9
“ เฮ้ย..กูไปก่อนนะเว้ยพวกมึง”
ร่างสูงใหญ่ของเกียรติภูมิ ลุกขึ้นท่างกลางกลุ่มเพื่อน ด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างหงุดหงิดและคุกรุ่น
“ มึงจะรีบไปไหนวะเกียร์ อีกตั้งชม.”
เขาไม่ตอบเพื่อนแต่สาวเท้าก้าวยาวๆออกมา ด้วยใบหน้าติดจะบึ้งตึง
พวกเพื่อนเขาไม่ค่อยติดใจสงสัยกับท่าทีของเขามากนัก ปกติก็ไม่ใช่คนพูดมาก ไม่ค่อยยิ้มแย้มอะไรอยู่แล้ว
“ ปึก!...แม่งเอ๊ย!”
หมัดหนักๆ ถูกปล่อยเต็มกำลังลงกับกำแพงตึกด้านหลัง
เพื่อระบายอารมณ์ที่มันทั้งเจ็บทั้งหนักหน่วงอยู่ภายใน
ก้มหน้าลงปล่อยให้หยาดเหงื่อแห่งความรุ่มร้อน หยดลงกระทบพื้นซีเมนต์ ไม่สนใจข้อมือที่แยกยับ
ในหัวเฝ้าแต่สมน้ำหน้าตัวเองอยู่ซ้ำๆในความขี้ขลาดของตัวเอง
เกียร์เฝ้ามองคนๆหนึ่งมาหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่บังเอิญได้ช่วยร่างโปร่งนั้นไว้
จากพวกผู้หญิงที่เป็นฟนคลับบ้าบออะไรก็ไม่รู้ พอเห็นเขาก็หันไปแอบกรี๊ดกร๊าดกัน
จนเป็นเหตุทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆเขาเซไปข้างหน้า จนเกือบโดนรถชน
เขาหันไปว่า เพราะต้นเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากเขา
แม้จะไม่เคยชอบเคยเข้าใจแฟนคลับอะไรนั่นนัก เขาไม่ใช่ไอดอล ไม่ใช่ดารา นักร้องนี่ยังห่างไกล
ไม่รู้ใครเป็นคนคิดตั้งมันขึ้นมา.....
แต่ครั้งนี้เขาคงนึกขอบคุณพวกเธอในใจ เพราะเป็นเหตุให้เขาได้พบกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอง่ายๆ
คนที่ทำให้ก้อนเนื้อในอกมันสั่นมันร่ำร้องว่าคนนี้แหละ... ใช่เลย
แม้จะไม่กี่นาทีหรืออาจะไม่ถึงหนึ่งนาทีเสียด้วยซ้ำที่ได้ใกล้ชิด
แต่รอยสัมผัสและกลิ่นกายหอมๆนั้นกลับตรึงใจเขามาจนทุกวันนี้
แต่นั่นยังไม่ทำให้เขาได้หลงชอบอีกคนเท่ากับการที่
คนๆนั้นมองเห็นแม่หมา กับพวกลูกๆของมันที่กำลังนอนดูดนมแม่ที่ผอมแห้งลงจนเห็นแต่ซี่โครง
ใต้ตึกที่ก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ แต่คนงานได้หยุดงานไประยะหนึ่งแล้ว
ตอนแรกที่ขับมอร์ไซค์ผ่านมา เขาแค่สะดุดตาคนในห้วงคำนึง
ที่ยืนมองเศษซากปูนซากไม้ที่กองสุมกันอยู่ไม่ไกลจากข้างทางเดินมากนัก
แต่หากไม่เพ่งมองก็จะไม่มีใครเห็น คนเดินผ่านไปผ่านมาเป็นสิบเป็นร้อยไม่มีใครเห็น
หรือว่าเห็นแล้วแต่ไม่สนใจก็ตาม
แต่คนๆนั้นกับยืนมองอยู่อย่างนั้นชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินผ่านไปอย่างคนอื่นๆ
