บทที่ 14.1 ความในใจที่ซ่อนเร้น
สายลมเอื่อยพัดพาให้ต้นเหมยสั่นไหว มือแกร่งเอื้อมปลิดกิ่งไม้เล็ก ดอกเหมยที่ติดมานั้นเบ่งบานสะพรั่ง ดูเปล่งปลั่งราวกับพวงแก้มใส แต่จะอย่างไรก็เห็นทีจะมีแต่ดอกบัว ที่เหมาะสมกับเจ้าตัวมากที่สุด...ดอกบัวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา
เซียวถิงฟงยิ้มกว้างมองดอกเหมยในมือ หากมิใช่เพราะรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องขณะนั้น เขาคงครอบครองริมฝีปากบางนั้นไปแล้ว นึกถึงเพลานั้นแล้วใบหน้าก็ร้อนวูบวาบ กระทั่งเสียงของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้น
“ท่านรองแม่ทัพ ท่านจะมอบมันให้ข้าได้หรือไม่”
เขาได้สติหันขวับไปที่ด้านหลังทันที ที่เบื้องหน้าเป็นสตรีชุดแดงสด ดวงตาเย้ายวนน่าหลงใหล ริมฝีปากแดงราวกับลูกพลัม ขับดันเสน่ห์ที่ชวนดูลึกลับ ดูว่านางเห็นเขาไม่ตอบก็ส่งยิ้มพลางชี้นิ้วที่อกของตน
เซียวถิงฟงงงงันไปวูบหนึ่งก่อนฉุกคิดถึงดอกเหมยในมือ “อา ต้องขออภัย ข้ามิอาจมอบมันให้แก่แม่นางได้”
“ท่านมีคนที่ตั้งใจจะมอบให้?”
“เป็นเช่นนั้น” เขาระบายยิ้ม “แม้ข้ามิอาจมอบให้ได้ ก็เกรงว่าบุรุษในงานต่างกำลังเข้าคิวรอมอบดอกไม้ให้สตรีงดงามเช่นแม่นางกระมัง”
สตรีในชุดแดงฟังแล้วก็ยกมือขึ้นป้องริมฝีปาก เปล่งเสียงหัวเราะขึ้น “ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งท่านจะมอบมันให้ข้า”
“หือ” เซียวถิงฟงอุทานอย่างสงสัย แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงดังขัดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ครั้นเหลียวมองกลับไปก็พบคนที่จ้ำอ้าวเข้ามาด้วยทีแตกตื่น
“พี่ถิงฟง นางเป็นใคร” สีหน้าขององค์หญิงหย่าเหลียนขาวซีด แววตาตกตะลึง นางคล้ายเคยเห็นสตรีในชุดแดงเช่นนี้มาก่อน เพียงแต่มิมั่นใจว่าสตรีดังกล่าวมีตัวตนเพียงแค่ในฝันหรือมีอยู่ในโลกแห่งความจริงกันแน่
“หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบ” หันกลับไปอีกทีสตรีในชุดแดงก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เซียวถิงฟงขมวดคิ้ว ทั้งที่นางนับว่าโดดเด่นสะดุดตา แต่กระนั้นตนกลับมิได้สังเกตเห็นนางในงานแม้แต่น้อย “ว่าแต่องค์หญิง ท่านไม่สบายมิใช่รึ เหตุใดจึงได้ออกมาเพ่นพ่านตากลมเช่นนี้” เขาถอดเสื้อคลุมสีเขียวเข้มบนตัวออกคลุมให้แก่นาง
หย่าเหลียนสะดุ้งตัวเล็กน้อยแล้วมองหน้าชายหนุ่มอย่างลึกซึ้ง ความปลอดโปร่งวางใจแล่นเข้าอยู่ในอก ใบหน้าที่ขาวซีดพลันมีเลือดฝาดอีกครั้ง “ขอบคุณพี่ถิงฟง”
“แล้วทรงเสด็จมาที่นี่ได้อย่างไร”
“เอ่อ ข้าเดินลัดเลาะมาจากทางด้านโน้น” นางแสร้งกล่าวเสียงเรียบ ความจริงแล้วเป็นขันทีที่ตระกูลเซิงวางตัวไว้ตระเตรียมทุกอย่างไว้แต่แรกแล้ว เพียงรอให้นางเดินหน้ามอบดอกโบตั๋นในมือนี้ให้ชายหนุ่มเท่านั้น
มาตรว่าแผนลอยจอกสุราจะเกิดผิดพลาด แต่การเสาะหาบุปผาในครั้งนี้จะต้องสำเร็จ นี่นับเป็นโอกาสสุดท้าย นางมิอาจผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง “พี่ถิงฟง เหตุใดท่านจึงไม่เรียกข้าว่าหย่าเหลียนเล่า”
“.......”
