นิติสต์ศาสตร์
REG คือเว็บไซต์ที่เด็กมหา’ลัยทุกคนต้องรู้จัก
REG ทำให้เรามารวมตัวกันมากที่สุดในวันประกาศผลสอบ
REG เคยล่มแล้วล่มอีกจนทำให้ใครหลายๆ คนถึงกับปาแล็บท็อปทิ้งในวันลงทะเบียนเรียน
REG เป็นที่เดียวที่แสดงตารางเรียนและสอบอย่างเป็นทางการ
REG ทำให้เราได้ส่องรายชื่อว่าเทอมนี้จะได้เรียนกับใครที่เราสนใจบ้าง
REG ทำให้เกิดคู่รักรวมถึงคู่อริในเวลาเดียวกัน
และ REG อีกนั่นแหละที่ทำให้ผม...
ตัดสินใจพลาดไป
“ปิดเทอมไม่เห็นหน้าเห็นตา ลงทะเบียนเสร็จยังวะ”
เจ้าของร่างท้วมตบบ่าของผมเป็นการทักทาย หลังจากเราไม่ได้เจอกันตลอดปิดเทอม 3 เดือนเต็ม ก็...ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ปิดเทอมเป็นอะไรที่น่าเบื่อพอๆ กับการเรียนวิชาปราบเซียนนั่นแหละ และเหตุผลที่เราหลายคนต่างนั่งอยู่หน้าแล็บท็อปตรงนี้ก็มีแค่เหตุผลเดียว
ลงทะเบียนเรียน
“ลงเสร็จแล้ว” ผมตอบกลับไป
“วิชาเสรีลงทันมั้ย ส่วนใหญ่เขาบอกอาเซียนได้คะแนนดี ฟาดเอยกเซคก็เคยมีนะ”
“อืม รุ่นพี่ก็พูดแบบนี้ แต่กูลงไม่ทันว่ะ”
หมดกัน ชีวิตปี 4 เทอม 1 ของกู ฝันสลายฉิบหายเพราะเน็ตมหา’ลัย ผมเลยต้องกระเตงไปลงเรียนวิชาใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในสายตาอย่างวิชานันทนาการในโรงเรียน
ให้ตาย...เรียนบริหารฯ แต่ต้องมาลงวิชาเลือกเสรีเป็นวิชาคณะศึกษาศาสตร์ เออ ชีวิต!
เด็กมหา’ลัยทุกคนย่อมรู้ดี ช่วงเวลาของการชิงรักหักเหลี่ยมโหดที่สุดของเรานอกจากแย่งข้าวที่โรงอาหารกินแล้ว ก็คือการลงทะเบียนวิชาเลือกเสรีนี่แหละ แน่นอนว่าเรามีสิทธิ์เลือกเรียนวิชาไหนของคณะอะไรก็ได้ที่เปิดสอน และนิสิตแต่ละคนก็มีเหตุผลในการลงเรียนวิชานั้นไม่เหมือนกัน
บ้างลงเรียนเพื่อหาแฟน เพราะส่วนใหญ่ใช้ระบบคละเลยเจอผู้คนที่หลากหลายขึ้น
บ้างหนีจากความซ้ำซากจำเจในชีวิตประจำวัน อย่างพวกนิติฯ ที่พากันไปเรียนกราฟิกพื้นฐานของสถาปัตย์ฯ
บ้างเรียนเพราะอยากอัพเกรด เพราะวิชาเลือกส่วนใหญ่มักจะได้เกรดดี
หรือบางคน...ลงทะเบียนไม่ทัน เลยต้องเรียนในวิชาที่ไม่อยากเรียนแถมได้เกรดยากอีกต่างหาก
ซึ่งตอนแรกผมอยากเป็นแบบที่สาม แต่ดันมาเป็นแบบสุดท้ายเนื่องจากโชคไม่อำนวย
