The Real Me อย่าท้าให้บ้ารัก ตอนที่ 61 - ตอนจบ [ส. 11 ธ.ค 64 หน้า 82]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Real Me อย่าท้าให้บ้ารัก ตอนที่ 61 - ตอนจบ [ส. 11 ธ.ค 64 หน้า 82]  (อ่าน 444360 ครั้ง)

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
คืออ่านแล้วหยุด อ่านแล้วหยุด 3 รอบ มันเหมือนเป็นฉากเซอร์วิสที่ทำให้ใจคนอ่านเต้นแรงมาก ฮือ เขินตัวบิด ขอบคุณมากค่ะ รอคอยตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

ตอนที่ 60
..ไฟ..




06.30 น.

กระสุน อาวุธ อุปกรณ์สื่อสารและอุปกรณ์อื่นสำหรับต่อสู้และหลบหนีถูกจัดเตรียมโดยทีมของเชอร์รี  พวกเธอทำงานหนัก  ตื่นตั้งแต่รุ่งสางจนเวลานี้  เสียงปืนกระบอกสุดท้ายถูกตรวจความเรียบร้อยก่อนเก็บเข้าที่ของมัน

“อืม เรียบร้อยดี เตรียมย้ายของได้เลย” ผมสั่ง

“ค่ะ” ทุกคนขานรับ 

“เราจะออกสิบโมง” ผมยืนยันเวลาเดิมที่พวกเราได้วางแผนไว้

“รับทราบค่ะ”


“คุณผู้ชมครับ ข่าวดังที่เรายังคงเกาะติดกันในเช้าวันนี้ คือเหตุระเบิดสองจุดเมื่อค่ำวานนี้นะครับ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่สองราย แต่ที่น่าตกอกตกใจมากก็คือ ที่เกิดเหตุพบยาเสพติดและเงินสดเป็นจำนวนมาก เดี๋ยวทางเราจะต่อสายตรงไปยังนักข่าวภาคสนามของเราที่ไปประจำอยู่ที่เกิดเหตุตั้งแต่เมื่อคืนนี้นะครับ”

ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว  ตามองไปยังหน้าจอโทรทัศน์ซึ่งหลายช่องต่างก็ฉายข่าวเดิม ๆ เหมือนกันหมดมาหลายชั่วโมงติดแล้ว...

“ทางตำรวจได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ที่นี่อาจเป็นที่กระจายสินค้าของผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ของประเทศไทยเลยนะครับคุณขจร”

“อา ฟังมันอ่านข่าวแล้วอยากได้บุหรี่สักมวน” ผมพึมพำบ่น  เดินตรงไปหยิบน้ำเปล่าแก้วของตัวเองที่วางอยู่ตรงโต๊ะอาหารขื้นดื่ม  เชอร์รีหัวเราะในลำคอเบา ๆ  สังคมมนุษย์นี่มันก็แปลกดี  คนบางกลุ่มมักคิดว่าตนเองเป็นคนคุมเกมเพราะสิ่งที่รับรู้มา  ทั้ง ๆ ที่เบื้องหลังที่มองไม่เห็นมันเน่าเฟะจนแทบจับมือใครดมไม่ได้   

“คุณไฟคะ พี่ศรแจ้งมาว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงค่ะ” นิดาเดินมาบอก

“งั้นเดี๋ยวฉันเตรียมตั้งโต๊ะเลยนะคะ” เชอร์รีเอ่ย

“อืม” ผมพยักหน้าตอบแล้วเดินจากมา

เมื่อกลับขึ้นมาถึงห้องนอนก็พบว่าคนบนเตียงยังคงหลับอยู่  บานประตูที่ถูกเลื่อนปิดเบา ๆ เกิดเสียงขึ้นเล็กน้อย  แต่ก็สามารถทำให้ฝ่ายที่นอนอยู่สะดุ้งตื่นได้ 

“ขอโทษครับ” สมุทรพูด  ขยับตัวลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังสะลึมสะลืออยู่  ผมไม่ขานตอบ  เดินตรงไปนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะที่ตั้งอยู่ปลายเตียง  ตัวเดียวกับที่อีกฝ่ายใช้นั่งพักเมื่อค่ำวาน  ขาข้างหนึ่งขยับขึ้นไขว่ห้างก่อนตั้งศอกขวาลงบนโต๊ะ  กำมือนั้นเท้าใบหน้าด้านข้างของตัวเองและมองไปยังคนที่นั่งอยู่บนเตียง

“........” สมุทรนั่งเงียบสนิท  สายตาของเขาเหลือบมองไปยังกางเกงยีนส์ของตัวเองที่ถอดทิ้งไว้เมื่อคืน  ซึ่งผมได้พับวางเตรียมไว้ให้ที่ปลายเตียงหลังจากตื่นนอน  ความเงียบปกคลุมเราทั้งคู่  เป็นอย่างนี้ร่วมห้านาทีเห็นจะได้  ทราบดีว่าการที่ไม่พูด ไม่ใช่เพราะไม่มีเรื่องให้พูด  แต่คาดว่าคนตรงหน้ากำลังระวังสิ่งที่ตนจะพูดอยู่มากกว่า


จิ๊บ ๆ จิ๊บ ๆ

เสียงนกร้องต้อนรับเช้าวันใหม่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเลือกที่จะหลับตาลง  ฝีเท้า และเสียงของการพูดคุยจากผู้คนด้านนอกที่ออกไปใช้ชีวิตดังแว่วไกล ๆ  เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง  เมื่อลืมตาขึ้นมองก็พบสายตาของคนตรงหน้าที่จ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว...

“คุณจะไปไหนครับ” สมุทรถาม 

“........” ผมไม่ตอบ  ยังคงเท้าใบหน้าตัวเองอยู่ในท่าเดิม

“แต่งตัวสิ อยากอาบน้ำก่อนไหม จะได้ลงไปกินข้าว” ผมพูด

“........” ครั้งนี้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายไม่ตอบกลับบ้าง  เขาลุกขึ้นจากเตียง  หยิบเสื้อกับกางเกงยีนส์ของตัวเองพร้อมผ้าขนหนูผืนใหม่ที่วางอยู่หน้าห้องน้ำแล้วตรงเข้าห้องน้ำไปโดยไม่พูดอะไร  ผมนั่งรออยู่ที่เดิมจนเวลาผ่านไปเกือบ ๆ สิบนาที  ฝ่ายที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเดินออกมา  นำผ้าขนหนูผืนที่ตนเพิ่งใช้ไปแขวนไว้ที่ราวแขวนเสื้อผ้าใกล้ ๆ 

เมื่อเจ้าตัวจัดการธุระของตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เขาจึงเดินมาที่ปลายเตียงแล้วนั่งลง  เผชิญหน้ากับผม  ขาที่ไขว่ห้างอยู่ขยับออกก่อนค่อย ๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วจ้องมองตอบ...

“รู้ไหมว่าเวทีมวยเฮงซวยนี่เงินหมุนเท่าไหร่” ผมเปิดประเด็น  รู้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไร 

“........” สมุทรเงียบ  แววตาดูหวั่นเกรงในคำตอบอยู่ลึก ๆ

“ร้อยล้านเหรอ ? หึ..” ผมพ่นหัวเราะให้กับกรอบความคิดเดิม ๆ ของเขา  ความคิดนั้นก็ไม่ถือว่าผิดหรอกมั้งครับ  แต่นี่มันยุคใหม่แล้ว  ยุคที่มีการถ่ายทอดสดทั่วโลกไม่ใช่เรื่องลำบาก  ยุคแห่งการหยิบจับธุรกิจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเสี่ยงโชค  ซึ่งก็ไม่แปลกที่เวทีนี้จะเป็นหนึ่งในการทำเงินของหมาล่าเนื้อและงานอดิเรกของคนรวยที่ไม่รู้ว่าควรเอาเงินไปโปรยเล่นที่ไหน

“ขึ้นชกรอบถัดไป ฉันรับรองได้ว่าไม่มีใครเล่นตุกติกแน่นอน” ผมพูด  ขณะกำมือประสานเข้าหากันและวางไว้ที่หน้าขา  สมุทรเบือนหน้าไปอีกทาง  ลมหายใจถูกเขากลั้นไว้เสี้ยววินาทีก่อนปล่อยออกมาด้วยใบหน้าหนักใจ

“แล้วมันวิธีไหนล่ะครับที่คุณจะทำให้อีกฝ่ายไม่เล่นตุกติก” สมุทรพูดเชิงถาม  โทนเสียงของเราทั้งคู่ไม่มีการกระแทกกระทั้นใส่อารมณ์แต่อย่างใด  เป็นการพูดเรียบ ๆ ที่ได้ยินถนัดกันแค่สองคนเท่านั้น 

“ผมไม่อยากเดาเลยครับ..” คนตรงหน้ามองมาด้วยสายตาเป็นห่วง

“........” ผมเงียบ  ค่อย ๆ เหสายตาลงมองพื้น

“ถ้าคุณเป็นผมคุณจะทำยังไงครับ ต้องยอมไปโดยที่ไม่สงสัยว่าทำยังไงให้ไอ้เวทีเน่า ๆ นี่มันสะอาดงั้นเหรอ”

“หึ..” ผมหลุดยิ้มกับความซื่อตรงของเขา  แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้งหนึ่ง

“ฉันไม่เคยถามหาความสะอาดบนโลกบิดเบี้ยวนี้หรอก.. แบบนั้นมันเหนื่อยไม่ใช่เหรอ” ผมเลิกคิ้ว 

“คุณไฟครับ อย่าทำแบบนี้”

“........” ผมไม่ตอบกลับไป  ไม่ว่าสมุทรจะแพ้หรือชนะก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อผมมากนัก  แต่หากเกิดเหตุการณ์ที่เขาต้องถอนตัวออกจากการชกกะทันหัน  แน่นอนว่าจะส่งผลต่อค่ายอย่างมาก  ผมเพียงต้องการให้เขาโฟกัสถูกจุด  ไม่ใช่ไขว้เขวเพราะเหตุผลส่วนตัวใด ๆ ที่มีอยู่ในใจตอนนี้

ความเงียบซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบกลับนั้นบอกเป็นนัยว่าคนตรงหน้ายังเต็มไปด้วยความดื้อดึง  เพียงแต่ไม่เถียงสู้กลับมาเป็นคำพูดก็แค่นั้น...

“ไม่ว่าจะอยู่ข้างฉันในฐานะไหน ทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเองไม่ใช่เหรอสมุทร” ผมพูด  ทิ้งไว้ให้เขาได้คิดก่อนจะตัดบทด้วยการเอ่ยถึงมื้ออาหารเช้า

กลิ่นของอาหารเช้าหอมโชยไปทั่วชั้นล่างของบ้าน  สาว ๆ ที่นั่งเล่นอยู่ที่โซฟาลุกขึ้นยืนโดยทันทีเมื่อเห็นผม  เชอร์รีเดินออกมาจากครัวพร้อมกับถาดอาหาร  เธอเหลือบมองสมุทรเล็กน้อยก่อนวางถาดนั้นลงบนโต๊ะ 
 
“ผมช่วยครับ” สมุทรบอก

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” เชอร์รีปฏิเสธแล้วกลับเข้าครัวไป 

“อย่าไปยุ่งกับเจ๊เวลาเจ๊ใส่ผ้ากันเปื้อนค่ะ” ชะเอมตรงเข้ามากระซิบกระซาบบอกสมุทร

“เอ่อ ครับ” สมุทรขานรับด้วยสีหน้างงงวย  แม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่ชะเอมสื่อแต่เขาก็ปฏิบัติตาม  ผมเลื่อนเก้าอี้นั่งลง  ไม่อธิบายออกไปให้กระจ่างว่าเชอร์รีไม่ชอบให้ใครที่เธอไม่คุ้นเคยมาช่วยหยิบจับเวลาที่เธอทำอาหาร  สำหรับเธอมันคือเรื่องน่ารำคาญ  แม้กระทั่งคนของเชอร์รีเองก็ต้องเป็นคนที่เธอเรียกหาเท่านั้น  ส่วนใหญ่ก็เลยได้นั่งเล่นกันตามสบาย


เมนูเช้าวันนี้คือ ข้าวต้มกุ๊ยพร้อมกับเครื่องเคียงนานาชนิด..

“นั่งสิ” ผมเอ่ย  อนุญาตให้ทั้งสมุทรและสาว ๆ ที่ยืนคอยอยู่นั่งลง  สมุทรเก้ ๆ กัง ๆ อ่านสถานการณ์ว่าตนควรนั่งตรงไหน  ผมเลยชี้ไปที่เก้าอี้ขวามือข้าง ๆ ซึ่งเป็นที่นั่งเดียวที่ข้าวต้มเปล่ายังไม่ถูกนำมาเสิร์ฟ 

“ขอบคุณครับ” สมุทรบอกเชอร์รีที่เพิ่งเดินออกมาและวางถ้วยข้าวต้มลงตรงหน้าเขาพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว 

“ตามสบาย” ผมบอกก่อนหยิบช้อนกลางตักไชโป๊วผัดไข่ชิมก่อนเป็นอันดับแรก 

“เค็มไปไหมคะ” เชอร์รีถาม  นั่งลงที่เก้าอี้ซ้ายมือข้างผม

“อร่อยดี” ผมตอบ  ตักไชโป๊วผัดไข่ใส่ลงบนถ้วยข้าวต้มของสมุทรด้วย

“ชื่อสมุทรเหรอคะ” ชะเอมถามขึ้นกลางโต๊ะ  สมุทรที่เพิ่งตักข้าวต้มเข้าปากพร้อมกับไชโป๊วผัดไข่ที่ผมเพิ่งตักให้ ผงกหัวตอบน้อย ๆ เพราะยังเคี้ยวอาหารในปากไม่หมดดี

“งั้น.. สมุทรคิดว่าที่นั่งอยู่เนี่ย ใครสวยที่สุดเหรอ” เธอยิ้มถามหน้าทะเล้น  ผมแอบอมยิ้มมุมปากขณะคีบผัดผักบุ้งเข้าปากอยู่หลายคำ  ถือเป็นประโยคธรรมดาเมื่อเริ่มทำความรู้จัก  เพราะไม่ว่าลูกน้องผู้ชายคนไหนของผมที่ได้เจอพวกเธอก็มักจะโดนยิงคำถามแบบนี้ทั้งนั้น 

“เอ่อ..” สมุทรอ้ำอึ้ง  กวาดตามองทุกคนบนโต๊ะด้วยสีหน้าระมัดระวังและดูลำบากใจ 

“ก็ สวยทุกคนเลยนะครับ” เขาตอบ  หลบเลี่ยงด้วยการตักยำผักกาดดองไข่เค็มใส่ถ้วยข้าวต้มของตัวเอง

“ชิ !” เชอร์รีสบถขึ้นทันทีพร้อมช้อนตาใส่สมุทรอย่างรับไม่ได้  ผมทำหูทวนลมไม่ห้ามใคร

“เกลียดชะมัด คำตอบของพวกชอบแบ่งรับแบ่งสู้เพื่อเอาตัวรอด” เชอร์รีต่อว่า

“........” สมุทรเงยหน้าขึ้นมองหน้าเชอร์รี  มือที่กำลังจะตักกับข้าวถึงกับชะงัก

“ก็ไม่มีใครไม่สวยนี่ครับ” สมุทรขยายความอย่างสุภาพ  เหมือนว่าเจ้าตัวเองก็ไม่คิดว่าคำตอบของตนผิดเช่นกัน

“ไม่ได้ต้องการรู้เรื่องนั้น ต้องการรู้ว่าใครสวยที่สุด” เชอร์รีย้อนเสียงห้วนแล้วตักอาหารเข้าปากอีกคำ 

“ผมไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินว่าใครไม่สวยหรอกครับ” สมุทรตอบหน้านิ่งเช่นเดิม 

“โวววว ~” คนของเชอร์รีประสานเสียงแซวในขณะที่เชอร์รีนิ่งไปแล้ว

“ก็ถูกของเขา คำถามอาจไม่ชัดเจนอะนะ งั้นนน เอาเป็น.. บนโต๊ะนี้ใครสเปกที่สุด ?!” หนึ่งยิ้มกว้างพร้อมชูนิ้วชี้ขึ้นประกอบด้วย

“........” ครั้งนี้สมุทรเงียบไป  แต่ดูไม่กดดันและอ้ำอึ้งเหมือนก่อนหน้า  เขากวาดตามองทุกคนอีกครั้งอย่างเก็บรายละเอียด  ผมช้อนตาขึ้นมอง  คีบผัดผักบุ้งวางลงบนถ้วยข้าวต้มอีกคำ  อยากรู้คำตอบอยู่เหมือนกันว่านอกจากยัยหมอบ้านั่น  หมอนี่ชอบผู้หญิงแบบไหน

“ไม่มีครับ ขอโทษครับ” สมุทรตอบ

“หึ อันนี้ตอบดีแฮะ” เชอร์รีชอบใจใหญ่

“ไม่เห็นดีเลยอะเจ๊ ตอบอะไรเนี่ย สู้คุณไฟก็ไม่ได้” นิดาพึมพำบ่นหน้างอ 

“คุณไฟเนี่ยนะตอบดี สเปกวันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัส ! ยัยบ้า !” เชอร์รีขึ้นเสียงบ่นด้วยความหงุดหงิด

“ก็ยังดีไงคะ แสดงว่ามันต้องมีสักวันที่หนูสวยในสายตาคุณไฟคนเดียว” นิดาปัดอย่างไม่แยแส

“หึ..” ผมหลุดยิ้ม  ต้นอ่อนทานตะวันผัดน้ำมันหอยเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ผมชอบ  มันจึงถูกตักวางลงบนจานเปล่าแยกส่วนไว้ต่างหากเพราะต้องการรับรู้รสชาติแบบไม่มีข้าวต้มผสม

“อ่อนดีนะ” ผมบอก  คีบส่วนหนึ่งวางลงบนถ้วยข้าวต้มให้คนทำ

“ขอบคุณค่ะ” เชอร์รีบอก  ผมเหลือบมองสมุทร  สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายมักจะกินหัวไชโป๊วผัดไข่กับผัดถั่วงอกมากเป็นพิเศษ  พอเห็นว่าถ้วยข้าวต้มของเขาว่างจากเครื่องเคียงจึงคีบต้นอ่อนทานตะวันวางลงให้  เจ้าของถ้วยข้าวต้มผงกหัวน้อย ๆ คล้ายขอบคุณ  อาหารถูกตักเข้าปากไปอีกหลายคำก่อนที่เขาจะยกน้ำขึ้นดื่มเกือบหมดแก้ว 

“เป็นอะไร” ผมถาม  วางตะเกียบลงบนถ้วยข้าวต้มของตัวเองแล้วมองสมุทรที่ขยับศีรษะไปมาเนิบช้า

“ไม่ทราบครับ” อีกฝ่ายตอบด้วยสีหน้าสับสน 

“........” ทุกคนบนโต๊ะเงียบลง  ผมหยิบน้ำเปล่าขึ้นดื่มและนั่งมองสมุทรโดยไม่พูดอะไร  ไม่กี่นาทีให้หลังร่างกายของเขาก็ค่อย ๆ เซคล้ายว่าเจ้าตัวไม่สามารถควบคุมตัวเองไว้ได้ 

“คุณ ไฟ...” อีกฝ่ายพึมพำเรียก  ดวงตาค่อย ๆ หรี่ลง  ผมเอื้อมมือออกไป  วางแขนให้อยู่ในระดับเดียวกับลำคอของเขาเพื่อรับแรงต้านไม่ให้ร่างกายนี้กระแทกลงกับโต๊ะ 

“หืม ? ว่าไง” ผมขานรับแล้วลุกขึ้นยืน  ก้มลงมองคนที่อยู่ต่ำกว่าด้วยการช้อนใบหน้าของเขาให้เงยขึ้น  ร่างกายที่ไร้การควบคุมทำให้น้ำหนักที่ผมต้องรับมีมากกว่าปกติ 

“........” สมุทรพยายามจดจ้องผมไม่วางตาทั้งที่แทบไม่สามารถฝืนความจริงไว้ได้  เสียงของเขาพึมพำออกมาเบา ๆ “อย่า...”
ไม่รอให้สติผู้พูดได้หายไปเสียก่อน  ผมจึงก้มลงจูบ  พอผละริมฝีปากออกก็พบว่าร่างกายที่ประคองอยู่นั้นได้หมดสติไปแล้ว...
 
“เจ๊ใส่แรงไปไหมคะ” ชะเอมบ่นเสียงเบา

“ขอโทษค่ะ ใส่ไปในข้าวต้มกับน้ำเปล่า ใครจะรู้ว่าเขาจะดื่มน้ำเยอะขนาดนั้นล่ะคะ” เชอร์รีพูดหน้าเจื่อน  ผมไม่ต่อว่าอะไร  จะมากหรือน้อยผลก็เหมือนกันอยู่ดี  จึงค่อย ๆ ลดแขนลงช้า ๆ  ใบหน้าของสมุทรแนบลงกับโต๊ะ 

“น่าสงสารจัง ~ ยังกินข้าวไม่อิ่มเลย” นิดาพึมพำ

“สวัสดี เพื่อนโปรดมาแล้ววว ~”

ผมเงยหน้าขึ้นมองไอ้โปรดที่เปิดประตูบ้านเข้ามาได้จังหวะ..

“คุณโปรด” สาว ๆ เรียกด้วยความดีใจ

“Hello ladiessss ~” ไอ้โปรดโบกมือทัก

“กูเคยบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าอย่าเอามือปืนไปรับกู” อีกฝ่ายบ่น  เปลี่ยนเสียงเป็นขึงขังแล้วเดินเข้ามา

“โอ้โฮ สลบพร้อมเสิร์ฟ” มันมองมาที่สมุทร 

“ฝากด้วย” ผมสั่ง 

“คร๊าบ”

   ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2021 16:06:55 โดย เบบี้ »

ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

11.30 น.