เห็นร่างสูงนิ่งเงียบสีหน้าลำบากใจ นางก็กุมมือเขาไว้พลางอ้อนวอน “เมื่อก่อนท่านชอบเรียกข้าเช่นนี้มิใช่หรือ”
“แต่ตอนนี้ไม่เหมือนก่อน”
“ไม่เหมือนก่อน ท่านหมายความว่าอย่างไร” นางหลุบตาลงอย่างน้อยใจ เหตุใดเขาถึงได้มีท่าทีห่างเหินกับนางเช่นนี้
นิ่งเงียบอยู่นาน เซียวถิงฟงที่ทนเห็นม่านน้ำตาของคนตรงหน้ามิได้ ก็ตัดสินใจเอ่ยเบาๆ “ก็ได้ๆ หย่าเหลียน”
“พี่ถิงฟง” นางร้องเรียกอย่างดีใจ น้ำตาหยดหนึ่งพลันหลั่งไหล
เซียวถิงฟงยิ้มน้อยๆกล่าว “เด็กน้อยจะร้องไห้ทำไมกัน”
สิ้นเสียงอบอุ่นหย่าเหลียนก็โผกอดร่างสูงไว้ นางตื้นตันใจจนมิอาจบรรยายออกมาได้ ในใจของเขานั้นมีนางอยู่ “พี่ถิงฟง ข้ายินดีกระทำทุกอย่างตามที่ท่านต้องการ ได้โปรดมอบดอกไม้ให้ข้าเถอะ”
กิ่งดอกเหมยในมือพลันร่วงตกลงพื้น เซียวถิงฟงฟังแล้วก็ต้องกระอักกระอ่วน มิรู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ครั้งหนึ่งนางเป็นสตรีที่เขาเคยคิดทุ่มเทความรักให้ แต่ด้วยเรื่องราวซับซ้อนทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
ย้อนกลับไปสิบกว่าปีก่อน ตระกูลเซิงและตระกูลเมิ่งต่างชิงดีชิงเด่นกันในราชสำนักกันอย่างเปิดเผย ด้านตระกูลเซียวกลับมิเข้าข้างฝ่ายใด ด้วยถือเป็นคนของฝ่าบาทโดยตรง จึงคอยทำหน้าที่ถ่วงดุลอำนาจมาตลอด แต่แล้วสงครามระหว่างทั้งสองตระกูลกลับยิ่งรุนแรงขึ้น ตระกูลเซิงและตระกูลเมิ่งต่างส่งบุตรีเข้าถวายตัวรับใช้องค์ฮ่องเต้ ซึ่งในภายหลังพระสนมเมิ่งกลับได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมารดาของแผ่นดิน นอกจากนี้นางยังให้กำเนิดพระโอรสที่เฉลียวฉลาด บุตรของนางจึงกลายเป็นรัชทายาทตั้งแต่วัยเยาว์ อำนาจของตระกูลเมิ่งจึงยิ่งนานยิ่งแข็งแกร่ง
ทว่าเรื่องราวกับพลิกผัน องค์ฮองเฮาเมิ่งถูกลอบปลงพระชนม์ พระสนมเซิงขึ้นนั่งตำแหน่งแทนที่ ตระกูลเซิงกลับมาผงาดอีกครั้ง ทั้งยังทำทุกวิถีทางเพื่อขุดรากถอนโคลนตระกูลเมิ่ง อันเปรียบเสมือนขุมอำนาจขององค์รัชทายาทให้หมดไป คนในตำแหน่งสำคัญไม่ถูกลดขั้นก็ถูกโยกย้าย ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้แม้ตระกูลเซียวจะมิได้ก้าวก่าย แต่กับเซียวถิงฟงกลับเป็นข้อยกเว้น
เซียวถิงฟงเติบโตมากับองค์รัชทายาท ได้รับรู้เข้าใจแลเห็นอะไรหลายอย่าง องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ในวัยเด็กมักทำอะไรเกินตัว ซ้ำยังวางพระองค์อยู่ในกรอบเสมอ แต่จะมีเพียงเวลาที่อยู่กับตนเท่านั้นที่ยอมผ่อนคลายพระองค์ ซึ่งทำให้เขาทั้งชื่นชมและเข้าใจในตัวซวนหยวนหมิงไท่มากกว่าใคร ใจเขาจึงเอนเอียงช่วยเหลือพระองค์อย่างเต็มที่