“อ้าว สรุปมึงลงอะไรเนี่ย” เพื่อนผมถาม
“นันทนาการในโรงเรียน”
“สาดดดดดด อาจารย์ศึกษาฯ โคตรโหด”
ผมจะถือว่าเป็นคำปลอบใจแล้วกัน
“แล้วมึงล่ะ”
“กูลงอาเซียน เป็นคนที่ 50 ของเซคพอดีเป๊ะ ปีนี้ดันเปิดแค่สองเซค บุญโคตรคุ้มกะลาหัวกูเลย” เออ สงสัยบุญคงจะผ่านกูไปแล้วล่ะ เหลือแต่กรรม
“แล้วเพื่อนคนอื่นๆ อ่ะ” ถามกลับไปอีก เชื่อสิ มันต้องมีสักคนที่โชคร้ายเหมือนผม
“เพื่อนครึ่งห้องลงอาเซียนทันหมด ส่วนกลุ่มไอ้เป้หนีไปเรียนกฎหมายเบื้องต้น ไอ้เอมกับก๊วนไอ้ทอมไปเรียนภาษาญี่ปุ่น ส่วนบางคนก็โน่น! ภาควิชาวิศวฯ”
“สรุปไม่มีใครพลาดมาลงกับกูเลยเหรอ”
“โบ๋เบ๋ว่ะ”
อยากร้อง แต่กูร้องไม่ออก มันคงเป็นความจุกที่ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดหรือน้ำตาได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก คิดซะว่าเป็นหนึ่งเทอมที่เต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้นก็พอ สี่เดือนเอง เดี๋ยวก็หลุดพ้น
“เอาน่า ความจริงมันอาจไม่แย่อย่างที่คิด”
“เป็นไปได้ยาก เห็นรุ่นก่อนๆ ก็โอดครวญอยู่”
“สู้ๆ นะไอ้พากษ์”
ให้กูสู้กับอะไรเหรอ...?
“ดูรายชื่อใน REG หรือยัง ตอนนี้เซคมึงคงเต็มแล้วมั้ง” ใช่ไง วิชาอื่นเต็มตั้งแต่ 5 นาทีแรก แต่วิชานี้นั่งรอเกือบชั่วโมงยังไม่มั่นใจว่าจะเต็มหรือเปล่าเลย แต่นี่ก็ผ่านไปนานมากแล้ว คิดว่าน่าจะเพียงพอให้เด็กที่มีชะตากรรมเหมือนผมได้กดเลือกและลงนรกไปด้วยกัน
ผมเลื่อนเมาส์ ตัดสินใจคลิกลงไปบนรหัสวิชาที่เพิ่งทำผมใจสลายไปเมื่อชั่วโมงก่อน ในนั้นมีรายชื่อของผู้โชคร้ายทั้ง 40 คน ผมกวาดสายตาไล่อ่านตั้งแต่บนลงล่าง เผื่อมีคนรู้จักมาเรียนด้วยกัน แต่เด็กบริหารฯ กลับไม่มีใครลงเรียนแม้แต่คนเดียว ส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกวิศวฯ ที่ขนกันมาเรียนทั้งภาค จะมีก็แต่...
สายตาของผมหยุดอยู่ตรงรายชื่อหนึ่งซึ่งต่อท้ายด้วยคณะนิติศาสตร์
หัวใจผมเต้นระรัว เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดซึมเต็มกรอบหน้า ก่อนจะตัดสินใจเลื่อนสายตาไปทางซ้ายเพื่ออ่านรายชื่อของใครคนนั้น ใครคนหนึ่งที่ผมไม่อยากได้ยินแม้แต่ชื่อ
นายทันภัทร ธนเศวต
แฟนเก่า
“ทันภัทร”
“...”
