ทำอะไรอยู่
“โฮ่ง! ”
“ไอ้เบ็ก หยุดดดดดดดดด” หมอนอนเอาหัวห้อยลงมาจากโซฟาปัดมือเป็นพัลวันเมื่อไอ้หมาตัวใหญ่วิ่งเข้ามาปลุกโดยการเลียจนหน้าจนชุ่มไปหมด หมาตัวใหญ่ทำหมอที่นอนผิดท่าถลาตกโซฟาเอาไหล่กระแทกพื้นด้วยท่าสวยงาม โดยที่หมานั่งยิ้มมองอยู่ด้วยแววตาที่ดูน่าจะพออกพอใจ
“สนุกนะมึง” โจ้ปวดหนึบที่ไหล่คว้าคอหมามาฟัดอย่างเมามัน
วันนี้เป็นวันหยุด โจ้เลยไม่ต้องตาลีตาเหลือกลุกไปทำงาน หลังจากที่เมื่อคืนต้องไปสังสรรค์กับพวกเพื่อนๆ ที่พอเมาแล้วแต่ละคนเรื้อนอย่างกับเด็กอนุบาล
‘คิดถึงหมา คิดถึงหมอด้วย หมอทำอะไรอยู่’
โจ้หยิบมือถือขึ้นมาอ่านข้อความสั้นๆ ที่ส่งมาในแชท พร้อมกับมองรูปโปรไฟล์รูปขาวดำของใครอีกคนแล้วถอนหายใจออกมา
โจ้นึกถึงเรื่องราวตรงโซฟาเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน หมอคิดว่าดีแล้วที่บอกพายเรื่องจูบ เพราะไม่อย่างนั้นน่าจะโดนคนข้างบ้างจับจูบในสนามบินแน่นอน
เรื่องวันนั้นตอนแรกโจ้หลับสนิทจริงๆ แต่ในระหว่างที่หลับหมอรู้สึกเหมือนกำลังฝันว่าจูบกับใครสักคน ตอนแรกคิดว่าโดนไอ้เบ็กมันเลียปาก เพราะง่วงมากเลยไม่ได้ลุกขึ้นมาหาคำตอบแต่พอเป็นแบบนั้นกว่าจะรู้ตัว ก็ตอนที่ความอุ่นและเฉอะแฉะไล่ลงมาถึงซอกคอ
หมอเพิ่งนึกได้ว่าคงไม่มีหมาที่ไหนมาไซร้คอกันแบบนี้แน่นอน โจ้ลืมตาขึ้นกะจะยกแขนที่ถูกตรึงไว้ทุบหัวคุณพ.ไปสักหน แต่เหมือนคนตัวใหญ่ที่คร่อมตัวเจ้าของบ้านอยู่จะชะตาไม่ถึงคาด
พายมันรีบถดตัวออกแล้วเดินตึงตังเสียงดังออกไปอีกทาง
หมอตื่นมาได้สติตอนรู้สึกว่าปากตัวเองเจ่อแปลกๆ เขาถอนหายใจเฮือกแล้วดันตัวลุกขึ้นมามองตามหลังคุณเพื่อนบ้าน ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนอีกรอบอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะในตอนนั้นคงเพราะง่วงเต็มทน แล้วโจ้ก็คิดว่าตัวเองไม่ได้สึกหรออะไร
พอมานึกย้อนดูแล้วเพิ่งจะรู้สึกว่าควรโกรธ ควรจะรู้สึกแย่ แต่แล้วหมอกลับไม่ได้รู้สึแบบนั้นสักนิด
...เขาไม่ได้รังเกียจอะไรคนข้างบ้านเลย…
หมอยังไม่อยากเรียบเรียงความคิดตัวเองในตอนนี้เพราะโจ้ว่าตรรกกะของตัวมันเริ่มแปลกๆ พิกล
“ไปเบ็ก กินข้าว” หมอบอกพลางเดินบิดขี้เกียจนำไอ้หมาตัวขาวไปที่ห้องครัว
อันที่จริงวันนี้หมอตื่นสายจนเลยเวลาข้าวไอ้เบ็กมาเกือบชั่วโมง เลยโดนหมาเลียหน้าจนตกโซฟา
