ผจญสภาพจราจรนรกแตกติดแหง็กๆ อยู่บนทางด่วนเกือบชั่วโมง น้องกบคันสวยจึงได้ไต่ลงมาติดข้างล่างต่อ นอกจากเรื่องเลิกบุหรี่ที่ต้องบังคับให้อลันด์ทำให้ได้แล้วยังมีอีกเรื่องสำคัญคือลดน้ำหนัก ทิวากานต์คิดว่าไหนๆ จะต้องทำแล้วก็ทำมันเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยแล้วกันจึงถามคนข้างตัวเรื่องมื้อเย็นที่ต้องห้ามมัน ไม่เค็ม ไม่หวาน และอุดมไปด้วยผัก
“กินได้หมดแหละ แต่ขอแครอทกับฟักทองเยอะๆ ได้ไหม” โชคดีว่าอลันด์เป็นเด็กไม่เลือกกิน ซ้ำยังรีเควสของโปรดขึ้นมาเป็นตัวเลือกอีกด้วย เสนอมาพร้อมฟันหน้าสองซี่ใหญ่ๆ เหมือนกระต่าย น่ารักและน่าดีดไปในคราวเดียวกันจริงๆ
“งั้นมื้อนี้สุกี้ดีไหม มีทั้งเนื้อแล้วก็ผัก”
“โอเค ด็อกจะทำเองเหมือนวันนั้นด้วยป่ะ” วันนั้นคือวันอาทิตย์ของสัปดาห์ก่อนที่เขาลากเจ้าตัวแสบไปช่วยกันซื้อของใช้เข้าบ้าน เลยถือโอกาสทำสุกี้ไร้ผงชูรสร้อยเปอร์เซ็นต์กินเองเสียเลย อลันด์เหมือนจะติดใจน้ำจิ้มสุกี้ที่เขาทำด้วย สูตรนี้แม่เขาเป็นคนทิ้งไว้ให้ก่อนตายเลยนะ รับประกันความอร่อยจนแม่ช้อยต้องรำ
“ขี้เกียจ พรุ่งนี้ต้องทำงานอีก วันนี้กินห้างแล้วกัน”
เขาเลี้ยวรถเข้าห้างใกล้บ้าน หาที่จอดเรียบร้อยเสร็จสรรพดับเครื่องแล้วแต่ยังไม่ยอมออกไป ทิวากานต์เปิดเก๊ะหน้ารถหยิบไลท์เตอร์กับซองบุหรี่ออกมาถือก่อนแบมือตรงหน้าอลันด์
“บุหรี่”
“จะเอาไปทำอะไร”
“ทิ้งไง เลิกแล้วก็คือไม่สูบอีกจะเก็บไว้ทำไม” คำตอบของคนแก่กว่าบวกกับสายตาคมดุจ้องมาทำให้อลันด์จำใจหยิบซองบุหรี่กับไฟแช็กในกระเป๋าเป้ส่งให้อีกคน แม้แต่ส่วนที่แอบซ่อนไว้ก็ส่งให้เพราะคาดได้เลยว่าถ้าด็อกเตอร์จอมโหดรู้ได้ถูกว้ากแหงๆ
ทิวากานต์ลงจากรถ เดินไปทิ้งบุหรี่กับอุปกรณ์ทิ้งถังขยะท่าทางไม่เสียดายท่ามกลางสายตาละห้อยสีฟ้าซีด ปลายจมูกโด่งขยับฟุดฟิดเหมือนจะกลั้นน้ำตา
บุหรี่นั่นซองตั้งหลายบาทแถมเขาเพิ่งสูบได้ตัวเดียวเอง“ดูทำหน้าเข้า จะเสียดายอะไรขนาดนั้น” คุณหมอหันมองเด็กหนุ่ม เขายืนเท้าสะเอวอมยิ้ม อลันด์ทำเหมือนเขาเพิ่งทำอะไรร้ายแรงลงไปงั้นแหละ
“ก็มัน...”