“ทันภัทร ธนเศวต มาหรือเปล่า”
ถึงแม้จะไม่อยากได้ยินชื่อนี้แค่ไหน ผมก็ต้องฟังมันซ้ำซากไม่รู้กี่ครั้งตลอดเทอม
อาจารย์อาวุโสหน้าห้องขานชื่อของหมอนั่นอยู่หลายครั้ง แต่แทบไม่มีวี่แววว่าเจ้าของชื่อจะโผล่หัวมาสักนิด กระทั่งคนอายุมากกว่าตัดสินใจจรดปลายปากกาเป็นสัญลักษณ์กากบาทหลังชื่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดแง้มออกอย่างเงียบเชียบ
ร่างสูงโปร่งก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ทุกสายตาจดจ้องไม่คลาดเคลื่อนเพราะมันเป็นคนเดียวที่สวมเสื้อคลุมนิติศาสตร์สีดำปักลายตาชั่งทับเสื้อยืดสีเทาซึ่งอยู่ด้านใน กับกางเกงยีนเข่าขาดที่ผมคุ้นตา แตกต่างจากคนอื่นที่สวมชุดนิสิตถูกระเบียบทุกอย่าง
“เดี๋ยวค่ะ ชื่ออะไรคะ” อาจารย์หรี่ตามองผ่านกรอบแว่นหนา คนมาทีหลังเลยหันหน้าไปคุยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่กลับรู้สึกว่ามันโคตรวอนส้นตีนเลยว่ะ
“ทันภัทรครับ”
“มาสายนะคะ”
“ไม่สายครับ” เถียง! มันเถียงอาจารย์ที่ขึ้นชื่อว่าโหดสุดในคณะศึกษาฯ ไอ้โง่
“คุณมาสาย ดูนาฬิกาด้วย!” ไม่พูดเปล่า อาจารย์ชี้นิ้วไปที่นาฬิกาติดฝาผนังที่อยู่ตรงมุมห้องด้วย
ห้องทั้งห้องเงียบกริบยิ่งกว่าป่าช้า ขนาดพวกวิศวฯ ที่นั่งกันอยู่เกือบครึ่งห้องยังไม่กล้าปริปากแม้แต่คำเดียว เชื่อมันเลยว่าหลายคนคงสงสัยว่าไอ้นี่มันกร่างมาจากไหน
“ไม่สายครับ นาฬิกาผมบอกว่าผมมาตรงเวลา”
“ฉันยึดนาฬิกาของฉัน สายก็คือสาย”
“ผมยึดเวลามาตรฐานโลกครับ ที่นี่ประเทศไทยตอนนี้ 10.01 น. ผมเข้าห้องตรงเวลาตอน 10.00 น. และใช้เวลาชี้แจงอาจารย์ประมาณหนึ่งนาที” เจ้าตัวชูโทรศัพท์มือถือซึ่งกำลังเปิดเว็บไซต์เวลามาตรฐานขึ้นมา
ผมได้ยินเสียงหายใจของอาจารย์เจ้าของวิชาเฮือกใหญ่ ก่อนมือของเธอจะเลื่อนไปเขียนอะไรสักอย่างบนใบรายชื่อ
“ไปนั่งที่ได้ คราวนี้ฉันจะถือว่าคุณมาตรงเวลา”
“ขอบคุณครับ”
“คราวหน้าแต่งชุดนิสิตถูกระเบียบมาเรียนด้วย”
“ครับ”
กายสูงย่างเท้าขึ้นบันไดสโลปหลายก้าว กระทั่งนั่งลงบนโต๊ะเลกเชอร์แถวที่สามซึ่งมีผู้หญิงคณะอื่นนั่งอยู่ ส่วนอาจารย์ก็เช็กชื่อนิสิตต่อ จนมาถึง...
“พีรภพ”
“...”