“กินอาหารกระป๋องหรือกินไก่ต้ม” คุณหมอแสนเหงาถามเจ้าหมา ก่อนจะเลือกหยิบอาหารกระป๋องสำเร็จรูปให้ไอ้เบ็กมัน เพราะวันนี้หมอจะขี้เกียจรังสรรค์สารพัดเมนูหมา จึงเป็นลาภปากไอ้เบ็กที่จะได้ลิ้มรสอาหารกระป๋องรสเลิศแทนที่จะเป็นไก่ต้มจืดๆ ได้สุขภาพที่มนุษย์พร่ำบอกอยู่ทุกวัน
“Trrrr”
โจ้กำลังเปิดกระป๋องอาหารไอ้เบ็ก เหลือบไปมองโทรศัพท์ที่แผดเสียงจ้าอยู่บนเคาท์เตอร์ครัว หน้าจอนั่นแสดงเบอร์โทรยาวๆ แปลกๆ ซึ่งน่าจะเป็นเบอร์ต่างประเทศ และก็เดาได้ไม่ยากว่ามาจากใคร
“มีไร” หมอรับโทรศัพท์ไปหาวไป พร้อมกับใช้แค่มือข้างเดียวในการแงะกระป๋องอาหารหมา มีหมาตัวใหญ่กำลังมองตาละห้อยน้ำลายหยดแหมะๆ
“ที่ไทยร้อนมากไหมครับหมอ”
“เมื่อวานมึงก็ถาม”
หมอได้ยินเสียงหัวเราะหลังจากคำตอบนั่น คนบ้าอะไรโทรมาถามทุกวันว่าวันนี้ร้อนไหม หนาวไหม หมาเป็นยังไงบ้าง ถ้าไอ้เบ็กเป็นคนคงรำคาญตาย ที่มีมนุษย์มาตามติดชีวิตขนาดนี้
แต่โจ้ก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้รำคาญที่จะต้องรับสายคุณพ. ทุกวันแบบนี้
“อากาศมันเปลี่ยนได้ตลอดครับ ใจคนด้วย”
ถ้าเป็นคนอื่นคงมีสำลักน้ำลาย แต่นี่เป็นถึงหมอโหดที่ภูมิต้านทานการม่อเกินพันเปอร์เซนต์ คุณพ.จึงไม่สามารถทำอะไรได้ นอกเสียจากทำนิ้วหมอที่กำลังงัดกับกระป๋องอาหารหมาบาดเป็นทางยาวเลือดแดงฉานไหลลงมาตามมือ
เห็นทีว่าไอ้เบ็กจะได้กินเลือดหมอแทนสเต็กก็วันนี้
“กระป๋องบาดนิ้วว่ะ” ระคนตกใจโจ้บอกอีกคนก่อนจะกดวางสาย
ทำเอาพายผู้กำลังนอนลัลล้าโทรกวนคุณหมอ ถึงกับเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงด้วยความตกใจ เขานึกไม่ออกหรอกว่าหมอจะทำหน้ายังไง จะเจ็บมากมั้ย รู้แต่ว่าตอนนี้คุณพ. ที่เมื่อครู่นอนเอนตัวสบายลุกขึ้นมาเดินรอบห้องเป็นหนูติดจั่น เมื่อได้ยินว่าหมอบาดเจ็บ
เขามองโทรศัพท์ในมือพลางสลับกับนาฬิกาที่หัวเตียง ครั้นจะโทรไปอีกรอบก็กลัวว่าหมอจะไม่สะดวก แต่ถ้าไม่โทรไปก็โคตรร้อนใจเพราะไม่รู้ว่าทางนั้นเป็นยังไงบ้าง
สุดท้ายแล้วพ่อคาสโนว่าแห่งแคลิฟอเนียก็ได้แต่เดินไปบ่นไป
“หมอนะหมอ” พายบ่นพลางกระโดดลงที่เตียงดังเดิม เขานอนมองหน้าจอมือถือนิ่งๆ อย่างไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรด้วยพะวง
“Trrrr”
ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพายก็รีบกดรับโดยไม่ทันได้มองเสียด้วยซ้ำว่าใครโทรมา
“หมอเป็นไงบ้าง” เขากรอกเสียงลงในสายอย่างที่ลืมไปว่าหมอไม่เคยโทรหากันก่อน
