคนที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล อาจเป็นเพราะกลิ่นอายพลังดังกล่าวสลายหายไปแล้ว ชั่วขณะนั้นต้าเซียนจึงเกิดอาการเลื่อนลอย ได้แต่ยืนทอดมองไปยังทิศทางดังกล่าวนิ่งงันไป
               
           “เจ้าทำร้ายสหายของข้าทำไม” เซียวถิงฟงตวาดก่อนจะรั้งตัวต้าเซียนไว้โดยแรง “ทั้งๆ ที่เจ้าเคยให้สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายใคร”

           ดวงตาสีดำคล้ายบ่งบอกถึงความผิดหวัง ลมหายของต้าเซียนพลันสะดุดลง...ทำไมกัน ทำไมต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ ราวกับในอกถูกคว้านเอาบางสิ่งออกไป นี่มิใช่ครั้งแรกที่เขาถูกมองเช่นนี้ ก่อนที่คนผู้นั้นจะจากไปก็ทิ้งสายตาที่คอยทิ่มแทงไว้อยู่ตลอด ความโดดเดี่ยวพลันกอบกุมในใจ จนหยาดน้ำใสหลั่งรินออกมาดวงสีน้ำตาลโดยไม่รู้ตัว

           ร่างสูงพลันสงบสติได้ก็ต่อเมื่อสังเกตเห็นหยาดน้ำใสบนใบหน้าอ่อนโยน ริมฝีปากน้อยนั้นพยายามยกขึ้นเหยียดยิ้ม ดูกล้ำกลืนเสียจนเขาเจ็บแปลบในอก สองมือที่สั่นระริกยกขึ้นโอบรอบคอเขาไว้อย่างช้าๆ

           “อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนี้ ได้โปรด” น้ำเสียงแหบแห้งกระซิบริมใบข้างหู นิ้วเรียวขยุ้มที่หลังเสื้อราวกับฝืนทนอะไรอยู่ “อย่าทิ้งข้าไป อย่าทิ้งข้าไปนะ”

           ลมหายใจพรั่งพรูออกอย่างช้าๆ มือเอื้อมโอบรับร่างที่กำลังสั่นระริกไว้ เซียวถิงฟงเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดี ความรู้สึกที่โดดเดี่ยว ทั้งยังโหยหาใครบางคนอย่างปวดร้าว เหมือนตัวเขาสมัยเด็ก เหมือนตอนที่เขากอดมารดาไว้แน่นในช่วงเวลาสุดท้าย เหมือนตอนที่เขาคิดว่าบิดากำลังจะทอดทิ้งเขาไป

           “เจ้าบ้า เจ้ากอดข้าเสียแน่นขนาดนี้แล้วข้าจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร อย่าร้องไห้สิ เด็กโง่” เซียวถิงฟงกล่าวปลอบเด็กน้อย ทั้งยังคอยปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออกให้อย่างอ่อนโยน “จำไว้หากไม่อยากยิ้ม ก็จงอย่าฝืน ซื่อบื้อเอ้ย” พูดจบก็ส่งยิ้มแย้มให้คนที่เอาแต่ยืนทำตากลม
           
           “เจ้า คำหนึ่งก็บ้า สองคำก็โง่ นี่ยังมีคำที่สามซื่อบื้ออีก นี่เจ้าเห็นมหาเทพอย่างข้าเป็นตัวกระไรกัน” ต้าเซียนบ่นน้ำเสียงอู้อี้พลางเบ้ปากใส่ทำเอาเซียวถิงฟงหัวเราะชอบใจ

           ดูว่าพวกเจ้าคงลืมไปแล้วว่ามีพวกข้าอยู่ด้วย ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่ชมมองบรรยากาศหวานชื่น โดยมีถิงถิงนั่งยองๆมองด้วยสายตาเอือมระอาอยู่เป็นเพื่อน จวบจนเซียวถิงฟงรู้สึกตัวก็แสร้งทำเป็นกระแอมไอแก้อาการเขิน เขาถึงกับลอบยิ้มในใจ
           
           “องค์รัชทายาท หม่อมฉันต้องขอพระราชทานอภัยโทษแทนเขาด้วย” เซียวถิงฟงพูดพลางคุกเข่าลง

           ซวนหยวนหมิงไท่ยังคงเงียบงันพลางลุกขึ้นปัดฝุ่นที่ชายเสื้ออย่างแช่มช้า “มิเป็นไร นานๆครั้งได้เห็นเจ้าทำท่ากระดากอายบ้างก็สนุกดีไม่หยอก” พูดจบเสียงกลั้วหัวเราะก็ดังขึ้น
               
           “ขอบ...พระทัย...พะย่ะค่ะ”

           เซียวถิงฟงกัดฟันพูด ทั้งยังลุกขึ้นยืนโดยไม่รอให้องค์รัชทายาทออกคำสั่ง แต่เขาไม่ถือสาจึงหันไปสนใจเด็กหนุ่มอีกคนแทน “นี่คือ ปีศาจลูกแก้วที่ถิงถิงกล่าวใช่หรือไม่” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามผู้เป็นสหาย
               
           “ข้ามิใช่ปีศาจ ข้าคือต้าเซียน มหาเทพผู้ปกครองแดนสวรรค์”

           ไม่รอให้เซียวถิงฟงตอบ ต้าเซียนก็แสดงตัวขึ้นพลางเชิดหน้าใส่ ทำเอาซวนหยวนหมิงไท่ต้องกลั้นหัวร่อมองคนที่วางท่าแข็งขันเช่นบุรุษในชุดของสตรีจนปวดท้อง ครั้นเหลือบไปเห็นสีหน้าที่แฝงแวววิตกของสหายก็ต้องลอบยิ้ม “หากเจ้ายืนยันว่าเจ้ามิใช่ปีศาจ เช่นนั้นเจ้ากล้าที่จะประจันหน้ากับสิ่งนี้หรือไม่” ปากกล่าวท้าทายเด็กหนุ่มทว่าสายตากลับมองไปที่เซียวถิงฟง มือหนึ่งก็ถลกแขนเสื้อสีขาวออก เผยให้เป็นกำไลงูหินที่เลื้อยพันอยู่ที่ข้อแขน ดวงตาของงูเด่นสะดุดตาด้วยพลอยสีฟ้าอมเขียว

           “เดี๋ยวก่อนองค์รัชทายาท”  เซียวถิงฟงเริ่มรู้สึกแปลกๆจึงร้องทักท้วง
           
           “ได้” ทว่าต้าเซียนกลับชิงกล่าวพร้อมทั้งเดินเข้าไปหาผู้ท้าทายอย่างมิเกรงกลัว น่าแปลกที่เมื่อชำเลืองไปที่กำไลดังกล่าวก็ให้ความรู้สึกที่คุ้นชินอย่างประหลาด ยิ่งช่วงท้องที่นูนป่อง รวมถึงเรียวตาที่ดูยั่วยวนคู่นั้น

           ด้านเซียวถิงฟงก็ได้แต่เป็นห่วง หากกำไลนี่มีอิทธิฤทธิ์จริง ต้าเซียนจะมิเป็นอันตรายหรือ ขณะที่ชายหนุ่มจมอยู่ในห้วงคิด ดวงตาของต้าเซียนก็พลันเปล่งประกายตาสีทองอีกครั้ง ไม่นานนักซวนหยวนหมิงไท่ก็รู้สึกถึงความเย็นเฉียบของสัตว์เลือดเย็น

           กำไลงูหินเริ่มมีชีวิต เกร็ดสีขาวเงางามที่เคยแข็งกลับแปรเปลี่ยนเป็นเรียบลื่น งูเผือกค่อยๆชูคอมองต้าเซียนเขม็งก่อนจะขู่ฟ่อดุร้ายใส่ไม่หยุด ทุกคนต่างจ้องมองไปทางงูเผือกตาไม่กะพริบ กลิ่นอายอันตรายเริ่มปรากฏขึ้น สักพักมันก็ไม่ขยับนิ่งเสมือนรอจังหวะ แลในช่วงที่ทุกคนไม่สามารถเดาความเคลื่อนไหวของมันได้ มันก็พลันดีดเข้าหาต้าเซียนทันที ปากของมันอ้ากว้างจนเห็นแฉกลิ้นสีแดง เขี้ยวคมสีขาวโดดเด่น ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเช่นน้ำทะเลเบิกกว้างราวกับยินดีที่เห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้า
เซียวถิงฟงเห็นอันตรายที่จะบังเกิดขึ้นก็ไม่รอช้ารีบสาวเท้ายืนกำบังต้าเซียนเอาไว้ สองมือเตรียมรวบจับที่ลำคอของงู

           “อั่ก”

           ทว่าเสียงร้องแปลกๆดังขึ้น เซียวถิงฟงงงงันวูบเมื่อสองมือคว้าได้แต่อากาศ ส่วนงูเผือกตัวจ้อยนั้นกลับห้อยต่องแต่งอยู่ในมือขององค์รัชทายาทแล้ว

           กล่าวโดยสรุปอีกครั้งเมื่องูเผือกจะกระโจนตัวออกไป ซวนหยวนหมิงไท่ก็ตัดสินใจคว้าหางของมันไว้มิให้หลุดมือ ยังผลให้ตอนนี้หัวของงูเผือกชี้ลงดินส่วนหางกลับลอยชี้ฟ้า สภาพกวัดแกว่งไปตามแรงที่มันกระโจนตัวแต่กระนั้นมันก็ยังขู่ไม่หยุดทำเอาซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับยิ้มแหย

           “ฟ่อ เจ้าคนเนรคุณ ข้าช่วยเจ้าแต่กลับตอบแทนข้าเช่นนี้รึ”

           จากเสียงขู่ฟ่อของงูกลับกลายเป็นเสียงทุ้มเล็กๆของชายหนุ่ม ยังผลให้เขาตกใจเผลอคลายมือออก งูเผือกจึงหล่นตุบนอนขดตัวอยู่บนพื้น สักพักมันก็โผล่หัวชูคอแล้วเลื้อยเข้าไปใกล้เซียวถิงฟงกับต้าเซียนแทน

           แลยิ่งเข้าไปใกล้ร่างของงูเผือกก็เริ่มแปรสภาพกลายเป็นเด็กหนุ่ม เส้นผมของเขาเป็นสีดำเทาตัดกับผิวขาวบาง ดวงตาเรียวยาวสีฟ้าอมเขียวนั้นก็จับจ้องไปที่ต้าเซียนเขม็ง แต่แล้วปากก็ค่อยๆเบะออกอย่างสะเทือนใจ

           “ท่านมหาเทพ ในที่สุดท่านก็มารับข้าสักที ข้ารอท่านมาตั้งหลายร้อยปีแน่ะ โฮ” เด็กหนุ่มชุดเขียวพูดจบก็ผลักตัวเซียวถิงฟงที่ขวางอยู่จนกระเด็นออกไป จากนั้นถลาเข้าไปกอดขาต้าเซียนไว้พร้อมปล่อยโฮดังลั่น ดูแล้วพลันหมดสภาพความดุร้ายดังเช่นก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น
           
           “ไป๋เซ่อ ไป๋เซ่อใช่ไหม มิใช่ว่าเจ้าอยู่บนแดนสวรรค์หรอกรึ” ต้าเซียนขึ้นน้ำเสียงสูงด้วยความดีใจ แต่แล้วก็ต้องกลับมางงงันอีกครั้ง
           
           “ข้า หลังจากที่ท่านมหาเทพเข้าสู่นิมิตแล้ว อีกสองร้อยปีต่อมา ข้า ฮึก ก็แค่กินลูกท้อสวรรค์ไปแค่ไม่กี่ต้น เจ้าแก่เทพเซียนทั้งสามก็มาด่าทอข้าเสียยกใหญ่ แถมยังโหดร้ายถีบข้าลงมายังโลกมนุษย์ บอกว่าให้รอท่านมหาเทพกลับไปรับเอง ตัวข้าก็เฝ้ารอท่านมาตั้งหลายร้อยปี แต่ว่าตอนนี้ข้าจะได้กลับแดนสวรรค์แล้ว” ไป๋เซ่อทั้งสะอึกสะอื้นทั้งตะโกนร้องอย่างดีใจ พลางนึกถึงช่วงเวลาที่แสนสาหัสครั้งตกลงมายังโลกมนุษย์
         
           หลายร้อยปีก่อน เขาได้ตกลงมายังท้องพระคลังหลวงที่มีกองสมบัติขนาดใหญ่ มองไปทางไหนก็ไม่มีเพื่อนให้พูดคุย ครั้นรออยู่หลายร้อยปีเข้าก็รู้สึกเบื่อหน่ายจึงแปลงเป็นกำไลหินหลับรอท่านมหาเทพอยู่หลายร้อยปี ส่วนมหาดเล็กที่ดูแลพระคลังหลวง แม้ไม่รู้ว่ากำไลนี้มาจากที่ใดก็มิได้ใส่ใจมากนัก จึงจัดส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการถวายแก่เจ้านายในวัง

           ระหว่างนี้ไป๋เซ่อที่อยู่ในคราบกำไลจึงได้ถูกส่งมอบต่อๆกันไป ทว่ามันไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นโลกภายนอกมากนัก เพราะมันมักถูกเก็บไว้ในกล่องที่มืดสนิท จวบจนกำไลนี้ตกอยู่ในความครอบครองขององค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ที่หยิบขึ้นมาใส่เพื่อระลึกถึงมารดา

           ต้าเซียนฟังไป๋เซ่อคร่ำครวญแล้วก็ต้องนึกสงสารสวนท้อบนแดนสวรรค์ เพียงแค่ไม่กี่ต้นของเจ้างูตะกละ ย่อมตีความหมายได้ว่าทั้งสวน สมควรแล้วที่ท่านอาวุโสเทพทั้งสามจะโกรธ แต่เมื่อฟังประโยคสุดท้ายของไป่เซ่อก็ต้องชะงักไป “เอ่อ ยังกลับมิได้หรอก คือตอนนี้แดนสวรรค์ถูกปิดกั้นเสียแล้ว ไม่ว่าใครก็เข้าออกมิได้”
           