“รถพร้อมแล้วครับนาย”

เสียงของรองเท้าส้นสูงเดินมาถึง  ทั้งเบาและเป็นจังหวะที่มั่นคง  ผมลุกขึ้นยืน  เงยหน้ามองพวกของเชอร์รีที่เดินลงมาจากชั้นสองของบ้านพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ 

“พร้อมแล้วค่ะ” เชอร์รีพูดบอก

“เห็นท่าไม่ดีถอยได้เลย ไม่ต้องรอคำสั่งฉัน” ผมพูด  มองหน้าเชอร์รีเพียงคนเดียว

“ฉันให้สิทธิ์เด็ดขาดเชอร์รีเป็นคนตัดสินใจ” ผมบอกให้ทุกคนได้ยิน 

“ครับ/ค่ะ”

“ระวังตัวด้วย” ผมบอก

“ค่ะ” อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับคนของเธอ  ขณะเดียวกันไอ้รุ่งก็เดินสวนเข้ามา 

“ขออนุญาตครับนาย”

“อือ” ผมขานรับ  หยิบลูกอมรสมะนาวออกจากกระเป๋ากางเกงมาเม็ดหนึ่ง 

“โกดังที่ท่าเรือของไอ้กริดโดนคนของไอ้กายเล่นงานหมดเลยครับ” มันรายงาน 

“........” ผมรับฟังเงียบ ๆ  หยิบลูกอมเข้าปากก่อนเก็บเปลือกลงในกระเป๋ากางเกง  ลิ้นเกลี่ยลูกอมในปากไปมา  เสียงการแตกของลูกอมที่ถูกกัดดังพอให้ทุกคนได้ยิน 

“แล้วก็ นี่ครับนาย...” อีกฝ่ายยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลที่ถืออยู่มาให้  ผมรับมาเปิดดู  ของทั้งหมดที่อยู่ในซองนั้นคือรูปถ่ายที่เพิ่งสั่งให้พวกมันไปตามเก็บมา  รูปภาพที่ยืนยันความสัมพันธ์ฉันท์คู่รัก

“นายรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ”
 
“นั่นสิ..” ผมพึมพำ  ไล่ดูทีละรูป เสร็จแล้วจึงเก็บเข้าซองเหมือนเดิม 

“เอาไว้ส่งทีหลัง เผื่อมันไม่ตาย เก็บไว้ล่ะ” ผมพูด

“ครับนาย” ไอ้รุ่งรับซองคืนไป

“แต่นายครับ...” อีกฝ่ายเปิดปากด้วยน้ำเสียงลังเลทำให้ผมช้อนตาขึ้นมอง 

“เราจะเชื่อคำพูดมันได้เหรอครับ”

“หึ กูไม่เคยให้เกียรติมันขนาดนั้นอยู่แล้ว” ผมแสยะปาก  มองหน้าไอ้รุ่งที่ดูเป็นกังวล 
 
“กูเชื่อพายุ”

   ..
เวลาดำเนินไปพร้อมกับการเคลื่อนย้ายตามแผนที่กำหนดไว้  สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงทำให้ยากที่จะได้รับการติดต่อจากแต่ละฝ่ายเพื่อรายงานความคืบหน้า  สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ

จุดหมายปลายทางที่ถูกนัดหมายไว้ตอนนี้ขับมาได้ครึ่งทางแล้ว  ระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงราชบุรีไม่ใช่ระยะทางที่ไกล  แต่ก็นานพอให้สมองได้คิดทบทวนเรื่องราวมากมายในอดีต  ปฏิเสธไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วมีความกังวลผุดขึ้นมา...

เส้นทางที่ถูกเรียกให้ใช้เป็นเส้นทางออกนอกเมือง  กำชับว่าห้ามใช้เส้นหลัก  พระอาทิตย์ตกลง  ทำให้ที่บังแดดด้านหน้าไม่จำเป็นอีกต่อไป  ความเร็วของรถค่อย ๆ ชะลอเมื่อเห็นตัวเลขบอกเวลา  อีก 20 กิโลเมตรจะถึงที่หมาย  แต่นั่นไม่ใช่เวลาที่ผมต้องการ  พวงมาลัยรถถูกเลี้ยวซ้ายหักเข้าไปยังถนนเล็ก ๆ เส้นหนึ่ง  ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าที่นั่นคือที่ไหน  เมื่อหาที่จอดได้ปลอดภัยจากถนนใหญ่แล้วจึงดับเครื่องลง

“ครับ” ปลายสายกดรับ

“รถของเชอร์รีมาถึงรึยัง” ผมถาม

“ยังเลยครับ คนของเราบอกว่าน่าจะอีกประมาณไม่เกินสิบห้านาที” พี่ธานตอบ 

“แต่เมื่อสิบนาทีก่อนหน้าที่คุณจะโทรมา มีรถยนต์ขับเข้าไปครับ ผมไม่แน่ใจว่ารถอะไร ไม่ได้อยู่ในข้อมูลที่เรามี สัญญาณที่เฮียชาให้มาก็ไม่ได้ไปในจุดที่คุณพายุบอกด้วยครับ” พี่ธานพูด ก่อนที่เราต่างฝ่ายต่างก็เงียบลง

“เปลี่ยนแผนไหมครับ” อีกฝ่ายถามด้วยโทนเสียงหนักแน่น  คล้ายบอกเป็นนัยว่าไม่ว่าทางไหนก็จะทำตามคำสั่ง  ผมเงียบลงครู่ใหญ่ในขณะที่ปลายสายเองก็ไม่เร่งเอาความ 

“ไม่ครับ” ผมตอบออกไป 

“ครับ” พี่ธานขานรับ  โทรศัพท์ตัดสายไปก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง  ลมหายใจถูกสูดเข้าลึกและปลดปล่อยออกมาขณะก้มใบหน้า  เป็นเสียงเดียวที่ได้ยินภายในรถคันนี้  บรรยากาศรอบตัวรถมืดสนิท  ภายในรถก็ด้วย   

สายสุดท้ายที่ได้รับการติดต่อจากเชอร์รีคือก่อนที่เธอและพวกจะแฝงตัวเข้าไปในสถานที่ของไอ้กริด  ซึ่งเป็นจุดที่มันจะใช้เคลื่อนย้ายสินค้าจากในเมือง  หนึ่งในนั้นคือผู้หญิง  สิ่งเดียวที่ได้รับการบอกกล่าวเพื่อให้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าคือ “ฉันไม่คิดว่าจะติดต่อคุณได้อีก” 

ไม่มีสายใดติดต่อกลับมาอีกเลยหลังจากนั้น  ซึ่งทางเราเองก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปเช่นกัน  ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะไม่มีการติดต่อไปจากพวกผม  เพื่อความปลอดภัยของพวกเธอ...

รถยนต์ออกเดินทางอีกครั้งหลังจากที่ได้รับสายยืนยันแล้วว่าขบวนสินค้าซึ่งน่าจะเป็นคันที่เชอร์รีแฝงตัวอยู่ได้ขับเข้าไปยังสถานที่ถ่ายเท  ระยะทางและเวลาได้ถูกกำหนดไว้แล้ว  เส้นทางเปลี่ยว  ไร้ซึ่งหมู่บ้านและผู้คน  ถนนเส้นเล็กตัดจากถนนใหญ่ถูกเลี้ยวขับเข้ามาไกลเกินกว่าสิบกิโลเมตร  ยิ่งขับเข้าไปลึกมากเท่าไหร่  ความสว่างก็ริบหรี่ลงมากเท่านั้น  มีแต่เพียงแสงไฟจากไฟหน้ารถที่ช่วยให้ความสว่างในระยะใกล้ได้ 
 

จุดหมายที่ถูกนัดพบ  เป็นคนละจุดกับที่เชอร์รีกำลังไปถึง...

เครื่องยนต์ถูกดับสนิท  ไฟหน้ารถหรี่ระดับลง  ผู้คนด้านนอกที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วตื่นตัวในทันทีที่เห็นผมมาถึง  แสงไฟจากตัวรถของทั้งสองฝั่งสาดส่อง  ไอ้กริดดับมวนบุหรี่ที่ตนสูบอยู่  หันตัวมาเผชิญหน้าพลางล้วงกระเป๋ากางเกงมองมายังผมที่นั่งอยู่ภายใน   

ขณะที่เปิดประตูรถออก  อาศัยจังหวะนี้และประโยชน์ของความมืดทิ้งเครื่องมือเดียวที่มี  สิ่งที่นำไว้ติดต่อสื่อสารถูกทิ้งลงพื้น  ไม่ทันให้ใครได้สังเกตเห็น  รถยนต์ของทางฝั่งไอ้กริดมีทั้งหมดสี่คัน  คนของมันเดินตรงมายังผมในทันทีที่ผมเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว  ร่างกายถูกตรวจอาวุธหัวจรดเท้า 

“ทำไม กลัวเหรอ” ผมยิ้มถาม  มองหน้าคนเป็นนาย


เพียะ !!!

“หึ..” ฝ่ายที่เพิ่งปล่อยฝ่ามือฟาดลงมาที่ใบหน้าผมเต็มแรงแสยะหัวเราะในลำคออย่างพอใจ  ผมขยับกรามเล็กน้อย  ไม่ตอบโต้ใด ๆ กลับไป

“ค้นรถมัน” ไอ้กริดสั่งเสียงเรียบ
 
“ครับ” พวกของมันขานรับ  รถยนต์ที่ขับมาถูกค้นจนทั่วภายในเวลาไม่ถึงนาที

“คุณกริดครับ ไม่มีอะไรเลยครับ !”

“มึงกวนตีนกูเหรอไอ้ไฟ ของกูอยู่ไหน ?!” อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นก็ปรี่เข้ามาคว้าคอเสื้อผมไปด้วยความโมโห

“พายุอยู่ไหน” ผมถาม

“หึ..” ไอ้กริดพ่นหัวเราะ 

“น้องมึงปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วง”

“รู้ไหมก่อนกูมานี่ คนของกูบอกกูว่ายังไง..” ผมเลิกคิ้ว  อีกฝ่ายนิ่งมองไม่กะพริบตา

“คนอัปรีย์อย่างมึง คำพูดเชื่อถือไม่ได้” ผมยิ้มบอกพร้อมแปลความหมายที่แท้จริงของไอ้รุ่งให้เรียบร้อย

“ไอ้เหี้ยไฟ..” คนตรงหน้าบดฟันแน่น  คอเสื้อถูกรั้งไปหนักขึ้นกว่าเดิม

“เอาของกูมาดี ๆ เราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยกันด้วย” 

“........” ดวงตาของไอ้กริดเบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ผมเมินเฉย  รอยยิ้มของมันที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไป  ความเงียบก่อตัวขึ้นระหว่างเราสองคน

“มึงทำธุรกิจกูเสียหายเป็นร้อยล้าน มึงคิดว่ามึงจะได้ออกไปง่าย ๆ เหรอไอ้ระยำเอ๊ย หึ ๆ ๆ” โทนเสียงเยือกเย็นที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นนั้นพ่นหัวเราะ  ร่างกายของผมขยับเข้าใกล้  ไอ้กริดยืนนิ่ง  มองผมที่ยื่นใบหน้าเข้าไปจนแก้มของเราประชิดกัน...

“มึงนี่มันโง่จริง ๆ ด้วย” ผมกระซิบบอกก่อนจะขยับใบหน้าออกมาเผชิญตรง ๆ 

ผลัวะ !!!

หมัดชกสวนเข้ามาทันที ทำเอาผมหน้าหันไปตามแรง  แต่อย่างนั้นร่างกายยังมั่นคงอยู่  เมื่อคนตรงหน้าเห็นว่าผมไม่เป็นไปดั่งใจจึงตรงเข้ามาซ้ำอีกหลายหมัดไม่เว้นช่วง  ครั้งนี้ร่างกายเซล้มลง   

“มึงนี่มันวอนจริง ๆ” คนที่ยืนอยู่พึมพำบ่นพลางเหยียบเท้าลงมาที่กลางอกของผมที่นอนอยู่   

“ของกูอยู่ไหนไอ้เหี้ยไฟฟฟฟ !!!” ไอ้กริดตะคอก  ฝ่าเท้ากดน้ำหนักแรงขึ้นกว่าเดิมจนร่างกายรู้สึกอึดอัด

“ไอ้เชี่ยนี่ มึงคิดว่ามึงมารับน้องหลังเลิกเรียนรึไง ฮะ ?! ไอ้สัส ! ถ้ากูไม่ได้ของของกูคืน มึงก็อย่าหวังจะได้เห็นน้องมึงอีก” สิ้นเสียงนั้น  หน้าแข้งที่ง้างขึ้นทำให้สายตาปะทะกับแสงไฟจากหน้ารถยนต์จนสายตาไม่สามารถปรับการมองเห็นได้ทัน  ลำตัวถูกกระหน่ำเตะเข้ามาไม่ยั้งคล้ายใช้เป็นเครื่องระบายอารมณ์ 

“หึ..” ผมพ่นหัวเราะ  ใบหน้าซุกเข้ากับพื้นหญ้า  รับรู้ได้ถึงความจุกแน่นที่อยู่ภายใน 

“แคก ๆ ๆ”

“ไอ้ไฟ กูจะบอกอะไรมึงให้..” ไอ้กริดก้มมากระซิบ  ใช้เท้าถีบลำตัวผมให้พลิกมานอนหงายเพื่อเผชิญหน้ากับมันที่ยืนอยู่

“บอกให้ลูกน้องที่แสนดีของมึงเอาของมาคืนให้กูเดี๋ยวนี้ เพราะน้องมึงน่ะ ไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่แล้ว” คนตรงหน้าค่อย ๆ ก้มตัวเข้ามาใกล้  ใบหน้าที่มีแต่ความน่าขยะแขยงนั้นแม้แต่ในความมืดนี้ก็มองเห็นได้ชัดเจน  ถึงแม้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะกินเวลาไม่มาก  แต่ทุกนาทีกลับผ่านไปเนินช้าในความรู้สึก  ช้าจนอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่ผู้พูดพูดอยู่ตรงหน้านี้อาจเป็นความจริงไปแล้ว... 

“หึ แต่มึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ลูกค้าร้านกูมีแต่หมาล่าเนื้อกระเป๋าหนัก น้องมึงน่าล่อขนาดนั้น ขายได้ราคาดีแน่นอน !” ไอ้กริดแสยะยิ้ม

“แต่กูเปลี่ยนใจได้ตลอดแหละ ไง ไอ้พี่ชาย.. มึงควรจะทำอะไรสักอย่างก่อนที่น้องมึงจะมีผัวไปทั่วเมืองดีไหม”   

“ฮิ ๆ ๆ ๆ” ผมหลุดหัวเราะที่ได้ยิน  ลืมตาขึ้นมองเพื่อตั้งใจเก็บใบหน้าของอีกฝ่ายให้เต็มตา 

“นั่นคือสิ่งที่กูอยากได้ยินล่ะ” ผมพูดตอบ

“........” ไอ้กริดชะงักไป  จ้องมองผมไม่กะพริบตาด้วยความงงงวย 


ปัง !!!!


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2021 16:11:31 โดย เบบี้ »

ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

“เหี้ยอะไรวะ ?!” คนของไอ้กริดต่างสบถ  พากันเงยหน้าขึ้นมองไปตามเสียง  ซึ่งนั่นดังขึ้นจากทางทิศตะวันตก  จุดซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าของไอ้กริด

“คุณกริดครับ” ลูกน้องของไอ้กริดตะโกนเรียก  ผมค่อย ๆ กวาดตามองอย่างระมัดระวัง  เก็บรายละเอียดรอบตัวทั้งหมดในความมืดสลัวนี้

“คนของเราโทรมาบอกว่าผู้หญิงหลุดออกไปครับ แล้วก็.. เอ่อ..” มันรายงานหน้าถอดสี 

“แล้วเหี้ยอะไรเล่า !” ไอ้กริดตวาด

“ลูกค้าโทรมาบอกว่า ลอตที่สองยังไม่ถึงเลยครับ”

“หมายความว่ายังไง..” คนเป็นนายเสียงสั่น  ไม่ทันให้พวกมันได้ตั้งสติต่อสิ่งที่เกิดขึ้น  ผมใช้จังหวะนี้ดีดร่างกายตัวเองขึ้นด้วยความรวดเร็วพร้อมพุ่งเข้าชาร์จไอ้กริดที่อยู่ใกล้ที่สุด  คนของมันที่มีอาวุธครบมือยกอาวุธขึ้น  แต่แล้วกลับต้องชะงักไปเมื่อผมเลือกที่จะล็อกร่างกายของไอ้กริดไว้เป็นเกราะกำบัง

ผมค่อย ๆ ก้าวขาถอยหลังกลับมาที่รถโดยมีไอ้กริดพ่วงมาด้วย  ประตูฝั่งคนขับเปิดออก  เมื่อเปิดประตูจนแน่ใจแล้วว่าตนเองจะอยู่ในมุมที่ค่อนข้างปลอดภัยจึงผลักตัวไอ้กริดไปแล้วก้มลงเก็บของที่ทิ้งไว้ก่อนหน้านี้พร้อมกระโจนขึ้นรถในทันที  รถยนต์เคลื่อนถอยหลังด้วยความเร็วสูง  เสียงกระจกกันกระสุนรอบตัวรถถูกกระทบด้วยกระสุนปืนที่กระหน่ำยิงเข้ามาไม่เว้นช่วง   

“พี่ธาน เกิดอะไรขึ้น” ผมเสียบหูฟังกลับ

“คุณไฟครับ นั่นไม่ใช่เชอร์รี” พี่ธานรายงานกลับทันที  ผมพอทราบอยู่แล้วว่านั่นไม่ใช่

“ดูเหมือนจะไม่ใช่คนของไอ้กริดด้วยครับ”

“ผมจะเข้าไปเลย” ผมพูด

“คุณไฟครับ ผมอยากให้รอเชอร์..”

“ผมจะเข้าไป !” ผมตะคอก

“........” ปลายสายเงียบลงไม่ตอบโต้กลับ  พอตั้งสติได้จึงเลือกที่จะระงับอารมณ์ตัวเองด้วยการไม่พูดต่ออยู่เสี้ยววินาที  ขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นฟ้า

ฟิ้วววววว !!!!

นั่นคือ สัญญาณจากเชอร์รี..

“ระวังตัวด้วยนะครับ” พี่ธานพูดบอกด้วยโทนเสียงทุ้มต่ำลง
สิ่งที่เกิดขึ้น  ถึงแม้จะอยู่ในกรณีที่คาดเดาไว้ว่าแย่ที่สุด  ถึงแม้จะเผื่อใจและวางแผนไว้แล้ว  แต่ใจหนึ่งต่างก็หวังลึก ๆ ว่าไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเลย  และถึงแม้ว่าสิ่งที่ไอ้กริดพูดจะมีเปอร์เซ็นต์ที่เป็นไปได้สูง  แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่จะเลือกเดินตามความเชื่อใจที่มี


รถยนต์ถูกไล่บี้ตามมาติด ๆ  เส้นทางเป็นไปอย่างทุลักทุเลท่ามกลางความเปลี่ยวที่ลึกเข้าไป  ไร้แสงสว่างรอบบริเวณ  สิ่งเดียวที่ช่วยได้คงมีแต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอด  ความเร็วของเครื่องยนต์ทำให้ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็พบกับแสงสว่าง  ประตูทางเข้าไปยังจุดหมายปลายทางนั้นถูกกั้นด้วยไม้กระดกเก่า ๆ  คนคุ้มกันที่ประจำอยู่หน้าประตูรั้วกระจายตัวออกคนละทิศทางเมื่อเห็นว่ามีรถยนต์หลายคันขับมาด้วยความเร็วสูง  และไม่มีทีท่าว่าจะชะลอความเร็วลง 


โครมมมม !!!!

ไม้กระดกถูกรถคันของผมพุ่งชนจนชิ้นส่วนแตกกระจาย  พื้นที่แห่งนี้คือโรงเรียนร้าง  แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตภายใน  ทั้งยังถูกถางหญ้าจนกว้างพอให้รถบรรทุกและรถกระบะจอดเรียงรายอยู่นับสิบคัน 

เสียงกรีดร้องของผู้คนและเกิดการยิงต่อสู้ดังมาจากอาคารฝั่งหนึ่งของโรงเรียน  ขณะเดียวกันพี่ธานก็สวนแทรกเข้ามาเพื่อบอกพิกัดที่คาดว่าเป็นจุดเดียวกับที่ได้รับสัญญาณจากเชอร์รี  รถยนต์ขับสวนเข้าและออกจนดูวุ่นวายผิดปกติ  รถตู้หลายคันที่กำลังจะเคลื่อนที่ออกจากบริเวณนี้หยุดจอดกลางทาง  ผู้หญิงวิ่งลงจากรถตู้แตกฮือไปคนละทิศ  เสียงปืนดังขึ้นหลายนัด  คนขับทั้งหมดถูกยิงเสียชีวิต

“ของหลุด !!!”

“สินค้าหลุด !!!!!”


ผมเงยหน้าขึ้นมองไปยังชายคนหนึ่งที่ตะโกนลงมาจากอาคารเรียนชั้น 3  รถยนต์ของผมพุ่งเข้าไปในบริเวณลานกว้างหน้าอาคาร  ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปตัวยู  ก่อนจะกลับรถ  นำส่วนท้ายพุ่งไปยังมุมสุดของอาคารเรียน  จอดเทียบกับทางขึ้นบันไดพอดี  สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันช่วยให้เราเคลื่อนไหวได้อย่างไม่เป็นจุดสนใจมากนัก  หรืออาจเป็นกรณีที่แย่กว่าเดิม  แต่อย่างน้อยก็ทำให้ไอ้กริดและคนของมันที่ติดตามมาคลาดจากผมไปได้ระยะหนึ่ง

“ผมจะออก”

“ครับ” ปลายสายขานรับ  เตรียมพร้อมเพื่อคุ้มกันผมที่ไม่มีอาวุธติดตัวจากระยะไกล  บริเวณโดยรอบถูกสังเกตอย่างระมัดระวังอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูรถออกแล้ววิ่งเข้าไปยังจุดที่จะทำให้ไปในตัวอาคารได้อย่างรวดเร็วที่สุด 

เสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัดไล่หลัง.. อาคารเรียนซึ่งเป็นลักษณะรูปตัวยู  สูงสี่ชั้น  มีบันไดทางขึ้นลงทั้งหมดสี่จุด  ตามข้อมูลแล้วไม่มีทางหนีไฟ  ความใหญ่ของตัวอาคารยืนยันข้อมูลที่ทราบมาได้ว่าเคยเป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างมีชื่อในละแวกนี้

“ใครปล่อยสินค้าวะไอ้เหี้ยยยย !!!”

ใครสักคนตะโกนลั่นด้วยความโมโห  เมื่อหันไปมองก็พบว่ามันตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ลานจอดรถด้านล่าง  แต่น่าแปลกที่อีกฝั่งหนึ่งยังคงขนย้ายลังคล้ายบรรจุของบางอย่างขึ้นรถสิบล้ออย่างต่อเนื่อง  เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ทันทีนั้น ฝ่ายที่เพิ่งตะโกนอยู่ริมระเบียงก็ถูกยิงสวนขึ้นมาจนร่างร่วงลงพื้น  เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้งใหญ่  ผมหันกลับไป  เห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูกันออกมาจากชั้นเดียวกันทางฝั่งขวามือ


ปัง !!!!

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด !!!”

“หมอบลง ! ใครหนีกูฆ่าทิ้งเหมือนอีนี่ !!!” ทันทีที่ชายคนหนึ่งออกคำสั่งพร้อมกับการเชือดไก่ให้ลิงดู  ผู้หญิงทั้งหมดก็พากันหมอบลงด้วยความหวาดกลัวอย่างว่าง่าย  ทำให้ชายเจ้าของคำสั่งที่ยืนจังก้าอยู่นั้นเผชิญหน้ากับผมที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของระเบียง  เราสบตากันโดยไม่มีใครพูดอะไรก่อนที่กระบอกปืนในมือค่อย ๆ เหเป้าหมายมาทางผมซึ่งไม่คิดที่จะขยับร่างกาย

“มึงเป็น..”     


ฟิ้วววววววว !!!!

ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้พูดจบ  กระสุนจากสไนเปอร์ก็เจาะเข้าที่ขมับทำเอาร่างนั้นกระเด็นล้มลงโดยทันที  พวกผู้หญิงที่นั่งคุดคู้อยู่ร้องโฮออกมา  เมื่อพวกเธอหันไปเห็นว่าชายคนดังกล่าวได้กลายเป็นศพไปแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองมาทางผม  ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา 

“ออกไปด้านหลัง” ผมพูดบอก
 
“อึก...” พวกเธอเงียบเสียงลง มองผมด้วยสายตาสับสน

“ไป” ผมย้ำพูดเสียงเรียบ  ทั้งหมดพากันลุกขึ้น  วิ่งหนีเอาชีวิตรอดอีกครั้ง  กลุ่มผู้หญิงวิ่งกรูผ่านผมที่เดินสวนตรงไปยังร่างกายที่ไร้ลมหายใจ  ก่อนก้มลงหยิบกระบอกปืนของมันขึ้นมา  ทันทีนั้น เสียงปืนก็ดังขึ้นหลายนัดติดต่อกัน  เกิดการยิงปะทะอย่างดุเดือดอีกครั้งที่ลานสินค้าด้านล่าง  ในขณะที่รถยนต์หลายคันขับพุ่งเข้ามา  นั่นเป็นคนของผม

“กรี๊ดดดดดดดดดด !!!”

ผมหันขวับไปตามเสียงกรีดร้องนั้นที่ดังมาจากห้องเรียนฝั่งด้านซ้ายมือในชั้นเดียวกัน  ถึงแม้ในความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้จะมีแต่เสียงที่จับใจความไม่ได้  แต่การกรีดร้องนั้นฟังดูผิดแปลกไปจากเสียงร้องด้วยความตกใจทั่วไป  ขาของผมเร็วกว่าความคิด  ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้นอกจากไปยังจุดที่เสี่ยงที่สุด  แต่ยังไม่ทันถึงห้องดังกล่าว  ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมา  กระบอกปืนเล็งมายังผู้หญิงหลายคนที่เพิ่งวิ่งกรูออกจากห้องนั้น  ร่างที่ถูกยิงจากด้านหลังทำให้พวกเธอหน้าคว่ำล้มลงในทันที 


ปัง ! ปัง !!

ฝ่ายที่เพิ่งสังเกตเห็นผมถูกยิงสวนร่างล้มลงคาที่ตามผู้หญิงเหล่านั้นไปเช่นกัน  เสียงกรีดร้องดังอย่างต่อเนื่อง  ทันทีที่เดินเข้าไปถึงจุดที่ต้องการ  สิ่งแรกที่เห็นทำให้ฝีเท้าชะงักเล็กน้อย  ชะเอมเงยหน้าขึ้น  ในมือกำมีดซึ่งปักอยู่ที่ต้นคอของชายซึ่งคร่อมตัวเชอร์รีที่นอนอยู่ 

“คุณไฟ...” รูปปากของชะเอมพึมพำ  ดวงตาว่างเปล่า  ใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผล  เธอผละมือออกจากมีดนั้นคล้ายหมดแรง  ร่างกายของชายที่ถูกฆ่าค่อย ๆ เซล้มลง

“เจ๊..” ชะเอมเรียกด้วยสีหน้าซีดเผือด  ผมตรงเข้าไป นั่งลงเสมอเธอ

“........” อีกฝ่ายไม่ตอบ  พยายามตั้งสติลืมตาขึ้นมองมา

“ฉัน.. ไม่เป็นไร” เชอร์รีเอ่ยพูดเสียงเบา

“บอกทางให้พวกเธอออกไป ไอ้เด่นมาแล้ว” ผมมองหน้าชะเอมพร้อมยื่นกระบอกปืนไปให้  เธอพยักหน้ารับ  รับปืนแล้วลุกไปในทันที 

“คุณ.. พายุ” เชอร์รีพึมพำ  มือที่วางอย่างไร้เรี่ยวแรงบนพื้นชี้ไปอีกทาง  ผมหันหลังกลับไปตามสายตาของเธอ  ร่างคุ้นตาที่นอนอยู่ทำให้แทบจะกระโจนเข้าหา  ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่เฝ้าอยู่ใกล้ ๆ พากันผละตัวออกจากมันโดยทันที  สีหน้าหวาดกลัวต่อการมาของผม

“พวกเราไม่ได้ทำนะ” หนึ่งในนั้นพูดบอกอย่างร้อนรน

“หนีไปซะ” ผมพูดเสียงเรียบ  สายตาไม่ละไปจากพายุที่ไม่ได้สติ  พวกเธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง  แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพากันวิ่งออกจากห้องไปจนหมด 

“พายุ” ผมเรียก  นั่งลงข้าง ๆ พลางกวาดตามองร่างกายอย่างเก็บรายละเอียด  เปลือกตาของมันขยับขึ้นเล็กน้อย  แต่เป็นอาการสะลึมสะลือคล้ายยังไม่ได้สติ

“พายุ...” ผมย้ำเรียกอย่างใจเย็นอีกครั้ง  เขย่าตัวมันเบา ๆ เพื่อให้ได้สติ  ครั้งนี้เปลือกตาค่อย ๆ ลืมขึ้นมอง

“คุณไฟฟฟฟ !!!” เสียงเชอร์รีตะโกนลั่น  ทันทีที่ผมจะหันกลับไปมองเธอที่อยู่ด้านหลังก็พบกับไอ้กริดที่จ่อปืนมาจากทางประตู 


ปัง !!!!

ร่างกายหลบหลีกด้วยความเร็วของสัญชาตญาณ  เร็วพอให้กระสุนที่ควรจะโดนเข้าร่างกายจัง ๆ ถากต้นแขนไป 

“ทำไม น้องมึง...” ไอ้กริดตาเหลือกโต  มองมาที่พายุด้วยสีหน้าตกใจ  สมองไม่ทันต้องลำดับอะไร  รู้เพียงว่าหากไม่เอาตัวเองที่ไร้อาวุธนี้เข้าแลก  คนที่นอนไร้แรงป้องกันตัวเองอยู่นี้อาจเป็นเป้าได้

ทันทีที่พุ่งตัวเข้าล็อกแขนไอ้กริดขึ้นได้  กระบอกปืนในมือของมันถูกชูขึ้นเหนือหัว  นิ้วมือของเจ้าของปืนลั่นไกหลายนัดขึ้นเพดาน  ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความโกรธแค้น  ขาก้าวดันตัวของไอ้กริดจนแผ่นหลังกระแทกติดเข้ากับผนังห้องเรียน  ร่างกายที่เคลื่อนไหวรับรู้ได้ถึงกำลังของตัวเองที่เหนือกว่า  เพราะความโกรธจะทำให้ผมสูญเสียพลังงาน

ครู่เดียว.. ปืนที่อยู่ในมือก็กระเด็นหลุดออกจากเจ้าของไป

ผลัวะ ! ผลัวะ !! ผลัวะ !!!

ไอ้กริดเซล้มลงจากหมัดสุดท้าย  มันฉลาด  ตะเกียกตะกายไปทางปืนที่ตกอยู่บนพื้นทั้งอย่างนั้น  ผมตรงเข้าไปตะครุบตัวมันขึ้นมา  ไอ้กริดคำรามลั่น  ดีดตัวฮึดขึ้นสู้เมื่อได้โอกาสจนผมเซเสียหลัก  ใบหน้าถูกชกสวนทันทีที่ล้มลง  แต่อย่างนั้น ร่างกายที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไม่ได้ทำให้ส่งผลต่อผมเท่าไหร่นัก  หมัดสวนปล่อยกลับไป เน้นไปยังจุดที่จะทำให้ทรุดได้..


ผลัวะ !!!

ไอ้กริดฟุบลงตามที่คาด...

“ของ.. กู.. อยู่ไหน” ไอ้กริดที่พลิกตัวกลับมาพึมพำ  มองมาตาขวาง
 
“ของกูอยู่ไหนนนนนน !!!!”

“หึ.. หึ ๆ ๆ ๆ” ผมแสยะหัวเราะกับภาพตรงหน้า  เสียงหัวเราะจากผมทำให้อีกฝ่ายค่อย ๆ ได้สติขึ้นมา  ดวงตาข้างหนึ่งที่ไม่ถูกอาบด้วยเลือดเหมือนอีกข้างกำลังจ้องผมเอาเป็นเอาตาย

“กริด.. กูน่ะนะ.. ไม่ได้เอาไปแต่แรกแล้ว” ผมยื่นหน้าเข้าไปกระซิบ  กวาดตามองทุกอย่างบนใบหน้านั้นอย่างเหลือเชื่อ  อีกฝ่ายแน่นิ่ง  ดวงตาเบิกกว้างคล้ายไม่เข้าใจต่อสิ่งที่ได้ยิน

“ทำไมกูต้องเอาไปด้วย กูไม่มีที่เก็บของแบบนี้อย่างพวกมึงหรอก” ผมขยายความพลางเลิกคิ้ว  หย่อนเหยื่อให้ได้คิด
 
“เวลาที่กูบอกว่าไม่ได้เอาไป มันไม่ซับซ้อนหรอก”

“ต๊อก ~ ต๊อก ~ ต๊อก ~” ผมเดาะลิ้นเบา ๆ ก่อนเผยยิ้มฉีกกว้าง  คนตรงหน้าแน่นิ่งไปแล้ว   

“มึงทำเหี้ยอะไร..” เสียงของมันแผ่วเบาลง  ริมฝีปากสั่นไร้การควบคุม

“ทั้งคนของมึง ทั้งยาที่มึงให้ริศาเอามา กูมีวิธีส่งกลับเหมือนกัน พอดี.. คนที่บ้านไม่รู้วิธีใช้น่ะ” ผมขยายความด้วยสีหน้าหนักใจ

“หึ ! กูสมเพชจนทำอะไรมึงไม่ลงเลยว่ะ” ผมพ่นหัวเราะ  ลุกขึ้นซ้ำมันอีกครั้งก่อนตรงไปหยิบกระบอกปืนขึ้นมา  จ่อไปยังร่างของเจ้าของ  เจ้าตัวหน้าถอดสี  ร่างกายที่สะบักสะบอมนั้นพยายามเคลื่อนไหวหลีกหนีเอาชีวิตรอด 
 
“ยะ.. อย่า”

“ไอ้ไฟ !” เสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นด้วยความหนักแน่นคล้ายออกคำสั่ง

“........” ผมนิ่งเฉย  ไม่หันกลับไปมองตามเสียงนั้นจากคนที่เพิ่งมาถึง

“หยุดความคิดมึงเดี๋ยวนี้” พี่ทัพสั่ง  ค่อย ๆ ตรงไปยืนคั่นกลาง  นำตัวเองเป็นเกราะป้องกัน  ปากกระบอกปืนเหขึ้นตามความสูงของคนตรงหน้า

“กูจะลากมันเข้าคุก” อีกฝ่ายพูด

“ฮึ !!!” ผมพ่นหัวเราะ  พูดอะไรเป็นลิเก 

“เอาปืนออกจากหัวกู” พี่ทัพสั่งด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง  ผมเงียบ ไม่ลดปืนลง  เสียงจากภายนอกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายแต่สัญชาตญาณรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เพิ่งมาเยือน...


ปังงง !

ปัง ! ปัง !! ปัง !!!

“อ๊ากกกกกกกก !!!”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2021 18:30:23 โดย เบบี้ »

ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

เสี้ยววินาทีที่หางตาสังเกตเห็นคนลั่นไกเพื่อหมายเอาชีวิตใครสักคนในห้อง  ปืนที่จ่ออยู่ที่พี่ทัพซึ่งรอจังหวะอยู่ก่อนแล้วหันไปยังเป้าหมายโดยทันที  การยิงสวนจากผมทำให้กระสุนนั้นพลาดเป้า  จากที่ควรอยู่ในจุดสำคัญบนตัวไอ้กริด เปลี่ยนไปโดนต้นขาของมันแทน  เลือดไหลมากพอให้มันเสียสติ   

“ไอ้เหี้ยนี่ศัตรูเยอะฉิบหาย” ผมสบถบ่น  เมื่อแน่ใจว่าฝ่ายที่ลงมือเสียชีวิตคาที่จึงหันปืนกลับมาเล็งเข้าที่แขนไอ้กริด ไม่รีรอที่จะยิงซ้ำ 

“ไอ้ไฟฟฟฟฟ !!!” พี่ทัพหันมาตวาดพร้อมผลักผมออกด้วยความโมโห 

“มึงลากมันมา อย่าให้มันตายนะ” ผมถลึงตาพูดบอก  ผลักอกพี่ทัพกลับ  เสียงของไอ้กริดร้องลั่นด้วยความทรมาน

“อ๊ากกก ! ไอ้เหี้ยยยย ! ฮืออออ !!”

“พวกผมจะออก อยากตายอยู่นี่ก็เชิญ” ผมตัดบท  อารมณ์ขุ่นเคืองที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกลับไม่คงที่ลงโดยง่าย  ขณะเดียวกันก็เหลือบไปเห็นเชอร์รีวิ่งตรงไปหยิบปืนจากชายที่เพิ่งเสียชีวิตนั้นก่อนจะสบตามองมาทางผม  ผมพยักหน้า ส่งสัญญาณให้เธอ

ตัวพายุถูกยกขึ้น  มันเริ่มได้สติบ้างแล้วแต่เหมือนจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ด้านนอกยังคงต่อสู้กันอย่างต่อเนื่อง  ระเบียงอาคารเรียนซึ่งทำด้วยไม้เต็มไปด้วยช่องว่าง  ยากต่อการเคลื่อนที่และเป็นเป้าที่เสี่ยงเกินไปหากยืนขึ้น  ผมเกี่ยวลำตัวพายุขึ้นจากท่อนบนแล้วลากมันออกมาขณะที่คนของผมกระจายไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อช่วยป้องกัน   

ความเร็วในการเคลื่อนที่ถูกขับเคลื่อนด้วยกำลังทั้งหมดที่มี  หวังเพียงให้ร่างของคนที่อยู่ภายในอ้อมแขนนี้ไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัยอย่างเร็วที่สุด  กระสุนนัดหนึ่งสวนผ่านหน้าทะลุเข้ากำแพงอย่างโชคดี  แต่โชคไม่ดีนั้นกลับตกอยู่ที่เชอร์รีจนล้มลง  เพราะกระสุนนัดดังกล่าวเฉี่ยวลำขาของเธอก่อนที่จะผ่านหน้าผม  อีกฝ่ายไม่สนความเจ็บปวดนั้นที่ได้รับ  ยิงต่อสู้กลับทั้งท่านั่งอย่างนั้น  เสียงฝีเท้าวิ่งมาจากทางด้านหลัง  ถึงแม้จะปกปิดร่างกายแต่ก็ทราบดีว่านั่นเป็นพวกของเรา  ทันทีที่ได้รับการกำบังด้วยร่างใหญ่จากหลายคนจึงใช้จังหวะนี้ลุกขึ้นยืนแล้วลากพายุมายังมุมปลอดภัยด้วยความรวดเร็ว

“คุณพายุเป็นอะไรครับ” ไอ้รุ่งถาม  ผมไม่ตอบ  มองอาการของพายุที่พยายามลืมตาขึ้นมองมาทางพวกเรา 

“คุณพายุครับ” ไอ้หินเรียก     

“ยุ..” ผมเรียก  ตีแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ เรียกสติ

“อือ มาเร็วจัง” อีกฝ่ายพึมพำเสียงเบา  ดวงตาเบิกกว้างได้มากขึ้นกว่าเดิม

“หึ..” ผมหลุดยิ้ม  สบตาคนตรงหน้าที่จ้องมองผมก่อนขยับใบหน้ามองไปรอบ ๆ คล้ายรวบรวมสติที่มี  ผมไม่เปิดปากพูดแทรกกลับไป  นี่น่ะนะเร็ว ?

“ตำรวจคนนั้นล่ะ เขาช่วยยุไว้..”

“ใคร” ผมถามกลับ

“คนที่ ปากหมา ๆ” พายุตอบเสียงเครือ  ผมไม่ตอบ  สำรวจมองร่างกายของมันหัวจรดเท้าอย่างระมัดระวัง  หลังมือทั้งสองข้างถลอกและฟกช้ำอย่างหนักคล้ายการถูกทำร้าย 

“เฮีย เจ็บขา ยุ.. เจ็บขา” คนตรงหน้าเอ่ยบอกเสียงเบาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

“ข้างไหน” ผมถาม

“ซ้าย” มันตอบ  นอนแน่นิ่งไม่ขยับร่างกายเลยแม้แต่ส่วนเดียว 

“พวกมึงอยู่กับกู ให้พวกเชอร์รีออกก่อน รถพายุออกแล้วมึงค่อยตามไป” ผมสั่ง

“ครับ” พวกมันผงกหัวขานรับ

“เชอร์รี !” ผมหันกลับไปตะโกนเรียก  เจ้าของชื่อรีบวิ่งตรงมา  ย่อตัวลงนั่งเสมอผม  ทันทีที่พวกของเชอร์รีลดระดับหน้าที่ลงก็ถูกแทนด้วยพวกของไอ้เด่นที่เข้าประจำที่

“เฮีย..” พายุเรียก  มันไม่ยอมขยับตัวตามคนของผมที่เข้ามาเพื่อจะยกตัวมันไป  ซึ่งนั่นผิดปกติ  ความเงียบและสีหน้าลังเลปรากฎขึ้นจนทราบได้โดยทันทีว่ายังมีเรื่องที่บอกไม่หมด

“มีอะไร” ผมถามเสียงเรียบอย่างใจเย็น 

“ยุ.. ยุได้ของพวกมันมา” อีกฝ่ายเปิดปากพูดเสียงเบา

“ยุซ่อนไว้ที่ชั้นสี่ ห้องหกทับสี่ ผู้หญิงใส่รองเท้าส้นสูงสีแดงผมหน้าม้า อยู่ในรองเท้า”

“.......” ผมเงียบ  จ้องมองอีกฝ่ายไม่กะพริบ 

“พวกมันตามหากันให้ควั่กเลย เห็นว่าเป็นของสำคัญล่ะ” พายุขยายความ 

“อือ เดี๋ยวเฮียไปเอาเอง” ผมตัดบทด้วยการรับปากไป

“ไม่เอา” มันส่ายหัว

“แล้วมึงจะบอกทำไม” ผมดุกลับ

“ก็เวลาเฮียแทนตัวเองแบบนี้ แปลว่าเฮียโกรธยุอยู่..” มันตอบ  ใบหน้าปรากฎความสำนึกผิด

“หึ..” ผมหลุดยิ้ม  ก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณให้คนเอาตัวพายุไปได้  ไอ้รุ่งยื่นอาวุธมาให้ผมเผื่อไว้  เสียงของมันรายงานความเคลื่อนไหวจากฝั่งของเราผ่านเครื่องมือสื่อสาร  ทุกฝ่ายตรงเข้าประจำที่  เมื่อฝั่งตรงข้ามเห็นว่ามีการเคลื่อนไหว  รถยนต์ของพวกผมก็ถูกเป็นเป้าถล่มยิงทันที  พวกของเชอร์รีประกบพายุที่ถูกคนของผมอุ้มฝ่าความโกลาหลจนพาพายุขึ้นรถไปได้โดยปลอดภัย  รถยนต์ซึ่งมีไอ้เข้มอยู่ในนั้นถูกขับออกจากที่นี่โดยทันที  ไอ้เด่นจึงรีบวิ่งตรงมาเมื่อถึงเวลาที่ทีมของมันจะได้ออก

“รีบตามรถพายุไป กูมีของต้องไปเอา” ผมสั่งพร้อมยื่นกุญแจรถของตัวเองไปให้  หากยังรวมตัวกันแบบนี้  อาจทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง  อีกทั้ง.. พี่ทัพก็ยังอยู่

“ผมจะออกไปพร้อมนาย” ไอ้เด่นพูด

“รีบตามพายุไป” ผมย้ำ  จ้องมองออกคำสั่งอีกครั้ง  ต้องการแน่ใจว่ารถคันของพายุจะออกจากบริเวณนี้และถึงที่หมายโดยปลอดภัย 

“........” ไอ้เด่นไม่ตอบ  มันแน่นิ่งไปคล้ายลังเลที่จะปฏิบัติตาม 

“ทำตามที่สั่งจะตายรึไง ไป !!!” ผมตะคอก 

“ครับ” อีกฝ่ายขานรับเสียงเบา  ยอมวิ่งออกไปกับพวกในที่สุด  ทันทีที่พวกของไอ้เด่นขับรถพ้นไปจากจุดนี้ผมจึงรีบวิ่งตรงไปยังที่พายุบอก 


ชั้น 4 ห้อง 6/4 ..

สิ่งแรกที่ปะทะเข้าใบหน้าเมื่อเปิดประตูเข้าไป  คือกลิ่นเหม็นเน่าที่รับรู้ได้โดนสัญชาตญาณว่าสิ่งนั้นมาจากซากศพ  และภาพที่เห็นตรงหน้าคือร่างเสียชีวิตของผู้หญิงนับสิบคน  แปลกตรงที่ร่างของเธอเหล่านั้นอยู่ในชุดที่ดูดีทีเดียว 

ผมกวาดตามองหาลักษณะของผู้หญิงที่พายุบอกไว้  รองเท้าส้นสูงสีแดง  ผมหน้าม้ามีเพียงคนเดียวในนั้น  ผมเดินตรงไปยังศพของผู้หญิงคนดังกล่าว  ไม่รีรอที่จะถอดรองเท้าที่อัดแน่นด้วยเนื้อเท้าที่บวมคับจากร่างกายที่น่าจะเสียชีวิตมาได้พักหนึ่งแล้ว  ทันทีที่รองเท้าหลุดออกจากร่างกายนั้น  สิ่งของที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็หล่นลงมาด้วยเช่นกัน 

“คิดอยู่แล้วว่าของของผมหายไปไหน พวกคุณนี่ใช้ได้นะ น่ามาเอาดีทางนี้”

“........” ผมชะงัก  หันไปตามเสียงที่อยู่หน้าประตูห้อง  ชายที่ปรากฏตัวสวมผ้าปิดหน้า  แต่งตัวมิดชิดหัวจรดเท้า  ถึงแม้จะเห็นเพียงแค่ดวงตาแต่กลับทราบได้โดยทันทีว่านั่นเป็นใคร 

“หึ รออยู่เลย” ผมแสยะยิ้มอย่างพอใจ  ค่อย ๆ วางกระบอกปืนที่อยู่ในมือลงพื้น  การกระทำของผมถูกจดจ้องไม่กะพริบ  ภายใต้ผ้าปิดหน้านั้นกำลังเผยรอยยิ้มเย้ยหยันอยู่  สังเกตเห็นได้จากดวงตาของมันที่ขยับ 


ไอ้ตัวเหี้ย.. คิดว่าคราวนี้จะไม่ได้เจอแล้วซะอีก

“หึ..” สิ้นเสียงหัวเราะในลำคอของคนตรงหน้า  ร่างกายของเราก็ปะทะเข้าหากันอย่างไม่รีรอ  ปืนไม่ถูกหยิบนำมาใช้แก้ไขปัญหา  ต่างฝ่ายต่างจงใจให้เป็นอย่างนั้น  ตายเร็วเกินไป  แบบนั้นจะเป็นการตายที่ง่ายเกินไป

มีดสั้นถูกอีกฝ่ายหยิบออกมาเป็นเครื่องมือแทนที่  ก่อนถูกฟันเข้ามาแต่ไม่ได้รู้ถึงความเจ็บปวดในวินาทีนี้  ร่างกายเคลื่อนไหวชกตามจุดต่าง ๆ ของมันกลับ  เป็นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนความรู้สึกภายในพุ่งพล่านอย่างไม่เคยเป็นมานานแล้ว 


เคล้งงง !!!!

