จันทร์จ้าว
By: Dezair
…………………….
บทที่ ๑๐
ตอนที่บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเดินกะเผลกขึ้นเรือนมาในเย็นวันศุกร์นั้น ทำเอาคุณหญิงผกาถึงกับยกมือขึ้นแตะอกด้วยความตกใจ แม้จะเห็นแล้วก็ตามว่าแผลของบุตรชายคนรองนั้นดูจะใกล้หายในเร็ววัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะห่วงใย
“แล้วทำไมไม่กลับมานอนที่นี่ หือ? แม่จะได้ดูแล เข่าเป็นเสียแบบนี้ อยู่คนเดียวได้อย่างไรกัน?!!” คุณหญิงผกามองแผลถลอกที่แห้งสนิทบนเข่าของบุตรชายแล้วก็นึกแปลกใจว่าคนอย่างจันทร์จ้าวรู้จักทำแผลเสียด้วย
...หรือจะให้แม่พวกสาวๆทำให้?...
คิดมาถึงตรงนี้คุณหญิงผกาก็หวั่นใจขึ้นมากะทันหัน อยากถามตรงๆว่าใครทำแผลให้ก็เกรงว่าบุตรชายจะหาว่าหล่อนจู้จี้
“ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ” นภาสรวงมองแผลบนหัวเข่าพี่ชายแล้วเอียงคอน้อยๆด้วยความฉงน หล่อนเป็นน้องของจันทร์จ้าวมา ๒๒ ปีเต็ม ตลอดเวลาช่วงวัยเด็กที่แสนซุกซนของเขา ก็เป็นหล่อนและสมฤดีที่คอยทำแผลให้อย่างหลบๆซ่อนๆ เนื่องจากจันทร์จ้าวไม่ต้องการให้มารดาเห็นแล้วกลายเป็นห้ามเขาออกไปเล่นปีนป่ายอีก
“ใครทำแผลให้คะนี่ สะอาดเรียบร้อยเชียว” แล้วจู่ๆนภาสรวงก็ตั้งคำถามแทนคุณหญิงผกา คนเป็นมารดาหูผึ่งรอฟังคำตอบ ทว่าคำถามนั้นกลับทำเอาจันทร์จ้าวชะงักแล้วพาลนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ภวัตแวะมาหาเขาทุกวันทั้งเช้าและเย็นเพื่อทำแผลให้ แต่ต่างคนต่างไม่พูดอะไรกันเลย เขาเองก็ยังมึนตึง ในขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน
“หมอ...” เขาตอบสั้น พยายามขจัดภาพตอนที่ภวัตทำแผลให้เขาออกจากหัว แต่ดูเหมือนจะยากเต็มที เพราะภาพเหล่านั้นเกิดซ้ำๆทุกวัน วันละ ๒ เวลา
“หมอ?” ดารารัษมีที่นั่งอยู่ด้วยทวนถามด้วยความสงสัย คนเป็นพี่ชายทำหน้าตาเหมือนไม่อยากจะพูดสักเท่าไร
“หมอภวัต...” เขาพูด ดารารัษมีถึงกับทำตาโตแต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ จันทร์จ้าวก็หันไปทางมารดา “...แล้วพรุ่งนี้จะเอาอย่างไรดีครับ คุณชายท่านจะเลี้ยงอาหารเย็นที่วัง ไปรถพี่อาทิตย์คันเดียวจะพอหรือ”
“เข่าพ่อจันทร์เป็นอย่างนี้คงจะนั่งเบียดไม่ไหว ก็เอารถไป ๒ คันก็แล้วกัน” ท่านนายพลเดชเอ่ย เมื่อมองขาบุตรชายแล้วเห็นว่าแม้แผลจะแห้ง แต่ก็ยังแดงช้ำและระบม
“พ่อจะให้ตาพ่วงขับรถให้ พ่ออาทิตย์ก็ขับรถเองแล้วกันนะ” บิดาหันไปพูดกับบุตรชายคนใหญ่ที่นั่งเงียบๆเช่นเคย
“ครับคุณพ่อ”
“แล้วพี่อาทิตย์มีชุดสำหรับพรุ่งนี้แล้วหรือยัง” จันทร์จ้าวหันไปถามพี่ชาย
“ก็...คงใส่เครื่องแบบไป...”