           “กลับมิได้ เข้าออกมิได้ ฮึก ฮึก โฮ” งูเผือกไป๋เซ่อทวนคำ เมื่อทำความเข้าใจได้แล้วก็ยิ่งปล่อยโฮหนักขึ้นกว่าเดิม เป็นที่ระคายหูแก่เซียวถิงฟงและซวนหยวนหมิงไท่ถึงขนาดยกมือขึ้นปิดหู กว่าที่ไป๋เซ่อจะสงบสติอารมณ์ได้ก็เล่นเอาปลายกระโปรงของต้าเซียนชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา
           
           “ว่าแต่ท่านมหาเทพ ทำไมแดนสวรรค์จึงถูกปิดกั้น” เมื่อร้องจนสาแก่ใจ ไป๋เซ่อจึงถามด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
           
           “เอ่อ จะว่าไปแล้วเรื่องมันยาวยิ่งนัก” เมื่อไม่รู้จะอธิบายถึงที่มาที่ไปอย่างไร ต้าเซียนจึงได้แต่เกาหัวแกรกๆ ทั้งที่สักครู่ก่อนเขาพึ่งทำเบาะแสหลุดมือไป แต่จู่ๆก็ได้พบกับไป๋เซ่อ สัตว์เลี้ยงบนแดนสวรรค์แทนเป็นเหตุให้มึนงงอยู่บ้าง

           “กลิ่นอายของท่านมหาเทพเปลี่ยนไป” ยังไม่ทันจะได้อธิบาย ไป่เซ่อเปลี่ยนมาทำท่าสูดดม
               
           “หา” ต้าเซียนร้องเสียงหลง ยกแขนตัวเองขึ้นมาดมบ้าง แต่แล้วไป๋เซ่อเสมือนพึ่งนึกอะไรออก จากนั้นก็หันกลับไปชี้หน้าซวนหยวนหมิงไท่พลางทำตาเขียวใส่   
               
           “เจ้า เมื่อกี้เจ้าบังอาจทำให้ข้าดูน่าสมเพชต่อหน้าท่านมหาเทพ ข้าจะกัดเจ้า เจ้าคนเนรคุณ” พูดจบร่างก็พลันเปลี่ยนเป็นงูเผือก กระโดดตัวเข้าไปหมายจะกัดซวนหยวนหมิงไท่ให้จมสักเขี้ยวหนึ่ง
ต้าเซียนที่ดมกลิ่นตัวเองก็มิทันได้ห้าม เป็นเซียวถิงฟงที่ไหวตัวทันรีบตะครุบจับที่ส่วนหัวของไป๋เซ่อไว้ได้ ก่อนจะกดนิ้วลงที่ส่วนศีรษะเพื่อให้มันสิ้นฤทธิ์
               
           “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” เมื่อไป๋เซ่อที่ตกอยู่ในมือของเซียวถิงฟงก็มิอาจขัดขืนได้ จึงได้แต่ร้องขู่ฟ่อๆปลายหางสะบัดไปมาแสดงความไม่พอใจ
               
           “หากเจ้าอยากเป็นอิสระ จงจำไว้ว่าอย่าหันมาแว้งกัดข้าเด็ดขาด” ซวนหยวนหมิงไท่เดินเข้าไปใกล้พร้อมพูดขู่ใส่ ไป๋เซ่อรู้สึกราวกับถูกสบประมาทก็ยิ่งร้องขู่ไม่หยุด หางสะบัดไปมาอย่างแรง เซียวถิงฟงจึงต้องบีบที่ศีรษะมันแรงขึ้นอีก น้ำเสียงมันจึงเบาลงแต่ยังคงไม่ยอมแพ้
               
           “ไป๋เซ่อ” ครานี้ต้าเซียนเป็นฝ่ายร้องเรียก ไป๋เซ่อจึงจำยอมหยุดดิ้นไป “ท่านมิใช่มีเจตนาทำร้ายมันมิใช่รึ”
               
           ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้ม ในคราแรกนั้นเขาคิดใช้ต้าเซียนเป็นเหยื่อล่อให้งูเผือกแสดงตัวออกมา คราที่สอง เป็นการพิสูจน์ว่าต้าเซียนมิใช่ปีศาจอย่างที่กล่าวจริงหรือไม่ คราที่สามนั้น เขาเพียงแค่ต้องการรับรู้ถึงความรู้สึก และท่าทีของเซียวถิงฟงที่มีต่อต้าเซียน ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด สองคนนี้มีสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงต่อกัน ว่าแล้วเขาก็โบกมือส่งสัญญาณ

           เซียวถิงฟงจึงปล่อยเจ้างูเผือกไป ด้านไป๋เซ่อที่เป็นอิสระก็รีบเลื้อยไปหาต้าเซียนก่อนจะแปลงเป็นมนุษย์ยืนหลบอยู่ที่ด้านหลัง


*************************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 8.2 พานพบมิคาดฝัน


           
           “ก่อนอื่นข้าว่า เราควรทำความรู้จักกันเสียใหม่ดีไหม” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสนอ จากนั้นจึงผายมือเชิญไปที่ศาลาริมน้ำใกล้ๆ

           “เจ้าเป็นใคร” ต้าเซียนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน ตามองไปยังบุคคลที่รักษาไว้ซึ่งความสงบเยือกเย็นอยู่เสมอ
               
           “ข้าคือ รัชทายาทของราชวงศ์ซวนหยวน นามว่าหมิงไท่” น้ำเสียงทรงพลังกล่าวขึ้น ทว่าต้าเซียนกลับทำหน้าเหลอหลาหันไปขอความช่วยเหลือเซียวถิงฟงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

           “รัชทายาทคือกระไร” 

           “โง่งม” ถิงถิงที่ยืนพิงเสาอยู่เอ่ยขึ้นพร้อมทั้งมองด้วยสายตาหยิ่ง

           “เจ้า เจ้ากล้าดูหมิ่นท่านมหาเทพเชียวรึ” ไป๋เซ่อขึ้นเสียงตวาด ทว่าเมื่อสบตากับอีกฝ่าย ใบหน้าก็พลันแดงก่ำพลางบิดม้วนตัวด้วยความอาย แต่แล้วถิงถิงกลับเชิดหน้าซ้ำส่งเสียงขึ้นจมูก ไป๋เซ่อเห็นแล้วก็อดใจแป้วมิได้จึงหันเข้าไปกอดต้าเซียน คล้ายกับจะเลื้อยรัดเป็นการปลอบใจตนเอง

           ด้านเซียวถิงฟงก็มองไป๋เซ่อที่เกาะแกะร่างน้อยก็บังเกิดความรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ “องค์รัชทายาทก็คือ พระโอรสขององค์ฮ่องเต้ ซึ่งถูกเลือกมาดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดพระราชสมบัติ ปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขร่มเย็นต่อไป” เขากล่าวอธิบายอย่างรวบรัดให้เข้าใจได้ง่ายๆ

           “แล้วฮ่องเต้ คืออะไร” เมื่ออีกคำถามถูกเปล่งออกมา ครานี้ทั่วบริเวณก็เงียบในชั่วอึดใจ มีเพียงต้าเซียนที่ถูกไป๋เซ่อกอดนั่งทำตากลมไร้เดียงสา

           “ฮ่องเต้ก็คือ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในการปกครองแผ่นดินนี้ หรือเรียกอีกอย่างก็คือโอรสสวรรค์” เซียวถิงฟงที่นั่งเงียบอยู่นานเป็นผู้ตอบคำถามอีกครั้ง ในใจก็ลอบคิด...แสดงว่าที่ข้าพูดแนะนำสถานที่ในพระราชวังมาตั้งนาน เจ้ามหาเทพยาจกนี่มิได้จดจำเลยใช่ไหม

           “เช่นนั้นเขาก็คือบุตรของโอรสสวรรค์หรือ” ต้าเซียนถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ พอเห็นซวนหยวนหมิงไท่พยักหน้าให้ ดวงตาสีน้ำตาลจึงเริ่มเบิกกว้าง “เช่นนั้นเจ้าก็คือหลานของข้าน่ะสิ ไม่อยากจะเชื่อว่าข้าจะมีหลานโตถึงเพียงนี้” เ ขามองซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นลงอย่างชื่นชม หาได้รู้ไม่ว่าคนทั้งหมดต่างรู้สึกราวกับถูกฟ้าฟาดที่กลางกบาลศีรษะ สีหน้าของแต่ละคนตกตะลึงกันไปตามๆกัน

           “เจ้าจะล่วงเกินเบื้องสูงไปแล้วนะ” เซียวถิงฟงกล่าวปราม

           “อ้าว ก็เจ้าบอกเองว่าเขาเป็นบุตรของโอรสสวรรค์ เช่นนั้นก็เป็นหลานของสวรรค์ เท่ากับเป็นหลานของมหาเทพอย่างข้าน่ะสิ” ต้าเซียนเถียง ก่อนจะหันไปจ้องซวนหยวนหมิงไท่ที่ยังคงทำสีหน้าเรียบสนิท ปากเม้มเป็นเส้นตรง ตัวสั่นเล็กน้อย

           “ข้าบอกให้หยุดพูดไง” เซียวถิงฟงหันไปดุต้าเซียน

           “เจ้า กล้าดียังไงมาสั่งสอนท่านมหาเทพ” ทีนี้ไป๋เซ่อก็เข้าผสมโรง เซียวถิงฟงจึงหันไปฟาดฟันด้วยสายตาที่ราวกับมีประกายไฟประทุดุเดือด ฉับพลันนั้นก็บังเกิดเป็นเสียงหัวเราะที่คล้ายอัดอั้นเต็มที่ระเบิดออกมา ซวนหยวนหมิงไท่นั่งหัวเราะจนน้ำตาแทบเล็ดพลางกล่าว

           “ฮ่า ฮ่า คุยกับเจ้ามิน่าเบื่อจริงๆ ใช่ข้าเป็นหลานเจ้า มา ข้าขอคารวะ” มือหนึ่งก็หยิบกาบนโต๊ะรินชาใส่ถ้วยพลางยื่นให้ร่างน้อย

           ต้าเซียนเองก็เอื้อมมือไปรับ แต่ก่อนดื่มก็มิวายหันมาพูดกับร่างสูงอีกสักประโยค “เห็นไหมข้าพูดถูก ข้ามิได้โง่งมอย่างที่เจ้าว่าเสียหน่อย” กล่าวจบก็หันไปดื่มชาด้วยท่าทางดีใจ

           ฟังแล้วเซียวถิงฟงก็ต้องแค่นเสียงได้ในใจ เฮอะ เจ้าได้ครบทั้งสามคำจริงๆ ทั้งบ้า โง่งม และซื่อบื้อเอ้ย
หลังจากองค์รัชทายาทรินน้ำชาให้ต้าเซียนแล้วก็เป็นฝ่ายเริ่มถามบ้าง “เจ้า เป็นมหาเทพจริงๆ น่ะหรือ” สีหน้าดูเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง

           “ใช่ ข้านี่แหละ องค์มหาเทพที่ปกครองดูแลแดนสวรรค์” ต้าเซียนยืนยันอย่างหนักแน่น

           “และนั่นคือ...” ซวนหยวนหมิงไท่มองไปที่ไป๋เซ่อ

           “ไป๋เซ่อเป็นงูเผือกของแดนสวรรค์ แต่ถูกท่านอาวุโสเทพทั้งสามลงโทษมายังโลกมนุษย์ ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยดูแล”

           “มิกล้า มิกล้า เขาได้ช่วยข้าเอาไว้” ซวนหยวนหมิงไท่ส่งยิ้มไปให้ไป๋เซ่อแต่กลับถูกเมินใส่เสียสนิท

           “เช่นนั้น สระบัวที่ถูกเผาเกี่ยวข้องกับท่านหรือไม่” เขาเริ่มถามตรงประเด็นทำให้เซียวถิงฟงเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่หนักอึ้ง

           “ใช่” ต้าเซียนตอบรับเต็มปากเต็มคำ

           “เช่นนั้น คนที่ท่านตามหา ใช่คนที่ทำลายสระบัวหรือไม่”

           “อาจใช่และมิใช่ ข้าต้องเห็นเองกับตาถึงจะบอกได้”

           “เขาเป็นใคร” ครานี้มิใช่องค์รัชทายาทถาม แต่เป็นเซียวถิงฟงที่ใจร้อนถามขึ้นมาแทน

           ต้าเซียนเงียบไปคล้ายครุ่นอย่างหนัก สักพักก็ตัดสินใจตอบตามตรง “จอมมารเฟยหลง อดีตนักรบเทพเกราะทองจากแดนสวรรค์”

           “เฟยหลง มิใช่ว่าเขาถูกจองจำอยู่รึ” ไป๋เซ่อตกใจจนตาเบิกโพลง

           ต้าเซียนได้แต่พยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “เกรงว่าทั้งสามพิภพตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว”

           เพียงแค่ฟัง ทั้งเซียวถิงฟงและซวนหยวนหมิงไท่ต่างก็สามารถต่างปะติดปะต่อเรื่องราวได้โดยเร็ว

           “เช่นนั้นเป้าหมายของจอมมารอะไรนั่นอยู่ที่ตัวเจ้าหรือ” เซียวถิงฟงถอนใจ นี่ต้าเซียนกำลังแบกรับภาระที่หนักอึ้งอยู่กระนั้นหรือ

           “ใช่” ต้าเซียนตอบพร้อมรอยยิ้ม

           “เช่นนั้น คนของเจ้า พวกเทพเซียนตนอื่นจะมาช่วยเจ้าด้วยใช่รึไม่” ครานี้เห็นต้าเซียนที่ยิ้มพยักหน้า เขาก็พลันโล่งใจ
ผิดกับไป๋เซ่อที่ติดตามท่านมหาเทพมานาน ซ้ำยังรู้สภาพการณ์ของแดนสวรรค์เป็นอย่างดี จึงเข้าใจแน่แท้ว่า หากปิดกั้นแดนสวรรค์แล้ว ย่อมหมายความว่าท่านมหาเทพต้องการจัดการเรื่องนี้เพียงลำพัง ว่าแล้วก็เข้าไปกอดท่านมหาเทพให้กระชับมากขึ้น