“ถามจริง ทำไมถึงสูบบุหรี่ ฮึ ชอบเผาปอดมากหรือไง”
“ก็มัน...” เขาทวนคำเดิมออกมาอีกครั้ง ตาสีฟ้าซีดกรอกไปมาราวกับหาคำตอบให้ถูกหูคนถามมากที่สุด “เขาสูบบุหรี่กันเพื่อให้ร่างกายอุ่นนิ แล้วผมมันเป็นพวกขี้หนาว เลยชอบรมควันให้ปอดไง”
ตอบแล้วแถมยิ้มหวานให้อีกที เลยถูกคนตัวโตดึงเข้าไปกอดหัวกระแทกอกอีกคนดังปึ้ก ทิวากานต์แกล้งกดคออลันด์ไว้ไม่ให้ดิ้นหนีไปได้ พอจะโวยวายเสียงดังคุณหมอยิ่งล็อคไว้แน่นกว่าเดิม เขาอู้อี้กับอกอีกฝ่ายให้ปล่อยแต่เหมือนจะทำเป็นไม่ได้ยินเพราะคนขี้แกล้งหัวเราะกลบไปหมด
“กรุงเทพร้อนจะตายห่าบอกหนาว ไง....โดนฉันกอดแบบนี้หายหนาวยัง”
“โง้ย ด็อกบ้า หายใจไม่ออกเว้ย” หน้าขาวขึ้นสีแดงจัดหลังทิวากานต์ยอมผ่อนแรงให้อีกคนเงยหน้าขึ้นมาหายใจได้ หากไม่มากพอให้หลุดไปไหนได้ไกลเกินอ้อมกอดในวงแขนใหญ่ “ถามแต่คนอื่นเขา แล้วด็อกล่ะสูบบุหรี่ทำไม”
“นั่นสิ สูบทำไหมน้า” หน้าหล่อแกล้งทำท่าคิดทิ้งเวลานานจนถูกรองเท้าหนังของแอร์เมสกระทืบเข้าถึงก้มหน้ามองคนถาม “เวลาผ่าตัดมันเครียดไง เส้นประสาทตึงไปหมด ได้ขับรถเร็วๆ ก็ช่วยให้หายเครียดได้อยู่หรอก แต่กรุงเทพรถติดขนาดไหนเธอรู้ดีนี่ พอสูบควันเข้าปอดลึกๆ แล้วปล่อยมันออกมาดูควันสีขาวพวกนั้นเหมือนกับวิญญาณฉันที่พุ่งออกไปหาอากาศเลย พุ่งไปหาอิสระ...”
“งะ งั้นเหรอ แล้วต่อจากนี้ไปจะทำยังไงล่ะ หรือจะแอบสูบไม่ให้ผมรู้ ผมไม่ยอมนะ ในเมื่อเราสัญญากันแล้วน่ะ”
“เห็นฉันเป็นคนยังไงกันฮึ!” ทิวากานต์ตีหน้าดุ โน้มใบหน้าลงต่ำกว่าเดิมจนริมฝีปากเกือบชิดปลายจมูกโด่ง ใกล้เสียอลันด์ได้กลิ่นหอมของขนมกลีบลำดวนผสมกลิ่นน้ำหอมนุ่มๆ จากปากอีกคน “ฉันยอมให้เธอดมพิสูจน์กลิ่นทุกวันเลยเอ้า! แต่ในเมื่อฉันยอมแล้วเธอก็ต้องให้ฉันพิสูจน์ด้วยเหมือนกันนะ”
ด้วยความสัตย์จริงจากการใกล้ชิดทิวากานต์มาหลายเดือน คุณหมอวัยสามสิบตัวหอมมากแม้มีกลิ่นบุหรี่ผสานบ้างในบางวัน หอมจนอยากซุกตัวไถหน้าเข้ากับอกสูดกลิ่นให้ชื่นใจวันละหลายรอบ อยากเข้าห้องนอนไปดูเหมือนกันว่าใช้น้ำหอมอะไรแต่เจ้าของห้องไม่ยอมให้เข้าไปรื้อสักที ตอนนี้ต้องดมๆ จำกลิ่นไว้ก่อนเผื่อวันไหนแวะเคาน์เตอร์น้ำหอมจะได้ไปตามหามาใช้บ้าง
“ได้ จะดมทุกวันเลย ถ้าผมจับได้ว่าแอบสูบล่ะก็...”
“ไม่สูบบุหรี่ฉันก็ไม่ขาดใจตายแบบคนบางคนหรอก ฉันน่ะมีวิธีคลายเครียดที่ดีกว่านั้นเยอะ”
“ยังไง”
“แกล้งเธอเล่นไง ผ่อนคลายสุดๆ เหมือนเล่นกับแมวเลย ฮ่าๆ”
“ด็อก! นี่คนนะไม่ใช่แมว โง้ย ห้ามๆ เอามือออกไปนะ อย่ามาขยี้ผมสิเสียทรงหมดแล้ว นี่หัวคนเว้ยไม่ใช่ท้องแมว”
ผลสรุปหลังจากการเล่นแมว เอ๊ย เล่นหัวอลันด์แทนการสูบบุหรี่แก้เครียด ทิวากานต์เลยได้รอยข่วนจางๆ ตรงข้างแก้มกับลำคอให้แสบเล่นตอนอาบน้ำมาสามสี่แผล นี่ขนาดบอกว่าเป็นคนไม่ใช่แมวนะยังฤทธิ์เยอะขนาดนี้ ถ้าเป็นแมวจริงๆ เขาได้โร่ไปฉีดบาดทะยักแบบไม่ต้องสืบ
.
.
.