หมัดล่าสุดที่เสยเข้าปลายคางทำเอาอีกฝ่ายลงไปนอนกองกับพื้น  มีดที่อยู่ในมือหลุดออกไกลไปหลายเมตร..

“หึ ๆ ๆ ๆ” มันพ่นหัวเราะก่อนค่อย ๆ พลิกตัวขึ้นนอนหงาย  ส่งสายตาขึ้นมองมาจ้องผมไม่กะพริบ

“อา ~ คนใช้กล้ามเนื้อทุกวัน ร่างกายต่างกันจริง ๆ ด้วยสินะ” อีกฝ่ายพึมพำคล้ายคุยกับตัวเอง  บรรยากาศที่สงบลงนั้นเหมือนมันเองก็ไม่แยแสต่อความเป็นความตายที่อยู่ตรงหน้า 

“นี่ คุณไฟ.. คุณเลี้ยงน้องดีนะ”

“รู้ไหมคนของผมซ้อมน้องคุณยังไง หว่าาา ~ แต่แม่งโคตรอึดเลย ไม่ร้องสักคำ หึ ๆ ๆ” โทนเสียงของมันเอ่ยเล่าอย่างตื่นเต้น  ผมเงียบฟัง  ขาก้าวเดินตรงไปยังมีดของผู้พูดที่ตกอยู่บนพื้น

“น่าเสียดาย ตอนที่ของหาย ไอ้กริดกลัวจนเสียสติเลย หึ ๆ แทบเอาน้องคุณขึ้นหิ้งแน่ะ อา.. ไม่น่ามองการณ์ไกลเลย รู้งี้ฆ่าให้ตายซะก็ดี


ฉึกกกกก !!!!

“อึก ! ค.. คะ..”

“........” ผมจ้องมองดวงตาที่เหลือกโตคู่ตรงหน้า

“นั่นสิครับ น่าจะคิดอะไรให้รอบคอบกว่านี้นะครับ คุณตำรวจ” ผมพูดตอบ

“........” อีกฝ่ายตาเหลือกโตด้วยความตกใจ  ทันทีนั้น เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดจากมีดที่ถอนออก  ปลายมีดฟันไปตามจุดต่าง ๆ บนร่างกายไม่เว้นช่วง  ทุกจุดที่เป็นจุดเดียวกับร่างกายที่ได้เห็นจากพายุ  ต้องการให้เจ็บปวดระยะยาว  ต้องการให้เป็นความตายที่ทรมาน 

“อ๊ากกกกกกกกกก !!!! ฮะ.. คะ”

“คนอย่างมึง...” ผมบดฟันแน่น  ความอึดอัดภายในอกที่เกิดขึ้นรู้สึกร้อนเหมือนร่างกายจวนระเบิด  มีดถูกดึงออกก่อนวางลง  คว้าผ้าคลุมหน้าที่ปกปิดใบหน้านั้นออกทันที  หมัดซัดลงไปไม่กั้นอารมณ์ไว้อีก 

“คนอย่างมึง.. ไอ้.. เชี่ย...”


ผลัวะ ! ผลัวะ !! ผลัวะ ๆ ๆ ๆ !!!

“อะ อึก.. ฮือ ! แคก !!!” ร่างกายของมันแน่นิ่งไปครู่  สำลักเลือดนองเต็มพื้น  ผมมอง  นำมือขึ้นลูบศีรษะเพื่อควบคุมอารมณ์ที่ลมหายใจเริ่มรุนแรงผิดปกติ  ก่อนที่จะตั้งสติไม่ได้จึงคว้าคอเสื้อของมันขึ้นมา


บึ้มมมมม !!!!

เสียงคล้ายระเบิดดังก้องขึ้น  อาคารรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน  ผมหันขวับไปมองที่ด้านนอก  เห็นเปลวไฟก่อตัวขึ้นจากจุดหนึ่งตรงข้าม

“คุณไฟครับ ออกมาเดี๋ยวนี้ครับ” ปลายสายพูดสั่งด้วยโทนเสียงที่เริ่มเปลี่ยนไป

“ระเบิดดดดด !!!!” เสียงใครสักคนตะโกนลั่นจากด้านนอก

“ฮืออออ ! อ๊ากกกกกกก !!” คนที่อยู่เบื้องล่างตรงหน้า  จู่ ๆ ก็ร้องคำราม ตรงเข้ามาล็อกขาผมทั้งสองข้างแล้วพุ่งเข้าใส่  มันใช้จังหวะนี้หยิบปืนที่ตกอยู่  กึ่งเดินกึ่งวิ่งโซซัดโซเซออกไปในทันที  เลือดตามตัวหยดกระเซ็นไปตามทาง

“คุณไฟครับ ช่วยออกมาอยู่ในจุดที่ผมเห็นคุณได้เดี๋ยวนี้ครับ ไม่งั้นผมจะเข้าไป” พี่ธานพูด  โทนเสียงนั้นฟังดูก็รู้ว่าถูกกดลงเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเองอยู่  สถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็เป็นไปได้ที่จะทำให้ปลายสายต้องโกรธอย่างนั้น

“ฆ่ามันซะ” ผมพูด


ปังงงง !!!

เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดใกล้ ๆ  ผมที่กำลังก้มลงเก็บมีดขึ้นมาชะงัก  สัญชาตญาณรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นด้านนอก  เมื่อเดินออกไปก็พบไอ้เต้หยุดยืนอยู่ทางเดินที่ระเบียงฝั่งเดียวกัน  ระยะใกล้กับห้องเรียนที่ผมเพิ่งเดินออกมา  ส่วนฝ่ายที่เผชิญหน้าอยู่นั้นคือไอ้เวรที่เพิ่งเดินออกจากห้องไปก่อนหน้าเมื่อครู่นี้  ร่างของมันที่เกือบเอาตัวเองไม่รอดกับใบหน้าเละเทะเต็มไปด้วยเลือด  กลับมีแรงกอดไอ้กริดเอาไว้เป็นหลักป้องกันตัว

“วางปืนลงครับ อึก..” ไอ้เต้พูด  แผ่นหลังของมันที่ผมเห็นสั่นเทา  ความโกรธแค้นนั้นปกปิดไม่ได้ว่ามีความหวาดกลัวผสมอยู่  เพราะมือที่ถือปืนอยู่นั้นสั่นจนสังเกตเห็นได้

“ทำไมล่ะ หึ อยากยิงก็ยิงเลยซี่ ~” อีกฝ่ายหนึ่งเอ่ยตอบยิ้ม ๆ

“ผมบอกให้พี่วางปืนลง !!!” ไอ้เต้ตะคอก  แต่กลับไม่เกิดปฏิกิริยาหวาดกลัวใด ๆ ต่อคนตรงหน้า  มันสงบนิ่งทีเดียว

“มึงไม่กล้ายิงกูหรอกไอ้เต้ หึ ๆ ๆ กูช่วยมึงมาก็เยอะ มึงจำไม่ได้เหรอ ครั้งนี้มึงก็แค่หลับหูหลับตา..”

“พี่ผา..” ไอ้เต้สวนเรียก  เสียงที่ถูกกดให้เย็นลงทำให้ฝ่ายที่พูดอยู่ปิดปาก

“มันจบแล้วพี่ วางปืนลงเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นผมยิง” ไอ้เต้ยื่นคำขาด  กล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งแน่นขึ้นชัดเจน

“........” อีกฝ่ายมองตอบนิ่ง ๆ  เสี้ยววินาทีหนึ่งที่มันเผยปากผลิยิ้มน้อย ๆ  กระบอกปืนที่จ่อหัวไอ้กริดอยู่นั้นเปลี่ยนทิศทางมาที่ไอ้เต้โดยทันที 


ปัง !!!!

ปัง ๆ !!!!


กระสุนที่ยิงขึ้นนัดแรกซ้อนทับกันด้วยความเร็วกับกระสุนอีกนัดหนึ่ง  นัดแรกเกิดขึ้นแม่นพอ เจาะเข้าที่ขมับของตำรวจที่ชื่อผา  สองนัดติดที่สวนกลับมานั้นเร็วพอให้ร่างของไอ้เต้ได้รับบาดเจ็บจนล้มลง

“พี่ธานนนน !!!” ผมร้องลั่นทันทีที่เห็นไอ้กริดตรงเข้าไปเพื่อจะคว้าปืนที่หลุดออกจากตำรวจคนนั้นขึ้นมา  ด้วยวิถีกระสุนที่เจาะเข้าที่ตำรวจนายนั้นทำให้ทราบทันทีว่าไม่ได้ถูกยิงจากไอ้เต้  มีใครสักคนอยู่ในห้องเรียนซึ่งตรงกับตำแหน่งของไอ้กริด


ฟิ้ววววว !!!!

บึ้มมมมมม !!!!




...............(ไฟ)..............


ผู้เขียนกับตอนที่ 60:

ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เขียนมาถึงตอนนี้ 555++ 

หลายปีก่อนได้พยายามมองภาพของตอนประมาณ 55 เป็นต้นมาจนถึงตอนจบ  คิดไว้หลากหลายแบบ  การที่เขียนมาจนถึงตอนที่ 60 ได้  รู้สึกโล่งใจขึ้นหน่อย 555++ เพราะตอนนี้เป็นตอนที่ยากมากสำหรับผู้เขียน  เนื่องจากไม่เคยเขียนบู๊เท่าเรื่องนี้มาก่อน  มันบู๊จนเหนื่อย (ใจ)  และไอ้บู๊ ๆ นี้เองที่คิดอยู่ตลอดเลยว่าปรับตรงไหนที่จะทำให้คนอ่านเห็นภาพมากที่สุด  เคยคิดกังวลไปต่าง ๆ นานาว่ามันจะดีไหมนะ โอเครึยัง  เส้นเรื่องที่วางไว้ถูกตั้งคำถามมากมายจนไม่กล้าเขียนอยู่พักหนึ่ง  แต่ก็ตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องจบเรื่องนี้ให้ได้  ตอนที่เขียนตอนนี้เสร็จครั้งแรกก็เริ่มมีกำลังใจขึ้นมา  แต่ก็ไม่พอใจซะทีเดียว เลยเขียนใหม่อยู่หลายครั้งและเสร็จตามที่ได้อ่านกันไป (อยากเสร็จภายในปีนี้ 555) อย่างไรก็หวังว่าคนอ่านจะชอบกันนะคะ :)
 
ตอนหน้าเป็นตอนจบแล้วค่ะ .. หลังจากลงตอนจบเสร็จจะขอย้ายไปที่ห้องนิยายจบแล้ว  ขอบคุณมากค่ะที่ติดตามมาอย่างยาวนาน  ส่วนข้อมูลข้างล่างเป็นการประกาศซ้ำเผื่อสำหรับคนอ่านที่ยังไม่ทราบอีกครั้งนะคะ

.
.

ประกาศเรื่องเดิม

1. วันที่ 10 พ.ค 64: โพสต์ของตอนที่ 56 หน้า 78  ได้แปะลิงก์สำหรับการตอบคำถามและแจ้งข้อมูลที่ผู้เขียนเคยได้รับเกี่ยวกับนิยายเรื่อง The Real Me อย่าท้าให้บ้ารัก  คนอ่านท่านใดมีข้อสงสัยอะไร  รบกวนอ่านที่โพสต์แจ้งดังกล่าวก่อนได้  เผื่อว่าข้อมูลที่คุณสงสัยนั้นอาจมีตรงตามที่ทางเราได้ตอบให้แล้วนะคะ

2. วันที่ 1 ต.ค 64: โพสต์ของตอนที่ 59  หน้า 81  ได้แปะลิงก์แบบสอบถามเพื่อขอข้อมูลจากคนอ่านเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้  ซึ่งเดิมทีจะปิดรับวันที่ 31 ธันวาคม 64  แต่อาจต้องเลื่อนวันปิดรับเร็วขึ้น  ดังนี้ ถ้าได้ลงตอนจบ (ตอนที่ 61) ก่อนปีใหม่จะทำการแจ้งวันปิดรับอีกทีหนึ่งนะคะ

ขอบคุณค่ะ
| เบบี้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-11-2021 11:40:46 โดย เบบี้ »

ออฟไลน์ THE MIN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
ลุ้นตัวโก่งเลยคณาบบบบ

รักพี่บี้

พูดเลยว่าหลังสมุทรตื่นคือออออออออออ :fire:

ออฟไลน์ pwaruntorn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตอนนี้เห็นภาพค่ะ
จะจบแล้วเหรอคะ ทำไมรู้สึกเคว้ง เบาๆ หวิวๆ กับคำว่าตอนจบมากเลย... รักเรื่องนี้ค่ะ รักไฟมาก
รักเบี้มากกว่า รอและติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
ดุเดือนเลือดสาดของจริง ว่าแล้วคนเบื้องหลังไม่ใช่ใครตำรวจนี่เองสินะ
ทั้งๆที่รู้มาตลอด คนชื่อผาสินะ ไม่รอดหรอกคนผิดต้องได้รับโทษ
ใครยิงตำรวจคนนั้นถ้ามใช่คนที่พี่ไฟเจอมา พี่ทัพรึป่าว? 
หวังว่าไม่มีใครเป็นอะไร อยากให้ทุกคนปลอดภัย ช่วยคนของเราออกมาให้หมดแล้วเผาพวกมันให้สิ้นซากไปค่ะพี่ไฟ
ปล.สมุทรไม่งอนนะฉากบู๊ไม่มีเธอ ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำสมุทรต้องเข้าใจพี่ไฟด้วย
แค่เขาอยู่ด้วยกันนี่ก็ชอบมากไม่จำเป็นต้องพูดเลย เพราะเขาแสดงออกทางสายตาแหละ อิอิอิ
อ่านเท่าไรก็ไม่เคยพอจริงนะ ผูกพันธ์กันมานาน จะจบแล้วใจหายนะเอาจริง
ขอบคุณเบบี้นะคะ ดูแลสุขภาพด้วยค่ะ

ออฟไลน์ punthipha

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-0
ต้องอ่านทุกคำนะ เหมือนได้สิงในตัวไฟ อารมณ์มันไ้ด้เลย

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
มึนไปหมด แต่ดีใจทุกครั้งที่ได้อ่าน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Pam_ban

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1086
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +109/-2
ยิงกันเลือดสาดมากตอนนี้  ขอบคุณที่พายุไม่เป็นอะไร   :กอด1:  ต้องรอลุ้นอะไรอีกมั้ยรู้สึกเหมือนอยู่ในสมรภูมิรบตลอดเวลา  :katai1:


รอตอนต่อไปค่ะ  ขอตอนพิเศษเยอะแยะ ๆ  :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ Sarocha45377

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :hao5: จะจบแล้วหรอเร็วจัง ขอให้เค้าได้กันก่อนจะจบด้วยนะคะพี่เบบี้ ลุ้นรอ NC ของทั้ง2คนนี้อยู่ค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะพี่เบบี้สู้ๆ :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ pwaruntorn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

“ไม่ว่าจะอยู่ข้างฉันในฐานะไหน ทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเองไม่ใช่เหรอสมุทร”

อ่านตอนนี้รอบ 2 ทำให้ต้องหาเวลา
ย้อนอ่านทั้หมดอีกรอบ
ด้วยความสงสัยที่ว่า
คุณไฟขา เรียกชื่อสมุทร กี่ครั้งในเรื่องนี้
 :a5:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
อ่านย้อนตั้งแต่แรกเพื่อลำดับเรื่องราวทั้งหมด ผ่านมานานเหมือนกันแต่อ่านเท่าไรก็ไม่เคยพอจริงๆค่ะ
ฉากต่อยมวย หรือแม้แต่บู้เลือดสาดเบบี้แต่งได้ดีมาก เห็นภาพมีความรู้สึกร่วมด้วยเสมอ
 บทบาทความสัมพันธ์พัฒนาแบบไม่ได้รีบเร่งนักแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ
ทุกตอนที่อยู่ด้วยกัน หรือแค่นั่งเงียบๆจ้องตากันไปมาทำไมถึงรู้สึกดีแบบนี้ ชอบอ่ะ
มันเขินจนอยากจะกริ๊ด
คำว่า " รักดีไหมนะ "  แล้วทำหน้ายิ้มกริ่มนี่มันจริงๆนะ
เกือบลืมไปเลยว่าเข้มมีคุณหงษ์แล้ว นึกได้ตอนพี่ไฟบอก 555+
“อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีก  เออแล้วมองตอนไหนนะ หรือว่าตอนที่พูดกับหยาที่บ้านแน่ๆ สายตานั่นคงทำให้สมุทรอดคิดมากไม่ได้
ฉาก NC ไม่ได้หวือหวาแต่่ประทับใจ
ฉันหลงรักคุณไฟตั้งแต่เริ่มต้นและตลอดไป
ถึงตอนจบคงต้องกลับมาอ่านซ่้ำๆเพราะความคิดถึง
รักนิยายเรื่องนี้มากค่ะขอบคุณเบบี้ :mew1:

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1

 :sad4:  :sad4: เค้าหวานกันไม๊ หวานแหล่ะ มีจุ๊บก่อนออกไปด้วย ...............

ว่าแต่พายุลูกเอ้ยยย ห้าวมากกกก  :o12:

ขอบคุณค่ะสำหรับตอนใหม่นี้ รอต่อนต่อไปนะคะ  :L2:

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อุ๊ยๆ! ตอนที่ 59 เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากจ้า :-[  บอกตรงๆเลยจ้าเหมือนจะจำตัวละครที่ไม่ใช่ฝ่ายของไฟไม่เคยได้ขนาดนังเต้ยังเกือบลืม555 เชอร์รี่กับคนขายเป็ดย่างเพิ่งมาใช่ม่ะ :confuse:
จะจบแล้วเหรอจะมีฉากหวานกว่าตอนที่ 59 ไหมอ่าอยากอ่าน :impress:

ออฟไลน์ tutu

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
บรรยายเห็นภาพ ทุกฉาก เหมือนนั่งดูหนัง เฮียปกป้องน้องหมุด (เฮียรักอะเนอะ วางยาสลบซะเลย) ยังไม่ชัดเจน ฝั่งเต้ (เข้าใจว่าเต้แค้นเฮียที่จับเฮียไม่ได้ เอาความโกรธไปลงที่พายุ)

ออฟไลน์ prympws

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

Note: ในส่วนท้ายของตอนจบมีประกาศชี้แจงด้วยนะคะ

.
.
ตอนที่ 61
..ไฟ..




แกรก.. แกรก...

“คุณ คุณไฟ.. ได้ยินผมไหมครับ”

“รีบหาสัญญาณสิวะ !”

ผมนอนนิ่ง  ร่างกายที่หนักอึ้งไม่สามารถเคลื่อนไหวได้  สติได้ยินเสียงที่ฟังดูเกรี้ยวกราดนั้นจากพี่ธานแต่ก็ไม่สามารถตอบกลับไปได้โดยทันที  รู้แต่ว่า ดูเหมือนอีกฝ่ายจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ไปเสียแล้ว
 
“คุณ.. ไฟ แกรก ~ ซ่า.. ได้ยินแล้ว ตอบผมด้วยครับ”

เสียงปลายสายขาดหายเป็นช่วง ๆ  ร่างกายที่ปรับให้กลับมาเป็นปกติไม่ได้นั้นรับรู้ได้ว่าเมื่อครู่ตนเองได้หมดสติไป  ผมพยายามรวบรวมสติที่มีเพื่อเปิดตาขึ้นมอง  กวาดตามองไปรอบ ๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยป่ารก 

“..อือ....” ผมขานรับเสียงเครืออยู่ภายใน  ขณะเดียวกันก็สังเกตได้ถึงเสียงของการต่อสู้ด้านหลังที่ค่อย ๆ ลดระดับลง

“ครับ คุณไฟ” พี่ธานตอบรับ

“อา เหี้ยเอ๊ย...” ผมครวญครางพึมพำกับตัวเอง  อึดอัด  อึดอัดจนต้องเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าที่บดบังด้วยต้นไม้สูง  ร่างกายขยับไม่ได้ดั่งใจนึก  เหตุเพราะถูกทับอยู่จากอีกร่างหนึ่งที่ไม่ได้สติ  แถมน้ำหนักของร่างนั้นก็ทิ้งมาแบบเต็มที่อีกด้วย

“ด้านหลัง” ผมกลั้นใจพูดออกไป

“มาเร็วเข้าพี่ใหญ่ ไอ้ภาระนี่ตัวหนักฉิบหาย..”