เขาก็ไม่ได้คิดอะไรในตอนนั้น ก็แค่ขับเจ้าสีนิลตามดูอีกคนตามเสียงหัวใจมันสั่งการก็เท่านั้น
อีกคนเดินไปได้ไกลราวๆกว่าร้อยเมตร ก็แวะเข้าร้านสะดวกซื้อ
ก่อนจะกลับออกมาซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง ตับย่าง จำนวนหนึ่ง
กับพวกฮอทด็อกลูกชิ้นปิ้งอีกจำนวนหนึ่งไม่มากเช่นกัน ที่วางขายกันด้านหน้าร้านสะดวกซื้อ
แล้วเดินย้อนกลับมาในระยะทางเท่าเดิม
เห็นร่างโปร่งนั้น แกะนมกล่องแล้วเทใส่ขันที่คาดว่าจะซื้อมาพร้อมกับนม
รูดไม้ที่เสียบพวกของปิ้งย่าง วางไว้ไม่ไกลจากแม่หมามากนักด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ยินดียินร้ายแล้วเดินออกมา
ไม่นานแม่หมาก็ลุกขึ้นโซซัดโซเซมาดมๆกลิ่นอาหารแล้วก็กินอย่างตะกรุมตะกราม
นาทีต่อมาพวกตัวเล็ก4-5 ตัวก็พากันสุมหัวลงในขันสีชมพูใบเดียวกัน
ถึงตอนนั้น เขาถึงเห็นรอยยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยว ของคนที่แอบมองแม่หมา กับลูกหมาตัวเล็กตัวน้อยเป็นครั้งแรก
และนั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ที่เห็นอีกคนยิ้มหัวเราะจนเห็นฟันเขี้ยวที่เรียงตัวสวย
เป็นคนฟันสวยมาก ยิ้มสวยมาก
แต่น่าแปลก....ที่กลับไม่ค่อยยิ้มกว้างหรือหัวเราะให้ใครได้เห็นความมีเสน่ห์ตรงนั้น
แต่ก็ดีด้วยอีกอย่างเขาจะได้เก็บรอยยิ้มกว้างๆนั้น... เอาไว้ดูคนเดียว
แม้จะผ่านไปนานจนกลายเป็นหลายเดือนแล้วก็ตาม รอยยิ้มนั้นก็ยังตรึงตาตรึงใจเขาอยู่
หลังจากเหตุการณ์นั้นเพียงแค่ห้าวัน
เขาก็ได้รู้ว่ารุ่นน้องคนนั้นชื่อว่าอะไร เรียนอยู่คณะไหน ข้อมูลพื้นฐานเหล่านั้นเขาหาได้ไม่ยากเย็นเลยสักนิด
เมื่อเพื่อนฝูงในกลุ่มหรือแม้แต่ในคณะต่างพูดถึงเฟรชชี่คนดังกันให้ว่อน
แค่เปิดเทอมไม่เท่าไหร่ ก็ทำหนุ่มหล่อเดือนบริหารเดินตามได้ต้อยๆ
นั่นไม่รวมรุ่นน้องคณะเขากับคณะข้างๆอีกด้วย เห็นว่าแย่งกันตามรับตามส่งจนถึงขั้นเขม่นกัน
ส่วนเขาได้แต่ตามไปแอบมองอยู่ห่างๆ คอยดูอยู่ไกลๆ ไม่ใช่ว่าเขาขี้ริ้วขี้เหร่หรือไร้เสน่ห์แต่อย่างใด
ที่สู้พวกนั้นไม่ได้คงเป็นเรื่องของฐานะที่ไม่ได้ร่ำรวยอย่างพวกนั้น
..... กับความขี้ขลาดของเขาเองก็เท่านั้น
.. เขามีตารางเรียนของร่างโปร่งในมือ
.. มีรูปแอบถ่ายเต็มฮาร์ดดีส
.. รู้ว่าอีกคนชอบกินผักกับอาหารทะเล
.. รู้ว่าชอบดอกแก้วดอกโมก
..รู้แม้กระทั่งไซร์รองเท้า ยันไซร์กางเกงใน
ในตอนแรกก็แค่ชอบ.... ก็แค่คิดว่าชอบ