           “เช่นนั้น ท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้า” แววตาของซวนหยวนหมิงไท่ดูขบคิดอย่างละเอียด

           “ข้าต้องการเพียงแค่สืบหาเบาะแสจากสระบัว มิรบกวนท่านมาก จะได้หรือไม่” เขามิได้ต้องการให้เซียวถิงฟงและซวนหยวนหมิงไท่ต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ เพียงต้องการสืบหาเบาะแสจากสระบัวเท่านั้น

           “ข้ารับปาก แต่ท่านคงต้องตอบแทนข้าเล็กน้อยเช่นกัน” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้ม ในใจใคร่คิดถึงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เสร็จสรรพ

           “ได้” ต้าเซียนตอบอย่างไม่ลังเล

           “จะไม่ถามก่อนรึว่าข้าต้องการให้ท่านช่วยเรื่องอะไร” ไม่คิดเลยว่าคนตรงหน้าจะตอบตกลงง่ายดายเช่นนี้

           “หากข้าช่วยได้ แม้จะเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย ข้าก็เต็มใจที่จะช่วย อีกทั้งเจ้าเป็นถึงหลานข้าทั้งที”

           ได้ยินคำตอบเช่นนี้ ซวนหยวนหมิงไท่ก็แทบจะสำลักน้ำชาที่กำลังดื่มออกมาทันที เขาหัวเราะสดใส เหมือนครั้งที่อยู่ในวัยเด็กซุกซน ทำให้เซียวถิงฟงยิ้มพลางคิดว่านานแล้วที่ไม่ได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะเช่นนี้

           เมื่อตะวันคล้อยเข้าสู่ยามเย็น องค์รัชทายาทก็ออกปากว่าจะไปส่งคนทั้งสองถึงประตูวัง เซียวถิงฟงจึงรีบปฏิเสธ “กระหม่อมมิกล้า องค์รัชทายาทโปรดอย่าทรงลำบากไปเลย”

           “ทีอย่างนี้ทำมาเป็นนอบน้อม แต่ข้าจำเป็นต้องไปส่งพวกเจ้าจริงๆ” องค์รัชทายาทประชดเล็กๆ จากนั้นจึงกล่าวหน้าจริงจัง

           สุดท้ายเซียวถิงฟงทัดทานไม่สำเร็จจึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น แต่ใช่ว่าปัญหาจะมีแค่นั้น ไป๋เซ่อ งูเผือกโรคจิตยังคงเกาะติดหนึบกับต้าเซียนมิปละปล่อย ดูน่าหมั่นไส้ยิ่ง “กับเจ้า ข้าไม่อนุญาต”

           ไป๋เซ่อถึงกับชะงักเล็กน้อยก่อนหันไปประจบเจ้านายด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านมหาเทพ”

           “ข้าเห็นด้วยกับถิงฟง  ไป๋เซ่อเจ้าควรอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าที่นี่อาจมีปีศาจหลงเหลืออยู่ เจ้าควรอยู่ปกป้องหลานข้า อีกทั้งสืบหาเบาะแสอื่นๆ” ต้าเซียนสั่ง รอยยิ้มของไป๋เซ่อจึงพลันแข็งค้างรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย

           “ฝากไว้ก่อนเถิด” ไป๋เซ่อชี้หน้าทำตาเขียวใส่เซียวถิงฟง ก่อนกลายร่างเป็นงูเลื้อยไปหาซวนหยวนหมิงไท่ แล้วกลับกลายเป็นกำไลงูหินเช่นเดิม มีบางคราที่ตาสีฟ้าอมเขียวกะพริบน้อยๆ

           ระหว่างที่องค์รัชทายาทมาส่งเซียวถิงฟงและต้าเซียนถึงประตูวัง นางกำนัลผู้หนึ่งก็เข้ามาขวางขบวนเสด็จ เซียวถิงฟงพลันเข้าใจสาเหตุที่องค์รัชทายาทจำต้องมาส่งพวกเขาด้วยตนเอง นางกำนัลผู้มีอายุราวสี่สิบผู้นี้กำลังน้อมตัวถวายความเคารพ หากแต่องค์รัชทายาทกลับตีสีหน้าเคร่งขรึม มิได้เหลือบแลไปทางนางผู้นี้แม้แต่น้อย

           “ขอพระราชทานอภัยเพคะองค์รัชทายาท องค์หญิงหย่าเหลียนมีรับสั่งให้ข้าน้อยนำตัวท่านจอมหงวนบู้เซียวไปพบองค์หญิงที่ตำหนักลุ่ยหวาเพค่ะ” นางกำนัลคนนั้นกล่าวอย่างสุภาพนอบน้อม

           “จงนำความข้าไปบอกแก่องค์หญิงหย่าเหลียน ท่านจอมหงวนบู้เซียวจำเป็นต้องไปทำธุระให้ข้าอย่างเร่งด่วน มิอาจไปพบตามนัดหมายได้”

           กล่าวจบซวนหยวนหมิงไท่ก็เดินผ่านนางไปอย่างไม่ใส่ใจ นางเองก็ทำอะไรมิได้ ครั้นพอเห็นต้าเซียนเดินผ่านก็ส่งสายตารังเกียจเดียดฉันท์ใส่ ทว่าต้าเซียนกลับมิได้เก็บมาใส่ใจ

           ที่หน้าประตูวังหลวง รถม้าของตระกูลเซียวได้เคลื่อนมาจอดรออยู่ก่อนแล้ว ต้าเซียนมองรถม้าอย่างอึดอัดใจเล็กน้อยเนื่องเพราะเหตุการณ์เจ็บตัวเมื่อเช้า ครั้นทำใจได้ซวนหยวนหมิงไท่ก็กล่าวขึ้นก่อน

           “พรุ่งนี้ข้าจะให้คนรับท่านมาที่นี่” ต้าเซียนพยักหน้ารับก่อนหายเข้าไปในรถม้า

           “ทรงวางแผนกระไรกันแน่” เซียวถิงฟงกระซิบถาม เหตุใดต้องรับสั่งให้ต้าเซียนเข้าวังพรุ่งนี้อีก ทว่าซวนหยวนกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงก่อกวน

           “อา ข้าละชอบจริงๆ เวลาที่เจ้าเดาใจข้าไม่ออก”

           ฟังแล้วเซียวถิงฟงก็ต้องเค้นเสียงเฮอะคำหนึ่งก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าไป แต่แล้วไม่นานก็ต้องชะงักกายขึ้น
           
           “เซียวถิงฟง พรุ่งนี้ฝ่าบาทจะพระราชทานตำแหน่งแก่เจ้า จากนี้ไปจงหลีกเลี่ยงการพบปะกับหย่าเหลียนตามลำพังให้ได้มากที่สุด” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเพียงแค่นั้นก็หยุดเสียงลงคล้ายยังครุ่นคิดอะไรอยู่ รอสักพักจึงกล่าว “รับปากข้าอยู่เคียงข้างข้า” เสียงนั้นค่อนข้างแผ่วเบาทั้งแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้า

           “อืม” เซียวถิงฟงตอบ จากนั้นจึงสั่งให้คนม้าออกรถ

           คนจากไปแล้วแต่ซวนหยวนหมิงไท่ยังคงยืนอ้อยอิ่งอยู่ที่เดิม บัดนี้รอยยิ้มปรากฏอยู่ที่มุมปาก มันมิใช่รอยยิ้มเสแสร้งที่มีให้แก่ขุนนางใหญ่หรือเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย หากแต่เป็นรอยยิ้มแสดงความตื้นตันใจ

           ก่อนหน้านี้ตนลำบากใจไม่น้อยที่จะต้องพูดเชิงออกคำสั่งเช่นนี้ มันเปรียบเสมือนการไล่ต้อนให้สหายสนิทต้องจนมุมยอมเลือกที่จะอยู่ฝ่ายเขา ทั้งๆที่รู้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่อีกมากที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แต่เซียวถิงฟงยังคงรับปาก แม้จะไม่ได้หันมามองเขา แม้จะเป็นเพียงตอบคำสั้นๆ แต่ก็เป็นคำกล่าวกับสหาย มิใช่คำตอบรับเช่นนายกับบ่าว



*************************************************

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 9 หว่านเมล็ด


           เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ตระกูลเซียวก็มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น ขันทีประจำองค์ฮ่องเต้ได้มาถ่ายทอดพระราชโองการถึงที่หน้าจวนจนเหล่าข้ารับใช้ในจวนต่างก็คึกคัก ด้านเซียวถิงหลี่เองก็ยืนมองบุตรชายในชุดพระราชทานตำแหน่งรองแม่ทัพค่ายกองธงพยัคฆ์ ซึ่งกำลังติดตามขบวนขันทีประจำพระองค์ไปเข้าเฝ้าพระพักตร์องค์ฮ่องเต้อย่างมีความในใจ
           
           เดิมทีตระกูลเซียวทั้งหมดสามรุ่นล้วนเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนด้วยกันทั้งสิ้น แต่ครานี้ทายาทรุ่นที่สี่กลับเลือกที่จะแตกแขนงไปสู่ฝ่ายทหาร ทำให้เซิงอู่เจิง อัครเสนาบดีฝ่ายขวาที่รั้งตำแหน่งพระสัสสุระขององค์ฮองเฮาในรัชกาลปัจจุบันมีท่าทีวิตกไม่น้อย

           แม้ตระกูลเซิงจะเป็นฐานอำนาจหลักที่ให้การสนับสนุนแก่องค์ชายซวนหยวนหย่าเซิง ขุมอำนาจในพระราชสำนักก็มีมิใช่น้อย แต่การที่เซียวถิงฟงซึ่งเป็นพระสหายขององค์รัชทายาทคิดขยายอำนาจไปยังฝ่ายทหาร เพาะสร้างขุมกำลังที่แข็งแกร่งให้กับพระองค์ รอจนเมื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจอมทัพมีกำลังพลนับหลายหมื่น เพลานั้นตระกูลเซิงมิยากจะรับมือหรอกหรือ

           ดังนั้นพวกเขาได้แต่คิดทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ประจวบเหมาะกับที่เซียวถิงฟงยังไร้คู่ครอง การเกี่ยวดองทางสายเลือดถือเป็นวิธีที่ชาญฉลาด ตระกูลเซิงย่อมต้องฉวยโอกาสตีเหล็กที่กำลังร้อน แต่น่าเสียดายที่ตีช้าไปกว่าเขา หึ หึ

           “พ่อบ้านดำเนินการ” เซียวถิงหลี่ยกมือส่งสัญญาณให้กับพ่อบ้านในขณะที่ร่างของบุตรชายหายลับไปจากจวนรับรอง มุมปากก็ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “บุตรโง่เขลา ครานี้เจ้าหนี้ข้าครั้งใหญ่ทีเดียว ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วห้อง เล่นเอาเซียวถิงฟงที่กำลังขึ้นหลังม้ารู้สึกขนลุกขนพองอย่างไม่ทราบสาเหตุ

           อีกด้านหนึ่งต้าเซียนกำลังนั่งอยู่ในสวนของจวนด้วยชุดสีฟ้าอ่อนดูสบายตา แต่ในมือกลับโบกพัดให้ตัวเองอย่างถี่ยิบ “ร้อน ร้อนจริงๆ” บ่นพึมพำได้เพียงไม่กี่คำ พ่อบ้านตระกูลเซียวพร้อมกับสาวใช้สองคนก็โผล่ออกยิ้มแฉ่งให้
 
           “เอ่อ มีธุระกับข้ารึ” เขามองอย่างงงงัน

           “ขออภัยคุณชายด้วย” พ่อบ้านกล่าวตอบสั้นๆ รอยยิ้มมิได้จางหายไปจากสีหน้า มือหนึ่งโบกขึ้นรวดเร็ว จากนั้นสาวใช้ทั้งสองก็ตรงดิ่งตะครุบตัวคนทำหน้าเหลอหลาก่อนจะพาลากออกจากสวนไป

           “เอ๊ะ เดี๋ยวๆสิ ข้ามิได้ตั้งใจทำแจกันในห้องแตกเลยนะ มันเป็นอุบัติเหตุ ข้าซ่อมมันได้นะแต่ขอเพลาข้าฟื้นฟูพลังก่อนนน” ต้าเซียนแตกตื่นโพล่งกล่าวออกมาเป็นชุด เดิมทีเมื่อคืนแค่คิดฝึกฝีมือแต่ดันพลาดท่าทำมันแตก ดูๆแล้วราคาของแจกันค่อนจะข้างแพง เขาเลยแอบซ่อนไว้ก่อน มิคิดว่าจะถูกจับได้เร็วเช่นนี้

           ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ต้าเซียนก็ต้องยิ้มแหยผ่านกระจกทองเหลือง สาวใช้ที่หิ้วปีกมาคล้ายทรมาทรกรรมเขา จับเขาแต่งตัวราวตุ๊กตามิพอ นี่ยังถึงกับผัดแป้ง ทาชาดที่ริมฝีปาก จัดทรงผมประดับปิ่นมุก ตามที่สตรีนิยม ดูท่าฝีมือยังเหนือกว่าเหม่ยอิงกับฮัวหลงมากนัก

           “คุณชาย รีบไปที่หน้าจวนเถิด เพลานี้รถม้ารอท่านอยู่แล้ว” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวขึ้น

           ต้าเซียนรับฟังด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้...สภาพเช่นนี้ยังคิดให้ข้าไปพบผู้ใด ทว่าความผิดที่ทำข้าวของเสียหายคล้ายเป็นชะงักติดหลัง ฝีเท้าจึงก้าวออกไปแต่โดยดี ครั้นมาถึงหน้าจวน รถม้าก็จอดรออยู่จริงๆ อีกทั้งที่ด้านข้างยังมีคนอีกผู้หนึ่งรออยู่ด้วย