“พีรภพ ประวีร์กร”
“คะ...ครับ มาครับ”
“ขานชื่อไม่ตอบ เช็กขาดดีมั้ยเนี่ย มีสมาธิหน่อย”
เพราะมัวแต่มองดูแผ่นหลังของใครบางคน เลยทำให้ผมไม่ได้จดจ่อกับการฟังเสียงรอบข้างสักเท่าไหร่ แม้เสียงนั้นจะเป็นของอาจารย์ที่โหดที่สุดก็ตาม
และแปลกเหมือนกัน ทันทีที่อาจารย์ขานเรียกชื่อผม มันคนนั้นก็เสือกหันมามองอย่างรวดเร็ว วินาทีที่เราได้สบตากันอีกครั้ง ความรู้สึกเดิมๆ ไม่เคยหายไปไหน มันยังอยู่ตรงนี้ ทั้งดีใจที่ได้พบกันในวันนี้และเจ็บใจที่ต้องจากกันในวันนั้น
สองปี
สำหรับปัจจุบันทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ขณะที่ความรู้สึกของผมกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ผมได้แต่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต เหตุผลอะไรที่ทำให้เราแยกทางกันจนไม่สามารถมองหน้ากันติด ทั้งที่มันก็ผ่านมานานแล้ว ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว แต่พอได้เจอ คำถามต่างๆ และความสงสัยมากมายก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวไม่หยุด
จริงอยู่ที่เราต่างเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องในชีวิตของกันและกัน แต่ผมก็อยากถามเพื่อให้แน่ใจว่าวันนี้...
เรายังรักกันอยู่มั้ย
“นี่คือวิชานันทนาการในโรงเรียน ชื่อก็บอกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นงานส่วนใหญ่จะทำเป็นกลุ่ม วันนี้เรายังไม่มีการเรียนการสอนใดๆ แต่จะแจกคอร์สเรียนให้ แล้วรีบจับกลุ่มกัน”
เช็กชื่อจบไม่ทันไร อาจารย์ก็ยิงยาวแทบไม่หายใจหายคอ ด้วยบุคลิกของอาจารย์ที่เป็นคนเคร่งเครียด ดังนั้นจึงไม่มีใครส่งเสียงดังหรือโต้แย้งใดๆ นอกจากมองหน้ากันเลิกลั่ก ไอ้พวกที่รู้จักกันก่อนหน้าก็จับกลุ่มได้อยู่หรอก แต่ผม...มาคนเดียว ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีแม้แต่เพื่อนร่วมคณะ
“เซคนี้มี 40 คน จับเป็นสี่กลุ่มแล้วกัน ฉันกลับมาจะต้องได้ใบรายชื่อของทุกคนในกลุ่ม แต่ถ้าไม่ได้ กลุ่มนั้นจะถูกตัดคะแนนคนละ 5 คะแนน เข้าใจมั้ย”
“คร้าบบบ/ค่ะ” เสียงเหนื่อยอ่อนของนิสิตพูดขึ้น ก่อนอาจารย์ประจำวิชาจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ คราวนี้ห้องที่แสนอึดอัดก็ระเบิดอีกครั้งด้วยเสียงจอแจเต็มพื้นที่
“วิศวฯ มาตรงนี้เว้ย!” เสียงแหบห้าวตะโกนลั่นห้อง ก่อนที่ชายฉกรรจ์หลายสิบคนจะเฮโลไปด้านหลัง ส่วนพวกผู้หญิงวิศวฯ หรือแม้แต่คณะอื่นๆ ก็เริ่มรวมตัวกัน
ด้วยไม่รู้ว่าจะไปอยู่กลุ่มไหน เลยได้แต่ยืนเกาหัวนิ่งๆ เดี๋ยวถ้าเหลือเศษแล้วกลุ่มไหนไม่ครบเขาก็พาเข้ากลุ่มเองนั่นแหละ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด
“เฮ้ย มึงอ่ะ! มึงนั่นแหละยังจะมองหน้าอีก มาเลยกลุ่มกูยังไม่ครบ” ผมถูกเรียกเข้าไปรวมกลุ่มกับวิศวฯ ห่ามโหดถึงแปดคนซึ่งแตกกลุ่มมาจากกลุ่มใหญ่ที่ครบไปแล้ว
“ขอบคุณมาก” ผมบอก ก่อนจะนั่งลงตรงพื้นห้อง เนื่องจากไม่มีใครกล้าแตะต้องโต๊ะและเก้าอี้ในห้องเท่าไหร่ เพราะถ้าเกิดมันบิดเบี้ยวหรือถูกเคลื่อนย้าย เราอาจถูกตัดมากกว่า 5 คะแนนจากอาจารย์ระเบียบจัด
“ขาดอีกหนึ่ง เฮ้ยไอ้ติสท์ มาอยู่กลุ่มกับพวกกูนี่” คนผิวเข้มโบกมือเรียกเจ้าของเสื้อคลุมนิติฯ ไหวๆ ก่อนอีกฝ่ายจะเดินเอื่อยๆ มานั่งใกล้ๆ กัน
ผมรีบก้มหน้าทันที ไม่อยากสบตากับมันอีก ไม่จำเป็น...ไม่จำเป็นต้องมองหรือคุยกันหรอก
“แนะนำตัวเลยแล้วกัน พวกกูเนี่ยเรียนวิศวฯ หมด ไอ้นี่ชื่อ...”