คิดว่าอีกไม่นานความรู้สึกคงจะค่อยๆจางไปเหมือนความรักความชอบในวัยประถม
แต่กลับกัน ความรู้สึกทุกอย่างกับเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นทุกวัน
เวลาว่างของปี3ที่ไม่ค่อยมีเรียนในคลาสแต่จะมีลงช็อปกับโปรเจคนั่นนี่มากกว่า
เวลาว่างอันน้อยนิดที่พอมี จะหมดไปกับการแอบเนียนทำเป็นไปส่งสาวคณะนั้นกับคณะข้างเคียง
เพื่อโฉบไปมองหน้าอีกคนให้พอชื่นใจ
ช่วงปิดเทอมทุกวันตอนค่ำๆ เขาจะพายานพาหนะคู่กาย ไปจอดที่สวนสาธารณะตรงข้ามบ้านอีกคนประจำ
หลังเลิกช่วยงานอู่ซ่อมรถที่บ้าน แม้บางวันไม่เห็นหน้าแค่เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี
ไม่กล้าเข้าไปพูดคุยหรือเข้าไปจีบอะไรทั้งนั้น สาวๆที่เข้ามาส่วนมากจะมีสะพานทอดมาให้แล้วทั้งนั้น ที่ทำก็แค่เดินข้ามไป
แต่กลับคนที่ชอบมากจริงๆกลับขี้ขลาดจนประหม่าจนน่าหัวเราะ เขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ที่ยังวางใจก็คือยังเห็นอีกคนยังไม่ตกลงปลงใจคบกับใครเลยสักคน เห็นบ้างที่พากันไปกินข้าวดูหนังธรรมดาอะไรพวกนั้น
..... เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ แน่นอนถ้าเขาไม่ยอมปริปากออกไป... ใครมันจะไปรู้
ในตอนเช้าวันหนึ่งระหว่างรอขึ้นเรียน เขากลับต้องร้องในใจดังๆว่า
“ เชี่ย!..มาได้ไงวะ..”
แม่งเอ๊ย..มือไม้สั่นไปหมด แทบทำเนียนควักโทรศัพท์ออกมาทำทีเป็นเล่นเกมแทบไม่ทัน
มองเห็นตั้งแต่ระยะ30เมตรแล้ว ไม่เงยหน้าไม่ทักทายอะไร จะว่ากูหยิ่งหรือเสียมารยาทก็ยอม
ดีกว่าเผลอทำอะไรเปิ่นๆต่อหน้าอีกคน
มีแต่ไอ้เพื่อนสนิทที่การันตีความหล่อของมันด้วยตำแหน่งเดือนมหาลัย
และความเป็นคนอัธยาศัยดีของมันก็ถามไถ่รุ่นน้องคนดังว่าจะให้ช่วยอะไรไหม
(ที่จริงเดี่ยวเป็นคนถาม แต่เกียร์มันตื่นเต้นจนหูอื้อ จำสับสน )
คนที่แม้ไม่ได้เงยหน้ามอง ก็ยังรู้ได้ถึงความงดงามบนใบหน้าเกลี้ยงเนียน
และร่างโปร่งบางที่ความสูงเหลื่อมล้ำกับเขาแค่ 7-8 เซนต์เท่านั้น ทั้งที่ตัวเขาสูงถึง187เซนต์
บอกกับเพื่อนเขาว่าต้องการพูดคุยกับใครสักคนในกลุ่มนี้ เขาไม่ได้โง่พอที่จะไม่รู้ว่าการมาในลักษณะนี้
จะมีอยู่กี่อย่างกันเชียวนอกเสียจากว่ามาบอกรัก บอกชอบอะไรเทือกนั้น
หัวใจเขาเต้นโครมคราม รอฟังคำตอบว่าอีกคนต้องการมาหาใครระหว่างเขากับเพื่อน