           “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม” เซียวถิงหลี่กล่าวชื่นชมไม่หยุดปาก สายตาก็ไล่มองต้าเซียนในชุดสีม่วงอ่อนอย่างเอ็นดู ก่อนจะกล่าวเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ขึ้นม้าเถอะ”

           ต้าเซียนมองดูก็ต้องเกาหัวน้อยๆ จากนั้นจึงยินยอมขึ้นรถม้าไป ไม่นานนักเซียวถิงหลี่ก็ตามขึ้นมาก่อนที่รถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากจวนระหว่างทางพลันสังเกตเห็นได้ว่าอีกฝ่ายส่งยิ้มให้อยู่บ่อยครั้ง

           ...เอ รึว่าแจกันใบนั้น จะมิมีปัญหาจริงๆ

           “ต้าเซียน มิต้องกังวลไป ในเมื่อถิงฟงล่วงเกินเจ้า นับจากนี้ไปเขามิอาจไม่รับผิดชอบเจ้าได้” จู่ๆ เซียวถิงหลี่ก็กล่าวขึ้น
ร่างน้อยถึงกับงงงันวูบ มิใช่เรื่องแจกันหรอกรึ แต่เป็นเช่นนั้นก็ดี ว่าแล้วก็รีบยิ้มกว้างพยักหน้าขึ้นลงอย่างแรง
เห็นดวงหน้าเล็กมิได้มีสีหน้าขุ่นข้อง เซียวถิงหลี่ก็ลอบยิ้มดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์...เซียวถิงฟงในที่สุดเจ้าก็หนีมือข้าไม่พ้น ฮ่า ฮ่า

           กระทั่งมาถึงยังพระราชวัง เซียวถิงหลี่เพียงก้าวเข้าไปไม่กี่ก้าวก็มีขุนนางใหญ่น้อยเข้ามาคำนับชวนสนทนาไม่หยุดหย่อน แต่วันนี้กลับผิดแผกไปเล็กน้อยเมื่อเขาก็เจรจาพาทีร่วมด้วยอย่างที่นานๆครั้งจะได้พบ
           
           “มิทราบสตรีที่อยู่ทางด้านหลังใต้เท้า คือ” รอจนขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งสังเกตเห็น เซียวถิงหลี่ก็หัวร่อเบาๆพลางกล่าวตอบ

           “นางน่ะรึ หลานห่างๆของข้าเอง อีกทั้งยังเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคตของข้าด้วย ฮ่า ฮ่า” กล่าวจบก็ดึงร่างที่ยืนหลบออกมาท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็น

           ต้าเซียนถูกล้อมรอบด้วยขุนนางทั้งหลาย แต่ละคนก็มองอย่างไม่วางตา สถานการณ์แบบนี้ดูๆแล้วไม่มีใครรับมือได้ดีเท่ามหาเทพอย่างเขา ว่าแล้วก็งัดไม้เด็ดออกมาส่งรอยยิ้มแฉ่งระบายไปทั่วหน้า ยังผลให้กลุ่มขุนนางน้อยใหญ่น้อยต่างมองกันตาเลื่อนลอย

           “สมกับบุตรชายท่านยิ่งนัก งดงามมิมีที่ติ” ขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งกล่าวด้วยดวงตาชวนฝัน

           “นี่ก็สายแล้ว ข้าต้องนำนางไปแนะนำกับองค์รัชทายาทอีก เช่นนั้นขอตัว” เซียวถิงหลี่ได้ทีก็ถือโอกาสกล่าวอำลา จังหวะนั้นที่หางตาก็ชำเลืองเห็นขุนนางผู้หนึ่งรีบร้อนผละออกไป มุมปากก็พลันยกยิ้มขึ้น


****************************************************



           ที่ตำหนักเหวินหัวหรือที่พำนักขององค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ ขันทีน้อยประจำพระองค์เสี่ยวลู่ก็ได้นำพาคนทั้งสองไปยังห้องทรงพระอักษร เมื่อถึงที่หมายก็ขานกล่าวที่หน้าประตู

           “องค์รัชทายาท ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายเซียวขอเข้าเฝ้าพระย่ะค่ะ”

           “เชิญเข้ามา” เมื่อเสียงทุ้มข้างในห้องดังขึ้น เสี่ยวลู่ก็จัดแจงเปิดประตูให้คนทั้งสองเข้าไป

           ภายในห้องปรากฏเป็นซวนหยวนหมิงไท่ในชุดสีขาวปักลายดอกพุดตานกำลังนั่งจิบชาด้วยท่วงท่าสง่างาม ที่บนโต๊ะยังมีงูเผือกตัวหนึ่งกำลังสะบัดฟัดเหวี่ยงขนมในจานไปมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่ไกลนักยังมีสตรีที่ดูหยิ่งผยองกำลังใช้เล็บแหลมคมดึงทึ้งไหมพรมบนตักอย่างไม่สนใจใคร ดูไปแล้วองค์ประกอบในห้องนับว่าแปลกตายิ่ง ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับมิได้สะทกสะท้านต่อสายตาเซียวถิงหลี่และต้าเซียนสักเท่าไหร่ ผิดกับพวกขันทีและองครักษ์ที่ประสาทบางกว่า มองเห็นภาพในห้องแล้วอดประหลาดตาพิกลมิได้

           “ใต้เท้าเซียว ไม่นึกว่าท่านจะมาเร็วถึงเพียงนี้ ข้านึกว่าต้องรอให้ถึงยามบ่ายเสียอีก”

           “หึ หึ พระองค์มิต้องรอนานถึงเพียงนั้น เครือข่ายคนตระกูลเซิงมีไม่น้อย กระหม่อมจึงไม่ต้องเปลืองเวลามากนัก อีกอย่างเกรงว่าเรื่องนี้คงจะถึงหูคนตระกูลเซิงเรียบร้อยแล้วเช่นกัน” เซียวถิงหลี่หัวเราะขึ้นเมื่อนึกถึงเซิงอู่เจิงไม้เบื่อไม้เมาที่ตอนนี้น่าจะโมโหจนลมออกหู

           “ต้องขอบคุณท่านมาก ใต้เท้าเซียว”

           “มิบังอาจ เป็นกระหม่อมต่างหากที่ต้องขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ทรงช่วยดูแลเจ้าลูกชายไม่เอาไหนของกระหม่อม”

           “ดูท่านอารมณ์ดีมากทีเดียว” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มให้กับท่าทีอารมณ์ดีเป็นพิเศษของอีกฝ่าย

           “ได้เอาคืนเจ้าลูกคนนี้สักที กระหม่อมสะใจมากทีเดียว ฮ่า ฮ่า”
เสียงหัวเราะที่ดังทั่วห้อง ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังแล้วก็ต้องนึกขบขำ นิสัยของสองพ่อลูกคู่นี้ ไม่มีใครยอมใคร แม้ดูภายนอกจะขัดแย้งกันบ่อยครั้ง แต่ก็ผูกพันกันมากกว่าที่ตาเห็น

           “ถ้าอย่างไรกระหม่อมขอตัวไปสะสางราชการต่อแล้ว”

           “ท่านไปเถิด ไม่รบกวนท่านแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่ไม่คิดรั้งตัวไว้ต่อ เซียวถิงหลี่จึงทิ้งให้ต้าเซียนอยู่ภายในตำหนักของเขาเพียงลำพัง

           “วันนี้ท่านดูงามมาก”

           เมื่อคนจากไปเขาก็หันไปกล่าวหยอกล้อกับคนตรงหน้า ทว่าต้าเซียนไม่ถือสา ทั้งยังยื่นมือไปหยุดยั้งการกระทำที่ดูบ้าคลั่งของไป๋เซ่อแทน ท้ายที่สุดงูเผือกก็ยอมคายขนมในปากทิ้งพลางเลื้อยพันที่แขนเรียวแน่น

           “ทำไมไป๋เซ่อถึงไม่คืนรูปแล้วล่ะ”

           “ไม่ทราบเช่นกัน ตั้งแต่เมื่อวานมันก็ไม่ยอมแปลงกลับเป็นมนุษย์อีก” เขายักไหล่พูดด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะสังเกตเห็นดวงตาเรียวสีฟ้าอมเขียวที่จับจ้องถิงถิงที่กำลังตะกรุยไหมพรมไม่เป็นชิ้นดี ก็พลันเข้าใจในที่สุด เขายิ้มพลางกล่าวกระเซ้าเย้าแหย่ “ดูท่างูเผือกจากแดนสรรค์ก็เขินอายเป็นเหมือนกันด้วยรึ”

           “เจ้าปากพล่อย เจ้าว่าใครเขินอาย” ไป๋เซ่อหันขวับขู่ฟ่อใส่ซวนหยวนหมิงไท่อย่างดุร้าย แต่ครั้นเหลือบไปเห็นสายตานิ่งๆขององค์มหาเทพก็จำต้องหยุดการกระทำลง

           “เรื่องที่เจ้าขอให้ข้าช่วยคือเรื่องนี้หรอกหรือ” ต้าเซียนกล่าวถามเข้าประเด็น

           “ใช่ ข้าต้องการให้ท่านเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเซียว”

           “ได้” เพียงชั่วลัดนิ้วมือต้าเซียนก็ตอบสั้นๆ ดวงตาฉายแววมาดมั่น ทว่าเอาเข้าจริงลูกสะใภ้คืออะไร ตนก็ยังไม่รู้ แต่ทว่าไป๋เซ่อที่เลื้อยรัดอยู่ที่แขนกลับเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี มันถึงกับชะงักงันไป

           “เจ้า บังอาจล่อลวงท่านมหาเทพ” ไป๋เซ่อคืนรูปสู่ร่างมนุษย์พลางขึ้นเสียงกราดเกรี้ยวใส่ชายที่พูดจาเอาเปรียบ
ครานี้ถิงถิงหยุดตะกรุยไหมพรมแล้ว ทั้งยังก้าวเข้ามาผสมโรงโต้เถียง “เขาต่างหากที่ล่อลวงเจ้านายข้า”

           “ไม่จริงหรอก หน้าตาเจ้าคนแซ่เซียวนั่นดูเจ้าเล่ห์จะตาย” ไป๋เซ่อโก่งคอตะโกนไปหน้าแดงไป ครั้นถิงถิงจะโต้กลับ มือหนึ่งก็ยกขึ้นปราม

           “ข้าได้ยินมาจากใต้เท้าเซียวว่า เซียวถิงฟงล่อลวงท่านจริงรึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามน้ำเสียงจริงจัง
ต้าเซียนหยุดทวนความทรงจำเล็กน้อย อืม คำว่าล่อลวง หมายความหนีตามกันไป จริงอยู่ที่เขาไม่ได้ในช่วงระหว่างหนี แต่เรื่องที่เขาติดตามเซียวถิงฟงไปนั้นก็เป็นความจริง เช่นนั้นก็คล้ายกับล่อลวงกระมัง “ใช่” เขาตอบตาแป๋ว

           ไป๋เซ่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้น ดูว่าตนคิดไม่ผิด เจ้ามนุษย์ผู้นั้นล่อลวงท่านมหาเทพจริงๆ

           “แล้วข้ายังได้ยินมาอีกว่า เซียวถิงฟงทำบัดสีบัดเถลิงกับท่านใช่รึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวต่อด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ต้าเซียนหยุดคิดอีกครั้ง นึกถึงวันที่เซียวถิงฟงจับตัวเขากลิ้งไปมากับพื้น กระทั่งเซียวถิงหลี่มาพบเข้าแล้วบอกว่านี่เป็นการกระทำที่บัดสีบัดเถลิง “ใช่ๆ เป็นเช่นนั้น” เขาพยักหน้าถี่ยิบ

           ครานี้ไป๋เซ่อเริ่มยิ้มไม่ออกแล้ว อีกทั้งสีหน้ายังฉายแววสะเทือนใจ ส่วนถิงถิงที่คิดจะอ้าปากอธิบายก็กลับถูกองค์รัชทายาทห้ามไว้อีกครั้ง นางจึงได้แต่ทำแง่งอนเดินไปตะกรุยไหมพรมเช่นเดิม

           “หากเป็นเช่นนั้นจริง ท่านสมควรเป็นสะใภ้ตระกูลเซียว” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มกว้างกล่าวสรุป เห็นร่างน้อยพยักหน้ารับก็กล่าวสืบต่อ “แล้วท่านรู้รึไม่ สะใภ้ของตระกูลเซียวต้องปฏิบัติตนเช่นไร” ดีที่คนตรงหน้าไม่ประสีประสาอะไร อีกทั้งยังน่าจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าลูกสะใภ้ดี แต่เขาก็ไม่คิดจะอธิบายให้ฟัง

           “เอ ยุ่งยากมากรึไม่” ต้าเซียนกล่าวอย่างไม่มั่นใจนัก แต่ก็มีท่าทีใจจดใจจ่อรอฟัง

           เขาถึงกับลอบยิ้ม “มิต้องกังวลไป นี่มิใช่เรื่องยุ่งยาก เอาเป็นว่าระหว่างทางไปสระบัว ข้าจะค่อยๆอธิบายให้ท่านฟังอย่างละเอียดเอง”
           

*********************************************

           

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 9.2 หว่านเมล็ด


           ท้องฟ้าสว่างไสว แดดบางเบาให้ความอบอุ่น ขณะนี้ต้าเซียนยืนมองสระบัวที่มีขนาดไม่กว้างนัก ดูว่าครั้งหนึ่งที่แห่งนี้เคยเปี่ยมไปด้วยดอกบัวที่บานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมกรุ่นนำพาให้เหล่าผีเสื้อโบยบินดูงามตา แต่บัดนี้กลับเหลือเพียงความร้างลา บรรยากาศทะมึนหม่นหมอง ธารน้ำใสขุ่นมัวด้วยเถ้าถ่าน ไม่มีแต่เศษเสี้ยวของสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เคยแหวกว่าย