หลังจากนั้นการแนะนำตัวก็เริ่มขึ้น กลุ่มเรามี 10 คน มีผู้หญิงแค่สอง ติดลุยๆ นิดหน่อยเพราะมาจากคณะที่มีผู้ชายมากที่สุดอย่างวิศวฯ
“แล้วมึงอ่ะชื่ออะไร”
“กูเหรอ” ผมถามย้ำ
“เออไง กูคงถามสัมภเวสีมั้ง” กวนตีนอีก นี่ผมต้องเจอคนพวกนี้ถึงหนึ่งเทอมเลยเหรอ
“กูชื่อพากษ์นะ ษ.ฤาษีการันต์ เรียนบริหารฯ”
“แล้วมึงอ่ะ” โบ้ยไปยังร่างสูงโปร่งที่ยืนหน้านิ่งพิงผนัง ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ได้รู้จักหรือสนิทกับมันดี เห็นภายนอกใครๆ ก็คงจะหมั่นไส้ แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น
ถ้าหากว่าสองปีที่เราไม่ได้เจอกันมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอ่ะนะ
“ชื่อทัน เรียนนิติฯ”
“โอเค ต่อไปคงอยู่กลุ่มนี้ตลอด เพราะงั้นแอดเฟซไปด้วยเลย มันต้องสร้างเฟซกลุ่มตอนทำงานอีก ของมึงชื่ออะไร...” ทุกคนล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดแอดเฟรนด์กันอลหม่าน ผมก็มีหน้าที่แค่กดเพิ่มเพื่อนเข้าไปแค่นั้น จะมีก็แต่...
ทัน
นานแค่ไหนแล้วที่ผมบล็อกมัน อาจจะเป็นตอนนั้น ตอนที่เราเลิกกัน
“แล้วมึงสองคนอ่ะ แอดกันยัง”
“ยัง” ผมตอบเสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
“งั้นก็รีบเลย ชักช้าเดี๋ยวนางมารร้ายเดินเข้าห้องมา มึงตายแน่ๆ” คนตัวสูงโย่งพูดจบ ก็รีบวิ่งไปหน้าห้องเพื่อหยิบกระดาษเขียนรายชื่อสมาชิก ส่วนผมก็ตัดสินใจเป็นวินาทีสุดท้ายในการปลดบล็อก แล้วเริ่มเพิ่มเพื่อนคนที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกครั้ง
แอดแฟนเก่า
เจ็บเนอะ
ที่ตัดสินใจบล็อกเพราะไม่อยากเห็น ไม่อยากรับรู้ว่ามันเลิกกับผมแล้วไปคบกับใคร ไม่อยากร้องไห้เสียใจเหมือนที่ผ่านมาอีก แต่วันนี้ทุกอย่างพังลงเพราะเรากลับมาเจอกันอีกครั้ง
Thun Napat accepts your request. ทันกดรับผมเป็นเพื่อนในเสี้ยววินาที ทุกอย่างรวดเร็วราวกับอีกฝ่ายรอคอยคำขอจากผม แต่...มันก็แค่ข้อสันนิษฐานเชิงเข้าข้างตัวเองเท่านั้นแหละ
คนที่ตัดสินใจทิ้งเราไป มันจะหลงเหลือเยื่อใยอะไรอยู่อีกนอกจากความรู้สึกผิด หรือไม่ก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกันเลย
“ใครก็ได้เอาปากกามาให้กูเขียนชื่อดิ๊” เสียงเอะอะโวยวายของคนในกลุ่มทำให้ผมหลุดจากภวังค์ หันไปมองหน้าเพื่อนใหม่ที่จดจ้องตาไม่กะพริบ
“ยืมกูเหรอ” ผมถามอีกครั้ง พร้อมกับชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
“เออ ยืมมึงก็ได้ เร็วดิ! เดี๋ยวนางมารร้ายมา”
ชื่ออาจารย์กลายเป็นอะไรไปแล้ว สุดท้ายผมก็ไม่สามารถโต้แย้งใครได้นอกจากเดินกลับไปหยิบกระเป๋าเป้สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
“ช้ามาก กูรื้อแม่งเลย” เพราะกลัวจะถูกตัดคะแนน กระเป๋าของผมจึงถูกแย่งไปต่อหน้าต่อตา ใจเหี้ยมมากไอ้พวกนี้ เล่นล้วงหาปากกาในกระเป๋าของผมราวกับเป็นกระเป๋าของตัวเอง
กระทั่ง...