- - - - - - - - - -


06.30 น. | สิงคโปร์

“ใคร?” เสียงของเจ้าของบ้านทักขึ้นด้วยโทนเสียงสุขุม  น่าเกรงขาม  ผมหยุดฝีเท้า  บรรยากาศที่สงบลงในทันทีนั้นแทนที่ด้วยเสียงของการพลิกหน้าหนังสือพิมพ์จากคนที่นั่งทอดอารมณ์อยู่

“โลกไปไหนต่อไหนแล้วครับ ไม่มีใครมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์หรอก” ผมทัก  ยังคงหยุดยืนอยู่ที่เดิมพลางล้วงกระเป๋ากางเกง  กวาดตามองสวนส่วนตัวด้านหลังบ้าน  ซึ่งเป็นจุดพิเศษเฉพาะของคนคนนี้เท่านั้น

“หึ..” เจ้าของบ้านพ่นหัวเราะขึ้นจมูก

“ฉันไม่ชอบโฆษณาวิบ ๆ วับ ๆ บนเว็บน่ะ เห็นแล้วอกจะแตกทุกที” อีกฝ่ายตอบนุ่ม ๆ

“........” ผมเหลือบมองแผ่นหลังนั้น  ในขณะที่เราต่างเงียบลง

“การมาของนายมันทำให้ฉันต้องไล่ลูกน้องออกนะ ชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนรึไง”

“แต่ก็.. เข้ามายากอยู่นะครับ” ผมไม่เห็นด้วยว่าต้องเปลี่ยน  ถึงแม้ตนเองจะไม่ได้เข้ามาอย่างถูกต้องก็เถอะ
 
“มีอะไรให้ช่วยก็ว่ามา” คนตรงหน้าเข้าประเด็น  ผมก้าวขา เดินตรงเข้าไปใกล้เขามากขึ้น  บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยกองหนังสือพิมพ์จากหลากหลายภาษา

“เห็นข่าวไหมครับ” ผมถามกลับ  อีกฝ่ายเงียบไปอึดใจหนึ่ง  ละสายตาจากหนังสือพิมพ์พลางเงยหน้าขึ้นคล้ายใช้ความคิด

“ข่าวที่เดือด ๆ อยู่ช่วงนี้น่ะเรอะ? ถึงไม่อยากรับรู้ก็เห็นอยู่ดีละนะ” เขาพึมพำคุยกับตัวเอง

“ครับ” ผมตอบ

“นายตำรวจตงฉินเพื่อนนายคนนั้นคงเหนื่อยแย่ เห็นว่าเป็นคนเปิดโปงคดีนี้นี่”

“แต่กำลังจะถูกเปลี่ยนมือเร็ว ๆ นี้น่ะครับ” ผมพูดแทรก  ทำเอาอีกฝ่ายชะงักไปและค่อย ๆ เหล่หางตามาทางผม

“หึ.. ก็นะ” คนตรงหน้าแสยะปากพ่นหัวเราะอย่างไม่แปลกใจที่ได้ยินเรื่องทำนองนี้ในวงการนี้

“คุณช่วยเตรียมคนที่จะรับมือกับเรื่องนี้ไว้ให้หน่อยได้ไหมครับ” ผมเอ่ยปาก

“........” เขาเงียบไปโดยทันที  สายตาเหกลับไปมองแจกันดอกไม้ที่อยู่บนโต๊ะ

“ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องยุ่งยาก นายก็รู้ คนของฉันไม่ค่อยถูกกับกระบวนการของคนในเครื่องแบบ” อีกฝ่ายเบะปาก

“ไม่ยุ่งยากหรอกครับ” ผมสวนพูดด้วยความหนักแน่นกลับ  ทำให้เขามองกลับมาด้วยแววตาสนใจ

“ผมรับรองว่า คนของคุณจะสนุกกับเรื่องนี้แน่นอน” ผมโค้งตัว ก้มหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ ๆ พร้อมฉีกยิ้มให้
 
“ฮิ ๆ ๆ ๆ ๆ ~” เขาแสยะหัวเราะ  ดวงตาและใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจที่ได้ยิน 

“ขนจมูกคุณเป็นสีขาวแล้วนะ” ผมทัก  เพ่งมองสิ่งที่สะดุดตาอย่างแปลกใจ

“อยากตายเหรอวะ” อีกฝ่ายหุบยิ้มลงทันควัน 

“กลับแล้วนะครับ ขอโทษด้วยที่รบกวน” ผมยิ้ม  ตัดบทพร้อมโค้งตัวลงเคารพก่อนจะเดินกลับไปยังเส้นทางที่ใช้เดินทางมา

“วันหลังมาแบบไม่มีเรื่องให้ช่วยบ้างนะ” เจ้าของบ้านเอ่ยบอกคล้ายประชด 

“หึ มันแปลว่าคุณมีบารมีไม่ใช่เหรอ” ผมย้อนตอบ 


- - - - - - - - - -


2 วันต่อมา | ประเทศไทย

“ทำไมไม่ได้ครับ ท่าน.. พูดว่าอะไรนะครับ...”

โทนเสียงที่เต็มไปด้วยความสับสนปนขุ่นเคืองนั้นลอดออกมาจากห้องทำงานของลูกชายเจ้าของบ้าน  ซึ่งอีกฝ่ายไม่ทันสังเกตว่ามีแขกมาถึง

“หึ รักษาหน้าองค์กรเหรอครับ แต่คนของเราเป็นคนทำเรื่องนี้! ท่านจะให้ผมปล่อยมือไปง่าย ๆ เพราะเหตุผลแบบนี้เหรอครับ”
 
“........” ผมและคนที่มาด้วยกันหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู  คนที่คุยโทรศัพท์อยู่นั้นข้างหนึ่งถูกพยุงด้วยไม้เท้าค้ำยัน

“ท่านนนน!!!” พี่ทัพตะคอก  เสียงของมันตวาดลั่นจนแม่บ้านของมันที่นำน้ำมาเสิร์ฟแต่ไม่กล้าเข้าไปและหยุดอยู่ข้าง ๆ ผมสะดุ้งโหยง  ไอ้คินเข้ามารับถาดน้ำมาถือแทนแล้วปัดมือไล่ให้เธอไป

“ท่านควรจะหยุดพูดก่อนที่ผมจะหมดความเคารพในตัวท่านนะครับ ผมต้องเสียลูกน้องดี ๆ ไปกี่คนกับคดีนี้ ครอบครัวของพวกเขาที่พ่อต้องมาตายเพราะหาความยุติธรรมแต่ท่านมาพูดแบบนี้เหรอครับ! ให้เรื่องมันจบ ๆ ไปงั้นเหรอครับ!!!”

“ยังมีอยู่ใช่ไหมครับ ใครสั่งท่านมา?” ครั้งนี้อีกฝ่ายลดระดับเสียงลง  ผมแสยะยิ้มมุมปากที่ได้ยินว่าโทนเสียงนั้นบ่งบอกได้ว่าผู้พูดจะหมดความอดทนไม่ว่ากับใครหน้าไหน  พี่ทัพถือสายอยู่อย่างนั้นและเงียบอยู่พักใหญ่  แขนข้างที่ถูกไม้เท้าค้ำยันค้ำอยู่นั้นค่อย ๆ ขยับมือขึ้นลูบศีรษะตนเอง  แม้แต่แผ่นหลังก็เห็นได้ถึงความสิ้นหวังที่มี

“งั้นท่านฟังผมให้ดี…” จู่ ๆ คนตรงหน้าก็เอ่ยขึ้น

“ผมไม่สนหรอกครับ ผมมาถึงขนาดนี้แล้ว ท่านคิดว่าผมสนหัวท่านเหรอ”

“รบกวนฝากไปบอกคนคนนั้นด้วยนะครับ ไม่ว่าใครที่อยู่เบื้องหลังแล้วคิดจะปิดคดีนี้แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมจะลากหัวออกมาให้หมด ทางเดียวที่พวกมันจะหยุดผมได้.. ก็มาเอาชีวิตผมไปครับ” ความขุ่งเคืองนั้นถูกจบลงพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่วางสายไป

“ว้าว ~ ร้อนแรงเป็นบ้า” ผมแสยะยิ้ม เอ่ยชมขึ้นในทันที  พี่ทัพหันขวับกลับมา  เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเป็นพวกผมก็ถึงกับถอนหายใจทิ้งแรง

“เมื่อกี้กูเกือบขอพี่มึงแต่งงานเลยนะ” ผมกะพริบตาปริบ ๆ คุยกับเพื่อนสนิท

“หึ ๆ ๆ” ไอ้คินหัวเราะชอบใจ

“เฮ้อ ไอ้เราก็เห็นว่าอุตส่าห์เปิดโปงคดีใหญ่ได้ นึกว่าจะถูกเรียกไปประดับดาวบนบ่าซะอีก” ผมพึมพำแซว  เดินตรงไปที่โซฟาแล้วนั่งลง

“โลกมันง่ายขนาดนั้นเรอะ!” พี่ทัพสบถลั่น  นำเอาอารมณ์ขุ่นเคืองนายของตนเมื่อครู่มาลงที่ผมเสียอย่างนั้น  ผมกับพี่ธานฉีกยิ้ม  ไอ้คินวางแก้วน้ำลงให้ตรงหน้าก่อนเดินไปนั่งที่โซฟาอีกตัว

“กูเห็นไอ้เหี้ยกายกับไอ้ดำริอยู่ตรงหน้า แต่กูดันขยับทำอะไรไม่ได้ สุดยอดไปเลยไอ้โลกฉิบหาย”

“........” พวกผมได้แต่เงียบมองพี่ทัพที่พึมพำใส่อารมณ์กับตัวเอง

“หัวหน้าทีมกู โดนนายกดดัน ผมร่วงจนหมดหัวแล้ว” มันเงยหน้าขึ้นเล่ากึ่งประชดประชันชีวิต  เดินกลับมาที่โซฟา  ค่อย ๆ วางไม้ค้ำแล้วหย่อนตัวนั่งลง 

“ฮ่า ๆ ๆ” พวกผมหลุดหัวเราะ

“สงสารก็แต่ลูกเมียทางนั้น” อีกฝ่ายบ่น

“ทำไม” ผมถาม  พี่แกลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเล่าต่อ

“ก็เบื้องบนเล่นกดดันมาที่ลูกเมียโดยตรง กูไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชีวิตนี้จะมีเรื่องเฮงซวยซะยิ่งกว่าสิ่งที่เคยเจอมาในอดีต”

“กูว่ากูก็เจอคนเหี้ยคนระยำมาเยอะนะ แต่นี่แม่ง ฟู่ ~ อึดอัดจนอกกูจะระเบิดอยู่แล้ว” พี่ทัพพ่นลมออกทางปากพร้อมหลับตาเงยหน้าขึ้น

"โทษทีนะ.." อีกฝ่ายเอ่ยโต้ง ๆ ทั้งที่ยังค้างอยู่ในท่าเดิม

“เอาน่า วันนี้ผมกับพี่ธานเลยมีของมาปลอบใจให้ไง” ผมปัดประเด็นยิ้มบอก

“อะไร” พี่ทัพขมวดคิ้ว  มองมาที่ผมและพี่ธานอย่างหวาดระแวง

“ยืน ๆ ๆ” ผมขยับมือขึ้นบอก  แต่มันกลับไม่ทำตาม  มองผมเลิ่กลั่ก

“ยืนขึ้น มันจะได้สมศักดิ์ศรีหน่อย” ผมย้ำพูด 

“เฮ้อ” อีกฝ่ายถอนหายใจ  แต่ก็ยอมคว้าไม้ค้ำยันแล้วพยุงตัวขึ้นยืนตามที่สั่ง  พี่ธานอมยิ้ม  เปิดถุงกระดาษที่ถือมาด้วยออกให้ผมหยิบของที่อยู่ในนั้น  ทันทีที่ผมหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากถุงก็ทำเอาไอ้คินหลุดขำหงายหลังไปเลย

“ไอ้เหี้ยไฟ! ไอ้สัส!!!” พี่ทัพสบถลั่นพร้อมยิ้มกว้าง  มือข้างที่ว่างอยู่ผลักผมที่เพิ่งหยิบโฟมรูปดาวขึ้น  ความใหญ่ของมันเท่า ๆ กับกระดาษ A4

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” ผมหัวเราะ  ไม่หยุดที่จะพยายามแปะมันลงบนบ่าของเสื้อยืดเน่า ๆ ที่คุณตำรวจใส่อยู่บ้านในตอนนี้

“ไอ้เหี้ย พวกมึงนี่นะ ระยำจริง ๆ” มันบ่นยกใหญ่  หยิบโฟมออกจากบ่าตัวเองแล้วเพ่งมอง  บนตัวดาวมีที่แปะสำหรับยึดกับเนื้อผ้าด้วย

“มึงพยายามเนอะ!” พี่ทัพถลึงตาต่อว่า  เขวี้ยงโฟมรูปดาวลงบนโต๊ะ  ไอ้คินปรบไม้ปรมมือขำไม่หยุด  คนถูกประดับดาวปลอมลงบนบ่ายืนทำหน้าเอือมระอา  แต่ก็มีรอยยิ้มเก้อเขินนิด ๆ ให้เห็น

“ถ้ากูไม่รู้จักพี่มึงมาก่อน เมื่อกี้กูนึกว่าคนบ้านะ พูดอะไรเพ้อเจ้อฉิบหาย” ผมแซวถึงบทสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่นี้

“เฮ้อ!” จู่ ๆ พี่ทัพก็ถอนหายใจสวนขึ้นมาเฮือกใหญ่  สีหน้าหนักใจปรากฎขึ้นทันทีก่อนหย่อนตัวนั่งลง  บรรยากาศกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง

“เดี๋ยวอยู่กินข้าวด้วยกันดิ” ไอ้คินชวน

“ไม่ล่ะ กินมาแล้ว” ผมปัด 

“คุณไฟครับ ได้เวลาแล้วครับ” พี่ธานกระซิบบอกหลังละสายตาจากนาฬิกาข้อมือของตน 

“ไปแล้วนะ” ผมตัดบท

“มึงมาเพื่อกวนตีนกูแค่เนี้ย?” พี่ทัพเลิกคิ้ว

“เปล่า แวะเอาของมาให้” ผมยักคิ้วพร้อมผลิยิ้มตอบ  หยิบของที่เตรียมไว้ในถุงซิปล็อกเล็ก ๆ ยื่นไปตรงหน้าคุณตำรวจ
 
“อะไร” อีกฝ่ายขมวดคิ้วมอง  ลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วตรงมารับของจากมือผมไป

“Gift card มั้ง” ผมกระซิบ

“........” ทุกคนเงียบลง  มองไปยังแฟลชไดร์ฟในถุงซิปล็อกนั้นอย่างไม่ละสายตา

“พายุฝากมาให้” ผมขยายความ

“เดี๋ยวจะมีคนติดต่อมานะ รีบไปอาบน้ำตัดผม แต่งตัวหล่อ ๆ รอรับสายด้วยล่ะ” ผมพูด

“ใคร” พี่ทัพถามทันที

“อำนาจบอกรหัส Gift card ช่วยให้มึงทำงานสบาย ๆ ไง” ผมตอบ  จ้องมองพี่ทัพไม่กะพริบ  อีกฝ่ายไม่พูดอะไร  ตาดำเคลื่อนไหวอย่างสับสน 

“เอาน่า คนดีแน่นอนไม่ต้องห่วง สะอาดเหมือนผ้าอ้อมเด็กเลย หึ ๆ” ผมขยายความ  แต่ไม่ได้เอ่ยออกไปทั้งหมดว่าเป็นผ้าอ้อมเด็กที่เอาไว้เช็ดน้ำลายผู้ใหญ่น่ะนะ

“ขออนุญาตค่ะคุณทัพ” แม่บ้านที่ยืนอยู่หน้าห้องเอ่ยขึ้น  พวกผมหันไปมอง  เห็นนายตำรวจที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดียืนอยู่
 
“อ่าว มาแล้วเหรอ เข้ามาสิ” พี่ทัพพูด  นายตำรวจที่ชื่อดมก้มหัวเล็กน้อยคล้ายขออนุญาตก่อนเดินเข้ามาด้วยทีท่าสุภาพนอบน้อม  แม่บ้านจึงปลีกตัวออกไป

“ยังไม่ได้ทำความรู้จักกันจริงจังเลยใช่ไหม ไฟ นี่ดม.. ดม นั่นไฟแล้วก็ธาน” พี่เขาแนะนำ
 
“สวัสดีครับ” ดมเอ่ยทักอย่างเป็นมิตร

“อา ~ นี่เด็กพี่เหรอ เล่นผมซะเปื่อยเลยนะ” ผมจ้องมองขณะเอ่ยชม  ขาก้าวตรงเข้าไปหา 

“ขอโทษครับ พอดี ตอนเด็กเคยอยากเป็นนักแสดงน่ะครับ” คนตรงหน้ายิ้มบอกนิด ๆ

“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ถือ” ผมปัดเสียงเรียบ  ก้มลงมองอีกฝ่ายหัวจรดเท้า  เห็นอยู่ในเครื่องแบบแล้วแปลกตาดี

“มีแฟนรึยังครับ” ผมถาม

“มีแล้ว มีแล้ววว!” พี่ทัพตอบแทรก 

“มึงหวงกูเรอะ?” ผมหันไปมองกวนตอบ  ไอ้คินหัวเราะชอบใจที่ผมไม่รู้สึกอะไรกับการถูกอีกฝ่ายทำตัวเป็นไม้กันหมาแบบนั้น

“ไอ้ดมมันเป็นคนดี มึงอยู่ห่าง ๆ ไปเลย แล้วเป็นอะไรชอบมาลวนลามพวกกูน่ะฮะ!” พี่ทัพบ่น

“กูไม่ลวนลามมึงคนเดียวนี่มึงน่าจะพิจารณาตัวเองนะ” ผมตอบ

“กร๊ากกก” ไอ้คินชอบใจ

“ไอ้คิน!” พี่ทัพตวาดน้องชาย

“ไม่เป็นไรครับ” ดมพูดบอกนุ่ม ๆ

“เอ่อ ถ้ามีโอกาสผมอยากจะไปขอโทษย่าของคุณเป็นการส่วนตัวนะครับ” คนตรงหน้าพูดคล้ายขออนุญาต

“ได้สิ ไว้ผมจะถามให้แล้วกัน” ผมรับปาก 

“ไปแล้วนะ” ผมหันไปลาไอ้คิน  อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

“แล้วนั่นจะไปไหน” พี่ทัพถามขึ้น

“พักผ่อน” ผมตอบ

“อ้อ ช่วยจัดการหลังจบคู่นักมวยของผมล่ะ” ผมหันตัวกลับไปกำชับ 

“ครับท่าน!” พี่ทัพโค้งตัว  ขานรับอย่างประชดประชัน

“ผมขออนุญาตเดินไปส่งนะครับ” ดมพูดแล้วเดินตามพวกผมออกมา  ระยะทางจากห้องทำงานของพี่ทัพจนถึงลานจอดรถไกลพอ  แต่กลับไม่เกิดบทสนทนาใด ๆ ระหว่างผมกับคุณตำรวจนายนี้  พี่ธานเปิดประตูรถออก  ผมหยุดยืน  หันไปมองคนที่เดินมาส่ง

“เป็นตำรวจที่ดีนะครับ” ดมพูดขึ้น 

“ดีจนไม่น่ามาอยู่ที่แบบนี้”

“หึ..” ผมพ่นหัวเราะ  ปฏิเสธไม่ได้ว่าเห็นด้วยกับเขา

“แม่สบายดีนะ” ผมสวนถาม

“ครับ สบายดี” อีกฝ่ายผงกหัวยิ้มตอบ

“มีแฟนแล้วเหรอ” ผมถามเรื่องคาใจเมื่อครู่  เพราะจากนิสัยของคนตรงหน้าไม่คิดว่าตัวเองจะมองอะไรผิดเพี้ยนไป

“หึ ไม่มีหรอกครับ ทางนั้นก็แค่กันท่าคุณน่ะ” ดมผลิยิ้ม

“คุณทัพเขาบอกให้พวกผมระวัง ๆ เวลาอยู่กับคุณน่ะครับ”
 
“หึ..” ผมหัวเราะในลำคอ

“ขอบคุณนะ” ผมตัดบท

“ผมต่างหากครับ” อีกฝ่ายตอบและฉีกยิ้มให้อย่างยินดี


- - - - - - - - - -
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-12-2021 16:43:51 โดย เบบี้ »

ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

ฮ่องกง


“เออ! แทง! แทงงงง!!!”
 
“เชี่ย เจ็บ ๆ ๆ”

เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังลั่นบ้านด้วยความเมามันนั้น  เป็นเสียงจากคนของผมที่กำลังเชียร์การแข่งขันชกมวยที่ถ่ายทอดสดมาจากประเทศไทย  ซึ่งนั่นเป็นคู่สุดท้ายของค่ายเราด้วย 


เป้งงงง!

“........” ทุกคนเงียบกริบลงสนิทในทันทีเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณ  มองด้วยตาก็ทราบแล้วว่าใครจะชนะ  ปฏิกิริยานั้นเป็นที่เข้าใจกันได้โดยไม่ต้องพูดต่อ  ว่านักมวยของเรามีความเป็นไปได้ที่จะแพ้คะแนน

“พี่สมุทรไม่น่าเจอไอ้แผนเลย” ไอ้เด่นบ่นอุบถึงนักมวยคู่ชกของสมุทร  ซึ่งเป็นนักมวยมากฝีมือที่ตอนนี้โด่งดังทั้งในและต่างประเทศ 

“แต่ยุเพิ่งเคยเห็นไอ้แผนคิ้วแตกเวทีนี้” พายุพึมพำ  เพ่งมองอย่างสนใจ

“แต่เตะมันแต่ละที อย่างกับเตะตึกเลยนะครับ” ไอ้หินทำเสียงตกใจ  ผมหลุดยิ้มมุมปากเพราะก็จริงตามนั้น  ขณะนั้นเองที่กรรมการบนเวทีได้ยกแขนของไอ้แผนขึ้นเพื่อชี้ขาดชนะคะแนน  บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

“เฮ้อออออ ~” ทั้งไอ้เด่น ไอ้เข้มและไอ้หินพร้อมใจกันถอนหายใจ

“รำคาญจริง” ผมบ่น 

“ขอโทษคร๊าบ”


ตืด ~

โปรด: ดีนะกูไม่แทง
ผมเหลือบมองข้อความที่ได้รับทันทีทันใดที่จบการชก  ไม่หยิบขึ้นมากดดูเพราะเห็นจากหน้าจอแล้ว  และก็ขี้เกียจด้วย

โปรด: มึงรู้สินะว่าจะแพ้
ข้อความนั้นถูกหยุดส่งไว้แค่นั้นก่อนที่หน้าจอจะดับลง...