“เฮ่ย! ไม่ได้! นี่งานเลี้ยงต้อนรับผม ไม่ใช่งานประดับยศ จะใส่เครื่องแบบไปทำไมล่ะ! พี่อาทิตย์ไม่มีสูทแบบฝรั่งหรือ?” คำถามของน้องชายทำให้อาทิตย์ผู้ไม่ใคร่ออกงานสังคมได้แต่ส่ายหน้า
“ดูเหมือนจะไม่เคยตัดไว้เลย ไปไหนทีไรก็ใส่เครื่องแบบ ไม่อย่างนั้นก็เสื้อเชิ้ต”
ช่างเป็นผู้ชายที่เรียบง่ายเสียจนจันทร์จ้าวยังอดสะท้อนใจไม่ได้ เกิดพรุ่งนี้อาทิตย์ใส่เครื่องแบบไป แล้วนายเภาแต่งตัวโก้หรูมา คะแนนนิยมของอาทิตย์คงถูกฉุดลงเหว จริงอยู่ว่าเรื่องเครื่องแต่งกายเป็นเพียงแค่เปลือก แต่ปกติแล้วคนเราก็มักจะประเมินเปลือกก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงพิจารณาภายในเป็นอันดับ ๒
“ถ้าอย่างนั้น ตามผมมา จะหาสูทให้ ผมตัดไว้หลายตัวอยู่” จันทร์จ้าวว่าอย่างนั้นก่อนจะลุกขึ้นเดินกะเผลกอย่างไวตามประสาคนใจร้อนกลับเข้าห้องนอนตนเอง มีอาทิตย์ลุกขึ้นเดินตามหลัง
“พ่อจันทร์นี่น่ารัก ให้พี่ชายยืมเสื้อผ้าเสียด้วย แกเคยให้ใครยืมหรือใส่เสื้อผ้าร่วมกับใครเสียที่ไหน เคยพูดว่าไม่ชอบใส่เสื้อผ้าทับใครนู่นน่ะ” คุณหญิงผกาชื่นชมบุตรชายคนรองอย่างออกนอกหน้าด้วยความปลื้มปิติ
“นั่นซีคะ พี่จันทร์รักพี่อาทิตย์น่าดูเลยนะคะ” นภาสรวงเองก็เห็นด้วย
“พี่น้องกัน ไม่รักกันแล้วจะรักใคร” ท่านนายพลเปรยบ้าง แต่ก็อดภาคภูมิใจไม่ได้ว่าบุตรธิดาของท่านรักใคร่กลมเกลียวไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นให้ท่านปวดหัวใจเหมือนบางครอบครัว
ดารารัษมีได้แต่นั่งเงียบๆ หล่อนไม่ได้แย้งหรือเออออไปกับใคร ถึงแม้จะไม่ถูกใจกับพฤติกรรมบางประการของพี่ชายคนรอง แต่เรื่องที่หล่อนทราบดีคือเขารักพี่น้องมากเพียงใด
...หากวันหนึ่งอาทิตย์ได้แต่งงาน หล่อนจะยกความดีความชอบครั้งนี้ให้กับจันทร์จ้าวทั้งหมด เพราะหากไม่ได้เขา ความรู้สึกของอาทิตย์ก็คงหายไปอย่างเงียบเชียบราวกับสายลมผ่าน...
……………………………….