           ร่างพลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยียบ เบื้องหน้าคล้ายบ่งบอกความห่างเหิน อีกนัยหนึ่งคือ การประกาศตัวเป็นศัตรู ต้าเซียนได้แต่ทอดถอนใจพลางย่อตัวลงที่ข้างสระ เขาเลิกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นหย่อนมืออันขาวนวลลงสู่ผิวน้ำ เพียงปลายนิ้วเรียวสัมผัสก็รู้สึกได้ถึงพลังร้อนแรงที่ราวกับเปลวไฟเผาผลาญ ทว่าเขากลับไม่สะทกสะท้าน ยังคงหย่อนมือลึกลงไปแล้วกำเอาเศษเถ้าธุลีที่จมอยู่ใต้น้ำขึ้นมาเพ่งพินิจอย่างสงบเงียบ

           “ท่านมหาเทพ ใช่ฝีมือเขาหรือไม่” ไป๋เซ่อกล่าวถาม ด้านซวนหยวนหมิงไท่เองก็กล่าวถามอย่างสงสัยด้วยเช่นกัน

           “ใช่ จอมมารเฟยหลง บุคคลที่ท่านกล่าวถึงเมื่อวานหรือไม่”

           “เกรงกว่าอาจจะใช่” ต้าเซียนมองธุลีในมือนิ่ง จากนั้นจึงยกจ่อใกล้ริมฝีปาก พ่นลมหายใจที่รวยรดด้วยลมปราณแห่งเทพ ไม่นานนักฝุ่นละอองสีดำในมือกลับเปลี่ยนเป็นเม็ดทรายสีน้ำเงินต้องประกายแดด “ข้าคิดว่าเป็นพลังของเขาที่ทำลายสระบัวแห่งนี้ แต่ผู้ที่ลงมืออาจเป็นเหล่าปีศาจ สมุนของจอมมารเฟยหลง” พูดจบก็กำเม็ดทรายนั้นไว้อย่างหนักใจ

           “เช่นนั้น ท่านต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรอีกหรือไม่” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถาม

           “ท่านห้ามมิผู้ใดเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้อีกได้รึไม่ ข้าเกรงว่าเหล่าปีศาจจะหวนกลับมาที่นี้อีกครา”

           “เดิมทีหลังจากเกิดเหตุประหลาด สระบัวแห่งนี้ก็ถูกปิดตายมาโดยตลอด ที่เราสามารถเข้ามาที่นี่ได้เป็นเพราะข้าได้ขอร้องท่านเจ้ากรมตุลาการให้เข้ามาตรวจสอบที่นี่เพียงชั่วคราว ท่านมิต้องกัง...”

           “ถิงฟง” ต้าเซียนพลันเอ่ยแทรกขึ้น ด้วยจู่ๆก็จับกระแสความโกรธเกรี้ยวของเซียวถิงฟงไว้ได้ และดูเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังตรงรี่มาที่นี่

           “หือ เซียวถิงฟง มีอะไรรึ”

           “กำลังมา...โกรธเกรี้ยว” เขาหลับตาแล้วจึงสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ ด้านองค์รัชทายาทก็เลิกดวงตาอย่างสงสัย

           “ท่านรู้ได้อย่างไร”

           กล่าวจบที่ด้านหนึ่งก็ปรากฏคนที่มีสีหน้าบึ้งตึงยิ่ง เซียวถิงฟงในชุดเต็มยศได้เดินดุ่มๆ ตรงเข้ามาหาซวนหยวนหมิงไท่ด้วยสีหน้าถมึงทึง แลแวบหนึ่งก็ผินหน้ามองต้าเซียนที่นั่งยองๆกับพื้น จากนั้นก็หันไปจับหมับที่บ่าสหายก่อนพาออกไปคุยอีกด้านหนึ่งแทน

           “เจ้าไม่คิดจะคำนับข้าก่อนรึ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวติดตลก

           “ที่นี่ไม่มีใครอื่น” เซียวถิงฟงตอบสั้นๆ ไม่สนใจพิธีรีตองทั้งหลาย

           “เช่นนั้นเจ้ามีเรื่องอะไร เหตุใดต้องพาข้ามาสนทนาถึงตรงนี้ด้วย” ยังคงกล่าวอย่างไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาว ริมฝีปากผุดรอยยิ้มคล้ายยั่วอารมณ์คนตรงหน้า

           “ทะ ท่านกับ ท่านพ่อข้า” เซียวถิงฟงถึงกับกัดฟันพูด

           “ข้าทำไมกัน” ทว่าองค์รัชทายาทยังคงแกล้งตีสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว

           “ท่านกับพ่อข้าร่วมมือกันจับข้าแต่งกับเจ้าคนซื่อบื้อตรงนั้น” เขาขึ้นเสียงกล่าวอย่างเน้นย้ำ นิ้วก็ชี้ไปที่ร่างน้อย

           ดูว่าหลังจากที่เซียวถิงฟงออกจากท้องพระโรง ต่างก็มีขุนนางผู้ใหญ่ไม่น้อยที่เข้ามาแสดงความยินดี คราแรกเขาก็มิได้แปลกใจมากนัก ด้วยเข้าใจว่าคนเหล่านี้แสดงความยินดีด้วยเรื่องตำแหน่ง จวบจนมีขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวหยอกล้อขึ้น
“ว่าที่ภรรยาท่านงามมาก ได้ฤกษ์แต่งหรือยัง ท่านรองแม่ทัพ” ประโยคดังกล่าวเล่นเอาใบหน้าเขาแข็งทื่อหุบยิ้มไม่ลง ครั้นมาถึงตำหนักเหวินหัวจึงได้ทราบเรื่องจากถิงถิงว่า เป็นบิดาที่ก่อเรื่องโพทะนาไปทั่วถึงเรื่องว่าที่สะใภ้ อีกทั้งผู้ที่อยู่เบื้องหลังกลับเป็นสหายของตนเอง ทำเอาเขาแทบจะกำฮูป่านที่ทำจากงาช้างแหลกจนเป็นผุยผง
           
           “อืม มิผิด สามวันก่อนที่เจ้าจะมายังฉางอัน ข้าบังเอิญได้พบกับใต้เท้าเซียวที่หน้าตำหนักจื่อเฉิน จึงได้หยุดคุยกันสักหลายประโยค ใต้เท้าเซียวได้เล่าว่าตัวเจ้าประพฤติตนเลวร้าย ล่อลวงบุตรชายของผู้อื่นไม่พอ หนำซ้ำยังทำบัดสีบัดเถลิงต่อหน้าธารกำนัล ดังนั้นบิดาเจ้าจึงขอร้องให้ข้าช่วยเกลี้ยกล่อมเจ้าให้รับผิดชอบคนผู้นี้ ตอนแรกข้าก็ยังมิเชื่อ ด้วยนิสัยของเจ้าคงไม่มีวันไปล่อลวงผู้ใดมา แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าได้ให้คนส่งสาสน์ไปหาเจ้า ใจความว่าให้เจ้านำสตรีนางหนึ่งมาที่วังหลวง เพื่อให้หย่าเหลียนเข้าใจว่าเจ้ามีคนรักอยู่แล้ว จำได้รึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวทวนความจำ รอจนเซียวถิงฟงพยักหน้าจึงกล่าวต่อ

           “ภายหลังข้าถึงได้ทราบว่าเด็กหนุ่มที่ใต้เท้าเซียวกล่าวถึงก็คือ ต้าเซียน เด็กหนุ่มที่ปลอมเป็นสตรีที่เจ้าพาติดตามมายังวังหลวงด้วย ดังนั้นข้าจึงได้เจรจากับบิดาเจ้าเรื่องที่ตระกูลเซิงต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลเซียว สุดท้ายพวกเราก็ตกลงให้ต้าเซียนทำหน้าที่เป็นว่าที่ภรรยาของเจ้า” รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่กล่าวอธิบายหน้าตาย
           
           “เจ้าแก่เลอะเลือน” เซียวถิงฟงถึงกับสบถออกมาอย่างโมโห ทั้งๆที่รู้ว่าต้าเซียนเป็นบุรุษ แต่กระนั้นก็ยังคิดยัดเยียดตำแหน่งภรรยานี้ให้ คิดจะให้ข้าแต่งกับบุรุษหรืออย่างไรกัน แต่...เดี๋ยวสิเรื่องนี้มิใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงมิได้ เขายิ้มมุมปาก “หากฝ่าบาททรงทราบความจริง นี่มิใช่เป็นการหลอกลวงเบื้องสูงหรือ จะอย่างไรต้าเซียนก็เป็นบุรุษอยู่วันยังค่ำ”

           “หึ หึ มิต้องห่วงไปหรอก บิดาที่รักของเจ้าได้กล่าวเปรยไปถึงพระกรรณของฝ่าบาทแล้วว่าเจ้าเป็นพวกดาบคู่ เจ้าลองคิดดูดีๆสิ ความจริงอัครเสนาบดีเซียวนั้นเดิมทีก็เป็นขุนนางของฝ่าบาทอย่างเต็มตัว การที่เขามาขอให้ข้าช่วยเรื่องนี้ นัยหนึ่งเพื่อลดทอนอำนาจของตระกูลเซิง มิให้แทรกแซงอำนาจของตระกูลเซียวฐานอำนาจของฝ่าบาท และเพื่อเป็นการถ่วงดุลในราชสำนัก ท่านจึงยอมสละเจ้าให้มาเป็นคนของข้ามากกว่าให้เจ้าเป็นคนของตระกูลเซิงครึ่งหนึ่ง ซึ่งฝ่าบาทเองก็ย่อมทราบถึงข้อนี้ดีจึงมิได้ทรงตรัสอะไร ฉะนั้นเจ้าก็จงทำหน้าที่นี้ให้ดีล่ะ” กล่าวจบองค์รัชทายาทก็ตบเข้าที่ไหล่ของสหายเป็นการปลอบ จากนั้นก็เดินไปยังอีกด้านหนึ่ง ทิ้งให้เซียวถิงฟงยืนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็ร้องมิออก

           ครั้นเห็นทีท่าที่สงบลงของเซียวถิงฟงแล้ว ต้าเซียนก็หันมาให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ในกำมืออีกครั้ง เขาตัดสินใจโปรยปรายมันขึ้นสู่ฟ้า แลพริบตาเดียว เม็ดทรายสีน้ำเงินเหล่านี้ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองก่อนจะตกลงสู่สระน้ำที่ขุ่นมัว

           “เจ้ากำลังทำอะไร” เซียวถิงฟงที่เผอิญสังเกตเห็นเม็ดทรายที่เปลี่ยนสีก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย

           “หว่านเมล็ด” เขาตอบสั้นๆ เนื่องด้วยมิคิดอธิบายมากกว่านี้จึงรีบก้าวฝีเท้าติดตามซวนหยวนหมิงไท่ไป ปล่อยให้ร่างสูงยืนมองสระบัวอย่างติดใจสงสัย


**************************************************


           ในระหว่างทางกลับไปยังตำหนักเหวินหัว ไป๋เซ่อก็เอาแต่จ้องหน้าแยกเขี้ยวยิงฟันใส่เซียวถิงฟงอยู่ตลอด ในใจก็คิดร้าย คนผู้นี้ล่อลวงซ้ำยังล่วงเกินท่านมหาเทพ หากมีโอกาสคงต้องจมเขี้ยวใส่สักแผลสองแผล

           ด้านเซียวถิงฟงมิใช่ไม่รู้ตัว หากแต่ยังส่งสายตายั่วยุด้วย เอาเลยสิ ได้ตีเจ้าสักหลายหมัดอารมณ์ข้าคงจะดีไม่น้อย

           “ท่านมหาเทพ เจ้าคนแซ่เซียวผู้นี้เป็นคนทำให้ท่านฟื้นฟูพลังได้ไม่เต็มที่ใช่หรือไม่” ไป๋เซ่อกล่าวถามเสียงเจื้อยแจ้วจบก็เป็นส่งเสียงด่าทอ ไม่เว้นโอกาสให้อีกฝ่ายแก้ตัว “เป็นเพราะเจ้าทำให้ท่านมหาเทพของข้าต้องรับเอาพลังชีวิตในร่างที่ไม่บริสุทธิ์ของเจ้า”

           “เพ้ย เจ้างูปากพล่อย เจ้าว่าใครไม่บริสุทธิ์ ข้ามิเคยกระทำเรื่องเสื่อมเสียที่ทำให้ร่างกายข้าไม่บริสุทธิ์สักหน่อย” เซียวถิงฟงสวนกลับแทบในทันที แต่แล้วคำกล่าวนั้นกลับทำให้องค์รัชทายาทชะงักตัวมองเขาด้วยสายตาพิกล
           
           “เจ้ายังบริสุทธิ์อยู่รึ” น้ำเสียงของซวนหยวนหมิงไท่เปี่ยมด้วยความสงสัยระคนมิอยากจะเชื่อหู

           “ขะ ข้า”

           “ใช่ๆ เขาบริสุทธิ์ ข้ารู้ บริสุทธิ์มากด้วย” เห็นร่างสูงตกที่นั่งลำบาก ต้าเซียนก็ใจดีช่วยกล่าวยืนกรานให้

           “อา” ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับอุทานดังอา มุมปากค่อยๆคลี่ยิ้มทีละน้อย ดวงตาฉายแววขบขัน

           “เดี๋ยวๆ ท่านกำลังเข้าใจข้าผิด” เหงื่อเริ่มผุดผาดบนใบหน้าที่ปรากฏสีแดงซ่าน อีกยังมิอาจห้ามน้ำเสียงที่ตะกุกตะกักของตนได้

           “เซียวถิงฟง เจ้ามิต้องพูดอีก ข้า เข้าใจแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับหัวร่อเสียงดัง เซียวถิงฟงพลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงกะทันหัน

           นี่ท่านเข้าใจแน่รึ ท่านเข้าใจว่ากระไรกันแน่ อยากจะร้องก็ร้องมิออก เซียวถิงฟงได้แต่สงบกลั้นอารมณ์ไว้ในอก