“พี่พายใช่ไหมคะ” หลังจากเสียงหวานที่ฟังดูคุ้นเคย
พายขมวดคิ้วแน่นและดึงโทรศัพท์ของตัวเองออกมามองเบอร์ประหลาดนั่นอีกรอบ
“ครับ”
ปล่อยให้มันคาราคาซัง...สุดท้ายแล้วคนที่เดือดร้อนก็คือตัวเอง
พายนึกถึงคำของหมอที่เคยพูดเมื่อไม่นาน ในตอนนี้มันวนเวียนอยู่ในหัวราวกับเทปกรอซ้ำๆ อยู่ในหัว ก่อนที่จะฉุกคิดได้ว่าคนปลายสายเป็นใคร คนๆ นั้นก็เอ่ยออกมาก่อน
“พี่พาย นี่เนยเอง” อาจจะเป็นคำบอกเล่าสั้นๆ แต่ก็บอกอะไรได้มากมาย อย่างเช่นว่า พวกเขาเคยรู้จักกันมาก่อน เคยมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นมากแค่ไหน
“สวัสดีครับเนย” พายที่ไหลลื่นเป็นปลาไหลไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอึดอัดขนาดนี้มาก่อน
ที่ผ่านมาพายไม่เคยบอกปฏิเสธใคร ไม่เคยทำกริยาไม่ดีใส่เหล่าสาวๆ หรือหนุ่มๆ ที่เคยคบ ไม่เคยตีตัวออกห่างเอง เพราะเขาถือคติว่าจะไม่เป็นคนเข้าไปใกล้ตั้งแต่แรก มีแต่พวกเขาเหล่านั้นเองที่เข้าหา พอไม่ได้ดั่งใจก็ก้าวออกไปเป็นวัฐจักร แต่กับเธอคนนี้พายยอมรับว่ายอมเปิดใจให้เธอก้าวเข้ามาหาลึกกว่าคนอื่นหลายก้าว และตัวเขาก็ก้าวล้ำเข้าไปหลายก้าวเช่นกัน ด้วยตอนนั้นไม่ทันฉุกคิดว่าย่างก้าวนั้นจะดีหรือพลาด
การหายกลับมาทำงานในตอนนี้คงเหมือนตัวเขายังไม่ทันถอยหลังออกมาจากเธอเป็นรูปธรรม หรือจะว่าง่ายๆ คือ...พายไม่ได้ทำทุกอย่างให้ชัดเจนเอง
“ไปไม่บอกกันเลยนะคะ” คำพูดนั้นไม่ได้ประชดประชันแต่เหมือนคำตัดพ้อที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะติดตลกน่ารัก
ตอนแรกที่กลับไทย พายถูกใจเธอเป็นพิเศษ แต่อาจจะเป็นเพราะนิสัยเดิมๆ ของเขา ที่แค่พักเดียวก็ลืม หรืออาจจะเป็นเพราะมีใครอีกคนที่เข้ามา ทำให้เขาลืมนึกถึงใครคนอื่นไปหมด ระหว่างที่พายกำลังนึกถึงหน้าหงิกๆ ของหมอพร้อมกับคำตอบที่ควรจะบอกเธอ เสียงสัญญาณของโทรศัพท์ก็แทรกเข้ามา
“เดี๋ยวพี่โทรกลับนะครับ สายเข้า” พายมองสัญญาณของสายซ้อนที่แสดงเบอร์จากไทย
“หมอเป็นไงบ้าง! เกิดอะไรขึ้น! ”
“เสียงดังทำไมวะ ตกใจหมด” เสียงพูดกลั้วหัวเราะนั่นทำให้คนที่เหมือนกระต่ายตื่นตูมใจชื้นขึ้นมาหน่อย
เขาถอนหายใจก่อนจะค่อยๆ เรียบเรียงคำพูด
“เมื่อกี้หมอเป็นอะไร”
“กระป๋องบาดนิ้วเฉยๆ ”
คุณพ. ขมวดคิ้วแน่น
“เฉยๆ ได้ไงหมอ มันลึกไหม บาดทะยักหมอไม่กลัวเหรอ ทำแผลรึยัง แล้ว..”