วันนี้วังฉัตรตกแต่งอย่างวิจิตร ไฟประดับตามพุ่มไม้ตลอดถนนทรงกลมที่ทอดตัวมายังหน้าตึก ภายในตึกก็สว่างไสวด้วยแสงจากโคมไฟระย้า เสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องเล่นแผ่นเพลงดังกังวาลไปทั่วทั้งห้องรับแขกชั้นล่าง หม่อมราชวงศ์ฉัตรนั่งอยู่ที่เก้าอี้บุนวมหรูหราและสนทนากับท่านพลโทศักดิ์และคุณหญิงจิตต์ วิชาญโยธิน มีภวัตและเภานั่งร่วมวงอยู่ด้วย ส่วนบุตรและธิดาของคุณชายกำลังต้อนรับแขกอีกชุดที่เดินทางมาถึงเมื่อครู่นี้เอง
“ท่านนายพลเดช คุณหญิงผกา และคุณๆทั้ง ๔ มากันแล้วขอรับ คุณชาย” คนรับใช้คนหนึ่งเข้ามารายงาน หม่อมราชวงศ์ฉัตรพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะหันไปทางครอบครัววิชาญโยธิน
“เราออกไปที่โถงเลยดีไหม แล้วจะได้รับประทานอาหารกันเลย วันนี้มีแขกเท่านี้ เพราะเจ้าของงานเขาอยากได้งานเล็กๆ จะได้พูดคุยกันทั่วถึง” คุณชายฉัตรพูดอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำออกจากห้องรับแขกไปยังโถงที่อยู่ติดกัน เขาทักทายครอบครัวรักษพิพัฒน์ที่มาถึงเมื่อครู่ ก่อนที่จะเป็นรักษพิพัฒน์และวิชาญโยธินทักทายกัน แม้บิดาของ ๒ ครอบครัวจะอยู่กันคนละสังกัด แต่ต่างก็รู้จักกัน ส่วนคุณหญิงผกาผู้แสนจะมีอัธยาศัยไมตรีก็รู้จักกับคุณหญิงจิตต์พอสมควร
เสียงพูดคุยดังจุกจิกย้ายจากที่ห้องโถงไปยังห้องรับประทานอาหารขนาดใหญ่ โต๊ะอาหารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่นั่งของแต่ละคนถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
“ฉันให้คนระบุที่นั่งเอาไว้ เราจะได้คุยกันทั่วถึง” ผู้เป็นเจ้าของวังฉัตรเอ่ยเช่นนั้นอย่างนึกสนุก
ตัวท่านนั่งที่หัวโต๊ะในฐานะเจ้าบ้าน แต่ละที่นั่งมีชื่อกำกับเอาไว้แล้ว คู่สามีภรรยาถูกจับแยกให้นั่งเยื้องกัน ส่วนบุตรธิดาทั้งหลายก็ถูกกระจายให้นั่งสลับกันไป ฝั่งซ้ายของโต๊ะจึงเรียงจาก ท่านนายพลศักดิ์ วิชาญโยธิน, คุณหญิงผกา รักษพิพัฒน์, ภวัต, นภาสรวง, หม่อมหลวงพงศ์ภราธร และจันทร์จ้าว ส่วนฝั่งขวาคือท่านนายพลเดช รักษพิพัฒน์, คุณหญิงจิตต์ วิชาญโยธิน, อาทิตย์, หม่อมหลวงพิมพัชรา, เภา และดารารัษมี
ภวัตเห็นอีกฝ่ายนับตั้งแต่ลงจากรถที่หน้าตึกแล้ว ท่าเดินดูพิกลอยู่บ้างเพราะแผลยังไม่หายดี แต่กระนั้นจันทร์จ้าวก็ยิ้มแย้มแจ่มใสกับคนรอบข้าง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตลอดหลายวันที่เขาแวะเวียนไปทำแผลให้ เขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายเลยสักครั้ง นอกจากรอยยิ้มที่เห็นลักยิ้มบุ๋มที่แก้มซ้ายซึ่งเผื่อแผ่ไปทั่วแล้ว อีกเรื่องที่หมอภวัตรู้สึกเคืองชอบกลคือหม่อมหลวงพงศ์ภราธรผู้เป็นเพื่อนสนิทคอยดูแลคนเจ็บเป็นอย่างดี ทั้งพาเดินมาที่โต๊ะรับประทานอาหาร ทั้งขยับเก้าอี้ให้นั่ง อยากจะบอกว่าไม่ต้องดูแลถึงเพียงนั้นก็ได้ เพราะกับเขา จันทร์จ้าวยังไม่ยอมให้ช่วยพยุงเสียด้วยซ้ำ