           “เป็นอะไรไปรึ ถิงฟง” เห็นเจ้าตัวยืนตัวสั่นสะท้าน ต้าเซียนก็ถามอย่างเป็นห่วง

           “เป็นเพราะเจ้านั่นแหละ พูดให้น้อยหน่อยก็ไม่มีใครว่าเจ้าหรอก คนซื่อบื้อ” เซียวถิงฟงตวาดลั่น ทำเอาต้าเซียนเบะปากน้ำตาคลอ ด้วยมิเข้าใจว่าตนทำอะไรผิดอีกกันแน่ ด้านไป๋เซ่อก็แยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่มอย่างเป็นเดือดเป็นร้อนแทน

           ทั้งหมดต่างเบิกบานใจกันได้ชั่วครู่ แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัวขึ้น ซวนหยวนหมิงไท่ลอบยิ้มเยาะในใจ ร้อนใจสินะ ถึงขนาดมาถึงเขตตำหนักเหวินหัว

           “หม่อมฉันหย่าเหลียนถวายบังคมองค์รัชทายาทเพค่ะ” น้ำเสียงแว่วหวานดังขึ้นพร้อมท่าทีคำนับที่อ่อนช้อย

           “เจ้ามีเรื่องอันใดถึงได้มาอยู่แถวเขตตำหนักเหวินหัวได้” ซวนหยวนหมิงไท่เงยหน้าแสร้งชมนกชมไม้ก่อนกล่าวน้ำเสียงเรียบ

           “น้องเพียงออกมาเดินเล่นที่อุทยานหลวงเพค่ะ พอรู้ตัวอีกทีก็เดินเพลินอยู่แถวนี้แล้ว น้องจึงถือโอกาสมาถวายพระพรพระองค์ที่ตำหนักเพค่ะ”

           “เป็นเช่นนั้นเอง แต่ข้าสบายดี มิจำเป็นต้องมาถวายพระพรข้าให้ลำบาก” เขากล่าวตัดบทอีกทั้งยังลอบแค่นหัวเราะในใจ ปากกล่าวว่ามาเยี่ยมเยียนข้า แต่สายตากลับจ้องชายหนุ่มที่ด้านหลังเขามิวางตา

           “หามิได้เพค่ะ แม้พระองค์จะทรงเป็นถึงองค์รัชทายาท แต่ก็ทรงเป็นเสด็จพี่ของน้องด้วย การไปถวายพระพรเสด็จพี่ มิได้ทำให้น้องลำบากแต่อย่างใดเพค่ะ” นางตอบพลางส่งยิ้มหวาน

           “อืม” ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังแล้วก็ต้องยกยิ้มอ่อนโยนตอบ ทว่าเบื้องหลังรอยยิ้มเหล่านี้ ต่างไม่มีใครรู้ดีไปกว่าคนทั้งสองอีกแล้วว่ามันเปี่ยมไปด้วยความเสแสร้งรังเกียจแค่ไหน

           “มิคาดว่าจะได้พบกับท่านรองแม่ทัพเซียวที่นี่ หย่าเหลียนขอแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่ของท่านด้วย” องค์หญิงหย่าเหลียนกล่าวแทนตัวเองอย่างสนิทสนม

           “ขอบพระทัยองค์หญิงพะย่ะค่ะ”

           “ถ้าองค์รัชทายาทมิขัดข้อง น้องขอตัวท่านรองแม่ทัพเซียวสักครู่ได้ไหมเพค่ะ”

           “......” ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็มิตอบอะไร เพียงยกมือเป็นเชิงตามสบาย จากนั้นจึงเดินกลับตำหนักไปโดยไม่มีท่าทีรอเซียวถิงฟงอีก

           “ขอบพระทัยเพค่ะ” องค์หญิงหย่าเหลียน กล่าวไล่หลังไปพร้อมคำนับด้วยท่าทีอ่อนช้อย

           “เชิญท่านรองแม่ทัพเซียวตามข้าน้อยมาทางนี้” นางกำนัลขององค์หญิงกล่าวขึ้น เซียวถิงฟงจึงปรายตาบอกให้ต้าเซียนติดตามองค์รัชทายาทไปก่อน จากนั้นจึงออกเดินตามนางกำนัลคนดังกล่าวไป

           “นางเป็นใครกัน” ต้าเซียนได้แต่พกความสงสัยมาถามซวนหยวนหมิงไท่ที่เดินดุ่มๆกลับตำหนักอย่างรวดเร็ว

           “องค์หญิงหย่าเหลียน น้องสาวต่างมารดาของข้า”

           “เอ ดูตอนนี้ท่านก็อารมณ์มิค่อยดีสักเท่าไรนัก” เห็นท่าทีเฉยเมยเย็นชานั้น ต้าเซียนก็พลันเอ่ยขึ้น

           ซวนหยวนหมิงไท่ชะงักตัวหยุดกึก คล้ายพึ่งรับรู้ถึงอารมณ์พลุ่งพล่านที่แสดงมา ครั้นเผลอสบลึกในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็ต้องรีบเบนสายตาหลบ รออยู่ชั่วครู่จึงกล่าว “ท่านจำที่ข้าบอกกล่าวท่านได้ทั้งหมดรึไม่” เขาหันกลับไปสบตาต้าเซียนอีกครั้งด้วยท่าทียิ้มๆ

           “ข้าจำได้ทั้งหมด” เขาพยักหน้าตอบอย่างแรง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มกว้าง เรื่องง่ายๆเช่นนี้มีรึที่มหาเทพอย่างข้าจะจำมิได้

           “เรื่องของเซียวถิงฟงคงต้องฝากท่านแล้ว”

           “เจ้าวางใจข้าได้เลย” ต้าเซียนทุบอกเบาๆ ดวงตาฉายแววมาดมั่น ผิดกับไป๋เซ่อที่ทำสีหน้าสลด ก่อนจะเปลี่ยนรูปเป็นงูเผือกเข้าซ่อนตัวใต้แขนเสื้ออย่างรวดเร็ว ในระหว่างที่เหล่าองครักษ์มิได้สังเกตเห็น ครั้นร่างน้อยจัดแจงซ่อนไป๋เซ่อเสร็จก็ออกวิ่งไปยังทิศทางที่พึ่งจากมา

           “องค์รัชทายาท ท่านคิดทำอะไรกันแน่” ถิงถิงในชุดองครักษ์ชายโผล่ออกมาจากมุมหนึ่งของพุ่มไม้

           “ถิงถิง หากเจ้าอยากเห็นเรื่องสนุกก็ตามพวกเขาไปสิ” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มกล่าวสืบต่อ “อ่อ แล้วอย่าลืมกลับมารายงานข้าด้วยล่ะ”

           “เมี้ยว” แค่ได้ยินว่าเป็นเรื่องสนุก ถิงถิงก็แสยะยิ้มขึ้น ดวงตาสีดำทอประกายซุกซน นางออกวิ่งตามต้าเซียนไปอย่างรวดเร็ว


________________________________

ฮูป่าน(笏板)แผ่นป้ายเตือนความจำของเหล่าขุนนางจีนสมัยโบราณ เทียบได้กับสมุดจดบันทึกที่ต้องถือพกติดตัวทุกครั้งที่มีการเรียกเข้าประชุม ถวายรายงานเหตุการณ์บ้านเมืองต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ในท้องพระโรง สมัยราชวงศ์ถังขุนนางตั้งแต่ระดับห้าขึ้นไปจะใช้ ฮูป่านที่ทำจากงาช้าง ส่วนระดับหกลงไปจะใช้เป็นฮูป่านที่ทำจากไม้ไผ่

ดาบคู่ คำเปรียบเทียบของชายที่รักชอบในเพศเดียวกัน


*********************************************


อัพทุกวันนะคะ วันไหนไม่อัพเเสดงว่าไม่ว่างจ้า หวังว่าผู้อ่านยังคงไม่เบื่อไปกันก่อนน้า  :hao5:

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
เค้ารักเรื่องนี้ สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ฮามากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก รักท่านพ่อมากกกกกกกกกกกกกกกกก 555555555555555 มาบ่อยๆน๊าาาาาาาาาาาาา  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 10.1 ชะตาไม่ยุติธรรม


           ต้าเซียนวิ่งมาถึงกลางอุทยานหลวง ก็พบคนที่กำลังนั่งคุยกันอย่างสนิทสนม ณ ศาลายังฝั่งตรงข้าม เขารีบก้าวข้ามสะพานเล็กๆไป แต่แล้วจังหวะหนึ่งกลับมีนางกำนัลราวเจ็ดแปดคนโผล่พรวดเข้าขวางทางไว้

           “พวกเจ้าดูสิ นางคือสตรีที่มากับใต้เท้าเซียวเมื่อวานไง” นางกำนัลแซ่เหลียนกล่าวพลางก้มมองสตรีชุดสีม่วงอ่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า
           
           “ข้าจำได้แล้ว หญิงบ้านนอกที่ทำตัวติดกับใต้เท้าเซียว”

           “เฮ้อ หงส์อย่างไรก็คือหงส์ คางคกอย่างไรก็คือคางคกล่ะนะ”

           เป็นนางกำนัลอีกผู้หนึ่งเดินวนรอบตัวเขาพลางกล่าวเสียดสี ต้าเซียนชมมองเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วก็พลันทำตัวมิถูก แต่ในท้ายที่สุดก็ตัดสินใจงัดไม้เด็ดที่ใช้ในทุกสถานการณ์

           รอยยิ้มไม่สะทกสะท้านระบายบนดวงหน้างาม ผิดกับสีหน้าของเหล่านางกำนัลที่ค่อยไม่สู้ดีนัก ทว่าพวกนางต่างมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก็ผุดรอยยิ้มร้ายกาจขึ้นมา

           “คิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงกล้ามาทำหยิ่งยโสเช่นนี้ เจ้าเป็นบุตรขุนนางขั้นไหนกันเชียว เจ้าก็แค่หลานห่างๆของท่านอัครเสนาบดีแท้ๆ”

           “ข้าเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของตระกูลเซียว” ต้าเซียนตอบฉะฉาน นึกถึงข้อปฏิบัติที่ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวไว้ โดยข้อหนึ่ง หากมีใครถามว่าตัวเขาเป็นใครก็ให้ตอบไปว่า เป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของตระกูลเซียว แต่มาตรว่าเขามิได้กล่าวคำใดตกหล่น กระนั้นพวกนางกลับพากันส่งเสียงหัวเราะจนเป็นที่แสบแก้วหู

           “อย่างเจ้าน่ะรึ สะใภ้ตระกูลเซียว น่าหัวร่อยิ่ง ข้าจะบอกเจ้าให้เอาบุญ แม้วันนี้เจ้าจะได้เป็นว่าที่ลูกสะใภ้ตระกูลเซียว แต่อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะเป็นได้แค่สตรีบ้านนอกๆเท่านั้นแหละ” นางกำนัลแซ่เจียงกล่าวเยาะหยัน ทั้งยังกระชากแขนเรียว ทำเอาต้าเซียนที่ตัวเซถึงกับงงงันวูบ

           “โถ เจ้ารีบกลับบ้านนอกของเจ้าเสียดีกว่า หากว่าเจ้ายังรั้งรออยู่อีก เกรงว่าเจ้าต้องโกนผมบวชชีกลับบ้านเสียแล้ว” ผู้กล่าวๆด้วยท่าทางสงสาร ทว่าใบหน้ากลับมิได้เศร้าใจแม้แต่น้อย

           โอ ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยถูกสตรีรุมทึ้งขนาดนี้มาก่อนเลย ต้าเซียนได้แต่ร้องโอดครวญในใจ แม้จะไม่ชอบใจกับท่าทีของพวกนาง แต่ตัวเขาที่เป็นถึงองค์มหาเทพจะให้ลงมือกับพวกนางก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสม

           “ทำไมแขนเจ้าถึงแปลกๆเย็นยะเยียบผิดวิสัย” จู่ๆนางกำนัลเจียงที่ยึดแขนเรียวเอาไว้ก็เอ่ยปากทัก ครั้นคิดจะยกขึ้นกลับถูกเจ้าของมือรั้งไว้
           
           “ข้าว่าเจ้าอย่าดูดีกว่านะ” ต้าเซียนกล่าวเตือน แต่ยิ่งห้ามก็เสมือนยิ่งยุ นางกำนัลเจียงกลับยิ้มท้าทาย จากนั้นจึงถลกแขนเสื้อสีม่วงขึ้นโดยมิสนใจคำทัดทาน

           “กรี๊ด”

           ไม่ทันไรเสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวก็ดังระงมไปทั่ว ไป๋เซ่อที่เลื้อยรัดแขนเรียวได้ชูคอร้องขู่ฟ่ออย่างน่ากลัวแล้ว ปากของมันอ้าขึ้นจนเผยให้เห็นเขี้ยวแหลม ดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็จับจ้องนางกำนัลผู้ลองดีในระยะประชิด

           ร่างนางกำนัลเจียงพลันแข็งทื่อไปแล้ว น้ำตาก็เริ่มเอ่อคลอในดวงตา แต่มีรึที่งูเผือกตรงหน้าจะเห็นใจ พริบตานั้นมันก็คลายวงรัดจากแขน กระโจนเข้าเลื้อยรัดเต็มใบหน้าของนางทันที สติของนางถึงกับแตกกระเจิงร้องผวาวิ่งเข้าหาเพื่อนนางกำนัลคนอื่นๆ จนเกิดเสียงหวีดร้องโกลาหล รอไม่นานนักไป๋เซ่อก็ดีดตัวเข้าพัวพันนางกำนัลคนแล้วคนเล่าราวกับบ้าคลั่ง

           ต้าเซียนได้แต่ชมดูอยู่ห่างๆ แม้คิดอยากช่วยแต่ก็กลัวเหล่านางกำนัลที่วิ่งวุ่นวายเหยียบย่ำเข้าให้ สุดท้ายได้แต่ยืนมองพวกนางพร้อมฟังเสียงขู่ฟ่อๆอย่างดุร้าย

           “คิดล่วงเกินท่านมหาเทพ จงจับไข้หัวโกร๋นไปซะ” ขู่จบไป๋เซ่อก็พลันดีดตัวลอยขึ้นสู่กลางอากาศ สายตาบ่งบอกความสะใจ มันเก็บงำพลังฝีมือมาหลายร้อยปี เพลานี้ต้องใช้ออกให้คุ้มค่า