ตื่นเต้นจนไม่มีสมาธิกับสิ่งในมือ ปล่อยให้ไอ้ตัววิ่งเก็บห่วง วิ่งชนนั่นชนนี่ ครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่แค่เพียงได้ยินคำตอบจากคนที่แอบรักแอบเฝ้ามองว่ามาหาใคร
อัตราการเต้นของหัวใจเขา มันกลับลดฮวบฮาบลงจนเบาบางราวกับจะหยุดเต้นได้ทุกเมื่อ
หน้าเขามันรู้สึกด้านชาแทบไร้สีเลือด ท่ามกลางคำโห่แซวของพวกเพื่อนๆที่เหลือ ที่แม้ไม่ตั้งใจฟังก็ยังเข้าหูและเข้าใจ
พวกมันแกล้งถามโน่นนี่นั่น ทั้งๆที่รู้จักคนตรงหน้าอยู่แล้วว่าเป็นใคร มาจากไหนคณะอะไร พักอยู่หอไหน
รู้กระทั่งว่าตอนนี้เหลือใครบ้างที่ยังคอยวนเวียนอยู่ใกล้เลยด้วยซ้ำ
เขามันบ้าที่คิดไปตั้งความหวังให้ตัวเอง ทั้งที่น่าจะรู้
ว่าใครมันจะมารักมาชอบเขามากกว่าไอ้เพื่อนหน้าหล่อ นิสัยดี มีรถขับอย่างมันกัน
ตลอดมาตั้งแต่รู้จักกับมันมา ไม่เคยที่จะรู้สึกอิจฉามันเลยสักครั้ง มีคนเข้าหาเขาพอๆกับมัน
เพียงแค่สบตา คนเหล่านั้นก็พร้อมจะพลีกายให้เขาได้เชยชมแทบจะในทันทีที่เขาต้องการ ไม่ว่าหญิงว่าชาย
หัวใจกลับมารุ่มร้อนอีกครั้งเมื่อเห็นร่างบางๆนั้นคว้าจับมือเพื่อนเขา พร้อมกับคำพูดอะไรก็ไม่รู้ที่พวกเขาไม่ได้ยิน
ท่าทีอายๆกับรอยยิ้มของเพื่อนเขา แล้วยังมีการเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแลกอะไรๆกันอีก
แค่นี้พวกเขาก็พอจะเดาอะไรๆได้บ้างแล้ว
ทั้งที่ไอ้หมอกมันมีแฟนอยู่แล้ว อีกคนไม่รู้หรือยังไง หรือว่ารู้แล้วแต่ก็ยังมายุ่งกับมัน
นาทีนั้นเขาทนนั่งต่อไปอีกไม่ไหว ถึงต้องออกมายืนระบายอารมณ์กับกำแพงตึกอยู่ตอนนี้ไง
แล้วพอต่อมาเขาก็เห็นหมอกมันคอยแต่จะคุยไลน์กับคนที่มาหามันวันนั้น เดี๋ยวถ่ายรูป เดี๋ยวอัพนู่นนี่คุยกัน
ตอนมาดูเขาซ้อมบาสกับพวกสถาปัตย์ก็เห็นยกมือทักทายกัน
แม่งเอ๊ย!..สนิทกันแล้วเหรอวะ
พอวันชิงแฟนไอ้หมอกก็เอารูปถ่ายของอิงกับหมอกที่ยืนคุยกันอย่างสนิทสนม
แถมยังมีให้ของขวัญอะไรๆกันอีกมาให้เขากับเพื่อนดู
เขาไม่ได้พูดอะไร แต่มันเจ็บใจ ทำไมล่ะอิง คนอื่นที่เขายังไม่มีเจ้าของ ทำไมไม่ไปยุ่ง มายุ่งกับเพื่อนเขาทำไมกัน
ด้วยความที่ไม่ทันได้สงบสติอารมณ์ พอเดินลงสนาม ก็ยังเห็นทั้งสองยกมือทักทายกัน
โดยไม่เกรงสายตาจิกกัดของแฟนไอ้หมอก
หรือจะบอกว่า ฉันไม่แคร์ขอแค่ให้ได้มา อย่างนั้นหรือเปล่า
เขามองตามสายตาเพื่อนตอนมันทักทายอีกคน แล้วเขาก็ได้สบตาเข้ากับอิงอย่างที่ตั้งใจ
ทำไมอิง เป็นคนเชี่ยๆอย่างกูก็ได้ ทำไมต้องเป็นไอ้คนที่มันมีเจ้าของแล้วอย่างนั้นวะ
กูไม่เข้าใจจริงๆบอกกูทีว่าทำไม?!!!