หลังจากให้ทิวากานต์เป็นคนบอกมาดามโอเนลล์ทราบเรื่องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวเป็นโรคผนังหัวใจรั่ว (ASD) ในวันเดียวกัน มาดามวัยห้าสิบปีนิดๆ แทบจะตีตั๋วจากลอนดอนมากรุงเทพเสียเดี๋ยวนั้นจนคุณหมอต้องตะล่อมเกือบชั่วโมงให้เข้าใจว่าอาการที่อลันด์เป็นไม่ร้ายแรงอย่างที่คิดและรักษาให้หายได้
กระนั้นมาดามโอเนลล์ก็ยังเป็นห่วงลูกชายมากอยู่ดีเธอจึงให้เลขานุการส่วนตัวจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวสุดสัปดาห์นี้แทน และมีความเป็นไปได้ว่ามิสเตอร์เอเดลมาร์คงไม่พลาดมาหาลูกชายสุดที่รักด้วยเช่นกัน
ก่อนวางสายกันไปเจ้าตัวแสบตะโกนบอกแม่เสียงดังว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใครหรือเพื่อนคนไหนเด็ดขาดโดยเฉพาะโธมัส ถึงจะงงๆ แต่มาดามโอเนลลืก็รับปากเมื่อเจ้าลูกชายตัวแสบให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้เพื่อนรักเป็นห่วง
แน่ล่ะ... ถ้าโธมัสรู้เรื่องนี้ เด็กหนุ่มผมทองหุ่นนักกีฬาชวนน้ำลายหกได้บินตรงจากมิวนิคมากรุงเทพทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปเช่นปกติเหมือนทุกวัน จนถึงวันที่สองสามีภรรยาโอเนลล์มาถึงกรุงเทพ เสียงทะเลาะกันล้งเล้งของพ่อลูกดังทะลุผ่านประตูห้องมาให้คุณหมอวัยสามสิบยืนซดกระทิงแดงฟังตาปริบๆ หลังเพิ่งกลับมาจากเวรตรวจที่โรงพยาบาลเอกชน
จับใจความได้ว่าคนพ่ออยากพาลูกชายกลับลอนดอนไม่ต้องอยู่มันแล้วประเทศไทย แล้วมีหรือที่คนลูกจะยอม เถียงกันลั่นสนั่นคอนโดจนมีเสียงเพล้งนั่นแหละทิวากานต์จึงยอมหน้าด้านเดินไปกดออดห้องฝั่งตรงข้าม เขายิ้มให้คุณเมษาที่ต้องมารับเคราะห์จากห้องข้างเคียงเป็นเชิงปลอบและบอกไปในตัวว่าเดี๋ยวเขาจัดการเอง
ปลายนิ้วนุ่มกดออดหน้าประตูสองครั้งเสียงในห้องก็พลอยเงียบไป ครู่เดียวมิสเตอร์เอเดลมาร์ก็เดินหน้าตึงมาเปิดประตู ชายอังกฤษพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนค้อมหัวเล็กน้อย
“ขอโทษด้วยครับที่ทำเสียงดังรบกวน”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ว่าคงไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกันใช่ไหมครับ”
“แค่เถียงกันเฉยๆ น่ะครับ”
“งั้นขอผมเข้าไปดูอลันด์ได้ไหมครับ” ทิวากานต์ฉีกยิ้มการค้า รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเสียมารยาทที่เข้าไปยุ่งเรื่องของครอบครัวคนอื่น แต่ในฐานะคนรู้จักคุ้นเคยกันกับเด็กแสบจะให้เขาปล่อยไปเฉยๆ ได้ยังไง
เอเดลมาร์ โอเนลล์มองหน้าศัลย์แพทย์หนุ่มลังเลครู่หนึ่งก่อนยอมเบี่ยงตัวให้อีกฝ่ายเข้ามา
สถานการณ์ในห้องไม่ได้แย่เท่าที่คุณหมอคิด เด็กลูกครึ่งตัวเท่าไหล่นั่งกอดอกเชิดหน้าบนโซฟาเดี่ยว ส่วนมาดามโอเนลล์นั่งสูดยาดมที่โซฟาอีกตัว ต้นเหตุเสียงเพล้งที่ทำให้ชายหนุ่มตัวสูงต้องมาเคาะประตูนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นพรมในสภาพแตกเป็นเสี่ยงพร้อมน้ำและเนื้อส้มไหลกระจาย ทันทีที่ตาสีฟ้าซีดเห็นหน้าทิวากานต์ปากอิ่มหยักก็ขยับฟ้องฉอดๆ
“ด็อก ช่วยพูดกับแด๊ดกับมัมที”