“ก็นะ” ผมพึมพำคนเดียว

“หอมจังครับ” เสียงไอ้เข้มเอ่ยทัก  พวกมันละสายตาจากโทรทัศน์ที่ห้องนั่งเล่น  พากันปรี่ตรงไปที่ห้องครัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งสามารถมองเห็นได้ทั่วถึงจากมุมนี้ 

“ลองชิมสิ” พายุอนุญาต  เห็นว่ามันกำลังอบคุกกี้  ระหว่างที่มานั่งดูมวยเมื่อครู่นี้คือรอเวลาที่คุกกี้ทำการอบอยู่ในเตา  ตอนนี้น่าจะเสร็จแล้ว เพราะกลิ่นหอมโชยไปทั่วเลย   

“หิน เปลี่ยนเป็นช่องข่าวที่ไทยให้ฉันหน่อยซิ” ผมเรียก

“ครับ” ไอ้หินขานรับ  รีบเดินมาทำตามที่สั่ง  ขณะเดียวกันผมก็ได้ข้อความจากพี่ธานถูกส่งมา “กำลังพาสมุทรกับคนในค่ายออกแล้วครับ” 

“เติมกาแฟให้ด้วย” ผมสั่งลอย ๆ  ไอ้เด่นจึงรีบตรงมาหยิบแก้วกาแฟของผมไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น  โทรทัศน์ถูกกดเปลี่ยนเพื่อหาช่องที่ปกติผมมักดูเป็นประจำ 

“เฮีย คุกกี้ได้แล้ว ร้อน ๆ เลย” พายุเดินมา  วางจานขนาดเล็กพร้อมคุกกี้หน้าตาน่ากินวางอยู่สองชิ้น
 
“อือ” ผมขานรับ  แต่มันกลับนั่งจ้องผมนิ่ง ๆ ไม่ขยับไปไหน

“เดี๋ยวกิน” ผมพูดบอกเสียงยานคาง 

“มันคือซอฟคุกกี้ช็อกชิพ ต้องกินตอนร้อน ๆ ถึงจะอร่อย” มันบรรยายสรรพคุณ 

“เออ.. เออ!” ผมหันไปกระแทกเสียงขานรับทราบอย่างรำคาญ  สุดท้ายก็ต้องหยิบคุกกี้ขึ้นชิมทั้งที่ยังไม่อยาก

“อืม อร่อยดี” ผมชม  ตามองหน้าจอโทรทัศน์

“ยังไม่ทันเคี้ยวเลย!” คนทำขึ้นเสียง

“หึ ๆ ๆ” ผมหลุดหัวเราะ  เคี้ยวคุกกี้แล้วกลืนลงคอ  เนื้อซอพคุกกี้เต็มไปด้วยช็อกโกแลตแบบเต็มปากเต็มคำ  การกินของผมทำให้คนทำพอใจ  ยอมนั่งสบาย ๆ ผ่อนคลายลงในที่สุด

“เมื่อไหร่ขายุจะหายสักที” มันบ่น  ชูขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นดูเซ็ง ๆ

“คุณพายุครับ ขอกินอีกได้ไหมครับ” ไอ้เด่นเอ่ยขอ 

“บนถาดนั่นกินได้หมดเลย” พายุตอบ

“ขอบคุณคร๊าบ” มันขานตอบ  ขณะเดียวกันไอ้เด่นก็นำกาแฟแก้วใหม่มาเสิร์ฟให้  เวลาผ่านไปเกือบสิบนาที  เสียงอินโทรเวลาที่มีข่าวด่วนก็ดังขึ้น 

ข่าวด่วน! ตำรวจบุกเข้าจับกุมนายกาย xxxx และพวกพร้อมหมายจับ ที่สนามการแข่งขันชกมวยเวที z-k super fight ทันทีหลังการแข่งขันจบลงเมื่อเวลา 14.00 น. แต่ได้เกิดการยิงต่อสู้กัน เบื้องต้นทางตำรวจได้ให้ข้อมูลว่านายกายซึ่งเป็นเจ้าของ Tsmith นั้นเป็นนอมินีให้กับนายดำริ xxxx นักการเมืองชื่อดังจากพรรค xxx  เบื้องต้นตำรวจได้มีหลักฐานแจ้งจับหลายข้อหา ทั้งค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ ซึ่งได้มีการจัดหาทั้งหญิงและชายให้กับคนมีชื่อเสียง หลายคนถูกแบลกเมลด้วยคลิปแอบถ่ายเพื่อขู่บังคับให้รับงานต่อ รวมถึงลักลอบค้าอาวุธและนำเข้ารถหรูแบบผิดกฎหมาย ทั้งนี้ นายกายและนายดำริอาจมีเหตุเชื่อมโยงกับคดีใหญ่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ...

“น้อยไปไหม” พายุพึมพำบ่นขึ้นขณะที่นักข่าวยังคงอ่านข่าวไปอย่างต่อเนื่อง


ปิ๊บ!

ปิ๊บ!


เสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือของพวกเราที่เกิดขึ้นในจังหวะไล่เลี่ยกัน  ทำให้คนของผมพากันกดเปิดโทรศัพท์มือถือของตัวเองดูโดยทันที

“เชี่ยอะไรวะเนี่ย..” เสียงของไอ้หินพึมพำตาโต  คำอุทานอย่างไม่สุภาพนั้นที่มักจะหลุดออกมานาน ๆ ครั้งจากมันฟังเอาแปลกหู  ผมนั่งเฉย  มองพวกมันที่พากันก้มหน้าก้มตามองหน้าจอด้วยความตกใจ  เพราะคงเป็นเรื่องใหญ่พอที่ทำให้คนของผมมีสีหน้าเช่นนั้นได้  แต่ก็ถือว่าคุ้มที่อุตส่าห์เสียเวลา  ดูเหมือนว่าครั้งนี้พี่ทัพจะโมโหน่าดู  เล่นลากไส้ออกมาตามที่พูดเลย

“ไม่น่าจะน้อยแล้วแหละ เป็นของสำคัญจริง ๆ ด้วย” พายุพูดกับตัวเองแล้วกดปิดหน้าจอมือถือ  เอ่ยไปถึงแฟลชไดร์ฟนั้นอย่างพอใจ

“เฮีย ยุเจ็บเอวด้วย” มันหันมาขมวดคิ้วฟ้อง

“ก็ไปยืนทำเหี้ยไรเล่า!” ผมขึ้นเสียงอย่างรำคาญ  ก็เล่นไปยืนทำคุกกี้เป็นชั่วโมง ๆ  ไม่เจ็บสิแปลก

“ก็ยุทำให้เฮียกินไง!” มันขึ้นเสียงกลับ  ผมเงียบปาก  ไม่ใช่ว่าเถียงไม่ออก  แต่ขี้เกียจจะเถียงเลยได้แต่ถอนหายใจตัดความไปอย่างนั้น 


ก๊อก  ๆ ๆ

ลูกน้องของผมที่ทำงานประจำอยู่ที่ฮ่องกงเปิดประตูเข้ามา  ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว 

“ขออนุญาตครับ เฮียชามาขอพบครับ”


- - - - - - - - - -


ผ่านมา 3 วันแล้วหลังจากการแข่งขันชกมวยได้จบลง.. ข่าวใหญ่ที่สุดในตอนนี้ นอกจากจะเป็นข่าวที่ตำรวจบุกเข้าจับไอ้กายกลางสนามหลังจบการแข่งขันแล้ว  ยังเป็นข่าวของรายชื่อนักการเมือง คนใหญ่คนโตในไทยและต่างประเทศมีส่วนในการทำเรื่องผิดกฎหมาย  ประกอบไปด้วยหลักฐานที่ดิ้นไม่หลุด  ยังเหมารวมไปถึงเก้าอี้เล็กเก้าอี้น้อยที่สั่นสะเทือนไปทั่ว  ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายตำรวจที่ชื่อผาคนนั้นพูดแบบนั้นในวันเกิดเหตุ  นั่นเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะใช้เป็นของที่พวกมันนำมาขัดขากันเอง
 
พี่ผาเป็นมือขวาให้กับไอ้กายมาตลอด  น่าประหลาดใจก็ตรงที่  นายตำรวจชั้นผู้น้อยที่เข้าร่วมเป็นคนของไอ้กายส่วนใหญ่ไม่มีใครทราบเลยว่านายตำรวจที่ชื่อผาคนนี้เป็นหนอนให้กับองค์กร  ดังนั้น หากพี่ทัพจะปวดหัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ
 
“ผู้หญิงคนนั้นถูกวิสามัญน่ะครับ..” ไอ้เข้มเดินมาบอกด้วยโทนเสียงเรียบขรึม

“เมื่อเช้านี้” มันขยายความ

“อืม” ผมพยักหน้ารับทราบ

“ผิดแผนกูอยู่นะ กูนึกว่าไอ้กายจะฆ่าเธอซะอีก” ผมพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจ  ผิดแผนจริง ๆ

“........” ไอ้เข้มไม่พูดอะไร  มันผงกหัวรับเล็กน้อย 

“คงจะรักกันมากนะครับ” จู่ ๆ อีกฝ่ายก็พูดขึ้น

“ใคร?” ผมถาม

“ผู้หญิงของไอ้กายกับตำรวจที่ชื่อผาน่ะครับ” ไอ้เข้มตอบ  ผู้หญิงของไอ้กายคือมือปืนที่เคยยิงยู  ซึ่งแอบคบหากับนายตำรวจคนนั้นมานานแล้ว

“มึงว่าจะดูออกไหม ถ้าคนของเราไปสนใจคนอื่น” ผมช้อนตาขึ้นมอง

“........” ไอ้เข้มก้มหัวลงด้วยสีหน้าคล้ายใช้ความคิด 

“ต่อให้ทำหน้าตึงใส่กันก็ดูออก.. นั่นคือความน่ากลัวของการมีเจ้าของล่ะ” ผมพึมพำพลางเบือนหน้ากลับมา

“ครับ” อีกฝ่ายขานรับ

“เฮีย ยุไปหาหมอนะ” พายุเดินออกมาได้จังหวะจบบทสนทนา  ไอ้เข้มผงกหัวน้อย ๆ ขอตัวจากไป 

“เอาใครไป” ผมถาม

“ไปกับหิน เดี๋ยวตงมารับ” มันตอบ

“เข้มมึงไปด้วย เอารถกับคนขับของเราไป” ผมสั่ง

“ครับนาย” ไอ้เข้มผงกหัว  ปลีกตัวออกไปเตรียมพร้อมในทันที

“มันก็เต็มรถสิ ยุ ตง คนขับรถ แล้วก็หินเข้ม ตั้งห้าคน ~” มันบ่นเป็นจริงเป็นจัง  ผสมภาษาไทยกับจีนกลางมั่วไปหมด

“มึงก็เอารถตู้ไปสิ” ผมบ่น

“เอาไปทำไมเยอะแยะเล่า” พายุลดเสียงลงหน้ามุ่ย

“จะไปไหมล่ะ” ผมย้อนถาม

“........” อีกฝ่ายปิดปาก  ยอมทำตามในที่สุด 

“เฮียยย ~” จู่ ๆ มันก็เปลี่ยนเสียง  ไม้ค้ำยันที่ใช้รับน้ำหนักตัวเดินมาไวซะยิ่งกว่าขาจริงเสียอีก  พายุทิ้งตัวนั่งลงมาข้าง ๆ ผมที่เหลือบมองอยู่ตลอด

“ขอเงินหน่อย ~” ผมเอ่ยปากอ่านความคิดของมันก่อน

“แฮะ ๆ” อีกฝ่ายหัวเราะเก้อเขินที่ถูกรู้ทัน

“ไปเอากระเป๋ามาซิ” ผมสั่งไอ้เด่น

“ครับนาย”

“ตงอยากได้อะไรก็ซื้อไปแล้วกัน” ผมพูดบอก  ตงคือญาติของคนสนิทซึ่งมีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจต่อกันที่ประเทศนี้

“ตงมันไม่เอาหรอกถ้าเฮียไม่ไปซื้อให้เอง” พายุสวนทันควัน  ผมเงียบ  ไม่เถียง  นั่งรอจนไอ้เด่นนำกระเป๋าสตางค์มาให้ก่อนจะหยิบเงินสดให้พายุไปปึกหนึ่งพร้อมกับบัตรเครดิต  แต่พอได้เห็นหน้าระรื่นของมันแล้วมันเขี้ยว  อดไม่ได้  เลยนำสันบัตรเครดิตรูดหน้าผากมันไปทีนึงเป็นบทลงโทษ

“โอ้ยยย!!!” พายุร้อง  นำมือปิดหน้าผากตัวเองมองค้อนใส่ผม

“หึ ๆ ๆ” ผมหัวเราะ

“จะซื้ออะไรเกินสองหมื่นต้องโทรขอกูก่อน” ผมชี้หน้าปรามอนาคต  มันกลอกตา  เม้มปากทำไม่รู้ไม่ชี้

“คุณตงมาแล้วครับคุณพายุ” ไอ้หินเดินมาบอก

“รถเข็นล่ะ” ผมถามถึง

“เอาขึ้นรถแล้วครับ” ไอ้หินตอบ 

“ให้ตงรอข้างนอกนั่นแหละ ยุไปเลย” พายุพูดบอก  รีบคว้าไม้ค้ำยันแล้วดีดตัวลุกขึ้นโดยทันที

“มึงจะไม่ให้มันมาไหว้พี่มึงหน่อยรึไง” ผมบ่นไอ้เด็กพวกนี้ 

“ตัวเองไม่ได้ชอบเขาแท้ ๆ ไปยุ่งอยู่ได้! ยุสงสารตง!” อีกฝ่ายหันมาขึ้นเสียง 

“ยุ่งตรงไหน กูยุ่งจริงมันเป็นเมียกูไปนานแล้ว” ผมว่ากลับ

“อย่ายุ่งกับตง!!!” พายุตะโกนลั่น  ไม้ค้ำยันของมันเร่งความเร็วออกไป

“กูว่าแม่งไม่ต้องไปหาหรอกหมออะ ทุกอย่างมึงแข็งแรงหมด ยกเว้นตีนที่เดินไม่ได้” ผมพึมพำบ่น  ไอ้เด่นที่เห็นภาพตามถึงกับหัวเราะคล้ายเห็นด้วย  ขนาดหมอที่รับเคสรักษาต่อยังบอกเลยว่าร่างกายน้องชายผมเหมือนของประหลาด  คือฟื้นตัวเร็วมากจนน่าตกใจ

“มันหวงอาตงเหมือนหมาแม่ลูกอ่อน” ผมพูดบ่นกับไอ้เด่นที่ยังคงนั่งอยู่ข้าง ๆ  ขณะเดียวกันไอ้เข้มที่เพิ่งเดินออกมาหลังจากเตรียมตัวเสร็จก็โค้งตัวลา  รีบเร่งตามพายุออกไปอีกคน 

“........” ผมเหลือบมองไอ้เด่นที่เอาแต่นั่งเงียบจ้องหน้าผมด้วยสายตาแปลก ๆ  เห็นดังนั้นจึงใช้ฝ่ามือผลักหน้าผากมันไปเต็มแรงจนเจ้าตัวหงายหลังลงพื้น

“ผมเคยได้ยินคุณตงพูดกับคุณพายุน่ะครับ” อีกฝ่ายลุกขึ้นมากระซิบ  ผมเหล่มอง  ไม่เข้าใจว่ามันจะกระซิบทำไมเพราะตอนนี้ในบ้านเหลือแค่มันกับผมสองคน

“คุณตงบอกว่า ดีจังนะ.."

“เรื่อง?” ผมถาม

“เอ่อ ตอนที่คุณตงรู้ว่านายนอนกับคุณยูด้วยน่ะครับ” มันตอบ

“ต่อไปนี้มึงห้ามพูดกับคนอื่นว่ากูนอนกับยูอีก ไม่งั้นกูจะให้เฮียกานต์เอามึงไปเป็นนางบำเรอ”

“ถ้าอย่างนั้นเอาผมไปปล่อยฟาร์มจระเข้แทนเถอะครับ” มันกวนตอบ  พูดเสร็จก็หลุดยิ้มออกมาเอง

“มึงนี่มัน..” ผมบดฟันยิ้ม ๆ  คว้าหูมันมาบิดทีนึงอย่างหมั่นไส้ 

“ก็คุณตงหลงรักนายนี่ครับ ผมโง่ผมยังดูออกเลยครับนาย” มันว่า

“อีกอย่าง นายดูใจดีกับคุณตงมากกว่าใจดีกับคุณพายุคุณดินอีกครับ” มันไม่หยุดพูด

“น่าประหลาดใจจริง ๆ” ผมทักในสิ่งที่เพิ่งได้ยินกับหู  ไอ้เด่นชะงักไปด้วยสีหน้างงงวย

“ในที่สุดมึงก็ยอมรับแล้วสินะว่ามึงโง่” ผมตาลุกวาว

“นายครับ!” อีกฝ่ายประท้วงกลับในประเด็นนี้

“หึ ๆ ๆ” ผมหลุดหัวเราะ


ก๊อก  ๆ ๆ

“คร๊าบ ~” ไอ้เด่นขานรับ  ผมเอนหลังพิงพนักโซฟา  เหลือบมองไปที่ประตูบ้านอย่างสงสัยว่าใครมาถึงเพราะวันนี้ไม่มีนัดพิเศษ  ขณะที่ไอ้เด่นเปิดประตูออก  คนที่โผล่หน้ามาคนแรกทำให้ผมหลุดยิ้ม  เพราะเป็นการมาถึงก่อนวันที่เจ้าตัวแจ้งไว้หนึ่งวัน
 
“พี่ธาน!” ไอ้เด่นร้องลั่นดีใจยกใหญ่

“ไง” พี่ธานทัก  ลูบหัวไอ้เด่นน้อย ๆ ก่อนเดินเข้ามา 

“สวัสดีครับ” พี่เขาผงกหัวทักทายผม  ทันทีที่อีกฝ่ายเดินพ้นประตูเข้ามาในบริเวณบ้าน  คนที่เดินตามหลังมาติด ๆ เป็นคนที่ทำให้ผมแปลกใจกับการมานั้น   

“พี่สมุทรก็มาด้วย! ไอ้รุ่งงง!” ไอ้เด่นเรียกไอ้รุ่งที่ติดสอยห้อยตามมาอีกคน

“ฮ่องกง ฮ่องกง ~ สาวฮ่องกง สาวฮ่องกง~” ไอ้รุ่งกับไอ้เด่นพร้อมใจกันจับมือ กระโดดโลดเต้นที่ได้เจอหน้าอีกครั้ง  ทำอย่างกับจากกันมาแรมปีและเพิ่งเคยมาฮ่องกงครั้งแรกอย่างนั้น  ทั้ง ๆ ที่มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

“ผมพาสมุทรมาด้วยน่ะครับ” พี่ธานพูดบอก  เหลือบมองผมเล็กน้อยคล้ายเกรงว่าตนจะถูกต่อว่า  เพราะเป็นการนำอีกฝ่ายมาด้วยโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า

“สวัสดีครับนาย” ไอ้รุ่งตรงมาโค้งทักทาย

“ไปไหนกันหมดเหรอครับ” พี่ธานถาม

“พาพายุไปหาหมอครับพี่ใหญ่” ไอ้เด่นตอบ  ความตื่นเต้นของมันยังไม่ลดลง 

“........” ผมเงียบ  เบือนหน้ากลับมามองหน้าจอโทรทัศน์   

“เด่น พาสมุทรไปที่ห้องหน่อยสิ” พี่ธานสั่งพร้อมถอดแจ็กเก็ตนอกของตนออก 

“ห้องพอไหมนะ งั้นพักห้องเดียวกับพี่ก็ได้” พี่เขาพูด  ที่บ้านหลังนี้ ห้องนอนที่ถูกจำกัดการใช้งานว่าเป็นพื้นที่ของเจ้าของห้องเท่านั้นคือห้องของผม  พายุ ดินและพี่ธาน  ส่วนนอกนั้นจะยืดหยุ่นปรับไปตามความสะดวก 

“ครับ” สมุทรพยักหน้าน้อย ๆ

“ไปครับพี่สมุทร” ไอ้เด่นยิ้มกว้าง  เข้ามายกกระเป๋าของพี่ธานกับสมุทรก่อนที่ทั้งสามคนจะพากันตรงเข้าไปด้านใน  เสียงเจี๊ยวจ๊าวนั้นค่อย ๆ เบาลง  ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้งในขณะที่เจ้าตัวค่อย ๆ หย่อนตัวทำท่าจะนั่งลง

“ใครให้นั่งครับ” ผมทัก  พี่ธานดีดตัวลุกขึ้นยืนทันที

“ไม่ดีเหรอครับ” อีกฝ่ายพูด  มุมปากยิ้มกรุ้มกริ่ม

“........” ผมไม่ตอบ  เราสบตากันในความเงียบครู่หนึ่ง

“เขาถามน่ะครับว่าคุณอยู่ไหน ผมเลยบอกไปว่าจบการแข่งแล้วจะตามคุณมา” พี่ธานพูด   
 
“อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนอยากขอตามมาด้วย ผมก็เลย ลองชวนดูน่ะครับ”

“อะนะ” ผมขานรับส่ง ๆ เบือนหน้ากลับมา  ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงพี่ใหญ่หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

“แปลกคนนะครับ โดนมอมให้หลับไปแบบนั้นแต่ก็ไม่ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นสักคำ แถมยังต้องตื่นมาอยู่กับคนเพี้ยน ๆ อย่างเพื่อนคุณด้วย” พี่ธานบอก

“........” ผมเงียบ  ไม่รู้ไม่ชี้  ไม่ได้เป็นคนมอม

“ดีกันแล้วนี่ครับ”

“ผมเคยพูดเหรอว่าโกรธ?” ผมเลิกคิ้ว  หันไปมองหน้าพี่แก

“…….” พี่ธานนิ่งไป

“พี่ใหญ่ พี่ควรจะให้หมอนั่นได้รอนะ” ผมบอก  ทักในเรื่องที่เดี๋ยวนี้อีกฝ่ายตัดสินใจทำในสิ่งที่ผมไม่ได้สั่ง  พี่ธานลดระดับสายตาลง  แต่ใบหน้ายังคงเปื้อนด้วยรอยยิ้ม

“ชีวิตมันสั้นนี่ครับ โดยเฉพาะกับพวกเรา”

“หึ..” ผมพ่นหัวเราะ

“อารมณ์ดีนะ” ผมทัก  อ่านได้จากบรรยากาศรอบตัวของพี่เขาที่มันโจ่งแจ้งตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ครับ” พี่เขาตอบ 

“สุด ๆ เลย” อีกฝ่ายขยายความอย่างไม่ปิดบัง

“เดี๋ยวผมขอตัวไปดูห้องก่อนนะครับ” พี่ธานโค้งตัวก่อนเดินจากไป 
 
“หึ อารมณ์ดีอะไรขนาดนั้น” ผมพึมพำบ่นกับตัวเอง  ขนาดเห็นแผ่นหลังที่เพิ่งจากไปก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศดี ๆ ที่เจ้าตัวมี
ห้องนั่งเล่นเงียบลง  ภายในรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่ต่างจากก่อนหน้านี้ก่อนที่พี่ธานจะมาถึง  มันเปลี่ยนไปเล็กน้อย  สายตาเหลือบมองไปที่สระว่ายน้ำด้านนอกที่อยู่ติดพื้นที่ห้องนั่งเล่น  อา.. มีความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นมาที่กลางอก


   ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-12-2021 17:05:06 โดย เบบี้ »

ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

บรรยากาศอาหารเย็นในค่ำวันนี้คึกคักกว่าวันก่อน ๆ  เสียงการพูดคุยก็มากขึ้น  อาจเพราะมีสมาชิกเพิ่มเข้ามา  แต่ผมกับเขายังไม่ได้พูดกันสักคำตั้งแต่ทางนั้นมาถึง  ไม่มีช่องว่างให้ได้พูด  เพราะแทบไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย 

“คิดถึงอาหารไทยแล้ว!”

“คิดถึงส้มตำ!”

ไอ้เด่นกับไอ้รุ่งโวยวาย  วันนี้เราตั้งโต๊ะกันที่ด้านนอก  ตรงสวนหลังบ้านริมสระว่ายน้ำ...