***
**
*
*
“ พี่หมอกทะเลาะหรือเลิกกับแฟน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ แล้วผมจะจูบกับใครมันก็เรื่องของผม
ผมไม่ได้ไปจูบไปเอากับผัวใครนี่!”
อชิรวิชณ์จ้องตากับคนตรงหน้าเขม็ง ไม่ลดละสายตาลงเช่นเดียวกันกับอีกคนที่มาหาเรื่องเขา
“ แล้วที่ไปหามันวันนั้นนั่นอะไร ถ้าไม่ใช่ไปอ่อยไปให้ท่ามันน่ะห๊า!?”
ดูเหมือนจะมีการเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า
หรือคนตรงหน้าคิดว่าเขากับพี่หมอกเป็นอย่างข่าวลือ เป็นเพื่อนกันไม่ได้คุยกันหรอกหรือ
“คิดว่าผมเข้าไปสารภาพรักกับพี่หมอกรึไง?” จะไปบอกพี่ต่างหากล่ะ!
ท้ายประโยคนั่นได้แต่ตะโกนบอกคนตรงหน้าในใจ อิงเอียงคอถามอย่างไม่เข้าใจจริง
“ แลกเบอร์แลกไลน์กันขนาดนั้นยังจะมาแก้ตัวอีก”
“ แต่ผมไม่ได้ทำอย่างที่พี่คิด”
“ เหอะ เห็นไลน์หากันบ่อยๆ คิดว่ากูโง่เหรอ?” ดูเหมือนเกียร์จะไม่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ
อิงมองร่างสูงตรงหน้านิ่งหาทางออกให้ตัวเอง
เขาเชื่อแน่ว่าเกียร์จะไม่ปล่อยเขาให้เดินลอยนวลออกไปแน่ๆ
ก็คนกลุ่มนี้ถือกันว่า เพื่อนเจ็บกูก็เจ็บ ต่อให้บอกว่ารักเจ้าตัวจะตายก็คงไม่เชื่อ
คงถูกหาว่าร่าน ตอแหลเอาตัวรอดอีกล่ะมัง
อิงค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้าๆให้อารมณ์เย็นลง
น่าจะรู้แต่แรกคนอารมณ์ร้อนยิ่งกว่าไฟอย่างเกียร์ ถ้าเขาร้อนไปด้วยมันจะยิ่งไปกันใหญ่
“ ถ้าพี่ไม่เชื่อผม จะเรียกพี่หมอกมาคุยด้วยก็ได้” ตอนนี้เขาคิดได้เท่านี้จริงๆ
“ มันเมาเป็นหมา เพราะเห็นมึงกัดปากกับไอ้เหี้ยนั่น กูเพิ่งให้เพื่อนหิ้วมันกลับ...ครืดๆ..”
ยังพูดไม่จบดีโทรศัพท์ของร่างสูงก็สั่นครืด
“ เออ...ว่าไง?”
“(เมียไอ้หมอกมาอาละวาดที่ห้องมันเนี่ย!)”
“ แล้ว?” ไม่มีปัญญาจัดการกันเหรอวะ
“(มึงมาช่วยเคลียร์หน่อยดิ๊ เชี่ยหมอกแม่งเมาแล้วเพ้อหาแต่ไอ้เด็กอิงอะไรนั่น
หูกูจะแตกเพราะเสียงกรี๊ดเมียมันอยู่แล้วเนี่ย...กรี๊ดดดด...)”
แล้วเสียงเล็กแหลมของผู้หญิงก็หลุดลอดออกมา จนเกียร์ต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู
“ ไม้!..มึงทำให้สัดหมอกสร่างซะ เดี๋ยวกูไป!”
พอวางสายก็ตวัดสายตาคมๆมองฉับจน อีกคนสะดุ้งโหยง
“ อ..อะไร!?”
“ หึ..มึงได้เคลียร์แน่ มากับกู.!.”