“หืม” เขาแกล้งเลิกคิ้วเหมือนไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มต้องการให้ช่วยเรื่องอะไร อลันด์หายใจฮึดฮัดก่อนลุกขึ้นมาดึงแขนอีกคนให้มาอยู่ใกล้ตัวคล้ายเป็นกำลังเสริม
“พวกเขาจะให้ผมกลับลอนดอน กลับแบบถาวรเลย ผมไม่ยอมนะ ไหนสัญญากันแล้วไงว่าจะให้ผมเรียนที่นี่ ถ้าให้ผมกลับไปผมก็ไม่ได้เป็นนักร้องสิ”
“แต่ที่เธอมานี่เพราะพ่อกับแม่กลัวหนีออกจากบ้านไปเป็นนักร้องไม่ใช่เหรอ ไม่ได้หมายความว่าอยู่ที่นู่น แล้วถ้าเรียนจบจะไม่ได้ทำตามสัญญาสักหน่อย” โดนกำลังเสริมย้อนกลับไปแบบนี้เด็กแสบถึงกับร้องเสียงหลง ตาสีฟ้าซีดแสดงออกว่าผิดหวังชัดเจน
“โอเค ไอซี ด็อกคงรำคาญอยากไล่ผมกลับลอนดอนเต็มที” เจ้าตัวตัดพ้อเสียงเบา ตาหลุบต่ำจนมองเห็นแพขนตาสีอ่อน ก่อนร่างนั้นจะวิ่งหนีขึ้นห้องนอนไปเมื่อคนเป็นพ่อเดินมาพูดซ้ำความตั้งใจเดิมที่เกิดขึ้นหลังทราบข่าวว่าลูกชายเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ
“เห็นไหม คุณหมอเขายังคิดเหมือนแด๊ดเลย อัลอย่าดื้อ กลับลอนดอนกับแด๊ดดีๆ อย่าให้ต้องบังคับ”
นี่ยังไม่บังคับอีกเหรอ ทิวากานต์คิดในใจเงียบๆ เขารอจนได้ยินเสียงปิดประตูห้องถึงหันมาหาพ่อแม่ไอ้เด็กแสบ รอยยิ้มทางการค้าถูกส่งไปอีกรอบ
“คุณหมอมาก็ดีเลยค่ะ น้ากำลังอยากคุยเรื่องอาการของอัลพอดี พอจะมีเวลาคุยไหมคะ”
“มีทั้งคืนเลยครับ” เขาว่าติดตลกพลางย่อตัวนั่งบนโซฟาที่อลันด์เคยนั่ง ส่วนเอเดลมาร์เดินไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดออกมาเก็บเศษแก้ว พวกคราบน้ำส้มไว้ค่อยให้แม่บ้านมาจัดการพรุ่งนี้
“อย่างที่เห็นนั่นแหละค่ะ น้ากับสามีอยากให้อัลกลับไปรักษาตัวที่ลอนดอนแล้วก็เรียนเสียที่นู่นเลย บอกตามตรงตอนที่ได้ยินว่าเขาเป็นผนังหัวใจรั่วหัวใจน้าแทบร่วง ถึงหมอวาจะบอกว่าไม่ร้ายแรงอะไรแต่หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะกลัวไปหมดแหละค่ะ”
ทิวากานต์พยักหน้ารับฟังอย่างเข้าใจ ทำงานตรงนี้เขาเจอคนไข้และญาติคนไข้มาหลายแบบ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นห่วงคนสำคัญของตัวเองกันทั้งนั้น ยิ่งกับลูกที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันก็อยากให้อยู่ใกล้ตา และตามประสาคนมีเงินคงอยากให้ได้รับการรักษาที่ดีที่สุด
“ผมเข้าใจที่คุณน้าทั้งสองกังวลนะครับ แต่ผมก็มีเรื่องอยากถามสักหน่อย คือปกติโรคผนังหัวใจรั่วเนี่ยมักจะเป็นกันตั้งแต่กำเนิดแล้วก็รักษากันตั้งแต่เด็ก แต่ว่าอลันด์เขาไม่รู้เลยว่าเป็น แถมยังบอกว่าตรวจสุขภาพทุกปีแต่ไม่เคยพบ ถ้าเทียบกับความยาวของรอยรั่วก็น่าจะรั่วมาได้พักใหญ่ๆ แล้ว ตรงนี้มันทำให้ผมเป็นกังวลน่ะครับว่าที่ผ่านมาเขาได้รับการตรวจรักษาแบบไหนกัน” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูสบายๆ เหมือนถามเรื่องทั่วไป หากสายตาที่ใช้มองผู้ใหญ่ทั้งสองกลับกดดันจนเกิดบรรยากาศแปลกๆ
“นั่นแด๊ดเขาก็สงสัยเหมือนกันจ้ะ อันที่จริงแล้วอัลเขาก็เป็นโรคนี้ตั้งแต่เกิดแหละแต่ว่ารูรั่วแค่สามมิล หมอเขาบอกว่าโตขึ้นก็จะหายไปเอง ตอนนั้นน้าพาเขาไปตรวจทุกเดือน สักสามขวบรูรั่วก็ปิดสนิท หลังจากนั้นก็ไม่มีอาการอะไรอัลเขาก็ใช้ชีวิตวิ่งเล่นได้ตามปกติ พวกน้าก็วางใจเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำจนหมอวาโทรมาบอกนี่แหละจ้ะ”