“พอๆ มึงคงลืมว่ากูเป็นหมอ” ปลายสายบ่นไปหัวเราะไป
พายลอบถอนหายใจ ถึงหมอโจ้จะว่าแบบนั้นเขาก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี
“เจ็บไหมครับ”
“ลองดูดิ บาดลึกเกือบถึงกระดูก เสียวดี”
พายเผลอลอบมองนิ้วชี้ตัวเองด้วยความเสียว ถ้านิ้วเป็นแผลแบบนั้นฆ่ากันเลยดีกว่า เพราะมันคงต้องหยุดเล่นกีตาร์ลูกรักไปอีกหลายเดือน
“อย่าทำให้ผมเป็นห่วงสิ” คุณพ.ว่าเสียงดุ แต่หมอหัวเราะแล้วค่อยตอบกลับมา
“แล้วมึงจะมาห่วงกูทำไม”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนพายคงจะหยอดมุขเลี่ยนๆ กลับไปแล้ว แต่ตอนนี้พ่อคาสโนว่าต้องนอนคิดเงียบๆ
“...”
“ทีอย่างนี้เงียบ กูอุตส่าห์ส่งมุกให้! ” ผลายสายว่า ทำเอาพายขำร่วน
“ก็ผมมัวแต่ห่วงหมออ่ะ” เขาว่าเสียงอ่อย พอส่งเสียงแบบนั้นคุณหมอที่ดูจะวุ่นวายอยู่หน่อยกับหมาที่ปลายสายก็หาว่ามันปัญญาอ่อน
พายนอนยิ้มไปฟังเสียงจากปลายสายไปด้วย
ปกติแล้วในค่ำคืนที่หนาวเหน็บเกือบสิ้นปี บรรยากาศโรแมนติกแบบนี้ พายจะมีสาวมานอนขนาบข้างอยู่ไม่ซ้ำหน้า ปีนี้กลับแปลกไป ตั้งแต่ที่กลับมาจากไทยพายก็เปลี่ยนไปเป็นคนใหม่ เพื่อนๆ บอกว่าเปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังตีน
สาวๆ แฟนคลับหรือสาวๆ นางแบบอย่าได้หวังเข้ามาใกล้ เพราะหลังจากทำงานเสร็จไม่ว่าจะเล่นคอนเสิร์ตในฮอล ในโดมหรือในผับที่เต็มไปด้วยแสงสี มีสาวๆ นุ่งน้อยห่มน้อยเต็มไปหมด พายก็เก็บของแล้วกลับที่พักหล่อๆ โดยไม่ได้สนใครเลย เพราะมีภารกิจที่จะต้องโทรกวนหมออยู่
ในตอนแรกเขาเองไม่ได้คิดว่าตัวเองแปลกไป เพราะตอนอยู่ที่ไทยหลังๆ พายก็อยู่บ้านทำเพลงนั่งกวนหมา รอเวลากวนหมอตอนหมอเลิกงานต่อ นับว่าใช้ชีวิตธรรมดาเหมือนชาวบ้าน ไม่หิ้วหญิงวันเว้นวันอย่างเก่า
เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองได้ แต่พอทำตัวเป็นคนดีดูก็ไม่ได้ทรมานอะไรนัก ไม่ถึงกับขนาดจะลงแดงตาย
จะมาลงแดงเอาก็ตอนที่อยู่สนามบินกับหมอ พายวอ่งขึ้นครึ่งมาด้วยความหงุดหงิด เขาขยี้ทรงผมตัวเองไม่เป็นทรง เดินยิ้มเรี่ยราดตาลอยจนตม.คิดว่าใช้ยาเสพย์ติดมา นั่งอยู่บนเครื่องก็คิดแต่เรื่องหมอข้างบ้าน มาถึงที่นี่ให้หัวก็มีแต่หมอ
“หมอโจ้ ไปกินข้าวกัน” หลังจากเสียงกุกกักที่ปลายสายไม่นานนัก พายก็ได้ยินเสียงใครสักคนที่ไม่ค่อยคุ้นหู
โจ้ผู้กำลังง่วนกับการเอาข้าวให้หมา ตอบรับทันทีเมื่อได้ยินเสียงของหมอนายที่โผล่เข้ามาในบ้าน เพราะวันนี้นัดกันไว้ว่าจะไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ร้านเปิดใหม่
“ครับ รอแป๊ปนะ”
บางที่โจ้คงลืมว่ากำลังถือสายกับคนข้างบ้านอยู่
“นั่นใครหมอ”
“เพื่อน แค่นี้นะ” หมอรีบตอบพร้อมกับวางสาย ทำเอาคนที่อยู่อีกซีกโลกลุกขึ้นมานั่งมองมือถือ
.
.
.