“มึงเพิ่งมาเองไม่ใช่เรอะ” ไอ้เข้มบ่นไอ้รุ่ง

“แฮะ ๆ” คนถูกบ่นยิ้มเขิน

“เอาตำผลไม้แทนได้ไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ทำให้” สมุทรที่กำลังช่วยพายุจัดโต๊ะอยู่เสนอ

“ได้ครับ” พวกมันขานรับทันควัน

“คุณไฟจะดื่มอะไรก่อนดีครับ” พี่ธานถามผมที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ  อีกฝ่ายเพิ่งจัดแจงโต๊ะเครื่องดื่มที่แยกไปอีกโต๊ะหนึ่งเสร็จพอดี  เมื่อที่นี่ไม่มีแม่บ้านอยู่ประจำก็เลยจำเป็นต้องหยิบจับกันเอง

“........” ผมนิ่งมอง  ใช้ความคิดอยู่ครู่

“มะนาวโซดามีไหม” ผมย้อนถามกวนไปอย่างนั้น  นึกอยากกิน  แต่ก็เห็นว่าบนโต๊ะเครื่องดื่มนั้นไม่มีสิ่งที่ผมต้องการด้วย 

“ได้ครับ” อีกฝ่ายยิ้มรับไม่ปฏิเสธ 

“สมุทร พี่วานทำน้ำมะนาวโซดาใฟ้คุณไฟหน่อยสิ” พี่ธานส่งไม้ต่อ

“ครับ” สมุทรหันมาผงกหัวรับน้อย ๆ ก่อนเดินกลับเข้าบ้านไป

“รับปากแล้วก็ทำเองสิ” ผมว่า

“คิดว่าอีกฝ่ายทำน่าจะถูกใจกว่าน่ะครับ” อีกฝ่ายตอบ

“........” ผมเงียบ  ช้อนตาขึ้นมองหน้าพี่ใหญ่ที่ยังคงยิ้มอย่างใจเย็น

“พี่ยังไม่รู้สินะ ว่าตัวเองจะถูกหักปันผลห้าเปอร์เซ็นต์ของปีนี้” ผมแสยะมุมปากเล็กน้อย

“ครับ?!” พี่ธานอุทานงง ๆ

“โบนัสไอ้พวกนี้ปีนี้พี่มีหน้าที่จ่าย สมเหตุสมผลไหมครับ” ผมย้อนถามถึงบทลงโทษที่อีกฝ่ายควรได้รับ  คนตรงหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง

“ครับ แล้วแต่คุณเลย” อีกฝ่ายผลิยิ้ม

“อา ไม่สนุกเลย” ผมเบือนหน้าบ่นเซ็ง ๆ ที่คนตรงหน้ายอมรับง่ายเกินไป

“หึ ๆ แล้วคุณดินโทรมารึยังครับวันนี้”

“โทรแล้ว น่ารำคาญจะตาย ให้มันอยู่นั่นแหละ” ผมบ่นพลางถอนหายใจ  ไอ้ดินยังอยู่เซี่ยงไฮ้กับยูและเฮียกานต์  ซึ่งยังไม่มีแผนที่จะไปรับกลับมา 


มุมย่างบาร์บีคิวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะที่ผมนั่งอยู่วุ่นวายไปด้วยพวกไอ้เด่น  โต๊ะของผมกับพี่ธานแยกห่างออกมาเล็กน้อยเพื่อความเป็นส่วนตัวของพวกมันและเพื่อไม่ให้บทสนทนาระหว่างผมกับพี่ธานต้องถูกรบกวนด้วย  บาร์บีคิวที่ถูกปรุงสุกเรียบร้อยแล้วค่อย ๆ ทยอยนำมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ  ไม่นานนักน้ำมะนาวโซดาก็นำมาวางให้ตรงหน้าเช่นกัน

“ขอบใจ” ผมบอก  อีกฝ่ายผงกหัวตอบน้อย ๆ แล้วปลีกตัวกลับไปยืนประจำที่เตาเช่นเดิม 

“ใครปิดประตูไม่สนิทเนี่ยฮะ?!” พายุโวยวายลั่น  หมายถึงบานประตูตรงห้องนั่งเล่นซึ่งสามารถทำให้กลิ่นปิ้งบาร์บีคิวผ่านเข้าไปในตัวบ้านได้  ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบ

“พี่สมุทรครับ” ไอ้เด่นชี้นิ้ว

“เอ๊ะ..” สมุทรชะงัก  หันไปมองหน้าพายุครู่หนึ่งอย่างงง ๆ 

“ขอโทษครับ” เขาผงกหัวยอมรับผิด

เพียะ!

“มึงออกหลังพี่สมุทร กูเห็น” ไอ้เข้มพูดพร้อมตบหัวน้องชายไปหนึ่งที

“หึ ๆ ๆ ขอโทษครับ” ไอ้เด่นลูบหัวปรอย ๆ ยอมรับผิด 

“นิสัยไม่ดีเลย ให้พี่เขาขอโทษก่อนได้ยังไง” พายุบ่น  เดินมาต่อว่าด้วยสีหน้าจริงจัง

“ขอโทษครับ” ไอ้เด่นยิ้มเจื่อน  ก้มหัวขอโทษพายุกับสมุทรอีกครั้ง

“หึ ๆ” พี่ธานหัวเราะ

น้ำมะนาวโซดาถูกหยิบขึ้นจิบ  รสชาติไม่เลวนัก  แก้วเครื่องดื่มของผมหมดลงอย่างรวดเร็ว  เดือดร้อนให้พี่ธานต้องชงเหล้าให้  อาหารที่โต๊ะผมพร่องลงช้ากว่าอีกโต๊ะหนึ่ง  ส่วนใหญ่จะเป็นการกินอย่างละเลียดระหว่างพูดคุยซะมาก  เพราะมีเรื่องให้คุยกันเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ  อาหารค่ำจบลงดึกกว่าวันก่อน ๆ ที่มาถึงฮ่องกง  ผมไม่ได้ออกปากห้ามอะไร  ปล่อยให้สนุกสนานกันตามสบาย  เพราะพวกมันก็ทุ่มเทกับหน้าที่ของตัวเองมาพักใหญ่แล้ว 

ผมปลีกตัวกลับเข้าบ้านก่อน  ตั้งใจอาบน้ำแล้วพักผ่อน  เกือบ ๆ เที่ยงคืนมื้อเย็นของพวกมันก็ถูกหยุดลง  พากันเก็บกวาดทำความสะอาด  ปิดบ้าน ก่อนจะแยกย้ายกันเข้าห้องตัวเอง  ห้องนอนของผมเงียบสงบ  เป็นห้องซึ่งอยู่ที่ชั้นสองและอยู่ในมุมที่ดีที่สุดของบ้านหลังนี้  ระเบียงด้านข้างตำแหน่งเตียงสามารถมองเห็นสระว่ายน้ำและชายหาดที่ไกลออกไปได้  ผมนั่งเอนหลังพิงหัวเตียง  โคมไฟหัวเตียงเป็นจุดเดียวที่ให้ความสว่างในห้อง  ยังไม่รู้สึกง่วงขนาดที่ว่าหากเอนตัวลงนอนในตอนนี้แล้วจะหลับลงได้โดยทันที 


แกรก ~

“อะไรของกู..” ผมพึมพำบ่นกับตัวเองทันทีเมื่อได้สติ  ดันมายืนอยู่ที่ประตูห้องนอนซะอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ความคิดยังคงวนเวียนเรื่องต่อเรื่องอยู่ในหัว  ประตูห้องเปิดออกแล้ว  เลยตัดสินใจเดินออกมาเพื่อจะหยิบน้ำเปล่าที่ครัว  รู้สึกคอแห้งอยู่เหมือนกัน 

“........” ทันทีที่เดินลงมากลับต้องชะงักเพราะเห็นว่ามีคนยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงห้องนั่งเล่น  แสงไฟอัตโนมัติที่ให้ความสว่างตามจุดต่าง ๆ ระหว่างทางเดินเมื่อเดินผ่าน  ทำให้คนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาพอดี  ผมหยุดยืน  ห่างจากสมุทรคืบหนึ่ง  อดไม่ได้ที่จะสำรวจมองเขาหัวจรดเท้า  สงสัยว่ามายืนทำอะไรที่นี่ในยามวิกาลแบบนี้

“คุณอยากได้อะไรเหรอครับ” สมุทรถามขึ้นก่อน

“หิวน้ำน่ะ” ผมตอบ

“เดี๋ยวผมไปเอาให้ครับ” อีกฝ่ายตัดบทแล้วรีบตรงไปยังครัวเปิด  ซึ่งส่วนนั้นเป็นที่สำหรับจัดเตรียมอาหารและเก็บเครื่องดื่มที่แยกออกจากครัวหลัก  ผมรอยืนอยู่ที่เดิมจนน้ำเปล่าแก้วหนึ่งถูกนำมายื่นให้

“แล้วนายมาเอาอะไร” ผมถามถึง  ยังไม่ยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำมาจากเขา

“........” สมุทรไม่ตอบ  จ้องมองผมอยู่ครู่ก่อนค่อย ๆ เหสายตาลงเล็กน้อย  ต่างฝ่ายต่างเงียบอย่างนั้นอยู่สักพัก

“คุณไม่ชอบที่ผมมาเหรอครับ” เขาถามขึ้น  ผมไม่ตอบ  เพียงผลิยิ้มเล็กน้อยขณะจ้องมอง  ก่อนเอื้อมมือออกไปเพื่อที่จะรับแก้วน้ำมา  แต่ทันทีนั้นกลับถูกมืออีกข้างหนึ่งของสมุทรจับลงมาที่ข้อมือของผม  ทำให้มือของเราที่อยู่ระหว่างแก้วกระทบกันจนแก้วที่ถืออยู่ขยับ  น้ำที่ปริ่มแก้วนั้นหกลงพื้น  ส่วนหนึ่งเปื้อนมือผมด้วย

“ขอโทษครับ” อีกฝ่ายตกใจ  รีบตรงไปหยิบกระดาษทิชชูที่วางอยู่ตรงเคาน์เตอร์ห้องครัว  ผมยืนมอง  ในมือถือแก้วค้างไว้อย่างนั้นจนเขานำกระดาษทิชชูมาเช็ดให้  แล้วรีบนั่งยอง ๆ ลงเพื่อเช็ดที่พื้นต่อท่ามกลางความมืดสลัวอย่างนั้น  ผมเหลือบมองตามก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงเสมอเขา

จุ๊บ ~

“........” สมุทรชะงัก  ไม่หันมามองผมที่เพิ่งหอมแก้มเขา  ผมกวาดตามองด้านข้างใบหน้านั้น  คิดหาคำตอบให้ผู้ที่ถามคำถามก่อนหน้านี้

“แล้วนายล่ะ มาทำไม” ผมตั้งคำถามกระซิบกลับไป  ใบหน้านั้นค่อย ๆ หันกลับมาและจ้องมองผมไม่วางตาเช่นกัน
 
“คิดว่าฉันควรตอบนายว่ายังไงดี” ผมยิ้มพูด  ต้อนคำถามทิ้งไว้ให้เขาได้คิดก่อนลุกขึ้นยืน 

“ฝันดีนะ” ผมตัดบทก่อนเดินจากมา   

อา ~ ใจเต้นแรงเป็นบ้า  น่าจะเพี้ยนแล้วล่ะ  ตอนเห็นระเบิดยังไม่ตื่นเต้นขนาดนี้เลย...


   ..

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น  ทุกคนพากันไปออกกำลังกายตามตาราง  มีเพียงผมกับพายุที่อยู่บ้าน  เสร็จจากมื้ออาหารเช้าหลังออกกำลังกายต่างก็แยกกันไป  สมุทรออกไปซื้ออาหารที่ซูเปอร์มาร์เก็ตกับพายุ  ส่วนพวกที่เหลือขออนุญาตออกไปเที่ยว  ซึ่งผมก็อนุญาต เพราะถึงอยู่ติดบ้านไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมานอกจากเสียงดัง  พี่ธานถูกบังคับลากไปกับเขาด้วยเพราะต้องไปเป็นตู้ ATM สำหรับจ่ายค่าอาหาร 

“ลืมซื้อหัวหอมนี่” พายุบ่นขึ้นหลังถุงอาหารที่ถือมาถูกจัดวางลงบนโต๊ะ  ผมที่นั่งอยู่ที่โซฟาตรงห้องนั่งเล่นเหลือบมอง  แต่ไม่เข้าไปร่วมบทสนทนาระหว่างทั้งคู่ที่เพิ่งกลับมาจากการจ่ายตลาด

“ลืมนมอัลมอนด์ของเฮียด้วย”

“เดี๋ยวผมออกไปซื้อให้ครับ” สมุทรพูดขึ้น 

“จะดีเหรอครับ” น้องชายผมพึมพำ  มองหน้าสมุทรด้วยความลังเล 

“ไม่น่าจะมีอะไรนะครับ ผมจำทางได้ครับ” สมุทรยิ้มตอบ

“งั้นก็ได้ครับ เหมือนฝนจะตกเลย พี่เอาร่มไปด้วยนะ” พายุบอก

“ครับ”

“ซื้อหัวหอม เอ่อ.. งั้นยุฝากซื้อชีสเพิ่มด้วยดีกว่า แล้วก็นมอัลมอนด์ เอายี่ห้อนี้เท่านั้นนะครับ” มันพูดพลางยื่นหน้าจอโทรศัพท์มือถือให้สมุทรดูภาพประกอบ  หลังจากนั้นฝ่ายที่ต้องออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตอีกครั้งก็ตระเตรียมของที่จะเอาไป  กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าผ้าสำหรับใส่ของ ร่มและพาสปอร์ต  ก่อนออกเดินทางก็ถูกพายุกำชับอีกครั้งว่าหากมีอะไรให้ติดต่อมาทันที 

บรรยากาศในบ้านเงียบลงอีกครั้ง  ผมลุกขึ้นตรงไปที่ห้องนอน  หยิบกางเกงยีนส์มาเปลี่ยนใส่  สวมแจ็กเก็ตลวก ๆ ก่อนหยิบกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือติดมือมา

“เฮียจะไปไหน” พายุที่นั่งจัดของอยู่ทักทันที

“เดินเล่น” ผมตอบ

“เดินเล่นที่ไหน ไม่มีใครตามไปเลย”

“กูไม่ได้เป็นง่อยนี่” ผมตอบ

“ไม่ได้ เดี๋ยวพี่ธานดุ เอาคนข้างล่างไปด้วย” มันพูดเสียงแข็ง  หมายถึงคนติดตามที่เฝ้าอยู่ที่ชั้นล่าง
 
“ครับ” ผมขานรับปัดไปที

“ครับ แปลว่าโกหก” พายุสวนทันควัน

“หึ ๆ ๆ ๆ” ผมหลุดหัวเราะ  เสือกรู้ทันอีกไอ้เหี้ยนี่

“จะไปซื้อกาแฟ ไปนะ” ผมตัดบท

“เฮียอย่าไปไกลนะ!” อีกฝ่ายตะโกนไล่หลังผมที่เดินตรงไปใส่รองเท้า

“จ้า ~” ผมขานรับกึ่งประชดก่อนจากมา 

การออกเดินทางของผมเพียงคนเดียวทำให้ลูกน้องที่ทำหน้าที่เฝ้าอยู่ทำท่าจะติดตามมาด้วย  แต่ถูกออกปากห้ามไว้ก่อน  และเพราะวิเคราะห์ได้ว่าคนที่ต้องกลับไปซูเปอร์มาร์เก็ตจะไปทางไหน  จึงเลือกเดินไปทางนั้น  เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตเดียวที่อยู่ใกล้บ้านมากที่สุด  เดินเท้าประมาณสองกิโลฯ

การเร่งฝีเท้าทำให้ตามสมุทรได้ทันภายในเวลาไม่กี่นาที  อีกฝ่ายไม่ทราบว่าผมตามหลังมาด้วย  เขาตรงเข้าไปที่ซูเปอร์  เลือกซื้อของตามที่พายุสั่งไว้  ภารกิจเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาสั้น ๆ  เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี  สมุทรใช้เส้นทางเดิมที่เดินทางมากลับได้ถูกต้อง  ผมจึงแยกตัวออกมาอีกทางหนึ่งเพื่อตรงไปยังร้านประจำ 


ครืนนนน ~

“เอ้าไอ้เหี้ย ลืมเอาร่มมา” ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพลางบ่นกับตัวเอง  แต่ไม่ทันให้ฝนได้ลงเม็ดก็ถึงร้านกาแฟก่อนแล้ว

ร้านกาแฟรีโนเวทใหม่ขนาดกลาง  เป็นร้านที่เปิดมานานแล้วในย่านนี้  ตั้งอยู่ชั้น 2 ของตึก  ชั้นล่างขายอาหารซึ่งมีเจ้าของเดียวกัน  ทางเข้าคาเฟ่ที่ชั้น 2 ดูลึกลับและไม่ค่อยเรียกแขกเท่าไหร่นัก  คือถ้าไม่ใช่ขาประจำในย่านนี้ก็สามารถเดินผ่านไปได้เลยเพราะไม่สะดุดตา  เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้สไตล์วินเทจกับกลิ่นอายของร้านที่ผสมความเป็นโมเดิร์นและฮ่องกงอย่างลงตัว  ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นพนักงานวัยกลางคนและชาวต่างชาติที่แวะเวียนมาเป็นขาประจำ  ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเมื่อไหร่ที่มาพักที่บ้านหลังนี้ 

กาแฟเย็นถูกสั่งมาหนึ่งแก้วเพราะไม่นึกอยากกาแฟร้อน  เนื่องจากดื่มแบบร้อนไปแล้วแก้วหนึ่งเมื่อเช้า  บรรยากาศสลัว ๆ กับการจัดวางโต๊ะแต่ละโต๊ะให้อยู่ห่างกันระยะหนึ่งเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับลูกค้าเป็นเสน่ห์หลักของร้าน  ประมาณว่า ไม่หวงพื้นที่เพื่อให้ลูกค้าอัดแน่นเป็นปลากระป๋องเพื่อเอายอดขาย

“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเลยนะคะ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองเสียงทักใส ๆ กับคนที่เพิ่งเสิร์ฟกาแฟให้ตรงหน้า..

“อ่าว สวัสดีครับ” ผมผงกหัวยิ้มทัก  เธอเป็นผู้จัดการร้านนี้  ภาษาอังกฤษดีมาก  น่ากลัวนิด ๆ ก็ตรงที่ ทั้ง ๆ ที่ลูกค้าเยอะมากแต่เธอกลับจำลูกค้าประจำได้ทุกคน  ผมถูกเธอจำได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มา  เพราะทันทีที่ผมเหยียบร้านนี้เป็นครั้งที่สองก็ถูกเธอทักขึ้นว่า “คุณเพิ่งมาเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้ใช่ไหมคะ”  ได้ยินแล้วขนลุกไปหมด  แต่เพราะติดใจบรรยากาศและพนักงานที่นี่  ถึงแม้จะมีคาเฟ่เปิดใหม่มากมาย  แต่สุดท้ายก็มักจะมาตายรังที่นี่เสมอ

“นั่นน่ะสิครับ” ผมตอบทีเล่นทีจริง

“มาวันดีพอดีเลยค่ะ อันนี้เป็นขนมปังของทางร้าน เพิ่งลองทำให้ลูกค้าชิมวันนี้เองค่ะ เอากลับไปชิมดูนะคะ” เธอยื่นถุงกระดาษซึ่งมีขนมปังอยู่ด้านในมาให้

“ขอบคุณครับ” ผมรับมา

“ตามสบายนะคะ” อีกฝ่ายผลิยิ้มอย่างกันเอง  ให้หลังผู้จัดการร้านจากไปเพียงสิบนาที  ฝนด้านนอกก็เทลงมาอย่างกับใครให้คิว
กาแฟค่อย ๆ พร่องลงจนเหลือครึ่งแก้ว  ผ่านไปครู่หนึ่ง ฝนที่ตกหนักเมื่อครู่ก็ค่อย ๆ ซาลง  เสียงกริ่งที่ติดอยู่ตรงประตูร้านดังขึ้น  ความอยากรู้จึงเหลือบมองไปโดยธรรมชาติ  ลูกค้าที่เพิ่งมาถึงไม่ใช่ใครที่ไหน.. สมุทร

เราสบตากัน  อีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงปากประตูหุบร่มลงแล้วนำเสียบไว้ตรงที่เก็บร่มที่ทางร้านมีให้บริการ  พนักงานเอ่ยทักตามมารยาท  สมุทรเดินผ่านเคาน์เตอร์ตรงมาหาผมที่โต๊ะ  ผมเบือนหน้ากลับมา  ถึงอย่างนั้นก็สังเกตเห็นความเก้ ๆ กัง ๆ ของคนที่มาถึง  เจ้าตัวค่อย ๆ เลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออกแล้วนั่งลงโดยไม่พูดอะไร 

“อยากกินกาแฟทำไมไม่บอกละครับ ผมมาซื้อให้ก็ได้”

“.......” ผมไม่ตอบ  ตั้งศอกลงที่พักแขนเก้าอี้พลางเท้าคางทอดสายตาไปที่วิวด้านนอก  ถุงที่เขาเพิ่งไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตไม่ได้ถูกนำมาด้วย  เดาว่าคงกลับถึงบ้านไปรอบหนึ่งแล้ว  ไม่อย่างนั้นคงมาถึงร้านนี้ไม่ได้หากพายุไม่บอก 

“ร้านเงียบดีไม่ใช่เรอะ” ผมพูด  หมายถึง เมื่อซื้อกาแฟก็ต้องนั่ง เพราะสถานที่มันน่านั่ง

“ครับ” อีกฝ่ายเห็นด้วย  บทสนทนาจบลง  สมุทรกวาดตามองไปรอบ ๆ ร้านก่อนหันมามองความว่างเปล่าตรงหน้าตน  ครู่หนึ่งเจ้าตัวก็ลุกขึ้นตรงไปที่เคาน์เตอร์รับออร์เดอร์  ให้หลังห้านาทีเจ้าตัวก็กลับมาพร้อมกับกาแฟร้อนของตน  กับกล่องเค้กของทางร้านที่มีเค้กชิ้นเล็ก ๆ หลากหลายรสชาติบรรจุอยู่ภายใน  และจานเค้กชิ้นหนึ่งที่วางลงข้าง ๆ แก้วกาแฟของผม

“ฉันไม่ชอบเค้กวานิลลาร้านนี้ มันเลี่ยน” ผมเหสายตากลับมามองวิวและยังคงนั่งเฉยอยู่ท่าเดิม

“........” สมุทรไม่ตอบ  อีกทั้งไม่ถาม  เขายืนอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วก็ตรงไปที่เคาน์เตอร์และกลับมาอีกครั้งพร้อมกับขนมหวานจานใหม่  มันคือ ทีรามิสุ

ผมเหลือบมอง  ครั้งนี้ไม่ได้ติอะไรกลับไป  อีกฝ่ายจึงนั่งลง...

เสียงเพลงที่ทางร้านเปิดคลอเบาจนได้ยินเสียงฝนด้านนอกที่ลงเม็ดหนักอีกครั้ง  ต่างฝ่ายต่างเงียบอย่างนั้นพักใหญ่  ไม่มีบทสนทนาเลย  แต่กลับไม่รู้สึกถึงความอึดอัดอะไร 

“โกรธที่ผมแพ้รึเปล่าครับ” จู่ ๆ คนตรงหน้าก็ถามขึ้นด้วยคำถามที่ผมเองก็ไม่คาดว่าจะถูกถาม

“หึ ไม่มีใครโกรธนักมวยคนไหนที่ชกกับไอ้แผนแพ้หรอก” ผมยิ้มมุมปาก  จ้องมองแผ่นกระจกที่ปกคลุมไปด้วยเม็ดฝน  ปีนี้เป็นช่วงขาขึ้นของไอ้แผนในวงการมวยไทย  จัดเป็นนักมวยแนวหน้าที่ค่าตัวอยู่ในระดับ A++

“........” สมุทรเงียบไป  ผมเหลือบมองเขาที่ลดระดับสายตาลงมองแก้วกาแฟของตัวเองก่อนจะยกขึ้นดื่มช้า ๆ

“รึถึงไม่ใช่ไอ้แผน ฉันก็ไม่เคยโกรธนักมวยคนไหนที่พยายามแล้วแต่แพ้หรอก” ผมขยายความ  พอมานึก ๆ ดูแล้ว  คำถามนี้จากสมุทรทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงอดีต  นึกไม่ออกว่าเคยโกรธไหมหรือตอนไหน 

“พยายามรึเปล่าล่ะ นายน่ะ ?” ผมย้อนถาม

“ครับ” สมุทรตอบ

“หึ..” ผมหัวเราะเบา ๆ

“เดี๋ยวจะจัดการเรื่องเงินให้ ไม่ต้องห่วงหรอก” ผมพูด

“ครูมวย ทั้งพี่ธานแล้วก็พนักงานที่ค่ายบอกผมหมดแล้วครับ อีกอย่าง.. ผมไม่ได้มาเพราะเรื่องเงิน” สมุทรย้อน  เสียงนั้นแข็งขึ้นเล็กน้อยแสดงจุดยืน  แม้กระทั่งไม่หันไปมองตรง ๆ ก็รับรู้ได้ถึงรังสีที่ไม่พอใจ

“คุณกำลังดูถูกผมนะครับ” อีกฝ่ายขยายความ

“ก็เมื่อคืนฉันถามแล้วไม่ใช่เรอะว่ามาทำไม” ผมย้อนตอบ

“........” คนตรงหน้าเงียบลง  ผมหันกลับไปมองก่อนค่อย ๆ ขยับร่างกายมานั่งตัวตรงตามเดิม  มือที่เท้าคางอยู่เลื่อนวางไปกับที่พักแขนด้วย  เราจ้องมองกันในความเงียบอยู่ครู่ใหญ่  เหมือนว่าจะไม่มีใครยอมแพ้ใครในประเด็นนี้

“ฉันเป็นพวกชอบพูดเรื่องเงินให้มันกระจ่างน่ะ ไม่ได้มีใครกินลมแทนข้าวได้สักหน่อย..” ผมต่อประเด็นอย่างจงใจ

“ทั้งก่อนเริ่มงานทั้งหลังจบงาน เราต่างก็ยอมขึ้นไปเจ็บตัวเพราะเรื่องนั้นนี่ คิดว่าคนที่ลงแรงก็คงอยากรู้ด้วยเหมือนกัน ไม่ดีเรอะ ? ที่ฉันไม่ใช่เจ้านายประเภทที่ว่า เงินเดือนตามความสามารถ” ผมเลิกคิ้วกวน  กล่าวถึงวิถีการทำงานของผมที่มีฐานการวัดงานที่มีมาตรฐานชัดเจน  ส่วนความสามารถรายบุคคลค่อยว่ากันไปตามความสามารถนั้นอีกทีหนึ่ง

“หึ..” อีกฝ่ายหลุดยิ้ม  เหลือบตามองไปอีกทางคล้ายปฏิเสธไม่ได้

“ฉันอยากมีเซ็กซ์กับนาย” ผมพูดสวนทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั้น 

“........” สมุทรชะงักไป  หันกลับมาจ้องมองผมไม่วางตาขณะที่รอยยิ้มค่อย ๆ หุบลง 

“เหมือนที่นายทำกับแฟนนาย อยากรู้ว่าเสียงนายเป็นแบบไหนเวลาที่ของฉันอยู่ในตัวนาย สมุทร.. ฉันอยากทำให้นายเป็นบ้าไปเลย” ผมพูด  ไม่ละสายตาไปจากคนตรงหน้าเลยแม้เสี้ยววินาที

“รึต่อให้นายอยากจะทำฉันเหมือนที่นายทำกับผู้หญิง นั่นฉันก็ไม่สนเหมือนกัน ไอ้ประเด็นหลังนี่น่ะนะ มันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่า อา.. ฉันมาถึงจุดนี้ได้ยังไงนะ” ผมพึมพำพูดบอก  โทนเสียงที่ไม่ถูกกดไว้ด้วยความเกรงใจกับภาษาไทยที่ใช้ได้อย่างอิสระในที่โจ่งแจ้งนี้  ไม่คิดว่าใครในละแวกนี้ฟังออก  หรือถ้าฟังออก  นั่นก็ไม่สนด้วยเช่นกัน 

“........” ผมเงียบลง  สายตาของสมุทรเริ่มเคลื่อนไหวในขณะที่ร่างกายของเขายังคงนิ่งไม่ขยับ

“..แฟนเก่าครับ” อีกฝ่ายขยายความ แก้ไขคำพูดของผมเมื่อครู่นี้ทั้งที่ผมไม่ได้ติดใจอะไร

“สำคัญเรอะ?” ผมย้อน  หมายถึงการแก้คำพูดเล็กน้อยนั้นของเขา

“สำคัญครับ ผมเองก็ชอบพูดให้กระจ่างเหมือนกัน” อีกฝ่ายตอบอย่างหนักแน่น

“หึ..” ผมพ่นหัวเราะที่ตนถูกประชดกลับบ้าง

“การมาของนายมันเหมือนต้องการบอกฉันว่า คืนนั้นมันโอเค” ผมพูด  กวาดตามองทุกปฏิกิริยาบนใบหน้านั้น  ต้องการเก็บทุกรายละเอียดที่เกิดขึ้น  เสียงฝนค่อย ๆ เบาลง  ทำให้บทสนทนาที่เป็นปกติได้ยินชัดเจนขึ้นกว่าก่อนหน้า

“แค่มีอะไรกันเหรอครับ” คำพูดเชิงถามนั้นถูกเอ่ยขึ้นอย่างนุ่ม ๆ   

“แค่เซ็กซ์รึเปล่านะที่คุณต้องการ นั่นคือสิ่งที่ผมตั้งคำถาม..” เขาขยายความ  ผมปิดปากสนิท  จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าไม่มีประโยคไหนที่ควรพูดแทรกออกไปได้ 

“คุณไฟ...” สมุทรผลิยิ้ม

“รู้ไหมครับว่าสำหรับผมมันยากแค่ไหนที่จะต้องยอมรับความรู้สึกที่ผมมีให้คุณ” อีกฝ่ายพูดขณะมองแก้วกาแฟของตัวเอง

“เหตุผลเพราะคุณเป็นผู้ชายเหรอ หึ.. ไม่ใช่หรอกครับ มียากกว่านั้นอีก เพราะมันเป็นคุณต่างหาก” เขาเงยหน้าขึ้นพลางผลิยิ้ม
 
“ผมตั้งทางเลือกให้ตัวเอง.. ว่าควรไปต่อแบบนี้ข้าง ๆ คุณโดยไม่อนุญาตให้อะไรเกิดขึ้น หรือว่าควรคว้าความรู้สึกนี้ไว้”

“แต่ในใจมันมีคำตอบของมันอยู่แล้วครับ ชัดเจนซะจนผมเองก็รู้สึกว่ามันน่ากลัว” สมุทรพูด  ดวงตาที่จ้องมองผมพาดำดิ่งลึกลงไปในความหมายนั้น  ก่อนจะทิ้งช่วงประโยคแล้วเงียบไป 

“ผมเป็นคนใช้ความจำเป็นเป็นเหตุผลให้ตัวเองก่อนตัดสินใจไม่ว่าจะซื้ออะไรหรือทำอะไร แม้แต่เรื่องทำนองนี้ก็เคยคิดว่ามันจำเป็นไหม มันช่วยไม่ได้เพราะสิ่งแวดล้อมบังคับให้โตมาแบบนี้”

“........” ผมเพียงเงียบฟัง  ไม่คิดที่จะพูดแทรกแม้แต่ประโยคเดียว  ต้องการรับรู้ทุกความนึกคิดที่ถูกเปิดเผยนั้นออกมาอย่างใจเย็น  บทสนทนาของเราเป็นไปโดยเรียบง่าย  ไม่มีโทนเสียงกระแทกกระทั้นเลยเช่นกัน   

“แต่ครั้งนี้ ผมแทบไม่สนเรื่องจำเป็นไม่จำเป็นนั้นเลยครับ มีอีกกี่พันเรื่องกันนะที่ผมยังไม่รู้จากคุณ คุณที่ผมยังไม่เคยเห็นเป็นแบบไหน อดีตคุณเป็นยังไง ทำไมคุณมีบ้านที่นี่ล่ะ นี่ฮ่องกงนะ ลูกน้องพวกนั้นด้วย มีอะไรอีกที่ผมควรรู้แต่ไม่ควรถาม แล้วถ้าผมอยากรู้ผมควรทำยังไง หรือมีเรื่องไหนอีกไหมที่ผมควรปิดหูปิดตาไปซะ หึ.. คุณไฟ ผมจะยืนอยู่ข้างคุณได้ยังไงครับ ผมนึกไม่ออกเลย แต่ถึงอย่างนั้น ตัวผมเองก็ดันเถียงเหตุผลที่จำเป็นนั้นกับตัวเองอีก หึ.. ไม่เคยรู้เลยว่าการตัดสินใจไม่คว้าไว้มันยากขนาดนี้มาก่อน

“คุณคิดว่าเราควรจัดการมันยังไงดีล่ะครับ” อีกฝ่ายพูดเชิงถาม  ทุกอย่างถูกตัดบทจบทันทีคล้ายกับผู้พูดเองก็ได้ตัดสินใจแน่นอนแล้ว

“ฉันรักนาย” ผมพูด  การยอมเปิดปากพูดก่อนเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่แน่ชัดในตอนนี้  ยอมที่จะไม่เอ่ยกล่าวออกไปในมุมตัวเอง  ว่าแม้แต่ผมเองการที่จะยอมรับความรู้สึกนี้ก็เป็นเรื่องไม่ง่ายเหมือนกัน
 
“........” สมุทรมองผมไม่กะพริบตา  ผมเองก็เช่นกัน 

“นายจะจัดการมันยังไงล่ะ” ผมต้อนถาม  อีกฝ่ายชะงักไปครู่หนึ่ง  ดวงตาของเขาที่มองผมอยู่ค่อย ๆ เปลี่ยนความหมายไปจากก่อนหน้า   

“ผมตอบรับคุณได้เหรอครับ..”

“ลองตอบดูสิ”




...............(ไฟ)..............

ผู้เขียน:

1. นิยายเรื่องนี้จะย้ายไปที่ห้องนิยายจบแล้ว และไม่มีการต่อตอนพิเศษที่นี่ 
2. ประกาศฉบับวันที่ 11 ธันวาคม 64  เกี่ยวกับเนื้อหาตอนจบ  ความเป็นไปของนิยายเรื่องนี้ในอนาคต  และกรณีปิดรับแบบสอบถามความสนใจ  สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โพสต์ลำดับที่ 20 ลิงก์นี้นะคะ ประกาศแจ้ง 11 Dec 2021
3. อธิบายเนื้อหาที่โพสต์ถัดไป


ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้
ขอบคุณทุกคอมเมนต์และกำลังใจ
ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ ^ - ^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-01-2022 20:37:45 โดย เบบี้ »

ออฟไลน์ เบบี้

  • Take up an Hobby.
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2072
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4336/-15

เพิ่มเติม

1. “ดม” ตัวละครในตอนจบ เป็นตัวละครเก่า เคยปรากฏแล้วในตอนที่ 57 ตำรวจที่สนามแข่ง

2. ตัวละครอื่น ๆ ที่โผล่ขึ้นมาใหม่มีบ้างที่กล่าวถึงอดีตสั้น ๆ  บางอันก็อธิบายแค่หน้าที่เท่านั้น  บางฉากจึงมีตัวละครใหม่ ๆ เข้ามาแล้วออกไป  เพราะพื้นฐานเดิมคืออดีตของไฟและชีวิตที่ใช้มาก็พบเจอคนมามาก  ซึ่งไม่สามารถกล่าวถึงได้หมดโดยละเอียด  ตามพล็อตแล้วไฟมีเส้นสายที่เจ้าตัวเองก็เปิดเผยกับแค่บางคนเท่านั้นอะไรแบบนี้น่ะค่ะ  บางตัวละครและบางมุมจึงตั้งใจวางไว้เป็นปริศนา 555 ตามที่สมุทรพูดถึงความกังวลว่าเขาเองว่ามีสิ่งที่ไม่รู้เกี่ยวกับไฟอีกมาก  ซึ่งเขารับรู้ได้ถึงบรรยากาศรอบตัวไฟที่ไฟเองก็ไม่บอกทุกอย่างกับเขาทั้งหมด

3. อธิบายคอมเมนต์ที่ได้รับจากคนอ่านในตอนที่ 60

.
.

ดุเดือนเลือดสาดของจริง ว่าแล้วคนเบื้องหลังไม่ใช่ใครตำรวจนี่เองสินะ
ทั้งๆที่รู้มาตลอด คนชื่อผาสินะ ไม่รอดหรอกคนผิดต้องได้รับโทษ
ใครยิงตำรวจคนนั้นถ้ามใช่คนที่พี่ไฟเจอมา พี่ทัพรึป่าว? 
หวังว่าไม่มีใครเป็นอะไร อยากให้ทุกคนปลอดภัย ช่วยคนของเราออกมาให้หมดแล้วเผาพวกมันให้สิ้นซากไปค่ะพี่ไฟ
ปล.สมุทรไม่งอนนะฉากบู๊ไม่มีเธอ ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำสมุทรต้องเข้าใจพี่ไฟด้วย
แค่เขาอยู่ด้วยกันนี่ก็ชอบมากไม่จำเป็นต้องพูดเลย เพราะเขาแสดงออกทางสายตาแหละ อิอิอิ
อ่านเท่าไรก็ไม่เคยพอจริงนะ ผูกพันธ์กันมานาน จะจบแล้วใจหายนะเอาจริง
ขอบคุณเบบี้นะคะ ดูแลสุขภาพด้วยค่ะ

ตอบ: ผา เป็นตำรวจที่อยู่ในทีมของทัพ ซึ่งได้เคยกล่าวถึงและมีบทบาทแล้ว แต่ทางนี้ก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าอยู่ตอนที่เท่าไหร่ 555++



“ไม่ว่าจะอยู่ข้างฉันในฐานะไหน ทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเองไม่ใช่เหรอสมุทร”

อ่านตอนนี้รอบ 2 ทำให้ต้องหาเวลา
ย้อนอ่านทั้หมดอีกรอบ
ด้วยความสงสัยที่ว่า
คุณไฟขา เรียกชื่อสมุทร กี่ครั้งในเรื่องนี้
 :a5:

ตอบ: อืมมมม.. น่าคิดค่ะ


อ่านย้อนตั้งแต่แรกเพื่อลำดับเรื่องราวทั้งหมด ผ่านมานานเหมือนกันแต่อ่านเท่าไรก็ไม่เคยพอจริงๆค่ะ
ฉากต่อยมวย หรือแม้แต่บู้เลือดสาดเบบี้แต่งได้ดีมาก เห็นภาพมีความรู้สึกร่วมด้วยเสมอ
 บทบาทความสัมพันธ์พัฒนาแบบไม่ได้รีบเร่งนักแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ
ทุกตอนที่อยู่ด้วยกัน หรือแค่นั่งเงียบๆจ้องตากันไปมาทำไมถึงรู้สึกดีแบบนี้ ชอบอ่ะ
มันเขินจนอยากจะกริ๊ด
คำว่า " รักดีไหมนะ "  แล้วทำหน้ายิ้มกริ่มนี่มันจริงๆนะ
เกือบลืมไปเลยว่าเข้มมีคุณหงษ์แล้ว นึกได้ตอนพี่ไฟบอก 555+
“อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีก  เออแล้วมองตอนไหนนะ หรือว่าตอนที่พูดกับหยาที่บ้านแน่ๆ สายตานั่นคงทำให้สมุทรอดคิดมากไม่ได้
ฉาก NC ไม่ได้หวือหวาแต่่ประทับใจ
ฉันหลงรักคุณไฟตั้งแต่เริ่มต้นและตลอดไป
ถึงตอนจบคงต้องกลับมาอ่านซ่้ำๆเพราะความคิดถึง
รักนิยายเรื่องนี้มากค่ะขอบคุณเบบี้ :mew1:

ตอบ: หมายถึงสายตาตอนที่มองในตอนที่พายุถูกพาตัวไปหลังจบการแข่งขัน  และไฟต้องการปลีกตัวออกไปคนเดียวน่ะค่ะ  ในตอนนั้นได้บรรยายบรรยากาศประมาณว่า  แม้แต่สมุทรเองไฟก็ไม่สนค่ะ  :mew6:


อุ๊ยๆ! ตอนที่ 59 เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากจ้า :-[  บอกตรงๆเลยจ้าเหมือนจะจำตัวละครที่ไม่ใช่ฝ่ายของไฟไม่เคยได้ขนาดนังเต้ยังเกือบลืม555 เชอร์รี่กับคนขายเป็ดย่างเพิ่งมาใช่ม่ะ :confuse:
จะจบแล้วเหรอจะมีฉากหวานกว่าตอนที่ 59 ไหมอ่าอยากอ่าน :impress:

ตอบ: ใช่ค่ะ เพราะในมุมของเรื่องนี้ ผู้เขียนตั้งใจว่าไฟมีลูกน้องอยู่มากที่มีบุญคุณต่อกันและไม่เปิดเผยตัวตน  เพราะอดีตของไฟไม่ได้เกริ่นทั้งหมด จะสอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับอดีตบ้าง  โดยให้มีตัวละครที่ว่าจ้างเพิ่มเข้ามาตามความถนัดนั้น ๆ  โดยที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยว่าพวกนั้นมีที่มาอย่างไร  ดังนั้น จึงไม่สามารถเล่ารายละเอียดได้หมดถึงที่มา  เพื่อตัดความยืดเยื้อนั้นไป (ซึ่งอาจไม่สำคัญต่อบริบท) จึงเป็นการเล่ารวบรัดถึงหน้าที่งานที่ลูกน้องต้องไปทำเท่านั้นค่ะ


บรรยายเห็นภาพ ทุกฉาก เหมือนนั่งดูหนัง เฮียปกป้องน้องหมุด (เฮียรักอะเนอะ วางยาสลบซะเลย) ยังไม่ชัดเจน ฝั่งเต้ (เข้าใจว่าเต้แค้นเฮียที่จับเฮียไม่ได้ เอาความโกรธไปลงที่พายุ)

ตอบ: เต้เป็นตำรวจทีมเดียวกับทัพค่ะ เป็นลูกน้องของทัพ
ส่วนกริดแค้นไฟ แต่จริง ๆ แล้วไม่เชิงว่าเอาความโกรธไปลงที่พายุค่ะ
การที่พายุถูกจับตัวไปเป็นความบังเอิญ (มีเบื้องหลังของสาเหตุแต่ไม่ได้เขียน เพราะนั่นเกิดขึ้นจากมุมของพายุ)
คร่าว ๆ คือ ตอนที่ 59 ที่เล่าไปในตอนก่อนที่เรื่องบนเตียงของไฟกับสมุทร ซึ่งกริดมีส่วนในการล้มมวย จริง ๆ แล้วกริดแค้นกายค่ะ และบังเอิญว่าการได้ตัวพายุไปก็เป็นโอกาสที่จะได้ใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น แต่บังเอิญว่าพี่ไฟแกรู้เส้นสายงานดำ ๆ ของกริดอยู่แล้ว ก็เลยมาใช้จัดการ (ช่วยทัพด้วย) และบังเอิญพายุมันเก่งไปหน่อย เหตุการณ์เลยพลิกผันค่ะ 555++ :katai5: :katai5:


ขออนุญาตตอบเท่านี้ ขอบคุณทุกคนมากเลยค่ะ ~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-12-2021 17:58:19 โดย เบบี้ »

ออฟไลน์ pornvrin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3


“รู้ไหมครับว่าสำหรับผมมันยากแค่ไหนที่จะต้องยอมรับความรู้สึกที่ผมมีให้คุณ”

“เหตุผลเพราะคุณเป็นผู้ชายเหรอ หึ.. ไม่ใช่หรอกครับ มียากกว่านั้นอีก เพราะมันเป็นคุณต่างหาก”

โอย~~~~ ทำไมเค้าเขินกับสองประโยคนี้

ออฟไลน์ THE MIN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
มุแงงงง เค้าอยากได้ตอนสวีททท หวี วี มุแง :ling1:

ออฟไลน์ Nattapoi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอ้ยยยย ลูกชายฉันมีบทยาวๆกับเค้าบ้างแล้วว อิแม่ปริ่มม อยากอ่านเวลาเค้ารักกันจังเลยค่ะ อยากเห็นมุมสวีทอีก พลีสส

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
ลืมตัวละครชื่อดมไปเลย แอบอึ้งอยู่นะ ทุกอย่างดูเคลียร์หมดแล้ว บทสุดท้ายทำเอาซึ้งใจ หรือนี่อินเกินไป55555
ไม่อยากให้จบอยากอ่านต่อ คงต้องกลับมาวนอ่านเพราะคิดถึงตัวละคร เรื่องจริง "อย่าท้าให้บ้ารัก" จบแล้วนะ
แต่ทำไมความรู้สึกนี่ยังเหมือนว่ามันยงไม่จบนะ5555555 ชอบเวลาที่เขาอยู่ด้วยกันเวลาส่วนตัวเป็นโลกของเขา คำพูด หรือแค่นั่งเงียบมันสร้างความผูกพันได้ถึงขนาดนี้ได้ไงกัน อยากเห็นเขาสวีทมากกว่านี้
 ยิ่งตอนสุดท้ายสมุทรจากที่เคยเอาแต่เงียบ พอได้พูดยิ่งรู้ว่าเขายากที่จะตัดสินใจ เพราะ มันคือ "คุณไฟ" ไม่ใช่คนธรรมดาที่ไหน
คำตอบแบบไหนแล้วแต่สมุทรเลยค่ะ เพราะแค่อ่านก็รู้แค่ว่าสมุทรก็รักคุณไฟนี่เขินจะแย่แล้ว กริ๊ดดดดดดดดดด

*ขอบคุณเบบี้
เราผูกพันกับตัวละครมากมาย ขอบคุณที่สร้างพวกเขามาให้รู้จัก รักพี่ไฟมากๆเลยค่ะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ติดตามนิยายของเบบี้เสมอนะคะ ดูแลสุขภาพด้วยค่ะ    :กอด1: :L2:



ออฟไลน์ pwaruntorn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
จบได้ใจบางมากค่ะ หนักแน่น มั่นคงตามสไตล์ ไฟสมุทร ... คนอ่านแบบเราก็เขิลตัวบิดไป 
.
รออุดหนุนตอนพิเศษค่ะ
รอผลงานใหม่ด้วยค่ะ
ขอบคุณเบบี้มากนะคะ...♥️✌️

ออฟไลน์ punthipha

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-0
ขอบคุณที่มาเขียนมาจนจบ
ขอบคุณที่ทำให้อ่านสนุกจนไม่อยากให้จบ
ขอให้มีความสุขกับการเขียน
ขอให้มีเรื่องต่อๆไป
 :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด