♥ มหา'ลัย มาหารัก ♥ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ มหา'ลัย มาหารัก ♥ THE END  (อ่าน 553014 ครั้ง)

ออฟไลน์ cinnsin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชีวิตไปป์โคตรพลิกผัน มาหาเมียแต่ดันได้ผัว ๕๕๕๕๕ ยอมใจจริงๆค่ะ  :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ lssprdl

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ lssprdl

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น่ารักมากเยย

ออฟไลน์ nsai.ss

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2
น่ารัก...ไม่ไหวแล้ววว  :o8: :-[ :impress2:

ออฟไลน์ EverGreen™

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-1
ชอบทุกเรื่องเลยยยย
อ่านแล้วกร๊าวใจทุกเรื่อง  :-[
อยากให้ทำตอนยาวๆหลายๆตอนกว่านี้อีกกก
น่ารักมากกก  :กอด1:

ออฟไลน์ หลิว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คิดเองเหรอ เก่งจัง :katai2-1:

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ ไอ้หัวแห้ว

  • ยิ่งมืดเท่าไหร่ ยิ่งเห็นดวงดาวชัดเจน...
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +568/-5
ชอบเรื่องสั้นชุดนี้ครับ


 :กอด1:

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

นิติสต์ศาสตร์

   REG คือเว็บไซต์ที่เด็กมหา’ลัยทุกคนต้องรู้จัก
   REG ทำให้เรามารวมตัวกันมากที่สุดในวันประกาศผลสอบ
   REG เคยล่มแล้วล่มอีกจนทำให้ใครหลายๆ คนถึงกับปาแล็บท็อปทิ้งในวันลงทะเบียนเรียน
   REG เป็นที่เดียวที่แสดงตารางเรียนและสอบอย่างเป็นทางการ
   REG ทำให้เราได้ส่องรายชื่อว่าเทอมนี้จะได้เรียนกับใครที่เราสนใจบ้าง
   REG ทำให้เกิดคู่รักรวมถึงคู่อริในเวลาเดียวกัน
   และ REG อีกนั่นแหละที่ทำให้ผม...
   ตัดสินใจพลาดไป

   “ปิดเทอมไม่เห็นหน้าเห็นตา ลงทะเบียนเสร็จยังวะ”
   เจ้าของร่างท้วมตบบ่าของผมเป็นการทักทาย หลังจากเราไม่ได้เจอกันตลอดปิดเทอม 3 เดือนเต็ม ก็...ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ปิดเทอมเป็นอะไรที่น่าเบื่อพอๆ กับการเรียนวิชาปราบเซียนนั่นแหละ และเหตุผลที่เราหลายคนต่างนั่งอยู่หน้าแล็บท็อปตรงนี้ก็มีแค่เหตุผลเดียว
   ลงทะเบียนเรียน
   “ลงเสร็จแล้ว” ผมตอบกลับไป
   “วิชาเสรีลงทันมั้ย ส่วนใหญ่เขาบอกอาเซียนได้คะแนนดี ฟาดเอยกเซคก็เคยมีนะ”
   “อืม รุ่นพี่ก็พูดแบบนี้ แต่กูลงไม่ทันว่ะ”
   หมดกัน ชีวิตปี 4 เทอม 1 ของกู ฝันสลายฉิบหายเพราะเน็ตมหา’ลัย ผมเลยต้องกระเตงไปลงเรียนวิชาใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในสายตาอย่างวิชานันทนาการในโรงเรียน
   ให้ตาย...เรียนบริหารฯ แต่ต้องมาลงวิชาเลือกเสรีเป็นวิชาคณะศึกษาศาสตร์ เออ ชีวิต!
   เด็กมหา’ลัยทุกคนย่อมรู้ดี ช่วงเวลาของการชิงรักหักเหลี่ยมโหดที่สุดของเรานอกจากแย่งข้าวที่โรงอาหารกินแล้ว ก็คือการลงทะเบียนวิชาเลือกเสรีนี่แหละ แน่นอนว่าเรามีสิทธิ์เลือกเรียนวิชาไหนของคณะอะไรก็ได้ที่เปิดสอน และนิสิตแต่ละคนก็มีเหตุผลในการลงเรียนวิชานั้นไม่เหมือนกัน
   บ้างลงเรียนเพื่อหาแฟน เพราะส่วนใหญ่ใช้ระบบคละเลยเจอผู้คนที่หลากหลายขึ้น
   บ้างหนีจากความซ้ำซากจำเจในชีวิตประจำวัน อย่างพวกนิติฯ ที่พากันไปเรียนกราฟิกพื้นฐานของสถาปัตย์ฯ
   บ้างเรียนเพราะอยากอัพเกรด เพราะวิชาเลือกส่วนใหญ่มักจะได้เกรดดี
   หรือบางคน...ลงทะเบียนไม่ทัน เลยต้องเรียนในวิชาที่ไม่อยากเรียนแถมได้เกรดยากอีกต่างหาก
   ซึ่งตอนแรกผมอยากเป็นแบบที่สาม แต่ดันมาเป็นแบบสุดท้ายเนื่องจากโชคไม่อำนวย
   “อ้าว สรุปมึงลงอะไรเนี่ย” เพื่อนผมถาม
   “นันทนาการในโรงเรียน”
   “สาดดดดดด อาจารย์ศึกษาฯ โคตรโหด”
   ผมจะถือว่าเป็นคำปลอบใจแล้วกัน
   “แล้วมึงล่ะ”
   “กูลงอาเซียน เป็นคนที่ 50 ของเซคพอดีเป๊ะ ปีนี้ดันเปิดแค่สองเซค บุญโคตรคุ้มกะลาหัวกูเลย” เออ สงสัยบุญคงจะผ่านกูไปแล้วล่ะ เหลือแต่กรรม
   “แล้วเพื่อนคนอื่นๆ อ่ะ” ถามกลับไปอีก เชื่อสิ มันต้องมีสักคนที่โชคร้ายเหมือนผม
   “เพื่อนครึ่งห้องลงอาเซียนทันหมด ส่วนกลุ่มไอ้เป้หนีไปเรียนกฎหมายเบื้องต้น ไอ้เอมกับก๊วนไอ้ทอมไปเรียนภาษาญี่ปุ่น ส่วนบางคนก็โน่น! ภาควิชาวิศวฯ”
   “สรุปไม่มีใครพลาดมาลงกับกูเลยเหรอ”
   “โบ๋เบ๋ว่ะ”
   อยากร้อง แต่กูร้องไม่ออก มันคงเป็นความจุกที่ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดหรือน้ำตาได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก คิดซะว่าเป็นหนึ่งเทอมที่เต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้นก็พอ สี่เดือนเอง เดี๋ยวก็หลุดพ้น
   “เอาน่า ความจริงมันอาจไม่แย่อย่างที่คิด”
   “เป็นไปได้ยาก เห็นรุ่นก่อนๆ ก็โอดครวญอยู่”
   “สู้ๆ นะไอ้พากษ์”
   ให้กูสู้กับอะไรเหรอ...?
   “ดูรายชื่อใน REG หรือยัง ตอนนี้เซคมึงคงเต็มแล้วมั้ง” ใช่ไง วิชาอื่นเต็มตั้งแต่ 5 นาทีแรก แต่วิชานี้นั่งรอเกือบชั่วโมงยังไม่มั่นใจว่าจะเต็มหรือเปล่าเลย แต่นี่ก็ผ่านไปนานมากแล้ว คิดว่าน่าจะเพียงพอให้เด็กที่มีชะตากรรมเหมือนผมได้กดเลือกและลงนรกไปด้วยกัน
   ผมเลื่อนเมาส์ ตัดสินใจคลิกลงไปบนรหัสวิชาที่เพิ่งทำผมใจสลายไปเมื่อชั่วโมงก่อน ในนั้นมีรายชื่อของผู้โชคร้ายทั้ง 40 คน ผมกวาดสายตาไล่อ่านตั้งแต่บนลงล่าง เผื่อมีคนรู้จักมาเรียนด้วยกัน แต่เด็กบริหารฯ กลับไม่มีใครลงเรียนแม้แต่คนเดียว ส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกวิศวฯ ที่ขนกันมาเรียนทั้งภาค จะมีก็แต่...
   สายตาของผมหยุดอยู่ตรงรายชื่อหนึ่งซึ่งต่อท้ายด้วยคณะนิติศาสตร์
   หัวใจผมเต้นระรัว เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดซึมเต็มกรอบหน้า ก่อนจะตัดสินใจเลื่อนสายตาไปทางซ้ายเพื่ออ่านรายชื่อของใครคนนั้น ใครคนหนึ่งที่ผมไม่อยากได้ยินแม้แต่ชื่อ
   นายทันภัทร ธนเศวต
   แฟนเก่า








“ทันภัทร”
   “...”
   “ทันภัทร ธนเศวต มาหรือเปล่า”
   ถึงแม้จะไม่อยากได้ยินชื่อนี้แค่ไหน ผมก็ต้องฟังมันซ้ำซากไม่รู้กี่ครั้งตลอดเทอม
   อาจารย์อาวุโสหน้าห้องขานชื่อของหมอนั่นอยู่หลายครั้ง แต่แทบไม่มีวี่แววว่าเจ้าของชื่อจะโผล่หัวมาสักนิด กระทั่งคนอายุมากกว่าตัดสินใจจรดปลายปากกาเป็นสัญลักษณ์กากบาทหลังชื่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดแง้มออกอย่างเงียบเชียบ
   ร่างสูงโปร่งก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ทุกสายตาจดจ้องไม่คลาดเคลื่อนเพราะมันเป็นคนเดียวที่สวมเสื้อคลุมนิติศาสตร์สีดำปักลายตาชั่งทับเสื้อยืดสีเทาซึ่งอยู่ด้านใน กับกางเกงยีนเข่าขาดที่ผมคุ้นตา แตกต่างจากคนอื่นที่สวมชุดนิสิตถูกระเบียบทุกอย่าง
   “เดี๋ยวค่ะ ชื่ออะไรคะ” อาจารย์หรี่ตามองผ่านกรอบแว่นหนา คนมาทีหลังเลยหันหน้าไปคุยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่กลับรู้สึกว่ามันโคตรวอนส้นตีนเลยว่ะ
   “ทันภัทรครับ”
   “มาสายนะคะ”
   “ไม่สายครับ” เถียง! มันเถียงอาจารย์ที่ขึ้นชื่อว่าโหดสุดในคณะศึกษาฯ ไอ้โง่
   “คุณมาสาย ดูนาฬิกาด้วย!” ไม่พูดเปล่า อาจารย์ชี้นิ้วไปที่นาฬิกาติดฝาผนังที่อยู่ตรงมุมห้องด้วย
   ห้องทั้งห้องเงียบกริบยิ่งกว่าป่าช้า ขนาดพวกวิศวฯ ที่นั่งกันอยู่เกือบครึ่งห้องยังไม่กล้าปริปากแม้แต่คำเดียว เชื่อมันเลยว่าหลายคนคงสงสัยว่าไอ้นี่มันกร่างมาจากไหน
   “ไม่สายครับ นาฬิกาผมบอกว่าผมมาตรงเวลา”
   “ฉันยึดนาฬิกาของฉัน สายก็คือสาย”
   “ผมยึดเวลามาตรฐานโลกครับ ที่นี่ประเทศไทยตอนนี้ 10.01 น. ผมเข้าห้องตรงเวลาตอน 10.00 น. และใช้เวลาชี้แจงอาจารย์ประมาณหนึ่งนาที” เจ้าตัวชูโทรศัพท์มือถือซึ่งกำลังเปิดเว็บไซต์เวลามาตรฐานขึ้นมา
   ผมได้ยินเสียงหายใจของอาจารย์เจ้าของวิชาเฮือกใหญ่ ก่อนมือของเธอจะเลื่อนไปเขียนอะไรสักอย่างบนใบรายชื่อ
   “ไปนั่งที่ได้ คราวนี้ฉันจะถือว่าคุณมาตรงเวลา”
   “ขอบคุณครับ”
   “คราวหน้าแต่งชุดนิสิตถูกระเบียบมาเรียนด้วย”
   “ครับ”
   กายสูงย่างเท้าขึ้นบันไดสโลปหลายก้าว กระทั่งนั่งลงบนโต๊ะเลกเชอร์แถวที่สามซึ่งมีผู้หญิงคณะอื่นนั่งอยู่ ส่วนอาจารย์ก็เช็กชื่อนิสิตต่อ จนมาถึง...
   “พีรภพ”
   “...”
   “พีรภพ ประวีร์กร”
   “คะ...ครับ มาครับ”
   “ขานชื่อไม่ตอบ เช็กขาดดีมั้ยเนี่ย มีสมาธิหน่อย”
   เพราะมัวแต่มองดูแผ่นหลังของใครบางคน เลยทำให้ผมไม่ได้จดจ่อกับการฟังเสียงรอบข้างสักเท่าไหร่ แม้เสียงนั้นจะเป็นของอาจารย์ที่โหดที่สุดก็ตาม
   และแปลกเหมือนกัน ทันทีที่อาจารย์ขานเรียกชื่อผม มันคนนั้นก็เสือกหันมามองอย่างรวดเร็ว วินาทีที่เราได้สบตากันอีกครั้ง ความรู้สึกเดิมๆ ไม่เคยหายไปไหน มันยังอยู่ตรงนี้ ทั้งดีใจที่ได้พบกันในวันนี้และเจ็บใจที่ต้องจากกันในวันนั้น
   สองปี
   สำหรับปัจจุบันทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ขณะที่ความรู้สึกของผมกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
   ผมได้แต่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต เหตุผลอะไรที่ทำให้เราแยกทางกันจนไม่สามารถมองหน้ากันติด  ทั้งที่มันก็ผ่านมานานแล้ว ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว แต่พอได้เจอ คำถามต่างๆ และความสงสัยมากมายก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวไม่หยุด
   จริงอยู่ที่เราต่างเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องในชีวิตของกันและกัน แต่ผมก็อยากถามเพื่อให้แน่ใจว่าวันนี้...
   เรายังรักกันอยู่มั้ย
   “นี่คือวิชานันทนาการในโรงเรียน ชื่อก็บอกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นงานส่วนใหญ่จะทำเป็นกลุ่ม วันนี้เรายังไม่มีการเรียนการสอนใดๆ แต่จะแจกคอร์สเรียนให้ แล้วรีบจับกลุ่มกัน”
   เช็กชื่อจบไม่ทันไร อาจารย์ก็ยิงยาวแทบไม่หายใจหายคอ ด้วยบุคลิกของอาจารย์ที่เป็นคนเคร่งเครียด ดังนั้นจึงไม่มีใครส่งเสียงดังหรือโต้แย้งใดๆ นอกจากมองหน้ากันเลิกลั่ก ไอ้พวกที่รู้จักกันก่อนหน้าก็จับกลุ่มได้อยู่หรอก แต่ผม...มาคนเดียว ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีแม้แต่เพื่อนร่วมคณะ
   “เซคนี้มี 40 คน จับเป็นสี่กลุ่มแล้วกัน ฉันกลับมาจะต้องได้ใบรายชื่อของทุกคนในกลุ่ม แต่ถ้าไม่ได้ กลุ่มนั้นจะถูกตัดคะแนนคนละ 5 คะแนน เข้าใจมั้ย”
   “คร้าบบบ/ค่ะ” เสียงเหนื่อยอ่อนของนิสิตพูดขึ้น ก่อนอาจารย์ประจำวิชาจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ คราวนี้ห้องที่แสนอึดอัดก็ระเบิดอีกครั้งด้วยเสียงจอแจเต็มพื้นที่
   “วิศวฯ มาตรงนี้เว้ย!” เสียงแหบห้าวตะโกนลั่นห้อง ก่อนที่ชายฉกรรจ์หลายสิบคนจะเฮโลไปด้านหลัง ส่วนพวกผู้หญิงวิศวฯ หรือแม้แต่คณะอื่นๆ ก็เริ่มรวมตัวกัน
   ด้วยไม่รู้ว่าจะไปอยู่กลุ่มไหน เลยได้แต่ยืนเกาหัวนิ่งๆ เดี๋ยวถ้าเหลือเศษแล้วกลุ่มไหนไม่ครบเขาก็พาเข้ากลุ่มเองนั่นแหละ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด
   “เฮ้ย มึงอ่ะ! มึงนั่นแหละยังจะมองหน้าอีก มาเลยกลุ่มกูยังไม่ครบ” ผมถูกเรียกเข้าไปรวมกลุ่มกับวิศวฯ ห่ามโหดถึงแปดคนซึ่งแตกกลุ่มมาจากกลุ่มใหญ่ที่ครบไปแล้ว
   “ขอบคุณมาก” ผมบอก ก่อนจะนั่งลงตรงพื้นห้อง เนื่องจากไม่มีใครกล้าแตะต้องโต๊ะและเก้าอี้ในห้องเท่าไหร่ เพราะถ้าเกิดมันบิดเบี้ยวหรือถูกเคลื่อนย้าย เราอาจถูกตัดมากกว่า 5 คะแนนจากอาจารย์ระเบียบจัด
   “ขาดอีกหนึ่ง เฮ้ยไอ้ติสท์ มาอยู่กลุ่มกับพวกกูนี่” คนผิวเข้มโบกมือเรียกเจ้าของเสื้อคลุมนิติฯ ไหวๆ ก่อนอีกฝ่ายจะเดินเอื่อยๆ มานั่งใกล้ๆ กัน
   ผมรีบก้มหน้าทันที ไม่อยากสบตากับมันอีก ไม่จำเป็น...ไม่จำเป็นต้องมองหรือคุยกันหรอก
   “แนะนำตัวเลยแล้วกัน พวกกูเนี่ยเรียนวิศวฯ หมด ไอ้นี่ชื่อ...”
   หลังจากนั้นการแนะนำตัวก็เริ่มขึ้น กลุ่มเรามี 10 คน มีผู้หญิงแค่สอง ติดลุยๆ นิดหน่อยเพราะมาจากคณะที่มีผู้ชายมากที่สุดอย่างวิศวฯ
   “แล้วมึงอ่ะชื่ออะไร”
   “กูเหรอ” ผมถามย้ำ
   “เออไง กูคงถามสัมภเวสีมั้ง” กวนตีนอีก นี่ผมต้องเจอคนพวกนี้ถึงหนึ่งเทอมเลยเหรอ
   “กูชื่อพากษ์นะ ษ.ฤาษีการันต์ เรียนบริหารฯ”
   “แล้วมึงอ่ะ” โบ้ยไปยังร่างสูงโปร่งที่ยืนหน้านิ่งพิงผนัง ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ได้รู้จักหรือสนิทกับมันดี เห็นภายนอกใครๆ ก็คงจะหมั่นไส้ แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น
   ถ้าหากว่าสองปีที่เราไม่ได้เจอกันมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอ่ะนะ
   “ชื่อทัน เรียนนิติฯ”
   “โอเค ต่อไปคงอยู่กลุ่มนี้ตลอด เพราะงั้นแอดเฟซไปด้วยเลย มันต้องสร้างเฟซกลุ่มตอนทำงานอีก ของมึงชื่ออะไร...” ทุกคนล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดแอดเฟรนด์กันอลหม่าน ผมก็มีหน้าที่แค่กดเพิ่มเพื่อนเข้าไปแค่นั้น จะมีก็แต่...
   ทัน
   นานแค่ไหนแล้วที่ผมบล็อกมัน อาจจะเป็นตอนนั้น ตอนที่เราเลิกกัน
   “แล้วมึงสองคนอ่ะ แอดกันยัง”
   “ยัง” ผมตอบเสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
   “งั้นก็รีบเลย ชักช้าเดี๋ยวนางมารร้ายเดินเข้าห้องมา มึงตายแน่ๆ” คนตัวสูงโย่งพูดจบ ก็รีบวิ่งไปหน้าห้องเพื่อหยิบกระดาษเขียนรายชื่อสมาชิก ส่วนผมก็ตัดสินใจเป็นวินาทีสุดท้ายในการปลดบล็อก แล้วเริ่มเพิ่มเพื่อนคนที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกครั้ง
   แอดแฟนเก่า
   เจ็บเนอะ
   ที่ตัดสินใจบล็อกเพราะไม่อยากเห็น ไม่อยากรับรู้ว่ามันเลิกกับผมแล้วไปคบกับใคร ไม่อยากร้องไห้เสียใจเหมือนที่ผ่านมาอีก แต่วันนี้ทุกอย่างพังลงเพราะเรากลับมาเจอกันอีกครั้ง
   
   Thun Napat accepts your request.

   ทันกดรับผมเป็นเพื่อนในเสี้ยววินาที ทุกอย่างรวดเร็วราวกับอีกฝ่ายรอคอยคำขอจากผม แต่...มันก็แค่ข้อสันนิษฐานเชิงเข้าข้างตัวเองเท่านั้นแหละ
   คนที่ตัดสินใจทิ้งเราไป มันจะหลงเหลือเยื่อใยอะไรอยู่อีกนอกจากความรู้สึกผิด หรือไม่ก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกันเลย
   “ใครก็ได้เอาปากกามาให้กูเขียนชื่อดิ๊” เสียงเอะอะโวยวายของคนในกลุ่มทำให้ผมหลุดจากภวังค์ หันไปมองหน้าเพื่อนใหม่ที่จดจ้องตาไม่กะพริบ
   “ยืมกูเหรอ” ผมถามอีกครั้ง พร้อมกับชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
   “เออ ยืมมึงก็ได้ เร็วดิ! เดี๋ยวนางมารร้ายมา”
   ชื่ออาจารย์กลายเป็นอะไรไปแล้ว สุดท้ายผมก็ไม่สามารถโต้แย้งใครได้นอกจากเดินกลับไปหยิบกระเป๋าเป้สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
   “ช้ามาก กูรื้อแม่งเลย” เพราะกลัวจะถูกตัดคะแนน กระเป๋าของผมจึงถูกแย่งไปต่อหน้าต่อตา ใจเหี้ยมมากไอ้พวกนี้ เล่นล้วงหาปากกาในกระเป๋าของผมราวกับเป็นกระเป๋าของตัวเอง
   กระทั่ง...
   “โทษๆ” อีกฝ่ายพูดจบก็รีบเก็บซองบุหรี่ของผมที่ตกลงพื้นใส่คืนในกระเป๋า ก่อนจะโยนปากกาด้ามสีน้ำเงินไปให้เพื่อนอีกคนเพื่อจดรายชื่อ กว่าทุกอย่างจะผ่านไปก็กินเวลาไปเกือบสิบนาที เป็นสิบนาทีที่เต็มไปด้วยความอึดอัดซึ่งไม่สามารถอธิบายได้
   ทันมองผมตลอด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนผมก็พยายามหลบหน้ามันเต็มที่แม้จะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
   อาจารย์กลับเข้ามาในห้องในอีก 5 นาทีต่อมา ทุกคนเลยไม่ถูกตัดคะแนนอย่างที่กลัว ในคลาสพูดถึงเรื่องกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นภายในหนึ่งเทอม แน่นอนว่าทุกงานล้วนเป็นงานกลุ่ม ซึ่งผมก็ต้องทำใจตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าอาจจะต้องเจอมนุษย์แฟนเก่าไปอีกหลายต่อหลายครั้ง
   หลังเลิกคลาส ผมเดินเข้าห้องน้ำ หยิบบุหรี่ในกระเป๋าขึ้นมาจุดสูบด้วยความเคยชิน ทุกครั้งที่รู้สึกเครียดผมจะสูบมัน อย่างน้อยก็ครึ่งมวนให้สมองโล่งแค่นั้น
   “ห้องน้ำเป็นที่ห้ามสูบ” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยในความทรงจำแทรกขึ้น เพียงแต่ตอนนี้มันไม่ใช่เสียงจากความทรงจำ แต่เป็นเสียงของคนคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องน้ำเมื่อครู่ต่างหาก
   ผมสบตากับอีกฝ่ายผ่านทางกระจก แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะในวินาทีต่อมาผมก็เลือกก้มหน้าก้มตามองปลายบุหรี่แทน
   “เริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” กายสูงเดินเข้ามาประชิด พลางกระโดดขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ
   “นานแล้ว”
   ผมตอบ ก่อนเขี่ยก้นบุหรี่ลงกับอ่างล้างมือจนไฟมอด จากนั้นก็โยนมันทิ้งในถังขยะเพื่อตัดรำคาญ
   “เคยบอกว่าบุหรี่มันไม่ดี”
   “แต่มึงก็สูบ แล้วผิดตรงไหนที่กูจะสูบบ้าง”
   “ตอนนี้กูไม่ได้สูบแล้ว”
   “เหรอ เสียดาย กูคงได้ตายเป็นมะเร็งปอดคนเดียว แล้วเลิกทำไมล่ะ เมื่อก่อนมึงออกจะติด”
   “...” อีกฝ่ายไม่ตอบ
   “อ๋อ แฟนมึงคงขอล่ะสิ แต่ขอโทษที่ไม่มีใครขอกู”
   “ก็กูนี่ไงขอให้มึงเลิกสูบ”
   “แล้วทำไมกูต้องฟังมึงด้วย เป็นแค่แฟนเก่ามีสิทธิ์มาบอกกูด้วยเหรอ เป็นแค่แฟนเก่ามีสิทธิ์มาออกคำสั่งได้ด้วยเหรอ กูไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เลยเว้ยทัน กูไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ แต่มึงต่างหากที่ยัดเยียดทุกอย่างให้กู”
   “...”
   “แม้แต่ตอนเลิกกัน มึงยังยัดเยียดความเสียใจให้กูเลย แล้วตอนนี้มึงยังจะขออะไรกูอีก”
   ยอมรับว่าหัวเสีย ดังนั้นผมจึงพยายามควบคุมอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นลงด้วยการเดินหนีออกมา โคตรมหาซวยเลยเทอมนี้ โดนเตะโด่งให้มาเรียนคนเดียวไม่พอ ยังต้องมาเผชิญหน้ากับแฟนเก่าที่ไม่อยากเจออีก
   ผมเริ่มเห็นเค้าความวุ่นวายรางๆ แล้วล่ะ และคิดว่าอีกหน่อยจะเสียใจกว่านี้หากได้เห็นว่าชีวิตของไอ้ทันตอนนี้มันดีกว่าตอนที่อยู่กับผมมากแค่ไหน มันไม่ได้เสียใจ หรือบางทีก็อาจจะมีใครอีกคนเคียงข้างไปแล้วด้วยซ้ำ
   ขณะที่ผมไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เลย เพราะยังรักมันอยู่...






   หลังเลิกเรียน ไอ้เพื่อนตัวดีก็ชวนผมไปดูหนังพาให้คลายความเครียดไปได้บ้าง ดูหนังจบก็ไปโยนโบว์ลิ่ง กินอาหารญี่ปุ่น และก็แวะซื้อรองเท้าแตะเอาไว้ใส่เล่นในห้องเรียน ซึ่งก็เป็นกิจกรรมที่เราทำเป็นประจำอยู่แล้ว
   ผมอยู่หอคนเดียว พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัด เพราะงั้นเวลากลับห้องตอนดึกๆ อย่างวันนี้มันเลยเงียบเหงาไปสักหน่อย ยอมรับว่าแรกๆ ผมเป็นโรคกลัวกลางคืน อยู่คนเดียวไม่ได้ นอนไม่ได้ และต้องเปิดไฟตลอดคืนทิ้งไว้พร้อมกับฟังเพลงกรอกหูจนกว่าจะหลับไป
   คืนนี้ก็เหมือนกัน แปลกเนอะ...เวลาสองปีแทนที่อะไรๆ มันจะดีขึ้น แต่เปล่าเลย ผมยังเป็นเหมือนเดิม มีห้องรกๆ ที่ไม่เคยเก็บเพราะอย่างน้อยมันก็ไม่หลงเหลือความว่างเปล่าให้รู้สึกวูบโหวง ซื้ออะไรก็ยังติดนิสัยซื้อเป็นคู่เหมือนเดิม แปรงสีฟันสองอัน แก้วน้ำสองใบ ถุงเท้าสองคู่
   แต่ก็ดีเหมือนกัน พอของอย่างหนึ่งหมดไปจะได้ไม่ต้องรีบซื้อใหม่
   ผมเปิดกระเป๋าเรียน หยิบดินสอกับสมุดจดงานออกมาอ่านเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำตอนเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ กลับมาก็เปิดแล็บท็อปเพื่อเช็กความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียลเหมือนทุกวัน ผมไม่ได้ติดเกมแล้ว มันดีต่อใจมากๆ หลังจากที่รู้ว่าตัวเองเลิกเล่นได้ เหมือนชีวิตมีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะเต็มไปหมด
   มีเวลาเล่นเฟซบุ๊ก เช็กทวิตเตอร์ ฟอลโลว์อินสตาแกรม ก็สนุกดีนะเพราะได้ทำอะไรหลายอย่าง ฮ่าๆ
   ทันทีที่ผมออนไลน์และพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเฟซบุ๊ก โลกทั้งใบของผมก็เปลี่ยนไป...
   ตึ่ง!!
ชื่อของใครคนหนึ่งเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ นานแล้วที่ผมไม่ได้เห็นชื่อนี้ นานแล้วที่ผมอยากรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายแต่ก็ทำได้แค่ห้ามตัวเองอยู่เสมอ เราเลิกกันแล้ว พอมาวันนี้ความรู้สึกที่พยายามลืมมาตลอดสองปีพังลงไม่เป็นท่า
   ผมไม่อยากตอบ ผมไม่อยากเกี่ยวข้องกับมันอีก แต่แปลกที่หลังจากกดอ่านข้อความ หัวใจของผมก็เต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ เหมือนวันนั้น...วันที่เราเริ่มคุยกันผ่านเฟซบุ๊กวันแรก วันที่มันพูด ‘หวัดดี’ เป็นประโยคเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเรา

Thun Napat
พากษ์

   และใจของผมก็ไม่แข็งพอที่จะไม่ตอบกลับไป...

Peerapope Praweekorn
??
Thun Napat
เมื่อตอนกลางวัน ขอโทษนะ
Peerapope Praweekorn
เรื่องอะไร กูลืมไปแล้ว
Thun Napat
จะนอนรึยัง
Peerapope Praweekorn
ยัง มึงก็น่าจะรู้ว่ากูเป็นคนนอนดึก
Thun Napat
สบายดีมั้ย
Peerapope Praweekorn
ก็โอเคดี แล้วมึงอ่ะ
Thun Napat
อึดอัด
Peerapope Praweekorn
มีอะไรบอกได้นะ รับฟัง
   
ผมพูดออกไปทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้อยากรับฟังขนาดนั้น

Thun Napat
ได้เหรอ
Peerapope Praweekorn
อืม เอาที่สมเหตุสมผลนะ
Thun Napat
ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองผิด
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ลืมเค้าไม่ได้ว่ะ
Peerapope Praweekorn
ทำแฟนร้องไห้อ่ะดิ
Thun Napat
ไม่ใช่ ไม่มีแฟน
Peerapope Praweekorn
งั้นก็คงเป็นแฟนเก่า ร้ายไม่เบานะเนี่ย
แล้วทำไมไม่บอกเขาล่ะ มึงเองก็ยังไม่มีแฟน
Thun Napat
รู้เหรอว่ากูหมายถึงใคร
Peerapope Praweekorn
ไม่รู้หรอก ไม่ได้คุยกับมึงมาตั้งสองปี
เอาเป็นว่าสู้ๆ ละกัน กูไปก่อนนะ
Thun Napat
อื้ม

   ผมนั่งจ้องหน้าจออยู่นาน แต่ก็ไม่มีประโยคใดๆ ตอบกลับมานอกเหนือจากนั้น สองปีที่ผ่านมาทันคงมีแฟนไปแล้วไม่รู้กี่คน คงมีเพียงแต่ผมที่ยังจมปลักอยู่กับมันเหมือนเดิม เริ่มต้นใหม่ไม่ได้ แม้แต่จะทิ้งอดีตก็ยังทำไม่ได้เลย
   พอมาวันนี้ที่เรามีโอกาสได้คุยกันอีกครั้ง แต่กลับต้องมาพูดถึงคนอื่น คนที่ผมไม่แม้แต่จะรู้จัก ทันไม่เคยแคร์อะไรเลยตลอดเวลาที่เราคบกัน แต่วันนี้มันกลับแสดงออกว่ามันแคร์คนคนหนึ่งให้ผมรับรู้ เจ็บว่ะ
ไม่รู้สิ แต่ผมคิดว่าทันเคยใจร้ายยังไง ก็ยังใจร้ายอยู่อย่างนั้น
   สุดท้ายผมก็ต้องร้องไห้คนเดียวอยู่ดี ไม่ว่ามันจะกลับมาหรือไม่กลับมาก็ตาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2024 05:54:09 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

   หนึ่งสัปดาห์ผมต้องเรียนวิชานันทนาการในโรงเรียนสองครั้ง ครั้งละสามชั่วโมง คิดว่าโลกมันโหดร้ายกับผมมั้ยล่ะ นั่นหมายความว่าผมต้องเจอมนุษย์แฟนเก่าถึงสัปดาห์ละ 6 ชั่วโมง คิดเป็นนาทีก็ 360 นาที คิดเป็นวินาทีก็ฟาดไปตั้ง 21,600 วินาที เจ็บนะโว้ย เจ็บแต่พูดกับใครไม่ได้
   เหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนเดจาวู ทุกคนนั่งประจำที่ของตัวเองพร้อมกับจ้องหน้าอาจารย์สุดโหดไปด้วย ก่อนเธอจะเริ่มเช็กชื่อในเวลาสิบโมงพอดีเป๊ะ
   “ภาศกร”
   “มาครับ”
   พลั่ก!
   “ขออนุญาตครับ” ผมเห็นอาจารย์ก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองทันทีที่ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้อง ถ้านาฬิกาผมถูกตั้งให้ตรงกับอาจารย์และคนตัวสูง การมาตอนนี้ก็นับว่าตรงเวลาเหมือนกัน
   “ไปนั่งที่” เสียงของอาจารย์อาวุโสพูดราบเรียบ
   แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เบรกขายาวๆ ของคนมาใหม่เอาไว้อีกครั้ง
   “ทันภัทร เนกไทไปไหน”
   “ไม่ได้ใส่มาครับ”
   “แล้วทำไมไม่ใส่มา”
   “มันอึดอัดครับ” ทันเป็นคนกวนตีน นี่คือสิ่งที่ผมรู้และรู้ดีมาตลอด วันนี้อีกฝ่ายสวมชุดนิสิตเข้าเรียนตามคำสั่งของอาจารย์แม้จะไม่ค่อยเรียบร้อยก็ตามที เขายังเหมือนเดิม ตอนที่เราคบกันทันมักจะสวมเสื้อยืดทับด้วยเสื้อคลุมเข้าเรียนเสมอ น้อยครั้งมากที่จะเห็นว่าเจ้าตัวแต่งตัวถูกระเบียบ นอกเสียจากวันนั้นจะสำคัญมากๆ อย่างวันสอบมิดเทอมและไฟนอล
   “คาบหน้าใส่เนกไทมาด้วย ให้เกียรติสถานที่หน่อย”
   “ครับ”
   วันนี้อาจารย์สั่งงานกลุ่มชิ้นแรก ให้คิดกิจกรรมอะไรก็ได้สำหรับนักเรียนประถมศึกษาพร้อมกับส่งรายงานในคาบหน้า แต่เพราะงานแรกไม่ได้ยากมากเราจึงใช้วิธีแยกกันหาข้อมูลและส่งเข้าไปทางเฟซกลุ่มที่สร้างขึ้นมาแทน
เมื่อหมดคาบผมรีบเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังหอสมุดเพื่อหามุมทำงานและหลับเหมือนทุกครั้ง ซึ่งเพื่อนในกลุ่มบริหารฯ มักจะรู้ดีว่าผมชอบมานอนที่นี่เพื่อปลีกวิเวก ตรงนี้เป็นแค่ซอกตู้หมวดหนังสือญี่ปุ่น จึงไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมา ดังนั้นมันเลยดีมากๆ ที่ผมจะนั่งทำงานและหลับอย่างสบายใจ
แรกๆ ก็ตั้งใจทำงานอยู่หรอก แต่พอนานเข้าความง่วงเริ่มเข้ามาแทนที่แถมหนังตาก็พร้อมจะปิดอยู่รอมร่อ ผมจึงไม่อยากฝืนสังขาร และตัดสินใจโน้มหน้าลงกับโต๊ะจนกระทั่งหลับไป...
รู้ตัวอีกทีก็ตอนถูกอะไรสักอย่างที่เย็นมากๆ แนบตรงข้างแก้ม ผมค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาก่อนจะกระเด้งตัวนั่งด้วยความตกใจเนื่องจากคนตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือไอ้หน้านิ่งติสต์แตกอย่างทันนั่นเอง
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถาม
“นานพอจะเห็นใครบางคนนอนน้ำลายยืดใส่โต๊ะแล้วกัน” เจ้าตัวพูดพลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับยื่นขวดนมเปรี้ยวที่มันเอามาแนบหน้าเมื่อครู่ให้กับผม
“ให้เหรอ”
“อืม...”
“จำได้ด้วยเหรอ” ผมชอบนมเปรี้ยว ชอบมาก ชอบจนขี้แตกขี้แตนเพราะแทบจะกินแทนน้ำ
“จำได้”
“กูก็จำได้ว่ามึงชอบกินกระทิงแดง”
“คราวหลังก็ซื้อมาให้บ้างดิ” พูดจบ ริมฝีปากได้รูปก็คลี่ยิ้ม
“ให้คนของมึงซื้อให้เถอะ เขาคงดูแลมึงได้ดีกว่ากู” แค่กลัวว่าจะเป็นเหมือนตอนนั้น ตอนที่ผมเฝ้าแต่ดูแลมัน แต่มันกลับไม่คิดใส่ใจผมเลยสักนิด
อดีตเจ็บปวดแค่ไหนผมไม่เคยลืม แต่ผมก็เลิกรักไม่ได้อยู่ดี
ยังจำได้...ตอนที่ผมนอนซบไหล่ของมัน แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจนอกจากอ่านหนังสือเงียบๆ
ยังจำได้...ตอนที่ผมทำกับข้าวเพื่อรอกินพร้อมกัน แต่เจ้าตัวกลับออกไปกินกับเพื่อนข้างนอก
ยังจำได้...ตอนที่ผมนอนกอดมันจากด้านหลัง แต่สิ่งที่ผมได้รับคือมันไม่เคยหันหน้ามาเพื่อกอดกลับบ้างเลย
ยังจำได้...ตอนวันสุดท้ายที่เราเลิกกัน ผมรออยู่ใต้ต้นสนท้ายตึกนิติศาสตร์เพื่อให้ของขวัญวันเกิดเหมือนปีก่อน แต่อีกฝ่ายกลับไม่มา ไม่ใส่ใจ และสุดท้ายทุกอย่างก็จบลงเพียงแค่นั้น
ทันเลือกฉลองวันเกิดกับเพื่อนจนลืมสัญญาของเรา
   “มึงยังใช้เบอร์เดิมอยู่ป่ะ” ไอ้ทันเปลี่ยนเรื่อง
   “อืม แต่กูบล็อกมึงว่ะ โทษที”
   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้เรียนหนักมั้ย”
   “ก็หนักนะ ปีสี่แล้ว มึงล่ะยังถ่ายรูปเหมือนเดิมมั้ย”
   “ก็...เหมือนเดิม”
   “ตอนนั้นกูโคตรสงสัยว่าสรุปแล้วมึงเรียนนิติฯ หรือเรียนนิเทศฯ กันแน่ แต่ตอนนี้กูเข้าใจแล้วว่ามึงเป็นเด็กนิติที่โคตรติสต์เท่านั้น”
   “มึงก็ติสต์พอกัน ยังไม่ชอบเก็บห้องเหมือนเดิมหรือเปล่า”
   “ก็คนมันขี้เกียจอ่ะ ส่วนมึงก็คงชอบตากกางเกงในไว้ตรงพัดลมแอร์เหมือนเดิม”
   “ทีมึงยังทำตามเลย”
“เหอะ”
“มึงชอบกัดเล็บ” มันยังไม่หมดความพยายามสาธยายพฤติกรรมของผมต่อ
   “มึงก็คงชอบเดินแก้ผ้าโทงๆ อยู่ในห้องเหมือนกัน”
   “มึงนี่ไม่เปลี่ยนเลยเนาะ สองปีแล้วยังทำทุกอย่างเหมือนเดิม”
   “มึงก็เหมือนกัน”
   “ใช่”
   ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก แม้แต่ความรู้สึก กูก็ยังรักมึงเหมือนเดิม








Thun Napat
กูจำได้ว่ามึงชอบ (แนบรูป)
Peerapope Praweekorn
อะไร
Thun Napat
ไลฟ์ของ Scrubb เขามาจัดที่มอเรา
Peerapope Praweekorn
จริงดิ อยากไปว่ะ
Thun Napat
บัตรขายหมดแล้ว
Peerapope Praweekorn
อ้าวเหรอ
Thun Napat
ไปด้วยกันมั้ย กูซื้อมาสองใบ
Peerapope Praweekorn
มึงไม่ชวนคนของมึงไปล่ะ
Thun Napat
กูชวนมึง อยากฟังมึงร้องเพลง See Scape
Peerapope Praweekorn
กูก็อยากฟังมึงร้องเพลงใกล้เหมือนกัน
Thun Napat
มึงร้องเพลงคู่กันเพราะด้วย
Peerapope Praweekorn
มึงก็ร้องเพลงคำตอบเพราะสุดๆ

   เราชอบฟัง Scrubb ผมกับทันฟังเพลงของวงนี้ทุกอัลบั้ม และก็เป็นแฟนคลับตัวจริงของพี่เมื่อยและพี่บอล ไลฟ์ของเขาเมื่อสองปีก่อนคือความทรงจำที่ดีระหว่างเรา ผมกับทันเราร้องเพลงไปด้วยกัน เสียงในตอนนั้นแหบแห้ง หัวใจของเราเต้นแรง เต้นกระหน่ำไปตามจังหวะเพลงจนเหงื่อโซมตัว
และพูดได้เต็มปากเลยว่า...วันนั้นโคตรมีความสุข

Thun Napat
สองคนบนดาวที่กว้างใหญ่
ฉันลืมไปแล้วว่าเมื่อไหร่ที่เราได้เจอกัน
Peerapope Praweekorn
ไม่ได้ยินเสียงอ่ะ ไม่รู้ว่าเพราะรึเปล่า
5555555

   หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งนาที สัญญาณเฟซไทม์ก็ดังขึ้น ผมค่อนข้างตกใจที่ทันคอลมา ใจจริงไม่อยากจะรับแต่แปลกที่มือกลับสางผมซึ่งพันกันยุ่งเหยิงไปมาไม่หยุด
   “รับก็รับวะ” ผมบอกตัวเองอย่างนั้น ก่อนจะคลิกเมาส์เพื่อตอบรับ
   ภาพแรกที่เห็นคือผู้ชายเสื้อยืดสีขาวคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ในมือถือกีตาร์เอาไว้พร้อมกับมองผมด้วยรอยยิ้ม ทันไม่ได้พูดอะไร ผมเองก็ไม่ ปล่อยให้นิ้วเรียวยาวของอีกฝ่ายจับคอร์ดกีตาร์แล้วเริ่มเล่นเพลง

สองคนบนดาวที่กว้างใหญ่ ฉันลืมไปแล้วว่าเมื่อไหร่ที่เราได้เจอกัน
เมื่อฉันมองดูเธอและรู้สึก ไม่ใช่คนที่คุ้นเคย แค่มากกว่านั้น
เวลาหมุนไป แต่บางทีเวลาก็ช้าเกินไป...ช้าเกิน
กว่าคืนและวันจะพา...เรามาให้พบกัน
สร้างความผูกพัน แต่ละวันนั้นมีความหมายต่างๆ
หากคืนและวันจะพา...เรามาให้คุ้นเคย
ไม่ต้องคิดเลย คำตอบนั้นเรารู้คำตอบ*

   “ยังเพราะอยู่มั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถามหลังจากวางกีตาร์ไว้ข้างเตียงแล้วเรียบร้อย คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ยังไงก็ไม่รู้ ตอนที่ผมกับทันเริ่มคบกันใหม่ๆ คนตัวสูงมักจะร้องเพลงให้ฟังเสมอ และเสียงนั้นก็ทำให้ผมฝันดีไปทั้งคืน
   “อืม เล่นเก่งกว่าเดิมอีก”
   “พากษ์”
   “อะไร”
   “ตอนนั้น...ทันขอโทษนะ”
   “ตอนไหนอ่ะ มีให้ขอโทษเยอะเลยไม่รู้”
   “วันที่กูติดเพื่อน แล้วปล่อยให้มึงบอกเลิกทางโทรศัพท์”
   “ไม่เป็นไร ไม่รักคือไม่ผิดเว้ย”
   “ไม่ใช่ไม่รัก แต่ช่างเหอะ ฝันดีนะ”
   “อืม...ฝันดี” น้ำเสียงที่ตอบกลับไปแผ่วเบาเหลือเกินในความรู้สึก ภาพของผู้ชายคนหนึ่งหายไปจากม่านสายตา เหลือเพียงพื้นหลังสีดำที่สะท้อนเงาของผมเท่านั้น
   ทันมันตอบว่าไม่ใช่ไม่รัก แต่ตัวมันยังให้เหตุผลของคำว่ายังรักอยู่ไม่ได้เลย ฮ่าๆ มันคงเป็นคำแก้ตัวโง่ๆ ของคนคนหนึ่งที่บังเอิญมาเจอและได้พูดคุยกับแฟนเก่าอย่างผมล่ะมั้ง อย่างว่าแหละ เราต้องเจอกันตลอดหนึ่งเทอม ถ้าเกิดมองหน้าไม่ติดก็คงจะแย่เหมือนกัน
   






   “วู้ววว มามันกันอีกเพลง”
   “วี้ดวิ้วววว”
   ผมกระโดดโลดเต้นจนแทบลืมหายใจ ขณะอยู่ที่งานโชว์ไลฟ์ภายในอินดอร์สเตเดียมของมหา’ลัย ผู้คนหลายพันเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่ที่นี่ ผมยืนข้างทัน เรามาด้วยกัน เต้นไปด้วยกัน ร้องไปด้วยกัน และอินกับเพลงจนเหมือนโลกนี้มีแค่เรากับ Scrubb วงดนตรีอินดี้ที่ผมชอบที่สุด
   เหมือนตอนนั้นเลย เมื่อสองปีก่อน
   วันนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้น คนตัวสูงสวมเสื้อสีดำสนิทสกรีนชื่อวง ส่วนผมก็เหมือนกันแต่เป็นสีขาว เราไม่ได้ซื้อที่หน้างาน แต่มันเป็นเสื้อเมื่อนานมาแล้วและปล่อยให้ฝุ่นเกาะอยู่ในตู้ แปลกดี...ปีนี้เขาเปลี่ยนโลโก้แล้วแต่เรายังใส่ลายเดิม
   หลายเพลงผ่านพ้น คนดูและนักร้องเหงื่อโชก ดังนั้นโหมดเพลงช้าจึงเริ่มเข้ามาแทนที่เพลงมันๆ ในตอนแรก แน่นอนว่าผมร้องได้ทุกเพลง
   เจ๋งป่ะ?
   ปรับตัว เปลี่ยนใจ ไม่ไปใกล้เธอ
   เพื่อไม่เจอ ไม่รู้เรื่องราว และยอมรับพรุ่งนี้ที่มีแต่ฉัน...
   เพลง ‘พอ’ บรรเลงขึ้น พาเอาอารมณ์ของผมหลุดเข้าไปในบรรยากาศเดิมๆ ผมร้องเพลงพลางมองหน้าคนตัวสูง เขายิ้มและร้องตามโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่ผมก็อยากบอก...

“ฉันจะมีเธออยู่ตรงนี้”
ทัน ดีใจที่กลับมาพบกันอีก
   
“ที่ที่ทุกนาทีอยู่เคียงข้างกัน”
อดีตที่ผ่านมาเป็นยังไงไม่รู้หรอก

“รู้ว่าความเป็นจริงก็เป็นแค่ฝัน”
กูก็แค่ไม่อยากฝันถึงมึงแล้ว เหนื่อยแล้ว อยากหยุด เพราะงั้น...

“แต่หากว่าแค่นั้น ไม่ทำร้ายกันก็พอ”
เรากลับมาคบกันอีกครั้งเถอะนะ

   มือของเราผสานกัน ผมจับมือของเขาเอาไว้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปแล้วไม่ได้กลับมาพบกันอีก แค่สองปีก็แย่พอแล้วกับการพยายามลืมใครสักคน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพยายามไปคงเปล่าประโยชน์แต่สุดท้ายก็ลืมไม่ได้
   ...สุดท้ายก็ยังรักอยู่
   “ขี้แย” เจ้าของเสียงทุ้มใช้มือที่ว่างอีกข้างขยี้หัวผม
   “กูเปล่า”
   “ร้องไห้” มือหนาเอื้อมมาปาดน้ำตาออกจากแก้มของผมเบาๆ
   “ไม่ได้ร้อง”
   “ก็เห็นว่าน้ำตาไหลอยู่ คิดถึง Scrubb เหรอ”
   “เปล่า คิดถึงมึง” ผมตัดสินใจบอกความรู้สึกของตัวเอง เพื่อหวังว่า...
   “อืม...คิดถึงเหมือนกัน”
   จะมีสักอย่างที่ยังเหมือนเดิมอยู่บ้าง








Peerapope Praweekorn
ว่างป่ะ
Thun Napat
ทำไม
Peerapope Praweekorn
จะชวนไปดูหนัง
Thun Napat
โทษทีมีนัดแล้ว
Peerapope Praweekorn
โอเค ไม่เป็นไร
Thun Napat
ไปกับใคร
Peerapope Praweekorn
ไปกับเพื่อน แต่ก็แค่ลองชวนมึงดู
Thun Napat
โทษนะ
Peerapope Praweekorn
ช่างเหอะ

   จองตั๋วไว้แล้วสองใบแต่ก็ต้องมาคนเดียว สบายเหมือนกันจะได้ไม่มีคนคอยพูดคอยกวนอยู่ข้างๆ ผมเคยชินกับชีวิตที่ต้องทำอะไรคนเดียวมานานแล้ว เผื่อว่าเพื่อนในกลุ่มคนไหนไม่ว่างจะได้ไม่เคว้ง ซึ่งสุดท้ายมันก็มีบ้างแหละที่รู้สึกโหวงๆ อยู่บ้าง
   หลังดูหนังจบ ผมเตรียมตัวจะกลับหอ แต่บังเอิญดันไปเจอกับคนตัวสูงซะก่อน ทันมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ กำลังนั่งกินอาหารญี่ปุ่นอยู่ในร้านกระจกใส ส่วนผมก็แค่เดินผ่านและอีกฝ่ายดันตามมาทักทายเท่านั้น
   “ไหนบอกมากับเพื่อนไง” เจ้าตัวถามด้วยความสงสัย
   “เพื่อนกลับแล้ว มึงก็มากับเพื่อนสินะ” ในกลุ่มของมันมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง และผมก็พอจะคุ้นหน้าคุ้นตาใครหลายๆ คนตอนที่เรายังคบกันอยู่
   ทันเลือกเพื่อน ไม่เคยสักครั้งที่จะเลือกผมไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
   “อื้ม มาเลี้ยงส่งท้ายไอ้โอ๊ต มันจะดร็อปเรียนไปอยู่กับพี่สาวที่อเมริกาเทอมนึง”
   “อ๋อ”
   “กินข้าวยัง”
   “ว่าจะกลับไปกินที่หอ”
   “กินด้วยกันที่นี่มั้ย”
   “ไม่อ่ะ เดี๋ยวจะอึดอัดกันเปล่าๆ”
   “รีบกลับป่ะ” คนตัวสูงถามย้ำ ผมเลยส่ายหน้ากลับไป เขาบอกให้ผมยืนรออยู่ตรงนี้ ส่วนตัวเองก็รีบวิ่งเข้าไปในร้าน พูดอะไรสักอย่างกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ก่อนจะเดินออกมา   
“หิว” ทันบอกพร้อมกับคว้าข้อมือของผมเอาไว้แล้วจูงให้เดินไปข้างหน้า
   “อะไรเนี่ย ไม่อยู่ส่งท้ายเพื่อนเหรอ”
   “ส่งแล้ว แต่กูไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นเท่าไหร่”
   “เท่าที่กูจำได้มันไม่ใช่แบบนั้น” ผมเถียงกลับไป ทันชอบอาหารญี่ปุ่น ตอนเราคบกันผมเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นบ่อยกว่าร้านอาหารไทยซะอีก
   “ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว”
   “ตั้งแต่เมื่อไหร่”
   “ตั้งแต่ไม่มีมึง”
   เราเลยเลือกนั่งร้านอาหารเกาหลีแทน -_-
   บอกตามตรงว่าทั้งผมและทันไม่มีใครชอบอาหารเกาหลี แต่กลับเดินเข้ามาในร้านโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เราแค่อยากเข้ามาลองอะไรใหม่ๆ สั่งเมนูอะไรก็ไม่เป็นเพราะไม่รู้จัก จิ้มโน่นสั่งนี่มั่วๆ และระหว่างที่รอเราก็ได้คุยกันอีกครั้ง
   “มาดูหนังเรื่องอะไร”
   “The Martian”
   “สนุกป่ะ”
   “ที่สุด ดูจบแล้วโคตรอิ่มเลย”
   “เอาเบอร์เกอร์เข้าไปกินเหรอถึงอิ่ม”
   “กวนตีน”
   “เล่าให้ฟังหน่อย”
   “คืองี้ พระเอกอ่ะติดอยู่บนดาวอังคารใช่ป่ะ แล้วกว่านาซ่าจะส่งคนไปช่วยก็ใช้เวลาหลายร้อยวันเลย ระหว่างนั้นเขาก็ต้องทำทุกวิถีทางเว้ยเพื่อเอาชีวิตรอด อย่างปลูกมันฝรั่ง เก็บซากดาวเทียมเก่าๆ มาซ่อมแล้วสื่อสารกลับไปยังโลก โคตรเทพเลย...” จากนั้นผมก็เล่ารายละเอียดของหนังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจบ
   “จบอิ่มอย่างที่บอกเอาไว้จริงๆ”
   “กินเบอร์เกอร์เหรอ”
   “ก๊อบมุก”
   “ฮ่าๆ หนังดังนะ ไม่เคยดูจริงดิ” ผมถาม
   “ไม่เคย”
   “พลาดมาก แล้วช่วงนี้ได้ดูเรื่องอะไรบ้างอ่ะ”
   “เคยดู Sicario ป่ะ”
   “ไม่ เล่าให้ฟังหน่อย”
   “พลาดกว่า ในเรื่องนางเอกเป็นเอฟบีไอเข้าไปร่วมภารกิจตามล่าพ่อค้ายาเสพติด โดยที่ก่อนหน้าคนในทีมไม่ได้บอกว่าต้องการให้เค้าทำอะไร...” ผมนั่งฟังอย่างจดจ่อ คล้ายกับพาตัวเองเข้าไปอยู่ในโรงหนัง
   เราเป็นแบบนี้เสมอ เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้ น้อยครั้งมากที่ผมกับทันจะนั่งดูหนังเรื่องเดียวกัน เอนหัวซบไหล่ หรือแม้แต่จับมือ ด้วยรสนิยมที่แตกต่างบวกกับนิสัยติสต์จัดของคนตัวสูง เวลาที่ผมบอกอยากดูหนังเรื่องนี้ แต่เขาไม่อยากดู เราก็จะแยกกันดู
   พอหนังจบเมื่อไหร่ เรามักจะเล่าให้กันฟังเสมอ เสียเงินตีตั๋วไปดูเรื่องเดียวแต่เหมือนได้ดูสองเรื่อง มันก็ดี...แต่ทันคงลืมไป เราไม่ได้มาโรงหนังกับคนรักเพื่อต้องการดูหนังจริงๆ หรอก แต่เรามาเพื่อใช้เวลาร่วมกันต่างหาก ซึ่งตลอดระยะเวลาสองปีมันไม่เคยมีวันนั้น
   “บู๊มากมั้ย” ผมถามกลับไป เมื่อเจ้าตัวเล่าจบ
   “ไม่มาก แต่หักมุมอย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละ อยากดูมั้ยล่ะ”
   “ไม่อ่ะ”
   “...”
   “มึงเล่าให้ฟังแล้ว”
   “The Martian ก็ไม่ได้กินเงินกูเหมือนกัน เพราะมึงก็เล่าให้กูฟัง ไว้เราไปดูเรื่องอื่นด้วยกันนะ”
   “...”
   “เรื่องที่เราไม่ต้องเล่าให้กันฟัง แต่รู้สึกไปด้วยกัน”
   “ถ้ากูไปดูหนังเรื่องนั้นกับมึง กูกลัวว่ะ”
“...”
“กลัวว่าถ้ากูรู้สึกไปคนเดียว แล้วมึงไม่รู้สึกอะไรเลย กูคงต้องเสียใจคนเดียวอีกใช่มั้ย”
“ไม่รู้ดิ แต่ที่ผ่านมาเรื่องระหว่างเรา กูก็รู้สึกกับมันทั้งหมดนะ”
   “แบบไหน รู้สึกผิดที่ดูแลกูไม่ดี หรือรู้สึกผิดที่มึงไม่เคยรักกูเลย”
   “รู้สึกผิดที่รู้ตัวช้าไปต่างหาก”







Thun Napat
พรุ่งนี้มีเรียน
Peerapope Praweekorn
ขี้เกียจไป
Thun Napat
เดี๋ยวโดนตัดคะแนน มาเรียนเถอะ
Peerapope Praweekorn
ดูก่อน
Thun Napat
แล้วทำอะไร
Peerapope Praweekorn
ฟังเพลง
Thun Napat
อยากฟังด้วย
Peerapope Praweekorn
(วางลิงก์เพลง)
Thun Napat
ทำไมชอบฟังเพลงเศร้า
Peerapope Praweekorn
ติดว่ะ ฟังเพลงเศร้ามานานแล้ว
เสพติดความเจ็บปวด 555
Thun Napat
เลิกเหอะ (วางลิงก์เพลงแดนซ์)
อย่าร้องไห้นะ ไม่ชอบ
Peerapope Praweekorn
สัด น้ำตากำลังจะไหลเลย
เดี๋ยวมานะ
Thun Napat
ไม่ให้ไป กูรู้ว่ามึงจะไปสูบบุหรี่
Peerapope Praweekorn
เวร รู้กูอีก
Thun Napat
เลิกเถอะ
Peerapope Praweekorn
กูไม่ตายง่ายๆ หรอก
Thun Napat
เชื่อได้เหรอ ตายห่าวันไหนใครจะไปรู้
กูยังเลิกได้เลย
Peerapope Praweekorn
ถามหน่อยทำไมถึงเลิก
Thun Napat
เพราะมึง
เลิกเพื่อมึง แต่มึงก็ไม่อยู่แล้ว 555555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2024 06:00:35 โดย Jittirain12 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18

   “อ่ะ”
   “อะไร”
   “มีหน้าที่เคี้ยวก็เคี้ยว” ผมมองอะไรบางอย่างที่บรรจุอยู่ในแผงสีเงิน มันถูกโยนลงบนโต๊ะเมื่อครู่โดยฝีมือคนตัวสูง วันนี้ทันเข้าเรียนเร็วกว่าปกติซึ่งผิดวิสัยมากๆ พอมาถึงก็โยนห่าอะไรไม่รู้ลงบนโต๊ะผมแล้วบอกให้เคี้ยวหน้าตาเฉย
   “ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยวะ เกิดมึงใส่ยากูก็ตายห่าดิ”
   “ลองก่อน แค่หมากฝรั่งมึงไม่ตายหรอก”
   ผมมองอีกฝ่ายอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนจะหยิบแผงสีเงินซึ่งมีหมากฝรั่งยี่ห้อแปลกประหลาดขึ้นมาหนึ่งเม็ด ยัดเข้าปากและเคี้ยวด้วยสีหน้าเหยเก
   “รสชาติเหี้ย” ผมบอกตามตรง
   “เดี๋ยวจะดี ต่อไปถ้าอยากบุหรี่ให้มึงหยิบหมากฝรั่งขึ้นมาเคี้ยวนะ”
   “...!!”
   “มึงทำได้อยู่แล้ว” มือหนาตบที่ไหล่ผมปุๆ แต่ก็ไม่วายถือวิสาสะล้วงมืออีกข้างลงไปในกระเป๋าเป้ของผม พร้อมกับยึดบุหรี่ยี่ห้อโปรดไปหน้าตาเฉย
   “เพื่ออะไรวะ รู้สึกผิดเหรอที่ทำให้กูเป็นแบบนี้” สุดท้ายก็ทนความสงสัยไม่ไหว ผมเงยหน้ามองอีกฝ่าย จ้องมองดวงตาคู่เดิมเพื่อคาดคั้นคำตอบ
   “กูไม่ได้เป็นแบบนี้เพราะมึงเว้ยทัน มึงไม่ต้องเดือดร้อนหรอก”
   “กูแค่เป็นห่วง จริงอยู่ที่กูรู้สึกผิด เพราะกูทำให้คนที่เกลียดบุหรี่เริ่มสูบมัน กูทำให้คนที่หัวเราะทั้งวันเอาแต่ร้องไห้ กูทำให้คนที่ชอบไปแดนซ์ในผับกลายเป็นคนที่ฟังแต่เพลงเศร้า กูทำให้...”
   “แล้ววันนั้น มึงทำให้กูเสียใจทำไมล่ะ”
   “...”
   “ขนาดตอนบอกเลิกมึงยังไม่สนใจเลย แล้ววันนี้มันจะสำคัญอะไรที่ต้องใส่ใจกู”







   โปรเจ็กต์ใหญ่ที่สุดสำหรับวิชานันทนาการในโรงเรียนก็คือการออกภาคสนามที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งปีนี้อาจารย์ผู้น่ารักก็จัดมาให้เราซะดิบดี โน่น...ชนบทอันไกลโพ้น นี่ผมยังสงสัยอยู่เลยว่ามาบูรณะโรงเรียนหรือมาลงนรกกันแน่
   ถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อทำให้รถอีแต๋นสองคันที่ขอยืมจากคณะเกษตรฯ โคลงเคลงไปมา อาการคลื่นไส้วิงเวียนเลื่อนขึ้นมาจุกอกจนแทบทนไม่ไหว ผมนั่งข้างทัน เราไม่ได้คุยกันมาหลายอาทิตย์ เจอหน้ากันตลอดแต่ไม่อยากคุยด้วย จบ
   มันก็แค่ความงี่เง่าส่วนบุคคลน่ะครับ
   “เวียนหัวมั้ย” เสียงทุ้มของคนข้างๆ เอ่ยถาม นี่เป็นประโยคแรกนับจากวันนั้นที่เราคุยกัน
   สรุปไม่ได้เคลียร์อะไรหรอก พอเวลาผ่านไปความโกรธมันก็หายไปหมด จากที่บอกว่าจะไม่คุย ไม่พูดด้วย สุดท้ายก็กลืนน้ำลายตัวเองอยู่ดี
   “ไม่” ผมตอบพร้อมกับเบือนหน้าไปอีกทาง
   “เอาน้ำป่ะ” ยื่นน้ำให้อีก
   “ไม่”
   “ถ้าเวียนหัวก็นอน”
   “...”
   “อยากอ้วกก็บอก”
   “ไม่ได้เป็น... อุ๊บ!” ผมรีบปิดปากตัวเองทันที เมื่อรู้สึกว่าอาการคลื่นไส้หนักขึ้นกว่าเดิม
   ปังๆๆ
มือหนาตบกระจกรถเพราะเรานั่งอยู่ด้านในสุด 
   “จอดหน่อยครับ”
   หลังจากนั้นไม่นานรถก็จอดกลางทาง พร้อมกับร่างของผมที่ถูกหิ้วลงมาอ้วกข้างล่างอย่างทุลักทุเล เพื่อนๆ ก็ช่วยกันหาน้ำท่าให้ ส่วนไอ้ทันก็ไม่ได้ไปไหน ยังนั่งยองๆ ลูบหลังให้ไม่ขาด
   เหมือนตอนนั้นเลยเนาะ ตอนที่ผมเมาปลิ้นเป็นหมามันก็คอยดูแลแบบนี้เหมือนกัน
   “โอเคมั้ย”
   “ไม่แล้ว ไม่โอเค” บอกไปตามตรง คนตัวสูงจึงช่วยพยุงกลับขึ้นรถ กดหัวของผมให้ซบอยู่บนไหล่ของเขาและหลับไปตลอดทาง เพราะถ้าไม่หลับผมคงอ้วกเรี่ยราดไปตลอดทางแน่
   กิจกรรมนันทนาการกินเวลาแค่สองวันกับอีกหนึ่งคืน ดังนั้นเมื่อไปถึงเราจึงเริ่มกางเต็นท์ภายในโรงเรียน ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ที่ผิดคาดที่สุดกลับเป็นอากาศของที่นี่ แม่งหนาวฉิบหาย แต่ผมดันเอาแค่เสื้อแขนยาวบางๆ มาแค่ตัวเดียว เพราะไม่คิดว่ามันจะหนาวขนาดนี้
   เราเริ่มต้นซ่อมและทาสีโรงเรียนกันเงียบๆ คนจำนวน 40 คนแบ่งฝ่ายกันอย่างดีเยี่ยมแทบไม่มีปัญหา อาจเป็นเพราะวันนี้คือวันเสาร์ด้วย ดังนั้นบริเวณที่เราอยู่จึงไม่วุ่นวายเท่าไหร่ นักเรียนก็ไม่ได้มาโรงเรียน มีแค่ภารโรงกับครูบางคนที่แวะมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเท่านั้น
   ช่วงอาหารเย็นมาถึงหลังจากทุกคนอาบน้ำเสร็จได้ไม่นาน เราล้อมวงกินข้าวและจัดกิจกรรมเล็กน้อยจนถึงสองทุ่ม ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน ทีนี้แหละที่เหมือนนรก รีบวิ่งเข้าเต็นท์ด้วยกางเกงผ้าร่มกับเสื้อแขนยาวตัวบาง แถมผ้าห่มก็ยังบางอีกต่างหาก ตอนแรกกะแค่เอามาห่มไล่ยุง แต่สุดท้ายกลับต้องเอามาห่มกันหนาว
   “ไอ้พากษ์หลับยังวะ” เสียงของเพื่อนวิศวฯ เต็นท์ข้างๆ ตะโกนถาม
   “อืม...จะนอนแล้ว”
   “สนใจไปร้องเพลงกันมั้ย พวกกูเอากีตาร์มาตั้งสองตัว”
   “ไม่เอาอ่ะ จะนอน”
   “เรื่องของมึง” ท้ายเสียงตอบไม่จริงจังนัก ก่อนบริเวณโดยรอบจะเงียบลง กระทั่งเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินเข้ามา
   “พากษ์...”
   “...”
   “พากษ์” เป็นเสียงของไอ้ทัน ผมเลยลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิชั่วครู่ พลางรูดซิปเต็นท์ออกไปเผชิญหน้ากับคนภายนอก
   “มีอะไร”
   “เอาไปใส่” อีกฝ่ายโยนเสื้อกันหนาวตัวหนามาให้
   “เฮ้ย ไม่ได้หนาวขนาดนั้น”
   “คนขี้หนาวชอบบอกว่าตัวเองไม่หนาวหรือไง ปากซีดแล้ว”
   “ขอบคุณ”
   “รีบใส่ซะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
   “รู้แล้วน่า” ผมสอดแขนเข้าไปในเสื้อแขนยาว กลิ่นนี้เป็นกลิ่นประจำตัวของมัน ผมจำได้ดีเพราะคุ้นเคยมานาน แต่ตอนนี้แค่รู้สึกไม่ชินเท่าไหร่ที่ได้ใส่เสื้อของมันอีกครั้ง
   “สระผมก็เช็ดผมให้แห้งด้วย”
   “อืม”
   “ถ้ากลัวผีก็เปิดเพลงฟัง”
   “ยุ่ง”
   “มีอะไรก็เรียก กูอยู่เต็นท์ข้างๆ เนี่ย”
   “สั่งๆๆๆ”
   “ตอนกลางคืนจะไปเข้าห้องน้ำให้โทรมาบอก ไม่ต้องออกมาเดี๋ยวจะมาหาที่เต็นท์”
   “บล็อกเบอร์มึงอยู่โทรไม่ได้”
   “ก็ปลดบล็อกดิ”
   “แผนป่ะเนี่ย”
   “อืม แผน...จะรอฟังเสียงโทรศัพท์นะ”
“...”
   “เลือกเอา จะกลัวกูหรือกลัวผี”
   ผมได้แต่เบะปาก มองดูร่างสูงเดินผละออกไป ส่วนตัวเองก็รีบรูดซิปและล้มตัวลงนอน และในคืนนี้เอง เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของทันผ่านโทรศัพท์มือถือ
   [เดี๋ยวไปหา แล้วห้ามบล็อกเบอร์อีก]
   ทันไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น แต่ทำไมถึงรักวะ ไม่เข้าใจ...







   หลังกลับจากกิจกรรมนันทนาการหฤโหด สองวันให้หลังพวกเพื่อนวิศวฯ ก็นัดทำรายงานส่งท้ายเทอม ก่อนจะบอกลาวิชานันทนาการในโรงเรียนของอาจารย์ผู้โหดสัด ตอนแรกก็เถียงกันไปมา พวกเถื่อนแม่งอยากจะมาทำงานห้องผม แต่เสียใจที่ห้องคับแคบเกินกว่าจะยัดคนสิบคนเข้าไปแล้วไม่อึดอัดได้
   สุดท้ายก็ต้องมาทำที่ห้องของทัน ห้องที่ผมไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเข้าไป
   “มองอีก เข้าไปสิไอ้พากษ์” ผมทำได้แค่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะถูกเพื่อนด้านหลังดันให้เดินเข้าไปภายในอย่างขัดไม่ได้
   ผมมองไปทั่วห้องสีขาวที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ใช่! ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากวันนั้น ของทุกอย่างถูกตั้งไว้ตรงตำแหน่งเดิม กางเกงในที่ถูกตากไว้ตรงคอมเพรสเซอร์แอร์ ตู้กระจกที่วางครีมทาผิวยี่ห้อที่ผมชอบ ตู้รองเท้าซึ่งเปิดอ้าซ่าแต่ไม่มีรองเท้าอยู่ในนั้นสักคู่ เพราะมันถูกถอดเรี่ยราดอยู่บนพื้น ซึ่งเป็นอุปนิสัยเดิมๆ ของคนอาศัย
   ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง...
   “โต๊ะญี่ปุ่นมีสองตัว พวกมึงเอาคอมฯ มาตั้งได้” เสียงทุ้มบอกกลายๆ
   “ทำไมมีตั้งสองตัว ไหนจะโต๊ะหนังสืออีก มึงซุกใครไว้ในห้องหรือเปล่าเนี่ย”
   “โต๊ะหนังสือมีไว้เขียนหนังสือ ไม่ได้เอาไว้วางคอมฯ ส่วนโต๊ะญี่ปุ่นสีฟ้านั่นของแฟน”
   “โห่!! มีแฟนก็ไม่บอก ทุกทีไม่เห็นพูดถึง”
   “ของแฟนเก่า”
   “อ้าว กรรม” ผมทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น ทำทีเป็นเปิดหนังสือไปพลางๆ ทั้งที่หูสองข้างได้ยินทุกประโยคที่คนตัวสูงพูดกับเพื่อน
   “ไอ้ทัน สงสัยมึงจะติดแฟนเก่าจริงๆ ว่ะ ห้องน้ำก็มีแปรงสีฟันสองอัน ห้องครัวมีช้อนกับส้อมสองคู่ แก้วน้ำสองใบ ขนาดรองเท้าสลิปเปอร์แม่งก็ยังมีสองคู่” เพื่อนที่เป็นนักสำรวจที่สุดในกลุ่มโพล่งขึ้น แถวบ้านเรียกเสือก
   แต่ก็จริง แก้วน้ำสองใบนั้นผมยังจำได้ดี มันเป็นของผม เราซื้อลายเหมือนกันตอนลดราคากระหน่ำช่วงปลายปี ส่วนรองเท้าสลิปเปอร์สีขาวที่ใส่ในห้องก็ไม่ต่าง เพราะถ้าหากสังเกตให้ดีๆ เราเขียนชื่อกันและกันไว้บนนั้นด้วย
   ไม่ได้ทิ้งเหรอ แทนที่จะทิ้งไปตั้งนานแล้ว
   “ถามจริง”
   “อะไร”
   “แฟนเก่ามึงเนี่ยเพิ่งเลิกเหรอ ถึงไม่ยอมเอาข้าวของของเขาออกไปซะที”
   “เลิกนานแล้ว”
   “สองเดือน หรือสามเดือน เอาน่า ความรักมันทำใจยาก”
   “สองปี ยากพอมั้ย”
   ห้องทั้งห้องเงียบลงถนัดตา ทันมองมาที่ผมก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและโยนงานให้เพื่อนๆ ในกลุ่มทำเพื่อคลายความอึดอัด ผมเองก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ นอกจากนั่งพิมพ์งานอยู่ตรงพื้นเงียบๆ เพราะคนอื่นยึดโต๊ะญี่ปุ่นไป
   แถมแบตเตอรี่แล็บท็อปยังใกล้จะหมดอีกต่างหาก
   “ทัน” ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนพื้น
   “หืม?”
   “แบตฯ จะหมด มีปลั๊กพ่วงอีกมั้ย เพื่อนมันใช้เต็มแล้วอ่ะ”
   “มุมห้องเลยคร้าบบบบบ” เพื่อนอีกคนแทรกขึ้น เพราะเห็นเต้าเสียบอยู่ข้างตู้วางทีวี แต่ผมรู้ว่ามัน…
   “เข้าไปชาร์จในห้องนอนป่ะ ตรงนั้นมีปลั๊กสามตา”
   ผมพยักหน้าเข้าใจ พร้อมกับหอบหิ้วแล็บท็อปเข้าไปภายในห้องนอนที่ยังคงหลงเหลือบรรยากาศเดิมๆ รูปของผมที่ถูกถ่ายโดยคนตัวสูงแปะอยู่เต็มผนัง ผ้าปูสีเดิมตอนที่เรายังอยู่ด้วยกัน หมอนสองใบ และแม้แต่ตู้เสื้อผ้าที่เปิดอ้าเพราะนิสัยเดิมๆ ที่แก้ไม่หายก็ยังมีเสื้อผ้าของผมปะปนอยู่ในนั้น
   ผมวางแล็บท็อปไว้ตรงปลายเตียง เดินสำรวจไปทั่วห้อง เห็นของขวัญวันเกิดที่ทำไว้ให้คนตัวสูงเมื่อสองปีก่อนซึ่งถูกวางทิ้งไว้เพราะเขาไม่มา
นอกจากนั้นยังมีตั๋วหนัง กล่องของขวัญ การ์ดอวยพร ดอกไม้ช่อเล็กที่ผมเลือกเองกับมือ วันนี้ถึงมันจะเหี่ยวไปแล้วแต่ความรู้สึกที่เคยมีไม่เคยจางหายไปเลย
กลายเป็นว่าเขาเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้อย่างดี
ผมมักพูดเสมอว่าทันไม่เคยสังเกตเห็นความรักที่ผมมีให้กับเขา แต่สุดท้าย...กลับเป็นผมเองที่ไม่ได้สังเกตว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็แคร์ผมเหมือนกัน
   “มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
   ผมถามขึ้น รู้ดีว่าคนที่เปิดประตูตามเข้ามาเป็นใคร
   “มันก็อยู่ของมันมาตั้งแต่แรกแล้ว”
   “ทำไมไม่ทิ้งไปซะล่ะ เราก็เลิกกันมาตั้งนาน”
   “ไม่ได้อยากทิ้ง”
   “ถามจริง ตั้งแต่เลิกกันไปมึงเคยคบใครมั้ย” ผมเงยหน้ามองคนตัวสูง และคำตอบที่ได้คือการยิ้มเจื่อนและส่ายหน้าไปมา มันเลือกได้เว้ย มันเลือกได้แต่ทำไมไม่เลือก...
   “กูไม่รู้ว่าตั้งแต่เลิกกันไปมึงเป็นยังไง เพราะกูบล็อกมึงทุกทาง”
   “กูรู้ แล้วกูก็รู้ด้วยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามึงเป็นยังไง กูเห็นมึงตลอดแต่ไม่กล้าเข้าไปทัก กูรู้ว่ามึงเศร้าแต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าไปปลอบ ตอนนั้นเราจบกันไม่ดีเท่าไหร่”
   ใช่! จากกันได้แย่มาก ทันติดเพื่อน ติดถ่ายรูป ทำตามใจตัวเองจนเหมือนเป็นคนแข็งกระด้าง ผมพูดอะไรออกไปเขาจะเฉย มากสุดก็แค่พยักหน้าทั้งที่ผมห่วงแทบตาย ทันไม่เคยแคร์ ไม่เคยสนใจ
   และวันที่ความอดทนสิ้นสุดลง ผมบอกเลิกอีกฝ่ายทางโทรศัพท์เพื่อหวังว่าเจ้าตัวจะกลับมาง้อ แต่เปล่าเลย ผมกลับได้ยินเพียงคำว่า ‘อืม...’ และหลังจากนั้นเราก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก
   บางทีผมก็เกลียดอารมณ์ติสต์บ้าติสต์บอของมัน เพราะตอนเลิกกันเรายังเลิกกันแบบงงๆ ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำพูดเหนี่ยวรั้ง ปล่อยให้ความทรงจำทุกอย่างที่สร้างด้วยกันมาพังไม่เป็นท่า กระทั่งเราได้กลับมาเจอกันเมื่อหลายเดือนก่อน
   ผมโกรธ ผมโกรธมันมาก แต่กลับพูดได้ไม่เต็มปากว่าผมเกลียดมัน
   เพราะยังรัก...รักแค่คนเดียว
   “พากษ์”
   “...”
   “กูรักมึงนะ ตอนนี้กูก็ยังรักมึง แต่กูไม่รู้จะแสดงออกยังไง” ทันในตอนนี้กับเมื่อก่อนต่างกันอยู่อย่าง ตรงที่วันนี้มันกล้าพูดว่ารู้สึกอะไรและพยายามแสดงทุกอย่างออกมา แต่ทันในวันนั้นไม่ใช่เลย...
   “กูอยากรั้งมึงไว้ แต่กลัวว่ามันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
   “แล้วมึงจะกลับมาตอนนี้เหรอ เวลาตั้งสองปีมัวไปทำอะไรอยู่วะ”
   “กูอยากกลับมา”
   “...”
   “แต่กลัวกลับมาแล้วจะทำให้มึงเสียใจอีก”
   “แล้วตอนนี้เปลี่ยนอะไรเพื่อกูได้บ้างล่ะ” ผมถามกลับไป สองปีมีหลายอย่างยังเหมือนเดิม ห้องเหมือนเดิม ข้าวของเหมือนเดิม และมีอะไรบ้างล่ะที่เปลี่ยนไป
   “กูเลิกสูบบุหรี่เพื่อมึง”
   “กูก็เลิกให้มึงได้เหมือนกัน แม้หมากฝรั่งจะรสชาติแย่แค่ไหนก็ตาม”
   “กูเลิกเล่นเกมออนไลน์”
   “กูก็เลิกแล้ว”
   “แต่กูจะเลิกถ่ายรูป”
   “ไม่ต้องเลิก กูไม่เคยห้ามสิ่งที่มึงรักนะ กูแค่ห่วงตอนที่มึงต้องออกไปถ่ายรูปที่ไหนไกลๆ ตอนดึกๆ ต่างหาก”
   “กูจะอยู่กับเพื่อนให้น้อยลง”
   “กูยอมรับที่มึงอยู่กับเพื่อนได้ กูแทบไม่ถามด้วยซ้ำว่ามึงออกไปไหน จะกลับกี่โมง กูไม่เคยจี้ถาม ขอแค่ให้มึงรู้ว่ากูเป็นห่วง แต่ตอนนั้นมึงไม่เคยรับรู้อะไรเลยไง”
   “ขอโทษ”
“อืม” 
ผมพูดแค่นั้นก่อนจะหยิบแล็บท็อปแล้วเดินออกห้องไป บอกกับเพื่อนในกลุ่มว่าขอแยกกลับไปทำงานที่ห้องเพื่อทบทวนตัวเอง
   ผมไม่รู้ว่าที่ผมยังคิดถึงมันอยู่เป็นเพราะอะไร ความรัก หรือความผูกพันกันแน่
   เราไม่ได้มีใครใหม่ เราไม่เคยนอกใจ เราอยู่ด้วยกันแต่เหมือนไม่ใส่ใจกัน บางครั้งอึดอัด บางครั้งถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว บางครั้งเราต่างทำทุกอย่างลงไปโดยไม่มีเหตุผล และบางครั้งเราก็ลืมนึกไปว่า...เราเด็กเกินไป
   สองปีที่ผมเติบโต ช่วงเวลาที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวมันทำให้รู้ว่า ผมเองก็เห็นแก่ตัวที่อยากให้อีกฝ่ายใส่ใจ ทั้งที่ความจริงแล้วแค่ได้อยู่ดูแลเขาใกล้ๆ มันก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ ผมมีความสุขที่ได้ห่วง ได้แคร์ ผมอยากกลับไปทำแบบนั้นตลอดสองปีแต่ก็ทำไม่ได้
   แล้ววันนี้...
   ตึ่ง!!
   อินบ็อกซ์จากเฟซบุ๊กของผมเด้งขึ้นมา ด้านบนเป็นชื่อของคนคนเดิมที่ติดอยู่ในหัวตั้งแต่กลับถึงห้อง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าความสัมพันธ์ของเราจะเป็นไปในทิศทางไหน แต่ก็ไม่อยากขี้ขลาดอีกแล้ว

Thun Napat
อยู่ป่ะ
Peerapope Praweekorn
นอนแล้ว นี่หมาพิมพ์
Thun Napat
เหงา
Peerapope Praweekorn
เรียกร้องความสนใจ?
Thun Napat
พรุ่งนี้จะไปเรียนมั้ย
Peerapope Praweekorn
ดูก่อน ขี้เกียจก็ไม่ไป
Thun Napat
ถ้าไม่ไปจะมีคนถามหา
Peerapope Praweekorn
ใคร
Thun Napat
กู
Peerapope Praweekorn
ไม่ตลก
Thun Napat
อยากนั่งข้างๆ มึงในห้อง
Peerapope Praweekorn
มีคนอยากนั่งข้างมึงเยอะจะตาย
Thun Napat
อยากดูหนังกับมึง
อยากกินข้าวกับมึง
อยากนอนกอดมึง
อยากจูบมึง
อยากจับมือกับมึง
อยากกินเหล้ากับมึง
อยากเช็ดอ้วกมึง
Peerapope Praweekorn
กูเบื่อขี้หน้ามึง
เบื่อคนติสต์จัด
เบื่อคนกวนตีน
เบื่อกับข้าวฝีมือมึง
เบื่อมือสากๆ ของมึง
เบื่อแม่งทุกอย่างเลย
Thun Napat
จะพยายามเปลี่ยน : (
Peerapope Praweekorn
กูเปลี่ยนมึงไม่ได้หรอก
แล้วกูก็รู้ดีว่ามึงเป็นอย่างนี้มันดีที่สุดแล้ว
Thun Napat
: )
Peerapope Praweekorn
ไม่ต้องเลิกติสต์ จะเป็นห่าอะไรก็ช่างแม่ง
กูก็รักมึงอยู่ดี
Thun Napat
กูเปลี่ยนไม่ได้
แต่จะพยายามเป็นคนที่ดีขึ้น
Peerapope Praweekorn
เออ

Thun Napat
พากษ์
Peerapope Praweekorn
ไร

Thun Napat
เราเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะ


หากคืนและวันจะพาเรามาให้คุ้นเคย ไม่ต้องคิดเลย คำตอบนั้นเรารู้คำตอบ...

END
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2024 06:04:23 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
อ่านไปน้ำตาซึมไป มันหน่วงๆอยู่ในอกอะ
แต่ว่า การที่มีใครซักคน จำเรื่องเราได้ทุกอย่าง มันดีจริงๆนะ

ออฟไลน์ GintoniC

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
ชอบเรื่องสั้นเซ็ตนี้จัง อธิบายไม่ถูกอ่ะ แต่อ่านแล้วปริ่มดี รอคณะต่อไปค่ะ   :pig4:

ออฟไลน์ QXanth139

  • ♡동해 #Always13
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
จะเอาพาร์ททันนนนนนนนน :z3:

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
ห่างไกลจากคำว่าหวานมาก เมื่อเทียบกับเรื่องอื่น

ตอนนี้ทำน้ำตาคลอเหมือนเป็นเรื่องตัวเอง 555

ชอบมาก รออ่านคณะต่อไปนะจ้ะ จุ๊บุ

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
ขอบคุณมากๆ ค่ะ กับเรื่องสั้นตอนใหม่ คุณจิตติมาต่อแบบไม่ทันตั้งตัวเลย แต่ก็รีบเข้ามาอ่านโดยไว

เรื่องนี้อารมณ์หม่นเศร้า และอึดอัดมาก แปลกไปกว่าเรื่องอื่นในซีรีย์ ทั้งทันทั้งพากษ์อาจเห็นแต่ตัวเองมากเกินไปเมื่อยังเด็ก (สองปีก่อน) ทันก็สนใจแต่เรื่องถ่ายรูป เรื่องเพื่อน ส่วนพากษ์ก็อยากให้ทันหันมาใส่ใจตัวเองมากเกินไป แต่เมื่อกลับมาหากันอีกรอบ ก็ได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว มันก็มีโมเม้นท์ที่แสดงออกว่าแคร์กันอยู่นะในตอนนั้น ความจริงถ้าพากษ์ไม่บล็อกทันทุกทาง อาจได้กลับมาหากันเร็วกว่านี้ แต่นับถือทันเลยค่ะ ที่ไม่คบใครไปก่อน

เรื่องนี้แม้ไม่ซึ้งเท่าเรื่องอื่น แต่เห็นดีกับคุณจิตที่บอกว่า เป็นตัวแทนของคนธรรมดา เห็นด้วยเลยค่ะ อ่านแล้วได้อารมณ์ของมนุษย์ปุถุชนคนเดินดินธรรมดามากๆ  :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-12-2015 13:14:01 โดย Wordslinger »

ออฟไลน์ screaminoflve

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านจบแล้วแบบ.....อึนเลยค่ะ  o22
เรารู้สึกว่าเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลย
หน่วงๆแต่ก็ดีใจที่ทันกับพากษ์ไม่ปฏิเสธหัวใจตัวเอง

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
ชอบบบอ่ะ

มันก็ดีจริงๆนะ ที่แบบยังจำเรื่องเราได้อ่ะ :mew1:

 อยากได้บ้างง55555 :laugh:

ออฟไลน์ mafia

  • ซานต้าครอสสีดำ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 65
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
    • Black Santa'Clause FANPAGE
ตอนนี้ดราม่าแบบหน่วงๆอะ ชอบนะแต่ชอบแบบตลกๆมากกว่า ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
อ่านแล้วมันก็มานึกถึงตัวเอง
แต่มันไม่ได้สวยงามแบบทันกับพากษ์ ที่ยังรักแล้วลืมกันไม่ได้ทั้งคู่ ที่ปรับตัวเข้าหากันใหม่  :mew6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ กฤษณ์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
อ่านตอนนี้แรกๆหดหู่มากเจ็บใจแปลบๆ
เราเป็นคนนิสัยเหมือนพากษ์ ชอบคิดไปเอง ไม่ค่อยรู้ตัวว่ามีใครแคร์เราอยู่
พลอตเป้ะชีวิตเลย อยู่ๆก็เลิกกันเพราะประชดนี่ล่ะ อีกฝ่ายก็มาแนวเดียวกับทันอีกปวดตับ
ก็ยังรักอยู่แต่คงไม่กล้ากลับไปและไม่กล้าพอเหมือนพากษ์ที่จะเปิดเผยความในใจก่อน
เจ็บแล้วไม่กล้ากลับไปเจ็บอีก :(
#อิน

ออฟไลน์ packy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
หม่นมาก อินมากด้วย เพราะตรงกะชีวิตจริงที่เคยเป็น
ซึ่งสุดท้ายพอกลับมาคืนดีกัน ก็ได้เลิกกันอยู่ดี
ช่วงแรกเหมือนจะดี เพราะคนนึงรู้สึกผิด อยากทำให้ดี อีกคนก้โหยหาความรู้สึกเก่าๆ
แต่พอเวลาผ่านไป มันก้ฝืนกันได้ไม่นาน
ความห่วงใย ถูกตีความหมายว่าก้าวก่าย
สุดท้ายก้เจ็บเหมือนเดิม

แต่เรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่เหมือนเป็นคำถามปลายเปิด
ให้คิดเอาเอง ว่าจะกลับไปแล้ว รอด หรือ ไม่รอด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-11-2015 21:14:52 โดย packy »

ออฟไลน์ Autonomyz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ตอนี้พังมาก เราอ่ะพังมาก หยุดร้องไห้ไม่ได้แล้ว
ตอนนี้ไม่บวกเป็ดให้หรอกนะ  โทษที่ทันทำให้พากษ์เสียใจ
คือ ตอนนี้เป็นตอนที่เศร้าที่สุดของเรา เพราะทุกๆคำที่ทันพูด
ทุกคำที่พากษ์คิด ครั้งหนึ่งเราก็เคยเปนแบบนั้น และยังเป็นอยู่
ตั้งแต่ต้น จนเลิกกัน ทันเหมือนแฟนเรามาก มกจนเรานี่เข้าใจพากษ์มากๆอ่ะ
ว่า การรอคอย แล้วผิดหวังมันเป็นยังไงเลย

“ขนาดตอนบอกเลิกมึงยังไม่สนใจเลย แล้ววันนี้มันจะสำคัญอะไรที่ต้องใส่ใจกู” คือ ประโยคนี้พีคสุด

เราไม่ได้มีใครใหม่ เราไม่เคยนอกใจ เราอยู่ด้วยกันแต่เหมือนไม่ใส่ใจกัน บางครั้งอึดอัด บางครั้งถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว บางครั้งเราต่างทำทุกอย่างลงไปโดยไม่มีเหตุผล และบางครั้งเราลืมนึกไปว่า...เราเด็กเกินไป

เพราะเด็กเกินไปทำให้เราต้องเลิกกันใช่ไหม สุดท้ายพอเวลาผ่านไป เราก็เหมือนพากษ์ คือในเมื่อเราเป็นทุกๆอย่างๆของกัน
จริงๆแค่มีกันดูแลกันมันก็ดีแล้ว แต่ว่าเราก็แค่ต้องการให้เธอเห็นค่าเราบ้าง มองเห็นแสดงออกว่าแคร์เรา เช่นเดียวกับที่เราทำ
ไม่ใช่มาทำ ในวันที่เราหายไปอ่ะนะ

สุดท้ายตอนนี้ก็ยังกลับมาคุยกันอีกครั้ง พร้อมกับความรู้สึกเก่าๆ เข้ามา แน่นอนเราก็เป็นแฟนสครับ แต่นะ

ความทรงจำดีๆที่ฉันมีอยู่ ล้วนมีเธอโอบกอดไว้
แต่ความเป็นจริงที่ฉันไม่พร้อมจะไป เริ่มสิ่งใหม่กับเธอ


เราอินมาก ร้องไห้แป้ปปปป


ออฟไลน์ MAILOVEZ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกแบบจะยิ้มก็ไม่สุด จะว่ามันหน่วงมันก็ไม่ใช่ทั้งหมด มันเป็นอารมณ์แบบยิ้มๆ หม่นๆ ปนกันไปตลอดทั้งเรื่องเลย แต่มันดีกับใจมากจริงๆ
ทันนี่คือมนุษย์ผู้ชายที่เป็นผู้ชายจริงๆ มาก คนอื่นอาจจะมองว่าไม่รัก ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจแต่ความจริงคือจดจำทุกอย่าง เป็นอารมณ์ของคนที่รักมากแสดงออกไม่เก่ง
แต่พอวันนึงที่พากษ์หายไปมันทำให้คิดได้ว่าตลอดเวลาทำไมตัวเองถึงไม่แสดงออกมากกว่านี้ หลังจากนี้เริ่มต้นกันใหม่เนาะทันพากษ์ รักยังเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือเราจะทำให้มันดีขึ้นกว่าเดิมด้วยหัวใจของเรา ><
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้อยากร้องไห้ตลอดเวลา กำลังจะยิ้มแต่อีกนิดนึงน้ำตาคลออีกแล้ว แต่ชอบตอนที่ไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน มันเป็นช่วงเวลาที่น่ารักมากจริงๆ สรุปก็ชอบมากอีกเหมือนเหมือนกับทุกเรื่องเลย :)

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ตอนรู้ว่าทันคือแฟนเก่า นี่นั่งช็อคเลยอะ ปมขยี้ใจอีกแล้วววว น้ำตามาตั้งแต่แรกๆเลยค่ะ  :o12:  โหยยยยย ผ่านมาสองปีอะไรๆก็ยังเหมือนเดิมนี่มันดีเนอะ การเลิกกันมันทำให้ทันรู้ใจตัวเองมากขึ้น ก็ดีอะ จะมีสักกี่คนที่จะจำไม่ลืมแบบนี้ พากย์ก็น่าสงสารรรรมากกกกก ไม่ไหวแล้ว คือบีบใจนุ้งเหลือเกิน  ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
คนเรียนนิติออกจะซื่อสัตย์นะคุณ  :m19:
รอคณะต่อไปครับ

ออฟไลน์ Pisoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนนี้อินมาก ชอบวงสครับอยู่แล้ว
ฟังไป อ่านไป อินมากกกกกกกก  :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ ciaiwpot

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1098
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
ทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อเราหันหน้าคุยกัน
เริ่มเข้าใจกัน
บางที่การเลิกกัน
ก็เพื่อทบทวนตัวเอง
แต่เศร้าจัง
แต่ก็ดีใจที่กลับมารัก
ซึ่งรักครั้งนี้เป็นรักที่เข้าใจกันมากขึ้น

ออฟไลน์ vanvan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านแล้วมันรู้สึกปริ่มๆ ในใจไงไม่รู้

อ่านๆ ไปก็รู้สึกอบอุ่น ละมุนในใจ
 :mew3:

ออฟไลน์ veeveevivien

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
 :hao5: :hao5: :hao5:

ทำไมรู้สึกเศร้าจังเวลาอ่าน ทั้งที่มันจบแฮปปี้นะ

 :sad4: :sad4: :sad4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด