[ พ. 10 ส.ค 59 ]
ตอนที่ 24 http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49086.780_ _ _ _ _ _ _ _ _ _
ตอนที่ 25
..ไฟ..07:10 น. บ้านเลิศประสงค์"กินข้าวเช้าพร้อมหน้าพร้อมตาในรอบหลายอาทิตย์ เพราะใครบางคนไม่ต้องไปโรงเรียนสาย" ผมพูดกลางโต๊ะอาหารเช้าที่มีผม พี่ธาน พายุและไอ้ดิน คนที่ถูกว่าถึงอมยิ้มเคอะเขิน
"ยุ..มึงทำข้าวเช้าเหรอวะ" ผมเอ่ยปากบ่นเมื่อป้าอิ่มนำโจ๊กหมูมาเสิร์ฟให้ แค่เห็นก็รู้เลยไม่ต้องเดา สีขาวนวลสะอาดตาอย่างกับเชฟจาก Hong Kong มาเอง จืดสนิทแน่ไม่ต้องเดาอีกนั่นแหละ
"ไม่ดีรึไงล่ะ มีน้องบ้านไหนบ้างตื่นแต่เช้ามาทำข้าวให้กินแบบนี้" พายุตอบหน้ามุ่ย
“วันหลังก็ช่วยทำอะไรที่ไม่ร้อนได้ไหมวะ มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบ” ผมบ่น พายุมองเลิ่กลั่ก
“หึ ๆ” ผมกับพี่ธานหัวเราะ ผมถอนหายใจน้อย ๆ ลงมือคนโจ๊ก อากาศก็ร้อนแล้วยังต้องมานั่งกินโจ๊กร้อน ๆ อีก ประเทศไทย
"ขอผลไม้หน่อยครับ" ผมบอกแม่บ้าน ถ้าให้กินโจ๊กไปทั้งอย่างนี้รู้สึกไม่มีอารมณ์เลย อย่างน้อยก็ขอกินผลไม้นำไปก่อนให้รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้างก็ยังดี
"ได้ค่ะ..คุณพายุซื้อฝรั่งมาเมื่อวาน หวานมากเลยนะคะ" ป้าอิ่มยิ้ม เธอนำจานผลไม้เสิร์ฟลงที่ตรงกลางโต๊ะ มีทั้งสับปะรด ฝรั่งและแอปเปิล ซึ่งผมจัดเข้าปากหมดทุกอย่างเลย
“ถ้าโลกนี้ไม่มีสับปะรด ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง” ผมบ่นด้วยสีหน้าจริงจัง ทุกคนหัวเราะมองเพราะรู้ว่าผมชอบกินสับปะรดมาก
"บ่ายนี้ยุจะทำโดนัทนะ ใครอยากกินรสอะไรบ้าง" พายุยิ้มถาม
"กูเอาสตรอว์เบอร์รีกับบาวาเรียนนะ" ผมสั่งทันที ชอบกิน
"พี่เอาบาวาเรียนเหมือนกัน" พี่ธานยิ้ม
"ดินกินทุกอย่าง แต่ชอบแบบมีอัลมอนด์" ไอ้ดินพูดไปกินไป ผมกับพี่ธานหัวเราะ
"เอ่อ..ขอเพิ่มสตรอว์เบอร์รีกับช็อกโกแลตให้ด้วยอย่างละสามสี่ชิ้นแล้วกัน เอาเป็น..สตรอว์เบอร์รีสาม ช็อกโกแลตสาม แล้วก็บาวาเรียนสาม" ผมพูด นึกอยากเอาไปฝากเมฆและดาวขึ้นมา
"........." ความสงบที่อยู่ ๆ ก็ก่อตัวขึ้น ผมทำเมินที่ทั้งสามคนจงใจเงียบและหันมาจ้องหน้าผมกันเป็นตาเดียว มือผมคนโจ๊กไปพลางก่อนตักกินไม่มองใคร
"ใส่กล่องให้ด้วยล่ะ" ผมพูดแกมสั่ง เมื่อช้อนตาขึ้นมองก็เจอกับสายตารู้ทันจากพี่ธานเป็นคู่แรก
"เฮียจะให้พี่ยุเขียนบนหน้าโดนัทด้วยปะ ?" ไอ้ดินทำเสียงใสแซวคล้ายกับรู้ว่าผมไม่ได้จะกินโดนัทพวกนี้เอง
"ไม่กวนตีนผมสิครับ" ผมเตือนเรียบ ๆ
"หึ ๆ ๆ" ทั้งสามคนหัวเราะพร้อมใจ
อาหารเช้าเป็นไปด้วยความสงสัยที่ไม่ถูกถาม ซึ่งก็ดีแล้วไม่งั้นพวกมันจะถูกถีบ เราแยกย้ายกันไปหลังจากนั้น ไอ้ดินออกจากบ้านพร้อมกับพายุเพราะพายุต้องไปส่งมันที่โรงเรียนเรียนพิเศษและพายุมีหน้าที่ที่ จะต้องรับมันกลับบ้านด้วย สมุทรเดินทางมาถึงจวนเจ็ดโมงสี่สิบนาที ผมจึงสั่งให้พี่ธานไปบอกกับอีกฝ่ายว่าให้เขาซ้อมล่อเป้ากับไอ้เด่นล่วงหน้าไปเลย ไอ้รุ่งยังคงเก็บตัวอยู่ที่ค่าย ส่วนไอ้หินไปอ่านหนังสือที่มหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้าแล้ว เห็นว่าใกล้ช่วงสอบมิดเทอมเต็มแก่ ผมจึงไม่ค่อยเรียกใช้งานมันนัก ไอ้เข้มออกไปสืบเรื่องมือปืนตั้งแต่เสร็จอาหารมื้อเช้า ที่บ้านจึงเหลือแต่ไอ้เด่นเท่านั้น
"คุณไฟตั้งใจจะซื้อที่ดินผืนนี้ที่ชลบุรีจริง ๆ ใช่ไหมครับ ที่มันไม่ค่อยสวยเท่าไหร่" พี่ธานถาม เรานั่งคุยอยู่ในห้องนั่งเล่น ผมละสายตาจากสมุทรและไอ้เด่นที่ซ้อมอยู่ที่โรงฝึกมานั่งลงที่โซฟา
"ซื้อไว้ก็ไม่เสียหายอะไร ผมว่ามันถูกดี" ผมตอบ
"เดี๋ยววันที่ไปชกที่พัทยาผมว่าจะไปดูเองสักหน่อย อยากรีบซื้อไว้เลย เห็นไอ้คินว่ามีคนสนใจเยอะอยู่เหมือนกัน"
"ไป ๆ มา ๆ ไม่ใช่โก่งราคาขึ้นอีกนะครับ" พี่ธานพูดแกมบ่น
"ผมได้ข่าวมาว่าครอบครัวของไอ้โชอยากตั้งโรงงาน มีแผนอยู่น่ะนะ บ้านนั้นน่ะซื้อไม่ทันคนอื่นเขาหรอก หลายปากหลายสมอง กว่าจะวางแผนเสร็จที่ดินดี ๆ คงถูกกว้านซื้อไปหมดแล้ว ผมซื้อไว้..เผื่อได้พึ่งพากัน" ผมพูดเว้นจังหวะพลางนึกถึงไอ้โช คิดว่าถ้าไอ้โชอยากได้ผมก็จะขายให้มันในราคาที่ซื้อมา มันรักทะเล มาอยู่กรุงเทพเอาเข้าจริง ๆ เดี๋ยวก็จะคลั่งตายซะเปล่า ๆ
“ผมอยากได้ที่ดินติดทะเลอีก ถ้ามี..รีบบอกผมด้วยนะ สุราษฎร์ก็ดีนะ..ผมชอบ” ผมพูด
“ได้ครับ” พี่ธานยิ้มน้อย ๆ
"แล้วคุณโชจะกลับมาเมื่อไหร่ละครับ"
"ยังไม่รู้เลย มันไม่เคยเตรียมอะไรสำหรับที่นี่สักอย่าง ลอยชายไปมา ถ้ามันมาก็คงมาตัวเปล่า..มีแต่หมอยกับกางเกงใน" ผมอดบ่นไม่ได้
“หึ ๆ คุณนี่” พี่ธานปิดปากยิ้ม ๆ
"เราไม่ได้ขึ้นเชียงใหม่มานานแล้วนะ" ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ เพราะเห็นข้อมูลในสมุดโน้ตของตัวเองที่เพิ่งเปิดดู
"เสร็จจากแข่งที่พัทยา ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นผมว่าจะขึ้นไปดูสักหน่อย อย่าบอกใครที่นั่นล่ะ"
"ได้ครับ แต่..ตัวเลขก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ" พี่ธานบอก
"อืม..ผมเห็นแล้ว ตรวจดูในเว็บไซต์ก็ไม่มีใครร้องเรียนอะไร แต่แค่อยากขึ้นไปให้เห็นกับตาน่ะ" ผมพูด
"ครับ" พี่ธานผงกหัว
"ไอ้กริด..มันก็เงียบไปเลยนะเรื่องป๋าจง” พี่ธานเอ่ยเว้นวรรคคล้ายกับเกรงใจที่จะพูดถึง
“ไม่รู้ว่าป๋าไปพูดยังไง" ผมบ่น หลาย ๆ เรื่องที่ประดังประเดไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ถึงผมจะแอบคิดว่าอาจเป็นฝีมือของไอ้กริดแต่ผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่อเสียทีเดียว ผมพยายามไม่เก็บเล็กผสมน้อยในปัญหานั้น ๆ เพราะมันจะทำให้ผมปวดหัวเกินปัญหา
"ที่ ๆ มันอยากได้ที่ภูเก็ต มันจะเอาไปทำอะไร คนอย่างมันนี่นะจะลงมือทำธุรกิจเอง มีดีนอกจากเกาะพ่อมันไปวัน ๆ หรือเกาะชายเสื้อคนอื่นเพื่อหุ้นทำธุรกิจด้วยเหรอ" ผมพูด
"หน้าตามัน..ไม่ใช่คนที่จะกล้ายอมเสียเงินหลายร้อยล้านเพื่อที่ดินไม่กี่ไร่ได้หรอกครับ" พี่ธานวิเคราะห์
"พี่กำลังจะบอกว่า มันต้องการมากวนประสาทผมงั้นซิ ?" ผมเท้าแขนลงที่หน้าขายิ้มสบาย ๆ
"ผมแค่สงสัยว่ามันรู้จักกับคุณริศาได้ยังไง" พี่ธานจ้องหน้าผม
“ข่าวลือที่ว่ามันพัวพันกับคนใหญ่คนโตในวงการการเมือง..” พี่ธานเอ่ย
“อาจจะจริงก็ได้” ผมพูดแทรกทันที เราต่างเงียบเสียงลงเพื่อใช้ความคิด ที่ผ่านมาผมไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายเพื่อสอดรู้เรื่องของใครเกินจำเป็น เรื่องบางเรื่อง..รู้เพื่อรู้ ไม่ว่าจะเป็นวงการสีขาว วงการสีดำหรือวงการเทา ๆ หากคน ๆ นั้นไม่ได้เอาเปรียบหรือติดหนี้ผมอยู่ อย่างที่ผมเคยพูดว่าพวกเราต่างก็ระวังตัวและเรียนรู้ซึ่งกันและกันว่าอะไรควรอะไรไม่ควรเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ การเสือกเรื่องคนอื่นที่ไม่มีผลประโยชน์ต่อผมหรือคนสำคัญของผม.. ผมถือว่าเป็นการเสือกที่เสียเวลาเปล่า
"ผมไปรู้มาว่ามันน่ะ.. เกลียดเกย์สุด ๆ" พี่ธานพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเบา
"หึ..ไปรู้มาจากไหน" ผมเหล่ตามอง
"ไม่นานมานี้ครับ คุณจำเพื่อนของมันที่คุณโปรดไปแข่งรถด้วยได้ไหมครับ ผมไปได้ยินคนในสนามคุย ๆ กัน กลุ่มมันน่ะ..เกลียดเกย์ตัวพ่อเลย" พี่ธานแสยะยิ้มมุมปาก ผมนิ่งฟัง
“มันไม่คิดเหรอว่าเกย์ก็อาจจะเกลียดมันด้วยเหมือนกัน” ผมพูดปนหัวเราะ พี่ธานได้แต่ยิ้มน้อย ๆ
“ก็นะ..มันเป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล” ผมเล่นเสียง
"งั้นพวกมันก็เป็นศัตรูของไอ้โปรดตัวจริงเสียงจริงเลยน่ะสิ" ผมปั้นหน้าเหลือเชื่อ
"ถ้ามันระแคะระคายเรื่องที่คุณเองก็โอเคกับผู้ชายละก็" พี่ธานพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำลง
"ไม่มีผลอะไรกับผมอยู่แล้ว" ผมย้อนเสียงห้วนทันที ทั้งย่าและริศาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าผมหลับนอนกับผู้ชายแต่แค่ไม่พูดออกมาเป็นคำพูดก็เท่านั้น
“อีกอย่าง..ที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยปิดบังสักหน่อย” ผมว่า
"แล้วคุณพายุละครับ ?" พี่ธานเอ่ยถึง ผมชะงัก เหลือบสายตามองไปที่อีกฝ่าย
"ผมก็แค่เป็นห่วงน่ะครับ" พี่เขาหลบสายตาผมในทันที
"ฝีมือระดับไอ้กริดเอาพายุไม่อยู่หรอก" ผมพูดเรียบ ๆ แฝงไปด้วยมุกตลกที่ตัวเองก็ขำไม่ออก แม้ความจริงคือถึงมาเป็นสิบคนพายุก็ยังเอาอยู่ แต่สิ่งที่พี่ธานกำลังกังวลคือ..ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ผมนั่งเงียบอย่างใช้ความคิด เพราะความกังวลจากพี่ธานเลยทำให้สิ่งที่ผมไม่อยากนึกถึงดันนึกถึงขึ้นมาอีกครั้ง พี่ธานเองก็ก้มหน้าก้มตาเงียบไปแล้ว
"ตั้งแต่พ่อเสีย..ผมทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้พายุเดือดร้อน แต่ถ้าผมเอาไม่อยู่ขึ้นมา ผมฝากด้วยแล้วกัน" ผมพูด
"คุณทำไมชอบพูดเหมือนนายท่านเลยครับ" พี่ธานเงยหน้าขึ้นต่อว่าหน้าเครียด การหงุดหงิดต่อหน้าผมที่น้อยครั้งที่ผมจะได้เห็น
"ก็พ่อลูกกันนี่" ผมได้แต่ยิ้มตอบ อีกฝ่ายถอนหายใจ เหสายตาหนีเหมือนกำลังกักเก็บอารมณ์
"แต่ก่อนน่ะ..บ้านเรามีเรื่องแทบไม่เว้นแต่ละวัน ไปงานศพกันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างกับเปลี่ยนที่กินข้าวเย็นอย่างนั้น” ผมพูดปนหัวเราะเมื่อต้องนึกถึงอดีต
"พี่ทัพเล่นสนุกกับผมกับพายุไว้ที่เขาใหญ่..แล้วจู่ ๆ ก็หายไป เชื่อฟังผิดปกติไปหมด" ผมพูด
"ช่วงนี้มันสงบ จนบ้างทีผมรู้สึกใจหายเลย" ผมอมยิ้ม บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองกำลังพูดอยู่ในความรู้สึกอย่างไร