“โทษๆ” อีกฝ่ายพูดจบก็รีบเก็บซองบุหรี่ของผมที่ตกลงพื้นใส่คืนในกระเป๋า ก่อนจะโยนปากกาด้ามสีน้ำเงินไปให้เพื่อนอีกคนเพื่อจดรายชื่อ กว่าทุกอย่างจะผ่านไปก็กินเวลาไปเกือบสิบนาที เป็นสิบนาทีที่เต็มไปด้วยความอึดอัดซึ่งไม่สามารถอธิบายได้
ทันมองผมตลอด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนผมก็พยายามหลบหน้ามันเต็มที่แม้จะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
อาจารย์กลับเข้ามาในห้องในอีก 5 นาทีต่อมา ทุกคนเลยไม่ถูกตัดคะแนนอย่างที่กลัว ในคลาสพูดถึงเรื่องกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นภายในหนึ่งเทอม แน่นอนว่าทุกงานล้วนเป็นงานกลุ่ม ซึ่งผมก็ต้องทำใจตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าอาจจะต้องเจอมนุษย์แฟนเก่าไปอีกหลายต่อหลายครั้ง
หลังเลิกคลาส ผมเดินเข้าห้องน้ำ หยิบบุหรี่ในกระเป๋าขึ้นมาจุดสูบด้วยความเคยชิน ทุกครั้งที่รู้สึกเครียดผมจะสูบมัน อย่างน้อยก็ครึ่งมวนให้สมองโล่งแค่นั้น
“ห้องน้ำเป็นที่ห้ามสูบ” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยในความทรงจำแทรกขึ้น เพียงแต่ตอนนี้มันไม่ใช่เสียงจากความทรงจำ แต่เป็นเสียงของคนคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องน้ำเมื่อครู่ต่างหาก
ผมสบตากับอีกฝ่ายผ่านทางกระจก แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะในวินาทีต่อมาผมก็เลือกก้มหน้าก้มตามองปลายบุหรี่แทน
“เริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” กายสูงเดินเข้ามาประชิด พลางกระโดดขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ
“นานแล้ว”
ผมตอบ ก่อนเขี่ยก้นบุหรี่ลงกับอ่างล้างมือจนไฟมอด จากนั้นก็โยนมันทิ้งในถังขยะเพื่อตัดรำคาญ
“เคยบอกว่าบุหรี่มันไม่ดี”
“แต่มึงก็สูบ แล้วผิดตรงไหนที่กูจะสูบบ้าง”
“ตอนนี้กูไม่ได้สูบแล้ว”
“เหรอ เสียดาย กูคงได้ตายเป็นมะเร็งปอดคนเดียว แล้วเลิกทำไมล่ะ เมื่อก่อนมึงออกจะติด”
“...” อีกฝ่ายไม่ตอบ
“อ๋อ แฟนมึงคงขอล่ะสิ แต่ขอโทษที่ไม่มีใครขอกู”
“ก็กูนี่ไงขอให้มึงเลิกสูบ”
“แล้วทำไมกูต้องฟังมึงด้วย เป็นแค่แฟนเก่ามีสิทธิ์มาบอกกูด้วยเหรอ เป็นแค่แฟนเก่ามีสิทธิ์มาออกคำสั่งได้ด้วยเหรอ กูไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เลยเว้ยทัน กูไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ แต่มึงต่างหากที่ยัดเยียดทุกอย่างให้กู”
“...”
“แม้แต่ตอนเลิกกัน มึงยังยัดเยียดความเสียใจให้กูเลย แล้วตอนนี้มึงยังจะขออะไรกูอีก”
ยอมรับว่าหัวเสีย ดังนั้นผมจึงพยายามควบคุมอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นลงด้วยการเดินหนีออกมา โคตรมหาซวยเลยเทอมนี้ โดนเตะโด่งให้มาเรียนคนเดียวไม่พอ ยังต้องมาเผชิญหน้ากับแฟนเก่าที่ไม่อยากเจออีก
ผมเริ่มเห็นเค้าความวุ่นวายรางๆ แล้วล่ะ และคิดว่าอีกหน่อยจะเสียใจกว่านี้หากได้เห็นว่าชีวิตของไอ้ทันตอนนี้มันดีกว่าตอนที่อยู่กับผมมากแค่ไหน มันไม่ได้เสียใจ หรือบางทีก็อาจจะมีใครอีกคนเคียงข้างไปแล้วด้วยซ้ำ
ขณะที่ผมไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เลย เพราะยังรักมันอยู่...
หลังเลิกเรียน ไอ้เพื่อนตัวดีก็ชวนผมไปดูหนังพาให้คลายความเครียดไปได้บ้าง ดูหนังจบก็ไปโยนโบว์ลิ่ง กินอาหารญี่ปุ่น และก็แวะซื้อรองเท้าแตะเอาไว้ใส่เล่นในห้องเรียน ซึ่งก็เป็นกิจกรรมที่เราทำเป็นประจำอยู่แล้ว
ผมอยู่หอคนเดียว พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัด เพราะงั้นเวลากลับห้องตอนดึกๆ อย่างวันนี้มันเลยเงียบเหงาไปสักหน่อย ยอมรับว่าแรกๆ ผมเป็นโรคกลัวกลางคืน อยู่คนเดียวไม่ได้ นอนไม่ได้ และต้องเปิดไฟตลอดคืนทิ้งไว้พร้อมกับฟังเพลงกรอกหูจนกว่าจะหลับไป
คืนนี้ก็เหมือนกัน แปลกเนอะ...เวลาสองปีแทนที่อะไรๆ มันจะดีขึ้น แต่เปล่าเลย ผมยังเป็นเหมือนเดิม มีห้องรกๆ ที่ไม่เคยเก็บเพราะอย่างน้อยมันก็ไม่หลงเหลือความว่างเปล่าให้รู้สึกวูบโหวง ซื้ออะไรก็ยังติดนิสัยซื้อเป็นคู่เหมือนเดิม แปรงสีฟันสองอัน แก้วน้ำสองใบ ถุงเท้าสองคู่
แต่ก็ดีเหมือนกัน พอของอย่างหนึ่งหมดไปจะได้ไม่ต้องรีบซื้อใหม่
ผมเปิดกระเป๋าเรียน หยิบดินสอกับสมุดจดงานออกมาอ่านเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำตอนเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ กลับมาก็เปิดแล็บท็อปเพื่อเช็กความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียลเหมือนทุกวัน ผมไม่ได้ติดเกมแล้ว มันดีต่อใจมากๆ หลังจากที่รู้ว่าตัวเองเลิกเล่นได้ เหมือนชีวิตมีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะเต็มไปหมด
มีเวลาเล่นเฟซบุ๊ก เช็กทวิตเตอร์ ฟอลโลว์อินสตาแกรม ก็สนุกดีนะเพราะได้ทำอะไรหลายอย่าง ฮ่าๆ
ทันทีที่ผมออนไลน์และพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเฟซบุ๊ก โลกทั้งใบของผมก็เปลี่ยนไป...