ด้านองค์หญิงหย่าเหลียน เขาเองก็รู้ดีว่านางเติบโตขึ้นมาเช่นใด ตระกูลเซิงมิได้ให้ความสำคัญกับนาง นอกเหนือไปจากการหมากสำคัญตัวหนึ่งของคนในตระกูล นางเป็นได้เพียงนกน้อยที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ในกรงขังที่เรียกว่าวังหลวง
มาตรว่าคนทั้งสองต่างเป็นคนความสำคัญ หากแต่สิ่งที่เขาสามารถทำให้กับองค์รัชทายาทได้ คือเป็นดั่งมือซ้ายขวาที่คอยช่วงชิงอำนาจให้แก่พระองค์ แต่สำหรับองค์หญิงหย่าเหลียน เขาทำได้เพียงดูแลนางอย่างห่างๆ มิสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ซึ่งข้อเปรียบเทียบเหล่านี้ทำให้เขาประจักษ์ เขามิได้รักหย่าเหลียนอย่างแท้จริง เขามองนางดั่งน้องสาว มิได้มองนางเช่นบุรุษมองสตรี และยิ่งเมื่อเขาได้พบต้าเซียน ก็ยิ่งทำให้เขาตระหนักถึงความจริงข้อนี้ เขาได้หลงรักคนซื่อบื้อเข้าเสียแล้ว
ฝ่ามือค่อยๆขยับ คิดจะดึงมือที่โอบเอวไว้ออก แต่แล้วเซียวถิงฟงชะงัก เขามิอาจตอบรับ แต่ก็มิอาจทอดทิ้งนางอย่างเย็นชาได้เช่นกัน เกิดเป็นความละล้าละหลังขึ้นในใจ ไม่รู้ว่าสมควรจะแกะมือนางออกดีรึไม่
พอดีกับที่เสียงกิ่งไม้ไหว ฝีเท้าบางเบาเสมือนล่องลอยเป็นเอกลักษณ์เคลื่อนเข้าใกล้ เซียวถิงฟงพร่ำบอกในใจ ขอให้ครั้งนี้ตนหูฝาดไป ขอเพียงครั้งนี้เท่านั้น ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เผอิญสบเข้าที่ดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อน ซึ่งกำลังทอดมองลงมาจากต้นไม้ใหญ่
“ต้าเซียน” เซียวถิงฟงอุทานขึ้นอย่างตกใจ ยังผลให้องค์หญิงหย่าเหลียนเงยหน้าขึ้นมองตาม จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มให้แก่ผู้มาใหม่
ต้าเซียนเห็นคนทั้งสองกอดกันแนบแน่นก็พลันรู้สึกไม่พอใจอย่างไรบอกไม่ถูก จึงคิดรีบไปเสียให้พ้นๆ ถึงอย่างไรคนก็มิได้เป็นอันตรายอย่างที่คิด
“ทางทิศตะวันออก ท่านมหาเทพ อ้ะ เจ้าคนแซ่เซียวทำไมถึง”
“ไป” ต้าเซียนตวาดห้วนพร้อมทะยานตัวออกไป ไป๋เซ่อที่ตามมางงงันอยู่บ้าง ครั้นได้สติก็รีบติดตามท่านมหาเทพไป แต่ก็มิวายหันกลับไปมองคนทั้งสอง
“เดี๋ยว” ทั้งที่เมื่อครู่แววตายังเปี่ยมไปด้วยความรัก หากแต่ตอนนี้กลับเย็นชา มิทันได้อธิบายร่างในชุดสีเหลืองนวลก็ทะยานตัวหายลับไป ดูไปร่างน้อยคล้ายดวงจันทร์บนฟากฟ้า ทำได้เพียงมอแต่มิอาจจับต้องได้ เสมือนอยู่ใกล้แต่ความจริงห่างไกล...แต่เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้หรือ