“อ่อ... ครับ” เขาพยักหน้ารับ “ความจริงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเท่าไหร่หรอกครับ อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วเลย อีกอย่างอาการที่อลันด์เป็นก็ไม่หนักมาก เขาแทบไม่มีอาการเหนื่อยง่ายหรือตัวเขียว ยังใช้ชีวิตปกติไปได้อีกหลายปีโดยไม่ต้องมาหาหมอด้วยซ้ำ แต่ที่ผมตัดสินใจบอกก็เพราะถ้ารักษาตั้งแต่ตอนนี้เขาจะไม่ต้องเสี่ยงอันตรายมากในวันข้างหน้าและไม่อยากให้พวกคุณน้าเป็นกังวลมากเกินไป”
“คุณหมออยากจะพูดอะไรก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า สำหรับนักธุรกิจแบบผมแล้วไม่ต้องการอ้อมค้อมให้เสียเวลา” ประโยคเรียบๆ จากมิสเตอร์เอเดลมาร์ที่เพิ่งจัดการเศษกระเบื้องบนพรมหมดจดเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าคุณหมอวัยสามสิบปีได้อีกครั้ง หากคราวนี้เป็นรอยยิ้มทะเล้นเหมือนถูกจับไต๋ได้
“ผมแค่อยากบอกว่าอาการที่อลันด์เป็นไม่หนักอะไรเลย ไม่จำเป็นต้องบินกลับไปลอนดอน อยู่รักษาตัวที่นี่ก็ได้ไม่ต้องผ่าตัด นอนโรงพยาบาลแค่คืนสองคืนก็ออกได้แล้ว หมอเมืองไทยมีเก่งๆ เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจเยอะแยะ อย่างหมอคนที่ผมพาน้องไปตรวจก็เป็นอาจารย์ของผมเอง จบมาจากสถาบันมีชื่อจากอเมริกา หรือถ้าคิดว่าที่ผมพูดไม่มีความน่าเชื่อถือพอก็ลองพาน้องไปตรวจที่โรงพยาบาลของคุณลุงน้องเขาเพื่อยืนยันคำพูดของผมก่อนก็ได้นี่ครับ”
“ที่คุณหมอพูดมาผมเข้าใจนะ แต่อย่างที่บอกหัวอกคนเป็นพ่อแม่ยังไงก็อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุด”
“แม้ว่าต้องทำร้ายจิตใจลูกงั้นหรือครับ” นายแพทย์หนุ่มเถียงขึ้นมาแทบจะในทันที และรีบใช้ช่วงเวลาที่ผู้ใหญ่ทั้งสองนิ่งเงียบไปพูดต่อ “สุขภาพร่างกายสำคัญก็จริงแต่สุขภาพจิตใจก็สำคัญไม่แพ้กัน ต่อให้ร่างกายแข็งแรงแต่ถ้าจิตใจมันอ่อนแอ ไม่ต้องห่วงหรอกครับอลันด์ได้ป่วยอีกแน่”
“หมอรู้ได้ไงว่าลูกผมจะไม่มีความสุขถ้ากลับไปลอนดอน อัลยังเด็ก เขาแค่อยากทำตามใจอยากมีอิสระ และตอนนี้ผมคิดว่าลูกผมเขามีอิสระมากพอแล้ว!”
“รู้ได้ไง? ก็ดูจากสิ่งที่เขาแสดงออกสิครับ คุณน้าเห็นไหมว่าเขาไม่อยากกลับไป ต่อให้อยู่ที่นี่มันลำบากแต่เขาก็พยายามเต็มที่เพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพวกคุณ แล้วจู่ๆ พวกคุณก็จะยกเลิกเพียงเพราะเขาป่วยด้วยโรคแค่นี้งั้นเหรอครับ ผมว่าคุณแค่อยากได้อลันด์กลับไปเดินตามเส้นทางที่คุณขีดไว้ให้เขามากกว่า จริงๆ แล้วคุณไม่ได้อยากให้เขาเป็นนักร้องแต่แรกอยู่แล้วนี่ ไม่วันนี้วันหน้าคุณก็หาเรื่องให้เขากลับไปกับคุณอยู่ดี ผมพูดถูกหรือเปล่าล่ะครับ”
“เหอะ! คุณมันก็แค่คนนอกจะไปรู้อะไร” มิสเตอร์โอเนลล์ถึงกับหน้าชาที่ถูกอีกฝ่ายพูดจี้ตรงตามที่เขาวางแผนไว้ทุกอย่าง และเมื่อเถียงสู้ไม่ได้เอเดลมาร์ก็เลือกกันทิวากานต์ออกไปเป็นคนนอกเสีย
“ใช่ครับผมก็แค่คนนอกที่เพิ่งรู้จักอลันด์ได้ไม่นาน แต่ก็มากพอที่จะรู้ว่าเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไรและมีความฝันยิ่งใหญ่แค่ไหน”
“นักร้องมันก็แค่นั้นแหละหมอถ้าไม่ได้ไปถึงจุดสูงสุด!”
“แล้วคุณก็กำลังดูถูกลูกคุณเองด้วยการบอกว่าเขาไม่มีความสามารถมากพอ!” ทิวากานต์ขึ้นเสียงดังตามอีกคน ตาคมจับจ้องมิสเตอร์เอเดลมาร์เขม็ง
“ในฐานะพ่อ ผมย่อมเลือกทางเดินที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดให้ลูก คุณยังไม่แต่งงานมีครอบครัวคุณคงไม่เข้าใจ”
เอเดลมาร์เป็นผู้ใหญ่หัวแข็งแบบที่ทิวากานต์ไม่ชอบจนถึงขั้นถอนหายใจใส่ต่อหน้า แม้รู้ดีว่าเป็นการเสียมารยาทแต่มันอดไม่ได้จริงๆ เขานั่งยืดหลังตรงบ่าตั้ง เมื่อรวมเข้ากับส่วนสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรยิ่งดูน่ากลัวจนทั้งมิสเตอร์และมาดามโอเนลล์ไม่กล้าออกปากพูดหรือตำหนิคุณหมออารมณ์ดีในมาดนี้
“ใช่ครับ ผมไม่เคยมีครอบครัว ตอนนี้ยังโสดและไม่คิดจะแต่งงานด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มเกริ่นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ถ้าใส่แว่นคงได้เห็นนิ้วเรียวยาวดันขาแว่นขึ้นพร้อมประกายวิ้งๆ เป็นเอฟเฟ็กต์ประกอบ “แต่แม่ผมเขาเลี้ยงผมโดยคาดหวังเพียงอย่างเดียว คือใช้ชีวิตกับความจริงอย่างมีความสุข เขาไม่เคยบอกให้ผมเป็นหมอ ไม่เคยบอกให้ผมเรียนนู่นนี่นั่น ไม่เคยบังคับให้ผมต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำ และถ้าผมอยากทำอะไรเขาก็ไม่เคยห้าม แต่ถ้าผมไม่มีความสุขกับสิ่งที่ผมเลือกเมื่อไหร่ ตอนนั้นแม่จะทำหน้าที่แม่อย่างเต็มที่ สั่งสอนและเปิดโลกแคบๆ ของเด็กคนหนึ่งให้กว้างขึ้นกว่าเดิม”
ใบหน้าของคุณหมอยามพูดถึงมารดาผู้ล่วงลับเต็มไปด้วยประกายความสุขชัดเจนในดวงตา เสริมให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นน่ามองหลายเท่าตัวจนไม่อาจละสายตาได้
“กว่าจะมาถึงวันนี้ผมเลือกทางผิดมาก็เยอะ แต่ไม่มีทางไหนที่ไม่มีทางกลับเพราะผมรู้ว่าแม่จะรอผมอยู่ที่เดิมเสมอ ดูเหมือนไม่ห่วงลูกเลย แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงมั่นใจว่าแม่น่ะรักผมมากที่สุด ผมเข้าใจนะครับว่าแต่ละบ้านสอนลูกไม่เหมือนกัน แต่การปล่อยให้เขาได้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง มีความฝันเป็นของตัวเอง ผิดพลาดด้วยตัวเอง ไม่คิดบ้างเหรอครับว่ามันจะทำให้ลูกของเราเข้มแข็งขึ้นและสามารถเอาตัวรอดบนโลกนี้ได้ต่อไปในวันที่พวกคุณไม่อยู่กับเขาแล้ว”
“หมอวาบวชหรือยังคะ” หลังจากเงียบกันไปนาน มาดามโอเนลล์ก็เอ่ยถามขึ้นทำลายความเงียบ ใบหน้าไม่แสดงอาการยินดียินร้ายอะไรกับคำถามที่ดูจะไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูดไปก่อนหน้า กระนั้นทิวากานต์ก็ยอมตอบไปตามจริง
“ยังครับ และไม่คิดจะบวชด้วยครับ ผมไม่ถูกกับวัด เข้าไปแล้วร้อน”
บรรยากาศเครียดขนาดนี้ก็ยังตลกได้หน้าตาย เล่นเอาคนถามต้องกลั้นยิ้มจนแก้มตึงแต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมาก๊ากใหญ่อย่างห้ามไม่ได้ ปล่อยให้ผู้ชายต่างวัยสองคนในห้องหันมามองเป็นตาเดียว ไอ้ที่ดูเหมือนจะต่อยปากกันเมื่อครู่เลยกลายอมยิ้มกันคนละนิดละหน่อย
“คุณหมอเทศน์เก่ง เอ๊ย พูดเก่งมากค่ะ น้าฟังแล้วยอมเลย สู้ไม่ได้จริงๆ”
“บางทีต้องไปสอนนักศึกษาน่ะครับเลยติดมา”
“แต่แหม... ฟังคุณหมอพูดถึงแม่แล้วน้าอยากเจอตัวมากเลยค่ะ คงเป็นผู้หญิงที่เปรี้ยวน่าดู เสียดายที่เราเจอกันช้าไป”
ทิวากานต์อมยิ้มแก้มป่องเมื่อมีคนชมถึงมารดา บางทีถ้าเจอกันเร็วกว่านี้คนที่มาพูดฉอดๆ ใส่สองสามีภรรยาโอเนลล์คงเป็นแม่เขาแน่นอน
“ถึงผมจะไม่ชอบใจเท่าไหร่แต่ขอบอกว่าเขาสอนคุณมาดีจริงๆ ผมเถียงไม่ทันเลย” มิสเตอร์เอเดลมาร์ก็ยังต้องยอมแพ้ กระนั้นตาสีฟ้าเหมือนลูกชายก็ยังจ้องเขาไม่ใคร่จะพอใจนัก “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมจะพาอัลไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกที ถ้ามันไม่มีอันตรายอย่างที่คุณว่า ผมจะยอมให้ แต่ถ้าไม่เราจะกลับลอนดอนกันพรุ่งนี้เลย”
“ผมไม่มีสิทธิตัดสินใจอยู่แล้วนี่ครับ” ทิวากานต์ตอบตามตรงทว่าแววตาท้าทายอีกฝ่ายชัด
“หึ”
“งั้นผมขอตัวกลับล่ะครับ เจอกันพรุ่งนี้” เขาค้อมตัวให้ผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนเดินผิวปากออกมาจากห้อง จงใจกวนมิสเตอร์เอเดลมาร์ที่ส่งสายตาขับไล่ตามหลังพอให้อารมณ์ดีก่อนนอน
เสียเวลาที่ห้อง 2112 ไปเกือบชั่วโมง ทิวากานต์กลับมาเปิดคอมพิวเตอร์ ระหว่างรอเครื่องบูทก็เดินไปเอาอาหารแช่แข็งใส่ไมโครเวฟ ถึงอาหารพวกนี้ไม่ค่อยอร่อยถูกปากแต่ในยามที่ไม่อยากเปิดตู้เย็นรื้อของสดมาทำให้ยุ่งยากตอนเกือบสี่ทุ่มก็ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
เขานั่งกินข้าวหน้าโต๊ะคอมสลับอ่านกระทู้รถในเว็บคอมมูนิตี้ชื่อดังจนเกือบเที่ยงคืน ร่างสูงถึงยอมลุกจากเก้าอี้เดินไปทิ้งกล่องอาหารแล้วเข้าห้องน้ำชำระร่างกายเตรียมตัวเข้านอน
เอาน้ำราดหัวฟอกสบู่จนตัวสะอาดหอมฟุ้งนั่นแหละคุณหมอวัยฉกรรจ์โสดฟ้อหล่อเฟี้ยวถึงเดินพันผ้าขนหนูออกมา ทิวากานต์ดูเฟซบุ๊คเป็นครั้งสุดท้ายทั้งที่ยังไม่แต่งตัวก่อนปิดคอมคว้ามือถือเดินขึ้นห้องนอน พลางกดโทรศัพท์เช็คหลังเห็นแสง LED สีฟ้าจากหัวมุมโทรศัพท์กระพริบตั้งแต่ออกมาจากห้องน้ำ คงมีข้อความอะไรสักอย่างเข้า
‘ไปหาได้ไหม’ข้อความสั้นๆ จากไอ้ตัวแสบห้องตรงข้าม เขานึกว่าเด็กนั่นจะหลับไปแล้วเสียอีก ดูจากเวลาที่ส่งก็ตอนเขาไปอาบน้ำพอดี คุณหมอฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันบนเรียงเป็นระเบียบ นิ้วยาวๆ จิ้มตอบกลับไปเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
‘มาได้ก็มา’ไม่เกินนาทีเสียงออดรัวๆ อันมีเอกลักษณ์เกินจะด่าจึงดังขึ้นให้ปวดหัว ทิวากานต์หัวเราะคนเดียวเสียงดัง ร่างสูงก้าวลงบันไดทั้งที่ยังไม่ได้แต่งตัวให้เรียบร้อย เพียงเปิดประตูร่างอ้วนกลมก็พุ่งเข้ากอดตัวเขาหมับ หน้าใสเงยขึ้นมองตาเขาพูดเสียงอ้อน
“ขอนอนด้วยนะ”
“หนีออกจากบ้านหรือไง เดี๋ยวเขาตื่นมาไม่เจอก็ตกใจหรอก”
“ช่างสิ” เจ้าเด็กตัวเท่าไหล่ว่า แป๊บๆ ก็ผละตัวเดินเข้าห้องทิวากานต์เฉย แล้วเจ้าของจะทำอะไรได้นอกจากส่ายหน้าให้ เขาปิดประตูห้องลงกลอน เดินนำอลันด์ขึ้นไปบนห้องนอน นิ้วยาวชี้ไปที่เตียงบนให้อีกคนไปนอนรอระหว่างเขาแต่งตัว
เจ้าเด็กดื้อที่พอจะเริ่มว่าง่ายกระโดดขึ้นเตียงคว้าหมอนข้างกอดหมับ ร่างกลมๆ กลิ้งไปกลิ้งมาหลายตลบก็ไม่ตกเตียง “เตียงใหญ่เว่อร์ เหมือนเตียงทอมเลย”
ทิวากานต์หัวเราะคิกหลังได้ยินเสียงไอ้ตัวแสบหัวเราะมาจากที่นอน พอเขาโผล่หน้าเข้าไปดูระหว่างทาครีมถึงเห็นอลันด์นอนคว่ำเอาหน้าซุกหมอนแต่เท้าดีดไปมาในอากาศเหมือนเด็กอนุบาลจนต้องดุไปที “นอนดีๆ อย่านอนคว่ำ”
“คิกคิก”
“หัวเราะอะไร ตอนหัวค่ำยังเบะปากใส่เขาอยู่เลย” แต่งตัวเสร็จคุณหมอถึงได้พาตัวใหญ่ๆ มานั่งขอบเตียง มือดันร่างกลมอวบให้กลิ้งไปอีกฝั่งแล้วค่อยตลบผ้านวมออกมาสะบัดคลุมเด็กแสบ
“ก็... แต่ตอนนี้รักด็อกนะ” อลันด์มุดหัวออกมาจากผ้าห่ม ทำหน้าลังเลคิดคำแก้ตัวไม่ออกเลยบอกรักเอาใจซะ เขาควรดีใจไหมเนี่ย ทิวากานต์ยิ้มขำพลางมองไอ้ตัวแสบกลิ้งไปมาใต้ผ้าห่ม
“Chest to chest, nose to nose, palm to palm, we were always just that close” เด็กฝรั่งเลิกคิ้วสูงเมื่อจู่ๆ คุณหมอก็พูดภาษาอังกฤษออกมาเหมือนท่องกลอนแถมประโยคยังชวนเสียตัวอีก บวกกับที่เขาพูดบอกรักอีกคนไปงั้นๆ พาเอาหนาวสันหลังวูบ แต่ก่อนได้ตีโพยตีพายไปไกลทิวากานต์ก็เฉลยออกมาก่อน “ไม่เคยฟังเหรอ California King Bed ของ Rihanna อ่ะ”
“ไม่ฟังเพลงป๊อบ” แมนๆ แบบอลันด์ไม่ฟังเพลงผู้หญิงตัดพ้อต่อว่าคนรักแบบนั้นหรอก อย่างเขามันต้อง Arctic Monkeys อะไรแบบนี้ ร็อคแอนด์โรลเท่านั้น
“จ้าๆ” จัดการขยี้หัวอีกคนพอหายมันเขี้ยวสักทีถึงทิ้งตัวลงนอนบนเตียงไซส์ California King สำหรับคนตัวใหญ่เกินชาวบ้านเขา มือหนึ่งคว้านบนหัวเตียงหยิบรีโมทดับไฟจนทั้งห้องมืดสนิท อีกมือยื้อยุดฉุดกระชากหมอนข้างกับไอ้ตัวแสบใต้ผ้าห่ม แต่ดึงเท่าไหร่อีกคนก็ไม่ยอมปล่อยเกาะเป็นแมวอยู่นั่น คนแก่กว่าเลยยอมแพ้ให้แมวหลงมันยึดไปนอนกอดคืนเดียวคงไม่ตาย
ทิวากานต์หลับตาตั้งใจนอนหลังปล่อยให้อลันด์ขยับตัวหาท่านอนอยู่นานจนเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน รอยยิ้มจางปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดเมื่อได้ยินคำขอบคุณจากคนนอนข้างกันบนเตียงหลังใหญ่ คำสั้นๆ ง่ายๆ แต่ทำให้เขาหลับสนิทตลอดคืน
TBCอ่านคอมเม้นต์ตอนที่แล้วอยากกดบวกเป็ดรัวๆ ให้หลายคห.มากค่ะ ถูกใจสุดๆ ฮ่าๆ
ขอบคุณทุกความคิดเห็นและบวกเป็ดนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่า
จุ๊บๆ
ปล.
LOVE | HATE : ลวงใจ ก็ลงแล้วนะคะ ฝากติดตามกันด้วยเน้อ ><
-------------------------------------------
คุณ kawisara - ใช่ค่ะ อิน้องอัลมันก็ให้ท่าเพื่อนหมานั่นแหละเรื่องมันถึงเป็นแบบนี้ แต่พอเขาไม่รักตอบแถมยังทำซาดิสม์ใส่นางถึงเพิ่งจะมากลัว เด็กคนนี้น่าตีมากเนอะ 5555
คุณ waterlily - ถูกต้องค่ะ!
คุณ coupdetat - พี่วาแค่เป็นห่วงเด็ก พี่วาผิดอัลไลคะ ;w;
คุณ Supparang-k - ไม่ต้องไปสงสารน้องอัลมากหรอกค่ะ ทำตัวเองทั้งนั้น สมควรโดนแล้วจริงๆ *^*
คุณ malula - ไม่ต้องกังวลเรื่องป๋ารันเลยค่ะ ป๋าแกเป็นแค่คุณน้าใกล้วัยทองขี้เหงาคนนึงเท่านั้นเอง ฮ่าๆๆๆ
คุณ pim-lovemj - จะไปฝากบอกพี่วาให้นะคะ ^^
คุณ fuku - ทอมดีทุกอย่างแต่โง่ก็แค่เรื่องนี้แหละค่ะ ขอบคุณที่เข้าใจน้องอัลนะคะ
คุณ ดาวโจร500 - ถ้าจะขอพี่วาคงต้องผ่านเด็กแสบไปก่อนล่ะค่ะ ฮ่าๆๆ ปล. วันๆ ทำเคสหัวหมุนหาเวลากินข้าวเที่ยงให้ตรงเวลายังไม่ค่อยจะได้เลย จะให้ข้ามไปกินข้าวกะเด็กแสบนี่คงต้องรออีกนานเลยล่ะค่ะ ชีวิตหมอมันเศร้า ;-;
คุณ VarainDark - ใกล้แล้วล่ะค่ะ รอกันอีกนิดนะคะ นิดเดียวจริงๆ ฮี่ๆ
คุณ __oo__ - ทำเพจไม่เป็นอ่าค่ะ เปลี่ยนเป็นทวิตเตอร์แทนได้ไหมคะ ถนัดทางนั้นมากกว่าค่ะ ;-;