           แต่แล้วเงาร่างหนึ่งก็กระโดดเข้ามาที่กลางวงก่อนจับหมับเหวี่ยงมันไปอีกทางจนปะทะเข้ากับร่างท่านมหาเทพ ไป๋เซ่อรีบหมุนตัวกลับพลางเลื้อยขึ้นกอดลำคอระหงขู่ฟ่อใส่ไม่หยุด

           “เจ้าดูแลมันให้ดีๆหน่อยสิ อย่าให้มันมาก่อเรื่องแถวนี้” เซียวถิงฟงขึ้นเสียง ขณะที่กำลังสนทนากับองค์หญิงหย่าเหลียน ก็พลันได้ยินเสียงหวีดร้องของพวกนางกำนัล ครั้นหันไปสังเกตเห็นไป๋เซ่อที่กระโจนตัวกลางอากาศอยู่หลายครั้งก็แทบทำให้เขาลุกพรวดออกจากวงสนทนาทันที

           “ข้าเตือนนางแล้วว่าอย่าดู นางก็มิเชื่อ” ต้าเซียนหยักไหล่อธิบาย

           “เกิดอะไรขึ้น ใครกันที่บังอาจมาก่อเรื่องแถวนี้” นางกำนัลเว่ยหรือแม่นมขององค์หญิงเดินแหวกกลุ่มนางกำนัลที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังเซียวถิงฟงขึ้นมา ตามมาด้วยองค์หญิงผู้มีใบหน้าอ่อนหวาน นางก้าวเข้ามาแล้วเกาะแขนชายหนุ่มไว้

           เห็นดังนั้นต้าเซียนก็พลันขยับเข้าใกล้ร่างสูงโดยที่ไม่รู้ตัว หากแต่แล้วองค์หญิงหย่าเหลียนกลับสะดุ้งตัวโผเข้ากอดร่างสูงไว้ ใบหน้าหวานซบลงบนอกแกร่งแนบแน่น

           “ว้าย อย่าเข้ามา ออกไป”

           จู่ๆก็รู้สึกตัวชาวาบเมื่อเห็นเซียวถิงฟงกอดปลอบสตรีนางหนึ่งไว้อย่างนุ่มนวล แม้ริมใบหูจะได้ยินไป๋เซ่อร้องเรียก หากแต่ฝีเท้ากลับมิอาจหยุดยั้ง รู้เพียงว่าอยากเข้าไปใกล้ให้มากกว่านี้

           เพียะ กระทั่งแก้มรู้สึกร้อนผ่าวปนไว้ด้วยความเจ็บแปลบ ฝีเท้าของต้าเซียนพลันหยุดลงแล้ว

           “เจ้าคิดปองร้ายองค์หญิงรึ ทหารจับกุมตัวนางผู้นี้โดยเร็ว” นางกำนัลเว่ยส่งเสียงดังลั่น ไม่นานก็ทหารสองสามนายวิ่งเข้ามา
ตาของไป๋เซ่อแทบลุกเป็นไฟ มันเริ่มอดรนทนไม่ไหว ยายแก่ผู้นี้ถึงกับกล้าทำร้ายท่านมหาเทพต่อหน้าต่อตามัน เรื่องนี้เท่านั้นที่ยอมมิได้
           
           “ไป๋เซ่อ หยุด” ขณะที่งูเผือกคิดดีดตัวออก ต้าเซียนก็ส่งเสียงกร้าวทรงพลังขึ้น ไป๋เซ่อหยุดชะงักแม้อยากจะกัดคนตรงหน้ามากแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งจึงได้แต่ใช้ลำตัวที่เย็นเฉียบ ลูบไล้แก้มที่บวมแดงบนใบหน้าของท่านมหาเทพ หวังให้ทุเลาลงบ้างสักนิด

           เสียงตวาดที่ทรงพลังพร้อมประกายตาสีทองนั้นแทบทำให้ทุกคนตะลึงงัน นางกำนัลเว่ยถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น แต่กระนั้นก็รีบหยัดยืนขึ้นด้วยกลัวเสียหน้า นางรีบแสร้งกล่าววางอำนาจใส่ทั้งใช้สายตาดุดันเข้าสู้ “บังอาจนัก กล้านำอสรพิษเข้ามาในเขตพระราชวัง รู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด ทหารรีบจับอสรพิษนั้นไปฆ่าเสีย”

           “ช้าก่อน งูเผือกตัวนี้ เป็นงูที่องค์รัชทายาททรงเลี้ยงไว้ หากพวกท่านคิดจะเอาชีวิตมัน เกรงว่าต้องไปกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบเสียก่อน” ถิงถิงซุ่มตัวดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นท่าไม่ดีก็รีบปรากฏตัวเข้าขวาง

           “แต่มันทำให้องค์หญิงตกพระทัย” นางกำนัลเว่ยคิดว่ากล่าวอีกสักประโยค น้ำเสียงอ่อนหวานก็ดังขัดขึ้น

           “แม่นมเว่ยช่างเถิด อย่าเอาความอีกเลย นางคงมิได้ตั้งใจหรอก จริงไหม” นางกล่าวถามสตรีในชุดสีม่วงอ่อนด้วยน้ำเสียงนุ่ม

           “.......” ทว่าต้าเซียนกลับไม่ตอบ คล้ายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องพวกนี้ เพียงมองไปที่เบื้องหน้าด้วยดวงตาอันว่างเปล่า

           เซียวถิงฟงเองก็มองคนที่นิ่งงันไป ก่อนจะสังเกตเห็นผืนน้ำที่สงบนิ่งไม่ไหวติงในดวงตาคู่นั้น บังเกิดเป็นความรู้สึกเหมือนกลืนก้อนสะอึก ทั้งยังรู้สึกอัดอั้น จากนั้นต้าเซียนที่นิ่งเงียบไปนานก็พลันเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

           “ข้าเพียงต้องการแจ้งท่านพี่ว่าวันนี้ข้าจะรอกลับบ้านพร้อมท่านก็เท่านั้น” ตามกฎข้อที่สอง หากอยู่ต่อหน้าผู้อื่นให้เรียกเซียวถิงฟงว่าท่านพี่และในเมื่อตนกระทำตามแล้วก็ถึงเพลาที่สมควรกลับ

           “เดี๋ยว ต้าเซียน” เห็นต้าเซียนเดินฉับๆจากไปเสียดื้อๆ ตนก็รีบร้องเรียก แต่กระนั้นก็มีเพียงไป๋เซ่อที่มองกลับมาอย่างโกรธแค้น กระทั่งถิงถิงก็ยังส่งสายตาขวางมาให้ก่อนติดตามร่างน้อยไป

           “พี่ถิงฟง นางคือลูกพี่ลูกน้องหญิงของท่านใช่รึไหม” เมื่อคนจากไป องค์หญิงหย่าเหลียนก็หันมากล่าวถามชายหนุ่มที่ข้างกาย แต่ครานี้เซียวถิงฟงกลับเป็นฝ่ายนิ่งงันบ้างแล้ว

           รอยยิ้มของต้าเซียนคล้ายสร้างความเจ็บแปลบในอกเขาอยู่ลึกๆ นั่นเป็นรอยยิ้มที่เย็นชา ยังมีสายตาที่ว่างเปล่า เสมือนมิใช่ต้าเซียนที่เขารู้จัก ใจรู้สึกสับสน บางทีหากเจ้าแสดงออกว่าโกรธ ตวาดว่าข้าหรือต่อปากต่อคำข้าสักนิด ข้าคงจะรู้สึกดีกว่านี้

           “พี่ถิงฟง” นางร้องเรียกร่างสูงอีกครั้งจนเจ้าผงะตัวเล็กน้อย

           “หม่อมฉันจำเป็นต้องกลับไปประจำการแล้ว หม่อมฉันทูลลาพะยะค่ะ” เขาแกะมืออันอ่อนนุ่มบนแขนออก จากนั้นก็พุ่งตัวตามต้าเซียนไปโดยไม่ใส่ใจเสียงเรียกจากทางด้านหลัง แต่ก็นับว่าสายไปเพราะเมื่อไปถึงหน้าทางเข้าสู่ตำหนักเหวินหัว ก็มิได้พบร่างน้อยแต่อย่างใด

           “อ้าว ท่านรองแม่ทัพเซียว ประชุมกองทัพจะเริ่มในอีกไม่ช้า ท่านยังมิรีบไปอีกรึ” เสียงรองแม่ทัพหน่วยที่สี่ที่ผ่านทางมาร้องทัก

           “ขะ ข้า...กำลังไปเดี๋ยวนี้” เซียวถิงฟงถึงกับหัวเสีย แต่ก็ต้องจำใจกลับไปร่วมประชุมกองทัพด้วยใจที่รู้สึกอัดอั้น


**********************************************


           เพล้ง

           “เอ่อ ท่านมหาเทพอย่าได้อารมณ์เสียไป”
           
           “ไป๋เซ่อ เจ้าเห็นว่าข้าอารมณ์เสียตรงไหน ถ้วยชานี่ก็แค่เปราะบางจนเกินไปก็เท่านั้น”

           “........” ดวงตาสีฟ้าอมเขียวถึงเลิกขึ้นโต นี่นับเป็นใบที่สามแล้ว เช่นนี้ยังมิเรียกว่าอารมณ์เสียอีกรึ คิดจะอ้าปากอีกสักคำก็พลันสบเข้าที่สายตาคาดคั้นเข้าเสียก่อน ไป๋เซ่อได้แต่ก้มหน้างุดๆ พลางพึมพำเสียงเบา “แต่ท่านกำลังโกรธจริงๆ”

           “ต้าเซียน ท่านควรประคบผ้าผืนนี้ไว้” ซวนหยวนหมิงไท่เป็นฝ่ายกล่าวทำลายบรรยากาศทะมึน เขารับเอาผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นจากเสี่ยวลู่ขันทีคนสนิทมาประคบแก้มบวมตุ่ยของคนเจ็บอย่างเบามือ 

           “ข้าคงทำให้ท่านผิดหวัง” ต้าเซียนกล่าวเสียงอ่อย

           “เปล่าเลย ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะราบรื่นตั้งแต่ต้น อีกทั้งท่านก็ออกจะไร้เดียงสาไปเสียหน่อย” กล่าวจบก็พลันเห็นต้าเซียนทำตาโตใส่ “เอ่อ ข้าหมายถึงท่านไม่เคยเจอมนุษย์ที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ย่อมต้องเสียทีบ้างเป็นธรรมดา”

           “เรื่องที่เกิดขึ้นข้าก็มิได้นึกเคืองแต่อย่างใด เดิมทีข้าก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว จริงไหมไป๋เซ่อ” ต้าเซียนหันไปถามไป๋เซ่อเพื่อเป็นการยืนยัน

           “เอ่อ จะว่าอย่างไรดีท่านมหาเทพก่อนหน้านี้...” ไป๋เซ่อตอบอย่างอึกๆอักๆ

           ต้าเซียนก็พลันรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ “ไป๋เซ่อ เจ้าต้องการพูดอะไรกันแน่”

           “ท่านมหาเทพ ท่านในตอนนี้ค่อนข้างจะแตกต่างกับท่านครั้งยังอยู่บนพิภพสวรรค์ เมื่อก่อนท่านมิเคยอ่อนไหวกับสิ่งใด ท่านมักเฉียบขาดกับทุกเรื่อง หากแต่ตอนนี้ท่านดูเปลี่ยนไป” ไป๋เซ่อกล่าวโพล่งออกมาจนหมด รอจนถึงประโยคสุดท้ายเสียงก็ค่อยๆแผ่วลง

           “เจ้ากำลังหมายความว่าต้าเซียนที่เจ้ารู้จัก มิใช่ต้าเซียนครั้งยังอยู่บนพิภพสวรรค์รึ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวสรุปความจากที่ได้ยิน

           “ข้าน่ะรึเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปอย่างไรรีบกล่าวมา”

           “ทะ ท่านดูอ่อนไหวราวกับมนุษย์” สีหน้าของไป๋เซ่อพลันเปลี่ยนฉงน สายตาก็เลิกขึ้นคล้ายนึกหาคำอธิบาย “มิใช่ว่าท่านเปลี่ยนไปซะหมดแต่เหมือนมีบางส่วนที่เปลี่ยนไป เช่นกลิ่นอายของท่านมหาเทพ กลิ่นอายของท่านเริ่มคล้ายมนุษย์มากขึ้น ตอนแรกข้าคิดว่าอาจเป็นเพราะท่านคลุกคลีกับพวกมนุษย์มากเกินไป จึงทำให้กลิ่นอายของท่านถูกลบเลือนไปชั่วขณะ หากแต่วันนี้ท่านดูไม่เหมือนทุกที อารมณ์ท่านแปรปรวนและกลิ่นอายของท่านกลับเหมือนมนุษย์ไปเสียทั้งหมด”

           ต้าเซียนรับฟังแล้วก็ต้องครุ่นคิดอย่างหนัก นี่เป็นไปได้หรือที่กลิ่นอายเขาจะถูกลบเลือนไป ซ้ำยังถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายมนุษย์ ดูว่านับตั้งแต่หยิบยืมพลังชีวิตของเซียวถิงฟงมา ก็บังเกิดเรื่องราวผิดปกติขึ้นหลายอย่าง ทั้งพลังที่ไม่สมดุลในบางครั้ง รวมไปถึงความรู้สึกถึงบางสิ่งที่เต้นระรัวในอก หรือแม้แต่ความรู้สึกดั่งเช่นมนุษย์

           ทว่าก้อนหินเช่นเขาจะมีความรู้สึกลึกซึ้งเช่นมนุษย์ได้อย่างไรกัน?