ไม่ สำหรับข้าแล้วต้องเป็นเจ้า ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น ต้าเซียน หัวใจพลันร่ำร้องบอก ครานี้เซียวถิงฟงลดแขนที่เกาะกุมลงพร้อมกล่าวอย่างไม่ลังเลแล้ว “หย่าเหลียน สำหรับข้าแล้วเจ้าเปรียบเสมือนน้องสาวข้ามาตลอด ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
“ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” องค์หญิงหย่าเหลียนทวนคำ สองมือนางว่างเปล่า ฝีเท้าถึงกับซวนเซถอยไปก้าวหนึ่ง “ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหม” ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาทอกว้างอย่างไม่รับความจริง
“........” เซียวถิงฟงไม่กล่าววาจาเพียงหลุบตาลงแล้วผละตัวจากไปเป็นคำตอบ
กระทั่งเสียงฝีเท้าหายลับไปก็หลงเหลือเพียงหญิงสาวที่นั่งกอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ไว้แน่น น้ำตาหลั่งไหลออกมาเงียบๆ ไออุ่นจากเจ้าของเสื้อหายไปแล้ว คนก็เช่นกัน สุดท้ายนางก็ทำได้แค่จ้องมองกิ่งดอกเหมยสีแดงที่ตกอยู่ข้างกายอย่างเนิ่นนาน
************************************************
“ต้าเซียน”
คล้ายได้ยินเสียงเพรียกรุ่มร้อนร้องหา ต้าเซียนพลันหยุดกายลงที่ยอดไม้สูง ความรู้สึกกระวนกระวายอัดแน่นเต็มอยู่ในอก มันมิใช่ความรู้สึกของเขา เขารู้ดี แต่บุรุษกอดสตรีเช่นนี้ยังจะมีเรื่องทุกข์ใจอันใด คิดแล้วคิ้วขมวดเป็นปมอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านมหาเทพ กลิ่นสาปจิ้งจอกถูกแยกออกเป็นสองฝั่ง”
“ข้าจะไปทางนี้” ต้าเซียนกล่าว
หลังจากที่แยกกับไป๋เซ่อแล้ว ร่างน้อยก็ตัดสินใจลอยตัวลงสู่พื้นดิน ทว่าเดินวนเวียนหาร่องรอยของปีศาจอยู่นานก็ได้ข้อสรุป ทางนี้เป็นกลลวง ขณะที่ชักเท้าเตรียมรุดกลับไปยังอีกด้านหนึ่ง ต้าเซียนก็ต้องผงะตัวเมื่อคนผู้หนึ่งปรากฏกายเบื้องหน้าเขาอย่างเงียบเชียบ
“แม่นาง พวกเราพบกันอีกแล้ว ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นพรหมลิขิต” ซุนจื่อหานฉีกยิ้มกว้าง
“พรหมลิขิต” ต้าเซียนฟังแล้วก็ยกยิ้มแหยแฝงแววประชดน้อยๆ ก้อนหินอย่างข้าจะมีพรหมลิขิตเฉกเช่นมนุษย์ได้กระไรกัน
ซุนจื่อหานเห็นอีกฝ่ายยิ้มแล้วจึงรุกต่อ “ถ้าอย่างไร ข้าขอเรียนถามนามอันสูงส่งของแม่นาง”
“ต้าเซียน” ต้าเซียนตอบห้วนแต่ดูว่าอีกฝ่ายมีแววฉงน
“นามของแม่นางฟังดูแปลกยิ่ง แต่คนโดดเด่นนามย่อมต้องโดดเด่นด้วยเช่นกัน” ซุนจื่อหานมิวายหยอดคำหวาน เห็นต้าเซียนกะพริบตาปริบๆก็พล่ามต่อ “นี่เป็น
เชียนรื่อหง*ที่ข้าหาเสาะหามาได้ ดูไปช่างเหมาะกับแม่นางยิ่งนัก โปรดรับไว้ด้วย” กล่าวจบก็ถือโอกาสจัดแจงปักดอกไม้ที่ผมสลวย
ก้านดอกไม้ถูกปักไปเสียครึ่งหนึ่ง แต่ต้าเซียนยังคงงงงันตามมิทัน ครั้นรู้ตัวว่าพลาดท่า ฉับพลันนั้นร่างก็ถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง ก่อนถูกยกถอยออกไปอย่างสบายๆ เชียนรื่อหงที่กำลังถูกประดับจึงมีอันร่วงหล่นตกพื้นในที่สุด
ซุนจื่อหานมองดอกไม้ที่ตกพื้นด้วยแววตามิอยากเชื่อ เห็นๆกันอยู่ว่าชิ้นเนื้อกำลังจะเข้าปาก แต่แล้วกลับหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา จึงพลันเปล่งน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “บังอาจ กล้าแย่งกับบิดาหรือ”
ผู้มาใหม่ถึงกับถลึงตาใส่อย่างโหดเหี้ยม ซุนจื่อหานไล่มองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่สวมอาภรณ์หรูหรา จนสบเข้าที่ป้ายหยกที่สลักไว้ด้วยคำว่าเซิง สองขาก็ถึงกับอ่อนยวบก้มลงโขกหัวคำนับกับพื้นทันที
“หม่อมฉันล่วงเกินองค์ชาย ได้โปรดทรงอภัยให้กระหม่อมด้วย” ซุนจื่อหานเหงื่อแตกพลั่ก ทั้งลุกลี้ลุกลนก้มคำนับสุดตัว
“รีบไปให้พ้นจากสายตาข้าเดี๋ยวนี้” เขาเค้นเสียงกล่าวช้าๆ
ต้าเซียนที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว ด้านซุนจื่อหานก็เผ่นแนบไปทันทีโดยมิคิดจะหันกลับไปมอง
“องค์ชาย องค์ชายอะไรกัน เฟยหลง” ร่างน้อยถามพลางดิ้นตัวในอ้อมแขนแกร่ง
เฟยหลงไม่ตอบคำทั้งยังไม่ปละปล่อยร่างเล็ก เขาก้มหน้าซุกไซ้เรือนผมนุ่ม กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกบัวทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ยิ่งเสียงหัวใจที่เต้นเบาๆนั้น ก็ทำให้เขามิอยากปล่อยมือไปอีกตลอดกาล
“ต้าเซียน”
นามถูกกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ต้าเซียนถึงกับหยุดดิ้น รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว นิ่งเงียบสักพักก็ตัดสินใจเอ่ยตอบ “เฟยหลง”
“อืม” เฟยหลงไม่เสียใจที่ได้เลือกเข้าสู่ทางมาร เพราะหากตนยังเป็นแม่ทัพเกราะทองแห่งพิภพสวรรค์ ก็จะไม่มีวันได้แตะต้องท่านมหาเทพแม้แต่เพียงเส้นผม แต่หากเป็นจอมมารผู้นำเหล่ามวลปีศาจ เขากลับมีสิทธิ์ครอบครองอีกฝ่ายไว้ แม้ต้องถูกเหล่าเทพเซียนตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ เขาก็หาใส่ใจไม่
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“ข้าบอกท่านแล้ว ข้าจะคอยอยู่ใกล้ๆท่าน” เฟยหลงตอบโดยไม่คลายอ้อมกอดลงทุกชั่วขณะ
“แล้วมนุษย์ที่เจ้าสวมรอยเล่าอยู่ที่ใด”
“ท่านฟื้นพลังได้บ้างรึไม่”
“เขาเป็นอย่างไร” ต้าเซียนถามขึ้นเสียงจริงจัง
“ตัวท่านในชุดสตรีนี่ ออกจะตัวเล็กกว่าเดิมนะ” เฟยหลงหัวเราะน้อยๆ ด้วยมิได้เห็นท่านมหาเทพในชุดแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าจะอยู่ในร่างไหน ท่านมหาเทพก็คือท่านมหาเทพที่ตนรักอยู่ดี
“เฟยหลง” ต้าเซียนถลึงตาใส่ ด้วยรู้สึกราวกับโดนปั่นหัว
“มิต้องเป็นห่วง ดวงจิตเขายังอยู่ดี” ครานี้เขายอมตอบแต่โดยดี ทว่าท่านมหาเทพกลับบังคับดึงมือเขาออก จากนั้นประจันหน้าถามอย่างไม่เข้าใจเจตนา
“ทำไมจึงทำเช่นนี้ เขามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แม้แต่น้อย”
เห็นคิ้วที่ขมวดน้อย เฟยหลงก็อมยิ้ม “ข้าบอกท่านแล้ว ข้าจะคอยอยู่ใกล้ๆท่าน”
ท่าทีดังกล่าวกับทำให้ต้าเซียนบังเกิดความสับสน ทั้งยังเกิดคำถามขึ้นในใจ เฟยหลงเริ่มมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มือน้อยเผลอยกขึ้นสัมผัสที่เปลือกตาคนตรงหน้าอย่างเบามือ
ดวงตาดั่งพญาอินทรีหลับลงรับสัมผัสอย่างว่าง่าย แต่ในจังหวะที่มือเรียวลดลงกลับฉวยกุมไว้มาแนบที่แก้มตน จากนั้นจึงประทับริมฝีปากลงบนมือนั้น
สัมผัสอุ่นร้อนทำให้ต้าเซียนชักมือออกอย่างตกใจ ชั่วขณะนั้นกลับทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่เสมองดอกเชียนรื่อหงที่ตกอยู่ไม่ไกล มิกล้าสบตาอีกฝ่ายอีก
เฟยหลงเห็นท่าทีดังกล่าวก็ต้องลอบยิ้ม “ท่านอย่ามัวชื่นชมแต่เชียนรื่อหง ดอกไม้นี้ก็งามไม่แพ้เช่นกัน” กล่าวจบดอกบัวบานสีขาวอมชมพูดอกหนึ่งก็ยื่นส่งให้
ต้าเซียนละล้าละลังที่จะรับ แต่พอนึกถึงภาพคนสองคนที่กอดกันแล้วก็รับมาในที่สุด ทว่าเสมือนฟ้าเล่นตลกจึงได้ส่งชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งให้เข้ามาปรากฏตัวระหว่างนี้เข้า
เซียวถิงฟงติดตามมาถึงสวนดอกเชียนรื่อหงก็เห็นชุดสีเหลืองนวลอยู่ไกลๆ เขารีบจ้ำอ้าวอย่างไม่หยุดหย่อน แต่แล้วก็ต้องชะงักหยุดนิ่งเพราะในมือน้อยถือไว้ด้วยดอกไม้แล้ว
หากสายตาเขาแผดเผาได้ คงเผาดอกบัวที่อยู่ในมือต้าเซียนให้เป็นจุณไปนานแล้ว ดวงตาพยัคฆ์ตวัดขึ้นมองแวบหนึ่งก็เห็นต้าเซียนหลุบตาลง ครั้นคิดจะไล่เบี้ยกับคนอีกผู้หนึ่งก็ถึงกับต้องตกใจ
“จอมมารเฟยหลง” เสียงกัดฟันเล็ดลอดจากริมฝีปาก สองมือกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว ทว่าเจ้าของนามกลับแค่นหัวเราะขึ้น ส่งผลให้เขายิ่งรู้สึกเดือดดาลในใจ
“ข้าต้องไปแล้ว ต้าเซียน” เฟยหลงตั้งใจก้มลงกระซิบใกล้ๆริมใบหูร่างเล็ก แต่สายตายังคงจ้องเซียวถิงฟงพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ซ้ำตอนท้ายยังจงใจใช้น้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำเรียกชื่อด้วยความสนิทสนม
“เจ้าไม่มีวันได้เขาไปอย่างแน่นอน” เกิดเป็นเสียงกระซิบดังขึ้นในสมอง เซียวถิงฟงถึงกับเบิกตาโพลงเสียการควบคุมในทันที
“เจ้า” เขากู่ร้องถลาตัวเข้าหาจอมมารเฟยหลง ทว่าเมื่อถึงตัวอีกฝ่าย ร่างของจอมมารเฟยก็กลับสลายเฉกเช่นหมอกควัน เขากัดฟันยืนมองอย่างเจ็บแค้น
“ถิงฟง”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง เซียวถิงฟงเหลียวมองแล้วจึงพบว่าต้าเซียนกำลังจับชายเสื้อเขาไว้แน่น ในกำมือข้างหนึ่งยังคงถือดอกบัวไว้อย่างทะนุถนอม
เมื่อเห็นว่าร่างสูงจ้องดอกบัวในมือ ต้าเซียนก็พลันปล่อยมือออกจากชายเสื้อยาว ฟังเสียงอดกลั้นสูดลมหายใจของชายหนุ่มที่ดังขึ้นช้าๆ
“ทำไมถึงรับดอกไม้” ทั้งๆที่ข้าตัดสินใจจะบอกความรู้สึกแก่เจ้า
ต้าเซียนฟังแล้วก็เงยหน้าขึ้นสบตา “เป็นเพราะเจ้ามอบดอกไม้ให้คนอื่น ข้าก็เลย...” พูดถึงตรงนี้ก็ต้องก้มหน้าหลุบตาลง ทำไมจึงเจ็บที่หน้าอก เป็นเพราะอะไรกัน
“.......” เลยรับดอกไม้มาอย่างนั้นรึ เซียวถิงฟงถอนใจช้าๆพลันกล่าว “ไม่ได้ให้”
“หือ” ต้าเซียนเผลอเงยหน้าขึ้นอย่างงงัน
“ข้าไม่ได้ให้ใครทั้งนั้น”
ครานี้คล้ายอาการเจ็บในอกบรรเทาลงอย่างน่าประหลาด ต้าเซียนกุมหน้าอกตนเองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
“เรากลับไปที่งานกันเถอะ” เซียวถิงฟงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักใจ อาจเป็นเพราะสายตาคู่นั้น สายตาที่จอมมารเฟยหลงใช้มองต้าเซียน มันแฝงไว้ด้วยความรักลึกซึ้งจนทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจ
“.......” เห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ต้าเซียนก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก ระหว่างพวกเขาทั้งสองคล้ายมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นอยู่ ตลอดทางจึงมีแต่ความเงียบงันไร้ซึ่งคำพูดจาใดๆ
******************************************