หลังๆ โจ้ที่โสดและโหดมากตัวติดกับหมอนายเป็นตังเม เพราะเข้าเวรพร้อมกัน โสดและว่างเหมือนกัน ทั้งลักษณะนิสัยการกินก็คล้ายๆ กัน ดูหนังแนวเดียวกัน เลยทำให้ช่วงนี้เจอโจ้ที่ไหนก็จะเจอหมอนายตัวจิ๋วอยู่เสมอ
“อย่าเรียกพี่เพราะผมรู้สึกแก่” เป็นสิ่งที่หมอนายเคยบอกโจ้ไว้
“ขอโทษหมอนาย วันนี้ตื่นสาย”
เมื่อวานพวกเขาคุยกันว่าอยากไปกินอาหารญี่ปุ่นเพราะเบื่อกระเพราไก่ไข่ดาวที่กินมาสามวันติดเต็มทน
หมอขอตัวไปอาบน้ำก่อนชั่วครู่ก่อนจะบึ่งรถออกจากบ้าน โจ้วนรถจอดรถในลานจอดรถที่ห้างแถวบ้านก่อนจะเดินนำรุ่นพี่ไปหาร้านอาหารที่ว่า คงเพราะตอนนี้มันสายมากแล้วพวกที่ยังไม่กินข้าวเช้าเลยสั่งข้าวมาเต็มโต๊ะ
“ลาบาดอร์ที่บ้านคลอดลูก สนมะ” อยู่ดีๆ หมอนายก็ถามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ช่วงนี้โจ้กำลังตั้งใจหาเพื่อนมาให้ไอ้เบ็กพอดีตอบรับอย่างไม่ต้องคิด
“เอาครับ” เขาว่าพร้อมกับมองยิ้มกว้างของหมอนาย
ในชีวิตโจ้มีหมอนายนี่แหละที่ดูจะเป็นเพื่อนและที่ปรึกษาชั้นดีให้มันได้ เพราะพวกเพื่อนสนิทตัวเองมีแต่พวกบ้าๆ ปรึกษาอะไรออกทะเลตลอดไม่เคยได้สาระ
หลังจากอิ่มหมีพีมันเรียบร้อยแล้วโจ้ก็มายืนอยู่หน้าบ้านหลังเล็กที่สวนข้างบ้านและบริเวณบ้านใหญ่มาก หมอสวัสดีพี่สาวของหมอนายก่อนจะขออนุญาติเดินไปหาไอ้นากและลูกๆ ที่สวนหลังบ้าน นากที่ว่าก็คือแม่หมาลาบาดอร์ตัวใหญ่ของหมอนายนั่นเอง ที่ตั้งชื่อขนนากก็เพราะก่อนจะเลี้ยงหมาหมอนายเคยอยากเลี้ยงนาก
“นากมานี่” ในทีแรกโจ้คิดว่าหมาแม่พันธุ์จะดุและหวงลูกตามสัญชาติญาณ แต่เปล่าเลย...
หมาตัวโตวิ่งเข้ามาเลียมือแล้วปล่อยลูกๆ วันเดือนเศษจำนวนแปดตัวเข้ามารุมหมอ โจ้ผู้โหดเหี้ยมยอมแพ้ความน่ารักของลูกหมาโดยการนั่งปุลงบนพื้นหญ้าแล้วปล่อยให้พวกลูกหมาสีน้ำตาลทองตัวป้อมทั้งปีนทั้งทึ้งอย่างมีความสุข
หมอนายที่ไม่ค่อยได้เห็นหมอโจ้ในมุมนี้ยืนมองแล้วยิ้มตาม
“เลือกได้เลยนะโจ้ ผมว่าพวกมันคงอยากไปอยู่ด้วย” หมอนายพูดกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นว่าพวกลูกหมาตัวป้อมกำลังร่วมมือตั้งใจงับแขนอีกคน
โจ้ค่อยๆ แงะไอ้พวกแสบออกจากตัวทีละตัวสองตัว ก่อนจะสบตากับลูกหมาตัวสีเข้มกว่าเพื่อนที่กำลังนอนซุกอยู่ตรงเท้าหมอ โจ้ช้อนตัวไอ้ตัวเล็กขึ้นมาก่อนจะหันไปพยักหน้าให้เจ้าของมัน หมอนายพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ชื่ออะไรดีโจ้”
“ชื่อเหรอครับ...” หมอคิดอยู่หน่อยก่อนจะมองหน้าไอ้หมาตัวเล็กนั่นอีกที
“พาย ผมว่าชื่อพายน่ารักดี”
.
.
.