แม้จะหงุดหงิดกับคนทั้งคู่ แต่นายแพทย์หนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมองชายหนุ่มทั้ง ๒ คนที่นั่งถัดจากนภาสรวงซึ่งนั่งข้างเขา ด้วยเพราะความสูงทำให้เขามองข้ามหญิงสาวไปได้อย่างง่ายดาย แต่ก็เห็นเพียงราชนิกูลหนุ่มที่เหมือนจะบังจันทร์จ้าวเสียแทบมิด ภวัตรู้สึกหงุดหงิด แต่ไม่ทราบหงุดหงิดอะไร ระหว่างคนเจ็บขากับคนดูแล และสุดท้าย ก็ลอบพ่นลมหายใจกับตนเองเพื่อระงับอารมณ์แล้วหันกลับมาสนใจอาหารตรงหน้าแทน
ในขณะที่คุณหมอหนุ่มจากโรงพยาบาลใหญ่พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะสนใจอาหารมากกว่าเรื่องอื่น จันทร์จ้าวผู้กำลังถูกปรนนิบัติโดยเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างกายกลับมองการจัดที่นั่งแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ ให้ทั้งอาทิตย์และเภานั่งประกบหม่อมหลวงพิมพัชราเช่นนี้คงไม่ต่างอะไรกับการเปรียบเทียบ แล้วอาทิตย์ที่เงียบขรึมจะสู้คนช่างสังคมอย่างเภาได้หรือ
ระหว่างการรับประทานอาหาร เสียงพูดคุยดังเป็นระยะ โดยมักจะเริ่มจากเภาเป็นจุดศูนย์กลาง ดูแล้วท่าไม่ดีเอาเสียเลยสำหรับการประเมินของจันทร์จ้าว
“ทำหน้าเครียดอะไรของแกน่ะ หรือเจ็บแผลอีก” หม่อมหลวงพงศ์ภราธรหันมากระซิบถามเพื่อนรักที่นั่งข้างกัน
“ใครเป็นคนจัดตำแหน่งที่นั่งหรือ” จันทร์จ้าวถามกลับเสียงเบา พยายามไม่ให้เป็นที่สังเกต แต่ก็ไม่น่าจะมีใครสังเกต เพราะทุกคนกำลังสนุกกับเรื่องเล่าของเภา ไม่เว้นแม้แต่หม่อมหลวงพิมพัชรา
“ก็คุณพ่อน่ะซี” จันทร์จ้าวไม่กล้าบอกว่าคุณพ่อของคุณพงศ์ตั้งใจตัดทางทำมาหากินของพี่ชายเขาเสียเหลือเกิน ถึงได้จัดตำแหน่งที่นั่งเช่นนี้
“พ่อจันทร์ เป็นอย่างไร อาหารอร่อยไหม ให้นั่งเสียท้ายสุดเลย ฉันปวดหัวไม่รู้จะจัดที่นั่งอย่างไร สุดท้ายไปๆมาๆก็ลงอีหร็อบนี้ ตอนแรกก็ว่าจะใช้โต๊ะกลม แต่พวกเราก็มีเสียตั้ง ๑๓ คน เกรงจะนั่งเบียด เลยต้องใช้โต๊ะยาวแทน” เสียงของหม่อมราชวงศ์ฉัตรดังมาจากหัวโต๊ะ ทำเอาจันทร์จ้าวต้องหันไปมองแล้วส่งยิ้มให้
“เรื่องที่นั่งไม่เป็นไรครับคุณชาย นั่งตรงไหนก็ได้รับประทานอาหารอร่อยๆของวังฉัตร แต่ตอนนี้...ชักอยากจะดื่มกาแฟเสียแล้ว” เขาพูดเหมือนเร่งให้อาหารค่ำมื้อนี้จบลงโดยเร็วที่สุด ตำแหน่งที่นั่งเช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่ออาทิตย์เลย เจ้าของวังยิ้มน้อยๆ
“พ่อพงศ์บอกแล้วว่าเธอติดกาแฟอย่างกับอะไรดี ตอนเด็กๆที่มาวิ่งเล่นที่นี่ยังไม่ยักติด ไปติดเอาเมื่อตอนไปเรียนต่อที่เมืองฝรั่งล่ะซี นี่ฉันให้คนเตรียมเอาไว้แล้ว ไว้เราย้ายไปนั่งที่โถง จะได้จิบกาแฟพลาง คุยกันพลาง ใครอยากจะเต้นรำก็เต้นไป แต่เธอคงจะเต้นไม่ไหวกระมัง เห็นพ่อพงศ์ว่าเพิ่งหกล้มมาหรือ” ภวัตยิ่งฟังยิ่งขุ่น ดูเหมือนเรื่องของจันทร์จ้าวที่หม่อมราชวงศ์ฉัตรรับรู้จะมีชื่อหม่อมหลวงพงศ์ภราธรพ่วงมาด้วยเสมอ เขาพยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกับเขา ได้สบตากันครู่หนึ่ง แต่ฝ่ายนั้นทำเป็นมองเมินสายตาของเขาไปมองคุณชายฉัตรอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ครับ แต่แผลดีขึ้นมากแล้ว” จันทร์จ้าวตอบรับแล้วยิ้ม ทว่าเขาไม่ทันจะพูดอะไรต่อ นายเภาก็ชักชวนทุกคนเข้าสู่บทสนทนาโดยมีตนเองเป็นจุดศูนย์กลางเช่นเคย จันทร์จ้าวมองอย่างไม่ชอบใจและเผื่อแผ่ความไม่ชอบใจด้วยการเหลือบตากลับมาสบตากับหมอภวัตอีกหน แล้วได้แต่สาปแช่งให้หม่อมหลวงพิมพัชรามองความร่าเริงของเภาเป็นเรื่องหนวกหู อย่าให้ ๒ พี่น้องวิชาญโยธินสมหวังแต่ประการใดเลย!!!
..............................................
หลังจากมื้อค่ำที่โต๊ะอาหาร ทั้งหมดก็ย้ายไปนั่งเล่นที่โถงเต้นรำ ซึ่งมีชุดเก้าอี้วางเอาไว้ประปราย มีนักดนตรี ๔ คนเล่นดนตรีสด กลางห้องคือฟลอร์สำหรับเต้นรำโดยเฉพาะ ห้องจัดเลี้ยงแห่งนี้เป็น ๑ ใน ๒ ห้องที่วังฉัตรมี ห้องหนึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่ จุคนได้ครึ่งร้อย ส่วนนี่เป็นห้องขนาดเล็ก แต่ก็ยังนับว่าใหญ่มากอยู่ดี สำหรับคนเพียง ๑๓ คน
เสียงเพลงจากวงดนตรีดังก้องไปทั้งห้อง ชักชวนให้ลงไปเต้นรำ แต่ติดที่ว่าเจ้าของงานอย่างจันทร์จ้าวซึ่งควรจะเป็นคนเปิดฟลอร์กลับขาเจ็บ
“พ่อจันทร์เปิดฟลอร์ไหวไหมล่ะนี่” หม่อมราชวงศ์ฉัตรตั้งคำถามกับชายหนุ่มร่างโปร่งที่ยังเดินกะเผลก จันทร์จ้าวยิ้มจางเห็นลักยิ้มที่แก้มซ้ายก่อนตอบ
“หากคุณชายจะกรุณา ผมจะขอส่งตัวแทนเปิดฟลอร์แทนผมได้ไหมครับ”
“ได้ซี! ส่งใครดีล่ะพ่อ” คุณชายถามพลางหัวเราะ
“พี่อาทิตย์ครับ” จันทร์จ้าวตอบ ก่อนจะหันไปทางพี่ชายที่ยืนคล้อยหลังเขาไปเล็กน้อย อาทิตย์นิ่งงันด้วยความตกตะลึง ไม่คิดว่าน้องชายจะใช้ชื่อเขา ทว่าไม่ทันได้พูดอะไร จันทร์จ้าวก็หันมามองหน้าเขาแล้วเอ่ยปนสั่ง
“พี่อาทิตย์เปิดฟลอร์แทนผมที...”
แน่นอนว่าคนเปิดฟลอร์ย่อมได้เลือกคู่เต้นรำเป็นคนแรก อาทิตย์เหลือบไปมองหญิงสาวผู้อยู่ในดวงใจของเขามาแสนนาน เธอเองก็มองมาที่เขาก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำราวกับเขินอาย นายทหารหนุ่มไม่กล้าบอกตนเองว่าเธอรู้สึกเช่นไรกับเขา แต่หาก...เขาลองขอเธอเต้นรำดู บางทีอาจทำให้ได้คุยกันอีก
อาทิตย์เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหม่อมหลวงพิมพัชรา แล้วค้อมกายราวกับเป็นการขออนุญาต หญิงสาวมองท่าทางสุภาพของเขาด้วยหัวใจเต้นถี่ แต่เมื่อเขายื่นมือมาให้ หล่อนก็วางมือลงบนมือของเขา ก่อนจะก้าวเท้าเดินตามไปยังกลางฟลอร์ แล้วจากนั้น เพลงใหม่ก็เริ่มต้นบรรเลงโดยชายหญิงคู่หนึ่งที่จันทร์จ้าวมองแล้วดูเหมาะสมยิ่งกว่าใคร
หลังจากอาทิตย์และหม่อมหลวงพิมพัชราลงไปเต้นรำ ก็เป็นหม่อมหลวงพงศ์ภราธรที่ขอพาดารารัษมีเต้นรำบ้าง เภาหมดทางเลือก แต่จะให้ยืนอิจฉาอยู่ที่เดิมก็เห็นจะไม่ใช่เขา ชายหนุ่มจึงหันไปขอนภาสรวงผู้สนิทสนมกันในฐานะเจ้านายและพนักงานในสำนักงานลงไปเต้นรำ ส่วนผู้ใหญ่ทั้งหลายพากันไปนั่งที่ชุดโต๊ะเก้าอี้ริมฟลอร์เพื่อพูดคุยกันต่อ จันทร์จ้าวเห็นว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว เขาจึงก้าวเท้าเดินไปนั่งที่บาร์เครื่องดื่ม เพราะยืนนานๆก็ชักจะปวดตึงที่แผลอีกแล้ว ยังไม่ทันจะเดินถึงที่ แขนข้างหนึ่งของเขาก็ถูกคว้าพยุงเอาไว้
“แผลยังไม่หายดี ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล” เสียงทุ้มดังใกล้ ทว่าคนพูดดูเหมือนจะไม่ใส่ใจแผลของจันทร์จ้าวเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาดึงแขนคนเจ็บให้ออกไปที่ระเบียงนอกตึกด้วยกัน
“แผลยังไม่หายดี หมอก็ควรให้ผมได้นั่ง ไม่ใช่ลากผมออกมานี่!!” ภวัตกดคนพูดมากลงนั่งที่ชุดเก้าอี้ที่ระเบียง แต่คนดื้อดึงอย่างจันทร์จ้าวก็ยังไม่หยุด
“แต่ก็ยังอยู่ข้างนอกอยู่ดี!! ผมจะกลับเข้าไปข้างใน!!” นายแพทย์หนุ่มถอนหายใจด้วยความระอากับนิสัยชอบเอาชนะของอีกฝ่าย
“ไม่ดื้อ ไม่เถียงสักวันจะทำให้คุณนอนไม่หลับไหม” ภวัตประชดปนดุ สีหน้าและดวงตาของนายแพทย์หนุ่มช่างว่างเปล่าและไร้ความอ่อนโยนเหมือนช่วงหลายๆวันที่ผ่านมานับตั้งแต่จันทร์จ้าวหกล้ม บางทีเขาก็อยากจะไล่ตะเพิดอีกฝ่ายว่าถ้ามาทำหน้าตึงเสียงแข็งใส่เขา ก็ไม่ต้องมาให้เห็นหน้า แต่เพราะคำขู่ที่ว่าแผลจะเน่าก็ทำให้เขาง้างปากไม่ออกและยอมให้ภวัตเข้านอกออกในบ้านเขาได้โดยสะดวกเพื่อมาทำแผลให้เช้าเย็น จนบัดนี้แม้แผลจะแห้งดีแล้ว แต่จันทร์จ้าวก็ไม่ทราบเหตุผลที่ตนเองไม่ออกปากไล่เขาเหมือนที่แล้วมา
ดวงหน้าขาวหันมองไปทางอื่นราวกับไม่อยากจะพูดคุยกัน ทำเอาคนอุตส่าห์ลากออกมาถึงกับต้องถอนหายใจ นิสัยพยศเป็นเด็กๆแบบนี้เขาไม่เคยเจอในคนอายุเท่าจันทร์จ้าวมาก่อน
“ขาเป็นอย่างไรบ้าง กลับไปนอนที่บ้านแล้วมีใครดูแผลให้ไหม” ภวัตพยายามชวนคุย ทว่าอีกฝ่ายกลับมองออกไปที่สวนโดยไม่สนใจเขาแม้แต่นิด ชายหนุ่มร่างสูงพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยองที่พื้นแล้วดึงขาข้างที่กะเผลกมาหมายจะเลิ่กชายกางเกงขึ้นดูแต่เจ้าของร้องลั่นเสียก่อน
“หมอ!!”
“ผมถามว่าแผลเป็นอย่างไรบ้าง ในเมื่อคุณไม่ตอบ ผมก็ต้องดูเอง”
“ผมเป็นแผลที่หัวเข่า! ไม่ใช่เป็นที่หน้าแข้ง!! หมอเปิดขากางเกงผมดูก็ดูไม่ถึงหรอก!!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปห้องน้ำ แล้วถอดกางเกงออกทั้งหมด” จันทร์จ้าวอ้าปากค้างกับคำสั่งของนายแพทย์หนุ่ม ภวัตตั้งท่าจะลากเขาเดินกลับเข้าไปในโถงเพื่อไปห้องน้ำจริง คนที่ทำท่าอยากจะกลับเข้าไปข้างในตั้งแต่แรกเลยกลายเป็นยึดเก้าอี้ไว้มั่น
“ว่าอย่างไร จะบอกผมดีๆ หรือจะให้ผมพาไปห้องน้ำแล้วจับคุณถอดกางเกงดูแผลด้วยตัวผมเอง” ภวัตตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ก็ยังไม่ต้องไปตัดขาแล้วกัน!!”
“ผมบอกว่าให้ตอบดีๆ!” สุ้มเสียงเข้มงวดของนายแพทย์หนุ่ม ทำเอาคนปากดีนึกหวั่นขึ้นมาในใจ หากภวัตลากเขาไปถอดกางเกงจริง เห็นทีคงยิ่งทั้งโกรธทั้งอาย
“ดีขึ้นมากแล้ว! ปล่อย! ไม่ต้องมาจับขาผม!!” เพราะถูกจับให้นั่งอยู่กับที่ จันทร์จ้าวจึงหลบขาไปไหนไม่พ้น ต้องอาศัยมือตัวเองปลดมือของอีกฝ่ายออกจากขาแทน ภวัตมองคนที่พยายามหนีจากเขาด้วยหัวใจเจ็บหนึบ
“ผมจับขาคุณมาทุกวัน มาหวงอะไรเอาวันนี้? หรือเพราะวันนี้มีแต่คนดูแลคุณได้ พี่น้องคุณอย่างนี้ คุณพงศ์อย่างนี้ เลยนึกจะหวงกับผมขึ้นมา?!!” บางที นายแพทย์หนุ่มก็ไม่เข้าใจตนเองนัก เหตุใดเขาจึงต้องพูดจาประชดประชันจันทร์จ้าวเช่นนี้ เจ้าตัวจะได้รับการดูแลจากใคร เขาไม่เห็นจะต้องเก็บมาใส่ใจ แต่...แต่อาจจะเพราะจันทร์จ้าวยินดีรับการดูแลจากทุกคน ยกเว้นเขา
บุตรชายคนรองแห่งบ้านรักษพิพัฒน์มองคนพูดด้วยหัวใจกระตุกแต่ไม่วายปากเก่ง
“วันอื่นๆ หมอก็มาจับของหมอเอง ผมขอเสียที่ไหน? แล้วผมจะให้ใครจับขาหรือไม่ มันก็สิทธิ์ของผม นี่ขาผม ไม่ใช่ขาหมอ มันงอกออกมาจากตัวผม ไม่ใช่งอกออกมาจากตัวหมอ!!”