"ชอบแบบไหนมากกว่ากันละครับ" พี่ธานถาม เราสบตากันยิ้ม ๆ รอยยิ้มที่สื่อออกมาไม่ได้ต่างความหมายกันเลยแม้สักนิดเดียว
"พี่ล่ะ..?" ผมถามกลับ
"ผมไม่เลือกหรอกครับ คุณเลือกแบบไหน ผมก็ชอบทั้งนั้น" พี่เขาตอบ
"3P งั้นเหรอ ?" ผมได้ช่องกวนเปลี่ยนบรรยากาศทันควัน
"หึ!" พี่ธานหลุดหัวเราะคล้ายกลั้นเอาไว้ไม่ทัน
"พอเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา พายุกลับไม่เคยขอในสิ่งที่ต้องการเลย ถ้ามันพูดขอตรง ๆ ผมก็อาจจะให้มันก็ได้แท้ ๆ" ผมพูดตาลอย
"หมายถึง..จะเอาเก็บไปพิจารณาดูเฉย ๆ น่ะนะ" ผมทิ้งท้ายกวน ๆ พี่ธานส่ายหัวเล็กน้อย
"ไปเถอะครับ เริ่มงานที่เรารักกันดีกว่า" ผมถอนหายใจตัดบทพร้อมลุกขึ้น
"วันนี้วันครบรอบเก็บดอกเบี้ยนี่" ผมนึกขึ้นได้
"ครับ เที่ยง ๆ ผมเริ่มงาน" พี่ธานบอก ผมพยักหน้ารับทราบ
"เช้านี้ผมว่าจะไปสนามยิงปืนสักหน่อย แล้วต้องเข้าไปที่ห้างอีก..มีบริษัทมาขอเช่าที่รายปีน่ะ สัญญายาวสามปีเลย ดีเป็นบ้า..เสร็จแล้วจะเข้าค่ายมวยต่อเลย" ผมบอกแผนของผมในวันนี้
"งั้นผมไปด้วยนะครับ ความจริงไอ้เข้มจะเข้ามาสมทบกับผมสาย ๆ วันนี้เหมือนกัน"
"ได้..งั้นฝากบอกเด็กใหม่พี่ด้วยแล้วกันว่าให้เขาอาบน้ำได้แล้ว" ผมพยักหน้าส่งสัญญาณไปทางโรงฝึก
"อาบห้องพี่นะ ผมว่าจะช่วยตัวเองสักหน่อย" ผมปัดไปทีแล้วลุกหนีออกมาไม่ทันให้พี่ธานซักเอาความ ตามจริงแล้วผมยังไม่พร้อมเจอหน้าสมุทรตรง ๆ มันเหมือนกับในใจยังคงมีคำถามว่าเมื่อวานนี้เขากับพลอยไปไหนมาบ้าง พลอยไม่ติดต่อมาเลยเช่นกัน เรียกว่าเงียบสุด ๆ เมื่อวานผมเปิดไปดูเฟซบุ๊กของทั้งสมุทรและของพลอย สมุทรไม่โพสอะไรมาร่วมสองอาทิตย์แล้ว ส่วนพลอยปกติที่ชอบโพสนั่นนี่กลับเงียบฉี่เช่นกัน จะบอกว่าการมีเฟซบุ๊กของเขาค่อนข้างไร้ประโยชน์เลยก็ได้นะครับ ผมเชื่อ
- - - - - - - - - - - - - - -
15:01 น. : ค่ายมวยชัยโรจน์“เฮ้อ~” ผมหันขวับไปมองหน้าไอ้เด่นทันทีที่เห็นมันถอนหายใจเบา ๆ อีกฝ่ายที่เพิ่งปิดประตูรถให้ผมถึงกับชะงัก มันได้สติมองผมด้วยความตกใจก่อนก้มหน้าก้มตาหนี
“ถอนหายใจทำไม.. แม่ตาย ?” ผมตาขวาง ถามเสียงห้วนเพราะรู้สึกไม่ชอบที่ได้ยินอะไรทำนองนี้ ผมเป็นเจ้านายมัน ผมมีสิทธิ์คนเดียวที่จะถอนหายใจอย่างนั้น ก็ไม่อยากจะจับผิดหรอกนะครับแต่ปกติพวกมันค่อนข้างระวังการกระทำต่อหน้าผมพอสมควร
“ก็วันนี้นายไม่ยิ้มเลยครับ” ไอ้เด่นพูดแก้ตัวงึมงำกลัวความผิด ผมเห็นด้วยหางตาว่าสมุทรยืนรออยู่อีกฝั่งหนึ่งของตัวรถแล้ว เราเพิ่งกลับมาจากเสร็จภารกิจของวันนี้ พี่ธานบังคับสอนสมุทรให้เรียนรู้จักพื้นฐานเบื้องต้นเกี่ยวกับปืน ซึ่งผมเป็นคนแอบสั่งให้พี่ธานทำอย่างนั้นเอง คิดว่าถ้าพี่ธานเป็นคนพูดสมุทรน่าจะเกรงใจและเต็มใจทำตามมากกว่า
“ปกติแล้วกูยิ้มบ่อยรึไง” ผมบ่น
“แต่เดี๋ยวนี้นายยิ้มบ่อยขึ้นนะครับ” ไอ้เด่นเงยหน้ายิ้มกว้าง
“ไปเอากระเป๋าเสื้อผ้ามา” ผมเปลี่ยนเรื่อง ขี้เกียจพูดอธิบายเพราะที่ไม่ยิ้มก็ไม่มีเหตุผลในตัวอยู่แล้ว ไม่ได้อารมณ์เสียแต่ก็ไม่ได้อารมณ์ดี แค่ไม่มีเรื่องทำให้ยิ้ม ไอ้เด่นรับหน้าที่นำกระเป๋าของผมที่ท้ายรถมาให้ ผมเดินนำเข้ามาในค่ายก่อน สมุทรจึงตามมาติด ๆ
“ดื่มน้ำไหมครับ” เขาถาม
“ไม่ล่ะ” ผมตอบไม่มองหน้าเขา รู้เพียงว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องหน้าผมเขม็ง
“อะไร ?” ผมมองหน้า
“เปล่าครับ” สมุทรก้มหน้าลงเล็กน้อย
“หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้ลุง ๆ ทั้งหลาย
“นี่ ๆ รายชื่อนักมวยที่พัทยามาแล้ว” ลุงลอยกวักมือเรียกผมด้วยสีหน้าตื่นเต้น ผมรีบเข้าไปหา แกหยิบกระดาษออกมากางให้ดู
“ไอ้ยุทธมันส่งพยัคลงจริง ๆ” ลุงแกกระแทกเสียง
“พยัค” คือนักมวยมือดีและมีชื่อเสียงที่สุดของค่ายหาญสิงห์ นั่นก็คือค่ายของเสี่ยยุทธนั่นละ
“เสี่ยปรีดาส่งใครครับ” ผมถาม
“ยังไม่ขึ้นชื่อ” ลุงขันตอบ
“ได้ข่าวว่า มีการเปลี่ยนหุ้นน่ะ อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนเก้าอี้เป็นเสี่ยเจียนซะเฉย” ลุงลอยเข้ามากระซิบ
“เรื่องมันยาว” ลุงแกยักคิ้วให้ ผมอมยิ้มมุมปากไม่คิดถามเรื่องนี้ต่อ
“ไอ้นพเจอใคร” ผมซัก
“โรเจอร์ของค่ายทัพนคร” ลุงลอยตอบ ผมพยักหน้ารับทราบ
“หึ..งานหนักไม่เบา” ผมยิ้มแกมบ่น ลุงลอยหัวเราะในลำคอคล้ายเห็นด้วยกับผม
“งานหนักไม่เบา” ผมพึมพำซ้ำ ๆ เดินไปที่ข้างเวที บนนั้นไอ้นพกำลังซ้อมอยู่กับครูมวยอย่างขะมักเขม้น
“นพ!” ผมเรียก
“ครับ” ไอ้นพหยุดซ้อมรีบวิ่งมาหาผมทันที
“พักก่อน เดี๋ยวซ้อมกับฉัน” ผมสั่ง
“ได้ครับ” มันพยักหน้ารับงง ๆ
“จนกว่าจะถึงวันชกผมจะเป็นคู่ซ้อมให้นพเอง” ผมหันกลับไปบอกลุงลอย อีกเพียงแค่ห้าวันก็จะถึงวันชกจริงแล้วและผมอยากให้เวลาที่เหลือได้คลุกคลีกับไอ้นพด้วยตัวเอง
“เอางั้นก็ได้” ลุงลอยผงกหัวรับทราบ ไอ้เด่นยืนถือกระเป๋ารอผม ผมรับมาถือไว้เพื่อนำเข้ามาเปลี่ยนที่ห้องอาบน้ำ สมุทรกับไอ้เด่นเองก็ตามเข้ามาเปลี่ยนด้วยเช่นกัน หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จก็แยกย้ายกันไปคนละมุมตามหน้าที่ของตนเอง ผมเริ่มจากอบอุ่นร่างกายก่อนเป็นอันดับแรกและขึ้นซ้อมกับไอ้นพในทันทีโดยมีลุงลอยและลุงขันคอยชี้แนะอยู่ใกล้ ๆ
“ฟู่! เหนื่อยเหมือนกันว่ะ” ผมออกปากบ่นหลังจากซ้อมเสร็จ เราสองคนแทบไม่ได้พักเลยร่วม ๆ สองชั่วโมง แถมยังใส่กันหนักไม่ยั้งทั้งคู่ เวลาที่ซ้อมกับไอ้นพมักได้รู้สึกเหมือนซ้อมกับพี่ธานยังไงอย่างนั้น อึด ถึก ควาย อดทนสุด ๆ
“หึ นาน ๆ ทีผมจะได้ยินคุณบ่นแบบนี้นะครับ” ไอ้นพพูดไปหอบไป ลุงลอยรีบนำน้ำมาให้ผม
“พรุ่งนี้เหมือนเดิมนะ เดี๋ยวฉันมาซ้อมด้วย” ผมบอกไว้ก่อนล่วงหน้า
“ขอบคุณครับ” อีกฝ่ายผงกหัวยิ้ม ๆ ผมยื่นแก้วกลับให้ลุงลอยเมื่อดื่มเสร็จแล้วลงจากเวที
“คุณพายุโทรมาครับนาย” ไอ้เด่นวิ่งนำโทรศัพท์มือถือมาให้ ผมนำหูเข้าไปแนบแทนที่จะรับมาถือดี ๆ ด้วยตัวเอง ไอ้เด่นจึงอำนวยความสะดวกยื่นโทรศัพท์ขึ้นสูงให้เสมอกับหูของผม
“ว่าไง” ผมทัก
“ทำโดนัทเสร็จแล้วนะ จะให้ยุเอาไปให้ไหม” พายุถาม ผมชะงักเพราะคำพูดมันเหมือนรู้โดยไม่ต้องถามข้อมูลจากผมเลยว่าผมจะนำไปให้คนอื่นภายในวันนี้ สายตาชำเลืองไปที่สมุทรที่กำลังนำนวมมาเก็บเข้าที่ชั้นวาง อีกฝ่ายเหลือบตามาสบเข้ากับผมพอดี
“ไม่ต้องอะ..เอาไว้นั่นแหละ เดี๋ยวกูไปเอา” ผมตอบ
“โอเค” พายุรับปากก่อนตัดสาย ไอ้เด่นนำโทรศัพท์มือถือกลับไปเก็บ
“สมุทร” ผมเรียก
“ครับ” อีกฝ่ายขานรับ เดินตรงมาหาผมทันทีเพราะเขาก็มองผมอยู่ก่อนหน้าอยู่แล้วน่ะนะ
“วันนี้พายุทำโดนัทน่ะ เลยทำไว้เผื่อน้องนายด้วย ก่อนกลับบ้านเดี๋ยวไปเอาด้วยแล้วกัน” ผมพูดบอกโดยเว้นข้อมูลบางส่วนออกไป สมุทรนิ่งมอง สายตาเหมือนปรับอารมณ์ตามรูปประโยคไม่ทันก่อนอมยิ้มน้อย ๆ มาให้
“ขอบคุณครับ”
“เอ่อ..” อีกฝ่ายอ้ำอึ้งทำท่าเหมือนมีอะไรจะพูด ผมจึงหันไปมองเขาโดยไม่เดินไปไหน
“คุณจะกลับแล้วเหรอครับ”
“ใช่” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“คือว่า เอ่อ”
“อะไร ?” ผมย้ำถามคิ้วขมวด เห็นแล้วรำคาญตา ก็อีกฝ่ายไม่ยอมพูดซักที
“คุณโกรธอะไรผมรึเปล่า” สมุทรถามทันที
“เปล่านี่” ผมตอบทันควันเช่นกัน
“........” เราเงียบลง อีกฝ่ายสบตาคล้ายกับยังมีคำถามเหลืออยู่แต่ก็ไม่พูดออกมา
“คุณว่างแล้วเหรอครับ” เขาเบี่ยงประเด็น
“ทำไม..?” ผมถามกลับ
“คือเมฆกับดาวถามถึงคุณน่ะ” สมุทรตอบ ผมนิ่งฟัง จะว่าตกใจที่ได้ยินก็ไม่เชิง แต่คิดว่าเหนือคาดที่ได้ยินมากกว่า
“วันนี้ใกล้ ๆ บ้านมีงานวัดน่ะครับ สุดสัปดาห์นี้ผมพาพวกเขาไปไหนไม่ได้ก็เลยรับปากไปว่าคืนนี้จะพาไปงานวัดให้ก่อน คือ.. ถ้าคืนนี้คุณว่าง..” สมุทรพูด น้ำเสียงค่อนข้างเป็นไปอย่างตะกุกตะกักนิด ๆ มันไม่ใช่อาการเกร็งหรือตื่นเต้นขณะที่พูด แต่เป็นการพูดที่ปนไปด้วยความไม่แน่ใจมากกว่าว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นควรดีหรือไม่
“คือ..ฉันว่าง” ผมพูดแทรกก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ ใบหน้าของผมยังคงไม่แสดงอาการอย่างก่อนหน้า เรื่องอะไรผมจะแสดงอาการว่าตอนนี้น่ะ..
กูโคตรว่างเลยล่ะ ใจกูแม่งไปถึงงานวัดละเนี่ย!“งั้น..ไปด้วยกันไหมครับ” อีกฝ่ายยิ้มออกมาได้ ผมนิ่งมอง
“เมื่อวานก็พาพลอยไปงานวัดงั้นเหรอ ไม่ยักรู้แฮะว่ายัยนั่นเที่ยวอะไรแบบนี้เป็นด้วย” ผมอดเหน็บถึงไม่ได้ ใจจริงอยากรู้อะไรมากกว่านี้ละนะแต่ถ้าให้ถามตรง ๆ มันก็คงไม่ใช่เรื่อง
“แค่ออกไปกินข้าวกันน่ะครับ” สมุทรบอก หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็เงียบอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างไม่ได้มองหน้ากัน จะว่าคำตอบจากสมุทรทำให้ผมสบายใจขึ้นมาหน่อยก็คงใช่ ไม่ใช่สบายใจว่าทั้งคู่ไม่ได้เกินเลยกันอย่างที่ถ้าเป็นกรณีผมอาจจะจบที่เตียง แต่รู้สึกค่อนข้างพอใจที่เขากล้าพูดบอกผมออกมาตรง ๆ ปกติถ้าเป็นลูกน้องคนอื่นผมคงซักจนสะอาดเอี่ยมไปแล้ว แต่กลับเขาผมไม่คิดที่จะแตะต้องเกินจำเป็น
“งั้นฉันกลับก่อนแล้วกัน ส่วนโดนัทเดี๋ยวฉันเอาไปให้นายที่บ้านเอง” ผมตัดบทก่อนที่บรรยากาศมันจะงงงวยไปมากกว่านี้
“ครับ” อีกฝ่ายผงกหัวรับทราบ
“ไอ้เด่น!” ผมตะโกนเรียก
“คร้าบนาย” มันขานตอบเสียงใส รีบวิ่งมาทั้งที่ยังไม่ถอดนวมออก
“กลับบ้าน” ผมสั่ง เดินนำไปเข้าห้องอาบน้ำก่อน ไอ้เด่นอุทานงง ๆ แต่ไม่นานมันก็ตามผมเข้ามาที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าติด ๆ ผมเดินทางกลับบ้านโดยที่ไอ้เด่นเป็นคนขับรถเหมือนเดิม วันนี้มันรับหน้าที่ขับทั้งวัน ผมอาบน้ำแต่งตัว ไม่ได้รีบร้อนอะไรนักเพราะคิดว่าสมุทรคงอยู่ซ้อมอีกสักพักถึงจะกลับบ้านได้