ตึ่ง!!
ชื่อของใครคนหนึ่งเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ นานแล้วที่ผมไม่ได้เห็นชื่อนี้ นานแล้วที่ผมอยากรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายแต่ก็ทำได้แค่ห้ามตัวเองอยู่เสมอ เราเลิกกันแล้ว พอมาวันนี้ความรู้สึกที่พยายามลืมมาตลอดสองปีพังลงไม่เป็นท่า
ผมไม่อยากตอบ ผมไม่อยากเกี่ยวข้องกับมันอีก แต่แปลกที่หลังจากกดอ่านข้อความ หัวใจของผมก็เต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ เหมือนวันนั้น...วันที่เราเริ่มคุยกันผ่านเฟซบุ๊กวันแรก วันที่มันพูด ‘หวัดดี’ เป็นประโยคเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเรา
Thun Napat
พากษ์
และใจของผมก็ไม่แข็งพอที่จะไม่ตอบกลับไป...
Peerapope Praweekorn
??
Thun Napatเมื่อตอนกลางวัน ขอโทษนะ
Peerapope Praweekorn
เรื่องอะไร กูลืมไปแล้ว
Thun Napatจะนอนรึยัง
Peerapope Praweekorn
ยัง มึงก็น่าจะรู้ว่ากูเป็นคนนอนดึก
Thun Napatสบายดีมั้ย
Peerapope Praweekorn
ก็โอเคดี แล้วมึงอ่ะ
Thun Napatอึดอัด
Peerapope Praweekorn
มีอะไรบอกได้นะ รับฟัง
ผมพูดออกไปทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้อยากรับฟังขนาดนั้น
Thun Napatได้เหรอ
Peerapope Praweekorn
อืม เอาที่สมเหตุสมผลนะ
Thun Napatตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองผิด
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ลืมเค้าไม่ได้ว่ะ
Peerapope Praweekorn
ทำแฟนร้องไห้อ่ะดิ
Thun Napatไม่ใช่ ไม่มีแฟน
Peerapope Praweekorn
งั้นก็คงเป็นแฟนเก่า ร้ายไม่เบานะเนี่ย
แล้วทำไมไม่บอกเขาล่ะ มึงเองก็ยังไม่มีแฟน
Thun Napatรู้เหรอว่ากูหมายถึงใคร
Peerapope Praweekorn
ไม่รู้หรอก ไม่ได้คุยกับมึงมาตั้งสองปี
เอาเป็นว่าสู้ๆ ละกัน กูไปก่อนนะ
Thun Napatอื้ม
ผมนั่งจ้องหน้าจออยู่นาน แต่ก็ไม่มีประโยคใดๆ ตอบกลับมานอกเหนือจากนั้น สองปีที่ผ่านมาทันคงมีแฟนไปแล้วไม่รู้กี่คน คงมีเพียงแต่ผมที่ยังจมปลักอยู่กับมันเหมือนเดิม เริ่มต้นใหม่ไม่ได้ แม้แต่จะทิ้งอดีตก็ยังทำไม่ได้เลย
พอมาวันนี้ที่เรามีโอกาสได้คุยกันอีกครั้ง แต่กลับต้องมาพูดถึงคนอื่น คนที่ผมไม่แม้แต่จะรู้จัก ทันไม่เคยแคร์อะไรเลยตลอดเวลาที่เราคบกัน แต่วันนี้มันกลับแสดงออกว่ามันแคร์คนคนหนึ่งให้ผมรับรู้ เจ็บว่ะ
ไม่รู้สิ แต่ผมคิดว่าทันเคยใจร้ายยังไง ก็ยังใจร้ายอยู่อย่างนั้น
สุดท้ายผมก็ต้องร้องไห้คนเดียวอยู่ดี ไม่ว่ามันจะกลับมาหรือไม่กลับมาก็ตาม