“คุณจันทร์!!” ภวัตรู้สึกถึงความโกรธที่แล่นริ้วผสมปนเปไปกับความเสียใจที่อีกฝ่ายกีดกันเขาถึงเพียงนี้
สายตาที่หมอภวัตมองตรงมา หากมีแค่ความโกรธ จันทร์จ้าวคงปากดีตอบโต้กลับไปได้อีกมาก แต่เพราะความเสียใจที่ฉายชัดในนั้น ทำให้หัวใจชาวาบและพาลเป็นพูดไม่ออกแล้วทำได้เพียงเบือนสายตามองออกไปที่สวนแทน
นายแพทย์หนุ่มมองคนที่หลบสายตาเขา จันทร์จ้าวไม่พูดอะไรสักคำหลังจากประโยคทำร้ายความรู้สึกของเขาเมื่อครู่ และหลังจากนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีประโยคประเภทนั้นมอบให้เขาอีกมากเท่าไร ภวัตยอมรับว่าเขาใจไม่แข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแล้วต้องได้รับรู้คำพูดไร้เยื่อใยทำนองนี้อีก
“เราจะพูดกันดีๆไม่ได้แล้วใช่ไหม” ภวัตตั้งคำถามทำเอาจันทร์จ้าวนิ่งงัน อยากหันกลับไปมองคนถามใจจะขาด แต่...แต่เพราะกลัวจะต้องเห็นสายตาเสียใจที่อีกฝ่ายมี เขาจึงไม่กล้า...
“ว่าอย่างไร เราจะพูดกันดีๆไม่ได้จนกว่าคุณอาทิตย์กับคุณพิมจะลงเอยกันอย่างนั้นใช่ไหม” ร่างสูงถามย้ำเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยังคงจับจ้องสวนแทนที่จะหันมามองเขาสักนิด ทว่า...ก็ยังไม่หันกลับมา ภวัตเจ็บหนึบไปทั้งหัวใจ รู้สึกเหมือนตนเองเป็นเพียงอากาศธาตุที่จันทร์จ้าวไม่ให้ความสำคัญ
ระหว่างพวกเขาเกิดความเงียบครู่ใหญ่ๆ ภวัตรอคอยคำตอบ แต่จันทร์จ้าวไม่กล้าหันไปมอง และความเงียบนั้น ก็ดำเนินมาจนถึงขีดสุด เมื่อภวัตเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา
“ก็ได้ ถ้าคุณต้องการเช่นนั้น เราก็ไม่ต้องพูดกันอีก”
เมื่อเป็นฝ่ายเขาเองที่เหมือนตามตื้อให้รำคาญใจ ภวัตก็รำคาญตัวเองเช่นกันที่ดิ้นรนจะพูดคุยกับจันทร์จ้าวเพียงผู้เดียว เขาหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในโถงจัดเลี้ยงแล้วทิ้งจันทร์จ้าวเอาไว้ที่เดิม ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปโดยไม่หันกลับไปมองคนที่นั่งอยู่ที่ระเบียง ภวัตไม่มีวันรู้ว่าคนที่ทำเป็นทอดสายตามองออกไปยังสวนสลัวเมื่อครู่หันกลับไปมองแผ่นหลังเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจไม่ต่างกัน
................................