           หากแต่เพลานี้กลับเป็นไปแล้ว นี่อาจเป็นไปได้ว่าพลังธาตุที่หยิบยืมจากเซียวถิงฟงนั้นยังคงตกค้างอยู่ในร่างเขา พลังนั้นคล้ายหมุนเวียนอยู่ในตัว มิได้สลายหายไป แต่กลับคงอยู่เพื่อสร้างสิ่งใหม่...สิ่งที่เขาเอื้อมมือไขว่คว้ามาตลอด ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีทางเป็นจริง

           “ไม่จริงใช่ไหม” ต้าเซียนพึมพำขึ้นก่อนยกมือขึ้นทาบที่อกซ้าย ภายในนั้นคล้ายมีบางสิ่งที่กำลังเต้นเป็นจังหวะ ยังผลให้ความรู้สึกปิติเอ่อล้นไปทั่วทั้งกาย ทั้งยังตื้นตันใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นน้อยๆ

           อีกด้านหนึ่งในห้องประชุมของกองทัพ ขณะที่แม่ทัพนายกองกำลังโต้เถียงเรื่องปฏิรูปทางการทหาร เซียวถิงฟงที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งกลับเอาแต่เงียบขรึมไม่พูดไม่จา แม้โดยรอบจะมีเสียงดังเอ็ดตะโรมากแค่ไหนก็มิอาจทำให้เขาสลัดหลุดไปจากห้วงคำนึงถึงใครบางคนไปได้ กระทั่งยามค่ำที่คนเหล่านี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนในที่สุดก็ออกปากเลิกประชุม ทว่าสมองเขาก็ยังคงมีแต่ความฟุ้งซ่าน ที่เอาแต่ถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า

           ตอนนั้นเจ้ารู้สึกเช่นไรกัน? จะโกรธข้าบ้างรึเปล่า ต้าเซียน

           “อ้า น่าปวดหัวจริง ทำไมข้าต้องห่วงความรู้สึกเจ้าคนซื่อบื้อนั่นด้วย” บ่นพึมพำเบาๆพลางใช้มือขยี้ศีรษะอย่างสับสน ช่างเถิดเอาไว้เจอก่อนค่อยว่ากัน

           ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าไปยังตำหนักเหวินหัว กระทั่งผ่านยังอุทยานหลวงก็บังเกิดสายลมแรงคล้ายเป็นพายุขนาดย่อม ลมนั้นหมุนเป็นวงพลางพัดเอากลิ่นหอมหวานชนิดหนึ่งลอยมา มันเป็นกลิ่นพิเศษ เป็นกลิ่นอ่อนๆที่เขาคุ้นเคยยิ่ง กลิ่นที่บอกถึงความอ่อนโยนและอบอุ่น...กลิ่นของดอกบัว

           ว่าแล้วฝีเท้าก็เปลี่ยนไปตามทิศทางของกลิ่นอย่างไม่รู้ตัว จวบจนหยุดลงตรงที่แห่งหนึ่งก็ไม่พบวี่แววของทหารยาม เบื้องหน้ามีเพียงเส้นเชือกที่ขวางกั้น เขาลอดเส้นเชือกนั้นไปก่อนจะก้าวเข้าไปยังด้านใน

           “นี่มันอะไรกัน เหตุใดที่นี่ถึงกลายเป็นเช่นนี้” ดวงตาเขาพลันเบิกกว้างอย่างตกตะลึง

           ดูว่าในสระที่เคยมืดมนด้วยเปลวเพลิงมอดไหม้กลับมีดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์กำลังชูช่อต้านลมหนาว แปลกประหลาดเกินไปแล้ว ทั้งๆที่ไม่กี่ชั่วยามก่อน ที่นี่ยังคงเป็นเพียงแค่สระร้าง ดวงตาสีดำไล่มองไปยังสระแล้วจึงสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่ง ที่ใต้สระบัวปรากฏเป็นเม็ดทรายละเอียดสีทองที่ทอประกายขึ้นสู่ผิวน้ำ

           “ต้าเซียน? หว่านเมล็ด?” เขายังคงจำได้ถนัดตา ในขณะที่ร่างน้อยโปรยฝุ่นละอองสีดำนั้น ชั่วพริบตามันก็เปลี่ยนเป็นสีทองก่อนตกลงสู่ก้นสระ คิ้วขมวดมุ่นสงสัย จังหวะเดียวกันนั้นที่ผิวน้ำกลับปรากฏเงารูปร่างสูงใหญ่ที่ทอดลงมา ดวงตาเขาพลันเบิกกว้าง

           เป็นไปไม่ได้ เข้าใกล้ถึงเพียงนี้ แต่เขากลับไม่รู้ตัวสักนิด 

           บรรยากาศเริ่มเปี่ยมไปด้วยความกดดัน เซียวถิงฟงตั้งสติได้ก็หมุนตัวเข้าเผชิญหน้าโดยตรง ทว่ายังมิทันแลเห็นเค้าใบหน้าอีกฝ่าย ฝ่ามือหนึ่งก็ตรงปะทะเข้าที่บ่าอย่างรุนแรง ร่างพลันกระเด็นออกไปราวสิบก้าว

           “กรอด” เซียวถิงฟงรีบกัดฟันพยุงตัวขึ้นตั้งกระบวนท่ารับ คราบโลหิตเปื้อนที่มุมปาก เขากวาดสายตาไปที่เจ้าของฝ่ามือปริศนา แต่บัดนี้ริมสระบัวกลับว่างเปล่าแล้ว หลงเหลือเพียงแต่รังสีกดดันไม่ใกล้ไม่ไกลนัก

           นับว่ายังดีที่ฝ่ามือเมื่อครู่เขาสามารถโคจรพลังต้านรับได้ทัน มิเช่นนั้นซี่โครงคงได้หักไปหลายส่วน แต่กระนั้นเซียวถิงฟงก็ยังมิวายบาดเจ็บภายในอยู่ดี ฝ่ามือดังกล่าวเปี่ยมพลังรุนแรงก็จริง แต่ยังมิถึงขั้นเอาชีวิต ทั้งยังคาดว่าเป็นฝีมือบุรุษ สมองวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว ศัตรูอยู่ในที่มืดส่วนเขาอยู่ในที่แจ้ง ยังคงดูเป็นฝ่ายตั้งรับไว้จะดีที่สุด

           “เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงมีกลิ่นอายของท่านผู้นั้น”

           น้ำเสียงทรงพลังของบุรุษหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหูซ้าย เซียวถิงฟงจึงวาดแขนพุ่งเข้าใส่ทันที หากแต่สิ่งที่ปะทะกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า ดวงตาสีดำจึงมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง สติทั้งหมดใช้ออกอย่างเต็มที่ หน้าผากเริ่มผุดไปด้วยเหงื่อเย็น สัญชาตญาณบ่งบอกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา

           “เฮอะ ตั้งแต่วันแรกเลยรึ” เขาสบถ รับราชการวันแรกก็ประเข้ากับคู่มือยุ่งยากเสียแล้ว ครานี้เขาเริ่มหลับตาจับความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย น่าเสียดายที่ไม่ได้พกอาวุธประจำตัวมาด้วย จึงได้แต่โคจรพลังไปไว้ที่ฝ่ามือทั้งสองแทน ไม่นานนักก็สัมผัสได้ถึงพลังกดดันที่แผ่กระจายมาใกล้ๆตัว

            “ด้านหน้า” เซียวถิงฟงตวาดลั่น ดวงตาทอแววเด็ดเดี่ยว เขาเกร็งข้อมือปัดฝ่ามือที่กำลังซัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ครั้นประมือครบสามกระบวนท่าก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายรุก พุ่งกรงเล็บเข้าปะทะฝ่ามือปริศนาอย่างแรง

           ทว่าเรื่องราวกลับเหนือความคาดหมาย กรงเล็บพยัคฆ์กลับลอยค้างอยู่กลางอากาศ คล้ายมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นฝ่ามือบุรุษผู้นี้อยู่ราวสามหุน ไยมิว่าจะผลักดันสักแค่ไหนก็มิอาจเข้าใกล้อีกฝ่ายได้ เขาถึงกับงุนงงวูบ

           แปลก แปลกมากเสมือนมิใช่ม่านพลัง หากเป็นม่านพลังจริง แม้ปะทะกันโดยวัดจากพลังภายใน ก็ย่อมต้องรู้สึกถึงพลังหมุนเวียนของอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่นี่กลับไม่รู้สึกถึงสักนิด แลหากยื้อไว้อีก เกรงว่าตนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

           “บอกมาเหตุใดเจ้าถึงมีกลิ่นอายของท่านผู้นั้น ท่านผู้นั้นอยู่ที่ใด” เฟยหลงตวาดถาม ทั้งยังจ้องบุรุษหนุ่มตรงหน้าอย่างเคลือบแคลง

           “เป็นข้าต่างหากที่ต้องถามว่าเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงบุกรุกอุทยานหลวงในยามวิกาลเช่นนี้” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคู่มือได้ชัดถนัดตา

           “.......”

           “หากเจ้าไม่ตอบข้าจำลงมือ” เซียวถิงฟงไม่รีรออีกดึงกำลังภายในสองส่วนเข้าผลักดันกำแพงอากาศ หากแต่พลังที่ส่งกลับไปนั้นมิสามารถทำลายมันได้อยู่ดี กระทั่งเห็นรอยยิ้มที่หยักขึ้นก็บังเกิดเป็นความหงุดหงิด เพิ่มกำลังที่กรงเล็บอีกหนึ่งส่วน

           เปรี๊ยะ ดูว่าพลังภายในห้าส่วนเริ่มเห็นผลแล้ว รอยร้าวเล็กๆ เกิดขึ้นพร้อมเสียงปริแตก ถึงทีเซียวถิงฟงยกยิ้มขึ้น ด้านเฟยหลงถึงกับมองกำแพงที่เริ่มร้าวอย่างไม่เชื่อสายตา

           “ท่านผู้นั้นอยู่ที่ใด บอกมา” เฟยหลงตวาดก้อง

           “เจ้าต่างหากที่ต้องตอบคำถามข้า”

           บุรุษตรงหน้ายังคงต่อปากต่อคำ เฟยหลงจึงได้แต่จ้องอีกฝ่ายเขม็ง อีกด้านหนึ่งก็ขบคิดอย่างไม่เข้าใจ วังหลวงแห่งนี้น่าแปลกเกินไปแล้ว ระหว่างภารกิจทำลายสระบัวปีศาจหมาป่าชั้นต่ำพลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ครั้นหาเบาะแสก็กลับคว้าได้แต่น้ำเหลว คราแรกตนคิดจากไป หากมิใช่เป็นเพราะเกิดสังหรณ์ใจก็คงมิได้พบร่องรอยเฉกเช่นค่ำคืนนี้

           กลิ่นของดอกบัว กลิ่นของท่านผู้นั้น สระบัวที่ถูกทำลายด้วยพลังของเขากลับมีดอกบัวสีขาวเบ่งบานงดงามภายใต้เม็ดทรายสีทองแล้ว นี่คล้ายเป็นการบ่งบอก เป็นท่านที่ลงมือ
ท่านเองก็รอข้าอยู่ใช่ไหม...ท่านมหาเทพ

           ร่างสีขาวบริสุทธิ์ฉายในความทรงจำ บุคคลที่เขาพยายามเอื้อมมือขึ้นไขว่คว้า ไม่ว่าจะลำบากยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ท่านผู้นั้นก็ไม่เคยแม้แต่ชำเลืองมองมา

           “ยังมิรีบตอบ เจ้าเป็นใคร ไฉนจึงบุกรุกวังหลวง”

           เสียงเร่งรัดดังกล่าวทำให้เฟยหลงตื่นขึ้นจากภวังค์ พอดีกับที่ลมระลอกหนึ่งกระทบเข้าที่ตัว ดวงตาดั่งพญาอินทรีก็เลิกขึ้นตื่นตระหนก กลิ่นอายของชายผู้นี้ เป็นไปได้อย่างไร

           “เจ้าเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับท่านผู้นั้น” เฟยหลงคำรามเสียงเดือดดาล สายตาแดงก่ำดั่งเลือด นี่เป็นกลิ่นอายของท่านมหาเทพ เหตุใดจึงอยู่ในตัวของมนุษย์ได้ สุดท้ายก็มิอาจห้ามความชิงชังในใจ พลังขุมหนึ่งถูกใช้ออกแล้ว

           ในตอนนี้กำแพงอากาศปริแตกขยายขนาดเป็นวงกว้าง เซียวถิงฟงคิดแลกฝ่ามือจึงเกร็งกำลังซัดกรงเล็บเข้าใส่อีกครั้ง จนกระทั่งเกิดเป็นเสียงคล้ายกระจกแตก ม่านพลังสลายหายไปดั่งหมอกควัน หากแต่กรงเล็บยังคงพุ่งตรงต่อไป

           “สมควรตายยิ่งนัก” เห็นม่านพลังถูกทำลาย เฟยหลงก็ยิ่งเกรี้ยวกราด เขาปลดปล่อยรังสีฆ่าฟันอันโหดเหี้ยม ดึงฝ่ามือกลับก็พุ่งออกไปใหม่ พลังส่วนใหญ่ได้รวมอยู่ในฝ่ามือเป็นตายนี้

           เซียวถิงฟงเห็นท่าทีอาฆาตอีกฝ่ายก็เริ่มหวั่นใจ สัญชาตญาณบอกให้หลบฝ่ามือนี้ก็พลันเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างทันที

           ตูม เสียงระเบิดดังขึ้น กำแพงอุทยานด้านหนึ่งพังทลายลงมาจน หลงเหลือเพียงเศษธุลี  แขนซ้ายเฉียดโดนพลังฝ่ามือนั้นยังผลให้เลือดไหลเป็นทาง ดูไปแล้วหากรับฝ่ามือนั้นโดยตรงนั้น เกรงว่าเขาคงมิได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว เซียวถิงฟงคิดพลางใช้มือกดปิดปากแผล

           ไม่มีทาง ข้าไม่มีทางปล่อยให้ใครหน้าไหนเข้าใกล้ท่านได้ แม้กระทั่งเส้นผมทุกสิ่งทุกอย่างของท่านก็ต้องเป็นของข้าเท่านั้น ของข้าเท่านั้น เฟยหลงย้ำบอกตัวเองในใจพลางหันไปเล่นงานบุรุษตรงหน้าอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น


**********************************************


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด